ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZOMBIES HARD CREEPER | KAIHUN CHANBAEK FT.EXO

    ลำดับตอนที่ #53 : Chapter 50 :: Don't Go

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 11.6K
      121
      25 มี.ค. 57

    ? Tenpoints!

     

     

     

    Chapter 50

    Don’t go

     

     



     

    เช้าวันรุ่งขึ้น

    แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างเป็นสิ่งบ่งบอกถึงรุ่งอรุณของวันใหม่ มันเป็นเรื่องปกติที่โดคยองซูจะตื่นตั้งแต่ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นแต่เขากลับเลือกนอนอยู่อย่างนั้นแม้ว่าจะตื่นก่อนใครในบ้าน ได้ยินเสียงการขยับตัวบนเตียงจนกระทั่งเพื่อนร่วมห้องจำเป็นเดินออกไปเขาถึงได้ลืมตาขึ้น

     

     

     

    แค่คิดว่าจะต้องตื่นมาเจอความอึดอัดในบ้านหลังนี้ก็คลื่นไส้จะแย่แล้ว...

     

     

     

    แค่นั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกันเมื่อวานก็รู้สึกอึดอัดจะแย่ นี่ขนาดยังไม่ครบคนยังแทบอ้วกขนาดนี้ คิดสภาพตอนพร้อมหน้าพร้อมตาจะขนาดไหน โดคยองซูแทบลืมไปแล้วว่าการนั่งกินข้าวกับคนอื่นเป็นยังไงเพราะตั้งแต่เกิดเหตุการณ์นั้นเขาก็แค่หาที่เงียบ ๆ แล้วนั่งกินอาหารขยะที่พวกมันแบ่งให้ แต่พอมาอยู่ที่นี่...เห็นคนอื่น ๆ ใส่ใจแบ่งส่วนของตัวเองให้คนรอบข้างแล้วก็รู้สึกแปลก ๆ

    การนอนไม่หลับมันเป็นเรื่องปกติไปแล้วและเขาคงไม่โทษฟูกนุ่ม ๆ ผืนนี้กับห้องสี่เหลี่ยมกว้าง ๆ ว่าเป็นเพราะการไม่คุ้นที่เขาถึงได้หลับไม่ลง เพราะไม่ว่าจะนอนที่ไหนเขาก็รู้สึกอย่างนี้เสมอ หวาดระแวงตลอดเวลา พะวงจะเกิดอะไรขึ้นในวันพรุ่งนี้ คำพูดของอู๋อี้ฟานไม่ได้เหมือนสายลมที่พัดผ่านไป กลับกันแล้วเขาเลือกที่จะจดจำเอาไว้ทุกอย่าง หนึ่งเพื่อเตือนใจตัวเอง สองเก็บไปคิดเพื่อตัดสินใจ

    ...ตัดสินใจว่าเขาควรจะปรับตัวเข้าหาครอบครัวนี้โดยที่ไม่ต้องกลัวอะไรอีก

    ลุกขึ้นนั่งเงียบ ๆ แล้วมองมือที่วางอยู่บนผ้านวม ได้แต่ถามตัวเองว่าควรทำอะไรในเวลาแบบนี้ ปกติตอนที่อยู่กับพวกนั้นเขาต้องตื่นแต่เช้าเพื่อจัดเตรียมอาหารให้ทันเวลา ถ้าวันไหนสายก็โดนด่า หนักหน่อยก็โดนตบหน้า แต่เรื่องแค่นั้นโดคยองซูไม่ได้พบเจอบ่อยนักเพราะเขาเป็นคนเรียนรู้ได้เร็วว่าเรื่องไหนจะนำความลำบากมาให้เขาก็เลี่ยงที่จะไม่ทำมัน เพราะฉะนั้นการถูกตบหน้าในวันนั้นก็เลยเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวในชีวิต

    พับฟูกไว้ตรงมุมห้องแล้ววางหมอนทับลงไปเป็นการปิดท้าย ได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากบ้านข้าง ๆ เลยเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่าง มองผ่านกระจกลงไปก็เห็นอู๋อี้ฟานกำลังต้มน้ำให้เดือดไปผสมกับน้ำเย็นในกะละมังเพื่อการซักผ้าด้วยมือในฤดูหนาว และผู้หญิงอีกคนที่กำลังสะบัดผ้าตาก ลักยิ้มบนใบหน้าเธอทำให้เขาประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เคยคิดว่าคนที่มีความทุกข์มากที่สุดกับการอยู่ในโลกโสมมคงเป็นผู้หญิงที่มีภูมิต้านทานต่อความลำบากน้อย แน่นอนว่าพวกเธอเป็นเพศอ่อนแอและใช้ชีวิตยุ่งยากกว่าผู้ชายเป็นไหน ๆ มันทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่ารอยยิ้มของเธอมันมาจากใจจริงหรือแค่หลอกตัวเองให้ฝืนยิ้มออกมากันแน่

    คุณขำอะไรเหรอครับ? อี้ฟานเงยหน้าขึ้นมองครูสาวที่ส่ายหน้าปฏิเสธเป็นคำตอบก่อนจะเดินไปเอาเสื้อตัวใหม่มาสะบัดออกแล้วแขวนตาก

    ฉันแค่ไม่ชินกับคุณในลุคนี้น่ะค่ะ

    ผม?

    ค่ะ ทรงผมคุณ...กับท่าทางตอนนั่งยอง ๆ ซักผ้าแบบนั้น เธอหลุดขำออกมาอีกครั้งจนเจ้าตัวต้องก้มลงดูสภาพตัวเองทั้งที่ฟองผงซักฟอกยังคงเต็มมือทั้งสองข้าง

    ผมควรถือปืนเดินลาดตระเวนในหมู่บ้านมากกว่าใช่ไหมครับ? ทั้งคู่หัวเราะออกมาพร้อมกัน

    ฉันไม่ได้ว่าแบบนั้นสักหน่อย แค่แปลกตาน่ะ

    อี้ชิงบอกว่าผมทรงนี้ทำให้ผมน่ากลัวขึ้นอีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์

    เรื่องยิงมุกตลกหน้าตายต้องยกให้เขาเลยล่ะค่ะ เธอหัวเราะแล้วเดินมานั่งข้าง ๆ ร่างสูงเพื่อล้างเสื้อผ้าด้วยน้ำอุ่นที่อีกคนเตรียมไว้ให้

    คุณสองคนดูสนิทกันนะครับ พอพูดจบก็นึกถึงใครอีกคน จำได้ลาง ๆ ว่าเมื่อวานอี้ชิงก็ถามแบบนี้เหมือนกัน

    ฉันเป็นครูสอนภาษาเกาหลีให้เขาแบบนั้นเรียกสนิทได้หรือเปล่าคะ? เธอหันมายิ้มแค่ครู่เดียวก็หันกลับไปง่วนกับเสื้อในกะละมังต่อ

    คุณกาฮี

    คะ?

