คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #57 : Chapter 53 :: Knock! Knock!
Chapter 53
Knock! Knock!
แซ่ก แซ่ก!!
เสียงแหวกกิ่งก้านใบไม้ที่ขวางทางปนกับเสียงหอบหายใจขณะวิ่งหนีความตายซึ่งไล่ตามมาติด ๆ หิมะที่เคยโปรยปรายแปรเปลี่ยนเป็นพายุสีขาวซึ่งเพิ่มความหนาวเหน็บขึ้นอีกเป็นเท่าตัว สองขาวิ่งตรงไปข้างหน้าอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุด เสียงหวีดร้องของฝูงลิงยังคงกดดันให้พวกเขาทุกคนเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น
“เซฮุน เร็วเข้า!” อี้ฟานตะโกนเรียกคนที่วิ่งอยู่รั้งท้าย เนื่องจากพิษไข้ที่ยังไม่หายดีเลยทำให้เขาเหนื่อยง่ายกว่าที่เคย ร่างสูงกุมข้อมือเด็กหนุ่มเอาไว้แล้ววิ่งไปด้วยกันขณะที่ลู่หานคอยหันกลับมายิงสกัดเป็นระยะ
อีกครั้งที่วิ่งกลับมาตรงจุดนี้ จงแดหยุดชะงักเมื่อพบว่าเสือตัวนั้นยังคงนอนสลบอยู่ที่เดิม นัยน์ตาเบิกโพลงเมื่อนึกถึงอะไรบางอย่างที่เขาได้มองข้ามไปว่าการยิงยาสลบอาจทำให้มันหนาวตายท่ามกลางหิมะก็ได้ เทาดันแผ่นหลังเจ้าหน้าที่หนุ่มให้วิ่งต่อแต่อีกฝ่ายกลับยื้อตัวเอาไว้
“เป็นอะไรวะ!”
“จ...จูมง”
“นี่มันใช่เวลาไหม? ห่วงชีวิตตัวเองก่อนเถอะ!” เทาตะคอกพร้อมกับดันแผ่นหลังอีกคนให้วิ่งต่อไปข้างหน้า “ถ้าเกิดมึงโดนกัดตาย ไอ้จูมงอีกห้าตัวที่เหลือจะอยู่ยังไง?!”
แน่นอนว่าประโยคนี้ของเทานั้นได้ผล เจ้าหน้าที่หนุ่มกลืนน้ำลายลงคอพร้อมตั้งสติ เสียงปืนที่ดังมาจากทางด้านหลังเหมือนกับระเบิดเวลาที่ได้ระเบิดขึ้น พวกเขาออกวิ่งกันอีกครั้งอย่างจำใจโดยที่ช่วยอะไรเสือตัวนั้นไม่ได้เลย จงแดหันกลับไปมองข้างหลังเป็นระยะแล้วก็แทบช็อกเมื่อเห็นฝูงลิงจำนวนหนึ่งแยกตัวออกไปหาเสือที่นอนไม่ได้สติอยู่กลางป่า
เหมือนมีใครเอามีดมาแทงอกเขาซ้ำ ๆ เมื่อเสียงของเพชฌฆาตเหล่านั้นกำลังรุมกัดเหยื่ออย่างเลือดเย็น ชานยอลเข้ามาช่วยเทาประคองร่างจงแดให้วิ่งต่อไปข้างหน้า พวกเขาก็รู้สึกแย่กับสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นแต่ในสถานการณ์แบบนี้ถ้าพวกเขาหยุดก็มีแต่ตายกับตาย
ปัง ๆ ๆ ๆ
ฝูงลิงโหนต้นไม้ตามมาอย่างรวดเร็ว บางตัวร่วงลงไปดิ้นกับพื้นเมื่อถูกกระสุนเจาะกลางลำตัวแต่สุดท้ายมันก็ลุกขึ้นมาใหม่ได้อยู่ดี เป็นเพราะพื้นเต็มไปด้วยหิมะเลยทำให้ระดับการวิ่งของพวกเขาช้าลงกว่าที่เคยแต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็ยังคงวิ่งต่อไป
“...”
คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันหลังจากลืมตาขึ้นมาพบกับบรรยายกาศรอบข้างที่ไม่คุ้นเอาเสียเลย ร่างหนาค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วก็ต้องส่ายหน้าไล่ความมึนงงเมื่อรู้สึกว่าภาพที่เห็นมันเดี๋ยวชัดเดี๋ยวพร่ามัว
“เป็นไงบ้าง?” หันไปมองเจ้าของเสียงแปลก ๆ ที่นั่งอยู่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม จงอินพยักหน้าแล้วหายใจลึก ๆ เพื่อตั้งสติ
“คนอื่นไปไหน ทำไมเหลือกันอยู่แค่นี้? Where everybody วะ?” เข้าใจคำถามแต่ไม่รู้จะตอบยังไงอี้ชิงเลยหันไปหาครูสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“พวกเขาออกไปปิดประตูทางเข้าน่ะค่ะ”
“ประตู?”
“ประตูที่เราเพิ่งพังเข้ามา” เธอเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่งแล้วมองไปที่ประตูบ้าน “ถ้าไม่ไปปิดพวกลิงก็คงเข้ามาทำร้ายสัตว์ที่นี่ ซึ่งคุณจงแดเขาไม่ยอม”
“คุณจงแด? มันคือใคร?”
“คนที่ยิงลูกดอกยาสลบใส่คุณกับเสือน่ะค่ะ เขาชื่อคิมจงแดเป็นเจ้าหน้าที่ประจำอุทยาน” ยังคงงงอยู่ว่าไอ้คิมจงแดที่เป็นเจ้าหน้าที่อะไรนี่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับชีวิตเขายังไงแต่อะไรใด ๆ คงไม่ดีไปกว่าการที่พบว่าร่างกายยังคงอยู่ครบสามสิบสอง เมื่อกี้นึกว่าจะตายแล้วแท้ ๆ แสดงว่าคิมจงอินยังดวงแข็งอยู่พอสมควร
“แล้วไปกันนานหรือยัง?”
