คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #24 : Chapter 23 :: His Way
Chapter 23
His Way
ผ่านไปกี่นาทีแล้วที่เขายังยืนอยู่ตรงนี้ วูบหนึ่งบยอนแบคฮยอนรู้สึกเหมือนขาทั้งสองข้างเป็นอัมพาตเพราะเขาได้แต่ยืนมองเด็กคนนั้นเดินไปโดยที่ไม่คิดจะเข้าไปห้ามหรือดุด่าเหมือนอย่างที่เคย
มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วแบคฮยอน...มันไม่เหมือนเดิม
ร่างเล็กมองไปข้างหน้า เขาไม่รู้ว่าตอนนี้สายตามันหยุดอยู่ตรงไหนหรืออยากจะเห็นอะไร ถ้าบยอนแบคฮยอนงี่เง่ากว่านี้เขาคงทิ้งตัวลงไปนั่งบนพื้นซีเมนต์ให้คนรอบข้างมองด้วยสายตาระอาเล่น ๆ แต่โชคดีหน่อยที่เขายังไม่ถึงขั้นนั้น
“...”
สัมผัสอุ่นจากมือใหญ่ข้างซ้ายทาบทับลงบนเปลือกตาทั้งสองข้างพร้อมกับวงแขนอีกข้างที่โอบกอดคนตัวเล็กเอาไว้ แน่นอนว่าคนที่กำลังปลอบใจบยอนแบคฮยอนในตอนนี้ไม่ใช่ไอ้เด็กอวดดีที่เพิ่งเดินหนีเขาไป แต่กลับเป็นใครอีกคนคนอยู่ข้างเขาเสมอไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
“ไม่เป็นไรนะ”
“...”
“ชานยอลยังเด็ก มีอีกหลายเรื่องที่เขาต้องเรียนรู้ พี่คิดว่าเราก็คงคิดแบบนี้เหมือนกัน” อี้ฟานละมือออกมาแล้วสวมกอดคนตัวเล็กแน่นยิ่งขึ้น “กลับบ้านกันเถอะ รอให้ชานยอลเย็นลงแล้วค่อยคุยกันอีกทีดีไหม?” ร่างสูงพลิกตัวอีกคนให้หันเข้าหาพร้อมกับก้มหน้าลงเพื่อมองหน้าร่างเล็กให้ชัด ๆ
ใช้เวลาเดินทางไม่นานเนื่องจากถนนยามค่ำคืนที่ไม่ค่อยมีรถวิ่งผ่าน อี้ฟานจอดรถลงตรงหน้าบ้านแบคฮยอนพลางมองไปยังใครอีกคนที่เพิ่งขับรถเข้าไปเทียบจอดในบ้าน ร่างเล็กเดินไปเปิดประตูหลังแล้วเอากล่องเค้กที่ซื้อไว้ก่อนไปโรงพักออกมาด้วย
ร่างสูงเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ อีกคน เขาเห็นว่าแบคฮยอนไม่ได้เดินไปไหนเพียงเพราะไม่เห็นมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ทางเข้าบ้าน อี้ฟานวางมือลงบนไหล่เล็กแล้วบีบเบา ๆ เป็นเชิงให้กำลังใจแม้ว่าตอนนี้เขาเองก็รู้สึกแย่ไม่ต่างกันหลังจากเห็นเด็กคนนั้นจูบแบคฮยอน
“มันยังไม่กลับมา”
พูดจบก็เปิดประตูแล้วเอื้อมไปกดสวิตซ์ไฟ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ความเงียบในบ้านมันน่าหดหู่ขนาดนี้ ความคิดในหัวกำลังบอกว่าต่อให้เดินรอบบ้านสักสิบรอบจ้างให้ก็ไม่เห็นไอ้เด็กบ้าคนนั้นหรอก ร้อยทั้งร้อยถ้าชานยอลจะกลับบ้านมันคงไม่ทิ้งรถที่เพิ่งได้เป็นของขวัญไว้ที่ไหนสักแห่งโดยที่ไม่พากลับมาจอดใต้หลังคาบ้านแน่
ร่างเล็กวางกล่องบานอฟฟี่ลงบนโต๊ะหน้าทีวี อี้ฟานมองตามการเคลื่อนไหวคนที่กำลังเดินตรงไปยังห้องของหลานชาย คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นว่าแบคฮยอนหยุดยืนนิ่ง ๆ หลังจากเปิดไฟห้องนั้นแล้ว
“...”
“มีอะไรเหรอแบคฮยอน?” ร่างสูงเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ แล้วก็ได้คำตอบเป็นแววตาคู่นั้นที่ยังคงจับจ้องเข้าไปข้างใน
“ไปแล้ว”
“...”
“ไอ้เด็กบ้านั่น...ไปแล้ว” เสียงแผ่วเบาของแบคฮยอนนั้นเขาได้ยินชัดเจนดี ร่างเล็กเดินเข้าไปในห้องแล้วกวาดสายตาไปรอบ ๆ
ตู้เสื้อผ้าถูกเปิดทิ้งไว้ ข้างในนั้นมีเพียงแค่ไม้แขวนเสื้อที่ยังคงหลงเหลือไว้ให้ดูต่างหน้า แบคฮยอนก้มลงเก็บซากชุดนอนที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา เขาใช้เวลาจ้องมองมันอยู่ราว ๆ ครึ่งนาทีก็ใช้สองมือพับเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าที่โล่งไปเกือบครึ่ง
กีต้าร์ที่เคยวางพิงอยู่ข้างผนังก็ไม่อยู่แล้ว มีเพียงแค่สามอย่างเท่านั้นที่ทำให้บยอนแบคฮยอนรู้สึกว่าปาร์คชานยอลยังคงอยู่ที่นี่นั่นก็คือลูกบาส คอมพิวเตอร์ และเตียงนอนขนาดสามฟุต
“เขาอาจจะไปค้างบ้านเพื่อน” คนตัวเล็กกำลังมีสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด อี้ฟานถึงได้พูดขึ้นมา
“...”
