คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #55 : Chapter 51 :: Silent
Chapter 51
Silent
มีเพียงแค่ผ้านวมผืนเดียวเท่านั้นที่ช่วยบรรเทาความหนาวเหน็บให้คืนนี้ ความมืดและความเงียบเป็นตัวช่วยให้หลับได้ง่ายขึ้นแม้ว่าปาร์คชานยอลจะใช้เวลาเกือบครึ่งค่อนคืนในการข่มตาหลับ คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ใบหน้าส่ายไปมาพร้อมกับมือที่กำผ้านวมตรงช่วงอกไว้แน่น เสียงหายใจติดขัดราวกับจะขาดใจเพียงแค่ได้ยินเสียงปริศนาในความฝัน
“แง้...แง้”
สองขาก้าวไปข้างหน้าท่ามกลางความมืดมิดโดยรอบ ใบหน้าคมหันไปมองซ้ายขวาเพื่อหาต้นเสียงแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่าจนกระทั่งแน่ใจว่าเสียงเด็กร้องมาจากทางด้านขวาสองขาเลยก้าวไปตามเสียงที่ได้ยิน เสียงทารกร้องยังคงดังอย่างต่อเนื่องอย่างน่าประหลาด มันทั้งชวนให้รู้สึกหดหู่และพรั่นพรึงเสียจนอยากเดินหนีไปให้พ้น ๆ แม้ว่าจะมองไม่เห็นอะไรเลยก็ตาม เหงื่อที่ซึมชื้นตามฝ่ามือกลับเหม็นสาบราวกับกลิ่นเลือดในวันนั้น...ทั้งที่มองไปทางไหนก็พบเพียงแต่ความมืดมิดแต่เสียงนั้นกลับเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ จนกระทั่งหันไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามโลกสีดำ...
ผู้หญิงคนนั้นที่คุ้นหน้าเป็นอย่างดี...
แต่สิ่งที่ไม่คุ้นก็คือแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดกับท้องที่นูนป่องออกมาอย่างเห็นได้ชัด มือที่เอื้อมออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้นทำให้รู้สึกเหมือนมีใครมาบีบหัวใจของเขาเอาไว้ ร่างสูงยืนนิ่งราวกับขาทั้งสองข้างถูกตรึงไว้กับพื้น ริมฝีปากของเธอกำลังพูดอะไรบางอย่างแต่เขากลับไม่ได้ยิน ร่างสูงเดินไปข้างหน้าแค่ก้าวเดียวก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงของเธออย่างชัดเจนเต็มสองหู
“ช่วยฉันด้วย...”
“โฮจอง...”
“ชานยอล...ฉันกลัว...”
“โฮจอง!” ไม่รอช้าไปกว่านี้ สองขารีบวิ่งไปข้างหน้าเมื่อร่างของเธอกำลังค่อย ๆ ทรุดลงไปพร้อมกับเสียงโอดครวญที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดทรมาน มือข้างหนึ่งทาบลงกับท้องนูนป่องส่วนมืออีกข้างเอื้อมมาหาเขา และแม้ว่าปาร์คชานยอลจะเร่งฝีเท้าสักแค่ไหนหากแต่ร่างของเธอกลับไกลออกไปทุกที
“ชานยอล...ชานยอล...ชานยอล...”
“ช่วยด้วย...อย่าทิ้งฉันไป...ชานยอล...”
เสียงของเธอยังคงก้องอยู่ราวกับถูกกระซิบข้างหู สองมือยกขึ้นทึ้งหัวตัวเองก่อนจะทรุดเข่าลง เขากำลังจะสติแตกเพราะเสียงของเธอที่กำลังเรียกชื่อเขาไม่หยุด
“โฮจอง!!!”
ร่างสูงดีดตัวลุกขึ้นนั่งพลางหอบหายใจหนัก แม้ว่าอุณหภูมิโดยรอบจะหนาวเย็นจนแทบมือชาเท้าชาแต่ใบหน้าและซอกคอแกร่งกลับเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬ รอบข้างยังคงมืดมิดไม่ต่างจากในความฝัน สองมือยังคงกำผ้านวมไว้แน่นขณะเรียกสติตัวเองกลับมา มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาฝันแบบนี้แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันทำให้เขากลัวจนแทบทนอยู่ในความฝันต่อไปไม่ได้
ค่อย ๆ เลื่อนมือขวาขึ้นทาบหน้าอกข้างซ้ายที่ก้อนเนื้อข้างในกำลังเต้นอย่างหนัก ภาพในฝันมันช่างเหมือนจริงจนเขารู้สึกได้ถึงกลิ่นเลือดจาง ๆ ที่ลอยอยู่ใกล้จมูก ร่างสูงหายใจเข้าลึก ๆ พลางหลับตาลง อย่างที่รู้ว่าร่างกายของมนุษย์ต้องได้รับการพักผ่อนแต่ความฝันที่ตามหลอกหลอนเขาทุกวันนี้มันเริ่มหนักขึ้นทุกวันจนเขาแทบเป็นบ้า ถ้าถามเรื่องสุขภาพจิตของปาร์คชานยอลในตอนนี้ก็คงตอบได้อย่างชัดถ้อยชัดคำว่าถึงขั้นติดลบ ในสภาวะปัจจุบันว่าต้องจิตตกกับการหลบหนีพวกตัวกินคนแล้วแต่สิ่งที่เขากำลังพบเจออยู่ตอนนี้คงต้องคูณร้อยเข้าไป
เหนื่อย...ไร้เรี่ยวแรง
ขาทั้งสองข้างยังใช้การได้และแขนทั้งสองข้างก็เช่นกันแต่ที่เหนื่อยจนแทบทนไม่ไหวคือสภาพจิตใจในตอนนี้ต่างหาก สองมือลูบหน้าเบา ๆ พลางปิดเปลือกตาลงแล้วถอนหายใจอีกครั้ง ไม่กล้าปิดเปลือกตาลงเลยสักวินาทีเดียว...พอกันทีกับคืนนี้
เช้าวันรุ่งขึ้น...
“เซฮุน”
“...”
“ตื่นได้แล้ว”
“...”
“ไงคนป่วย” พอลืมตาขึ้นก็เห็นใบหน้าของใครอีกคนที่นั่งยอง ๆ อยู่ข้างเตียง เซฮุนยิ้มบาง ๆ แล้วหลับตาลงเมื่ออีกคนอังหลังมือลงบนหน้าผากเขา “ยังเจ็บคออยู่ไหม?” แววตาที่มองมาด้วยความเป็นห่วงคือกำลังใจที่ดีที่สุดสำหรับคนป่วยอย่างเขา เซฮุนพยักหน้าเป็นคำตอบแล้วงอขาเข้าหาตัวทันทีที่จงอินดึงผ้านวมขึ้นมาคลุมให้ถึงคอ
“ตื่นนานแล้วเหรอครับ”
“สักพักแล้วล่ะ เมื่อกี้เพิ่งลงไปคุยกับอี้ฟานมา” ลุกขึ้นไปนั่งกับขอบเตียงก่อนจะยกมือขึ้นเมื่อคนป่วยขยับมานอนบนตักเขา ก้มลงมองอีกคนแล้วก็ยิ้มขำ อยากรู้จริง ๆ ว่าถ้าหายป่วยแล้วเซฮุนจะกล้าทำอะไรแบบนี้อีกไหม “เดี๋ยวฉันจะเข้าไปหาเสบียงในเมือง ถ้าหิวก็ลงไปหาครูสุดสวยนะ”
“ครับ”
“อ้อนได้ขนาดนี้คงเดินไปไหวอยู่แล้วมั้ง?” คนป่วยไม่ตอบ สองแขนตวัดกอดเอวหนาไว้แน่นทำให้คนถูกอ้อนยิ้มออกมาได้อย่างง่าย ๆ
“ผมอยากไปด้วยแต่คุณคงไม่อนุญาต”
“รู้ก็ดีแล้ว”
“ผมไม่อยากนอนอยู่เฉย ๆ นี่ครับ”
“ก็รีบหายสิ” พูดพร้อมกับลูบหัวอีกคนเบา ๆ เซฮุนพลิกตัวนอนหงายแล้วสบตากับเขา
“คราวนี้ไปกับใครบ้างครับ”
“ไอ้ลู่หาน อี้ฟานแล้วก็ชานยอล”
“อ๋อ...” เด็กหนุ่มพยักหน้า
“ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก ตอนนี้เสบียงเราเหลือน้อยลงแล้วถ้าไม่หามาเพิ่มคงแย่แน่เพราะตอนนี้มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีกหลายคน” เซฮุนพยักหน้าอีกครั้ง “อีกอย่างอี้ฟานก็พอรู้แหล่ง อย่างน้อยวันนี้ก็น่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง”
“แบคฮยอนดีขึ้นหรือยังครับ” จงอินส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ฉันเพิ่งแวะไปดูมาเมื่อกี้ ไข้ขึ้นสูงนอนซมตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ตื่นเลย ท่าจะหนักเอาเรื่องอยู่” พอเห็นสีหน้าร่างบางดูเป็นกังวลก็เลยลูบหัวอีกครั้ง “แต่มีหมอเทวดาอยู่ด้วยทั้งคนจะกลัวอะไร ไอ้ลู่หานไส้แตกมาแล้วครั้งนึงยังรอดมาได้เพราะเทพจางอี้” เซฮุนหลุดขำออกมาทันทีที่เขาพูดจบ เหมือนกับระบบอัตโนมัติที่จงอินจะยิ้มออกมาได้เพียงแค่เห็นอีกคนยิ้มตาหยีแบบนี้
“นั่นสินะครับ อี้ชิงเขาเป็นหมอเทวดา” ทั้งคู่หัวเราะเบา ๆ “แล้วชานยอลเป็นยังไงบ้างครับ”
“หมอนั่นน่ะเหรอ” คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดในตอนี้ไม่ใช่เขาหรือบยอนแบคฮยอนที่ไข้ขึ้นสูง ไม่สบายกินยาพักผ่อนก็ยังหายได้แต่คนที่มีผลกระทบทางด้านจิตใจอย่างปาร์คชานยอลนี่สิน่าเป็นห่วง “ต้องบอกว่ายังไงล่ะ ก็พูดน้อยเหมือนปกติ”
“อ๋อ...”
