คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #28 : Chapter 27 :: His Ghost Story (100%)
Chapter 27
His Ghost Story
เสียงเคาะประตูห้องเรียกให้คนที่เพิ่งเคลิ้มหลับต้องลืมตาตื่นขึ้นมา แบคฮยอนขมวดคิ้วพลางเอื้อมไปกดเปิดโคมไฟตรงหัวเตียงและก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มเศษ ๆ ร่างเล็กสะลึมสะลือเดินไปเปิดประตูแล้วก็เห็นหลานชายตัวโตในชุดเสื้อไหมพรมสีเลือดนกกับกางเกงนอนขายาวยืนกอดหมอนไว้แนบอกแล้วทำตาปริบ ๆ ขณะมองมา
“อะไร”
“นอนด้วย”
“ห้ะ?”
“เมื่อกี้ฝันร้าย ผมนอนไม่หลับแล้ว” ชานยอลเบ้หน้าขอความเห็นใจในขณะที่อีกฝ่ายกำลังแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนว่างงสุดขีด เด็กหนุ่มหันกลับไปมองข้างหลังแล้วตีเนียนเดินเข้าไปให้พ้นธรณีประตูพร้อมกับยืนหลบอยู่ข้างหลังร่างเล็ก
“อะไรของแกเนี่ย”
“ผมฝันเห็นผี น่ากลัวมากอ่ะ”
“มันก็แค่ความฝัน เดี๋ยวแกหลับอีกรอบก็เปลี่ยนไปเรื่องอื่นแล้ว” น้าชายว่า ตอนนี้เขาตื่นเต็มตาเพราะไอ้เด็กตัวสูงที่ส่ายหน้าพรืดอีกทั้งยังทำหน้าเหมือนว่าถ้าเขาไม่ให้นอนด้วยผีต้องเข้ามาแดกคอมันแน่
“แบคฮยอน...”
“อยู่ที่นี่มาตั้งกี่ปีเพิ่งจะมากลัวอะไรตอนนี้”
“ก็เมื่อก่อนผมไม่เคยฝันเห็นผีอ่ะ แบคฮยอนไม่เคยตกใจตื่นกลางดึกเพราะฝันร้ายเหรอ” เด็กตัวสูงเถียงคอเป็นเอ็นแล้วเดินไปนั่งบนเตียงแถมยังดึงผ้านวมขึ้นมาคลุมหัวอีกด้วย
“...”
“ฝันดีนะ” ไม่เปิดโอกาสให้น้าชายพูดต่ออีกชานยอลก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงพร้อมกับห่มผ้าขึ้นถึงคอ แบคฮยอนไหวไหล่แล้วเดินกลับมาที่เตียงและไม่ลืมที่จะปิดโคมไฟ
“ผ้าห่มหอมนะเนี่ย”
“ใครจะไปเหมือนผ้าห่มแกล่ะ ซักสี่วันเน่า ทำไปได้ไง”
“งั้นวันเสาร์แบคฮยอนตื่นมาช่วยผมซักผ้านวมสิ” เสียงทุ้มกระซิบเบา ๆ ราวกับกลัวว่าใครจะได้ยิน
“ตื่นให้ได้ก่อนเถอะแล้วค่อยพูด”
“ได้สิ คืนนี้ผมยังนอนไวได้เลย เกมก็ไม่ได้เล่น ไม่เชื่อไปจับคอมพ์ดูได้”
“จะนอนแล้ว” แบคฮยอนนอนหงายแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงช่วงอกพร้อมกับขยับตัวให้อยู่ในท่าที่พอดี นัยน์ตาเรียวมองเพดานอยู่แค่ครู่เดียวก็ปิดลง ในหัวมันสั่งการให้รีบหลับก่อนที่หลานชายตัวดีจะสร้างงานสร้างอาชีพให้เขาต้องนอนไม่หลับ
“แบคฮยอน...”