“พอสมควรแล้วค่ะ”
“อืม” แม้จะดูมึน ๆ งง ๆ อยู่แต่จงอินก็กวาดสายตาสำรวจไปรอบ ๆ ตัวบ้านไม้แห่งนี้ ข้างในไม่มีเฟอนิเจอร์อะไรที่ดีไปกว่าโซฟาและชั้นวางของกับกรอบรูปคนถ่ายคู่กับสัตว์นานาชนิดซึ่งติดอยู่โดยรอบ
คยองซูมองคนข้าง ๆ ที่เอื้อมไปเอาสมุดบนโต๊ะมาวางไว้บนตักก่อนจะเอาปากกาที่อยู่ในแก้วเซรามิกส์มาเขียนอะไรบางอย่างลงไป ซึ่งพอมองชัด ๆ ก็ดูออกเป็นรูปเป็นร่างว่าอีกคนกำลังวาดรูปอยู่
“เน้นเงาลงตรงนั้นนิดนึงสิ” มินซอกหันไปมองคนที่กำลังจับจ้องอยู่กับสมุดบนตักเขา “มันจะดูมีมิติมากขึ้น” พอได้ยินคำแนะนำแบบนั้นมินซอกเลยค่อย ๆ เลื่อนสมุดไปให้แล้วคยองซูก็รับมาวางไว้บนที่วางแขนแล้วแรเงาให้ดูจนภาพวาดธรรมดา ๆ ดูมีมิติขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
“ว้าว”
“อย่าลงมือหนักเกินไป” พูดทั้งที่ยังคงละเลงดินสอลงไปก่อนจะคืนให้มินซอก
“ถามได้ไหมว่าเป็นความชอบส่วนตัวหรือเรียนมาทางสายนี้”
“ฉันอยู่คณะศิลปกรรม”
“มหาลัยแล้วงั้นเหรอ?” คยองซูพยักหน้าเป็นคำตอบ แม้มินซอกจะตกใจกับเรื่องที่ได้ฟังแต่ก็คงไม่เท่ากับจองอึนจีในตอนนี้ที่กำลังอ้าปากหวออย่างตกใจอยู่ “งั้นต้องเรียกว่าพี่แล้วสิ”
“ตามสบายฉันไม่ถือหรอก” คยองซูหันไปมองคนข้าง ๆ “เอาไว้เรียกคนที่เคารพเถอะ”
“หมายความว่าจะให้ผมเรียกคุณว่า ‘คยองซู’ เฉย ๆ แล้วค่อยเรียก ‘พี่คยองซู’ ตอนที่รู้สึกเคารพแล้วสินะ?”
“ตัดคำว่าเฉย ๆ ทิ้งไปก็ได้”
“คยองซูเฉย ๆ ” เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเด็กแว่นกำลังหัวเราะอยู่
“...”
แต่นับว่าเป็นเรื่องดีกับการเริ่มผูกมิตรกับใครสักคนในครอบครัวนี้แทนที่จะอยู่ตัวคนเดียวโดยที่ไม่พูดคุยกับใครเลย ตอนนี้เขาเข้าใจไอ้กระดาษเอสี่แผ่นนั้นของหวงจื่อเทาแล้วล่ะว่าบางทีเขาอาจจะเหมาะกับการอยู่กับคิมมินซอกมากที่สุด โดยที่ไม่ต้องรู้สึกกดดันจากคำถามซึ่งบางครั้งเขาก็ไม่ได้อยากตอบ แค่คุยในเรื่องที่อยากคุย นั่นคือสิ่งที่เขามีเหมือนกัน
“แล้วทำไมไม่บอกกันตั้งแต่วันนั้นอ่ะว่านายแก่กว่า” คราวนี้เป็นเสียงของจองอึนจี คยองซูไม่ได้ตอบคำถามหรือพยักหน้าตอบกลับไป เขากำลังรู้สึกตลกสีหน้าเด็กผู้หญิงคนนั้นหลังจากที่รู้ว่าเขาไม่ได้เข้าข่ายแก๊งค์สิบแปดไลน์บ้าบออะไรนั่นเลยสักนิดเดียว
“เห็นเธอกับเพื่อนกำลังสนุกเลยไม่อยากขัดจังหวะ”
“โหย...” อึนจีงอหน้ามองอีกคนที่กำลังอมยิ้มอยู่ พอเห็นสองคนนั้นเริ่มสอนกันวาดรูปแล้วในบ้านก็กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง “เมื่อไหร่พวกเขาจะกลับมาคะครู” เด็กสาวทำหน้าหงอย เธอชักจะใจไม่ดีขึ้นมาเพียงแค่นึกไปถึงฝูงลิงนรกที่บุกโจมตีรถเมื่อก่อนหน้านี้
“เดี๋ยวก็กลับมาแล้วจ้ะ” ครูสาวลูบหัวลูกศิษย์เพื่อให้เธอสบายใจ จงอินที่สำรวจรอบตัวบ้านเรียบร้อยแล้วก็นั่งลงยอง ๆ ตรงหน้าแบคฮยอนที่นอนเหม่อลอยอยู่บนพื้น
“ลุกไปนอนบนโซฟาป่ะ” พูดจบก็สอดมือเข้าไปใต้ท้ายทอยคนที่นอนอยู่
“ไม่เป็นไร ผมลุกไหว” แบคฮยอนลุกขึ้นเดินไปนอนบนโซฟาแล้วงอเข่าเข้าหาตัว ร่างหนาได้แต่มองคนเป็นน้องเล็กที่นอนอยู่บนโซฟากันจะหันไปหาหนุ่มชาวจีนที่ยักไหล่เป็นเชิงบอกว่า ‘ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน’
ปัง!
จงอินลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและคนอื่น ๆ ก็เช่นกันหลังจากได้ยินเสียงปืน ร่างหนาก้าวไปเปิดประตูออกก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพบว่าชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนมาทางนี้โดยที่มีฝูงลิงไล่ตามมาติด ๆ
“ถอยออกไปจากประตู!!!” จงอินถอยออกมาเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเพื่อนซี้ จงแดกับเทาเข้ามาถึงในบ้านก่อนและตามด้วยชานยอล เซฮุน อี้ฟาน และปิดท้ายด้วยลู่หานที่สไลด์ตัวเข้ามาข้างในก่อนที่จงอินจะปิดประตูแล้วล็อกกลอนแน่นหนา
ปึง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!!!!!!!”
