คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : Chapter 20 :: His Gift (100%)
Chapter 20
His Gift
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!!!”
เสียงโหยหวนของความเจ็บปวดแผดลั่นไปทั่วห้องนอนที่ถูกตกแต่งอย่างสวยหรู มือหนาเอื้อมขึ้นมากลางอากาศ มันกำลังสั่นระริกกับอาการเกร็งตรงช่วงเอวและขาที่ถูกงัดขึ้นในท่ามวยปล้ำ
“ที่ร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!”
จงอินฟาดมือลงกับเตียงรัว ๆ เป็นเชิงบอกว่ายอมแพ้แล้ว แต่นักมวยปล้ำที่สมยอมเขาทุกคืนกลับไม่ใจอ่อนง่าย ๆ เซฮุนยังคงดัดขาอีกคนอยู่อย่างนั้นก่อนจะพลิกตัวมานั่งคร่อมหลังแล้วจิกกลุ่มผมคนรักให้เชิดหน้าขึ้น
“มึงไม่รู้จักกูใช่ไหม?!”
“ร...รู้จักแล้วจ้า อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
แม้จะหยอดคำหวานแค่ไหนแต่เหมือนว่าจะบี๊บให้เซฮุนเดือดกว่าเดิมอีก พ่องตรัย ต้องให้กูกราบตีนงาม ๆ สามทีแบบเบญจางคประดิษฐ์แล้วตบท้ายด้วยการใส่กระโปรงชีฟองสวอนเลคเข้ามาในห้องพร้อมกับถอนสายบัวท่าเยอรมันสปีชป่ะครับถึงจะหาย
“เผลอไม่ได้เลย มึงนี่มันชั่วจริง ๆ เชี่ยถ่าน” ด่าอย่างเดียวก็ร้าวไปถึงซีรีบรัมละมึงยังจะตบหัวกูอีกเหรอ เอาให้ความจำเสื่อมเหมือนอีพระเอกฟิคซอมบี้เลยดีไหมจะได้ดราม่ากันรายตอน ซั้ซ!!!
“เค้าก็อธิบายให้เตงฟังแล้วไงว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น...” อ้อยไปก็กระดากปากตัวเองไป นี่กูยอมขุดสรรพนามดาก ๆ มาเรียกมึงเลยนะฮุนจ๋า
“อย่ามาตอแหล มึงมันหน้าม่อ เห็นผู้หญิงเป็นไม่ได้หางนี่กระดิกดิ๊ก ๆ ๆ เชียว”
เซฮุนยังคงเขย่าหัวไอ้ชั่วที่บังอาจหักหน้าเขาต่อหน้าแฟนคลับผู้ซึ่งอยู่ในฐานะชู้แทนที่จะทำให้เขาสบายใจ ยกตัวอย่างเช่นพูดอ้อมค้อมยังไงก็ได้ให้เขาเข้าใจว่ามันกำลังแสดงความรักในขณะเอ่ยปากปฏิเสธ
“มึงก็อี๋อ๋อกับน้องฮยอนอาเหมือนกันแหละวะ!” เอาสิ! มึงงี่เง่ามากูงี่เง่ากลับ ไหน ๆ ก็ไม่ฟังกันอยู่ละ เหตุผลใด ๆ ในโลกมันก็กะโปกไร้เหตุผลได้ทั้งนั้นล่ะ
“นั่นมันงาน มึงก็รู้ว่ากูไม่โอเคกับยาหยีของมึงเลยสักนิดเดียว กูคงมีอารมณ์หวีดกับมันหรอกนะห่า” เซฮุนแค่นหัวเราะพลางมองอีกคนที่พลิกตัวขึ้นนอนหงาย ส่วนกูก็ใจดียกตูดขึ้นให้มันขยับตัวอีกนะ
“มึงอ้างงาน กูก็อ้างได้เหมือนกันว่ะ”
“โห ยังจะแถต่ออีกว่างั้น มึงนี่ไม่สำนึกแล้วยังจะยอกย้อนอีก นิสัยแบบนี้ได้ใครมามึงตอบให้กูชื่นใจซิ?” พูดจบก็ตบหัวคนรักไปอีกที “นี่ยังไม่ได้สะสางคดีที่มึงไปแลกไลน์กันลับหลังกูนะ แชทล่าสุดนี่ทำกูลั่นเลย”
“กูแค่ตอบว่า ‘จ้า’ เองป่ะวะที่รัก มึงก็น่าจะรู้ว่ากูเป็นตัวผู้ที่แอบแฝงไปอยู่ในดงติ่งหูเพื่อตามถ่ายรูปมึงอ่ะ” จงอินทำหน้าหงอพร้อมกับวางมือลงบนเอวคนรัก “ฮุนจ๋า~” เจ้าของชื่อเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มแล้วมองไอ้ดำที่ลุกขึ้นนั่งกอดเอวเขาเอาไว้ “แฟนกูทั้งหล่อ ทั้งน่ารักแบบนี้ใครจะไปนอกใจลงวะหื้ม?”
“...”
“ดูดิ ชะนีเด็กจะเอาอะไรมาสู้มึง?” จงอินทำตาโตแล้วมองเรือนร่างคนรักที่ยังอยู่ในชุดถ่ายละคร ตาก็บวมอีก กูทั้งสงสารทั้งขำกับสีหน้ามันตอนร้องไห้ในกองถ่าย
“...”
“ก็แค่มีนม” ร่างหนาทาบมือลงบนแผงอกแบนราบ “มี...อึ๋ม...”
จงอินส่งเสียงในลำคอพร้อมกับทำจมูกบานตอนเลื่อนระดับสายตาลงมาหยุดตรงเป้ากางเกง แน่นอนว่าถ้าจับลงตรงนั้นเขาต้องเจอข้าวหลามหนองมนเป็นแน่แท้ และตอนนี้มันไม่ใช่สถานการณ์ที่จะปลุกความเป็นชายในตัวคุณทั้งที่อยู่บนสังเวียนมวยปล้ำ
“แค่ตัวเล็กกว่า ไหล่แคบกว่า” พูดพร้อมกับปะป่ายไปตามตัวคนรักที่ปัจจุบันสูงกว่าเขาแล้ว ถ้ารู้ว่าโตขึ้นเซฮุนมันจะหล่อ จะสูงขนาดนี้สิบปีก่อนกูน่าจะเป็นเมียมึงให้รู้แล้วรู้รอดไปซะ
แหม่...หยอก ๆ ๆ ๆ
เรื่องความสูงมันวัดการเป็นฝ่ายรุกฝ่ายรับบ่ดั้ยดอก
“สรุปที่พูดมาทั้งหมดกูมีเหี้ยอะไรดีบ้างเนี่ยสัด”
ป๊าบ!!!
ตบหัวไปอีกทีนึง นี่มึงกำลังจะกวนส้นตีนกูใช่ไหมจงอิน มึงกำลังจะแซะว่ากูเป็นเพศผู้ที่ไม่มีอะไรจะเอาไปเทียบกับผู้หญิงได้เลยสินะ! มึงนี่มันร้ายนักหลอกด่าได้แม้กระทั่งแฟนตัวเอง เลว ชั่ว!
“โห่ไรวะที่รัก ก็เพราะว่ามึงไม่มีแบบนั้นไงกูถึงได้หลงจนโงหัวไม่ขึ้นแบบเนี้ย” ชายหนุ่มลูบหัวป้อย ๆ แล้วฟาดมือลงบนก้นแน่น ๆ ไปทีนึงอย่างหมั่นเขี้ยว “รวั๊กเลยอ่ะ!”
“ตอแหล ถ้าได้น้องฮยอนอามึงก็เอากูรู้”’
“อันนั้นกรณียกเว้น เอ้ยย!!! ล่ะล่ะล้อเล่นน่า...” จงอินคว้าข้อมือคนรักไว้ทั้งสองข้างเมื่อเซฮุนทำท่าจะเข้ามาแดกหัวเขาอีกรอบ “ไคจ๋าน่ะรักฮุนจ๋าที่สุดในจักรวาลเลยไม่รู้เหรอ”
“ถุ้ย!”
“เลิฟเลย” จงอินทำมือเป็นรูปตัวแอลแล้วขยิบตา
“กูเคยบอกมึงแล้วใช่ไหมว่าให้ระวังตัวดี ๆ” ดูเหมือนว่าเซฮุนจะยอมโอนอ่อนลงบ้างหลังจากได้ระบายกับร่างกายของอีกฝ่ายจนสาแก่ใจ
“เรื่องนี้กูสะเพร่าเอง นี่ยอมให้ที่รักเหวี่ยงจนกว่าจะหายงิดเลยก็ได้แต่ต้องหายโกรธนะโอเคไหม?” จงอินเขี่ยปลายจมูกรั้นพร้อมกับกัดริมฝีปากล่างอ่อย ท่าทางแบบนี้ถ้าคนเห็นไม่ใช่โอเซฮุนคงโดนรุมประชุมตีนที่หลากหลายได้
“ยอมให้เหวี่ยง?”
“จ้ะ”
“จนกว่าจะสาแก่ใจ?” ร่างบางหักนิ้วพร้อมกับขยับตัวให้อยู่ให้ท่าถนัด ๆ จงอินถึงกับตาเหลือกส่ายหน้าอย่างช้า ๆ ทันทีที่เห็นว่าเซฮุนมันจะเล่นเขาในท่ามวยปล้ำอีกแล้ว
“ด...เดี๋ยว!!! ที่รัก อ...อย่าดึงตรงนั้น อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!”
กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงง!!!
คนตัวเล็กลูบ ๆ คลำๆ ตามที่นอนไล่ไปจนถึงโต๊ะข้างเตียงแล้วกดปิดเสียงนาฬิกาปลุกทั้งที่ยังหลับตาอยู่ แบคฮยอนใช้เวลาไปกับการตั้งสติอยู่ราว ๆ ห้านาทีก่อนจะลืมตาขึ้น ถึงจะปิดเทอมแล้วแต่วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เขาจะต้องไปโรงเรียนเพื่อประชุมในช่วงแปดโมงครึ่ง และหลังจากนี้บยอนแบคฮยอนคงได้หยุดยาวจนกว่าจะเปิดเทอมใหม่
ร่างเล็กลุกขึ้นเดินไปคว้าเอาผ้าขนหนู เดินหลับไปจนถึงประตูแล้วเปิดออกก่อนจะผงะถอยหลังทันทีที่เห็นว่าเด็กตัวสูงยืนดักรออยู่พร้อมกับอะไรบางอย่างในมือ แบคฮยอนเรียกสติตัวเองอยู่ครู่หนึ่งแล้วขยี้ตาให้มองภาพตรงหน้า แล้วก็ได้รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในมือชานยอลคือถาดสีเข้มที่มีแก้วนมสด ขนมปังปิ้ง ไข่ดาวและไส้กรอกที่อยู่ในจานพร้อมกับซอสที่วาดเป็นรูป Smile
แบคฮยอนเงยหน้ามองหลานชายที่กำลังยิ้มแฉ่งแล้วก็เกาหัว ชานยอลถือถาดอาหารด้วยมือเดียวแล้วเอามืออีกข้างมาช่วยปัดเผ้าผมที่ชี้โด่เด่ให้คนตัวเล็กกว่าจนคนเป็นน้าถึงกับสะดุ้งเล็กน้อยกับสัมผัสที่ไม่ทันได้ตั้งตัว บอกตามตรงเลยก็ได้ว่าเขาไม่เคยชินเลยสักครั้งเวลาถูกเด็กนี่สัมผัส และคิดว่าคงไม่มีทางชินได้ง่าย ๆ ด้วย
“อะไรของแก” ประโยคโง่ ๆ ถูกถามออกไปเพราะสงสัยกับสิ่งที่เห็น ก็ร้อยวันพันปีชานยอลมันเคยแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาเข้าครัวเสียเมื่อไหร่กันล่ะ แค่ตื่นมาอาบน้ำไปโรงเรียนก็ทำหน้าง่วงเหมือนคนไม่ได้นอนมาสามวันสามคืนยังไงอย่างนั้น
“ผมทำมื้อเช้าให้ เดี๋ยวเอาไปวางไว้บนโต๊ะนะ” เด็กตัวสูงไม่ได้ต่อล้อต่อเถียง หนำซ้ำยังอมยิ้มเดินไปหน้าตาเฉยอีก แบคฮยอนชะโงกหน้ามองตามอีกคนที่เดินไปหยุดอยู่ตรงโต๊ะอาหารพร้อมกับจัดแจงมื้อเช้าสำหรับสองที่อย่างตั้งใจ
ใช้เวลาไม่นานสำหรับการอาบน้ำแต่งตัว น้าชายตัวเล็กก็เดินออกมาในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามหลานชายตัวโต แบคฮยอนมองคนตรงหน้าเป็นระยะ แน่นอนว่าเขาจะหลบสายตาหนีทุกครั้งที่ชานยอลหันมา
“เห็นทีวันนี้ฉันคงต้องพกร่มไป”
“กลัวฝนเหรอ ผมไปรับเอาป่ะ?” ชานยอลทำหน้ากวนประสาท
“มะเหงกเถอะฉันมีรถ จะแซะที่แกเข้าครัวหรอก” ร่างเล็กขยับปากบ่นแล้วมองอาหารเช้าก่อนจะตัดสินใจกินขนมปังปิ้งก่อน “ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตีสี่ครึ่ง”
“...” พอเงยหน้าขึ้นก็ต้องชะงักอีกครั้งเพราะคนเป็นหลานกำลังเท้าคางมองเขาอย่างใจจดใจจ่อราวกับกำลังลุ้นผล แบคฮยอนอมขนมปังปิ้งไว้ในปากแล้วค่อย ๆ เคี้ยวก่อนจะดื่มนมตามเพราะทำตัวไม่ถูก
“อร่อยไหม?”