“อะไร”
“อย่าเพิ่งนอนดิ ให้ผมหลับก่อนเดี๋ยวผีมา”
“หลับตาแล้วก็สวดมนต์ถึงพระเจ้าซะ ขอให้ท่านคุ้มครองเด็กกะโปกอย่างแกให้รอดพ้นจากภูติผีปีศาจ”
“พระเจ้าต้องดูแลคนทั้งโลกจะให้สละเวลามาปกป้องผมคนเดียวได้ไง แบคฮยอนอา...ตื่น”
“ปาร์คชานยอล” ร่างเล็กลืมตาขึ้นอย่างรำคาญก่อนจะหันไปมองตัวต้นเหตุที่ขัดขวางเวลานอน แต่ก็ต้องสะดุ้งอย่างตกใจทันทีที่พบว่าใบหน้าของเด็กตัวสูงอยู่ห่างจากแก้มเขาเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น
“จ๋า?”
“ไอ้บ้านี่” แบคฮยอนถดตัวไปชิดเตียงอีกฝั่งและแน่นอนว่าชานยอลก็ทำแบบนั้นเช่นกัน เด็กหนุ่มขยับตามไปแล้วกะพริบตาปริบ ๆ แสร้งปั้นหน้าไร้เดียงสา เขาเห็นใบหน้าของเด็กคนนี้อย่างชัดเจนเพราะแสงสว่างจากดวงจันทร์ที่ส่องเข้ามาผ่านทางหน้าต่าง
“อย่าเพิ่งนอน อยู่กับผมก่อนดิ”
“พรุ่งนี้ฉันต้องตื่นแต่เช้า”
“เดี๋ยวผมตื่นเป็นเพื่อน ไม่แอบหลับตอนกลางวันด้วยจะได้เสมอกัน” แบคฮยอนหรี่ตามองหลานอย่างระอา สรุปคือยังไงมันก็จะไม่ให้เขานอนสินะ “ขยับมาเร็ว เดี๋ยวตกเตียงนะ” เด็กเจ้าเล่ห์ถือโอกาสโอบเอวน้าชายเข้ามาแต่แบคฮยอนยกมือขึ้นดันแผงอกแกร่งไว้ได้ทันก่อนที่ชานยอลจะรั้งร่างเขาเข้าไปกอด
“โห รู้ทันอ่ะ”
“อย่า...แม้แต่จะคิด”
“ชอบเลยแบบนี้ โอ๊ะ!” ชานยอลหลับตาปี๋เพราะถูกตบแก้มอย่างแรง เด็กหนุ่มย่นจมูกแล้วมองหน้าน้าชายในความมืดหลังจากปรับสภาพสายตาได้แล้ว “ผมมีอะไรจะเล่าให้ฟังล่ะ”
“รีบเล่าจะได้รีบนอน” แบคฮยอนดันแผงอกแกร่งออกแต่มือปลาหมึกกลับรั้งเอวเขาไว้แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่า ‘อย่าพยายามเลยที่รัก ไม่สำเร็จหรอก’
“น้ารู้ใช่ไหม ว่าเกือบทุกมหาลัยต้องมีเรื่องผี”
จะว่าไงดีล่ะ บยอนแบคฮยอนอยู่ในที่มืดได้ นอนคนเดียวได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่กลัวผี ก็อย่างที่รู้ ๆ ว่าตอนไปดูหนังสยองขวัญกับหลานชายก็พากันปิดตาดูทั้งคู่ แต่เวลาปกติก็โอเคอยู่ได้ถ้าไม่มีอะไรมาบิ๊วท์ ถ้าไม่โผล่มาให้เห็นตัวเป็น ๆ น่ะนะ...แล้วตอนนี้ร่างเล็กกำลังรู้สึกเสียวหลังขึ้นมาเพราะน้ำเสียงทุ้มต่ำที่กำลังพูดอยู่นี่แหละ
“ที่ตึกวิศวะมหาลัยผมมีแม่บ้านตกลงไปจากช่องลิฟท์ที่ยังสร้างไม่เสร็จ...แล้วทุกคืนวันอังคารพวกที่อยู่ทำงานดึก ๆ ก็จะได้ยินเสียงลิฟท์ร่วงลงมาที่ชั้นหนึ่งดัง กึง!”
“...”