ผ่านไปไม่ถึงเสี้ยววินาทีประตูก็ถูกทุบอย่างแรงจากสัตว์ร้ายที่อยู่ข้างนอก จงอินเข้าไปประคองเพื่อนซี้ที่กำลังหอบหายใจหนักให้ลุกขึ้นยืน เสียงร้องของพวกมันปั่นประสาทให้ทุกคนหันไปรอบ ๆ ก่อนจะหันกลับมามองหน้ากัน
“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรวะ?!” จงอินหันไปถามชายหนุ่มที่กำลังยืนหอบหายใจอย่างหนัก จงแดรีบเข้าไปค้นลังกระดาษ ใส่กระสุนเข้าไปในแม็กกาซีนทั้งที่ยังคงโกยอากาศเข้าปอด
“พวกมันไม่หยุดแค่นี้แน่!” จงแดเงยหน้าขึ้นมองคนอื่น ๆ ที่กำลังตื่นกลัวกับการถูกบุกรุกของเหล่าสัตว์ร้ายข้างนอก เหตุการณ์เมื่อครู่ราวกับฉายภาพซ้ำย้อนกลับไปวันแรกที่เกิดเรื่อง คนด้วยกันที่ถูกกัดถ้าไม่ลุกขึ้นมากัดคนอื่นต่อก็ต้องนอนเป็นอาหารชั้นเยี่ยมให้พวกมัน ลิงบางตัวที่ถูกกัดก็แพร่กระจายเชื้อใส่เพื่อนฝูงที่อยู่ข้างหลังรั้ว เสียงโหยหวนของพวกมันสั่นประสาทเขาได้แค่ไหนวันนี้มันก็ยังทำได้ดีอย่างนั้น
“!!!”
ปึง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
ทุกคนเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ย่ำบนหลังคาบ้านคาดว่าพวกมันคงมีมากกว่าห้าตัว เสียงทุบอย่างแรงบ่งบอกถึงความบ้าคลั่งของพวกมันก่อนจะตามมาด้วยเสียงกระจกแตกทางด้านขวาพร้อมลิงหนึ่งตัวที่กระโดดเข้ามาข้างในสร้างความตกใจให้ทุกคนเป็นอย่างมาก นัยน์ตาที่จ้องมาเมื่อเห็นเหยื่ออย่างชัดเจนกับริมฝีปากที่อ้ากว้างกำลังข่มขวัญคนที่อยู่ตรงนั้นจนทำอะไรไม่ถูก ไม่รอช้าไปกว่านี้ ลู่หานยิงไปยังเป้าหมายที่กำลังกระโดดเข้ามาจนกระเด็นกลับไปข้างหลังก่อนที่จงอินจะเข้าไปซ้ำด้วยไขควง
“มันมาอีกแล้ว!” เสียงของอึนจีเรียกความสนใจจากทุกคนให้หันไปทางหน้าต่างบานเดิมที่เพิ่งถูกทุบเข้ามาเมื่อครู่ จงอินรีบวิ่งไปดันตู้เก็บเอกสารที่อยู่ใกล้หน้าต่างโดยมีลู่หานเข้าไปช่วยอีกแรง
“รีบหาอะไรไปกันหน้าต่างบานที่เหลือเร็วเข้า!!!”
เพล๊ง!!!
เป็นอีกครั้งที่หน้าต่างอีกบานถูกทำลายเข้ามาด้วยฝีมือของลิงสองตัวและถูกจัดการด้วยลูกปืนของชานยอลในวินาทีถัดมา สองขายาวก้าวถอยหลังแล้วเล็งปืนไปยังหน้าต่างซึ่งแตกออกจนเศษกระจกกระจายอยู่บนพื้น หากมีตัวประหลาดกระโดดเข้ามาอีกแน่นอนว่ามันต้องตายก่อนที่จะได้เข้าใกล้ใคร
“รีบหาอะไรมาปิดหน้าต่างบานนี้ มันคงไม่ดีแน่ถ้าเกิดพวกมันเข้ามาพร้อมกัน” ชานยอลบอกก่อนจะเหนี่ยวไกใส่ลิงอีกตัวที่โหนหน้าต่างเข้ามาจนกระเด็นออกไปข้างนอก
กาฮีดันอึนจีให้ไปหลบอยู่ข้างหลังในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างกระจายไปรอบ ๆ ตัวบ้านเพื่อหาอะไรสักอย่างที่พอจะปิดกั้นอันตรายที่มาจากหน้าต่างไว้ได้ อี้ชิงกับเซฮุนเข้าไปช่วยประคองแบคฮยอนไปหลบอยู่ตรงมุมห้อง
“ชานยอล มาช่วยผมหน่อย” ท่ามกลางความวุ่นวายอี้ฟานกับชานยอลช่วยกันยกโซฟาขึ้นบังหน้าต่างก่อนจะพยักหน้าเรียกมินซอกกับคยองซูให้มาดันเอาไว้แล้วทั้งคู่ก็วิ่งเข้าไปในตัวบ้าน อี้ชิงเปิดตู้กระจกสีแดงที่ติดอยู่กับผนัง หยิบขวานสีแดงออกมาถือไว้แล้วดันกาฮีกับอึนจีให้ถอยไปชิดมุมห้องกับเด็กหนุ่มอีกสองคน
เสียงวิ่งบนหลังคายังคงสร้างความกดดันให้มนุษย์ที่อยู่ข้างใน ท่ามกลางหิมะโปรยปรายหากแต่พวกสัตว์ดุร้ายกลับไม่รู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บเลยสักนิดเดียว ทันทีที่ดันตู้ขวางหน้าต่างเสร็จจงแดกับชานยอลก็ออกมาพร้อมกับตู้เสื้อผ้า พอเห็นอย่างนั้นจงอินก็รีบเข้าไปช่วยอีกแรงจนกระทั่งหน้าต่างบานสุดท้ายในห้องส่วนกลางถูกพังเข้ามาอีกครั้ง
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!!”