‘ผมไม่อยากเจอน้าอีกแล้ว’
แบคฮยอนได้แต่คิดว่ามันจะเป็นเหมือนที่อีกคนพูด ถึงในใจของเขาจะไม่คิดอย่างนั้นก็ตาม ครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ ที่ไม่ว่าทั้งคู่จะขึ้นเสียงทะเลาะกันสักแค่ไหนแต่พอเช้าวันต่อมาทั้งเขาและชานยอลก็จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ถ้าคิดในแง่ดีหน่อยเด็กนั่นอาจจะหอบเสื้อผ้าไปค้างบ้านเพื่อนสนิทอย่างหวงจื่อเทาสักอาทิตย์หนึ่งเหมือนกับครั้งล่าสุด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉย ๆ โดยที่ไม่ทำอะไรเลย เพราะบยอนแบคฮยอนไม่แน่ใจว่าคนที่จะนอนไม่หลับมันอาจจะเป็นเขาเสียเอง
ตีสามแล้ว...
แบคฮยอนยังคงนั่งกอดเข่ามองบานอฟฟี่บนโต๊ะ มีเพียงแค่โคมไฟสีซีเปียข้าง ๆ ทีวีเท่านั้นที่ให้ความสว่างภายในห้องนั่งเล่น เขาได้แต่บอกกับตัวเองว่าเทียนที่ปักอยู่ตรงกลางจะไม่ถูกจุดจนกว่าจะของวันเกิดจะกลับมา มันครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่แบคฮยอนหันไปมองโทรศัพท์มือถือที่วางแน่นิ่งอยู่ข้างตัวโดยไม่มีแรงสั่นหรือเสียงริงโทนประจำตัวดังขึ้นเลย
หกสิบสามสายที่กดโทรออกหาชานยอลและอีกนับไม่ถ้วนกับข้อความที่ส่งไปถามในไลน์ว่าอยู่ไหนแต่เด็กคนนั้นก็ไม่คิดแม้แต่จะเปิดอ่าน พอโทรไปหาหวงจื่อเทา ไอ้เด็กนั่นก็อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ แล้วขอโทษไม่หยุด แค่นั้นก็พอจะเข้าใจแล้วว่าชานยอลคงไม่อยากคุยกับเขาจริง ๆ
เอาเถอะ...อย่างน้อยก็ได้รู้แล้วว่าเด็กนั่นอยู่ที่ไหน
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่บยอนแบคฮยอนจะได้เห็นปาร์คชานยอลก็ตาม
“ลงมากินข้าวได้แล้วลูก”
“จ้าแม่!” จื่อเทาขานตอบคนเป็นแม่ที่อยู่หน้าประตูห้องก่อนจะหันไปปลุกเพื่อนที่นอนไม่ได้สภาพอยู่บนเตียง เด็กหนุ่มเขย่าเพื่อนตัวสูงอยู่หลายครั้งและชานยอลก็จำใจต้องลุกเพราะรำคาญ
“ไรวะ”
“แม่กูเรียกไปกินข้าวละ ป่ะมึง แปรงฟัน” จื่อเทาพยักหน้าแล้วลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำก่อน ชานยอลนั่งสะลึมสะลืออยู่บนเตียงพลางเรียกสติที่ไม่ครบถ้วนให้กลับมา
แขนยาวเอื้อมไปหยิบมือถือที่วางอยู่ข้างหมอน กดปลดล็อกหน้าจอแล้วดูเวลาก่อนจะอ้าปากหาว นี่เขาเพิ่งนอนไปได้แค่ชั่วโมงเศษ ๆ เองหลังจากใช้เวลานั่งแหงนหน้ามองท้องฟ้าตรงระเบียงห้องไอ้เทาจนเช้ามืด
นี่ก็เข้าวันที่แปดแล้วที่ชานยอลไม่ได้กลับบ้าน เขารู้ว่ามันงี่เง่าสิ้นดีกับสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมด แน่นอนว่าการบล็อกไลน์ บล็อกเบอร์โทรนั้นมันไม่ได้ช่วยให้ลืมความรู้สึกที่มีต่อน้าชายไปได้ นึกแล้วก็อยากจะเตะปากตัวเองที่สติแตกจนทำเรื่องผิดพลาดขั้นสูงสุดไปซึ่งนั่นก็คือการจูบ
พอสร่างเมาวันนั้นปาร์คชานยอลก็ได้รู้ว่าเหล้าคือน้ำปลุกด้านมืดที่ทำให้กล้าพูด กล้าทำในสิ่งที่คิดอยู่ลึก ๆ และมันคือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มไม่กล้ากลับไปที่บ้าน เพราะเขาคงทนไม่ไหวแน่ถ้าเกิดว่าแบคฮยอนเมินเขา หรือแสดงออกอย่างชัดเจนว่ารังเกียจจูบนั่น
ชานยอลเอนหลังพิงกับผนังแล้วหลับตาลงพร้อมกับเอาฝ่ามือตบหน้าผากตัวเองซ้ำ ๆ กับความโง่เง่าที่ทำลงไป เด็กหนุ่มรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกแต่เขากลับห้ามตัวเองไม่ได้ ตั้งแต่จูบนั่นไปจนถึงการหนีออกจากบ้าน แต่ถึงอย่างนั้นชานยอลก็ไม่สามารถต่อสู้กับความอดทนต่อไปได้ไหว เชื่อว่าไม่ช้าหรือเร็วเขาก็คงระเบิดออกมาเพราะเรื่องของอู๋อี้ฟานเข้าสักวัน
ถึงปากจะบอกว่าไม่ต้องการความชัดเจนจากน้าชายแต่เขาก็ยังไม่พอใจและแสดงออกถึงความหึงหวงราวกับเด็กหวงของเล่น เวลาอยู่ด้วยกันสองคนแน่นอนว่าทุกอย่างมันดี มันสวยงามไปหมด แต่พอมีเรื่องของผู้ชายคนนั้นมาเกี่ยวข้องเมื่อไหร่ ปาร์คชานยอลก็รู้สึกเหมือนตัวเขาถูกถีบกลับไปอยู่จุดเริ่มต้นทุกที
ถ้าลองห่าง ๆ กันดู...บางทีมันอาจจะดีกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้...