“วันนึงเพื่อนผมเอางานไปส่ง’จารย์ที่ตึกคณะ ให้ตายเถอะวันนั้นเป็นวันอังคารพอดี บรรยากาศรอบข้างช่วงห้าทุ่มห้าสิบดูเงียบสงัด ไม่มีแม้กระทั่งพวกขี้เมาที่จะนัดกันไปกินเหล้า ไม่มีแม้แต่กระทั่งเสียงโซ่ขึ้นสนิมจักรยานของลุงยามหน้ามอ”
“...”
“มันเดินไปยืนอยู่หน้าลิฟท์แล้วกดชั้นห้า รู้ไหมว่าแม่บ้านตกลงมาจากชั้นไหน?”
“ชั้นห้าเหรอ” น้ำเสียงของแบคฮยอนดูหวั่น ๆ ชานยอลพยักหน้าเป็นคำตอบ เด็กหนุ่มลอบยิ้มในใจเมื่ออีกฝ่ายตกหลุมพรางเขาเข้าเต็ม ๆ
“แต่ทันทีที่ลิฟท์เปิดออก...” หลานชายตัวแสบค่อย ๆ ขยับเข้าหาคนตัวเล็กอย่างแนบเนียน ตอนนี้แบคฮยอนไม่ทันคิดอะไรทั้งนั้นนอกจากเรื่องไอ้เด็กที่กำลังจะไปส่งงานนั่นกำลังจะเจออะไร
มือแกร่งวางลงบนเอวบางส่วนมืออีกข้างค่อย ๆ สอดเข้าไปใต้ช่องว่างตรงช่วงต้นคอคนตัวเล็กแล้วรั้งเข้ามานอนทับแขนตัวเอง แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมองหลานชาย ตอนนี้ชานยอลกำลังเม้มปากแน่นแล้วกลอกตามองไปมารอบห้องราวกับกลัวว่าจะเจออะไร
“เล่าต่อสักทีสิ ลุ้นจะแย่แล้วเนี่ย สรุปมันเจอไหม?”
“เดี๋ยว”
“อะไร”
“เมื่อกี้ได้ยินเสียงไรเปล่า?”
“เสียงอะไร?” แบคฮยอนห่อไหล่แล้วเอี้ยวหน้าหันกลับไปข้างหลัง จังหวะนั้นเด็กเจ้าเล่ห์ก็รั้งร่างน้าชายเข้ามาปะทะอกแกร่งแล้วฉวยโอกาสหอมกลุ่มผมที่มีกลิ่นแชมพูอ่อน ๆ เข้าเต็มปอด “นี่ชานยอล”
“เมื่อกี้ใครก็ไม่รู้เรียกชื่อน้า”
“ห้ะ?”
“จริง ๆ ไม่เชื่อลองเงียบดู” เด็กตัวสูงปั้นหน้าจริงจังขณะสบตากับน้าชายตัวเล็ก อยากจะหัวเราะให้ก้องโลกกับสีหน้าตื่นกลัวของแบคฮยอนในตอนนี้จริง ๆ
“อย่ามาหลอกฉันนะ ไม่เห็นจะได้ยินเสียงอะไรเลย” แบคฮยอนมองหลานชายหวาด ๆ แล้วกลอกตามองไปรอบ ๆ อีกครั้ง
“นั่นไง! อีกแล้ว!”
“ปาร์คชานยอล!”
“ผมกลัวอ่ะ ไม่อยากได้ยินแล้ว ไม่น่าเล่าเรื่องนี้เลยให้ตายเถอะ ผีอีป้าแม่บ้านต้องตามมาที่นี่แน่เลย ทำไงดีแบคฮยอน” ชานยอลกอดคนตัวเล็กแน่นแล้วซุกหน้าลงกับไหล่บาง แบคฮยอนเบิกตากว้างขณะที่ยังกลอกตาไปรอบ ๆ ห้อง ร่างเล็กเอื้อมไปเปิดโคมไฟตรงหัวเตียงแล้วดีดตัวลุกขึ้นนั่งจนหลานชายเทกระจาดลงไปนอนหงายเงิบบนตักเขา
“ไม่ต้องเล่ามันแล้ว”
“อีกนิดเดียวก็ถึงไคลแม็กซ์แล้วนะ”
“แทนที่จะนอนได้แต่แกกำลังจะทำให้ฉันนอนไม่หลับไปด้วย” ร่างเล็กมองคาดโทษเด็กตัวสูงที่นอนทำตาปริบ ๆ อยู่บนตักเขา ขนาดสะบัดออกแล้วมันก็ยังเฉย
“กลัวเหรอ ไม่เป็นไรนะผมอยู่นี่ทั้งคน” ชานยอลหันเข้าหาหน้าท้องน้าชายพร้อมกับซุกหน้าลงไปและไม่ลืมที่จะกอดเอวไว้กันคนใจร้ายสะบัดออก แบคฮยอนก้มลงมองไอ้เด็กตัวแสบแล้วก็ฟาดหัวมันไปเบา ๆ ไอ้เด็กนี่มันยังไงกันนะ!