“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ พอหายแล้วค่อยลุกขึ้นมาวิ่งเต้นเรื่องคนอื่น” เซฮุนขยับตัวกลับไปนอนหมอนอย่างว่าง่ายแล้วมองอีกคนที่กำลังจ้องเขาอยู่ สบตากันแค่ครู่เดียวก็ปิดเปลือกตาลงเพื่อรับรสจูบที่อีกฝ่ายมอบให้ จงอินผละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่งพลางคลอเคลียปลายจมูกรั้นเบา ๆ “ได้ยาดีแล้วก็พักผ่อนซะ” คนป่วยหน้าขึ้นสีแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดถึงริมฝีปากแล้วมองอีกคนที่หยุดอยู่หน้าประตูห้องและไม่ลืมที่จะหันมามองเขาเป็นครั้งสุดท้าย
พอลงมาถึงข้างล่างก็เห็นชายหนุ่มสี่คนกับครูสาวที่กำลังให้ความสนใจอยู่กับแผนที่บนโต๊ะ เทากับลู่หานขยับออกไปทางด้านข้างเพื่อให้จงอินแทรกเข้ามาในวงล้อม บนแผนที่มีรอยปากกาแดงอยู่เต็มไปหมดและแน่นอนว่ามันไม่ใช่ข่าวดี
“ตรงที่กากบาททิ้งคือที่ ๆ ผมเคยไปมาแล้ว” อี้ฟานเอาด้ามปากกาลากให้ดูเป็นจุด ๆ “ส่วนแถวนี้คือที่ ๆ พวกคุณเคยไป” ร่างสูงลากปากกาต่ำลงมาอีกตามจุดที่ลู่หานกับเทาได้บอกเอาไว้
“ตรงนี้ผมเคยไปมาแล้ว ที่นั่นมีพวกมันอยู่เต็มไปหมดต่อให้มีทางเข้าไปได้ก็ออกมาลำบาก ผมว่าเราไม่ควรเสี่ยง” ชานยอลชี้ลงบนแผนที่แล้วเงยหน้าขึ้น
“ขอปากกาหน่อย” อี้ฟานยื่นปากกาให้จงอินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “แล้วตรงนี้มีใครเคยไปหรือยัง?” อี้ฟานกับชานยอลส่ายหน้าปฏิเสธ “งั้นลองไปที่นี่ดูไหม?” เพราะไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างหน้าพวกเขาเลยเลือกที่จะเสี่ยง
“ผมเห็นด้วย” พออี้ฟานพูดอย่างนั้นคนอื่น ๆ เลยพยักหน้าตาม ทั้งสี่หนุ่มลุกขึ้นเดินไปเอาอาวุธของตัวเองแล้วจงอินก็เดินไปหาเทากับกาฮี
“ฝากดูแบคฮยอนกับเซฮุนด้วยนะ”
“งั้นเดี๋ยวฉันจะไปทำโจ๊กให้เด็ก ๆ นะคะ” ครูสาวยิ้มแล้วจงอินก็โค้งหัวเป็นการขอบคุณ ตอนนี้เหลือแต่เทาที่ยืนทำหน้าหงิกอยู่ตรงหน้าเขา
“เป็นหอกไร”
“ทำไมงานนี้กูไม่ได้ไปด้วยวะ”
“มึงเคยดูฟุตบอลไหม”
“เกี่ยวเหี้ยไรอีกล่ะ” เทาทำหน้าเนือย
“ตัวสำรองจะได้ออกก็ต่อเมื่อโค้ชสั่งตัวจริงพักเหนื่อยเท่านั้น ซึ่งตอนนี้ตัวจริงหายเหนื่อยแล้ว และที่กูจะสื่อก็คือตอนนี้มึงหมดหน้าที่ ว่างงาน จบ”
“โหสัด พูดแบบนี้เคี้ยวขี้แล้วพ่นใส่หน้ากูเลยดีกว่า” เทาพูดอย่างน้อยใจแล้วผลักไหล่อีกคน จงอินเบ้หน้ามองไอ้เด็กโข่งที่ทำหน้างอนเป็นตุ๊ดแล้วก็หัวเราะ
“กลับไปเล่นเลโก้ในบ้านกับน้องแมมมอธไป”
“...”
“ถ้าเจอจุกนมเด็กแล้วจะเอามาฝาก” พูดจบก็เกาคางเป็นการปิดท้ายก่อนจะหัวเราะพอใจเมื่อถูกไอ้เด็กโข่งปัดมือออกอย่างแรง
“ใช่ซี๊ กูมันเป็นแค่ผู้นำสิบแปดไลน์ จะไปกล้าแกร่งอะไรเหมือนกับพวกแม่ทัพ” พูดจบก็หันหลังกลับไปมองร่างสูงทั้งสองคนที่อยู่ข้างหลังก่อนจะแค่นหัวเราะ
“โอ๋ อย่างอนนะลูกพ่อ”
“พ่อกูไม่หน้าดำงี้ สัด”
“เออ มึงจะนับญาติกับเจ๊กช่วยดูรุ่นมั่ง จะเป็นพ่อมันได้ต้องเขียวแบบนี้” ลู่หานเดินมาสมทบ เทาหันควับไปมองไอ้เตี้ยเชื้อชาติเดียวกับเขาแต่เสือกทำตัวกบฏไปเข้าข้างคนอื่นด้วยหางตา
“พวกมึงยังมีความเป็นคนอยู่ไหม แก่จนหงอกจะแดกกระบาลแล้วยังรุมหัวกันแกล้งเด็ก”
“อย่างมึงเรียกเด็กเหรอวะ” จงอินหัวเราะลั่น
“มึงอย่าไปแกล้งเจ๊กกี้ดิห่า เดี๋ยวกลับมาถึงบ้านรองเท้าหายข้างนึงจะหาว่ากูไม่เตือน” ลู่หานแท็กมือกับจงอินแล้วระเบิดหัวเราะออกมาอย่างสะใจ
“เจ๊กกี้พ่อง!”
“นี่กูเป็นพี่มึงนะ” พูดจบก็ตบกระบาลไปทีนึง ถึงมันจะสูงกว่าก็เถอะครับอย่าไปกลัว ลู่หานถือคติว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว
“โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!” เทาตะโกนใส่หน้าลู่หานอย่างเหลืออด ร่างโปร่งเอานิ้วอุดหูแล้วเอามืออีกข้างตบไหล่จงอินเป็นเชิงบอกให้รีบออกไปข้างนอกด้วยกันก่อนที่หมาจะบ้ามากไปกว่านี้
จงอินเหยียบเบรกเมื่อถนนเบื้องหน้าเต็มไปด้วยเหล่าผีดิบที่ขวางทางอยู่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีพวกมันอยู่แค่ไม่กี่ตัวเท่านั้นแต่พอย้อนกลับมาอีกทีก็กลายเป็นอย่างที่เห็น ร่างหนาถอนหายใจพลางเคาะปลายนิ้วลงบนพวงมาลัยในขณะที่คนอื่น ๆ ในรถก็พูดไม่ออกเช่นเดียวกัน
“ผลพวงจากวันนั้นทำให้พวกตัวกินคนมากองกันอยู่ในเมือง” อี้ฟานพูดเสียงเรียบ “ผมว่าเราคงเข้าไปไม่ได้”
“...”
“แม่งเอ๊ย แล้วจะไปหาเสบียงยังไงวะ” ลู่หานสบถอย่างหัวเสีย ทุกคนต่างนั่งเงียบใช้ความคิด ถ้าพวกมันเต็มถนนเส้นนี้คงยากที่ฝ่าไปข้างหน้าได้
“ผมเพิ่งนึกอะไรออก” ทุกคนหันไปมองชานยอลที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลัง “ระหว่างทางกลับบ้านผมเห็นพวกกินคนนอนแข็งอยู่บนพื้น”
“ว่าไงนะ?”
“แต่พวกมันยังไม่ตาย”
“หมายความว่ายังไงที่บอกว่าพวกมันนอนแข็งอยู่บนพื้นแต่ยังไม่ตาย?” จงอินหันไปถาม
“ผมสังเกตแค่ผิวเผิน ปากของมันยังขยับ ตาก็ยังกลอกมองตามทุกการเคลื่อนไหวของผมแต่ร่างกายมันขยับไม่ได้” ทุกคนต่างประหลาดใจกับเรื่องที่ชานยอลเล่าให้ฟัง
“มันจะเป็นไปได้เหรอวะ?” ลู่หานแย้งขึ้นมา “เพราะพวกแม่งแทบไม่มีความรู้สึก โดนยิงจนพรุนยังลุกขึ้นมาใหม่ได้นอกจากจะระเบิดที่หัวถึงจะตายสนิท”
“ชานยอลมันเพิ่งบอกไปเมื่อกี้ว่า มัน แข็ง แต่ ไม่ ได้ ตาย” จงอินพูดประโยคหลังช้า ๆ เพื่อเรียกสติเพื่อนกลับมา
“จะเป็นไปได้ไหมว่าร่างกายพวกมันแข็งไปตามสภาพอากาศในปัจจุบัน?” ทุกคนหันไปสนใจกับความเห็นของอี้ฟาน
“หมายถึงเหมือนจะหนาวตายแต่ก็ไม่ตายน่ะเหรอ?” จงอินถาม
“คิดแบบไม่ต้องลึกซึ้งไปในเชิงวิทยาศาสตร์มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะร่างกายของพวกมันก็เหมือนกับคนทั่วไป มีสิทธิ์แข็งตัวได้ตามสภาพอากาศ” ชานยอลขยับเสื้อโค้ทตัวนอกอยู่ในที “ถ้าเราสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์แล้วอยู่ท่ามกลางหิมะแบบนั้นก็คงไม่ต่างจากมัน”
“แข็งตายในที่สุด” อี้ฟานเสริม
“แล้วไอ้พวกหอกบนถนนนั่นคืออะไร” ไม่ได้อยากหาเรื่องแย้งปาร์คชานยอลหรอกนะแต่ถ้าบอกว่าพวกมันแข็งตามสภาพอากาศแล้วไอ้พวกนรกที่เดินเปลี่ยวเป็นฝูงอยู่ข้างหน้ามันคืออะไร
“เดินไปถามมันไหมเผื่อได้คำตอบ” ลู่หานเหล่มองคนขับที่เสือกพูดกวนตีนหน้าตาเฉย ในหัวมันคงกำลังคิดว่าเขากำลังหาเรื่องปาร์คชานยอลอยู่สินะ
“กูก็แค่สงสัยป่ะ หรือมึงไม่?”
“กูก็สงสัยแต่ตอนนี้ทุกคนก็รู้เท่ากันป่ะวะ และต่อให้รู้ไปก็ไม่ทำให้พวกมันแหวกทางเดินให้หลังจากได้ยินเสียงแตรรถหรอก” ลู่หานพยักหน้าแบบขอไปทีเป็นเชิงว่า ‘ก็แล้วแต่พวกมึงเถอะงั้น’
“มันอาจจะมีแต่บางตัวเท่านั้นที่ทนความหนาวไม่ได้” พออี้ฟานพูดจบทุกคนก็เงียบไปไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก
“มีแผนดี ๆ ไหม?” จงอินถามร่างสูงทั้งสองผ่านกระจกมองหลัง อี้ฟานกับชานยอลหันไปมองหน้ากันราวกับขอความช่วยเหลือ
“ถ้าถามผมก็คงเสนอแผนเดิม” ทุกสายตาหันไปมองชานยอลที่เงียบไปครู่หนึ่ง “ย้ายที่อยู่”
เย็นวันนั้น ในห้องนั่งเล่นที่ใช้เป็นโต๊ะอาหารแต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ทุกคนต้องมาแออัดกันอยู่ที่นี่เพราะจงอินบอกว่ามีเรื่องที่ต้องคุยกัน บางคนเลือกที่จะนั่งมุมสุดของห้อง บางคนยืนพิงผนังรวมถึงคนป่วยทั้งสองคนที่นั่งอิดโรยอยู่บนโซฟา
“เราจะย้ายไปยังซัน” เกือบจะทุกคนที่ค้างอยู่ในท่าถือช้อนเอาไว้ จงอินกวาดสายตามองแต่ละคนแล้วถอนหายใจเบา ๆ “เราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว”
“ในเมืองมีพวกกินคนอยู่เต็มไปหมด ถ้ายังฝืนอยู่ต่อไปมีแต่จะอดตายเพราะหาเสบียงมาเพิ่มไม่ได้” ลู่หานเสริม
“แล้วจะแน่ใจได้ยังไงว่าที่ยังซันจะไม่มีพวกมัน?” อึนจีถาม
“ตอนนี้ในเมืองมีพวกกินคนอยู่เต็มไปหมดเพราะเสียงปืนในวันนั้นที่เรียกพวกกินคนไปรวมกัน อีกอย่างพวกมันไม่ได้ตามแค่เสียงปืน มันตามเสียงรถด้วย” จงอินพูด “ทุกครั้งที่เราขับผ่าน มันจะค่อย ๆ ขยับตามมาทีละนิด และมันจะดีเหรอถ้าเกิดว่าวันหนึ่งมันมากดกริ่งหน้าบ้านเรา”
“พวกคุณเห็นด้วยกับเรื่องนี้หรือเปล่า?” อี้ฟานถาม
“เราสี่คนยังไงก็ได้ค่ะ” ปาร์คกาฮีตอบแทนนักเรียนของเธอทั้งสามคน
“ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็ตกลงตามนี้ รอให้เซฮุนกับแบคฮยอนดีขึ้นแล้วก็เริ่มออกเดินทาง” จงอินหันไปมองคนป่วยทั้งสองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“ผมไหวครับ” เซฮุนพูด
“ผมก็ไหว...” แบคฮยอนที่อาการหนักที่สุดพูดเสียงแผ่ว “ถ้าไม่ได้เดินด้วยเท้าผมก็ไหวทั้งนั้น”
“...”