มือแกร่งคว้าไอโฟนมากดโทรออก เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ระหว่างรวบรวมความกล้าในเรื่องที่จะพูดออกไประหว่างรอสาย เพียงแค่ครู่เดียวอีกฝ่ายก็กดรับ
( ฮัลโหล )
“แม่จ๋าทำอะไรอยู่”
( ถอนหงอกให้พ่อแก เงินหมดเหรอคนดีของแม่? )
“เปล่า” เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปาก ยิ่งได้ยินประโยคประชดประชันเชิงอารมณ์ดีของแม่แล้วก็หวั่นใจ “ผมมีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อย”
( ว่ามาสิแม่ฟังอยู่ )
“งั้นเข้าเรื่องเลยนะ ผมอยากไปอยู่หอ”
( หืม? )
“...”
( นึกไงถึงอยากไปอยู่หอ แม่นึกว่าคราวที่แล้วแกพูดเล่นซะอีก )
“อาทิตย์หน้าผมจะไปสมัครเรียนแล้ว ถ้าเกิดเข้ามหาลัยได้ผมก็ไม่อยากขับรถไกล แม่ก็รู้ว่าโซลรถราเยอะแค่ไหน ผมขับมอไซค์แบบนี้สักวันคงถูกเฉี่ยวชนเข้าให้”
( ถ้ารู้ว่ามอเตอร์ไซค์มันอันตรายแล้วจะอยากได้ทำไม )
“ตอนอยากได้ผมยังไม่ทันคิดเรื่องอุบัติเหตุ แต่ตอนนี้ผมกลัวแล้ว”
( อย่างแกน่ะเหรอกลัว? )
“อือ” เด็กหนุ่มขานตอบในลำคอ
( ทำไมต้องไปอยู่หอให้เสียเงินค่าเช่า แทนที่จะเอาเงินส่วนนั้นเก็บไว้ อยู่กับน้าแบคฮยอนไม่ดีตรงไหน บ้านก็ไม่ต้องเช่าเขาอยู่ )
“หอพักแถวมหาลัยราคาถูกมีเยอะ แม่ให้ผมอยู่เถอะ”
( แกจะมาเอาแต่ใจแบบนี้ไม่ได้นะชานยอล ที่แม่ให้แกอยู่กับน้าแบคฮยอนเพราะแม่อยากให้แกอยู่ในสายตา ขืนไปอยู่แบบนั้นเดี๋ยวได้เสียคนกันพอดี )
“ผมรู้ว่าแม่เป็นห่วง แต่แม่ก็ควรนึกถึงน้าบ้างว่าเขาต้องเหนื่อยแค่ไหนที่ต้องดูแลเด็กอย่างผม” ชานยอลเหม่อมองไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย “ทั้งทำกับข้าวให้กิน ดูแลผม ไปรับไปส่ง...ผมเกรงใจเขา”
( ... )
เสียงแม่เงียบไป คาดว่าเธอคงกำลังใช้ความคิดอยู่ว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้ดี ถึงแม่จะไม่เชื่อใจลูกชายแต่สิ่งที่จะทำให้ไขว้เขวได้ก็คือความลำบากของแบคฮยอนนี่แหละ ถึงจะเป็นญาติกันแต่ฝั่งเขาเป็นฝ่ายสะใภ้ ไม่ได้มีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันจนถึงขั้นจะทำอะไรก็ได้โดยไม่เกรงใจ เพราะที่ผ่านมาทางบ้านเขาก็รบกวนแบคอยอนมามากพอแล้ว
( ก็ได้ )
ชานยอลไม่ได้ดีใจกับประโยคนี้ถึงมันจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการ เพราะมันเป็นแค่คำอนุมัติให้ทำได้อย่างถูกต้องแทนที่จะหนีออกไปอยู่หอเฉย ๆ แล้วให้แม่รู้จากปากแบคอยอนเอง ปกติแม่ต้องด่าเรื่องที่เขาไม่กลับบ้านแล้วแต่นี่ไม่เห็นพูดถึงเลย มันบ่งบอกได้ว่าที่แม่ไม่รู้เพราะแบคฮยอนไม่ได้พูด
( แต่มีข้อแม้ว่าแม่จะให้เงินเท่าเดิม แล้วแกก็จัดการชีวิตเอาเองว่าจะแบ่งส่วนไหนไว้จ่ายค่าหอ ส่วนไหนเก็บไว้กินไว้ใช้ )
“...”