    ผมขอโทษเรื่องนักเรียนของคุณด้วยนะครับ ครูสาวชะงักมือที่กำลังล้างเสื้อผ้าก่อนจะหันมามองอีกฝ่าย

    คุณมักจะขอโทษฉันอยู่เรื่อย แต่ฉันเชื่อว่าคุณพยายามที่สุดแล้ว เธอยิ้มบาง ๆ แล้วก้มหน้าลงล้างผ้าอีกครั้งเหมือนกับที่โรงเรียนคราวนั้น

    ...

    หลายครั้งที่ฉันคิดว่าการตายคือทางออกที่ดีที่สุดเธอถอนหายใจเบา ๆ แม้ว่าริมฝีปากยังคงยิ้มอยู่แต่พอหันไปมองข้างหลัง ฉันถึงได้บอกกับตัวเองว่าเธอยังตายไม่ได้นะปาร์คกาฮี’ ”

    ...

    ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น แม้ว่าฉันจะไม่มีความสามารถเท่าที่ควรแต่การดูแลเลี้ยงดูปากท้องนักเรียนมากมายขนาดนั้นมันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ เธอบิดผ้าใส่ตะกร้าฉันถามตัวเองตั้งแต่วันแรกว่ามีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร รอบข้างรายล้อมไปด้วยพวกมัน สิ่งที่ฉันและนักเรียนทุกคนมีเหมือนกันคือความหวาดกลัว ร่างสูงหันหน้าเข้าหาผ้าในกะละมังแล้วซักผ้าต่อ เขายังคงตั้งใจฟังทุกคำพูดของครูสาวกับเรื่องเล่าที่ไม่เคยได้รับรู้มาก่อน

    คุณคงต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่นหลายเท่า ถ้าเทียบกับใครหลายคน...ถือว่าคุณเข้มแข็งมากนะครับ นึกไปถึงคนที่ปลิดชีวิตตัวเองเพราะความอ่อนแอ และหนึ่งในนั้นคืออู๋อี้ฟานที่เคยคิดฆ่าตัวตายเพราะไม่เหลืออะไรแล้ว

    เปล่าเลยค่ะ

    ...

    ฉันคิดอยากตายทุกครั้งที่รู้สึกท้อ เธอหันมายิ้มให้กับเขาแต่พอนึกขึ้นได้ว่าถ้าฉันตายแล้วใครจะดูแลเด็ก ๆ ฉันก็ไม่กล้าตายแล้ว

    ...

    หลายครั้งที่คิดว่าอยากตายแต่จริง ๆ แล้วเราไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นหรอก เธอเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่งความเหนื่อยล้า ความท้อแท้มันอาจทำให้รู้สึกอย่างนั้น แต่มันก็แค่ครู่เดียว พอรู้สึกดีขึ้นความคิดที่อยากตายมันก็ค่อย ๆ จางหายไป ฉันว่าคนที่อยู่ข้าง ๆ มันมีผลต่อจิตใจพอสมควรเลย

    ...

    คนที่คิดฆ่าตัวตายกับคนที่ฆ่าตัวตายมันไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นแค่ความคิดก็สามารถล้มเลิกได้ แต่ถ้าลงมือทำไปแล้วมันไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย เธอยิ้มบาง ๆ ทั้งที่ไม่หันไปมองหน้าอีกฝ่ายคนที่ฆ่าตัวตายเขาต้องมีความกล้ามากเพื่อแลกกับการไม่รับรู้อะไรอีก

    ...

    ช่วงแรกที่เกิดเรื่องฉันนอนไม่หลับเลย เสียงของพวกกัดคนในลานอเนกประสงค์กับตรงรั้วหลังโรงเรียนมันทำให้ฉันจิตตกไปพักหนึ่ง ฉันไปขอยานอนหลับกับครูฮโยลิน เธอปลอบใจฉันเป็นชั่วโมงและบอกให้เลี่ยงใช้ยานอนหลับจะดีกว่า แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็แอบทานยาคลายกล้ามเนื้อกับยาแก้แพ้อยู่ดี มันช่วยฉันได้มากแต่บางครั้งมันก็ทำให้ฉันตื่นสาย เธอหัวเราะเมื่อนึกถึงอดีต เริ่มต้นจากจำชื่อนักเรียนทุกคนไม่ได้ จนจำได้ว่าเด็กคนนี้อยู่ห้องไหนมีลักษณะนิสัยยังไง ความหิว ปากท้องของทุกคนกดดันให้ฉันต้องออกไปข้างนอกเพื่อหาเสบียง ตอนนั้นถ้าไม่มีเทาอยู่ข้าง ๆ ฉันคงแย่แน่

    พวกคุณโชคดีที่มีกันและกัน อี้ฟานยิ้มบาง ๆ

    ถึงตอนนี้ฉันจะเหลือนักเรียนแค่สามคนแต่ฉันจะพยายามดูแลพวกเขาให้ดีที่สุด

    ผมเชื่อว่าคุณทำได้ ทั้งคู่ได้เพียงแค่ยิ้มให้กัน สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่ากำลังใจของคนรอบข้าง อู๋อี้ฟานคิดอยู่เสมอว่าแค่มีทุกคนอยู่ตรงนี้โลกมันก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดแล้ว

    ตอนอยู่ที่นั่นคุณก็ต้องซักผ้าใส่เองใช่ไหมคะ?

    ครับ เป็นเรื่องเดียวที่แต่ละคนต้องรับผิดชอบของตัวเอง แต่คงมีแค่ผมกับคยองซูที่ให้ความสนใจกับความสะอาดในขณะที่พวกมันเลือกมองข้ามเพราะคิดว่าเข้าสู่ฤดูหนาวแล้วจะดองเค็มแค่ไหนก็ได้

    คยองซู... ครูสาวทำหน้าคิดไปถึงเด็กอีกคนที่ไม่ค่อยพูด เขายังไม่ตื่นเหรอคะ?

    น่าจะยังนะครับ

    ได้ยินบทสนทนาที่พูดถึงเขาแล้วก็ละออกมาจากตรงนั้น เด็กหนุ่มยืนพิงกับผนังเย็นแล้วให้ความเงียบครอบคลุมทุกอย่าง เป็นเรื่องน่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่สองคนนั้นนึกถึงการเป็นอยู่ของเขา หยิบแปรงสีฟันที่อู๋อี้ฟานวางไว้ให้บนโต๊ะตั้งแต่เมื่อวานแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ เห็นแปรงสีฟันหลากสีที่อยู่ในแก้วแล้วก็ยืนใช้ความคิด

     

     
     

    ‘...ครอบครัวของฉันเอง

     

     
     

    ครอบครัว...งั้นเหรอ?