“ลุกเลย”
“ไม่เอา ผมจะนอนตรงนี้ แล้วก็ห้ามคนอื่นมานอนด้วย” เห็นมันยู่ปากแล้วก็อยากจะโบกกระบาลอีกสักที ถนัดนักล่ะเรื่องเอาแต่ใจเนี่ย
“ใครจะมานอนมิทราบ ผีป้านั่นเหรอ”
“ใครก็ห้ามทั้งนั้น โดยเฉพาะไอ้ครูขี้เก๊ก”
“บอกกี่ทีแล้วว่าให้เรียกเขาดี ๆ” แบคฮยอนตีหน้าผากเด็กหนุ่มเบา ๆ ชานยอลเบ้ปากเล็กน้อยแล้วมองด้วยสายตาตัดพ้อ
“ปกป้องกันจริงนะ ว่าไม่ได้เลย”
“ก็แกพูดไม่เพราะกับคนอื่น ถ้าวันนึงแกอายุสามสิบแล้วมีไอ้เด็กเวรที่ไหนก็ไม่รู้มาเรียกแกว่าไอ้ขี้เก๊กแกจะรู้สึกยังไง”
“ต่อยปากแตกเลยดิ เก็บมันไว้เป็นเสี้ยนหนามทำไม โอ๊ะ!” เด็กหนุ่มกุมหน้าผากอีกครั้ง คราวนี้รู้สึกร้อนฉ่า ๆ เลย “ผมจะโกรธแล้วนะ พอพูดถึงเรื่องพี่อี้ฟานแล้วเป็นงี้ใช่เปล่า?”
“อะไร”
“คบกันแล้วล่ะสิ ช่วงที่ผมไม่อยู่ด้วย” แบคฮยอนมองไอ้เด็กขี้งอนที่กำลังทำหน้างอใส่เขา เมื่อชั่วโมงก่อนก็เกือบเชื่อแล้วว่าปาร์คชานยอลกำลังโตเป็นผู้ใหญ่ แต่เปล่าเลย ไอ้เด็กนี่ก็ยังงอแงเป็นเด็ก ๆ เหมือนเดิมเวลาพูดถึงพี่อี้ฟาน “นี่แบคฮยอน”
“อะไรอีก”
“ถ้าผมถาม น้าต้องตอบตามความจริงนะ” เด็กหนุ่มพลิกตัวหันเข้าหาหน้าท้องคนเป็นน้าแล้วแอบชำเลืองมอง “ห้ามโกหกด้วย” เป็นอีกครั้งที่แบคฮยอนได้แต่พยักหน้าช้า ๆ อย่างรำคาญ ดูเหมือนว่าไอ้เด็กแสบจะหาเรื่องเขาอีกแล้ว
“ว่ามาไว ๆ”
“น้าน่ะ”
“...”
“ฮื้อฮือกับไอ้ครูนั่นแล้วใช่ไหม?”
“...”
กริบ...