“อือ” ขานตอบทั้งที่ยังไม่วางแก้วลง และแน่นอนว่ามันทำให้เด็กตัวสูงยิ้มอย่างพอใจ
“ไส้กรอกบ้างดิ”
“แกก็กินสิ” แบคฮยอนดุคนเป็นหลานที่เอาแต่นั่งมองเขาอยู่ได้ รู้ไหมว่ากูเกร็งไปหมดแล้วเนี่ย
“ผมอิ่มแล้วอ่ะ ไม่สิ อันที่จริงแล้วผมยังไม่ค่อยหิว” ชานยอลมองอาหารเช้าในจานของตัวเองแล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“หือ?”
“...”
“...”
“ผมกินไข่ดาวไหม้กับขนมปังปิ้งเกรียม ๆ ไปเยอะแล้ว...ก็เลย” เด็กตัวสูงถูจมูกตัวเองอย่างขลาดอายก่อนจะหัวเราะแห้ง ๆ
“...” แบคฮยอนยังไม่ละสายตาออกห่างจากหลานชายตัวสูง หมายความว่าไอ้เด็กนี่ทำขนมปิ้งกับไข่ดาวเละไม่เป็นท่าเลยกินทั้งหมดเอง แล้วจัดเรียงส่วนที่ดูดีที่สุดให้กับเขางั้นเหรอ?
“งั้นเดี๋ยวผมกินเป็นเพื่อน” เด็กหนุ่มกำส้อมเอาไว้แล้วทิ่มลงกลางไข่แดงจนแตก แต่ไหนแต่ไรชานยอลก็ชอบทำแบบนี้อยู่แล้ว แต่ไหงวันนี้เขาถึงได้รู้สึกหวาด ๆ กับพฤติกรรมแบบนั้นเพราะในหัวมันเผลอจินตนาการเรื่องวิปริตขึ้นมา
“นิสัยเสีย...กินดี ๆ ดิ”
“ทำไมอ่ะ?” เด็กตัวสูงใช้ช้อนกวาดเอาไข่แดงของโปรดขึ้นมากินพร้อมกับเลิกคิ้วถาม แบคฮยอนค้างสองมืออยู่ท่านั้นแล้วก็พูดไม่ออก
“หมายถึงให้กินเหมือนคนปกติเขากินกันน่ะ...”
“แล้วผมไม่ปกติตรงไหน?”
“ไม่ปกติตรงที่เป็นแกนี่แหละ กินซะ” ปิดการขายเพียงเท่านี้ บยอนแบคฮยอนรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้าที่คิดอกุศลไปคนเดียวทั้งที่คนตรงหน้าก็ไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้น
ชานยอลมองน้าชายที่ก้มหน้าก้มตากินก็ยิ้มขำก่อนจะอ้าปากหาวหวอด ๆ แล้วฝืนกินต่อไป และแน่นอนว่าพฤติกรรมทุกอย่างมันอยู่ในสายตาคนตัวเล็ก แบคฮยอนเพ่งมองจับผิด จากอาการที่เห็นมันพอจะทำให้เดาได้ว่าไอ้เด็กคนนี้มันไม่ได้ตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
“แกยังไม่ได้นอนใช่ไหม?”
“...”
“หืม?” แบคฮยอนหรี่ตามองจับผิด ชานยอลเม้มปากจนเป็นเส้นตรงแล้วส่ายหน้าช้า ๆ เป็นคำตอบ “เล่นเกมจนเช้าอีกอ่ะดิ?”
“อันนั้นก็ส่วนนึง แต่ผมมีเหตุผลที่เล่นมันนะ” ชานยอลรีบแย้งขึ้นมาเมื่อเห็นว่าน้าชายตัวเล็กดูเหมือนจะไม่เชื่อเขา
“เหตุผลอะไรมิทราบ?”
“ถ้านอนผมคงตื่นไม่ทัน ทางออกที่ดีที่สุดคือไม่ต้องนอนไง” เห็นเด็กตัวสูงยักคิ้วแล้วคนเป็นน้าถึงกับแค่นหัวเราะ
“ง่วงก็นอนสิจะฝืนทำไม ตอนปิดเทอมฉันไม่ได้จิกหัวให้แกตื่นแต่เช้าสักหน่อย” แบคฮยอนว่าแล้วก็หันไปมองอีกคนที่หอบจานอาหารเช้ามานั่งข้าง ๆ เขา
“กับสิ่งที่อยากทำเขาไม่เรียกว่าฝืนหรอกนะแบคฮยอน”
“อย่างแกเขาเรียกเห่อ ฉันเดาได้เลยว่าแกจะเป็นแบบนี้ได้อีกสองวันอย่างเก่ง” ร่างเล็กชูสองนิ้วเป็นท่าประกอบแล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเด็กตัวสูงจับมือเขาเอาไว้หน้าตาเฉย
“วันนี้ผมไม่ได้นอนแต่วันหลังผมจะต้องตื่นให้ทัน แล้วก็จะทำมื้อเช้าให้น้ากินทุกวันแบบอาทิตย์นึงไม่ซ้ำเมนูด้วย บอกมาเลยว่าอยากกินอะไรเดี๋ยวจะไปหัดทำ”
เขาเห็นว่าคิ้วหนา ๆ กำลังขมวดเล็กน้อยกับประโยคที่สื่อออกมาถึงความตั้งใจ ซึ่งแบคฮยอนก็ไม่ได้ตอบในทันที เขากำลังพยายามอ่านใจเด็กคนนี้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่แต่ก็เท่านั้นแหละ เขาไม่รู้หรอกว่าชานยอลกำลังคิดอะไรอยู่
“แค่นี้ครัวฉันก็เละเทะไม่เหลือชิ้นดีแล้วมั้ง”
“ยังไม่เละ ผมเก็บเรียบร้อยแล้วด้วยไม่เชื่อไปดู” ชานยอลผินหน้าไปทางห้องครัวพร้อมกับเอามืออีกข้างเขย่าแขนร่างเล็ก แบคฮยอนพยายามชักมือกลับแต่เด็กหนุ่มกลับจับไว้แน่นกว่าเดิมอีก
“แป้บนึงดิ”
“แป้บบ้าไร ปล่อยเลยนะ”
“ขอจับหน่อยไม่ได้เหรอ จะงกไปไหนแบคฮยอน นี่หลานนะ”
“นี่ก็น้าเหมือนกัน” พูดจบก็เอามืออีกข้างผลักหัวไปทีนึง แต่น่าแปลกที่ชานยอลกลับเอาแต่ยิ้มแทนที่จะชักสีหน้าใส่เหมือนอย่างเคย
“วันนี้ประชุมเสร็จตอนไหน”
“ไม่แน่ใจ คงช่วงบ่ายมั้ง อย่าบอกนะว่าจะทำมื้อเที่ยงรอ เลิกความคิดนั้นไปได้เลย” ทันทีที่เห็นว่าแบคฮยอนกำลังมองเขาอย่างหวาด ๆ เด็กหนุ่มก็หลุดขำออกมาอีกครั้ง
“เปล่า ถ้าเลิกเร็วไปดูหนังกันไหม”
“ดูหนัง?”
“ใช่”
“หมดสิ้นเพื่อนจะคบแล้วเหรอถึงได้ชวนฉันเนี่ย”
“ก็ไอ้เทามันไปดูกับคนอื่น คนในวงก็ดูหมดแล้ว เพื่อนในห้องไม่มีใครว่างสักคนเพราะยุ่งเรื่องสอบเข้ามหาลัย เหลือแค่ผมคนเดียวที่ยังไม่ได้ดูเรื่องนี้ ผมเลยมาชวนน้าไง”
ชานยอลแหลอย่างจริงจัง และแน่นอนว่าน้าชายตัวเล็กไม่ได้ตกหลุมพรางในครั้งนี้ง่าย ๆ เขาน่ะรู้จักไอ้เด็กนี่ยิ่งกว่าใคร เรื่องตอแหลนี่ที่หนึ่งไม่มีใครเทียบ แถมยังแถหน้าตายอีกด้วย
“ใสเจียเสียใจ ฉันมีนัดกับไอ้เซฮุนแล้ว” ชานยอลอ้าปากหวอแล้วปล่อยให้แบคฮยอนชักมือกลับอย่างง่าย ๆ
“ไปกับพี่เซฮุนเหรอ?!”
“ใช่ แล้วก็ไม่ต้องขอไปด้วยนะ เรื่องของผู้ใหญ่” ร่างเล็กดื่มนมจนหมดแก้วแล้วดึงทิชชู่ออกมาเช็ดปากก่อนจะลุกขึ้นยืน ชานยอลเงยหน้ามองน้าชายตาปริบ ๆ เป็นเชิงขอความเห็นใจแต่แบคฮยอนกลับลอยหน้าลอยตาเดินไปหยิบกุญแจรถ
“ให้ผมไปด้วยดิ”
“ไม่”
“แบคฮยอนอา ผมก็อยากเจอพี่เซฮุนเหมือนกันนะ” ชานยอลเอาคางเกยกับพนักเก้าอี้ ส่งสายตาอ้อนวอน ส่วนคนเป็นน้าก็ทำมือปัด ๆ แล้วเปิดประตูบ้านออกมาครึ่งหนึ่งแล้วหันกลับไปมองหลานชายอีกครั้ง
“เย็นนี้อยากกินที่บ้านหรือข้างนอก”
“หา?”