( ถ้าอยากออกไปมีชีวิตเป็นของตัวเอง ก็ลองดูแล้วกันว่าจะไปได้สักกี่น้ำ )
“ทำไมแม่ต้องขึ้นด้วยเนี่ย รู้ไหมว่าลูกชายท้อจะตายอยู่แล้ว” ชานยอลทึ้งหัวตัวเอง บางทีแม่ก็น่าจะให้กำลังใจกันบ้าง หรือไม่ก็พูดอะไรก็ได้ที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นกว่านี้ เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกผลักลงเหวแล้วมีคนผลักท่อนซุงเป็นสิบ ๆ ลงมาซ้ำเติมยังไงอย่างนั้น
( ท้อบ้าไร ตราบใดที่แกยังไม่ต้องทำงานหาเงินเลี้ยงลูกชายตัวเท่าควายงก ๆ อย่างฉันก็อย่ามาพูดว่าท้อ )
“แม่ไม่เข้าใจวัยรุ่นอ่ะ” ชานยอลขมวดคิ้วพลางกรอกเสียงน้อยใจไปยังปลายสาย เขาได้ยินว่าแม่แค่นหัวเราะหลังจากที่ได้ยินประโยคนี้
( มีอะไรอีกไหม ถ้าไม่มีฉันจะได้ถอนหงอกพ่อแกต่อ )
“ขอผมคุยกับพ่อหน่อย”
( ไม่อนุมัติ )
“แม่!!!”
( อย่ามาขึ้นเสียงใส่ฉันนะไอ้ลูกทรพี เรื่องย้ายไปอยู่หอนี่คุยกับน้าแบคฮยอนหรือยัง? )
“ไม่ ทำไมผมต้องคุยด้วย”
( ตบปาก แกไปอยู่บ้านมันเป็นปี ๆ ตั้งแต่เริ่มเป็นดักแด้ในเมืองกรุง พอปีกกล้าขาแข็งแล้วนึกจะไปไม่ลาจะมาไม่ไหว้ยังไงก็ได้ว่างั้น? )
“ถึงผมไปแบคฮยอนก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก”
( มันไม่เกี่ยวกับเรื่องความรู้สึกแต่มันอยู่ที่มารยาทกับจิตใต้สำนึก แม่ไม่ได้สอนให้แกโตมาเป็นเด็กเลวนะชานยอล )
“แม่ก็ไม่ได้สอนให้ผมรู้จักความรักเหมือนกัน”
( อะไร อยู่ดี ๆ ก็วกเข้าเรื่องความรัก อย่าบอกนะว่าจะย้ายออกไปอยู่หอกับแฟน ถ้าใช่ฉันจะจองตั๋วรถขึ้นไปฟันคอแกเดี๋ยวนี้เลย )
“ไม่ใช่สักหน่อย...แม่อ่ะ” เด็กหนุ่มพูดอย่างถอดใจก่อนจะทำมือปัด ๆ เป็นเชิงบอกให้จื่อเทาลงไปกินข้าวก่อนได้เลย
( ตอนแรกว่าจะเพิ่มเงินค่าขนมให้อีกหน่อยเห็นว่าจะขึ้นมหาลัยแล้ว แต่ก็ตามนั้นนะ ถ้าไม่พอใช้ก็หางานพิเศษทำแล้วกัน )
“นี่ซีเรียสมากป่ะ”
( ไม่ ปกติฉันเป็นคนตลกแกก็รู้นี่ )
“โอเค ไหนเล่าเรื่องตลกให้ผมฟังสักเรื่องหน่อยดิ”
( ฉันท้องแก )
ตู้ดดดดดดดดดดดดด...
เด็กหนุ่มค้างอยู่ท่านั้นหลังจากมารดาบังเกิดเกล้าวางสายไปแล้ว ชานยอลหลับตาแล้วทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งก่อนจะยกเท้าขึ้นถีบอากาศอย่างขัดใจ ก็กะไว้แต่แรกแล้วว่าแม่จะต้องเป็นแบบนี้แต่ลึก ๆ ก็ยังหวังอยู่ว่าแม่จะเห็นด้วย
“มึงพูดจริงป่ะเนี่ย? ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นโจรขึ้นบ้านมึงเลย” ไอดอลหนุ่มขมวดคิ้วหลังจากได้ยินเพื่อนสนิทเล่าก่อนจะยกลาเต้เย็นขึ้นมาดื่ม
“เออดิ กูโคตรหลอนเลย ทุกวันนี้กูนอนกอดไม้ช็อตยุงแทนหมอนข้างแล้วเพราะกลัวโดนฆ่าตอนหลับ” แบคฮยอนทำหน้าจริงจังกับเรื่องที่เพิ่งเล่าเรื่องโจรขึ้นบ้าน
“มันจะเศร้ากว่านั้นนะถ้ามึงโดนฆ่าแล้วไม่ถูกข่มขืน” เซฮุนหัวเราะตาหยีพร้อมกับยกมือขึ้นบังเมื่อแบคฮยอนทำท่าจะเขวี้ยงมือถือใส่เขา “แล้วมันเอาอะไรไปบ้างล่ะ ทีวี ตู้เย็น กระปุกออมสิน?”
“ทีวี ตู้เย็นยังอยู่ครบยกเว้นคอมพิวเตอร์ในห้องไอ้ชานยอลนั่นแหละที่หายไป แถมถังขยะในห้องครัวยังมีซากของกินอีก”
“มันคงเป็นโจรที่หิวโซมาก”
“เออ ตั้งแต่ไอ้เด็กนั่นย้ายออกไปอยู่หอกูก็กลัวว่าจะโดนฆ่าเข้าสักวัน” คนตัวเล็กทำหน้าเนือย เขากำลังเป็นกังวลอย่างหนักกับปัญหาโจรขึ้นบ้านเมื่อไม่กี่วันก่อน
“อะไรนะ หลานมึงน่ะนะไปอยู่หอ?”