“ผมไม่อยากเป็นตัวถ่วง...พวกคุณตกลงกันเถอะว่าจะออกเดินทางเมื่อไหร่...แค่ก ๆ ” แบคฮยอนกระแอมไอก่อนที่อี้ชิงจะเข้าไปดูอาการ คนตัวเล็กส่ายหน้าเป็นคำตอบแล้วก็ลุกขึ้นยืนโดยได้รับการช่วยเหลือจากอีกคน
“ผมจะพาแบคฮยอนไปพักผ่อน” หันมาบอกแค่นั้นแล้วประคองคนตัวเล็กขึ้นไปบนชั้นสอง กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง อาหารบนโต๊ะกลายเป็นหมันไปเมื่อทุกคนไม่ได้สนใจมันอีกแล้วหลังจากได้ฟังเรื่องการย้ายที่อยู่
“ยังซันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่สักเท่าไหร่ แต่ที่แน่ ๆ มันห่างจากฝูงตัวกินคนในเมืองพอสมควร อย่างน้อยก็คงไม่เจอพวกมันอยู่กันเป็นหมู่คณะ”
“พรุ่งนี้เลยเป็นไง” ลู่หานเสนอ “ถ้าตัดสินใจได้แล้วก็ออกเดินทางเลยคงดีกว่าการปักหลักอยู่ที่นี่ต่อไปจนอาหารหมด” ไม่มีใครแย้งขึ้นมาและดูจากสีหน้าเชื่อว่าใครหลายคนก็คงเห็นด้วยกับลู่หานอยู่ไม่น้อย
“หนึ่งเสียงว่าพรุ่งนี้” จงอินพูด
“ผมด้วย/หนูด้วย/ผมด้วย/ฉันด้วย” และอีกหลาย ๆ เสียงที่ตามมา จงอินหันไปมองอี้ฟานแล้วพยักหน้าอย่างรู้กัน เป็นอันตกลงว่าพรุ่งนี้พวกเขาทุกคนจะขนของเตรียมย้ายไปที่ยังซันเมืองที่อยู่ใกล้มากที่สุด
“เอาล่ะ รีบกินกันเถอะ”
ในที่สุดอาหารในจานก็ได้รับความสนใจ ทูน่าคลุกข้าวโพดและถั่วลันเตาคือมื้อเย็นที่ไม่แย่นักแม้ว่าจะไม่มีข้าว ครูสาวตักแบ่งให้กับสมาชิกใหม่ที่นั่งเงียบอยู่ข้างหลังพร้อมกับยิ้มให้ คยองซูโค้งหัวช้า ๆ ทั้งที่ยังมองหน้าอีกฝ่าย ปาร์คกาฮีมักจะเป็นอย่างนี้เสมอเวลานั่งล้อมวงกินข้าวกัน
“ไม่อร่อยเหรอคะ?” ชานยอลเงยหน้าขึ้นมองครูสาวที่มีสีหน้าหวั่นใจกับคำถามนี้ ร่างสูงยิ้มบาง ๆ พลางส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“เปล่าครับ” พูดจบก็ตักอาหารเข้าปากแล้วค่อย ๆ เคี้ยว ไม่ใช่ว่าฝีมือการทำอาหารของปาร์คกาฮีแย่ ไม่ใช่เพราะรสชาติอาหาร แต่มันเป็นแบบนี้มานานแล้วที่เขากินอะไรไม่ค่อยลง พอเห็นว่าทุกคนหันไปสนใจกับสมาชิกที่เพิ่งคัมแบ็คสเตจลู่หานก็ปรายตามอง
“สงสัยกินข้าวคนเดียวจนชินแล้วมั้ง” ทุกคนหันมามองเจ้าของคำพูดพร้อมกันและสายตาของแต่ละคนนั้นติดจะคาดโทษอยู่เล็กน้อย ลู่หานเลิกคิ้วขึ้นขึ้นสูงแล้วยักไหล่ตามประสาคนขี้เล่น
“แดก ๆ ไปเหอะมึงอ่ะ” จงอินผลักหัวคนข้าง ๆ ที่เริ่มปากไม่ดี
“กูก็แค่พูดเฉย ๆ ป่ะวะ บางทีมันอาจจะไม่ได้อยากมานั่งกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ก็ได้”
“หุบปากเหอะ”
“มึงถามมันยังว่ามันอยากอยู่ที่นี่กับพวกมึงเปล่า?”
“ลู่หาน” คราวนี้เป็นอี้ฟานที่กดเสียงต่ำปรามให้อีกคนหยุดก่อนจะหันไปมองอีกคนที่กำลังนั่งก้มหน้าเขี่ยอาหารในจาน
“อะไร? ก็แค่ถาม? ”
“กินต่อเถอะ” เป็นมินซอกที่พูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครหยุดคนปากดีได้
“แค่ล้อเล่น คงไม่งอนตูดบิดหนีไปอีกหรอกใช่ป่ะวะ อ้าวเฮ้ย?” สิ้นสุดประโยคนี้ชานยอลก็หยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูง ทุกคนเงียบกริบแม้กระทั่งคนปากดีที่ทำให้บรรยากาศแย่ลง พวกเขาดูออกว่าตอนนี้ชานยอลกำลังพยายามสงบสติอารมณ์เป็นอย่างมาก
“ผมจะออกไปผิงไฟข้างนอก ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนะนี้ครับ” โค้งหัวขอบคุณและขอโทษในคราเดียวกันกับมื้อเย็นที่เขากินไปได้แค่นิดเดียว ร่างสูงเดินออกไปข้างนอกโดยที่ไม่มีใครรั้งไว้พอเห็นอย่างนั้นจงอินก็ลุกขึ้นตามแต่ยังไม่ทันพ้นเก้าอี้เซฮุนก็ตามชานยอลออกไปแล้ว
“ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงต้องเรียนเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหาร” มินซอกพูดเสียงเรียบก่อนจะสะบัดแขนออกเมื่อลู่หานมาเกาะแกะแขนง้อ
“พี่แค่ล้อมันเล่นเอง...จริง ๆ นะเว้ย” ประโยคหลังหันไปบอกทุกคนให้เข้าใจแต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องยากในตอนนี้
ก็แค่แซวเล่น ๆ ไม่คิดว่ามันจะโกรธจริงนี่หว่า...
ทั้งสองคนนั่งเงียบหลังจากที่ชานยอลก่อกองไฟเรียบร้อยแล้ว ในหัวกำลังเรียบเรียงคำพูดดี ๆ เพื่อให้อีกคนรู้สึกดีขึ้นแม้ว่าบางทีมันอาจจะช่วยอะไรไม่ได้เลยก็ตาม
“กลับเข้าไปข้างในเถอะครับ คุณยิ่งไม่สบายอยู่” กลับกลายเป็นคนตัวสูงที่เปิดบทสนทนาขึ้นมาก่อน เซฮุนชันขาเข้าหาตัวก่อนจะกอดเข่าเอาไว้แล้วเกยคางลงไป นัยน์ตาจ้องมองไปยังกองไฟเบื้องหน้า คิดว่าจุดประสงค์ที่ชานยอลอยู่ตรงนี้มันไม่ใช่เพราะต้องการเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายแต่มันเป็นการเลี่ยงที่จะอยู่ตรงนั้นมากกว่า
“ไม่รู้ว่าคุณเป็นเหมือนผมไหม แต่ผมชอบอยู่คนเดียวตอนรู้สึกแย่ ไม่อยากให้ใครมายุ่งด้วยแล้วก็ไม่ต้องการให้ใครมาปลอบใจ” ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมองอีกคนที่กำลังเขี่ยฟืนในกองไฟอยู่ “แต่พอเห็นคนอื่นรู้สึกแย่ ผมกลับพยายามหาทางช่วยเหลือเขาทุกวิถีทางเพราะทนเห็นคนรอบข้างเศร้านาน ๆ ไม่ได้”
“...”
“ผมจะไม่ถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณบ้าง จะไม่ถามว่าตอนนี้คุณรู้สึกยังไงแต่ผมจะนั่งอยู่ตรงนี้เงียบ ๆ เป็นเพื่อนคุณ”
“...”
“คุณไม่ง่วง...” ถามไม่จบก็ต้องเงยหน้ามองอีกคนที่กำลังลุกขึ้นยืนพร้อมกับถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกมาคลุมหัวให้กับเขา “ขอบคุณครับชานยอล” เด็กหนุ่มยิ้มแล้วกระชับเสื้อที่คลุมหัวไว้ที่ปลายคาง “ตอนเป็นเด็กผมชอบเล่นเป็นผีแบบนี้” พูดจบก็แลบลิ้น ทำให้คนที่นั่งปั้นหน้านิ่งมาตลอดหลุดยิ้มออกมาจนได้ ริมฝีปากบางค่อย ๆ ยิ้มออกมาเพียงแค่เห็นคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยิ้มได้
“ความพยายามของคุณสำเร็จแล้ว” ร่างสูงกำมือป้องปากหัวเราะกับความพยายามของเซฮุน เด็กคนนี้มักจะมีอะไรให้เขาประหลาดใจอยู่เสมอ
“คุณรู้ไหมว่าอาการยิ้มเป็นโรคติดต่อ”
“หืม? ทฤษฎีไหนน่ะ?” ชานยอลเลิกคิ้วแล้วใส่ฟืนเข้าไปในกองไฟ
“ทฤษฎีโอเซฮุนครับ”
“...”
“มันจะติดต่อก็ตอนที่เราพยายามทำให้ใครสักคนรู้สึกดีขึ้นได้ พอเห็นอีกฝ่ายยิ้มเราก็จะยิ้มตามโดยที่ไม่รู้ตัว”
“คุณทำแบบนี้บ่อยเหรอ?”
“หมายถึงยิ้มตามคนอื่นเหรอครับ?”