“ฉันหมายถึงว่าเราจะกินข้าวกันที่บ้านก่อนหรือว่าไปกินข้างนอกแล้วค่อยดูหนัง ทำไมต้องให้อธิบายยาว ๆ ด้วยเนี่ย เรียนจนจบม.ปลายแล้วยังคิดตามประโยคสั้น ๆ ไม่ได้อีกเหรอ ซื่อบื้อเอ้ย!” แบคฮยอนขยับปากบ่นพร้อมกับเปิดประตูบ้านแต่คนเป็นหลานกลับยิ้มกว้างแล้วรีบวิ่งตามออกไปก่อนทาบแก้มลงกับขอบประตูขณะที่น้าชายตัวเล็กกำลังจะเข้าไปในรถ
“กินข้างนอกแล้วค่อยดูหนัง! ไปกันสองคนนะ ผมจะรอ <3”
50%
เด็กหนุ่มยืนอยู่หน้ากระจก นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ตั้งใจเซ็ทผมแบบนี้นอกจากตอนขึ้นเวทีแข่งดนตรีกับไปเดทกับผู้หญิงที่เคยชอบมาก ๆ เสื้อผ้าชุดเก่งที่ไม่ค่อยได้หยิบจับออกมาใช้ถ้าเกิดว่าวันนั้นไม่ใช่วันสำคัญ แต่วันนี้เขาได้เอามันออกมาใส่แล้ว
ดวงตากลมโตมองทรงผมตัวเองพร้อมกับใช้มือจับมันจนเป็นทรงแล้วก็ยิ้มกว้างเมื่อคนในกระจกหล่อจนเป็นที่น่าพอใจแล้ว ชานยอลฉีดสเปรย์สำหรับผู้ชายไปทั่วตัวก่อนจะก้มลงเช็คกลิ่นว่ามันหอมพอหรือยัง แม้ว่าอีกตั้งห้าชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัดแต่เขาก็ไม่สามารถปล่อยให้เวลาเหล่านั้นทำร้ายเขาด้วยความตื่นเต้นแน่ ๆ
เด็กหนุ่มเดินไปหยุดอยู่ตรงประตูห้องแล้วจ้องมองโปสเตอร์มอเตอร์ไซค์ดูคาติ มอนเตอร์สีแดงดำที่เขาอยากได้นักอยากได้หนาก่อนจะจูบนิ้วมือแล้วทาบลงบนรูปก่อนจะออกไปข้างนอก
เดินไปตามถนนลาดชันอย่างไม่เร่งรีบ วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสเรียกรอยยิ้มจากเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปลาย ๆ ได้เป็นอย่างดี มือแกร่งล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของโทรศัพท์มือถือ แล้วก็ได้รู้ว่าคนที่ไลน์มานั่นไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากหวงจื่อเทาเพื่อนรักเพื่อนหอกที่นัดกันไว้
จื่อเทา NO.1 FC พี่เซฮุน
ถึงล้า 13:30
ข้อความเดียวก็ทำให้เข้าใจได้ง่าย ๆ แต่ปาร์คชานยอลไม่คิดที่จะตอบกลับไป เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อมือถือสั่นอีกรอบ ชานยอลหรี่ตามองข้อความตัดพ้อที่อีกคนส่งมาแล้วก็เบ้ปาก
จื่อเทา NO.1 FC พี่เซฮุน
อ่านไม่ตอบ งอน 13:32
จื่อเทา NO.1 FC พี่เซฮุน
13:32
13:32 เรื่องมึง
ตอบกลับไปแค่นั้นแล้วเก็บมือถือใส่ในกระเป๋ากางเกงก่อนจะโบกแท็กซี่ให้จอด เด็กหนุ่มเข้าไปนั่งในรถแล้วหยิบหูฟังขึ้นมาใส่ บอกเป้าหมายที่จะไปเรียบร้อยแล้วก็กดเข้าเครื่องเล่นเพลง ไม่นานนักก็มาถึงจุดหมายที่ไอ้เทาเป็นคนเลือก
ชานยอลผลักประตูกระจกร้านขายไก่เข้าไป ข้างในมีลูกค้าไม่มากนักเพราะยังอยู่ในช่วงบ่าย เด็กหนุ่มโค้งหัวให้เจ้าของร้านตามมารยาทพร้อมรอยยิ้ม อ้อลืมบอกไปสินะว่าที่นี่คือบ้านของจองอึนจี สตรีผู้โหดสัดซึ่งเป็นหัวหน้าห้องของเขา
เด็กตัวสูงนั่งลงฝั่งตรงข้ามเพื่อนตัวเขียวที่มองเขาด้วยแววตาตัดพ้อ ส่วนปากก็คาบหลอดเอาไว้ แทนที่มันจะเอาแก้วขึ้นมาดูดน้ำดี ๆ แต่เสือกก้มหัวลงไปดูดโค้กจากแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะ เห็นงี้ปาร์คชานยอลก็อายแทนเลยตบกะโหลกมันไปทีนึงเพื่อเรียกสติ
“อะไรว้า มาถึงก็ตบหัวอ่ะ”
“มึงเคยคิดจะคีพลุคบ้างป่ะห่า หน้าตาก็โหดอย่างกับแรงงานพม่าแต่เสือกทำตัวงิ้งเหมือนเด็กผู้หญิงม.ต้น”
“กูไปทำแบบนั้นเมื่อไหร่ แค่กูก้มลงดูดน้ำมึงก็หาเรื่องว่ากูแล้วช่ะ” จื่อเทาเลิกคิ้วมองเพื่อนอย่างหาเรื่องก่อนจะหลุบตาลงมองเสื้อผ้าหน้าผมอีกฝ่ายอย่างจับผิด “เหวย ๆ ๆ วันนี้แต่งซะหล่อเชีย...”
“กูก็หล่อทุกวันอยู่แล้ว” ชานยอลพยายามปั้นหน้านิ่งเก็บอาการ เขาจะไม่มีทางเล่าให้มันฟังแน่ว่าที่แต่งองค์ทรงเครื่องมาอย่างดีแบบนี้ก็เพื่อจะไปดูหนังกับคนที่เขาพูดอยู่ทุกวันว่าเป็นบุคคลน่ารำคาญอันดับหนึ่ง
“มีนัดอ่ะดิ”
“...”
“กับคนที่มึงชอบเขา แต่เขาไม่เอามึงใช่ป่ะ?”
“โห ปากนี่ควรเอาไปจูบขี้” พอเห็นว่าเพื่อนตัวสูงง้างมือขึ้นจื่อเทาก็ผงะถอยจนหลังชิดกับพนักเก้าอี้ทันทีพร้อมกับระเบิดหัวเราะอย่างพอใจ
“จริงอ่ะ” ชานยอลไม่ได้ตอบคำถาม เขาเพียงแค่แย่งแก้วโค้กเพื่อนรักหักสวาทมาดูดอึก ๆ จนหมดก่อนจะโค้งหัวขอบคุณเมื่อแม่ของอึนจีเอาไก่ทอดมาส่ง “เฮ้ย~ ตอบกูก่อนดิแล้วค่อยแดก” จื่อเทาดึงถาดไก่เข้าหาตัวเพื่อห้ามไม่ให้เพื่อนกิน เด็กตัวสูงหลับตาลงก่อนจะลืมตามองคนตรงหน้าที่ยังคงรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“เออ กูไปกับเขาเองแหละมีไรไหม”
“มีดิ ถ้าเป็นงั้นหมายความว่ามึงกำลังถูกหลอกนะเว้ยเพื่อน!”
“...”
“ก็เขาไม่ได้ชอบมึงแต่เสือกยังคุยอยู่ แถมยังไปไหนมาไหนด้วยแบบนี้อีกเขาเรียกให้ความหวังเว้ย” จื่อเทาทำหน้าจริงจังก่อนจะสวมถุงมือพลาสติกแล้วหยิบปีกไก่ชิ้นแรกขึ้นมากัดทั้งที่ยังมองหน้าเพื่อนอยู่ “เขาก็แค่กั๊กไม่ให้มึงไปไหน แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเอามึงนะ”
ชานยอลไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่ก็ใช่ว่าจะทำหูทวนลมไม่ฟังคำพูดของมัน โคตรจะตลกที่เขาต้องนั่งฟังคนไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องความรักมาสั่งสอนแบบนี้ แต่เชื่อเถอะว่าเรื่องที่มันพูดมาทั้งหมดเขาน่ะรู้ดีแก่ใจ แต่มันเอามาใช้ไม่ได้กับเขาและแบคฮยอน
“หรืออาจจะเป็นเหตุผลอื่นที่มึงไม่รู้”
“รู้ดิ มึงอธิบายมาขนาดนั้นกูสามารถวิเคราะห์ได้เป็นฉาก ๆ เลยนะมึงฟังป่ะ” จื่อเทาพูดทั้งที่ไก่ยังคงเต็มปาก ชานยอลพยักหน้าส่ง ๆ เขาไม่อยากทำร้ายจิตใจเพื่อนด้วยการปิดโอกาสไม่ให้มันพูด
“ว่ามา”
“วันนี้มึงจะไปเที่ยวกับเขาช่ะ นั่นก็เพราะว่าคนที่เขาชอบไม่ว่างไงเลยไปกับมึง”
ไม่ว่างห่าไร ปาร์คชานยอลมั่นใจว่าไอ้ครูขี้เก๊กนั่นน่ะมีเวลาให้แบคฮยอนเสมอถ้าเกิดว่าเรื่องนั้นมีเขาเข้าไปเอี่ยวด้วย
“พอกลับไปถึงบ้าน มึงคุยแชทกับเขา หัวใจมึงพองโตเพราะถูกให้ความหวัง เขาจะทำเหมือนว่ามีใจให้มึงเหมือนกัน แล้วก็จะทำแบบนั้นไปเรื่อย ๆ พอเห็นว่ามึงตายใจไปไหนไม่ได้แล้วเขาก็จะฆ่ามึงด้วยการบอกว่าคิดกับมึงแค่เพื่อน”
แค่หลานน่ะสิไม่ว่า -_-
“เพราะงั้นมึงตัดใจเหอะ มีผู้หญิงอีกตั้งเยอะที่พร้อมจะกระพือกระโปรงใส่เวลาเห็นมึงเดินผ่านอ่ะ” ถึงประโยคจะแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยแต่สายตาของหวงจื่อเทาตอนนี้กำลังจับจ้องอยู่กับไก่โดยที่ไม่คิดจะเชิดคอขึ้นมาสบตากัน “หรือไม่ก็สารภาพรักไปเลย มัดมือชกเว้ยมึง วิธีนี้กูว่าเฉร๋ง”
“กูรู้น่ะว่าต้องทำยังไง มึงเอาตัวให้รอดก่อนแล้วค่อยห่วงกู”
“แหงอยู่แล้ว กูไม่เห็นต้องมาเอาตีนก่ายหน้าผากเหมือนมึงเพราะอกหักเลย” จื่อเทาว่าแล้วตักข้าวคำใหญ่เข้าปาก จากที่เห็นเด็กหนุ่มคงรออยู่นานมากถึงได้ระบายความหิวออกมาอย่างบ้าคลั่งแบบนี้
“อย่าเสือกมีความรักบ้างนะมึง” พูดจบก็ใส่ถุงมือพลาสติกแล้วหยิบไก่มากินบ้าง แต่กัดไปยังไม่ถึงคำก็ต้องสะดุ้งเมื่อจู่ ๆ ถาดไก่เซรามิกส์ก็วางลงบนโต๊ะซะเสียงดัง
กึง!!!
“...”
“เฮ้ยว่าไงมึง~”
ชานยอลเงยหน้าขึ้นแล้วก็ต้องผงะเมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึงของเด็กสาวที่ยังไม่ถอดแม้แต่หมวกกันน็อกที่ติดสติ๊กเกอร์ชื่อร้านไว้ ชานยอลเคี้ยวไก่เหมือนกับควายเคี้ยวเอื้องก่อนจะหันไปมองจื่อเทาที่กำลังยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี
“นี่พวกมึงจะไปเที่ยวกันสองคนช่ะ!”
“ห๊ะ?” คำถามของจื่อเทาทำเอาอึนจีหันควับทันที หญิงร่างแกร่งหยัดตัวนั่งลงก่อนจะหันซ้ายขวามองไอ้สองเพื่อนซี้ที่เคยแวะเวียนมาร้านเธออยู่บ่อยครั้ง “ใครเที่ยวกับใครนะ?”