    ตอนแรกได้แต่ถามตัวเองว่า อะไรที่ทำให้อู๋อี้ฟานมีความเชื่อได้ขนาดนั้นว่าคนที่เรียกว่าครอบครัวยังรอการกลับไปของเขาอยู่เสมอ แต่ตอนที่รู้คำตอบก็ทำให้เขาอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก มันทั้งไม่น่าเชื่อและรู้สึกอิจฉาในคราเดียวกัน ในขณะที่คนพวกนั้นเสี่ยงตายมาช่วยอู๋อี้ฟานแต่คนที่เรียกว่าเพื่อนกลับทิ้งเขาไว้ตรงนั้นอย่างไม่ใยดี

     

     

     

    เรื่องนี้ทำให้รู้ว่า...มิตรภาพจากลมปากมันเชื่อไม่ได้จริง ๆ

     

     

     

    พอล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็ใช้เวลาทำใจอยู่นานกว่าจะพาตัวเองลงไปข้างล่างได้ สองขาหยุดยืนกับที่เมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วดังมาจากห้องนั่งเล่นและแน่นอนว่ามันไม่ใช่เสียงของคนที่อยู่บ้านหลังนี้อย่างคิมจงอินหรือโอเซฮุน

    เธอจะเติมมันลงไปทำไม ยัยบ้า! ถอยออกไปห่าง ๆ งานฝีมือฉันเลยนะ!”

    เฮ้ย มันต้องเพิ่มเติมตรงนี้ก่อน

    ไม่เติมอะไรทั้งนั้นอ่ะ ไป๊!”

    ย่าห์! นี่นายเอาแต่ไล่ฉันมาตั้งแต่สิบนาทีที่แล้วละนะหวงจื่อเทา!”

    ก็เธอมันน่ารำคาญนี่หว่า ยัยมนุษย์เพศที่สี่

    อะไรคือมนุษย์เพศที่สี่?

    เพศที่ชื่อจองอึนจี จะว่าทอมก็ไม่ใช่ จะว่าไบก็ไม่แน่ใจ เธอคือผู้หญิงที่ไส้เดือนยังต้องส่ายหน้าให้กับความน่าสะพรึงในตัวของเธอ ดูสิ...ผู้หญิงอะไรนั่งถ่างอย่างกับเด็กฮิบฮอป ตื่นมานี่หวีผมบ้างไหม ห๊ะ นี่เหรอสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าผู้หญิง

     

     
     

    ผลั่วะ!

     
     

     

    โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!”

    คยองซูขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างถูกหวดอย่างแรง เด็กหนุ่มโผล่หน้าออกไปเพียงเล็กน้อยแล้วก็เห็นเด็กตัวสูงกำลังกุมหัวตัวเองพร้อมมองคาดโทษเด็กสาวอีกคนที่ท่าทางห้าวเหมือนกับผู้ชาย สองมือง้างขึ้นเตรียมฟาดอีกครั้งถ้าเด็กตัวสูงกล้าหือ หวงจื่อเทาทำได้แค่ชี้หน้าอย่างเหลืออดเพราะทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ติดว่าผมยาวเขาคงคิดว่าเด็กคนนั้นเป็นทอมบอยจริง ๆ สังเกตได้จากบทสนทนาตอนนั่งกินข้าวเมื่อคืนนี้

    นั่นไง ลงมาแล้ว สุดท้ายเด็กสองคนนั้นก็หันมาเห็นเขาจนได้ ไม่มีเหตุผลอะไรที่โดคยองซูจะต้องยืนหลบอยู่ตรงนี้อีกต่อไป คนตัวเล็กปั้นสีหน้านิ่งแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงโซฟาเดี่ยวแล้วนั่งลง

     

     
     

    สิ่งแรกที่เขาควรทำก็คือเริ่มพูดคุยกับคนในบ้านหลังนี้นอกจากอู๋อี้ฟาน

     

     
     

    อรุณสวัสดิ์~” สองเสียงประสานกันพร้อมสีหน้าที่ยิ้มแป้นแล้น ไอ้เด็กเขียวที่เคยทำหน้าบึ้งตึงเพราะถูกเพื่อนผู้หญิงฟาดกระบาลเมื่อกี้หายไปไหนแล้ว

    อรุณสวัสดิ์ เสียงแผ่วเบาลงตามประสาคนที่ยังกล้า ๆ กลัว ๆ กับการเข้าหาคนอื่น เด็กสาวคนนั้นขยับมาทางด้านขวาเพื่อลดช่องว่างที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

    ฉันชื่อจองอึนจี ส่วนหมอนี่ชื่อหวงจื่อเทา

    อ่ะนี่ ฉันให้นาย

    อะไร? ดูตัวอักษรตวัดลายเส้นยึกยือบนกระดาษเอสี่ในมือแล้วก็ขมวดคิ้วสงสัยก่อนจะเงยหน้ามองเด็กทั้งสองคนที่กำลังยิ้มอย่างตื่นเต้น

    บัตรสมาชิกของนายไง!” เทาตอบอย่างมั่นใจ

    ใช่ ไอ้เจ๊กนี่ทำเองกับมือเลยนะ ฉันต้องบอกก่อนเดี๋ยวนายจะเข้าใจผิดว่าหมอนี่ใช้ขาหลังทำ

    เพื่ออะไร

    ...

    ...

    หวงจื่อเทาและจองอึนจีได้รู้วันนี้แล้วว่าคำถามหยุดโลกเป็นยังไง ทั้งคู่ยิ้มเก้ออยู่อย่างนั้นก่อนจะค่อย ๆ หันไปมองหน้ากันแล้วกระซิบกระซาบ

    นั่นสิ เราสองคนทำแบบนี้ทำไม

    เราสองคนบ้าอะไร นี่มันฝีมือนายคนเดียวชัด ๆ

    แต่เธอก็ก็วาดรูปก้างปลาพร้อมระบุชื่อว่าใครเป็นใครลงไปนะ เพราะงั้นถือว่างานนี้เราทำร่วมกันดิ เสียงทะเลาะของเพื่อนต่างเพศลอยเข้าหูไม่ได้ขาดขณะที่โดคยองซูกำลังมองกระดาษเอสี่ในมือซึ่งเขียนข้างบนว่า ‘Member Card’ พร้อมคำบรรยายและรูปวาดก้างปลาประกอบ

     
     

     

    ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ โดคยองซู นายอาจจะเขินที่ต้องย้ายมาอยู่บ้านเรา แต่ไม่ต้องกลัวเลยนะว่าจะไม่มีที่ยืน เอาล่ะก้มลงดูปลายเท้าตัวเองสิ...นั่นแหละ เห็นส้นตีนตัวเองไหม

     

     
     

    ...