“!!!” กลุ่มคนที่อยู่ใกล้หน้าต่างที่สุดต่างผวาเมื่อลิงที่กระโดดเข้ามาแผดเสียงร้องทันทีที่เห็นคยองซูกับมินซอกอยู่ในพิกัดชัดเจน อี้ชิงง้างขวานขึ้นก่อนจะจามเข้ากลางหัวลิงที่หันหลังให้เขาอยู่จนสมองทะลักออกมาเต็มพื้นไม้จนกาฮีต้องยกมือขึ้นปิดตาเด็กสาวในอ้อมกอดเอาไว้ ลมหนาวพัดเข้ามาทางช่องกระจกหน้าต่างที่แตกออกไม่เหลือชิ้นดี อี้ชิงเตะซากศพลิงออกให้พ้นทางเพื่อให้สามหนุ่มยกตู้เสื้อผ้ามาขวางหน้าต่างบานสุดท้าย
“ผมขอแรงหน่อย เราต้องขวางหน้าต่างห้องนอนอีกสองห้อง” เจ้าหน้าที่หนุ่มพูดทั้งที่ยังหอบอย่างหนักแล้วชายหนุ่มสี่คนก็พยักหน้า
“มึงสองคนอยู่นี่” ลู่หานกับเทาพยักหน้ารับก่อนที่จงอินและคนอื่น ๆ จะรีบวิ่งไปในห้องนอนทางด้านใน
ร่างโปร่งกวาดสายตาไปรอบ ๆ ตัวบ้าน ทางด้านซ้ายมีคยองซูกับมินซอกที่ยังคงช่วยกันดันโซฟาเอาไว้ ทางด้านขวาคืออี้ชิง เซฮุน แบคฮยอนและสองสาวที่หลบอยู่ตรงมุมห้อง ไม่นานนักคนที่เหลือก็กลับมาในห้องส่วนกลาง เสียงทุบหลังคายังคงยังกรอกเข้าหูไม่ได้หยุด ไม่มีใครพูดอะไรออกมาราวกับว่าแต่ละคนกำลังตกอยู่ในห้วงของความคิด
“จะเอายังไง!” เสียงของมินซอกเรียกสติทุกคนกลับมา ลู่หานรีบเข้าไปช่วยคนตัวเล็กดันโซฟาไว้อีกแรงแล้วหันหน้ากลับเข้าหาคนอื่น ๆ
“เราต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นพวกมันคงพังหลังคาลงมาได้แน่ ๆ ” อี้ฟานเงยหน้าขึ้นมองต้นเหตุของเสียง
“อย่างเช่นอะไรล่ะ? พวกมันมากันเป็นฝูงแบบนั้นถ้าเราออกไปต้องโดนรุมกัดตายแน่ ๆ ” จงแดเสยผมขึ้นอย่างหัวเสีย “และถ้าไม่พังเข้ามาพวกมันก็คงกลับเข้าไปในป่าแล้วกัดสัตว์ทุกชนิด”
“...”
“พอถึงตอนนั้นสัตว์ที่นี่ก็จะกลายเป็นพวกติดเชื้อกันหมด”
สถานการณ์กดดันให้พวกเขาคิดหาวิธีจัดการลิงข้างนอกก่อนที่มันจะพากันแห่เข้าไปในป่าแล้วแพร่เชื้อนรกให้กับสัตว์ การฆ่าลิงเป็นฝูงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่วินาทีนี้พวกเขาต้องทำเรื่องยากที่สุดให้ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ไข
“ผมรู้แล้ว” ทุกคนหันไปมองชานยอลที่ยืนอยู่ข้างหลังสุด เขาเปิดกระเป๋าเป้สีดำออกก่อนจะเอาขวดโมโลท็อฟออกมาให้ทุกคนดู “ในเมื่อพวกมันชอบเล่นกับไฟ ทำไมเราไม่ใช้ระเบิดหลอกล่อมันไปรวมกันแล้วจัดการหมู่ล่ะ?” ทุกสายตามองไปยังชายหนุ่มร่างสูงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“มันจะได้ผลเหรอคะ?” ครูสาวถาม
“ต้องได้สิ”
“...”
“ผมจะเป็นคนลงมือเอง”
ปึง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
“เราไม่มีเวลาแล้ว เร่งมือหน่อย!!” จงอินตะโกนบอกคนอื่น ๆ ที่กำลังแยกย้ายกันไปตามหน้าที่หลังจากวางแผนกันเรียบร้อยแล้ว เริ่มต้นจากเซฮุน คยองซู มินซอกและเทาที่ช่วยกันใส่กระสุนเข้าไปในแม็กกาซีน กาฮี อึนจี แบคฮยอนช่วยกันดันโซฟาตัวใหญ่เอาไว้ ส่วนอี้ฟาน ลู่หาน ชานยอลและเขากำลังแต่งตัวให้รัดกุมสำหรับการออกไปลุยข้างนอก
“แน่ใจนะว่าจะไม่ให้ผมออกไปด้วย?” จงแดถามชายหนุ่มสองคนที่นั่งเตรียมตัวอยู่บนพื้นไม้
“ฉันไม่อยากโดนลูกหลง โดยเฉพาะลูกกระสุนที่มาจากนาย” พอได้ยินจงอินพูดเจ้าหน้าที่หนุ่มก็หน้าเจื่อนไปในทันที ทิ้งช่วงไว้แค่อึดใจจงแดก็หยัดตัวนั่งลงยอง ๆ
“การที่พวกคุณออกไปแบบนั้นมันเสี่ยงมาก”
“แล้วมีวิธีที่ดีกว่านี้หรือเปล่า?”
“...”
“หน้าที่ของนายคือหลบอยู่ข้างในนี้กับคนที่เหลือ ถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาดให้ใช้ไรเฟิลลอบยิงมันจากข้างใน อย่าออกไปข้างนอกเด็ดขาด” จงแดได้เพียงแค่ฟังคำสั่งของอีกคนโดยที่พูดอะไรไม่ออก
“ทำไมพวกคุณถึงทำเพื่อผมขนาดนี้”
“ฉันแค่รับผิดชอบในสิ่งที่ทำไปก็เท่านั้น”
“...”
“มึงบอกว่าสัตว์ที่นี่เป็นพี่น้องของมึงไม่ใช่เหรอ” จงแดหันไปทางลู่หานที่กำลังมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไม่มีใครอยากให้ครอบครัวตัวเองต้องตายหรอก”
“...”