แบคฮยอนพยักหน้าเป็นคำตอบ คงมีเพียงแค่เซฮุนเท่านั้นที่เห็นว่าสภาพของเขาตอนนี้มันดูไม่จืดสักแค่ไหนหลังจากเล่าเรื่องหลานชาย แน่นอนว่าไอดอลหนุ่มรู้สึกได้ว่าเพื่อนของเขาแปลกไป มันไม่เหมือนกับครั้งก่อน ๆ ที่แบคฮยอนมักจะใส่อารมณ์เวลาพูดถึงหลานนรกที่ชอบสร้างความวุ่นวายให้
“แล้วมึงโทรแจ้งตำรวจยัง”
“ยัง ตำรวจจะช่วยอะไรกูได้วะนอกจากขับรถปาดไปปาดมาหน้าบ้านกูเนี่ย”
“เป็นไงมาไงมันถึงย้ายไปอยู่หอ อายุสิบแปดแล้วเปรี้ยวเหรอ” เซฮุนทำหน้าแหยพอพูดถึงไอ้เด็กกะโปกที่ทำตัวเป็นซาแซงเขา ล่าสุดก็เห็นมันไปงานมีทกับไอ้เด็กเขียวคนนั้นที่ไม่ว่าจะบอกชื่อกี่ทีกี่ทีก็จำไม่ได้ แต่ที่แปลกไปคือสีหน้าของมันที่ดูไม่ตื่นเต้นที่ได้เจอเขาสักเท่าไหร่นี่แหละ
“แม่มันเพิ่งโทรมาบอกเมื่อวาน เห็นว่าพอเข้ามหาลัยได้ก็ย้ายของเข้าไปอยู่เลย”
“งี้แหละมึง ช่วงกูอายุเท่ามันก็เคยมีความคิดแบบนั้นอยู่เหมือนกันตอนที่พ่อไม่อนุญาตให้กูไปค้างบ้านจงอิน” เซฮุนกัดหลอดพูดกับคนตรงหน้า
“ไม่เหมือนกันหรอก เหตุผลมึงมันส้นตีนเกินไป” คนตัวเล็กหรี่ตามองเพื่อนที่ทำเหมือนกับว่าเรื่องนี้มันปกติ
“โอเค ไม่เหมือนก็ไม่เหมือน แต่มันเป็นวิถีชีวิตของเด็กที่อยู่ในวัยต่อต้านเว้ยมึง ยิ่งเด็กที่ไม่เคยออกนอกกรอบ พอเข้ามหาลัยแล้วเหมือนมันได้เป็นอิสระไงมึง เลยอยากลองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำบ้าง”
“ไม่ใช่เพราะมันเกลียดกูเหรอวะ” สีหน้าของแบคฮยอนตอนนี้เหมือนกับหมาหงอย ๆ ตัวนึงเซฮุนเห็นอย่างนั้น ไอดอลหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง เหตุผลที่ไอ้เตี้ยพูดมามันก็มีส่วน
“อาจจะใช่ เพราะมึงขี้บ่น ชอบด่ามัน เพราะงั้นไม่แปลกหรอกที่ชานยอลมันจะอยากไปอยู่หอ”
“แต่กูมีเหตุผลนะเว้ย ถ้ามันไม่ทำตัวแย่กูจะพูดเหรอ” แบคฮยอนขมวดคิ้วพลางนึกไปถึงคืนวันนั้นที่ชานยอลเมาจนไปมีเรื่องกับคนอื่น
“เหตุผลของมึงใช้กับเด็กไม่ได้ จำไว้”
“...”
“มันก็มีเหตุผลของมัน มึงก็มีเหตุผลของมึง เมื่อไหร่ที่มีคนยึดเหตุผลของตัวเองเป็นหลัก คนสองคนก็อยู่ด้วยกันไม่ได้หรอก”
“...”
“แล้วมันไม่กลับบ้านเลยเหรอวะ?”
“ไม่เลย จะสองเดือนแล้ว”
“นั่นแหละ ชัดเจนแล้วว่ามันเกลียดหนังหน้ามึง”
“ไอ้ห่าเซฮุน” ไอดอลหนุ่มหัวเราะร่วนพร้อมกับยกมือขึ้นบังเพื่อนตัวเตี้ยที่โน้มตัวข้ามฝั่งมาตบหัวเขาโดยไม่แคร์สายตาคนรอบข้างในร้านกาแฟ
“แล้วกูพูดผิดตรงไหน ไม่เชื่อมึงโทรตามเชี่ยจงอินมาก็ได้ นั่นน่ะ” เซฮุนผินหน้าออกไปข้างนอกร้านแล้วก็เห็นไอ้ดำในชุดเสื้อฮู๊ดสีขาวแถมสวมหมวกทับอีกรอบพร้อมกล้องโปรในมือ แล้วอะไรคือการส่งจูบให้กัน มึงคิดว่าตอนนี้มึงสองคนอยู่ในโลกวอลท์ดิสนี่ย์เหรอ การแต่งตัวแหวกล้ำมาก การอำพรางตัวของมึงนี่เด่นกว่าขอทานที่กำลังคลานอยู่บนพื้นอีกสึด
“งั้นกูขอถามมึง”
“ไม่ขอตอบเรื่องส่วนตัวนะครับ” แบคฮยอนเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มขณะมองไอ้ดาราขี้เก๊กที่กำลังกระดิกนิ้วชี้ไปมา
“เห็นมึงดูจะเข้าใจชีวิตวัยขบเผาะของวัยรุ่น กูเลยอยากรู้ว่าถ้ามึงมีความรักแต่มันไม่ชัดเจน...มึงจะ...” ร่างเล็กพยายามอธิบายแต่ดูเหมือนว่าคำพูดทุกอย่างมันจะจุกอยู่ที่คอ ส่วนเพื่อนสนิทที่รอฟังอยู่ก็อ้าปากอย่างลุ้น ๆ ทั้งหงิกนิ้วมือทั้งสิบแล้วหมุนข้อมือไปด้วย
“จะ...ไร?”