     

     

     

    นี่คือฉันเอง หวงจื่อเทา ฉันเป็นคนจีนที่มาอยู่เกาหลีได้หลายปีแล้ว เราคงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันหรือนายอาจจะเป็นรุ่นน้อง จะเรียกฉันว่าเทาเก่อหรือฮยองก็ได้นะ เป็นเด็กเป็นเล็กต้องเคารพผู้ใหญ่เอาไว้

    คนนี้คือครูกาฮี เธอคือผู้หญิงคนเดียวที่นายควรให้ความเคารพนอกนั้นจะยกตีนใส่หน้าใครก็ได้ไม่ว่ากัน

    คนนี้ชื่อมินซอก เพื่อนฉันเองแหละ แต่ถ้านายอยากเริ่มคุยกับใครสักคนแนะนำว่าให้จัดหมอนี่เป็นอันดับท้าย ๆ เพราะเขาค่อนข้างที่จะโลกส่วนตัวสูง พูดน้อยพอ ๆ กับนายเลย ไม่สิ...พอมาคิดดูอีกทีเผลอ ๆ นายสองคนอาจเป็นเพื่อนสนิทกันได้นะ เพราะเล่นไม่พูดห่าอะไรกันเลยสักคำ

    ยัยนี่ชื่อจองอึนจี เป็นผู้หญิงแค่ในนาม ภายนอกนายอาจจะสัมผัสนิสัยยัยนี่มาบ้างแล้ว แต่ถ้าต้องการเห็นภาพก็ลองมโนแรดกับลิงมารวมกันสิ...นั่นแหละจองอึนจี

    คนนี้ชื่อคิมจงอิน เป็นผีบ้าชอบทำตัวเป็นจุดศูนย์กลางของโลก มันคิดว่าความถ่อยคือเสน่ห์แต่ใครจะรู้ว่ามันใช้กับผู้ชายด้วยกันไม่ได้ เอาเป็นว่ามันถ่อย กรัง อย่าไปยุ่งกับมัน

    คนนี้ชื่ออู๋อี้ฟาน นายคงรู้จักแล้วเผลอ ๆ อาจจะรู้จักมากกว่าฉันด้วย เพราะงั้นข้าม

    คนนี้ชื่อลู่หาน มันเป็นคนจีนเหมือนกับฉันแต่ความขวางโลกนี่ต้องยกให้มัน ชอบเรื่องเสี่ยงตีน ปากหมามาก ฉันอยากให้นายลองเถียงกับมันดูสักครั้งแล้วจะซึ้ง

    คนนี้ชื่อโอเซฮุน อายุเท่ากันกับฉัน หนึ่งในสมาชิกสิบแปดไลน์ (ลืมบอกไปเลยแก๊งค์ของเรามีฉัน เซฮุน อึนจี มินซอก แบคฮยอน และฉันเป็นหัวหน้า) ถ้านายอายุสิบแปดปีหรือใกล้จะสิบแปดแล้วสนใจจะเข้าแก๊งค์ก็บอกได้...เอาล่ะเรามาเข้าเรื่องกันต่อ เซฮุนเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่หมอนี่น่ารักนะ แค่นี้แหละจบแล้ว

    คนนี้ชื่อจางอี้ชิง เป็นคนจีนเหมือนกันแต่พูดเกาหลีไม่ค่อยได้ อยู่ในช่วงฝึกฝน ความสามารถพิเศษของเขาคือทำให้คนอื่นนอยแดกได้เพราะคำพูด เพราะฉะนั้นถ้านายไม่แกร่งจริงอย่าริอาจไปโลกสวยใส่เขาเด็ดขาด โอเคนะ

    คนนี้ชื่อแบคฮยอน คนที่หายไปพร้อมกับผู้ชายตัวสูงคนนั้นที่หนีไปพร้อมเราแล้วตกจากแผ่นไม้ หมอนั่นเป็นคนที่ค่อนข้างเหลาะแหละถ้าให้เทียบกับผู้ชาย แต่นายกับเขาน่าจะคุยกันได้เพราะส่วนสูงใกล้เคียงกัน

    มาถึงคนสุดท้ายแล้วสำหรับสมาชิกในครอบครัว ปาร์คชานยอล ที่พูดถึงเป็นคนสุดท้ายเพราะก่อนหน้านี้เขาดันชิ่งหนีไปก่อน สาเหตุมาจากเรื่องบางอย่างที่ไม่สามารถเล่าให้สมาชิกใหม่อย่างนายฟังได้ (ต้องอยู่ไปนาน ๆ ก่อนเดี๋ยวเล่าให้ฟัง) แล้วนี่ฉันแนะนำเขาทำไม จะกลับมาหรือเปล่าก็ไม่รู้เลย

     

     

     







     

    ขอบใจ ทั้งสองคนหันไปมองคยองซูที่ยังคงอยู่ในสีหน้าแบบเดิมไม่ต่างไปจากทีแรกหลังจากอ่านจบ สองมือพับกระดาษเป็นทบแล้วเงยหน้าขึ้นมันคงช่วยได้เยอะ

    ฮะ ๆ เด็กสองคนหัวเราะแห้ง ๆ แล้วหันไปยิ้มกับผลงานแม้จะผิดหวังกับท่าทางของอีกฝ่ายอยู่บ้าง ทั้งสามคนมองหน้ากัน คยองซูนั่งทำใจอยู่นานกว่าจะขยับริมฝีปากให้ยิ้มออกมาได้ แค่อยากให้เด็กสองคนนี้รู้ไว้ว่าเขาได้พยายามแล้ว

     

     

     


     

     

     
     

     แกร่ก...แกร่ก...แกร่ก...

     

     

    เสียงกดไฟแช็คเป็นสิ่งเดียวที่ทำลายความเงียบภายในห้องสี่เหลี่ยมในบ้านปูนดิบ นัยน์ตาคมเหม่อลอยไปยังกองไฟเบื้องหน้าทั้งที่มือยังคงกดไฟแช็คอยู่อย่างนั้น เป็นเวลานานแค่ไหนแล้วที่ปาร์คชานยอลนั่งอยู่ตรงนี้ในขณะที่บยอนแบคฮยอนนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มเก่า ๆ

    สองวันที่ผ่านมาเขาไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าปลุกแบคฮยอนขึ้นมากินยากับโยนฟืนเข้าไปในกองไฟ โชคดีที่ในนี้ยังพอมีท่อนไม้หลงเหลืออยู่บ้างไม่งั้นคนตัวเล็กอาจจะต้องหนาวตายเพราะภัยธรรมชาติหากว่าไม่ก่อไฟผิง จะไปหาไม้จากข้างนอกก็เปล่าประโยชน์เพราะมันเปียกจนเอามาใช้งานไม่ได้ เปลือกตาปิดลงได้ไม่ถึงสิบนาทีก็ต้องสะดุ้งตื่นเพราะฝันร้าย ปาร์คชานยอลเลือกที่จะนั่งอยู่ตรงนี้แล้วจมอยู่กับความคิดในหัวที่ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้

    แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนักหากว่าเขาอยู่ที่นี่ตามลำพัง แต่เพราะว่ามีใครอีกคนที่อยู่ตรงนี้ด้วยเขาถึงได้เป็นกังวล คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาให้ต้องเลือกก็คือ จะพาแบคฮยอนไปส่งที่บ้านแล้วออกมาหรือว่าจะกลับไปอยู่ที่นั่นเหมือนเดิม?