“ฝากเด็กป่วยสองคนนั้นด้วย” เจ้าหน้าที่หนุ่มพยักหน้ารับหลังจากที่จงอินพูดจบ เขาลุกขึ้นยืนแล้วค่อย ๆ ถอยออกมาจากตรงนั้นด้วยความรู้สึกผิดที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย จากที่เห็นคนพวกนี้คงไม่เชื่อในฝีมือเรื่องการยิงปืนของเขาซึ่งมันก็ถูกต้องแล้ว เขาน่ะเข้าขั้นแย่เลยล่ะ
“มึงคิดว่าฟันพวกมันคมพอที่จะกัดทะลุเสื้อหนังเปล่าวะ?” ลู่หานถามขณะเอานิตยาสารมาพันรอบแขนตัวเองเอาไว้ก่อนจะใช้ปากกัดเทปผ้าแล้วดึงออกตามวิธีที่เซฮุนบอก
“นั่นคือคำถามที่กูอยากรู้ แต่ที่รู้คือลิงพวกนั้นไม่เจาะจงกัดแค่แขนมึงแน่” จงอินมองไปยังนิตยาสารที่ถูกทาบด้วยเทปผ้าบนแขนเพื่อนซี้ ลู่หานแค่นหัวเราะแล้วเหวี่ยงแขนโชว์
“แต่กูปัดมันออกได้”
“อย่าเสือกตายห่าแล้วกัน”
“พนันกันไหมล่ะ ใครตายก่อนแพ้” ลู่หานยักคิ้วขณะมองเพื่อนที่กำลังรูดซิปเสื้อหนังขึ้นจนถึงคอ
“กลัวแล้วจะบอก” สองเพื่อนซี้แท็กมือกันก่อนจะหันไปพยักหน้าบอกชายหนุ่มร่างสูงทั้งสองคนที่เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ส่วนคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน เซฮุนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าอีกคนก่อนจะยื่นแม็กกาซีนสำรองให้จำนวนหนึ่ง ทั้งคู่สบตากันแค่ครู่เดียวจงอินก็เอื้อมมือขึ้นมายีหัวเด็กที่กำลังทำหน้าหงอยเบา ๆ
“อย่าทำหน้าแบบนั้น”
“ผมไม่รู้จะพูดเรื่องไหนก่อนดี ระหว่างเรื่องที่คุณกำลังจะออกไปเสี่ยงข้างนอกกับเรื่องที่ผมออกไปปิดประตูโดยไม่บอกคุณแถมยังทำไม่สำเร็จด้วย”
“ฉันรู้ว่านายคิดอะไรอยู่” ร่างบางจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยความสงสัย “ฉันเชื่อว่านายพยายามที่สุดแล้ว”
“...”
“ไปเตรียมตัวเถอะ” จงอินยีหัวคนที่กำลังยืนอึ้งกับคำพูดประโยคเมื่อครู่อีกครั้ง เซฮุนยิ้มแล้วพยักหน้ารับ พอลู่หานเห็นอย่างนั้นก็เกิดอาการอิจฉาตาร้อนขึ้นมา สองขาเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ คนตัวเล็กก่อนจะนั่งลงยอง ๆ
“เปาจื่อ ขอกระสุนให้พี่หน่อย” ยื่นแม็กกาซีนให้ทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ มินซอกยังคงง่วนอยู่กับการใส่กระสุนอยู่อย่างนั้นจนคนข้าง ๆ นึกน้อยใจ เขาจะออกไปเสี่ยงข้างนอกแล้วนะ ไม่คิดจะพูดหรือแสดงท่าทีว่าเป็นห่วงกันเลยหรือไง
“ต้องกลับมานะ”
“...”
“คุณไม่มีสิทธิ์โดนกัด” มินซอกยัดแม็กกาซีนอันสุดท้ายใส่เข้าไปในปากคนข้าง ๆ ที่กำลังอึ้งอยู่ ลู่หานยิ้มกว้างทั้งที่ปากยังคงคาบแม็กกาซีนเอาไว้ก่อนจะเอามันออกมา
“ไม่ชอบขัดใจแฟนซะด้วยสิ”
“จะไปไหนก็ไปเถอะ”
“จ้า จะไปเดี๋ยวนี้เลย” ลู่หานลากเสียงยาวแล้วเดินกลับเข้าไปหาชายหนุ่มสามคนที่ยืนรออยู่หน้าประตูแล้ว
ทั้งสี่คนมองหน้ากันเพื่อตั้งสติ ตรวจสอบเช็คสภาพตัวเองเรียบร้อยแล้วชานยอลก็เดินไปตรงโซฟาซึ่งสองสาวช่วยกันดันเอาไว้อยู่ ร่างสูงหันกลับไปมองชายหนุ่มทั้งสามคนก่อนจะหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเริ่มดันโซฟาออกจากหน้าต่างเล็กน้อย
ตามแผนที่วางกันไว้ว่าให้ชานยอลปาระเบิดไฟออกไปข้างนอกเพื่อเรียกความสนใจพวกมันไปรวมกันเป็นกลุ่มแล้วให้มินซอกอยู่ซุ่มยิงข้างในส่วนพวกเขาทั้งสี่คนจะออกไปจัดการกับพวกมันข้างนอก
พอสังเกตลาดเลาข้างนอกดีแล้วว่าไม่มีพวกลิงเกาะอยู่ข้างหน้าต่างฝั่งนี้ร่างสูงก็จุดไฟปาออกไปข้างนอก ไวเท่าความคิด พวกมันกระโดดลงจากหลังคาบ้านเข้าไปรุมไฟอย่างที่คาดไว้จริง ๆ
“ชานยอล!”