“คือ...ถ้าเกิดว่า...”
“สักทีเหอะสัดกูลุ้นจนเยี่ยวเหนียวแล้วเนี่ย” เซฮุนขมวดคิ้วฟาดมือลงกับโต๊ะอย่างแรงจนเกิดเสียงก่อนที่เจ้าตัวจะหันไปยิ้มอ่อนโยนให้โต๊ะอื่น ๆ พร้อมกับโค้งหัวขอโทษขอโพย
“สมมติว่าโลกใบนี้ไม่มีไอ้จงอินนะ แล้วมึงชอบคน ๆ นึง...”
“เป็นไปไม่ได้หรอก โลกของกูต้องมีไคจ๋าอยู่แล้ว”
“ห่าจิก กูบอกว่าสมมติ”
“อ่ะว่าต่อ” เซฮุนยิ้มขำแล้วยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มอีกรอบ แบคฮยอนหายใจเข้าลึก ๆ แล้วโค้งหัวขอบคุณเมื่อพนักงานเดินมาเสิร์ฟชาเย็นที่เขาสั่งไว้
“ชาเย็นของคุณลูกค้าได้แล้วครับ รับรองว่าเย็นชายิ่งกว่าความรู้สึกของคนที่คุณรักอีก” รอยยิ้มพิมพ์ใจของพนักงานเสิร์ฟสาวประเภทสองส่งมายังคนตัวเล็กพร้อมกับดันแก้วไปตรงหน้าและไม่ลืมที่จะยักคิ้วตบท้ายก่อนเดินจากไป เซฮุนกลอกตามองเพื่อนสนิทที่กำลังหน้าแห้งแล้วก็สงสารเหลือทน แม้แต่พนักงานเสิร์ฟยังตอกย้ำชีวิตสมถุยของบยอนแบคฮยอน ชาติหน้ามึงควรเกิดเป็นตะปูนะเพื่อนนะ
“ดีนะเป็นตุ๊ดไม่งั้นกูลากไปกระทืบหน้าร้านแล้ว”
“นี่ก็โหดจั๊ง ตัวเท่านิ้วหัวแม่ตีนทำซ่า อย่างมึงนี่เขาใช้ตีนขวาข้างเดียวก็เอาอยู่แล้ว”
“เออจริง” แบคฮยอนมองไปยังพนักเสิร์ฟคนนั้นที่เอื้อมไปรับถาด นั่นเป็นจังหวะที่ทำให้เห็นต้นแขนแกร่งของนาง “โอเค เข้าเรื่องต่อ”
“เกือบลืมไปแล้วว่าคุยค้างไว้”
“นั่นแหละ สมมติว่ามึงอายุสิบแปด แล้วมึงชอบผู้ชายคนนึงแต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมึงมันไม่ชัดเจน แล้วอยู่ดี ๆ มึงสองคนทะเลาะกันเพราะความงี่เง่าของมึง...โอเค ไอ้คนนั้นก็งี่เง่าเหมือนกัน แต่มึงเสือกไม่ฟังเหตุผลอะไรเลย”
“อ่า ไงต่อ” เซฮุนป้องปากหาว เขาดูไม่ตื่นเต้นอะไรนักกับเรื่องที่แบคฮยอนสมมติขึ้นมา
“ถ้าเป็นแบบนั้นมันจะเป็นเหตุผลที่ทำให้มึงอยากหนีไปจากเขาป่ะวะ?” แบคฮยอนวางมือลงบนโต๊ะแล้วมองหน้าเพื่อนสนิทอย่างลุ้น ๆ เซฮุนเงียบไปครู่หนึ่ง เขาเห็นว่าสายตาคู่นั้นกำลังจับจ้องอยู่กับแก้วลาเต้ที่หมดไปแล้วเกือบครึ่งระหว่างใช้ความคิด
“ถ้าแค่ทะเลาะกันกูไม่หนีหรอก แต่ถ้ามีเรื่องปั่นหัวกูมากกว่านั้นก็ไม่แน่”
“...” แบคฮยอนนั่งฟังอย่างตั้งใจ เซฮุนหรี่ตาลงพร้อมกับทำหน้าเหมือนผู้เชี่ยวชาญด้านความรักทั้งทั้งที่มันก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตนเป็นคนแรกก็คือไอ้จงอิน “เหรอ แล้วถ้าเกิดมีเรื่องมากกว่านั้นอย่างที่พูด มึงจะหนีไปเพราะเหตุผลไรวะ?”
“อยากตัดใจ”
“...”