    ตัวเลือกข้อแรกมันดูไม่เข้าท่าหลังจากที่เขา พลาด ทำเรื่องร้ายแรงลงไป ตอนนี้ปาร์คชานยอลคงหนีไปไหนไม่ได้อีกและเขาก็ไม่เต็มใจนักหากว่าต้องเลือกข้อสองซึ่งมันทำให้เขาลำบากใจจริง ๆ กับการที่ต้องบากหน้ากลับไปบ้านหลังนั้นทั้งที่หนีออกมาแล้ว แค่นึกถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังของทุกคนไปจนถึงแววตารังเกียจเขาก็ไม่อยากคิดต่อไป ถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะหลับตาลงพลางกุมขมับ ไม่ว่ายังไงเขากับแบคฮยอนก็อยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้

    แค่ก ๆ !!” หลุดออกจากความคิดแล้วหันกลับไปมองใครอีกคนที่กระแอมไออยู่ใต้ผ้าห่ม ร่างสูงลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ คนตัวเล็กก่อนจะนั่งลงยอง ๆ พร้อมกับเอาหลังมืออังหน้าผากมนแล้วเลื่อนลงมาที่ซอกคอ

     

     
     

    ไข้ขึ้นสูง...

     
     

     

    แบคฮยอนค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเมื่อรับรู้ถึงสัมผัสเย็นที่ทาบลงบนหน้าผาก ทั้งคู่สบตากันโดยไม่พูดอะไร มันเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ตอนที่ปาร์คชานยอลกอดเขาแล้ว คำพูดที่หลุดออกมาจากปากร่างสูงเขาแทบจะนับได้ ตอนนี้เขารู้สึกปวดและล้าไปทั้งตัว ความหนาวเหน็บจากพิษไข้ทำให้โหยหาอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้มากขึ้นยิ่งกว่าเดิมแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือผ้าห่มกับความว่างเปล่าที่โรยตัวอยู่โดยรอบ

    ...

    ร่างสูงมองใบหน้าขึ้นริ้วแดงของคนป่วยก่อนจะหลุบสายตาลงมองมือร้อนที่กุมมือเอาไว้ราวกับกลัวว่าเขาจะหนีไปไหน แบคฮยอนอาการไม่ดีขึ้นเป็นเพราะไม่ได้กินข้าวอีกทั้งสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ ทุกอย่างกดดันมาที่เขาเพียงคนเดียว ถ้าเกิดไม่พาคนตัวเล็กกลับบ้านภายในวันนี้เห็นทีว่ามันคงไม่ดีแน่ ข้างนอกหิมะตกเบา ๆ ถ้าออกเดินทางตอนนี้คงไม่มีปัญหานัก

    ผมจะพาคุณกลับบ้านร่างสูงถอดเสื้อโค้ทสีดำออกมาคลุมไหล่ทั้งสองข้างให้คนตัวเล็ก

    เดี๋ยว... แบคฮยอนรั้งแขนที่กำลังช้อนตัวเขาให้ลุกขึ้นนั่ง ชานยอลมองร่างในอ้อมกอดก่อนที่อีกฝ่ายจะเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่ายคุณจะกลับไปอยู่ด้วยกันใช่ไหม...

    ...

    คุณจะไม่ทิ้งผมไปใช่หรือเปล่าครับชานยอล... เสียงแหบพร่าที่พยายามพูดออกมานั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความหวาดกลัว มือเล็กที่จับแขนเขาเอาไว้อีกทั้งหัวที่ซบอยู่กับแผงอกในตอนนี้ทำให้เขารู้สึกผิดจนไม่สามารถกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดได้อยู่กับผมนะ...

    ...

     

     

     

     

    ผมรักคุณ...

     

     
     

     

    เป็นประโยคบอกรักที่ทำให้รู้สึกชาไปทั้งหัวใจ...ปาร์คชานยอลรู้สึกอย่างนั้น

     

     

     

    อย่าไป...

    ครับ ผมจะไม่ไปไหน พูดจบก็พลิกตัวหันหลังแล้วประคองคนตัวเล็กขึ้นมา สองแขนโอบรอบคอแกร่งเอาไว้ก่อนจะซบหน้าลงกับท้ายทอยอย่างไร้เรี่ยวแรง ร่างสูงสอดแขนทั้งสองข้างเข้าใต้ขาพับแล้วค่อย ๆ หยัดตัวลุกขึ้นยืน

    ความหนาวเหน็บของหิมะที่กำลังตกลงมาทำให้หนาวไปถึงขั้วหัวใจ สองขาก้าวผ่านกองหิมะไปอย่างช้า ๆ ในขณะที่อีกคนผล็อยหลับไปแล้วเพราะพิษไข้ บนถนนที่เต็มไปด้วยสีขาวโพลน...เขาควรหารถสักคันแทนที่จะกลับบ้านด้วยเท้าเปล่า

    ประคองร่างคนตัวเล็กให้นั่งพิงกับกระจกหน้าร้านตัดผมเมื่อเห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ข้างหน้า มือแกร่งปัดหิมะออกจากกลุ่มผมก่อนจะเปิดประตูรถแล้วก็เห็นซากผีดิบที่แห้งตายอยู่ข้างใน ร่างสูงนิ่วหน้ากับกลิ่นที่ได้รับพร้อมยกมือขึ้นปิดจมูก มือข้างที่ว่างอยู่กระชากร่างที่แห้งกรังออกมาข้างนอกแล้วเปิดประตูทิ้งไว้ให้อากาศถ่ายเท

    หันหลังกลับไปมองคนตัวเล็กที่นั่งหน้าซีดตัวสั่นอยู่ไม่ไกลก็รีบเข้าไปช้อนตัวขึ้นมาแล้วพาไปที่รถ ทันทีที่ปิดประตูลงเขาก็หยุดยืนนิ่งที่ทันทีที่หันไปเห็นอะไรบางอย่างซึ่งผิดปกติ สองขาค่อย ๆ ก้าวผ่านหิมะขาวโพลนไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ พร้อมสวมสนับมือ

    ...