“ผมหมายถึงเรื่องที่คุณพยายามปลอบใจคนอื่นโดยที่ไม่สนเลยว่าเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกแย่มันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี”
“ทุกครั้งที่รู้สึกแย่มันก็เกิดจากเรื่องไม่ดีทั้งนั้นไม่ใช่เหรอครับ?”
“มันก็ถูกของคุณ แต่ที่ผมพูดมันหมายถึงคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวผม” เซฮุนขมวดคิ้วไม่เข้าใจกับคำพูดของอีกคน “บางทีการอยู่คนเดียวโดยไม่ได้รับคำปลอบโยนจากใครมันอาจจะเหมาะสมที่สุดแล้ว”
“เพราะอะไรครับ”
“รู้ไหมว่าทำไมผู้ใหญ่ถึงชอบตีเด็ก?”
“...”
“เพราะผู้ใหญ่เหล่านั้นต้องการที่จะปลูกฝังให้เด็ก ๆ กลัวการทำผิด พวกเขาจะได้ไม่กล้าทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่ห้ามอีก” ทั้งคู่สบตากันผ่านกองไฟที่อยู่ตรงกลาง ตอนนี้แววตาของปาร์คชานยอลช่างว่างเปล่าอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แม้ว่าจะใบหน้าจะซูบตอบลงไปบ้างแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงกลับเป็นแววตาคู่นี้ “ผู้ใหญ่บางคนทิ้งให้เด็กสำนึกผิดโดยที่ไม่มีการเข้าไปปลอบโยนหลังจากถูกตี แม้ว่าเสียงร้องไห้ฟูมฟายจะทำให้พวกเขาเจ็บปวดมากแค่ไหนแต่ถ้าจะสั่งสอนก็ต้องใจแข็งให้มากพอ”
“...”
“นั่นคือเหตุผลที่คุณไม่ควรมานั่งปลอบใจผมอยู่ตรงนี้โอเซฮุน”
“แต่คุณไม่ใช่เด็ก แล้วคุณก็ไม่ได้ทำผิดอะไร คนเราอยู่ด้วยกันมันก็ต้องมีทะเลาะไม่เข้าใจกันบ้าง เรื่องแบบนี้มันมีอยู่ทุกที่ไม่ใช่เหรอครับ?”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมไม่ได้ทำผิด?”
“...”
“บางทีผมอาจจะทำผิดมหันต์จนพระเจ้ายังไม่อยากให้อภัยก็ได้”
“คุณกำลังเหนื่อย” ทั้งคู่ยังคงสบตากันอยู่อย่างนั้น ต่างคนต่างเข้าใจความรู้สึกอีกฝ่ายที่กำลังพยายามสื่อให้เข้าใจ “ทุกคนเป็นห่วงคุณนะชานยอล”
“ผมรู้”
“ผมจะไม่บอกให้คุณมองข้ามเรื่องลู่หานไป เพราะถ้าผมเป็นคุณผมก็คงรู้สึกแย่เหมือนกัน”
“...”
“ต่อให้พระเจ้าและคนทั้งโลกจะไม่ให้อภัยคุณ แต่ผมจะไม่เป็นหนึ่งในนั้น”
“...”
“พ่อบอกว่าถ้าไม่ช่วยคนในครอบครัวแล้วจะไปช่วยใคร” ร่างบางเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่งแล้วยิ้มบาง ๆ “เพราะว่าคงไม่มีใครรักเราเท่ากับคนในครอบครัวอีกแล้ว”
“...”
“ผมไม่รู้ว่าคุณคิดเหมือนกันไหม แต่ในสายตาผมคุณก็คือพี่ชายที่ดีคนหนึ่ง”
“...”
“ชานยอลครับ” ร่างบางเรียกอีกฝ่าย เขาพยายามเกลี้ยกล่อมให้ร่างสูงทำลายกำแพงที่สร้างขึ้นจนไม่มีใครสามารถข้ามไปได้ แม้ว่าจะไม่พูดอะไรออกมาแต่แววตาคู่นั้นก็ถ่ายทอดออกมาได้เป็นอย่างดีว่าปาร์คชานยอลกำลังจมอยู่กับความเศร้าในใจมากกว่าใครทั้งหมด “ไม่มีใครยิ้มได้ตลอดเวลาและก็ไม่มีใครเศร้าได้ตลอดเวลาหรอกนะ”
“...”
“ผมก็มีเรื่องที่ปล่อยวางไม่ได้ ผมก็เป็นเหมือนคุณที่เลือกจะเก็บไว้ในใจคนเดียว” ชานยอลหลุบสายตาลงพลางถอนหายใจเบา ๆ กับสิ่งที่อีกคนกำลังพยายามสื่อให้เขาเข้าใจ “ผมได้แต่บอกตัวเองว่าทุกอย่างมีทางออกเสมอ”
“ครับ” เซฮุนเดินไปนั่งข้าง ๆ คนตัวโตกว่าแล้วกุมมือเอาไว้ ชานยอลก้มลงมองมือตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“คุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะครับ”
“...”
“ตอนที่พวกเราสิ้นหวังกับเกาะเชจู ตอนที่สิ้นหวังกับการรอจงอินที่ท่าเรือมกโพ คุณคือคนเดียวที่พยายามเพื่อทุกคน” เซฮุนยิ้มบาง ๆ ขณะสบตากับอีกฝ่าย “มันไม่ง่ายเลยใช่ไหมครับที่จะดูแลทุกคนให้มีชีวิตอยู่ต่อไปโดยที่ไม่อดตายหรือถูกกัด”
“...”
“แต่ตอนนี้คุณไม่ต้องทำแบบนั้นอีกแล้วนะ”
“...”
“ถ้าคุณเหนื่อยพวกเรามีไหล่ให้คุณ” เซฮุนตบบ่าตัวเองเบา ๆ “ถ้าหายเหนื่อยแล้วเราค่อยลุกขึ้นมาพยายามด้วยกันดีไหมครับ”
ทั้งสองคนเงียบไปทั้งที่ยังสบตากันอยู่ ชานยอลยิ้มบาง ๆ ก่อนจะยีหัวคนตรงหน้า ถึงแม้ว่าความเศร้าจะยังไม่จางหายไปเสียทั้งหมดแต่การที่มีเซฮุนอยู่ตรงนี้มันทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
“อยู่กับพวกเรานะครับชานยอล”
กว่าแต่ละคนจะแยกย้ายกลับไปห้องของตัวเองได้ก็นานพอสมควร จนกระทั่งจงอินนึกขึ้นได้ว่าที่ ๆ พวกเขานั่งอยู่คือที่นอนชั่วคราวของชานยอล ร่างสูงเดินกลับมาในห้องนั่งเล่นหลังจากเซฮุนขึ้นไปนอนแล้ว สองมือวางประสานลงบนตักคำพูดของเซฮุนยังคงวนเวียนอยู่ในหัว เด็กคนนั้นไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่แต่ก็ยังพยายามทุกอย่างเพื่อให้เขารู้สึกดีขึ้น
แน่นอนว่าตอนนี้ปาร์คชานยอลหนีไปไหนไม่ได้อีกแล้ว ไม่ใช่เพราะแบคฮยอนขอร้องให้อยู่ แต่เขาต้องอยู่เพื่อรับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไป แค่นึกถึงเรื่องนั้นก็โกรธตัวเองขึ้นมาอีกแล้ว เรื่องเก่ายังไม่จางหายก็ก่อเรื่องใหม่ให้ได้ปวดหัวยิ่งขึ้นไปอีกจนรู้สึกสงสารเซฮุนที่ต้องมาปลอบใจคนอย่างเขา
แสงสว่างดวงเล็ก ๆ ที่เกิดจากเทียนเล่มเดียวเป็นสิ่งดึงดูดสายตาเอาไว้ มองนาฬิกาข้อมือแล้วก็ถอนหายใจออกมาจนติดเป็นนิสัย หลายคนคงเข้านอนแล้ว แต่ปาร์คชานยอลเป็นหนึ่งคนที่ยังไม่คิดจะพักผ่อนสายตา
ไม่อยากฝันร้ายอีกแล้ว...
“ชานยอล”
ร่างสูงหลุดออกจากความคิดแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนตัวเล็กซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้ แบคฮยอนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาแล้วยื่นผ้าห่มที่ถูกพับไว้อย่างเรียบร้อยมาให้ พอได้คำตอบเป็นความเงียบและสายตาที่มองมาอย่างเรียบเฉยบยอนแบคฮยอนถึงได้รู้ตัวว่าเขาควรจะอธิบายเหตุผลที่พาตัวเองลงมา
“ข้างล่างหนาวกว่าข้างบน...ผมกลัวว่าคุณจะหนาว” ร่างสูงรับมาไว้โดยที่ไม่พูดอะไรก่อนจะหันไปมองคนตัวเล็กที่นั่งลงข้าง ๆ เขา
“ผมคิดว่าคุณหลับไปแล้ว”
“สงสัยผมคงนอนเยอะเกินไปก็เลยตื่นมากลางดึก” คนป่วยพูดเสียงแหบพร่า ทั้งคู่มองไปยังเทียนเล่มเดียวที่อยู่บนโต๊ะโดยที่ไม่หันมาพูดอะไรกันอีกเลยอยู่ครู่หนึ่ง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่ระยะห่างในแต่ละประโยคระหว่างเขากับชานยอลจำเป็นต้องทิ้งช่วงขนาดนี้ “คุณลำบากใจเหรอ”
“เรื่องอะไรครับ”
“มันมีหลายเรื่องเหรอ”
“ถ้าตอบแบบไม่โกหกก็คงใช่ครับ”
เสียงนั้นราบเรียบจนติดจะตัดบทอยู่ในที ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็คงไม่น่าแปลกใจนักที่บทสนทนาจะจบลงง่าย ๆ เพียงแค่สิ่งที่ผู้ชายคนนี้แสดงออกมา แต่สำหรับคนที่มีคำพูดมากมายอัดแน่นอยู่ในใจอย่างแบคฮยอนแล้วกลับไม่ต้องใช้เวลาคิดให้มากมายอย่างที่ควรจะเป็น
“ผมเคยอิจฉาคนที่อ่านใจคนอื่นออกได้เพียงแค่ดูจากสีหน้า” แบคฮยอนเลียริมฝีปากที่แห้งผากแล้วถอนหายใจเบา ๆ “แต่พี่แบคโฮบอกว่า ‘มันไม่ใช่ความสามารถพิเศษ แต่เป็นเพราะเขารู้จักสังเกตคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นตอนสุข ทุกข์ เศร้า เสียใจ โกรธ อารมณ์ดี’ และผมก็พยายามทำแบบนั้น”
“...”
“แต่ผมกลับอ่านใจคุณไม่ออกเลยสักเรื่องเดียว” แบคฮยอนหันมามองคนข้าง ๆ ด้วยแววตาเศร้าหมอง “ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณรู้สึกยังไงที่มีผมนั่งอยู่ข้าง ๆ แบบนี้”
“...”
“ถ้าคุณรู้สึกเฉย ๆ มันก็คงดี แต่ถ้ามันทำให้คุณอึดอัดผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง” คนตัวเล็กหลุบสายตาลง บ่อยครั้งที่ชานยอลทำให้เขารู้สึกจนมุมแต่ก็บ่อยครั้งที่ปล่อยให้ความหวังริบหรี่นั้นเกิดขึ้นมาในใจ “ผมทำตัวไม่ถูกแล้ว”
“...”
“ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาผมจะถามอี้ชิงว่าคุณยังอยู่ที่นี่ไหม?” ร่างสูงยังคงฟังคนข้าง ๆ พูดโดยที่ไม่ตอบอะไรกลับไป เป็นอีกครั้งที่แบคฮยอนไม่รู้ความคิดอีกฝ่ายอย่างที่เพิ่งเปิดใจพูดไป “ผมกลัว”
“...”
“กลัวว่าคุณอยู่ที่นี่เพราะผมขอเอาไว้” คนตัวเล็กหลุบสายตาลงพลางกำชายเสื้อไว้แน่น “ผมอยากได้ยินว่า ‘ผมกลับมาที่นี่เพื่อทุกคนไม่ใช่เพราะคำขอร้องของคุณ’ ”
“....”
“....”
“ผมกลับมาเพื่อทุกคน”
“ผมไม่ได้บังคับให้คุณพูด...”
“นั่นคือคำตอบของผม” คนตัวเล็กหันไปมองใบหน้าเรียบเฉยของคนข้าง ๆ แววตาว่างเปล่าซึ่งชวนให้รู้สึกสับสนทุกครั้งที่ได้มอง ยอมรับว่าลึก ๆ แล้วเขาอยากเห็นชานยอลยิ้มทุกครั้งที่มองมายังเขา อยากให้คน ๆ นี้พูดอะไรบ้าง อะไรก็ได้ที่ทำให้ความกลัวที่มีอยู่หายไปสักที...แต่มันก็เป็นแค่ความคิดที่มันไม่มีทางเป็นไปได้อย่างนั้นใช่ไหม?
“ตรงนี้หนาวมาก...คุณขึ้นไปนอนข้างบนดีกว่าไหม...”
“ไม่เป็นไรครับ”
อึดอัด...
ความเงียบที่ว่าแย่แล้วตอนนี้พ่วงมาด้วยความอึดอัด ไม่มีอะไรทำให้บยอนแบคฮยอนรู้สึกแย่กับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ได้เท่ากับคนข้าง ๆ อีกแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ตอนอยู่โรงเรียนเขาจำได้ว่าผู้ชายคนนี้เคยทำให้ใจเต้นแรงเพราะคำพูดมากแค่ไหน แต่ตอนนี้มันกลับเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ...คำพูดที่หลุดออกมาจากปากแต่ละคำเหมือนว่าปาร์คชานยอลพร้อมที่จะปิดบทสนทนาได้ทุกเมื่อ
หนาวเหมือนอยู่กลางสายฝนในคืนนั้น...
สายฝนที่สะท้อนอยู่ภายในแววตาว่างเปล่า...
“ตอนนั้น...คุณคิดอะไรอยู่เหรอ” อยากรู้...ว่าที่ชานยอลกอดเขาในวันนั้นมันคืออะไร ถึงแม้ว่าจะอยากได้คำตอบมากมายแค่ไหนแต่อีกฝ่ายกลับเลือกที่จะทิ้งระยะห่างอย่างน่าใจหาย แบคฮยอนคงฝันหวานเกินไปที่คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นคือคำตอบรับความรู้สึกของเขา ทั้งที่จริงแล้วมันอาจจะเป็นสิ่งตรงกันข้าม...หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เขาไม่อาจเข้าใจ
ริมฝีปากแห้งผากนั้นกำลังขยับ มันกำลังจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกมาโดยที่สายตาของปาร์คชานยอลไม่ได้เปลี่ยนไปจากในทีแรก
“คุณต้องการคำตอบแบบไหนเหรอครับ”
คำตอบ...แบบไหนน่ะเหรอ...
“พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางแต่เช้าและถ้าคุณยังไม่นอนตั้งแต่ตอนนี้อาการอาจจะทรุดเอาได้”
“ที่พูดแบบนี้คงไม่ใช่เพราะคุณไม่อยากตอบหรอกนะครับ” แบคฮยอนสวนกลับไปแทบจะทันที ใจของเขามันกำลังปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก ทั้งประหม่า ขลาดเขินและเต็มไปด้วยความหวั่นใจ
“...”
“ผมรู้ว่ามันฟังดูงี่เง่า แต่ผมก็เอาแต่คิดเรื่องนี้ทุกครั้งที่อยู่คนเดียว” มือเล็กบีบชายเสื้อแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว แบคฮยอนไปมองคนข้าง ๆ จนกระทั่งอีกฝ่ายยอมหันมาสบตากลับ “ถ้าคุณเป็นผม...คุณจะไม่อยากรู้เหตุผลของเรื่องที่เกิดขึ้นเลยเหรอครับ”
“....”
“....”
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ความหนาวเหน็บกำลังเกาะกินหัวใจเขาเพียงแค่ความเงียบที่อีกฝ่ายมอบให้ แบคฮยอนไม่รู้หรอกว่าตอนนี้คนข้าง ๆ กำลังคิดกับเขาด้วยความรู้สึกแบบไหน เห็นเงาตัวเองในแววตาคู่นั้นแต่แล้วยังไง มันก็เหมือนกับกระจกที่สะท้อนภาพตัวเองกลับมาเท่านั้นเอง
เสียงลมหายใจเป็นสิ่งเดียวที่ทำลายความเงียบระหว่างทั้งคู่ บางทีถ้าบยอนแบคฮยอนยอมแพ้แล้วลุกหนีไปเสียตั้งแต่ตอนนี้มันคงจะดีกว่าปล่อยให้ตัวเองเป็นส่วนเกินในโลกของปาร์คชานยอล ถึงอย่างนั้นร่างกายเขาก็หนักอึ้งเกินกว่าจะพาตัวเองหนีไปจากความน่าอึดอัดนี้อย่างที่คิดไว้
เสียงเสียดสีบุหนังโซฟาเรียกให้หลุดจากภวังค์แล้วหันไปมองอีกครั้ง เพียงครู่เดียวที่ได้สบกับดวงตาคู่นั้นบยอนแบคฮยอนก็ต้องปิดเปลือกตาลงเมื่ออีกฝ่ายโน้มใบหน้าเข้ามาหา ริมฝีปากอิ่มเผยอรับจูบของคนตัวสูงที่ทาบทับลงมา กลิ่นบุหรี่จาง ๆ ยังคงหลงเหลืออยู่ มันเหม็นหืนและขมเฝื่อนเหมือนกับความรู้สึกของเขาในตอนนี้ยังไงยังงั้น
จูบนั้นอ่อนโยนแต่กลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า มันอาจจะดีกว่าการที่ปาร์คชานยอลนั่งเงียบเฉยโดยที่ไม่พูดอะไรก็จริงแต่ถึงอย่างนั้น...
แผ่นหลังบางค่อย ๆ เอนลงนอนราบกับโซฟาทั้งที่ยังแลกจูบกันอย่างไม่รู้จบ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ สองมือวางลงบนลาดไหล่กว้างของคนบนร่างก่อนจะกอบโกยอากาศเข้าปอดเมื่ออีกฝ่ายละริมฝีปากไปที่ซอกคอขาว สัมผัสจาบจ้วงที่ราวกับกำลังลองเชิงร่างกายของเขามันเรียกความรู้สึกในตอนนั้นกลับมาเหมือนภาพายซ้ำในหัว
“อือ...” เสื้อไหมพรมถูกเลิกขึ้นพร้อมกับมือกร้านที่ลูบไปตามผิวลื่น ความรู้สึกร้อนวูบวาบกำลังเกิดขึ้นกับบยอนแบคฮยอนอีกครั้งแต่แค่ครู่เดียว...มือนั้นก็หยุดชะงักลงเสียดื้อๆ
“....”
‘ชานยอล...ชานยอล...ชานยอล...’
‘ช่วยด้วย...อย่าทิ้งฉันไป...ชานยอล...’
แบคฮยอนลืมตาขึ้นก่อนจะชันศอกทั้งสองข้างกับพนักโซฟาเพื่อมองอีกคนที่เพิ่งผละออกจากตัวเขา มีเพียงแผ่นหลังกว้างของชานยอลเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้ในตอนนี้กับแสงเทียนวูบไหวที่ยังคงส่ายไปมาราวกับจะไล่เขาไปจากตรงนี้เสีย
“....”
คนตัวเล็กดึงเสื้อลงแล้วขยับตัวเองไปสวมกอดร่างสูงจากทางด้านหลัง ใบหน้าขาวเอนซบลงกับแผ่นหลังอุ่น ๆ ที่ยังคงนิ่งงัน พักหนึ่งทีเดียวที่มันเป็นอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
“ชานยอล...”
“ตีสองแล้วแบคฮยอน” ร่างสูงไม่แม้แต่จะหันกลับมามองเขาอย่างที่ควรทำ แผ่นหลังในอ้อมกอดของแบคฮยอนไม่ได้ขยับเพื่อแสดงปฏิกิริยาใดออกมาอีก
“...”
“ไปนอนเถอะนะครับ”
เสียงนั้นติดจะขอร้องอยู่ในทีว่าให้เขาไปจากที่นี่...ตรงนี้ซะ นอกจากจะทำให้พูดอะไรไม่ออกแล้วแบคฮยอนยังรู้ตัวดีว่าร่างกายเขามันกำลังหนักอึ้งขึ้นมาอีกครั้ง ใจหนึ่งก็สั่งขาให้ลุกพาตัวเองหนีไปอย่างที่ผู้ชายคนนี้บอก แต่อีกใจแบคฮยอนก็นึกอยากจะลองวัดใจดูสักครั้งว่าหากเขายังคงอยู่ที่นี่ชานยอลจะหันกลับมาเพื่อพูดอะไรที่มากไปกว่าการไล่ให้เขาไปนอนหรือเปล่า
แต่แล้วการวัดใจของคนตัวเล็กก็รู้ผลเมื่อร่างสูงค่อย ๆ หยัดตัวยืนขึ้นบนพื้นเย็นอย่างเงียบเชียบ ชานยอลปล่อยให้เปลวเทียนเหงา ๆ อยู่กับแบคฮยอนที่ตรงนั้นแล้วเดินหายไปอีกทางพร้อมกับซองบุหรี่และไฟแช็คซึ่งวางอยู่บนโต๊ะก่อนหน้านี้
ถึงจะพอเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเดินไปสูบบุหรี่ตรงส่วนไหนของบ้าน แต่บยอนแบคฮยอนก็เลือกที่จะนั่งอยู่เฉย ๆ บนโซฟาโดยไม่ได้ตามไปอีก อยากจะปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาให้รู้แล้วรู้รอดแต่น่าแปลกที่ภายในตาของเขามันกลับแห้งกว่าที่คิด แบคฮยอนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เขาควรต้องรู้สึกยังไง
ในเมื่อภาพของปาร์คชานยอลที่เขาเคยหลงรักมันดูไกลออกไปทุกที...ทุกที...