“ก็มึงบอกเองไม่ใช่ไงว่าความสัมพันธ์มันไม่ชัดเจน ถ้ามันมีเรื่องที่ทำให้กูคิดจะหนี แสดงว่ากูคงไม่อยากทนอยู่ตรงนั้นแล้ว”
แบคฮยอนรู้สึกเหมือนมีหอกแหลม ๆ ทิ่มกลางอกเขาไม่รู้กี่ร้อยครั้ง ร่างเล็กนั่งนิ่งไปหลังจากปล่อยให้สมองทำความเข้าใจกับเรื่องที่เพื่อนสนิทอธิบายไปเมื่อครู่ จริงอยู่ที่คำพูดของโอเซฮุนเชื่อไม่ได้แต่ไหนแต่ไร แต่ทำไมเรื่องนี้มันถึงมีมูลเหตุที่ทำให้เขารู้สึกว่าชานยอลอาจจะคิดแบบนี้ก็ไม่รู้
“ตัดใจที่ว่าคือ...มึงจะไม่รักเขาแล้วน่ะเหรอ”
“มึงจะเอาอะไรกับเด็กผู้ชายตอนอายุสิบแปดวะ” เซฮุนพูดติดตลก นึกย้อนไปถึงตอนนั้นเขากับจงอินเพิ่งจะสปาร์คกันได้ไม่นานเอง แถมยังเคยทะเลาะกันใหญ่โตจนเกือบเลิกอีก ก็นะ...เมื่อหกปีที่แล้วพวกเขายังเป็นเด็กกันอยู่เลย “ความรักของวัยรุ่นเริ่มต้นง่ายก็จบลงง่าย แป้บเดียวก็มีคนใหม่แล้ว”
แบคฮยอนพูดไม่ออก รู้ตัวอีกทีก็เจ็บตรงหน้าขาเพราะเผลอจิกเล็บลงไป ร่างเล็กถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วเงยหน้ามองเพื่อน
“แล้วมึงจะบล็อกไลน์ บล็อกเบอร์โทรเขาไหม”
“จะเก็บไว้ให้ทิ่มแทงใจทำไมล่ะครับเพื่อน ลบดิ” เซฮุนว่าแล้วหันไปยิ้มให้ตากล้องที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน
“ทำไมมึงเป็นคนแบบนี้วะ ไม่คิดว่าคนอื่นจะเสียใจบ้างเหรอ ถ้าเกิดว่าคนนั้นเขารออยู่ล่ะ หรือคิดว่าตัวเองน้อยใจเป็นคนเดียว ห่า” ไอดอลหนุ่มเลิกคิ้วมองเพื่อนตัวเตี้ยที่ดูจะใส่อารมณ์เกินคำว่าสมมติ
“เอ้า...กูไปฆ่าพ่อมึงเหรอ ทำไมอินจังเลยล่ะ”
“เออ อยากหนีมากก็หนีไปเลย ไอ้คนนั้นของมึงเขาไม่เสียใจหรอกกูจะบอกให้” แบคฮยอนแค่นหัวเราะแล้วลุกขึ้นยืน เดินออกไปได้แค่ห้าก้าวก็ต้องเดินกลับมาหาเพื่อนสนิทที่ยังคงทำหน้างงอยู่เพราะไม่รู้ว่าไอ้เตี้ยนี่มันวิ๊บอะไร “แล้วจะได้รู้กันว่าใครจะลืมได้ก่อน”
แบคฮยอนเดินขึ้นมาตามทางลาดชัน วันนี้เขาส่งรถไปเช็คสภาพเครื่องเพราะงั้นเลยเป็นโอกาสดีที่จะนั่งมองถนนหนทางจากการนั่งรถเมล์ ร่างเล็กถอนหายใจเบา ๆ จนรู้สึกหงุดหงิดตัวเองที่เป็นแบบนี้ ทั้งที่เวลาผ่านไปสองเดือนแล้วแต่เขายังรู้สึกเหมือนว่าเรื่องของชานยอลมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
นึกน้อยใจอยู่ลึก ๆ ที่ไอ้เด็กนั่นตัดช่องน้อยแต่พอตัว ถ้ามันเป็นอย่างที่ไอ้เซฮุนพูดจริง ๆ ก็น่าโมโห เพราะคนที่หนีไปคือคนที่พยายามลืม แต่คนที่ยังอยู่อย่างเขาล่ะทำอะไรได้บ้าง เพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็ดูเหมือนว่าชานยอลจะยืนอยู่ตรงนั้นตรงนี้อยู่เต็มไปหมด เขาต้องอยู่กับสภาพแวดล้อมเดิม ๆ ที่เดิม ๆ ที่เคยอยู่ด้วยกัน มันยุติธรรมแล้วหรือไง
เปิดประตูบ้านเข้าไปในสภาพอิดโรยสุด ๆ พร้อมก้มลงเก็บรองเท้าไว้บนชั้น เปลือกตาปิดลงแล้วเดินไปทั้งอย่างนั้นก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาแต่ก็ต้องดีดตัวลุกขึ้นนั่งทันทีที่รู้สึกได้ว่าทับอะไรแข็ง ๆ เข้าให้
“...”
แบคฮยอนเบิกตากว้างทันทีที่เห็นกระเป๋าสีดำซึ่งมีอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน จากที่เผลอนอนทับเมื่อครู่ก็พอจะเดาได้แล้วว่ามันต้องเป็นของมีค่าสักอย่าง และเท่าที่จำได้เขาไม่เคยมีกระเป๋าเป้แบบนี้
พอรูดซิปออกเท่านั้นก็ได้คำตอบ เกมเครื่อง Wii สีขาวพร้อมรีโมททั้งสองอันถูกอัดไว้ข้างในซึ่งนับว่าเป็นการขโมยอย่างชาญฉลาดเพราะมันสามารถหอบไปได้ง่ายกว่าถ้าเทียบกับทีวีสี่สิบนิ้วที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ
ร่างเล็กเลื้อยลงไปนั่งบนพื้นแล้วคลานไปหยิบไม้ช็อตยุงพร้อมกับเอามือถือขึ้นมากดโทรหาตำรวจ ระหว่างนั้นก็กวาดสายตามองหาเจ้าของกระเป๋าเป้ใบนี้ แน่นอนว่าบยอนแบคฮยอนไม่ได้คิดไปเองว่าในบ้านมีแขกไม่ได้รับเชิญอยู่ด้วย
“คุณตำรวจครับ...มีโจรเข้าบ้านผม...รีบมาที่ xxxxxxx เดี๋ยวนี้เลยนะครับผมจะถ่วงเวลาไว้”
เสียงแผ่วเบาถูกกรอกเข้าไปในสาย ซึ่งตำรวจก็ตอบรับคำเป็นอย่างดีแล้วบอกว่าจะรีบมาโดยเร็วที่สุด แบคฮยอนกดวางสายแล้วคลานไปตามพื้นก่อนจะหมอบลงเมื่อได้ยินเสียงกุกกักในห้องครัว คนตัวเล็กแค่นหัวเราะ ไอ้โจรตะกละนั่นคงค้นตู้เย็นเขาอีกแล้วสินะ จับได้คาหนังคาเขาแบบนี้มึงไม่รอดแน่
สองขาค่อย ๆ ย่องเข้าไปในห้องครัว และที่ทำให้มั่นใจยิ่งขึ้นคือแสงสว่างจากหลอดไฟ มือเล็กกำไม้ช็อตยุงไว้มั่น พอเดินเข้าไปใกล้ ๆ แล้วก็หยุดชะงักเมื่อพบว่ามีใครคนหนึ่งยืนกระดกน้ำอยู่หน้าตู้เย็นจริง ๆ
“ไอ้หัวขโมย!!!!!!!!!!!!”