“มึงกับไอ้ชานยอลไง!”
“ไอ้ส...” สายไปแล้วสำหรับการห้ามปากเพื่อน ชานยอลหันไปมองเด็กสาวที่กำลังทำหน้างงจนถึงขีดสุด แต่แค่ครู่เดียวเท่านั้นเธอก็หันมามองหน้ากัน “เปล่า...มันเข้าใจผิดน่ะ”
“เฮ้ย! เอาเลยมึงมาถึงขั้นนี้แล้ว สารภาพรักไปเลยจะได้ไปเที่ยวกันอย่างสบายใจไง จับมือถือแขน สอดประสานกันเงี้ย” จื่อเทาประกบมือทั้งสองข้างก่อนจะค่อย ๆ กรีดกรายนิ้วประสานกันแล้วมองทั้งคู่อย่างลุ้น ๆ ฟายเอ้ย!!! มึงชวนมาร้านอีอ้วนเพราะตั้งใจจะหักหน้ากูด้วยวิธีนี้งั้นเรอะ ไอ้ห่าเทา มึง!!!!!
“ไม่ใช่อย่างนั้น คือ...ฟังก่อนนะ” ชานยอลยิ้มแห้ง ๆ พร้อมกับยกสองมือขึ้นปรามเด็กสาวที่กำลังเอาลิ้นดังกระพุ้งแก้มอย่างหัวเสีย แน่นอนว่าเขาทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่าอีนี่เล่นวอลเล่ย์บอลเก่งแค่ไหน มือตบระดับพระกาฬโดนทีน่าจะถูกหามส่งโรงพยาบาลได้ไม่ยาก และอึนจีคงไม่โอเคนักที่กำลังถูกไอ้เทายัดเยียดให้เขา
“เร็ว” จื่อเทายังคงยิ้มอยู่อย่างนั้นก่อนจะหน้าคว่ำจนแทบจะจุ่มน้ำซุปร้อน ๆ เมื่อเพื่อนรักกับอึนจีพร้อมใจกันตบหัวเขาอย่างไม่ได้นัดหมาย เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นพลางลูบหัวป้อย ๆ แทนที่พวกมันจะฟิน จะยิ้ม จะสุขีแต่ไหงทำหน้าทะมึนตึงกันอย่างนั้นล่ะ “ไรอ่ะ”
“ยังจะถามอีก”
“ข้อแรก กูตบมึงข้อหาทำหน้ากวนตีน” แม้จะเป็นผู้หญิงแต่โทนเสียงและน้ำหนักมือนั้นช่างหนักหนากว่าบุรุษยิ่งนัก จื่อเทามองอย่างตัดพ้อก่อนจะยกมือขึ้นบังอีกครั้งเมื่อเด็กสาวทำท่าง้างมือขึ้นอีก
“กูไม่ได้นัดกับมัน แล้วก็ไม่ได้ชอบมันด้วย จบนะ” พอได้ยินชานยอลว่างั้นเด็กตัวเขียวก็ทำหน้าบึ้งอย่างผิดหวัง
“โห่ เซ็งเลยอ่ะ”
“มึงจะเซ็งทำซากไร ดูกูกับมันด้วยเคมีเข้ากันตายห่า” อีกครั้งที่เขาถูกอึนจีผลักหัว จื่อเทาโงนเงนไปตามแรงแล้วก็ได้แต่หันไปมองอีกฝ่ายโดยที่ตอบโต้กลับไปไม่ได้เพราะนั่นคือผู้หญิง
“กูจะไปรู้เหรอ ก็มันบรรยายมาแล้วกูเห็นภาพมึงคนแรกเลยนี่”
“วันหลังก็ถามสิถามมมมมมมมมม”
“ก็มันไม่ยอมบอกอ่ะ...”
“ไว้กูพร้อมเมื่อไหร่แล้วจะบอก” ชานยอลพูดตัดบทก่อนที่ทั้งคู่จะไฝว้กันหนักไปกว่านี้
“เอาเถอะ พวกมึงรีบ ๆ กินแล้วรีบกลับบ้านไปดูดนมแม่ซะ” เด็กสาวทำมือปัด ๆ อย่างรำคาญ ได้ยินอย่างนั้นชานยอลเลยพยักหน้าส่ง ๆ แล้วกินไก่ต่อไป วันนี้เขาไม่มีอารมณ์ไปต่อล้อต่อเถียงกับผู้หญิง ถือว่าพักยกช่วงปิดเทอม จะให้มันชนะสักครั้งหนึ่งก็แล้วกัน
“อึนจี มึงจะเรียนคณะอะไรอ่ะ”
“นิติ”
“เย้ชชชชชชช์ จบมาเป็นทนายช่ะ?”
“เป็นอะไรก็ได้ยกเว้นเมียมึงสองคนอ่ะ”
“SHOCK” จื่อเทาเผยอปากแล้วทำตาปริบ ๆ “แบบนี้เขาเรียกกู๊ดบายสเตจตั้งแต่ยังไม่เดบิวท์”
“นี่ชานยอล” เจ้าของชื่อหันไปพร้อมกับเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “กูเห็นมึงลงวิดวะ อย่างมึงจะรอดเหรอวะ” เด็กสาวคีบเอาหัวไชเท้าดองขึ้นมากินทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากเพื่อนตัวสูง จริงอยู่ที่ชานยอลเป็นคนฉลาด แต่จากที่เรียนด้วยกันมาสองปีเธอก็ได้แต่สงสัยว่ามันจะไปรอดไหมเพราะความขี้เกียจ ไม่เอาไหนของมันนี่แหละ
“ถ้ามันคนเดียวไม่รอดหรอก ต้องมีกูด้วย”
“แดกไป” อึนจียกตูดถาดไก่ทอดขึ้นแล้วทิ้งลงลงตรงหน้าคนตัวเขียวเป็นเชิงบอกให้หุบปาก เทาเห็นอย่างนั้นก็ได้แต่ทำหน้าน้อยอกน้อยใจที่ไม่ถูกชวนเข้าร่วมบทสนทนาในครั้งนี้ด้วย
“ของแบบนี้มันต้องลอง”
“เรื่องเรียนจะลองเล่น ๆ ไม่ได้นะเว้ยกูเตือนก่อน มึงควรถามตัวเองว่าอยากเรียนอะไร แล้วจะไปรอดไหม ไม่ใช่ว่าอยากเป็นวิศวกรเลยเรียน...มึงหันไปดูนี่” อึนจีกอดคอเพื่อนตัวสูง แม้ว่าจะลำบากยากเย็นแต่ก็ใช่ว่าจะเหนือบ่ากว่าแรง ชานยอลหันไปทางครัวบ้าน เขาเห็นว่าหญิงวัยสี่สิบปลาย ๆ กำลังง่วนอยู่กับการทอดไก่
“นั่นคือสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์แม่”
“เออ”
“กูเสือกด้วยดิ” จื่อเทาข้ามมานั่งข้าง ๆ ชานยอลพร้อมกับกอดคอด้วย เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ทั้งสามคนกำลังจับจ้องไปยังมารดาบังเกิดเกล้าที่สามารถให้กำเนิดหญิงถึกอย่างจองอึนจีขึ้นมาบนโลกใบนี้
“แม่กูต้องทอดไก่อยู่ในนั้นตั้งแต่เก้าโมงยันเที่ยงคืน เพื่อหาเงินส่งกูเรียน”
“ไงต่อ”
“ถ้าเกิดกูลองเรียนเล่น ๆ ดูว่าคณะนี้เป็นไงบ้างแล้วค่อยซิ่ว แบบนั้นใครจะเดือดร้อน”
“มึงไง โดนรีไท...โอ๊ะ!” ถึงจะแขนสั้นแต่เด็กสาวก็หาทางลุกขึ้นไปตบหัวคนที่อยู่ถัดจากชานยอลได้ จื่อเทาถอนหายใจแรง ๆ วันนี้เขาถูกผู้หญิงคนนี้ตบหัวไปแล้วกี่ครั้งแทบจะนับไม่ได้เลย
“ต่อนะ” อึนจีนั่งลงที่เดิม ตอนนี้แม่ของเธอกำลังใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่มาจากความร้อนของน้ำมันในครัว “ถ้ากูเกรดต่ำแม่กูก็ไม่เคยว่าหรอก แต่ร้อยทั้งร้อยถ้ากูทำเกรดเฉลี่ยได้สูง ๆ แม่กูก็ต้องดีใจ”
“อือ”
“พวกมึงสองคนเคยคิดที่จะทำให้คนที่เลี้ยงมึงมาตั้งแต่เด็กภูมิใจบ้างป่ะวะ” คำพูดของอึนจีทำให้เขานึกไปถึงพ่อกับแม่ที่อยู่ปูซาน แต่ถึงอย่างนั้นชานยอลก็ไม่ได้ซาบซึ้งกับเรื่องที่อีกฝ่ายพูดนักเมื่อนึกถึงนิสัยของแม่ที่ไม่ต่างจากเขาสักเท่าไหร่
วูบหนึ่งปาร์คชานยอลรู้สึกเป็นลูกเนรคุณที่กำลังสะเทือนใจเมื่อนึกถึงน้าชาย เพราะเขาได้ทำเรื่องน่าปวดหัวให้ตลอดช่วงเวลาสองปีที่อยู่ด้วยกัน แต่ไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันควรรู้สึกกับพ่อแม่ก่อนป่ะวะ
ไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้อะไร ๆ ก็แบคฮยอนทั้งนั้นแหละ...
คนตัวเล็กกอดแฟ้มออกมาจากห้องพักครู หลังจากประชุมเสร็จแล้วเลยแวะไปเก็บโต๊ะให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยออกมา แต่พอหักเลี้ยวลงบันไดก็ต้องผงะถอยหลังเมื่อพบว่าใครอีกคนยืนดักรออยู่ ร่างสูงยิ้มบาง ๆ แล้วรับแฟ้มไปช่วยถือให้ก่อนจะกุมมือแบคฮยอนให้เดินลงไปด้วยกัน ร่างเล็กเบิกตาโพลงแล้วหันหน้าหันหลังอย่างลนลานก่อนจะหลุบตาลงมองมือตัวเองที่ถูกกุมไว้
“พี่อี้ฟาน เดี๋ยวคนเห็นนะ”
“คนอื่นกลับหมดแล้วล่ะครับ” ร่างสูงพูดในโทนเสียงสบาย ๆ คนตัวเล็กถึงได้ยอมให้อีกฝ่ายจูงมือลงไปจนถึงชั้นล่าง โชคดีที่ว่าลานจอดรถอยู่หน้าอาคารเลยไม่งั้นบยอนแบคฮยอนคงต้องหลอนว่าใครจะมาเห็นเข้าเข้าหรือเปล่า พี่อี้ฟานนี่นะ...บทจะเข้มก็เข้ม บทจะเอาแต่ใจก็เหมือนเด็ก ๆ เลย
“เอ่อ...พี่ครับ”
ทั้งคู่หยุดยืนอยู่ข้างรถของแบคฮยอน เขาเห็นว่าคนตัวเล็กกำลังเกาหัวขณะเรียบเรียงคำพูด ที่คุยกันแบบเห็นหน้าและได้ยินเสียงครั้งล่าสุดก็สามวันที่แล้ว นอกนั้นก็คุยกันแค่ในไลน์ และแน่นอนว่ามันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีนัก
“ในห้องประชุมพี่เห็นเราเอาแต่นั่งมองมือถือตลอดเลย กลายเป็นคนติดมือถือตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” ร่างสูงพูดติดตลก แต่แบคฮยอนกลับเป็นเหมือนเด็กน้อยที่ถูกจับได้เวลาทำผิด คนตัวเล็กยิ้มแห้ง ๆ เขาทั้งคู่กำลังอึดอัดเพราะเรื่องวันนั้น
‘แบคฮยอนยังชอบพี่อยู่หรือเปล่าครับ?’
แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อยากเชื่อว่าได้ถามคำถามนี้ออกไป เขาจำสีหน้าคนตัวเล็กในตอนนั้นได้ แบคฮยอนดูกระอักกระอ่วน อึดอัด ไม่เหมือนกับช่วงแรกที่เริ่มคุยกัน ร่างเล็กใช้เวลาไปเกือบครึ่งนาที ไม่ว่ามันจะออกมาเป็นในทางบวกหรือทางลบ ช่วงเวลาที่สูญเสียไปกับการรอมันก็น่าจะเป็นคำตอบได้แล้ว
‘ขอโทษนะครับ...’
‘ทำไมถึงขอโทษพี่ล่ะครับ?’
‘คือผม...’
วันนั้นแบคฮยอนดูประหม่า เขารู้สึกได้ว่ามือเล็กนั้นเย็นเฉียบกับความกดดันที่เขามอบให้ ร่างเล็กเบิกตาโพลงเมื่อถูกรั้งเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด เขาไม่แน่ใจว่าอี้ฟานยังอยากได้ยินคำตอบจากปากเขาอยู่ไหม หรือที่เป็นอยู่มันคือการกดดันให้เขาตอบในสิ่งที่ยังไม่แน่ใจ
‘พูดมาเถอะ พี่อยากได้ยินจากปากเรา’
‘...’
‘เพราะชานยอลใช่ไหม?’
อี้ฟานไม่รู้ว่าตอนนี้แบคฮยอนกำลังทำหน้าแบบไหน และมันก็คงเดาได้ไม่ยากนัก ชายหนุ่มรู้สึกกลายเป็นคนแพ้ทั้งที่เรื่องความรักมันไม่ใช่การแข่งขัน แน่นอนว่าเขารู้สึกเสียศูนย์เพราะแบคฮยอนกำลังเขวไปทางเด็กอายุที่ห่างกับเขาเป็นสิบปี อีกทั้งยังมีศักดิ์เป็นหลานอีกถึงแม้ว่าจะนอกสายเลือดก็ตาม
ตราบใดที่ยังมีความรู้สึก เชื่อว่ามนุษย์ย่อมมีความเห็นแก่ตัวไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี ช่วงหลัง ๆ กลายเป็นเขาที่ถูกปั่นหัวทั้งที่แบคฮยอนไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ เด็กคนนี้แค่อยู่เฉย ๆ แต่มันคือเขาเองต่างหากที่รู้สึกมากขึ้นทุกวันจนหยุดยั้งความงี่เง่าของตัวเองไว้ไม่ไหว
‘ผมไม่ตอบได้ไหม...’
‘...’
‘ผมคิดมากจนนอนไม่หลับเลย ทั้งเรื่องพี่แล้วก็เรื่องของชานยอล’
‘...’
‘ทั้ง ๆ ที่ผมชอบพี่มากขนาดนี้แต่ผม...’
‘...’
‘กับชานยอล...’
‘ไม่เป็นไร’
ประโยคปลอบใจมาพร้อมกับมือแกร่งที่ลูบไปตามเรือนผมคนตัวเล็กกว่า ไม่ใช่แค่การปลอบอีกฝ่าย แต่อู๋อี้ฟานยังใช้คำนั้นปลอบใจตัวเองด้วย แบคฮยอนซบหน้าอยู่กับไหล่กว้างพร้อมกับเอื้อมมือขึ้นมากอดตอบแน่น ๆ แต่น่าแปลกที่เขากลับไม่ได้รู้สึกว่ากอดนี้มันกำลังสื่อถึงความห่วงหาอย่างที่เคย
“ผมนัดเซฮุนไว้น่ะครับ” สีหน้าของแบคฮยอนไม่สดใส และต้นเหตุส่วนหนึ่งมันก็คงไม่ได้มาจากใครนอกจากเขา อู๋อี้ฟานรู้ตัวดีว่าได้ส่งความกดดันไปยังอีกฝ่ายให้ลำบากใจหลายต่อหลายครั้ง และเขาก็ตั้งใจทำแบบนั้นเพื่อให้คนตัวเล็กเลือกสักทาง แน่นอนว่าเขาอยากเป็นคำตอบนั้น
“ครับ งั้นขับรถดี ๆ นะ” ร่างสูงยีหัวอีกฝ่าย แบคฮยอนยังคงทำหน้าหงอยขณะพยักหน้ารับ นัยน์ตาคมมองตามร่างเล็กที่เดินไปเปิดประตูรถ อี้ฟานยิ้มกว้างกว่าเดิมนิดหน่อยเมื่อคนตัวเล็กยังไม่ยอมเข้าไป แววตาคู่นั้นที่มองมาราวกับจะบอกว่า ‘ผมขอโทษ’ ซึ่งเขาฟังมันมาแล้วไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง
“พี่...จะกลับเลยหรือเปล่าครับ”
“พี่ว่าจะแวะร้านหนังสือสักหน่อยน่ะ”
“อ๋อ...” แบคฮยอนพยักหน้าแล้วโค้งหัวเล็กน้อยก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในรถ
เด็กคนนั้นขับรถออกไปแล้ว...ตอนนี้เหลือเพียงแค่เขาที่ยังคงยืนอยู่ตรงนี้ ขายาวก้าวถอยหลังจนชิดกับประตูรถ มือแกร่งเอื้อมขึ้นมานวดขมับพร้อมกับหลับตาลง หากเป็นไปได้เขาก็อยากไล่ความคิดบ้า ๆ นี่ออกไปพร้อมอาการปวดหัว
อู๋อี้ฟานไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน แต่ไหนแต่ไรเขามักจะเป็นฝ่ายถูกตามเสมอ แน่นอนว่ามีทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่เข้ามาให้เลือก แต่สิ่งที่เป็นอยู่มันไม่ใช่ตัวเขาเลยสักนิด ทั้งที่รู้จักกันได้ไม่นาน ทั้งที่ทุกอย่างเริ่มต้นจากแบคฮยอนเริ่มมีใจให้กับเขาก่อน แต่ทำไมทุกอย่างถึงกลับกันจนกลายเป็นอู๋อี้ฟานที่ดูเหมือนว่ากำลังจะอกหักในเร็ว ๆ นี้ถ้าความรู้สึกของคนตัวเล็กชัดเจนแล้ว
ครูหนุ่มพยายามหาเหตุผลให้กับสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ บางทีเขาอาจจะรู้สึกเจ็บใจที่แพ้เด็กอายุสิบแปดหรืออะไรสักอย่าง ในทีแรกก็คิดว่าแบคฮยอนคงไม่มีอะไรพิเศษเหมือนกับคนอื่น แต่พอได้คุยด้วย ได้รู้จักมากขึ้นเขาก็คิดว่าคงปล่อยไปไม่ได้
อู๋อี้ฟานชอบบยอนแบคฮยอนแล้วจริง ๆ
“ดารา มึงอยู่ไหนแล้ววะ”
( ถนน มึงถึงแล้วเหรอคนธรรมดา )
“ถึงสักห้านาทีแล้ว มึงใกล้ถึงยัง”
( อีกประมาณสิบห้านาทีอ่ะ มึงเดินตากแอร์เล่นไปก่อนแล้วกัน )
“เออ ไม่ต้องรีบ กูไม่อยากอ่านข่าวดาราแหกโค้งเพราะคุยโทรศัพท์”
( แหกที่หน้า )
ตู๊ดดดดดดดด...
แบคฮยอนมองโทรศัพท์ในมือที่ถูกตัดสายไปแล้วเรียบร้อยดี เพื่อนของเขาไม่ว่าจะกี่ปี ๆ มันก็ยังทำตัวกากเหมือนเดิมแม้ว่าตอนนี้มันจะกลายเป็นไอดอลชื่อดังที่ใคร ๆ ต่างก็รู้จัก ขนาดตรงป้ายรถเมล์ยังมีรูปมันอยู่เต็มไปหมด ทั้ง ๆ ที่ละครที่มันเล่นก็ไม่ได้สนุกอะไร หนำซ้ำก็แข็งทื่อซะอย่างกะท่อนไม้ แต่เขาไม่ได้บอกมันหรอกเพราะเพื่อนที่ดีต้องรักษาน้ำใจเพื่อน
เดินดูนั่นดูนี่ไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกคอแห้งเลยไปหยุดอยู่หน้าร้านขายน้ำที่อยู่ในศูนย์อาหาร แน่นอนว่าบยอนแบคฮยอนคงไม่เสียโง่เดินเข้าสตาร์บั้คแล้วสั่งซิกเนอเจอร์ช็อกโกแลตร้อนไซส์ใหญ่เหมือนที่ไอ้เซฮุนชอบดื่มแน่
คนตัวเล็กสั่งน้ำมะนาว ระหว่างนั้นก็หยิบมือถือขึ้นมาดู เห็นว่าไอ้หลานตัวดีมันรัวส่งไลน์มาประมาณ 50 กว่าข้อความได้ ไม่รู้มันเป็นอะไรนักหนาตั้งแต่ตอนประชุมแล้วนะ
มิสเตอร์ชาร์ล1
แบคฮยอน 14:22
มิสเตอร์ชาร์ล1
ตอบหน่อยดิ 14:22
มิสเตอร์ชาร์ล1
แบคฮยอน ตอบ 14:23
มิสเตอร์ชาร์ล1
14:23
มิสเตอร์ชาร์ล1
ประชุมอยู่เหรอ 14:29
มิสเตอร์ชาร์ล1
ทำไมยังไม่ตอบอีก ประชุมประสาอะไรไม่มีพักบ้างหรือไง? 14:40
มิสเตอร์ชาร์ล1
14:40
มิสเตอร์ชาร์ล1
ตอบหน่อย 15:01
มิสเตอร์ชาร์ล1
15:06
มิสเตอร์ชาร์ล1
แบค...ฮยอน... 15:14
มิสเตอร์ชาร์ล1
15:14
มิสเตอร์ชาร์ล1
15:14
มิสเตอร์ชาร์ล1
15:15
มิสเตอร์ชาร์ล1
15:15
มิสเตอร์ชาร์ล1
15:15
มิสเตอร์ชาร์ล1
15:15
มิสเตอร์ชาร์ล1
15:15
มิสเตอร์ชาร์ล1
15:15
ประมาณนั้น...
ร่างเล็กยิ้มขำโดยไม่รู้ว่าถูกมองอยู่ พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าพนักงานได้วางแก้วไว้ให้แล้วอีกทั้งยังยิ้มน้อย ๆ ตอนมองทางนี้อีก ตอนนั้นแบคฮยอนถึงได้รู้ว่าควรหุบยิ้มซะก่อนที่จะอับอายมากไปกว่านี้
แต่เดินออกมาได้ไม่เท่าไหร่คนตัวเล็กก็ต้องผงะถอยหลังเมื่อถูกเดินชนจนแก้วของทั้งคู่ตกลงพื้น แบคฮยอนอ้าปากหวอ ดึงเสื้อเชิ้ตออกเมื่อน้ำมะนาวที่เคยเต็มแก้วจนแทบล้นหกใส่เสื้อเขาเต็ม ๆ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเด็กหนุ่มสามคนยืนอยู่ด้วยกัน แถมยังมองมาที่เขาด้วยสายตาคาดโทษอีก
“เดินไม่ดูทางหน่อยวะพี่?”