    ร่างสูงขมวดคิ้วเมื่อสิ่งที่เห็นในตอนนี้มันช่างน่าประหลาดใจเสียเหลือเกิน ตัวกินคนที่โดนฝังอยู่ใต้กองหิมะกำลังมองมาที่เขาพร้อมกับริมฝีปากที่อ้าออกกว้างหากแต่ร่างกายขยับไม่ได้ ยืนใช้ความคิดอยู่ตรงนั้นกับความผิดปกติแล้วตั้งข้อสงสัยแต่ก็แค่ครู่เดียวเขาก็ถอยหลังกลับไปที่รถแล้วสตาร์ทเครื่องเพราะนี่มันไม่ใช่เวลาที่จะมาให้ความสนใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับผีดิบตัวนั้น

    หันไปกระชับเสื้อโค้ทให้คนตัวเล็กที่นั่งหนาวสั่นไม่หยุดแล้วก็สตาร์ทรถ ออกเดินทางอย่างไม่เร่งรีบเพราะถนนมันเต็มไปด้วยหิมะ ทั้งที่เรื่องผีดิบนอนแน่นิ่งราวกับถูกแช่แข็งยังไม่หลุดออกจากหัวก็ต้องกลับมาคิดใหม่อีกครั้งทันทีที่เห็นซากศพตัวกินคนหลายตัวนอนอยู่ข้างทาง บางตัวนอนแน่นิ่ง บางตัวถูกหิมะทับจนอดไม่ได้ที่ต้องจอดรถดู

    ร่างสูงเปิดประตูออกไปข้างนอกก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าซากศพที่นอนอยู่บนฟุตปาธพลางใช้เท้าเขี่ยมันให้นอนหงายแล้วก็พบว่าปากยังคงขยับอยู่แต่ร่างของมันกลับแข็งทื่อไม่ขยับอย่างที่ควรจะเป็น มันชักจะไม่ใช่เรื่องตลกเมื่อมันไม่ใช่แค่ผีดิบตัวนี้ตัวเดียวแต่พอหันไปทางซ้ายหรือทางขวาก็มีพวกมันอาการเป็นแบบนี้เหมือนกันคือนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นไม่ขยับ มีเพียงแค่ดวงตาทั้งสองข้างที่กลอกมองกับขากรรไกรที่ขยับเข้าออกเมื่อเห็นเหยื่อ

    ...

    สองขาเดินกลับไปที่รถแล้ววางมือลงบนพวงมาลัย ปล่อยความเงียบช่วยให้สมองได้ประมวลผลว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผีดิบเหล่านั้น พวกมันไม่ได้ถูกแทงที่หัว พวกมันไม่ได้ตายซ้ำสอง แต่พวกมันกลับขยับตัวไม่ได้ราวกับถูกแช่แข็งเอาไว้...

    อย่าไป...

    ...

    เสียงเพ้อเพราะพิษไข้ของคนข้าง ๆ เรียกสติเขาให้กลับมา ชานยอลถอนหายใจเบา ๆ แล้วเข้าเกียร์ก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปยังหมู่บ้านนั้น...ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจเลยก็ตาม

     

     

     
     

     

     

     

    ภายในห้องนั่งเล่นในบ้าน ความหนาวเย็นของอากาศข้างนอกทำให้ต้องเอาผ้านวมผืนหนามากางไว้บนโต๊ะแล้วสอดขาเข้าไปข้างในเพื่อให้ความอบอุ่นแบบสไตล์บ้านญี่ปุ่น นี่เป็นความคิดของเทาซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทุกคนเห็นด้วย รอบโต๊ะตอนนี้มีจงอิน ลู่หาน อึนจี และก็เจ้าของความคิดนี้ หวงจื่อเทา

    เซฮุนนอนอยู่บนห้องเพราะอาการยังไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร ส่วนคนอื่น ๆ อยู่บ้านอีกหลังนึง ทุกคนเอาแต่นั่งเงียบมองหน้ากันมาสักพักแล้วโดยที่ไม่ปริปากพูดอะไร ลู่หานยกเครื่องดื่มชูกำลังซดอึก ๆ ก่อนจะซี๊ดปาก

    นี่ก็เข้าวันที่สามละนะ

    กูว่าไปดีทั้งคู่แล้ว...โอ๊ย!” เทากุมหัวตัวเองเมื่อถูกทั้งสามคนรัวตบหัวไม่ยั้งมือ

    ปากมึงนี่นะ

    เอ้า กูก็พูดไปตามความจริง เพราะถ้ามันจะกลับก็คงกลับตั้งแต่เมื่อวานแล้วป่ะวะ

    ...

    ถ้ากูเป็นปาร์คชานยอลกูก็คงไม่กลับมาเหมือนกันอ่ะ เหม็นขี้หน้าพวกมึง มึงแล้วก็... ชี้หน้าจงอินกับลู่หานก่อนจะหยุดอยู่ที่ผู้หญิงคนเดียวภายในโต๊ะ อึนจีเลิกคิ้วขึ้นสูงขณะที่อีกคนค้างอยู่ท่านั้นแล้วกูก็เนี่ย

    มันจะไปไหนกูไม่สนหรอกแต่ต้องมาส่งแบคฮยอนก่อนดิ หลังจากนั้นจะไปบันจี้จัมพ์ จำศีล ปีนเขา เผาป่าไม้ ไหว้ศาลพระภูมิที่ไหนก็ไม่มีใครว่า ลู่หานเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ใช่ว่าเขาจะเกลียดปาร์คชานยอลหรอกนะ ไอ้ความโกรธเคืองมันสามารถจางหายไปตามระยะเวลาได้ แต่พอคิดว่าแบคฮยอนจะไม่กลับมาเพราะอยู่กับมันก็หงุดหงิดขึ้นมา

    ไอ้เชี่ยนี่ก็เดือดจั๊ง จงอินผลักหัวเพื่อนซี้เบา ๆ  

    เออ ถ้ามันมาส่งแล้วจะไสหัวไปไหนก็ไปเลยไง ลู่หานยังใส่อารมณ์ต่อ

    ไม่หรอกมั้ง ถ้าแบคฮยอนกลับก็คงกลับมาพร้อมคุณชานยอลนั่นแหละ ทั้งสามคนหันไปมองเด็กสาวเพียงคนเดียวในโต๊ะ อึนจีกลอกตามองแล้วยิ้มแห้ง ๆ หนูแค่พูดตามที่คิดเฉย ๆ

    คิดว่าอะไรล่ะ จงอินถาม

    ไม่รู้สิ ได้เจอกันอีกครั้งแบคฮยอนคงไม่ยอมปล่อยคุณชานยอลไปหรอก...มั้งนะ

    หมายความว่าไงที่บอกว่าไม่อยากปล่อย เทาถามต่อ

    นี่ก็โง่ตลอด ดูไม่ออกหรือไงว่าแบคฮยอนชอบคุณชานยอลน่ะ จงอินกับลู่หานหันควับไปมองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมายแล้วหันกลับไปหาอึนจีอีกครั้ง