เช้าวันรุ่งขึ้น
ทุกคนช่วยกันขนของขึ้นท้ายกระบะอย่างขะมักเขม้นแม้กระทั่งผู้หญิงสองคนในกลุ่ม บ้านหลังแรกขนของเสร็จก่อนเพราะวิธีการส่งของต่อของนักเรียนทั้งสามคนที่เคยทำจนติดเป็นนิสัยตั้งแต่สมัยยังอยู่ในโรงเรียน ส่วนบ้านหลังที่สองก็ตามมาในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองบ้านของใครก็ไม่รู้ที่พวกเขายึดเป็นที่ซุกหัวนอนมาเป็นเวลาพอสมควร แต่ถึงจะเตรียมใจไว้แล้วว่ายังไงสักวันหนึ่งพวกเขาก็ต้องย้ายไปที่อื่นแต่ก็รู้สึกใจหายอยู่ดี
รถคันแรกมีจงอิน ลู่หาน เซฮุน มินซอก คันที่สองมีมีอี้ฟาน ชานยอล อี้ชิง แบคฮยอนส่วนคันที่สามมีเทา กาฮี อึนจีและคยองซูเตรียมมุ่งหน้าไปที่ยังซัน กะเวลาไว้ว่าให้ถึงที่นั่นก่อนบ่ายจะดีที่สุดเพื่อที่จะได้มีเวลาหาที่ซุกหัวนอน มันคงไม่ดีแน่ถ้าคืนนี้พวกเขาไม่มีที่พักจนต้องนอนค้างข้างถนนโดยที่ไม่รู้ว่าหิมะจะตกลงมาเมื่อไหร่
เวลาผ่านไปสามชั่วโมง จงอินมองแผนที่แล้วสะกิดลู่หานให้ดู คนขับมองถนนสลับกับแผนที่ในมือแล้วคว้าไปวางไว้บนพวงมาลัยก่อนจะคืนให้เพื่อนซี้
“กูว่าน่าจะเข้ายังซันแล้วนะแต่ทำไมยังไม่เห็นบ้านคนอีกวะ” ลู่หานบ่นพลางมองไปยังรอบข้างที่มีแต่ป่าไม้เต็มไปหมด
“นั่นดิ”
“อ้าวชิบ” ลู่หานสบถพลางก้มลงเล็กน้อยเพื่อเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าผ่านกระจกเมื่อจู่ ๆ หิมะก็ตกลงมาเสียอย่างนั้น “เจริญพรเถอะโยม”
“ก็ตกไม่แรงเท่าไหร่นะครับ” เซฮุนพูดขณะมองออกไปนอกหน้าต่าง
“เอาไงดีวะ”
“หาที่พักชั่วคราวกันก่อนไหม กูว่าตกแบบนี้สักพักคงท่วมถนนรถวิ่งไม่ได้แหงแซะ” ลู่หานว่าแล้วจงอินก็พยักหน้า ร่างโปร่งลดกระจกลงแล้วยื่นแขนออกไปพร้อมกับโบกมือเป็นเชิงบอกให้รถคันหลังจอด ลู่หานดึงฮู๊ดขึ้นมาคลุมหัวส่วนจงอินสวมหมวกแก็ปสีดำแล้วทั้งคู่ก็ลงจากรถก่อนที่อี้ฟาน ชานยอลและเทาจะเดินมาหาเขาทั้งสองคน
“ผมว่าถ้าขับไปต่อมันคงไม่เวิร์คว่ะ”
“นั่นสิ ดูแล้วคงตกอีกนาน” อี้ฟานเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบข้าง
“แล้วจะเอายังไง”
“หาที่พักกันก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
“ประมาณห้ากิโลแล้วที่ไม่เจออะไรเลยนอกจากต้นไม้” ชานยอลพูด
“เพราะงั้นเราถึงต้องรีบหาที่พักก่อนที่หิมะจะกองขึ้นสูงจนรถวิ่งฝ่าไปไม่ได้” เพราะตอนนี้มีแค่รถกระบะที่อี้ฟานขับอยู่เท่านั้นที่สามารถขับฝ่าหิมะไปได้ ทุกคนพยักหน้าอย่างรู้กันแล้วแยกย้ายกลับไปที่รถ
“ตกลงว่าไงครับ” เซฮุนถามคนตรงหน้าที่กำลังคาดเข็มขัดนิรภัย
“เราจะหาบ้านแถวนี้ค้างสักคืนก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยออกเดินทาง” เด็กหนุ่มพยักหน้าแล้วเอนหลังพิงกับเบาะ
“เปาจื่อ” ลู่หานเรียกอีกคนที่นั่งกอดอกหลับอยู่เบาะหลัง
“เขาหลับอยู่ครับ”
“อย่ามาแกล้งหลับนะ” จงอินกับเซฮุนมองหน้ากันอย่างงง ๆ แล้วก็ยักไหล่แต่มินซอกก็ยังคงเหมือนเดิม “ที่รักอ่า หายงอนได้แล้ว”
“โหไอ้เหี้ย กูจะอ้วกมาที่ร้งที่รัก” จงอินเบ้หน้าแล้วรับถุงหิ้วมาจากเด็กหน้าตายที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลังพร้อมกับทำท่าจะอ้วกใส่ถุง
แหม่...ช่างส่งมุขกันดีเหลือเกิน
“พูดแค่นี้ยังคลื่นไส้ ถ้าเป็นผู้หญิงกูคงคิดว่าท้อง”
“โชคดีนะที่กูเป็นผู้ชาย”
“เออดิ เป็นผู้ชายที่...”
พลั่ก!!
ละมือจากพวงมาลัยข้างหนึ่งแล้วกุมหูข้างขวาเอาไว้เมื่อถูกอะไรบางอย่างกระทบบ้องหูอย่างแรง ลู่หานมองอีกคนผ่านกระจกมองหลังที่กำลังสบตากับเขาด้วยแววตานิ่งเฉยก่อนจะหันไปชี้หน้าคาดโทษ
“เดี๋ยวที่รักจะโดนนะครับ”
“เห่าอยู่ได้ น่ารำคาญ”
“โห! เด็กดาดฟ้าว่ามึงเป็นหมาว่ะเพื่อน!” จงอินเขย่าไหล่เพื่อนซี้ “เป็นกูไม่ยอมนะ มึงดูดิทั้งกูทั้งเซฮุนนั่งอยู่ตรงนี้แม่งยังกล้าหักหน้าได้ลงคอ หยามหน้ากันชัด ๆ ” ลู่หานไม่ได้ตอบโต้อะไร เขาได้แต่มองไปยังถนนเบื้องหน้าสลับกับคนตัวเล็กที่อยู่เบาะหลัง
“จงอินครับลู่หานขับรถอยู่”
“นายดูไว้เป็นตัวอย่างนะ พฤติกรรมไม่ดีแบบนี้อย่าลอกเลียนแบบ” จงอินเอี้ยวหันมาบอกเซฮุนพร้อมกับชี้ไปยังเด็กดาดฟ้าที่นั่งอยู่ข้างหลังเขา
“พฤติกรรมแบบคุณก็ไม่น่าทำตามเหมือนกัน”
“เงียบไปเลยครับน้องแว่น”
“บอกตัวเองก่อนดีไหม” มินซอกพูดเสียงเรียบ จงอินขยับปากบ่นตามพลางกลอกตากวนประสาทก่อนจะรับขวดน้ำที่คนตัวเล็กเขวี้ยงมาไว้ได้ทัน
“เฮ้ย มึงสั่งสอนที่รักของมึงบ้างเปล่าวะ ไม่พอใจเอะอะเขวี้ยงของ ถามหน่อยเหอะสมัยเรียนนี่เป็นนักขว้างจักรทีมโรงเรียนป่ะ” หันไปถามเพื่อนซี้ก่อนจะกลับมาง้างมือขู่เด็กตัวเล็กที่อยู่ข้างหลัง
“เอาน่า...” ลู่หานปรามเพื่อนแล้วมองคนรักผ่านกระจกมองหลังอีกครั้ง เมื่อคืนไฝว้กันอย่างหนักเพราะเรื่องที่เขาไปแซะไอ้ชานยอลเข้า โชคดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ถูกถีบตกลงเตียง
“โอเซฮุน”
“หื้ม?” ร่างบางหันไปมองคนข้าง ๆ ที่ไม่ค่อยได้คุยกันสักเท่าไหร่
“อยู่กับคนแบบนั้นตลอดไม่อึดอัดเหรอ”
“อ่า...”
“คนแบบนั้นนี่แบบไหนครับน้อง?” จงอินมองหน้าหาเรื่องเด็กแว่นที่มองเขาด้วยสายตาหยามเหยียด
“คนแบบมึงไงสัด”
“แบบกูทำไมครับ?”
“ถึงจะอึดอัดบ้างแต่อาจจะไม่เท่านายตอนอยู่กับลู่หานหรอก” เด็กสิบแปดทั้งสองคนหันไปมองหน้ากันแล้วหัวเราะน้อย ๆ
“อ้าว ทำไมน้องกรงหมาพูดงี้ล่ะครับ” <- ลู่หาน
“เห็นไหม อย่างน้อยกูก็ยังดีกว่ามึงล่ะวะ” <- จงอิน
“ดีในเรื่องแย่ ๆ นี่ภูมิใจกันเหลือเกิน” <- มินซอก
“แต่ก็ยังดีป่ะวะ ว่าแต่หนูเถอะมีเรื่องอะไรน่าภูมิใจบ้าง เดี๋ยวต่อยแว่นแตก” <- จงอิน
“ต่อยที่รักกูเจอตีนอ่ะครับ” <- ลู่หาน
“อ้าว ได้เสียกันเลยดิ มึงคิดว่าตีนใครจะหนักกว่ากันครับเพื่อน?” <- จงอิน
“อยากรู้ต้องลองครับ กับเพื่อนให้เท่าแขนกับแฟนให้เท่าฟ้า” <- ลู่หาน
“เด็กดาดฟ้าเอาถุงไหม?” <- จงอิน
“ผมขอด้วย” <- เซฮุน
“อ้วกจะแตก” <- มินซอก
“อ่า...เทาน่าจะอยู่ในรถคันนี้” <- เซฮุน
“อย่าเลย แค่ได้ยินเสียงมันไมเกรนก็แดกหัวแล้ว” <- ลู่หาน
“อันนี้กูเห็นด้วย” <- จงอิน
ทั้งสี่คนหัวเราะเบา ๆ แล้วก็เงียบไปในเวลาถัดมา จงอินสะกิดแขนเพื่อนซี้ให้ดูประตูใหญ่ทางขวามือแล้วลู่หานก็ขับไปเทียบจอดข้างทาง ทั้งสองคนลงไปข้างล่างพร้อมกับชายหนุ่มอีกสามคนที่เดินตามลงมา พวกเขาหยุดยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ในขณะที่ลู่หานปีนขึ้นไปบนฐานวางดอกไม้แล้วใช้มือถูคราบฝุ่นออกจากป้าย
‘อุทยานแห่งชาติยังซัน’
“อุทยานว่ะ”
“ถ้าพูดถึงอุทยาน ข้างในก็คงมีแต่ป่าไม้ใช่หรือไม่?” จงอินถามแล้วทุกคนก็เดินมาล้อมวงกันเพื่อใช้ความคิดส่วนลู่หานเดินไปสำรวจประตูทางเข้า
“งั้นก็ไปกันเหอะ ผมหนาวจะแย่แล้ว” เทากอดตัวเองก่อนจะเซไปทางด้านข้างเพราะถูกจงอินผลัก เด็กตัวสูงขมวดคิ้วไม่พอใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายปัดมือไล่เขาให้กลับไปที่รถ
“ผมว่าในอุทยานน่าจะมีที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว” ชานยอลพูด “แต่ไม่รู้ว่าจะมีทุกที่หรือเปล่า”
“พวกคุณคิดว่าไง ในความคิดผมข้างในคงไม่น่ามีพวกตัวกินคนชุกชุมเท่ากับข้างนอก” อี้ฟานมองผ่านกรงประตูบานใหญ่แล้วก็เห็นถนนลูกรังเป็นทางยาวและมีต้นไม้อยู่รอบข้าง
“หรืออาจจะเยอะเป็นดอกเห็ดก็ได้”
“จะลองเสี่ยงดูไหมล่ะ?” จงอินถามแล้วหันไปทางเพื่อนซี้ที่เปิดประตูได้แล้ว ลู่หานแบมือทั้งสองข้างพร้อมกับยักไหล่ ถึงทุกคนไม่เห็นด้วยแต่เขาก็เปิดประตูสำเร็จแล้ว
รถทั้งสามคันขับเข้ามาหาที่พักชั่วคราวในอุทยานเงียบสงบ ถนนลูกรังทำให้รถส่ายไปมาแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีอะไรผิดสังเกตจนกระทั่งขับเข้ามาถึงประตูทางเข้าอีกชั้นแล้วก็พบความปกติซึ่งหาเจอได้ในเมืองง่าย ๆ นั่นก็คือรถยนต์ที่ขับพุ่งชนทะลุรั้วหนามข้างทางพร้อมกับตัวกินคนที่เดินอยู่ประปราย
“!!!” มินซอกสะดุ้งจนเซฮุนต้องประคองไว้ก่อนที่เพื่อนตัวเล็กจะหงายหลังเมื่อมีผีดิบตัวหนึ่งโผล่มาเกาะหน้าต่างโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
“สัดเอ๊ย ทำที่รักกูตกใจมึงต้องตาย” ลู่หานลงจากรถไปพร้อมมีดดาบก่อนจะฟันคอผีดิบตัวนั้นจนขาดแล้วเดินอ้อมกลับมาขึ้นรถเหมือนเดิม จงอินได้แต่ปรายตามองเพื่อนซี้ที่ทำตัวเห่อเด็กดาดฟ้าออกหน้าออกตาแล้วก็หมั่นไส้
“เมื่อกี้ผมเห็นมีลูกดอกปักอยู่ที่คอเขาด้วยล่ะครับ”
“นั่นลูกดอกหรอกเหรอ” จงอินมองศพที่นอนตายอยู่ข้างนอกแล้วก็ใช่อย่างที่เซฮุนพูดจริง ๆ “ของเด็กเล่นป่ะวะ”
“เป็นวิธีจัดการที่น่ารักมาก” ลู่หานหัวเราะแล้วเข้าเกียร์แต่ยังไม่ทันเหยียบคันเร่งก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีอะไรบางอย่างกระโดดลงมาบนกระโปรงรถ “เหี้ย!!”