“อ้าว? พูดงี้ได้ไง นายเป็นคนชนฉันนะ” แบคฮยอนชักสีหน้ามองไอ้พวกเด็กหัวหลิมที่จู่ ๆ ก็มาโทษเขาเฉยเลย นี่มึงจะกล้าแกร่งกันไปแล้วนะ ตอนพวกมึงเกิดกูได้ลงสนามเป็นนักฟุตบอลตัวจริงทีมอนุบาลแล้วอย่าให้คุย
“พี่ต่างหากที่เดินชน จ่ายค่าเสียหายมาเลยนะรองเท้าคู่นี้ไม่ใช่ถูก ๆ” ไอ้เด็กหัวเกรียนสกินเฮดว่าพร้อมกับเลิกคิ้วมอง ซึ่งประโยคนี้ทำเอาบยอนแบคฮยอนถึงกับแค่นหัวเราะ นี่กูกำลังถูกรีดไถ by เด็กกะโปกใช่หรือไม่
“เสื้อตัวนี้ราคาถูกแต่ไอ้น้ำมะนาวแก้วเนี้ยแพงเพราะยังไม่ได้ดื่มซักคำ” แบคฮยอนชี้ลงบนพื้น ตอนนี้ชายหนุ่มทั้งสี่คนกำลังถูกมองเป็นตาเดียวกันแต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ก็เรื่องของพี่ดิ จ่ายค่าเสียหายมาเลยนะ”
“...” แบคฮยอนเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มพลางมองไอ้เด็กสามคนเรียงตัว ไอ้พวกนี้จะด่าว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอนก็คงไม่ได้ เพราะบางทีคนทั้งโลกอาจจะสั่งสอนมาแล้วแต่มันกลับทำตัวแบบนี้เอง ร่างเล็กเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วเงยหน้ามองไอ้เด็กเวรที่ยังคงแสดงออกถึงความหยิ่งจองหอง
แป้ะ!!!
“โอ๊ย!!!”
“จ่ายเงินเหรอห๊ะ!!! แกคิดว่าตัวเองเป็นใครไอ้เด็กนรกถึงได้กล้ารีดไถคนอื่นหน้าด้าน ๆ แบบนี้ อยากมีเงินใช้ทำไมไม่รู้จักตั้งใจเรียนหางานพิเศษทำ แกอยากตายใช่ไหม?!” เด็กหนุ่มทั้งสามคนหมอบลงเมื่อถูกคนตัวเล็กรัวตบหัวผลัดกันโดยไม่ทิ้งจังหวะให้ได้ตั้งตัว ท่ามกลางเสียงฮือฮาของคนที่อยู่ในฟู้ดคอร์ส
“อ๊ากกกก อย่า!!!”
“เวลาทำผิดเขาให้พูดว่าขอโทษไม่ใช่โบ้ยความผิดให้คนอื่น พวกแกยังมีความเป็นผู้ชายกันอยู่ไหม ตอบมา!!” แบคฮยอนยังคงรัวตบไม่ยั้ง เสียงดังแป้ะ ๆ ก้องไปทั่วโถงกว้าง
เด็กหนุ่มที่อยู่ทางขวาสุดถอยออกไปจากพิกัดมือได้ก่อนจะเข้าไปรวบแขนทั้งสองข้างของคนตัวเล็กเอาไว้ นั่นเป็นจังหวะให้เด็กอีกสองคนเงยหน้าขึ้นมาตั้งหลักได้
“นี่มึงกล้าตบหัวกูเหรอ!!” ถึงไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้จะเคยหงอเหมือนหมาแต่วินาทีนี้แกร่งยิ่งกว่าไฮยีน่าฝูงใหญ่เพียงแค่เห็นว่าคนตรงหน้าถูกล็อกแขนไว้แล้ว
เด็กหนุ่มถลกแขนเสื้อขึ้นแล้วง้างมือเตรียมจะเข้ามาซัดหน้าไอ้เตี้ยหน้าหงิมที่อายุมากกว่าเขากี่ปีก็ไม่รู้ นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่งวดนี้ต้องอัดคนสักหมัดแล้วค่อยเผ่นหนีก่อนตำรวจมา
แต่จู่ ๆ แขนของเขาก็ขยับไม่ได้ พอหันกลับไปก็พบกับชายหนุ่มตัวสูงที่กำลังบีบข้อมือเขาไว้อยู่ ดูจากสีหน้าแล้วคาดว่าผู้ชายคนนี้ยังไม่ได้ออกแรงเลยด้วยซ้ำ แต่เขากลับรู้สึกปวดจนชาไปหมด
“อ...โอ้ย!!!!”
“พี่อี้ฟาน?!”
“จะไปโรงพักหรือว่าจะก้มหัวขอโทษดี ๆ” น้ำเสียงเรียบเฉยถูกส่งมาพร้อมกับแววตาที่บ่งบอกว่าทำจริงแน่ เด็กหนุ่มอีกคนเห็นท่าไม่ดีเลยทำท่าจะวิ่งหนีแต่ก็ถูกร่างสูงคว้าคอเสื้อไว้
“เหวอ!!!” เด็กที่เคยล็อกแขนแบคฮยอนรีบปล่อยออกก่อนจะวิ่งหนีไปจากตรงนี้ด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี นั่นทำให้เด็กอีกสองคนที่ยังอยู่ตรงนี้ถึงกับเบิกตากว้างอย่างตกใจ
“เฮ้ยยยยยย!!! มึงจะไปไหนวะ!!!” เด็กหนุ่มตะโกนตามหลังเพื่อนที่วิ่งหายไปจนลับสายตาแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแค่เขากับเพื่อนอีกคนที่ถูกดึงตัวเอาไว้
“คุณมีเวลาห้าวินาทีในการตัดสินใจ”
“...!!!” เด็กหนุ่มมองทั้งสองคนสลับกันไปมา แน่นอนว่าตอนนี้สิ่งที่ทำให้เขากลัวมากที่สุดก็คงเป็นหน้าตานิ่งเฉยของผู้ชายตัวสูง
“หนึ่ง”
“ข...ขอโทษแล้ว ๆ”
“...”
“ผมขอโทษครับพี่...ขอโทษ!!!”
แบคฮยอนยังคงอึ้งกับภาพตรงหน้า คำถามแรกที่ผุดเข้ามาในหัวคือพี่อี้ฟานมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ตอนนี้แบคฮยอนไม่แม้แต่จะเข้าไปตบหัวหรือจิกผมเด็กพวกนี้มาเขย่า ๆ ให้สำนึก เขาเพียงแค่ยืนเฉย ๆ จนกระทั่งร่างสูงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า
แบคฮยอนยืนแข็งทื่อเมื่อพี่อี้ฟานเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาช่วยเช็ดเสื้อให้กับเขาอีกทั้งยังก้มลงเช็ดตรงขากางเกงให้อีกด้วย ร่างเล็กรีบโน้มตัวลงไปห้ามแต่สิ่งที่ได้รับกลับมานั้นเป็นรอยยิ้มที่กำลังบอกเขาว่า ‘ไม่เป็นไรแล้วนะ’
เสียงซุบซิบของคนละแวกนั้นทำให้แบคฮยอนรู้ตัวว่าไม่ควรอยู่นานไปกว่านี้ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะคิดเรื่องนี้ได้เร็วกว่าร่างของเขาเลยเดินไปตามคนที่จูงมือเขาให้เดินออกมาจากฟู้ดคอร์สด้วยกัน
ประตูห้องน้ำชายถูกผลักเข้าไป ทั้งคู่หยุดยืนอยู่หน้าอ่างล้างมือก่อนที่คนตัวโตกว่าจะปาดมือผ่านเซนเซอร์เพื่อให้น้ำไหลออกมา
“ขยับมาตรงนี้หน่อยครับ”
“...” แบคฮยอนก้าวเข้าหาร่างสูงก่อนจะหันซ้ายขวา คนที่ยืนฉี่อยู่ข้างในต่างหันมามองเป็นตาเดียวกัน อาจเป็นเพราะสิ่งที่พี่อี้ฟานทำอยู่มันดูเหมือนกับคุณพ่อที่กำลังช่วยลูกเช็ดคราบสกปรกออกให้
ร่างสูงช่วยล้างคราบเหนียวออกให้จากเสื้อและมือของเขา เพียงแค่ครู่เดียวแขนยาวก็เอื้อมไปถึงทิชชู่ออกมาหลาย ๆ แผ่นแล้วช่วยซับน้ำออกจากเสื้อและมือทั้งสองข้างให้ แบคฮยอนเพียงแค่ยืนอยู่เฉย ๆ แล้วมองหน้าคนตัวสูงที่กำลังแสดงออกถึงความตั้งใจ
“ไปกันเถอะครับ”
ยังไม่มีโอกาสได้ปริปากถามพี่อี้ฟานก็ลากเขาออกมาจากห้องน้ำเสียแล้ว แบคฮยอนเดินตามหลังอีกฝ่ายต้อย ๆ ก่อนจะหลุบตาลงมองมือแกร่งที่กุมมือเขาเอาไว้โดยที่ไม่แคร์สายตาคนรอบข้างเลยสักนิดเดียว
พี่อี้ฟานเป็นคนหล่อแถมหุ่นดีอีกต่างหาก ไม่ว่าผู้หญิงวัยไหนเป็นต้องมองตาม ตอนนี้เขาชักจะรู้สึกอายขึ้นมาแล้วสิ จริงอยู่ที่แบคฮยอนชอบผู้ชายด้วยกันแต่การเดินจูงมือใครสักคนไปไหนมาไหนแบบนี้มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ
“สวัสดีค่ะ” พนักงานสาวโค้งหัวต้อนรับทันทีที่ร่างสูงผลักประตูกระจกเข้ามา อี้ฟานยิ้มตอบก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงราวเสื้อเชิ้ตหลากสี
อี้ฟานไม่ได้หันมาถามว่าแบคฮยอนชอบสีไหนหรือใส่ไซส์อะไร เขาเพียงแค่เลือกอย่างตั้งใจแล้วก็ดึงมันออกมาพาดกับท่อนแขนตัวเองก่อนจะจูงมือร่างเล็กเข้าไปดูกางเกงสแล็คที่อยู่ทางด้านใน
“พี่ครับ...มือ” ร่างเล็กพูดเบา ๆ เพราะตอนนี้พนักงานสาวทั้งสองคนกำลังยืนซุบซิบกันอยู่หากแต่อี้ฟานกลับไม่สนใจ เขาเพียงแค่ทำหูทวนลมแล้วจูงมือแบคฮยอนเข้าไปในห้องลองเสื้อ “เอ่อ...”
“ที่พี่ไม่ถามก็เพราะว่าพี่อยากเห็นเราใส่สีนี้” นั่น...อย่างกับอ่านใจออก แบคฮยอนรับเสื้อกับกางเกงมาจากร่างสูงแล้วก็ยืนเก้ ๆ กัง ๆ เพราะไม่รู้จะวางของไว้ตรงไหน “พี่ถือกระเป๋าให้” อี้ฟานถือวิสาสะเอากระเป๋ามาถือไว้ก่อนจะยีหัวคนตัวเล็กเหมือนอย่างที่ชอบทำก่อนจะเปิดผ้าม่านออกไป
เฮ้อ...นึกว่าจะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าพี่อี้ฟานซะแล้ว
ไม่ถึงห้านาทีแบคฮยอนก็เดินออกมาจากห้องลองเสื้อ ชุดที่ใส่ไม่ได้ต่างไปจากเดิมนักเพราะเป็นแค่เสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนกับกางเกงสแล็คสีดำ สิ่งหนึ่งที่คนตัวเล็กทึ่งก็คือผู้ชายคนนี้รู้ได้ยังไงว่าเขาใส่เสื้อผ้าไซส์ไหนโดยที่ไม่ต้องวัด...
พอหันไปทางด้านซ้ายก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นเมื่อพบว่าเพื่อนของเขาได้นั่งคุยอยู่กับพี่อี้ฟานอยู่ตรงโซฟาเตี้ยสีแดงที่มีไว้ให้แขกนั่งรอ แถมพนักงานสาวที่เคยซุบซิบนินทาเมื่อครู่นี้ก็พากันไปยืนออขอลายเซ็นมันด้วยท่าทางระริกระรี้อีก
“อ้าว แบคฮยอน!”