หันไปตามเสียงเรียกแล้วจงอินก็หมุนลูกบิดออก ทั้งสี่คนรีบวิ่งออกไปข้างนอกท่ามกลางพายุหิมะ ภาพทุกอย่างพร่ามัวไปหมดและแน่นอนว่าตอนนี้ระเบิดไฟมอดไปแล้วเพราะสภาพอากาศในตอนนี้
“เหี้ยแล้วไหมล่ะ” จงอินสบถเมื่อพวกมันกำลังแยกย้ายกันออกจากตรงนั้นทันทีที่ไฟแสงดับไป และเพียงแค่เสี้ยวนาทีเท่านั้นพวกมันก็กลับมาเห็นเขาทั้งสี่คน สองขาค่อย ๆ ก้าวถอยหลังพร้อมกับปืนที่ยกขึ้นตั้งระดับหัวไหล่ก่อนที่ร่างของลิงตัวหนึ่งจะกระเด็นไปทางด้านข้างเมื่อถูกเจาะเข้ากลางหัวโดยใครอีกคนที่ซุ่มยิงอยู่ในบ้าน
“ชานยอล?” อี้ฟานหันไปหาอีกคนที่จู่ ๆ ก็วิ่งกลับเข้าไปในบ้าน ทั้งสามคนต่างตกใจกับการกระทำของชานยอลซึ่งไม่ได้อยู่ในแผน พวกมันกำลังเข้ามาใกล้ทีละนิดจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นเร่งฝีเท้า
ครืนนนนนนนนนนนนนน!!!
แสงสว่างจ้าของไฟระเบิดขวดมาจากชายตัวสูงที่เพิ่งวิ่งเข้าไปในบ้านเมื่อครู่ ชานยอลก้มจุดไฟอีกครั้งแล้วปาระเบิดซ้ำไปอีกรอบโดยที่มีมินซอกยืนเล็งไรเฟิลอยู่ข้างหลัง แน่นอนว่าการจุดไฟท่ามกลางพายุหิมะชาติหน้าก็คงไม่ติด พอเห็นแบบนั้นทั้งสามหนุ่มเลยรีบจัดการเหล่าลิงนรกที่กำลังแตกตื่นเพราะไฟที่กำลังมอดไหม้เพื่อนฝูงของมันอยู่
ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
แม้ว่าจะติดเชื้อแต่ก็ยังมีความเป็นสัตว์อยู่ดี ลิงเหล่านั้นกำลังบ้าคลั่งหวีดร้องกับการตายของเพื่อนก่อนจะหันมาส่งเสียงข่มขู่มนุษย์ที่อยู่เบื้องหน้า สองขาวิ่งเข้าหาเป้าหมายไม่ถึงห้าก้าวก่อนจะกระโดดพุ่งเข้าใส่ ลู่หานชักมีดดาบออกมาแล้วฟันร่างนั้นขาดออกเป็นสองท่อนจนเลือดสีเข้มสาดกระจายลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะ จงอินปลดแม็กกาซีนทิ้งลงพื้นแล้วใส่อันใหม่เข้าไปใหม่พร้อมกับเล็งไปยังเป้าหมายอย่างใจเย็น สภาพอากาศในตอนนี้ทำให้พวกเขาได้เปรียบเมื่อหิมะที่กำลังตกลงมาอย่างหนักทำให้สัตว์ดุร้ายมองเห็นได้ไม่ดีเท่าที่ควร
กริ๊ก...
เสียงปลอกกระสุนไรเฟิลเด้งลงบนพื้นไม้ก่อนที่ร่างลิงตัวสุดท้ายจะล้มลงไปนอนจมกับกองหิมะ...ทุกคนที่อยู่ข้างนอกต่างหอบหายใจหนัก ควันสีขาวซึ่งออกจากปากทุกครั้งที่หายใจมาพร้อมกับรอยยิ้มของความสำเร็จ
คืนวันนั้น...
ห้องนอนทั้งสองห้องเป็นของผู้หญิงและคนป่วย อี้ชิงเข้าไปดูอาการเซฮุนกับแบคฮยอนแล้วก็ให้ยาลดไข้ไป ร่างบางไม่ได้ฝืนตัวลุกขึ้นมาช่วยคนอื่นเหมือนกับก่อนหน้านี้เพราะคิดว่าเขาควรจะพักผ่อนแล้วรีบฟื้นตัวให้เร็วที่สุดแทนที่จะเลี้ยงไข้ไปเรื่อย ๆ ส่วนแบคฮยอนผล็อยหลับไปตั้งแต่ช่วงเหตุการณ์สงบ
เด็กคนอื่น ๆ ต่างหามุมเงียบเป็นของตัวเองในห้องส่วนกลาง ใช้กระเป๋าเป้เป็นหมอนแล้วนอนพักผ่อนในขณะที่เหล่าชายหนุ่มบางคนยังคงนั่งจัดการเรื่องส่วนตัวอยู่ ลู่หานนั่งลอกเทปผ้าออกจากนิตยาสารบนแขนแล้วก็หันไปเห็นจงแดที่มาพร้อมกับขวดบรั่นดีในมือและแก้วเล็กอีกห้าใบ เขานั่งลงแล้ววางตะเกียงไว้ตรงกลาง
“คุณว่าพวกมันจะตายหมดหรือยัง?” ทุกคนค่อย ๆ หันไปมองหน้ากันทันทีที่ได้ยินคำถามของเจ้าหน้าที่หนุ่ม “พวกที่ตามไปกัดจูมงน่ะ...”
“...”
“พวกมันจะต้องอยู่แถวนั้นแน่ ๆ ” ตอนนี้ในหัวของคิมจงแดมีแต่ความหวาดกลัวอยู่เต็มไปหมด ตอนนี้สัตว์จะล้มตายไปแล้วกี่ตัว ใช่ว่าสัตว์ทุกชนิดจะจำศีลเสียเมื่อไหร่? “บางทีจูมงมันอาจจะหนาวตายตั้งแต่แรกแล้วก็ได้”
“...”
“ตั้งแต่เข้าฤดูหนาว ผมไม่เคยใช้ยาสลบเลยและนี่คือครั้งแรก มันทำให้ผมลืมนึกไปว่ามันอาจจะต้องหนาวตายท่ามกลางหิมะ” น้ำเสียงที่พูดออกมาราวกับรู้สึกผิดอยู่เต็มหัวใจ ชานยอลวางมือลงบนไหล่อีกคนพร้อมตบเบา ๆ “แต่ถ้าผมไม่ยิงมัน คุณก็คงถูกฆ่า”
ลู่หานหันมากระซิบบอกเพื่อนซี้ถึงชื่อที่ไม่คุ้นหูแล้วเจ้าตัวก็พยักหน้าเข้าใจ จงแดค่อย ๆ รินบรั่นดีลงในแก้วใบเล็กแล้วยกกระดก จากสีหน้าก็พอจะดูออกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนชอบดื่มนักถ้าเทียบกับใคร ๆ ในนี้ จงอินรินบรั่นดีให้ครบทุกแก้วแล้วส่งให้
“แด่จูมง”
“แด่จูมง” อี้ฟาน ชานยอลและลู่หานประสานเสียงกันพร้อมกับยกแก้วขึ้นมาระดับใบหน้า เจ้าหน้าที่หนุ่มหลุบสายตาลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วยกแก้วทั้งน้ำตาคลอ
“แด่จูมง...”