“...!!!” ทั้งสี่คนมองไปยังลิงตัวหนึ่งที่กำลังอ้าปากกว้างขณะมองมาที่พวกเขา ตาของมันมีสีขาว ฟันคมในปากเต็มไปด้วยเลือดสีสดจนน่ากลัว
ปึง!!
ตัวที่สอง...
ปึง!!!
ตัวที่สาม...
“กูว่าท่าไม่ดีแล้วว่ะ” จงอินหันกลับไปมองข้างหลังแล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบว่ารถของอี้ฟานก็ประสบปัญหาเดียวกันกับเขาในตอนนี้ พวกลิงนรกนั่นมาจากไหนกันเต็มไปหมด
“เดี๋ยวกูลงไปล่อแม่งเอง” จงอินคว้าแขนเพื่อนซี้เอาไว้แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม
“มึงไม่รู้หรอกว่าการถูกกัดมือจนนิ้วเกือบขาดออกจากกันมันเป็นยังไง” เขายังจำเหตุการณ์ตอนที่ออกไปหาของป่ากับพวกเด็กในโรงเรียนได้เป็นอย่างดีซึ่งตอนนั้นลู่หานไม่ได้อยู่ด้วย
ตุ่บ!!!
“จงอินครับกระจกจะแตกแล้ว!” เซฮุนตะโกนบอกคนที่อยู่ข้างหน้าเมื่อพวกลิงกำลังพยายามทุบกระจกรถเข้ามา ไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าพวกมันติดเชื้อหรือไม่ ลู่หานหันกลับไปมองข้างหลังแล้วก็เห็นคนในรถนั้นกำลังตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับเขา
“เกาะไว้แน่น ๆ ” ลู่หานเหยียบคันเร่งจนมิดพร้อมกับรถที่พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงก่อนจะเบรกกะทันหันจนพวกลิงที่เกาะอยู่กระเด็นออกไปเพราะไม่มีที่ยึด ร่างโปร่งเลียริมฝีปากล่างพร้อมกับเข้าเกียร์อีกครั้งก่อนจะเหยียบคันเร่งเพื่อเหยียบพวกลิงนรกที่อยู่บนพื้น
“มึง ข้างหน้า!”
“เกาะไว้!” เซฮุนกับมินซอกเกาะเบาะข้างหน้าไว้แน่น ๆ ก่อนที่รถจะพุ่งชนประตูอย่างแรงจนเปิดออก ส่วนรถอีกสองคันก็ตามมาติด ๆ พร้อมกับฝูงลิงที่ไล่ตามมา คยองซูกับอึนจีหันกลับไปมองข้างหลังแล้วหายใจเข้าลึก ๆ เมื่อพวกเขาทิ้งห่างจากพวกมันมาไกลพอสมควรแล้ว เด็กทั้งสองคนปิดเปลือกตาลงก่อนจะเอนหลังพิงกับเบาะที่นั่งอย่างโล่งอก
“พวกมันติดเชื้อเหรอคะครู” ปาร์คกาฮียังคงตกใจไม่หาย เมื่อกี้พวกมันเกือบจะทุบกระจกเข้ามาได้อยู่แล้วถ้าเกิดว่ารถคันข้างหน้ายังไม่เคลื่อนตัวออกไป
“ครูก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน...”
“แม่งเอ๊ย นึกถึงที่ไอ้แตอินโดนกัดมือวันนั้นเลย”
“แตอิน...”
“...”
คยองซูมองทั้งสามคนที่เงียบไปเพียงแค่พูดถึงใครอีกคนที่เขาไม่เคยได้ยินชื่อ บทสนทนาที่เกิดขึ้นราวกับรู้เรื่องกันแค่สามคนจนคนนอกอย่างเขาทำได้เพียงแค่นั่งฟังเฉย ๆ เด็กหนุ่มหายใจเข้าลึก ๆ มันคือเรื่องใหม่ที่เขาได้รับรู้ว่าสัตว์ที่อยู่บนโลกนี้มันน่ากลัวพอ ๆ กับพวกผีดิบ
ทุกคนลงจากรถแล้วกวาดสายตามองไปรอบตัว พวกเขาขับเข้ามาลึกจนมองหาวี่แววบ้านพักในอุทยานไม่เจอ อึนจีเดินไปเกาะแขนอี้ชิงที่กำลังประคองแบคฮยอนอยู่ เธอมองไปรอบข้างอย่างหวาดระแวง
“โอป้า หนูกลัวอ่ะ”
“ไม่เป็นไรนะ” อี้ชิงยีหัวเด็กสาวเบา ๆ แล้วหันไปมองคนอื่น ๆ ที่กำลังยืนปรึกษาหารือกันอยู่ “ไหวไหม?” ก้มลงกระซิบถามคนตัวเล็กเบา ๆ แล้วก็ได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้า
“จะเอาไงต่อ ข้างในนี้ไม่เห็นจะมีบ้านสักหลังเลย” ลู่หานพูดอย่างหัวเสีย
“มึงอย่าเพิ่งอารมณ์เสียดิวะ มันต้องมีอยู่แล้วแต่อาจจะไม่ใช่บ้านพักนักท่องเที่ยว”
“ที่ไหนล่ะ?” ลู่หานอ้าแขนออกแล้วเลิกคิ้วขึ้นสูง
“ตามหลักแล้วบ้านพักนักท่องเที่ยวน่าจะอยู่ข้างนอก ซึ่งตอนนี้เราขับเข้ามา
ลึกเกินไปแล้ว”
“อ้าว ไม่บอกแต่แรกล่ะครับ?” ลู่หานมองหน้าชานยอลอย่างหาเรื่อง
“ผมคงทำอย่างนั้นถ้ามีวิทยุหรือมือถือสักเครื่องที่สามารถใช้ติดต่อรถคันข้างหน้าได้”
“พอได้แล้ว” จงอินเข้ามาห้ามทั้งสองคน ลู่หานเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มแล้วแยกตัวออกมาจากวงสนทนาก่อนที่เขาจะกลายเป็นคนผิดในสายตาคนอื่นอีก
“เราจะย้อนกลับไปเหรอ?” เทาถาม
“แต่ข้างในน่าจะมีที่พักของผู้ดูแลหรือเจ้าหน้าที่ประจำอุทยานแห่งนี้”
“หมายความว่าเราจะเสี่ยงเข้าไปในป่าที่ไม่รู้ว่ามีลิงอยู่ในนั้นกี่ตัว?” เทาถามแล้วยิ้มเจื่อน ๆ อย่างไม่เห็นด้วย
“หรือจะฝ่าฝูงลิงที่อยู่ข้างนอกออกไปล่ะครับ”
“...”
“ไม่ว่าทางไหนก็เสี่ยงทั้งนั้นแหละ” จงอินเอนหลังพิงกับรถแล้วคว้าบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบแก้เครียด
“หลังจากขับเข้ามาข้างในก็ไม่เจอพวกลิงคุ้มคลั่งแล้ว ผมว่าบางทีในนี้อาจจะมีลิงอยู่บ้างแต่ก็คงไม่เยอะเท่ากับข้างนอก” อี้ฟานพูด
“แต่ก็คือมีไง ผมยังจำได้ตอนที่ลิงกัดมือเพื่อนผมแทบขาด” เทาแย้งขึ้นมา “แถมจัดการพวกมันยากกว่าพวกกัดคนอีกด้วย” ที่เทาพูดก็ถูก อย่างที่เห็นว่าพวกลิงมันไวมากและสามารถจู่ก่อนที่เป้าหมายจะตั้งตัวได้ทัน
“จะเอาไง ทุกคนมานี่หน่อย!” จงอินตะโกนบอกแล้วทุกคนก็เดินเข้ามารวมกลุ่มกัน “มีไม่กี่ทางเลือกในตอนนี้ระหว่างย้อนกลับไปทางเดิมแล้วฝ่าฝูงลิงออกไปหรือจะเสี่ยงเข้าไปข้างในเพื่อหาที่พักผู้ดูแลในป่า”
“...”
“...”