เจ้าของชื่อพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปหา ทั้งคู่เลยลุกขึ้นยืนก่อนที่อี้ฟานจะยื่นบัตรเครดิตให้สำหรับชำระค่าใช้จ่าย เซฮุนมองเขาด้วยแววตามีความหมาย ซึ่งตลอดเวลาที่รู้จักกันมาเป็นสิบ ๆ ปีก็ไม่ได้ทำให้บยอนแบคฮยอนเดายากนักว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่
ไม่วายคงฟินพี่อี้ฟาน ห่าจิก
“พี่เห็นเขาโทรเข้าหลายสายก็เลยถือวิสาสะรับให้น่ะ”
“อ๋อ ไม่เป็นไรครับ”
“ได้ข่าวว่าเกือบโดนเด็กเล่นเหรอวะ” เซฮุนยิ้มขำแล้วมองสภาพเพื่อนที่อยู่ในชุดใหม่ พนักงานสาวเอาบัตรเครดิตมาคืนพร้อมกับเอาถุงกระดาษสีเข้มมาให้ร่างเล็กใส่ชุดเก่า อี้ฟานเลยเข้ามาช่วยจนแบคฮยอนไม่ต้องทำอะไร
แน่นอนว่าทุกอย่างมันอยู่ในสายตาของโอเซฮุน
“ว้าว...”
“เงียบเลยมึง”
“รบกวนช่วยเซ็นตรงนี้ด้วยนะคะ” หญิงสาวว่าแล้วร่างสูงก็หันไปเซ็น จังหวะนั้นเองที่เซฮุนลากเพื่อนตัวเตี้ยออกมาห่าง ๆ เพื่อคุยในเรื่องที่เขาไม่ต้องการให้ใครได้ยิน
“ไม่ยักรู้ว่ามึงจะพาพี่เขามาด้วย”
“เอ้า กูไม่ได้พามา” แบคฮยอนรีบปฏิเสธ แต่เซฮุนกลับแค่นหัวเราะ
“ถ้าจะมาสวีทกันมึงจะแคนเซิลกูก็ไม่ว่านะ”
“กูบอกว่าเปล่าไง” แบคฮยอนทำท่าจะเหนี่ยวเพื่อนตัวสูงแต่มันกลับหัวเราะพอใจ
“มึงพาพี่อี้ฟานมาแบบนี้ไม่กลัวว่าเขาจะชอบกูเหรอวะถามหน่อย”
อื้อหือ...มั่นหน้านี่ที่หนึ่ง
“มึงคิดว่าจะมีผู้ชายสักกี่คนที่ชอบมึงเหมือนไอ้จงอินวะ”
“ทั้งโลก ใคร ๆ ก็อยากได้กูไปครอบครองทั้งนั้นมึงไม่รู้เหรอ กูมัน Rare Item” ไอดอลหนุ่มว่าแล้วหันไปยิ้มให้กับสาว ๆ เป็นครั้งสุดท้ายและไม่ลืมที่จะโบกมือก่อนจะออกไปจากร้านเมื่ออี้ฟานเดินมาถึง
“ไอ้ชานยอล”
“เออ”
“วันเกิดปีที่แล้วมึงจำได้ป่ะว่ากูให้อะไรเป็นของขวัญ”
“ใครจะไปจำได้วะ” นึกแล้วก็ปวดหัวเปล่า ๆ ของขวัญวันเกิดปีที่แล้วเยอะมากจนไม่รู้ว่าของใครเป็นของใคร แต่ทั้งหมดนั่นไม่ใช่จากเพื่อนร่วมห้อง แต่มันมาจากพวกสาว ๆ ที่ชอบเขากับเหล่าแฟนคลับวงดนตรีนั่นแหละ
จื่อเทามองชานยอลด้วยสายตาว่างเปล่า เขารู้สึกเคว้งคว้างเหมือนถูกถีบตกเหวไม่มีผิดกับคำตอบที่ไม่แม้แต่จะเสียเวลาคิดของเพื่อนสนิท
ปึง!!
“ทุบหาพ่อง” หันไปด่ามันครั้งที่ร้อยในรอบวัน ไม่รู้เป็นห่าไรจู่ ๆ ถึงได้ทุบโต๊ะซะเสียงดังทั้งที่มีคนนั่งอยู่ในร้านเต็มไปหมด
“มึงจำชื่อฮีโร่ในดอทเอทั้งร้อยตัวได้แต่เสือกจำไม่ได้ว่าเพื่อนที่ดีที่สุดให้อะไรมึงเป็นของขวัญวันเกิดงั้นเหรอวะ”
“อันนั้นมันก็กรณียกเว้น มึงก็ไม่ได้ให้ของขวัญกูทุกวัน ๆ ละหกชั่วโมงเหมือนดอทเอนี่ห่า” เด็กหนุ่มว่าแล้วลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะเดินไปจ่ายเงินที่หน้าเคาน์เตอร์ จื่อเทาเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังเพื่อนตัวสูงแล้วก็เบ้ปากอย่างน้อยใจ
“ปีที่แล้วกูซื้อ Diablo 3 ให้มึงอ่ะ...”
“อ๋อ ไอ้เกมหอกหักบั๊กเยอะถล่มทลายนั่นอ่ะนะ กูโละทิ้งลงกล่องไปแล้วว่ะ โทษ ๆ” ชานยอลหัวเราะแล้วตบบ่าเพื่อนก่อนจะผลักประตูร้านออกไป จื่อเทาอ้าปากหวอ เขารีบวิ่งตามหลังคนตัวสูงไปติด ๆ แล้วผลักมันอย่างแรงจนชานยอลหน้าแทบจะทิ่มไปข้างหน้า
“มึงมันแย่อ่ะ กูเสียใจนะเว้ยแม่ง TT_TT”
“เอ้า ก็เกมมันห่วยอ่ะ เหมือนกับ WarZ ที่กูซื้อมาแล้วก็ได้แต่สำเหนียกว่ามันให้อะไรกูบ้างนอกจากความเศร้า เกมมันกะโปกเหมือนหน้ามึงไม่มีผิด” ชานยอลตบหัวจื่อเทาเบา ๆ แล้วเดินนำไปข้างหน้า
“งั้นปีนี้มึงก็ไม่ต้องเอาของขวัญจากกู” น้ำเสียงตัดพ้อถูกส่งไปยังเพื่อนตัวสูงข้าง ๆ ชานยอลหันไปมองอีกฝ่ายแล้วก็ทำหน้าเอือม
“กูต้องเสียใจป่ะวะ”
“แล้วแต่มึง”
“เก็บเงินไว้ซื้อนิยายเกย์เถอะ ตอนนี้กูไม่อยากได้อะไรละ” ชานยอลตบบ่าเพื่อนตัวเขียวก่อนจะถูกสะบัดออกอย่างรังเกียจ
“เอ้อ กูไม่ซื้อให้มึงหรอก รองเท้าก็จะไม่ซื้อให้ด้วย”
“จ้า”
“เดี๋ยวกูจะซื้อมาแล้วเอาไปขายต่อ”
“เอาให้ได้ทุนคืนล่ะ” เด็กหนุ่มหัวเราะกับน้ำเสียงประชดประชันของคนที่เดินตามหลังมาติด ๆ ไม่บอกก็รู้ว่าไอ้รองเท้าที่มันบอกว่าจะซื้อให้น่ะ มันได้ซื้อมาแล้ว
“ไม่ดิ กูจะทำท่าเหมือนว่าซื้อมาให้มึงแต่จริง ๆ แล้วกูจะเก็บไว้ใส่เอง”
“ว๊าว! งั้นใส่มาอวดด้วยนะกูจะได้ทำท่าเสียดายให้เห็น”
“...”
จื่อเทามองแผ่นหลังเพื่อนตัวสูงที่กำลังเดินไปข้างหน้า เขารู้สึกได้ว่าพักนี้ชานยอลมันเปลี่ยนไปตั้งแต่ช่วงไปนอนบ้านเขา ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ เพื่อนของเขาถูกผีเข้าเหรอ? ปาร์คชานยอลคนเดิมต้องทำตัวเยี่ยกว่านี้ พาลทุกอย่างแล้วก็ไม่ยอมใครสิ!
“เฮ้ย ๆ ๆ”
“อะไรของมึงอีกวะ” เด็กตัวสูงถามอย่างรำคาญก่อนจะหันไปมองอีกคนที่อยู่ข้างหลัง จื่อเทาเงยหน้าขึ้นแล้วรีบวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าเพื่อนสนิท
“พี่เซฮุนอัพไอจีอ่ะ มีน้ามึงด้วย” แค่นั้นแหละมือถือของจื่อเทาก็วาร์ปไปอยู่ในมือของชานยอลภายในพริบตาเดียว เด็กเขียวอ้าปากค้างมองเพื่อนตัวสูงที่กำลังเพ่งมองจอโทรศัพท์ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจทันทีที่เห็นส่วนเกินอยู่ในรูปนั้นกับแคปชั่นว่า
‘Friends BBH and WYF’
“ไอ้ครูขี้เก๊ก...”
“มีคนเมนท์ชมพี่สุดหล่อด้วย ๆ” จื่อเทาเอื้อมมือมาช่วยเลื่อนจอลง มีคอมเมนท์จากแฟนคลับมากมายที่เข้าไปเมนท์รูปให้
‘หล่ออออ กรี๊ดดด’
‘เพื่อนพี่เซฮุนคนนั้นหล่อจัง เป็นดาราหรือเปล่าคะ?’
‘พี่คนที่นั่งฝั่งซ้ายชื่ออะไรคะ BBH หรือ WYF พี่เซฮุนตอบหน่อยค่ะ’
‘เพื่อนพี่เซฮุนหล่อมากเลยอ่า ชื่ออะไรคะ ตัวย่อ BBH WYF? คืออะไรคะ?’
‘Boy Be Here กับ What You From แน่ ๆ’
‘เข้! นั่นมันบยอนขาโหดของเรียนกูนี่หว่า!!!’
เด็กหนุ่มไม่สามารถอ่านคอมเมนท์ต่อไปได้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องของพี่เซฮุนซึ่งเป็นไอดอลที่เขาปลื้มมาตั้งแต่เด็กก็ตาม เด็กตัวสูงยืนนิ่ง วูบหนึ่งจื่อเทารู้สึกเหมือนว่าวิญญาณได้ออกจากร่างเพื่อนของเขาแล้ว แต่เพียงแค่ครู่เดียวชานยอลก็คืนมือถือให้เขาแล้วก็วิ่งออกไปจากตรงนั้นโดยที่ไม่บอกไม่กล่าว
“เฮ้ย! ไอ้ชานยอล! มึงจะไปไหนวะ!”
หวงจื่อเทาเพิ่งรู้วันนี้ว่าเพื่อนของเขาวิ่งเร็วมากแค่ไหน เพียงแค่อึดใจเดียวเด็กตัวสูงก็วิ่งเลี้ยวโค้งหัวมุมจนลับสายตาไป และนั่นมันทำให้เขาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมชานยอลมันถึงได้รีบแบบนั้น
ครืดดด...ครืดดด....
คนตัวเล็กล้วงเอามือถือออกมาเปิดดูแล้วกดรับสายเมื่อพบว่าหลานชายเป็นคนโทรเข้า ร่างบางเงยหน้าขึ้นโบกมือลาเซฮุนที่อยู่ในวงล้อมของแฟนคลับหลังจากที่มันได้ช่วยเขาเลือกของขวัญวันเกิดให้ชานยอลเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้เหลือเพียงแค่พี่อี้ฟานที่ยืนอยู่ตรงนี้ แบคฮยอนรู้สึกได้ว่าร่างสูงไม่ได้รู้สึกดีนักที่ต้องยืนดูเขากับเซฮุนช่วยกันเลือกของขวัญให้หลานชาย แต่ถึงอย่างนั้นพี่อี้ฟานก็ไม่ได้แสดงอาการหงุดหงิดจากทางคำพูดและการกระทำอย่างที่เขาเป็นกังวลอยู่
“ฮัลโหล”
( อยู่ไหน? )
“ห้าง K น่ะมีอะไรเหรอ?”