บรั่นดีไหลลงคอเพิ่มความอบอุ่นให้กับความหนาวเหน็บในค่ำคืนนี้ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ทุกคนต่างจมอยู่กับความคิดในหัวว่าจะเอายังไงต่อกับชีวิตดี
“พรุ่งนี้เช้าเราจะย้ายออกไปจากที่นี่” เจ้าหน้าที่หนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของประโยคเมื่อครู่ “ตอนแรกที่เข้ามาพวกเราตั้งใจจะค้างแค่คืนเดียวเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าทุกอย่างจะบานปลายจนทำให้คุณและสัตว์ที่นี่เดือดร้อน”
“พวกคุณจะไปไหนเหรอครับ?”
“ที่ไหนสักแห่ง” ลู่หานรินบรั่นดีแล้วดันแก้วไปทางเจ้าหน้าที่หนุ่ม “ที่มีอาหารกับที่พักให้พวกเราทุกคน”
“พวกเราต้องขอโทษคุณจริง ๆ ” เป็นอีกครั้งที่อี้ฟานกล่าวขอโทษอีกฝ่าย เขารู้สึกอย่างนี้ตั้งแต่วินาทีแรกที่รู้ว่าพวกเขาได้นำความเดือดร้อนมาให้ป่าไม้แห่งนี้
“เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ มันเรียกอะไรกลับคืนมาไม่ได้หรอกครับ” เจ้าหน้าที่หนุ่มพูดอย่างปลงตกในชีวิต เขาถอนหายใจอีกครั้งแล้วยกแก้วดื่ม
“แล้วจะเอายังไงต่อ หน้าต่างก็ถูกทุบจนแตกหมดแล้ว” จงแดเงียบไปกับคำถามของจงอิน ภายนอกดูเหมือนว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
“ถ้าพวกคุณต้องการที่พักและอาหาร ผมแบ่งให้ได้”
“...?”
“อะไรนะ?”
“แต่พวกคุณต้องทำให้ผมแน่ใจก่อนว่าลิงพวกนั้นตายหมดแล้ว” จงแดยื่นขอเสนอซึ่งทำให้ชายหนุ่มทั้งสี่คนหันไปมองหน้ากัน “เดินเข้าไปข้างในอีกห้าร้อยเมตรจะเจอกับบ้านพักนักท่องเที่ยว ที่นั่นมีที่พักหลายแบบทั้งบังกะโลและบ้านพักครอบครัว แต่พวกคุณอาจจะต้องเหนื่อยหน่อย”
“หมายความว่าไง”
“ที่นั่นมีพวกนักท่องเที่ยวติดเชื้อ พวกเขายังคงวนเวียนอยู่แถวนั้นทุกครั้งที่ผมขับรถผ่าน”
“ขับรถ?”
“ใช่ ผมต้องขับผ่านทางนั้นเพื่อที่จะออกประตูด้านข้างซึ่งมีไว้สำหรับเจ้าหน้าที่ ผมใช้ทางนั้นตอนออกไปหาอาหารข้างนอก”
“อ้อ...แบบนั้นนายก็เลยไม่ได้เข้าออกทางประตูลิงนรกนั่นสินะ?” จงแดพยักหน้าเป็นคำตอบ
“ก็ว่า...ถ้าเกิดนายเข้าออกประตูนั้นคงโดนพวกลิงไล่กวดจนไม่มีปัญญาลงจากรถมาปิดประตูแน่” ลู่หานพูด “ไหนจะเรื่องปากท้องอีก จะว่าขุดหน่อไม้ป่าทุกวันก็คงจะเกินไป มันต้องมีบ้างที่นายต้องออกไปหาเสบียงข้างนอก” เพราะเหตุการณ์ผ่านมาแล้วหลายเดือน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่หมอนี่จะขังตัวเองอยู่ข้างในโดยที่ไม่ออกไปพบปะโลกภายนอก
“การตกปลาเป็นทางเลือกที่ดีนะ” จงแดยิ้ม
“ไหนบอกว่าไม่กินสัตว์ไง?” ลู่หานเลิกคิ้วมอง
“นั่นหมายถึงสัตว์สงวน ผมไม่ใช่มังสวิรัตินะครับจะได้กินแต่พืชผัก” จริงอยู่ที่เขาเป็นคนรักสัตว์แต่ก็ไม่ขนาดว่าจะต้องอดอยากเพราะความเห็นใจอะไรขนาดนั้น “ถ้าพวกคุณจัดการพวกมันเรียบร้อยแล้วผมจะย้ายไปอยู่ที่นั่นด้วย”
“...”
“พวกคุณจะอยู่ถึงเมื่อไหร่ก็ได้ มันคือการตอบแทนที่ช่วยจัดการลิงพวกนั้นให้ผม”
“มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องตอบแทนเมื่อพวกเราเป็นคนทำให้คุณเดือดร้อน” ชานยอลหันไปมองอีกคนที่กำลังเครียดกับบทสนทนาในครั้งนี้
“ถ้าพวกคุณเลือกที่จะออกไปจากที่นี่โดยที่ลิงพวกนั้นยังคงอยู่ในป่า แน่นอนว่าผมจะไม่ตอบแทนอะไรเลยทั้งสิ้นนอกจากการปิดประตูใส่หน้า” เจ้าหน้าที่หนุ่มพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ผมทำคนเดียวไม่ได้แน่”
“...”