ไม่มีใครตัดสินใจได้เพราะตัวเลือกทั้งสองทางมันมีอัตราความเสี่ยงไม่น้อยไปกว่ากันเลย ข้างนอกซึ่งรู้ว่ามีพวกลิงอยู่เต็มไปหมดกับในป่าที่ไม่รู้ว่ามีตัวอะไรอยู่บ้าง
“ขอคำตอบอย่างชัดเจนด้วย”
“ถ้าเราเกาะติดกัน คอยระวังหน้าระวังหลังแบบนั้นจะเข้าท่าไหมครับ?” ทุกคนหันไปหาเซฮุนที่ยืนอยู่วงนอก “พรุ่งนี้เช้าพวกลิงน่าจะกลับเข้าป่าข้างนอกแล้ว พอถึงตอนนั้นเราค่อยออกไป”
“ฉันเห็นด้วยกับเซฮุน” เป็นเสียงของจงอินที่ตัดสินใจคนแรกแล้วตามมาด้วยลู่หาน ชานยอลและอี้ฟาน พอเห็นอย่างนั้นคนที่เหลือก็เลยเลือกที่จะเข้าไปเสี่ยงในป่าอย่างปฏิเสธไม่ได้
รอบข้างเต็มไปด้วยต้นไม้ปะปนกับหิมะที่ตกลงมาเบา ๆ ฝีเท้าย่ำลงบนพื้นอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้สัตว์ที่อยู่ในบริเวณนี้ได้ยิน มันคงดีกว่าถ้าพวกเขาเลือกที่จะเข้ามาในป่าลึกโดยที่ไม่มีการแวะเข้ามาทักทายของสัตว์ชนิดไหนไม่ว่าจะเป็นพวกลิงนรกหรือพวกเลื้อยคลาน
ดวงตากลอกมองไปรอบข้างอย่างระมัดระวังและปืนที่มีกระสุนอยู่ไม่กี่นัดในตอนนี้ก็คือไรเฟิลของมินซอกที่อยู่กับจงอินซึ่งเดินนำอยู่ข้างหน้าสุด อี้ฟานกับชานยอลเดินรั้งท้ายให้ผู้หญิงและเด็ก ๆ อยู่ตรงกลาง และอาวุธของคนอื่น ๆ ที่ถืออยู่ในตอนนี้มันคงไม่มีอะไรดีไปกว่ามีดพกแล้ว
แซ่ก แซ่ก...
จงอินแตะนิ้วชี้ลงกับริมฝีปากเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนี้ ร่างหนาตั้งไรเฟิลระดับหัวไหล่แล้วส่องลำกล้องไปรอบ ๆ ตัวแต่ก็พบเพียงแค่ใบไม้ที่เคลื่อนไหวอยู่เท่านั้น
มีอะไรอยู่ข้างหลังต้นไม้...
ลู่หานพยักหน้าเมื่อเพื่อนซี้ส่งซิกให้เขาเดินตามไปด้วยกัน ทุกคนยืนรออยู่ตรงนั้นในขณะที่สองหนุ่มค่อย ๆ ก้าวไปข้างหน้าจนลับสายตาไป ไรเฟิลยังคงตั้งอยู่ในระดับเดิมพร้อมกับสายตาที่มองไปรอบตัว ลู่หานกำมีดดาบไว้แน่นเตรียมพร้อมจะตัดตัวห่าอะไรก็ตามที่เสือกพุ่งเข้ามาหาเขาให้เป็นสองท่อน
แซ่ก แซ่ก...
“กูเอง” จงอินว่าพร้อมก้าวขาไปข้างหน้า ลู่หานมองตามแผ่นหลังของเพื่อนซี้อย่างลุ้น ๆ พอเห็นว่าอีกคนกำลังจะเดินหายเข้าไปในป่าเลยเดินตามเข้าไปเพราะอดห่วงไม่ได้ คิดว่าคนเดียวหัวหายสองคนเพื่อนตาย ไปสองคนยังไงก็อุ่นใจกว่าไปคนเดียวอยู่แล้ว
“ไอ้สัดวิ่ง!!!!!!!!!!!!”
ลู่หานผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่งก่อนจะอ้าปากหวอเมื่อเห็นจงอินวิ่งหนีหน้าตั้งมาทางนี้พร้อมกับสัตว์ดุร้ายเขี้ยวแหลมคมที่กำลังไล่ตามมา
“เหี้ยแล้วโว้ย พ่อมึงมา!!” ลู่หานตะโกนกลับไปข้างหลังก่อนจะวิ่งนำหน้าจงอินไป คนอื่น ๆ หันไปมองหน้ากันอย่างงง ๆ แล้วก็ได้คำตอบอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งเมื่อเห็นสองเพื่อนซี้วิ่งหนีตายอย่างไม่คิดชีวิตพร้อมกับเสียงคำรามของเสือที่ไล่จี้ตูดมาติด ๆ
“นั่นมันเสือนี่!!” อึนจีอ้าปากค้างพร้อมกับชี้ไปยังเสือตัวใหญ่ที่กำลังไล่กวดจงอินไปอีกทาง เทาเอามือปิดปากอีกคนเอาไว้ก่อนที่เธอจะกรี๊ดออกมาเพราะความหวาดกลัว
ได้ยินเสียงตะโกนบอกให้วิ่งแต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังเป็นห่วงคนที่กำลังหนีตายอยู่ดี อี้ฟานดันหลังทุกคนให้วิ่งกลับไปทางเดิมแม้ว่าจะไม่เต็มใจนัก อี้ชิงประคองร่างแบคฮยอนให้วิ่งหนีไปด้วยกันอย่างทุลักทุเล ตอนนี้เหลือเพียงแค่เซฮุนที่ยังคงอยู่ตรงนี้
“จงอิน!!!” ตะโกนเรียกคนที่ยังคงวิ่งแหวกใบไม้หนีกรงเล็บของเสือตัวนั้นก่อนจะหันไปเห็นไรเฟิลที่อีกคนทำตกอยู่บนพื้น ก้มลงเก็บมันขึ้นมาแล้วเล็งไปยังเป้าหมาย จงอินเคยสอนให้เขาหัดใช้ตอนอยู่บนดาดฟ้าโรงเรียนเมื่อนานมาแล้วแต่ยังไม่เคยลองจริง ๆ สักครั้ง
ฉึก!
“เอื้อ...........” หลังแอ่นไปข้างหน้าแล้วฟุบลงกับพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะสีขาวทันทีที่ถูกยิงเข้าตรงซอกคอก่อนที่เสือตัวนั้นจะกระโดดข้ามร่างของเขาไป เซฮุนเบิกตากว้างแล้วมองปืนในมือตัวเอง เมื่อกี้เขายังไม่ได้เหนี่ยวไกเลยนะแล้วทำไม...
“ไอ้ห่าจงอิน!!” ลู่หานที่ปีนขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้กำลังช็อคเมื่อเห็นเสือตัวนั้นกำลังเดินวนร่างที่นอนแน่นิ่งบนพื้น “มานี่ กูอยู่ทางนี้!!” พอเห็นว่าเพื่อนนอนเป็นเหยื่ออันโอชะเลยตะโกนเรียกความสนใจจากเสือตัวนั้นแต่ก็ไม่ได้ผล
“!!!” ร่างบางเบิกตากว้างเมื่อจู่ ๆ ก็มีใครคนหนึ่งเดินมาทางนี้พร้อมกับเล็งปืนไปยังเป้าหมาย ชายหนุ่มในชุดเสื้อหนังสีน้ำตาลหลับตาข้างหนึ่งขณะมองผ่านลำกล้องปืนพร้อมกับปากที่กำลังเขี้ยวหมากฝรั่งอย่างใจเย็น
ฉึก!
“โอ๊ะ! โดนแล้ว!”
น้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความดีใจของคนที่ถือปืนในมือทำให้ร่างบางขมวดคิ้ว ทุกอย่างอยู่ในความสงบทันทีที่ลูกดอกปักเข้ากลางลำตัวเสือตัวนั้น สัตว์ดุร้ายล้มลงไปนอนข้าง ๆ จงอินที่ฟุบหน้าอยู่กับกองหิมะ ลู่หานนั่งนิ่งอยู่บนท่อนไม้ก่อนจะมองไปยังเด็กกรงหมาที่กำลังเดินมากับใครก็ไม่รู้
“นั่นใครวะ!!!”
“สวัสดีนะ!” ไอ้คนแปลกหน้าป้องปากตะโกนทักทายคนที่อยู่บนต้นไม้พร้อมกับรอยยิ้มก่อนที่เซฮุนกับอี้ฟานจะรีบเข้าไปหิ้วปีกจงอินขึ้นมา
“มึงยิงเพื่อนกูเหรอวะ? เดี๋ยวมึงเดี๋ยว รอกูลงไปข้างล่างก่อนมีปากแตกแน่” ลู่หานชี้หน้าคาดโทษไอ้หนุ่มคนนั้นก่อนจะก้มลงไปข้างล่างแล้วก็ต้องเด้งตัวกลับไปนั่งเหมือนเดิม เหี้ยเอ๊ยกูขึ้นมาบนนี้ได้ไงวะ
“ผมไม่ได้ตั้งใจน่ะ ถ้าคุณเคยยิงปืนยาสลบแล้วจะรู้ว่ามันไม่ได้ใช้ง่าย ๆ เลย” คนแปลกหน้ายังคงยิ้มอยู่อย่างนั้นจนพวกเขาประหลาดใจ
“ปืนยิงยาสลบ?” ชานยอลขมวดคิ้วจนกระทั่งอีกฝ่ายยื่นปืนมาให้ดูแล้วก็เป็นอย่างที่พูดจริง ๆ
“เขาน่าจะหลับไปประมาณสี่ชั่วโมง ว่าแต่พวกคุณเข้ามาในนี้ได้ยังไง? ผมล็อคประตูไว้แล้วนี่” ชายหนุ่มถามก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอีกคนที่ยังคงอยู่บนต้นไม้
“ฝีมือไอ้เหี้ยนั่นแหละ ยิงอัดยาสลบใส่แม่งเลยดิ...” เทาพูดเบา ๆ
“ช่วยด้วย กูหาทางลงไม่ได้”
“ไงมึง ข้างบนเย็นดีไหม?!” เทาตะโกนถามแล้วทุกคนก็หัวเราะออกมา
“พวกมึงทำแบบนี้ได้ไงวะ หาทางช่วยกูก่อนเร็ว!” ทุกคนละความสนใจจากสิบแปดมงกุฎที่ยังคงอยู่บนต้นไม้แล้วหันมามองคนแปลกหน้าอีกครั้ง
“คุณอยู่ที่นี่มานานแล้วเหรอคะ?” ปาร์คกาฮีถามแล้วชายหนุ่มก็พยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มเช่นเดิม
“ครับ ผมเป็นเจ้าหน้าที่ประจำอุทยานยังซัง...ชื่อคิมจงแด”
TBC
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
Man Of The Match โผล่แล้วค่ะ สิ้นสุดการรอคอยสักที 5555555555555555555 #ลุกขึ้นปรบมือทั้งฮอล #โครงการเปิดตัวละครลับ #โครงการโปรดสัตว์ได้บังเกิดแล้ว
ตอนนี้ดาร์กไปกับพี่ชานยอลแล้วปิดท้ายกับความน่าอายของพี่จงอินกับพี่ลู่พร้อมเปิดตัวพี่ชรงแดร์ ตอนนี้มลินค่ะเขียนยาวมากเลย ทั้งหมดห้าสิบหน้าเวิร์ดแน่ะ (ยาวกกว่าทุกตอนตั้งแต่อินโทร)
ปล.มีบอทแล้วน้า @chenxzombie กับ @kyungxzombie ไปฟอลแล้วพูดคุยกับบอทได้นะคะ
ความคิดเห็น