    ว่าไงนะ!!!” เทาเบิกตาโพลงอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

    ซื่อบื้อจริง ๆ

    ผู้ชายกับผู้ชายเนี่ยนะ บ้าเปล่า!!!” ลู่หานแทบสำลักน้ำกับประโยคนี้แต่ก็ได้เพื่อนซี้มาช่วยลูบหลังอย่างเข้าใจ

    ไม่บ้าหรอกย่ะ เขามีใจให้กันตั้งนานแล้ว มีแต่นายคนเดียวแหละที่ดักดานไม่รู้เรื่องอะไรกับเค้า หัดอัพเดทบ้างเหอะ

    อัพบ้าอะไรล่ะ เขาอาจจะแค่สนิทกันเฉย ๆ เปล่า นี่อะไร...เห็นผู้ชายสองคนตัวติดกันไม่ได้ก็หาว่าเป็นเกย์ซะงั้น แรงมโนสาววายนี่แม่งโหดสัดจริง ๆ เทาส่ายหน้าระอา

    แรงมโนสาววายที่ไหน ไม่เชื่อถามพี่สองคนนี้ดูเลย เอาละมึง มีปาขี้มาทางนี้ด้วย จงอินกับลู่หานมองหน้ากันราวกับขอความช่วยเหลือในขณะที่เทากำลังรอคำตอบจากทั้งคู่

     

     

     

    ครืน...

     

     

     

    มีคนมา

    จะเรียกว่าพระเจ้าช่วยให้หลุดพ้นจากคำถามนี้หรือจะเรียกว่าความซวยมาเยือนก็ไม่รู้ ทั้งสามหนุ่มยืนขึ้นพร้อมกันก่อนที่จงอินจะกดไหล่เด็กสาวให้นั่งลงแล้วส่ายหน้าเป็นเชิงบอกให้เธอรออยู่ที่นี่ ลู่หานไปเอามีดดาบออกมาถือไว้ก่อนจะเปิดประตูออกไปข้างนอกแล้วก็พบว่ามีรถคันหนึ่งจอดเทียบอยู่หน้าบ้าน

    รถเก๋งสีบรอนซ์จอดนิ่งไม่ขยับทั้งที่ดับรถไปแล้ว สามหนุ่มหันไปบ้านข้าง ๆ เมื่ออี้ฟานเดินออกมาพร้อมเล็งปืนที่ไม่มีกระสุนไปยังรถคันนั้นเพื่อข่มขู่เป้าหมาย ถ้าเงยหน้าขึ้นอีกนิดหน่อยก็เห็นเด็กแว่นที่อยู่บนชั้นสองพร้อมกับล็อกเป้านิ่งไว้เรียบร้อยแล้ว

    แต่ยังไม่ทันได้ตะโกนข่มขู่ทุกคนก็ต้องลดอาวุธลงเมื่อประตูฝั่งด้านคนขับเปิดออก ชายหนุ่มร่างสูงก้าวขาลงมาพร้อมชูมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีรอยยิ้มแห่งความดีใจหลังจากได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายว่ายังมีชีวิตอยู่ ความอึดอัดคือสิ่งเดียวที่ทุกคนสัมผัสได้ในตอนนี้ คำพูดทุกอย่างถูกกลืนลงคอไปหมดราวกับเป็นใบ้ ชานยอลค่อย ๆ ลดมือลงข้างตัวก่อนจะอ้อมไปเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับแล้วช้อนร่างแบคฮยอนออกมา ทุกคนต่างแตกตื่นที่เห็นใบหน้าซีดเผือดของน้องเล็ก จงอินรีบปรี่เข้าไปดูอาการก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงเพื่อขอคำตอบดี ๆ

    เขาถูกกัดเหรอ?!” เทาตะโกนมาจากข้างหลังด้วยสีหน้าตื่นตระหนกและคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน ครูสาวหยุดยืนอยู่ข้างอี้ฟานในขณะที่อี้ชิงกำลังเข้าไปดูอาการแบคฮยอน

    เขาไม่สบาย ชานยอลบอกก่อนที่ทุกคนจะเข้าใจผิดมากไปกว่านี้ จงอินมองร่างสูงสลับกับอี้ชิงที่คุยกันเป็นภาษาอังกฤษแล้วก็เข้าไปในบ้านด้วยกัน  คนที่เหลือยืนนิ่งราวกับให้สมองประมวลผลทุกอย่าง จงอินกับลู่หานมองหน้ากันในขณะที่คนอื่น ๆ ตามชานยอลกับอี้ชิงเข้าไปในบ้านแล้ว

     

     

     

     

     

     

    เขาได้ยาเรียบร้อยแล้ว คืนนี้ผมจะอยู่ดูแลเขาในห้องผม อี้ชิงพยายามอธิบายให้ทุกคนที่นั่งรออยู่ห้องนั่งเล่นฟังเป็นภาษาเกาหลีถึงแม้ว่ามันจะผิด ๆ ถูก ๆ ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วแยกย้ายกันกลับไปที่บ้านอีกหลังเมื่อได้รับรู้อาการของน้องเล็ก

    ตอนนี้เหลือเพียงแค่จงอิน อี้ฟาน ชานยอลและลู่หานที่นั่งอยู่โซฟา อี้ชิงลากเก้าอี้ไปนั่งพิงตรงผนังซึ่งห่างออกไปจากคนอื่น ๆ อยู่พอสมควร ทุกคนเงียบ เขาไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้คุยอะไรกันบ้างระหว่างที่เช็คดูอาการแบคฮยอน

    ที่นี่ต้อนรับนายเสมอ จงอินพูดทำลายความเงียบและดูเหมือนว่าคนได้ฟังจะลำบากใจอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะอยากอยู่หรือไม่ แต่ฉันอยากให้รู้ไว้ว่านายคือส่วนหนึ่งที่พวกเราไม่อยากเสียไปจงอินลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงทางขึ้นบันไดลองเก็บไปคิดดูแล้วกัน

    คุณแน่ใจเหรอว่าจะนอนตรงนี้ ห้องของเทายังว่างอยู่นะ อี้ฟานเสนอ ชานยอลพยักหน้าเป็นคำตอบเพื่อยืนยันการตันสินใจแล้วลู่หานก็ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอกโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ

    ขอบคุณครับ แต่คุณไปพักผ่อนเถอะ

    ...

    ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับอี้ชิงสักหน่อย สองหนุ่มหันไปมองอีกคนที่อยู่ตรงหัวมุมบันได อี้ฟานพยักหน้ารับแล้วเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ อี้ชิงพลางมองหน้าราวกับฝากความหวังเอาไว้ก่อนจะขึ้นไปบนชั้นสอง

    “You look very shabby.” (คุณโทรมไปเยอะนะ) ร่างผอมมองอีกฝ่ายที่สภาพต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าหมองคล้ำจนสังเกตเห็นได้ชัด “Haven't properly said hello to you, it's great to see you again.” (ยังไม่ได้ทักทายอย่างเป็นทางการ ยินดีที่ได้เจอคุณอีกครั้ง) น้ำเสียงอี้ชิงยังคงอยู่ในโทนเดิม ไม่ได้ติดประชดประชันอย่างที่เป็นกังวลเอาไว้ ร่างสูงมองมือที่ประสานไว้บนตักก่อนจะเงยหน้าขึ้นเผชิญหน้ากับอีกคน

    “You might wanna say hello to me by offending me or something.” (คุณอาจจะอยากทักทายผมด้วยคำหยาบสักประโยค)

    “Like what? ‘It's great to see you again after you left me in a bar with those walkers stuck in the toilet?’ (อย่างเช่นอะไรดี ยินดีที่ได้เจอกันอีกครั้งหลังจากทิ้งผมไว้ในร้านเหล้าที่มีตัวกินคนถูกขังไว้ในห้องน้ำน่ะเหรอ?) อี้ชิงหัวเราะ

    “I know by saying sorry won't make things better but it's the least I could do for now.” (คำขอโทษมันคงไม่ช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้ แต่ในเวลาแบบนี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่าคำขอโทษจากปากผม)

    “You can do better, Park Chanyeol” (คุณทำได้ดีกว่านั้นปาร์คชานยอล)

    ...

    “Have you ever heard that ‘actions speaks louder than words?’ (เคยได้ยินหรือเปล่าว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด) มันไม่ใช่นิสัยของเขาเลยที่จะต้องมานั่งสั่งสอนคนอายุมากกว่า อี้ชิงยังคงเอนหลังพิงกับผนังขณะมองไปยังคนตัวสูงที่นั่งคิดไม่ตกกับเรื่องนี้ “They want you.” (พวกเขาต้องการคุณ)

    ...

    “It's not because you're smart or you're good but because you're apart of their family.” (มันไม่ใช่เพราะคุณฉลาด คุณเก่ง แต่เป็นเพราะคุณเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพวกเขา)

    ...

    “Now, as I am saying this because I saw things from both sides. I think that it's not your fault that you ran away from those pressures and the things that Luhan decided not to keep is also fine. Everybody has their own reasons and that is up to the listeners to decide which way they want to take it.” (ในฐานะที่ผมเป็นคนกลางและเห็นทุกอย่างมาตลอดช่วงระยะที่อยู่กับพวกคุณทุกคน ผมคิดว่าการที่คุณเหนื่อยจากการกดดันจนหนีไปมันไม่ใช่เรื่องผิด และสิ่งที่ลู่หานแสดงออกมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดเหมือนกัน ทุกคนมีเหตุผลของตัวเองซึ่งมันขึ้นอยู่กับผู้ฟังว่าเขาจะเข้าใจไหม)

    “Yes.” (ครับ)

    “You saved me once in that bloody forest. Tried to tell me everything about how life is so much more than what I thought. I think you know best about the adaptation.” (คุณเคยไปช่วยผมจากในป่าทึบกลางดึก พยายามอธิบายเหตุผลทุกวิถีทางเพื่อจะทำให้ผมเห็นคุณค่าในชีวิต ผมคิดว่าคุณคงรู้ดีว่าการอยู่ร่วมกับคนอื่นมันต้องปรับตัวเข้าหากัน)

    “And you also know that I've been trying to do that.” (และคุณก็คงรู้ว่าผมพยายามทำแบบนั้นมาตลอด)

    “but I don't pick up everybody's shits and keep it in my head like you.” (แต่ผมไม่ได้เก็บเรื่องราวของทุกคนบนโลกมาคิดเหมือนกับคุณ)

    ความรู้สึกของผู้ชายที่ชื่อปาร์คชานยอลในตอนนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ข้างในกับความอ่อนแอที่เขาเกลียดนักหนา ไม่เคยมั่นใจในอะไรสักอย่าง มีแต่ความหวาดกลัวอยู่เต็มไปหมด...

    “Some things are better left unseen you know? If it's going to make you feel bad then leave it.” (เรื่องบางเรื่องทำเป็นไม่เห็นบ้างก็ได้ อะไรที่ทำให้รู้สึกแย่ก็มองข้ามมันไปสิ)

    “Everything seems so easy when it's not about yourself.” (ทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายถ้าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง) ชานยอลเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายก่อนจะแค่นยิ้มมอง อี้ชิงชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่ได้รู้สึกถือโทษโกรธร่างสูงเลยสักนิด

    “Because it's not about me that's why I tried to keep it easy because that's what people does.” (เพราะว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเองก็เลยพยายามทำให้มันจบด้วยวิธีที่ง่ายดายที่สุดไงล่ะ คนเราก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ)

    “You're right, we're always like this.” (คุณพูดถูก คนเรามักจะเป็นแบบนี้เสมอ)

    “Can I ask you a question?” (ผมขอถามอะไรคุณสักข้อสิ)

    “Yes.” (ครับ)

    “Are you still planning on leaving?” (คุณยังมีความคิดที่จะไปจากที่นี่อยู่หรือเปล่า?) ชานยอลเงียบไปราวกับใช้ความคิด อี้ชิงลุกขึ้นเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ ร่างสูงแล้วนั่งลง “I want you to think about it seriously.” (ผมอยากให้คุณทบทวนทุกอย่างให้ดี)

    ...

    “Think it over tonight and figure out the answer.” (ใช้เวลาคืนนี้คิดแล้วหาคำตอบให้กับตัวเอง)

    ...

    “I respect your decision but if you ask me, the answer would be begging you to stay with us.” (ผมเคารพการตัดสินใจของคุณ แต่ถ้าถามผมคำตอบก็คงไม่พ้นการขอให้คุณอยู่ที่นี่กับพวกเรา)

    “Why's that?” (เพราะอะไร?)

    “The same reason when you were trying to find me and Baekhyun in the forest that night.” (เหตุผลเดียวกับตอนที่คุณออกตามหาผมและแบคฮยอนในป่าคืนนั้น)

    ...

     

     

     

     

     

     

    “Everybody here wants you to stay with us, that's the answer.” (พวกเราทุกคนก็แค่อยากให้คุณอยู่ด้วยกัน นั่นแหละคือคำตอบ)

     

     

     


     

     

     

     






     

    TBC

     

     

     

     

    ตอนนี้ไม่มีอะไรมากค่ะ มีแต่ความอึดอัดที่มาพร้อมกับผู้ชายที่ชื่อปาร์คชานยอล...

    เอื้อออออออ อยู่ครบแล้ว...แต่บรรยากาศก็อย่างที่เห็น...

     

     ปล.ต้องขอบคุณน้องมายด์ @Ponggosama ด้วยนะคะที่สละเวลาเขียนนิยายมาทรานส์เลทบทสนทนาระหว่างพี่ชาร์ลกับพี่อี้ชิงให้ TT ขอบคุณนางเจง ๆ 

     



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×