“ผมขอร้องพวกคุณ”
ประโยคขอร้องมาพร้อมกับสีหน้าของคนสิ้นหวัง จนวูบหนึ่งพวกเขานึกไปว่าคิมจงแดรักตัวเองมากเท่ากับรักสัตว์พวกนี้หรือเปล่า ทั้งสี่คนหันไปมองหน้ากันราวกับขอความเห็น การอยู่ที่นี่ก็ไม่แย่อะไรและแน่นอนว่าใครคนหนึ่งเป็นคนตัดสินมันไม่ได้
“เรื่องพักอยู่ที่นี่ผมขอถามคนอื่น ๆ ก่อน ส่วนเรื่องจัดการลิงพวกคุณว่าไง?” อี้ฟานถามชายหนุ่มทั้งสามคนที่กำลังยกแก้วดื่ม
“ลุยสิ”
“ตามนั้นแหละ”
“ผมโอเค”
พอเห็นทั้งสามคนไม่คัดค้านอะไรอี้ฟานเลยหันไปพยักหน้าเป็นการตอบตกลง จงแดยิ้มบาง ๆ แล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก ถึงตอนนี้เขาอาจจะสูญเสียสัตว์ไปหลายตัวแล้วแต่มันก็คงดีกว่าเสียไปทั้งหมด
“นี่ไม่คิดจะย้ายออกไปจริง ๆ เหรอวะ ฉันหมายถึงโลกภายนอกที่ไม่ได้มีแต่ป่าไม้แบบนี้” ลู่หานถาม ดูท่าไอ้หมอนี่จะยึดมั่นในอุดมการณ์อยู่พอสมควร บางทีก็อยากรู้ว่าถ้าไม่มีพวกเขาแล้วที่นี่ถูกฝูงลิงบุกมันจะทำยังไง จะยังคงปักหลักอยู่ตรงนี้อีกไหม “ทำไมถึงได้ทุ่มเทเพื่อพวกมันขนาดนั้น?”
“คุณเคยได้ยินเรื่องเรือโนอาห์ไหม?”
“...”
จงแดยิ้มบาง ๆ แล้วลุกขึ้นไปเอากรอบรูปที่ติดอยู่บนผนังมาวางไว้ใกล้ ๆ ตะเกียง ทุกคนมองเจ้าหน้าที่หนุ่มที่กำลังจดจ้องอยู่กับรูปถ่ายแล้วก็พูดอะไรไม่ออก
“ทุกคนมีความเชื่อที่ต่างกันออกไป”
“...”
“และผมเชื่อว่าสักวันโลกจะต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง”
ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ซึ่งมาพร้อมกับรอยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้า แน่นอนว่าพวกเขาทั้งสี่คนเลิกหวังเรื่องนี้ไปตั้งแต่ตอนที่เห็นผู้คนเข่นฆ่ากันเป็นผักปลาแล้ว ได้แต่คิดในใจว่าถ้าผู้ชายคนนี้ไม่อ่อนต่อโลกก็คงเป็นคนที่โลกสวยจนมากเกินไป ถ้าเกิดคิมจงแดพบเจอสิ่งที่พวกเขาเคยผ่านพ้นมาบางทีหมอนี่อาจจะทิ้งสิ่งที่เรียกว่าความหวังไว้ข้างหลังก็ได้
“พอถึงตอนนั้นคงมีแต่ผู้รอดชีวิต...แต่สัตว์ที่จะสืบพันธุ์ต่อไปล่ะ?”
“...”
“นั่นคือเหตุผลที่ผมยังอยู่ที่นี่”
“ใช่ ทุกคนต่างมีเหตุผลในการมีชีวิตอยู่” จงอินพูดเบา ๆ แล้วหยิบกรอบรูปมาดูใกล้ ๆ มันคือรูปคิมจงแดที่กำลังฉีกยิ้มกว้างตอนอุ้มลูกเสือไว้ในอ้อมกอด มันถ่ายทอดได้ถึงความรักความผูกพันระหว่างทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี
คิมจงแดเลือกที่จะอยู่ตรงนี้เพื่อส่วนรวม แต่พวกเขาเลือกที่จะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?
รอวันตายงั้นหรือ?
“บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นมันอาจจะเป็นบททดสอบของพระเจ้า ท่านอาจกำลังสอนให้พวกเราหัดเรียนรู้วิธีการอยู่รอดเพื่อกันและกัน”
จงอินชะงักไปครู่หนึ่งกับประโยคสุดท้ายก่อนจะค่อย ๆ หันไปทางด้านขวา ประตูห้องนอนที่ปิดสนิททำให้นึกถึงใครอีกคนที่นอนซมอยู่ข้างในนั้น เด็กสองคนที่ป่วยเหมือนกันแต่คนหนึ่งเหมือนน้องชายที่เขาต้องดูแล แต่กับอีกคนมันต่างออกไปตรงที่เด็กคนนั้นมีอิทธิพลต่อจิตใจผู้ชายคนนี้ ถึงจะรู้ดีว่าเซฮุนไม่ได้เป็นอะไรมากนอกจากอากาไข้ขึ้น กินข้าวกินยาแล้วนอนพักไม่เกินสองวันก็คงหายถ้าเกิดไม่ลุกขึ้นมาวิ่งเต้นช่วยคนอื่นอย่างที่เจ้าตัวเคยทำ
‘อยู่รอด...เพื่อกันและกัน’
คำพูดของคิมจงแดทำให้เขาอยากกอดเซฮุนเอาไว้แน่น ๆ ขึ้นมาเสียอย่างนั้น...
‘แล้วถ้าเหตุผลที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่คือคุณ...มันจะฟังขึ้นหรือเปล่าครับจงอิน?’
เข้าใจแล้ว...
เพราะเหตุผลของการที่คิมจงอินยังมีชีวิตอยู่ในทุกวันนี้ก็เพราะว่าเขายังมีโอเซฮุนคอยอยู่ข้าง ๆ ไงล่ะ...
TBC
พระเอกตื่นละ
ไม่รู้จะพูดถึงอะไรดี ฉากลิงนี่ปวดหัวมากตัวละครเยอะวุ่นวายจริง ๆ จะบรรยายยังไงไม่ให้คนนี้หายไปในฉาก งงไปหมดเล่อะ
ตอนหน้า B ค่ะ เราไปทำความสะอาดบ้านพักกันนะ
ความคิดเห็น