ทั้งคู่ยังคงมองหน้ากันอยู่อย่างนั้นแล้วคนที่เดือดร้อนจะเป็นจะตายกับเรื่องนี้ที่สุดก็คงไม่ใช่ใครนอกจากหลานชายที่ยิงคำถามติดเรทออกมา จากสีหน้าเรียบเฉยคิ้วก็เริ่มขมวดเข้าหากัน ปากก็เม้มแน่น ตอบสักทีสิแบคฮยอน นี่รอไม่ไหวแล้วนะเว้ยยยยย
“ง่วงก็ไปนอนไป”
“ทำไมไม่ตอบ” เด็กหนุ่มดีดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วปั้นหน้าหงิก แบคฮยอนมองหลานชายอย่างเอือม ๆ แล้วปัดมือไล่ “ที่ไม่ตอบเพราะผมพูดถูกใช่ไหม!”
“เฮ้อ” ยังไม่ทันจะทิ้งตัวลงนอนก็ถูกไอ้เด็กแสบดึงแขนเอาไว้ ชานยอลชักดิ้นชักงอพร้อมกับเขย่ามือน้าชายคาดคั้นให้ตอบคำถามนี้ และดูเหมือนว่าถ้าเขาไม่ตอบไอ้เด็กบ้าคงระเบิดตัวเองตายแน่
“ผมไม่ยอมอ่ะ ไม่ยอม!!!”
“...เอ้า หนักละมึง”
“ไปเอาซิงคืนมาเลยนะแบคฮยอน ไม่เอาอ่ะ ไม่เป็นแบบนี้ดิ ไปเอาคืนมานะ ไปเอาคืนมา” ชานยอลลงไปนอนชักดิ้นชักงอบนเตียง
จากที่เห็นมันคงน่ารักอยู่หรอกถ้าเกิดเป็นเด็กอนุบาลแต่ต้องไม่ใช่เด็กตัวสูงที่ขาเกือบเลยขอบเตียงแบบนี้ แบคฮยอนปล่อยให้หลานชายเลื้อยจนกระทั่งมันเหนื่อยนั่นแหละ มันถึงได้ลุกขึ้นมาเบ้ปากงอแงใส่เขาอีก
“ทำงี้ได้ไงอ่ะ”
“ทำอะไร ฉันยังไม่ได้พูดสักคำเลยว่าใช่”
“อ้าว”
“เห็นน้าแกเป็นคนยังไงห้ะ ไอ้เด็กเวร” เด็กหนุ่มหน้าทิ่มเพราะถูกตบหัวเต็มแรง ชานยอลเงยหน้าขึ้นลูบหัวตัวเองป้อย ๆ ก่อนจะยิ้มกว้างกับคำตอบ
“จริงนะ?”
“ประสาท”
“แล้วจูบล่ะ เคยจูบหรือยัง?”
“ฉันจะไม่ตอบอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้แกชักตายตรงนี้แหละ”
“ไม่ได้นะแบคฮยอน ห้าม ห้าม ห้าม” เด็กหนุ่มขยับเข้าไปนั่งใกล้ ๆ แล้วยื่นหน้าเข้าไปขอความเห็นใจ แต่คนตัวเล็กกลับเบือนหน้าหนีอย่างรำคาญ
“นี่”
“เออ”
“หันมาคุยกันก่อนดิ”
“คุยแบบนี้แหละ เห็นหน้าแกแล้วหงุดหงิด” นึกแล้วก็ฉุน ถึงเขาจะถูกหลอกแดกมาตลอดชีวิตแต่ก็ใช่ว่าจะพลีกายให้ใครง่าย ๆ ป่ะวะ
“แบคฮยอน”
“เออ”
“ชอบมากหรือไงผู้ชายคนนั้นน่ะ”
“มากอ่ะ” หงุดหงิดครับ ปกติแบคฮยอนไม่ใช่คนชอบพูดประชดประชันเลยนะ แต่เป็นเพราะมันนั่นแหละชอบถามอะไรโง่ ๆ อยู่ได้ทั้งที่เขาก็แสดงออกขนาดนี้แล้วไม่ใช่เหรอว่าใส่ใจใครมากที่สุด แต่เดี๋ยว...ตอนนั้นชานยอลมันไม่รู้นี่หว่า
“แล้วชอบเท่าที่ผมชอบน้าหรือเปล่า”
ประโยคหยุดเวลามาอีกแล้ว แบคฮยอนค้างอยู่ท่านั้นก่อนจะค่อย ๆ เอี้ยวตัวหันกลับไปมองเจ้าของคำพูด ชานยอลกำลังอยู่ในสีหน้าจริงจังเหมือนตอนเมื่อหัวค่ำไม่มีผิด ซึ่งคนตัวเล็กรู้สึกชินกับไอ้เด็กกะโปกที่ชอบงอแงเสียมากกว่า เพราะอย่างน้อยเขาก็รู้วิธีรับมือปาร์คชานยอลในรูปแบบนั้นได้
แต่แบบนี้...เขาจะต้องตอบโต้ด้วยวิธีไหนล่ะ?