“!!!”
“ตายซะ!!!!!!!!!!!!!!”
แบคฮยอนตะโกนลั่นพร้อมกับวิ่งเข้าไปกระโดดขี่หลังไอ้โจรห้าร้อยที่กำลังกระดกน้ำจนเจ้าตัวเสียหลักหน้าพุ่งไปชนกับตู้เย็น เสียงข้าวของตกลงพื้นไม่ได้เรียกความสนใจกับคนที่กำลังพยายามจับตัวคนร้ายได้เลยสักนิดเดียว แขนทั้งสองข้างตวัดกอดรัดคอแกร่งเอาไว้พร้อมกับออกแรงงัด เขาจำได้ตอนดูมวยปล้ำสมัยเด็ก ๆ ท่านี้เคยทำให้รุ่นเฮฟวี่เวทสลบมาแล้วโดย เรย์มิสเตริโอ้ตัวน้อยขวัญใจของเขา
“อั่ก...!!!”
“งานการสุจริตมีเป็นร้อยเป็นพันทำไมไม่รู้จักไปทำห้ะ ไอ้สารเลว ฉันจะฆ่าแก!” แบคฮยอนเกี่ยวขากับเอวหนาไว้แน่นยิ่งกว่าลิงทารกในอ้อมอกแม่ ส่วนมือข้างหนึ่งก็ทึ้งกลุ่มผมสีเข้มอย่างแรงจนหนังหัวแทบหลุด โจรห้าร้อยเซถอยหลังพร้อมกับยื้อดึงแขนเล็กที่รัดคอเขาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งทั้งคู่หงายหลังลงไปนอนบนพื้น
“โอ้ย!!!” แบคฮยอนนิ่วหน้าเจ็บเมื่อหัวของเขาฟาดกับพื้นอย่างแรง ไหนจะร่างควายถึกที่ล้มมาทับเขาอีก แต่ถึงอย่างนั้นคนตัวเล็กก็สำเหนียกได้ว่ามันไม่ใช่เวลาที่เขาจะมานอนโอดครวญแบบนี้ ร่างเล็กเอื้อมไปหยิบไม้ช็อตยุง พอได้แล้วก็เหวี่ยงเต็มแรงโดยที่ไม่หันไปมองหน้าอีกฝ่ายแต่มือนั้นก็ค้างอยู่บนอากาศเมื่อเห็นหน้าไอ้โจรห้าร้อยได้อย่างชัดเจน
“...”
“...”
“ชานยอล...”
“...”
ไม่ใช่แค่แบคฮยอนที่กำลังตกใจ เด็กหนุ่มผู้ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นโจรห้าร้อยก็เช่นกัน มือแกร่งปล่อยข้อมือคนตัวเล็กออกแล้วรีบลุกขึ้นยืน เวลาที่ทั้งคู่มีโอกาสได้สบตากันนับได้เพียงแค่สามวิเท่านั้นชานยอลก็รีบวิ่งออกไปหลังจากตั้งสติได้
เสียงประตูบ้านปิดลง นั่นเป็นคำตอบว่าเด็กคนนั้นไปแล้วพร้อมกับกระเป๋าเป้เกมเครื่อง Wii แบคฮยอนดีดตัวลุกขึ้นนั่งหลังจากนอนนิ่ง ๆ อยู่บนพื้นห้องครัวให้เวลาผ่านไปเฉย ๆ เขากำลังทบทวนเกี่ยวกับเรื่องโจรที่ทำให้เขาผวามาตลอดหลายวันแท้จริงแล้วไม่ใช่ใครที่ไหน ของที่ถูกขโมยไปก็ล้วนแต่เป็นของเจ้าตัวทั้งนั้น
แต่พอมองไปยังขวดที่ตกอยู่บนพื้นกับน้ำที่นองอยู่เต็มไปหมดอีกทั้งกระปุกนูเทลล่าที่ถูกเปิดทิ้งไว้นั้นมันกลับทำให้เขายิ้มออกมาได้อย่างน่าประหลาด
“ไอ้เด็กบ้าเอ้ย...อยู่ดีไม่ว่าดีชอบออกไปลำบาก” คนตัวเล็กหยิบมือถือออกมากดโทรหาหวงจื่อเทา เพียงแค่ครู่เดียวเด็กคนนั้นก็กดรับสาย “เทาเหรอ ว่างไหมออกมาเจอน้าหน่อยสิ”
“อ้อ...แล้วก็อย่าบอกให้ชานยอลรู้นะ”
TBC
โถ โจรที่ขโมยคอมพ์ไปนั่นคืออีเด็กกะโปกนี่เอง 5555555555555555
ถ้าหนีไปอยู่หอแล้วจะอดอยากแบบนี้ก็กลับมาอยู่ในอ้อมอกน้าเถอะมิสเตอร์ชาร์ลเอ้ย
#อ้าว คอมเมนท์ฟิคตัวเองอีกแล้ว
ความคิดเห็น