( รอห้านาที )
ได้แต่ขมวดคิ้วหลังจากถูกตัดสาย ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมาสบตากับร่างสูงที่ยืนมองการเคลื่อนไหวทุกอย่างของเขา
“ชานยอลจะมาที่นี่เหรอ?”
“อาจจะใช่มั้งครับ เห็นมันบอกว่าห้านาที แต่ผมอาจจะฟังผิด” ร่างเล็กหัวเราะ
“งั้นพี่กลับดีกว่า” อี้ฟานคืนถุงกระดาษให้ร่างเล็กก่อนจะถอยออกมาก้าวหนึ่ง นานแค่ไหนแล้วที่เขาต้องมองแบคฮยอนคนที่เอาแต่ทำหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความอึดอัด ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้คนตัวเล็กมักจะยิ้มให้เขาอยู่เสมอ
“ขอบคุณนะครับ...”
“ไม่เป็นไร” ใช่ เขาไม่เป็นไร
“ทั้งเรื่องชุดใหม่ แล้วก็ที่ไปช่วยผมในฟู้ดคอร์สด้วย” เสียงของแบคฮยอนหงอยเหมือนเด็ก ๆ พอได้ยินอย่างนั้นอี้ฟานเลยเอื้อมมือไปยีหัวเบา ๆ อีกครั้ง คนตัวเล็กยืนนิ่ง ๆ เขาไม่ได้ถามออกไปว่าทำไมอี้ฟานถึงมาอยู่ที่นี่ได้ทั้งที่บอกว่าจะไปร้านหนังสือ
“...”
“...”
ทั้งคู่หันไปทางด้านข้างเมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกมองอยู่ แบคฮยอนเบิกตาโพลงทันทีที่เห็นว่าเด็กตัวสูงที่ยืนหอบหายใจพร้อมกับเหงื่อที่ไหลลงมาตามโครงหน้านั่นไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากหลานชายของเขา
เด็กหนุ่มมองไปยังคนสองคนที่ยืนอยู่ด้วยกัน พิกัดสายตาในตอนนี้คือมือของผู้ชายคนนั้นที่วางอยู่บนหัวน้าชายของเขา ชานยอลเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ แบคฮยอน สบตากับครูตัวสูงแค่ครู่เดียวก็กุมมือร่างเล็กให้เดินออกมาจากตรงนั้นโดยที่ไม่มีแม้แต่คำทักทายให้อีกคน
“นี่ชานยอล!”
“...”
“พี่อี้ฟาน!” แบคฮยอนหันกลับไปข้างหลังแล้วร่างสูงก็ยิ้มให้พร้อมกับพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่า ‘ไม่เป็นไร’ อีกครั้ง
ทั้งคู่ออกมาลานจอดรถ แบคฮยอนยื้อแขนเอาไว้แล้วใช้มือที่ถือถุงกระดาษช่วยดึงหลานชายให้หันมามองหน้ากัน แล้วเด็กตัวสูงก็ไม่ได้ยื้อดึงอย่างที่คาดคิดเอาไว้ แต่สิ่งหนึ่งที่บยอนแบคฮยอนเดาไม่ผิดคือสีหน้าของชานยอล มันดูเรียบเฉย และบ่งบอกถึงความไม่พอใจในตอนนี้
“แกวิ่งมาเหรอ”
“...”
“เรานัดกันตอนเย็นนะ ไม่เห็นต้องรีบขนาดนี้” แบคฮยอนพูดพร้อมกับค้นกระเป๋าเพื่อเอาทิชชู่ออกมาช่วยซับเหงื่อให้เด็กหนุ่ม
แค่นั้นแหละที่ต้องการ...แค่แบคฮยอนแสดงออกว่าแคร์เขาเหมือนที่เป็นอยู่ในตอนนี้ความหงุดหงิดที่เคยมีก็หายไปหมดแล้ว...
ชานยอลมองคนตัวเล็กที่กำลังตั้งใจเช็ดเหงื่อตามโครงหน้าให้กับเขา เด็กหนุ่มไม่ได้หันหนีหรือพ่นคำพูดแรง ๆ ใส่อย่างที่เคยเป็น เขากำลังพยายามสงบสติอารมณ์เพื่อไม่ให้น้าชายต้องเกลียดเขาเพราะความงี่เง่าจนต้องทะเลาะกัน
“ทำไมเปลี่ยนชุด” ชานยอลจำได้ว่าเมื่อเช้าคนตัวเล็กไม่ได้ใส่ชุดนี้
“ห้ะ?” แบคฮยอนชะงักมือแล้วก้มลงมองเสื้อผ้าตัวเองตามที่อีกคนกำลังทำอยู่ “พอดีมันมีเด็กทำน้ำหกใส่น่ะก็เลยซื้อชุดใหม่” คนเป็นน้าเงยหน้าขึ้นสบตากับหลาน แต่ดูเหมือนว่าคำตอบนี้ไม่ได้ทำให้ชานยอลสบายใจอย่างที่ควร “กับพี่อี้ฟานแค่บังเอิญมาเจอกัน”
“...”
“ไม่เชื่อล่ะสิ” ร้อยทั้งร้อยไอ้เด็กนี่คงไม่มีทางเชื่อเขาแน่ ๆ แล้วมันเรื่องอะไรกันที่บยอนแบคฮยอนจะต้องมายืนแก้ตัวเรื่องนี้ให้หลานชายตัวเองฟังด้วย “ไม่เชื่อก็ไปถามไอ้เซฮุนเลย”
“ผมยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ”
“ก็เพราะว่าแกไม่ได้ว่าอะไรไง ดูตัวเองบ้างไหม ทำหน้าอย่างกับว่าจะไปฆ่าใคร” เด็กตัวสูงถูกจับพลิกให้หันหน้าเข้าหากระจกรถที่จอดอยู่ข้าง ๆ ชานยอลเห็นสภาพตัวเองตอนนี้แล้วก็ดูไม่จืด ทั้ง ๆ ที่เขาแต่งตัวมาซะดิบดีแต่ตอนนี้ผมที่เคยเซ็ทไว้มันเสียทรงไปหมดแล้ว
“หมดหล่อเลย”
“เออดิ ไอ้คนไม่หล่อ”
“เพราะน้านั่นแหละ” ชานยอลหันไปมองคาดโทษคนข้าง ๆ พอเห็นอย่างนั้นน้าชายตัวเล็กเลยเลิกคิ้วขึ้นสูง
“เอ้า!!!”
“ผมเห็นพี่เซฮุนอัพไอจี แถมมีไอ้ครูนั่นอยู่ด้วย”
“เวรเอ้ย บอกแล้วว่าอย่าถ่าย ๆ ...” แบคฮยอนหันไปพึมพำก่อนจะหันกลับมาเพราะถูกมือแกร่งโอบใบหน้าเอาไว้
ร่างเล็กทำตาเหลือก เขาไม่สามารถขยับหัวไปไหนได้เลยเพราะถูกสองมือของไอ้เด็กแสบบล็อกเอาไว้เรียบร้อย ชานยอลกำลังจ้องตาจับผิดเขา คิดว่าถ้าเข้ามาสิงร่างได้มันคงทำไปแล้ว
“แล้วแกมานี่ได้ยังไง หายตัวมาเหรอ”
“ใช่ ผมให้ผีที่สิงผมพามาที่นี่เองแหละ เจ๋งไหมล่ะ?”
“เพี้ยน บอกมาเลยว่ามาได้ไง บ้านเราก็ไม่ได้อยู่ใกล้ที่นี่สักหน่อย”
“ร้านเค้กที่น้าไปกินมามันคือร้านที่ผมกับไอ้เทาชอบไปนั่ง ผมเห็นแล้วก็รีบมาที่นี่เลย แต่ที่โทรถามก็เพราะว่าอยากแน่ใจ” แบคฮยอนถึงกับเงียบเพราะพูดไม่ออก ฉลาดแบบนี้มึงไม่ไปสมัครงานเป็น FBI ไปเลยล่ะซั้ซ
“ก็แค่กินเค้กเอง ไอ้เซฮุนมันอยากหาที่นั่ง”
“แล้วให้เขาจับหัวทำไม”
“เอ้า!! ไม่ให้จับหัวแล้วจะให้จับนมไง๊?” แบคฮยอนพยายามดิ้นออกแต่เด็กตัวสูงกลับยื้อมือเอาไว้
“ไม่ให้จับ ตรงไหนก็ห้ามจับ” ชานยอลยื่นคำขาดแล้วนั่งลงบนชั้นหินขัดสูงระดับเอวที่มีดอกไม้ปลูกอยู่ข้างใน เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะซบหัวลงกับหน้าท้องน้าชาย
แบคฮยอนก้มลงมองเด็กตัวสูง เขาเพิ่งสังเกตตอนนี้เองว่าชานยอลเซ็ทผมด้วย พอลดระดับสายตาลงอีกนิดก็เห็นไหล่กว้างที่กำลังสั่นไหวอยู่ ไอ้เด็กแสบคงเหนื่อยกับการวิ่งมาจนถึงที่นี่
แต่น่าแปลก...ทั้งที่หลานชายทำตัวไร้มารยาทต่อหน้าพี่อี้ฟานแต่เขากลับรู้สึกดีที่เห็นว่าชานยอลรีบมาหาเขาทั้งที่เพิ่งวางสายไปยังไม่ถึงห้านาที มือข้างที่ว่างอยู่ค่อย ๆ เอื้อมขึ้นมา บยอนแบคฮยอนกำลังชั่งใจว่าเขาควรจะวางมือลงบนหัวเด็กคนนี้ดีไหม?
“...”
ชานยอลลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสตรงกลางศีรษะ แบคฮยอนกำลังลูบหัวเขาเบา ๆ ราวกับว่าสิ่งที่ทำอยู่มันจะช่วยบรรเทาความเหนื่อยให้เขาได้ และคนตัวเล็กคิดถูกแล้ว เขากำลังรู้สึกดีขึ้นเพราะสัมผัสนี้
เด็กหนุ่มยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว มือทั้งสองข้างที่ว่างอยู่ค่อย ๆ เอื้อมขึ้นมากอดเอวคนตัวเล็กเอาไว้ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง
แบคฮยอนไม่ได้ผลักไส เขาไม่ได้หันไปมองรอบข้างว่าตอนนี้มีใครกำลังมองอยู่หรือเปล่าเหมือนตอนที่อยู่กับพี่อี้ฟาน แต่ตอนนี้สิ่งที่ดึงความคิดและความรู้สึกของเขาไว้ได้นั่นก็คือสัมผัสของชานยอลที่ทำให้เขารู้สึกดีจนลืมความเหนื่อยของวันนี้ไปจนหมดสิ้น
น่าแปลก...
“หิวหรือยัง”
“รอหิวพร้อมแบคฮยอน”
“ปากดีไปเถอะ งั้นวันนี้ฉันจะไม่หิว”
“ไม่เอาดิ...หิวพร้อมกันนะ”
“อะไรของแก ไอ้เด็กคนนี้นี่”
“จะหิวตอนไหนก็ได้แต่อย่าเพิ่งหิวตอนนี้”
“ทำไมล่ะ?”
“ขอผมอยู่แบบนี้อีกแค่แป้บเดียว...แล้วแบคฮยอนอยากให้ทำอะไรผมจะตามใจหมดเลย”
TBC
เป็นแบคฮยอนมันเหนื่อยอ่ะคุณ
คนนั้นก็แสนดี คนนี้ก็อยากได้
#จบสามพีเลยดีไหม #หันซ้ายเจอฟาน #หันขวาเจอหลานไรงี้
5555555555555555555555555
ความคิดเห็น