“น้าน่ะโคตรห่วยแตก ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจ แต่ช่วยเลือกผมได้ไหม?”
“...”
“น้าจะมองผมเป็นผู้ชายคนนึงได้หรือเปล่า?” เด็กหนุ่มโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้คนตัวเล็กพร้อมกับฉายแววตาจริงจัง มือแกร่งค่อย ๆ เลื่อนไปวางบนหลังมือเล็กที่อุณหภูมิสูงเพราะพิษไข้เพื่อย้ำว่าเขาต้องการได้ยินคำตอบนี้
แบคฮยอนเงียบไป เขาไม่ได้รู้สึกตกใจนักกับประโยคสารภาพรักอย่างไม่เป็นทางการของหลานชาย ใจหนึ่งก็คิดว่ามันเร็วเกินไปสำหรับคนที่เพิ่งกลับมาอยู่ด้วยกัน แต่อีกใจก็รู้สึกว่ามันนานเกินพอแล้วสำหรับระยะห่างที่เขาทั้งคู่มีต่อกันมาตลอดหนึ่งปี
ร่างเล็กห้ามปากตัวเองไว้ได้ทันเมื่อความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว มันคอยบอกย้ำว่าให้เขาคิดดี ๆ ก่อนตัดสินใจเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วมันไม่สามารถแก้ไขได้อีก บางทีบยอนแบคฮยอนก็ควรจะรอดูไปอีกสักพักนึงก่อน ดูว่าเด็กคนนี้มีความจริงจังอย่างที่พูดหรือเปล่า เพราะถ้าตอบตกลงไปแล้ววันหนึ่งปาร์คชานยอลเกิดเบื่อเขาขึ้นมาแล้วจะทำยังไง?
เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ เขาควรให้เวลาพิสูจน์ความรู้สึกไปอีกสักพัก
“ฉันรู้จักแกดีกว่าใคร ที่รู้สึกตอนนี้มันไม่ใช่ความรักหรอก” ร่างเล็กเห็นว่าสีหน้าชานยอลดูชะงักไป แววตาคู่นั้นค่อย ๆ แปรเปลี่ยน ตอนนี้มันฉายถึงความผิดหวังหลังจากได้ยินประโยคเมื่อครู่
“รู้ได้ไง?” แบคฮยอนเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อชานยอลจับมือเขาไปทาบกับหน้าอกข้างซ้ายทั้งที่ใบหน้าคมยังไม่ละสายตาออกห่างจากเขา “หัวใจผมอยู่ในนี้ น้ารู้ได้ไงว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่?”
“...”
“ถ้าอยากเป็นน้าหลานก็เชิญเป็นไปคนเดียวเถอะ ผมไม่เป็นด้วยหรอก”
“...”
“ไม่สิ ถึงน้าอยากเป็นผมก็ไม่ให้เป็นแล้ว เลิก”
เงียบ...
มีเพียงแค่เสียงถอนหายใจที่เขาได้ยิน บรรยากาศดี ๆ ก่อนหน้านี้หายไปในพริบตาเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง เด็กหนุ่มกำลังลุ้นว่าน้าชายตัวเล็กจะพูดอะไรกลับมาให้เขารู้สึกใจชื้นขึ้นบ้างไหม เขารออยู่หลายนาทีจนกระทั่งไม่อยากทนอยู่ตรงนี้ต่อไปอีกหลังจากไม่ได้คำตอบอะไรกลับมาสักอย่าง แม้กระทั่งหน้าเขาแบคฮยอนก็ไม่มอง ชานยอลพยักหน้าช้า ๆ แล้วลุกขึ้นแต่ยังไม่ทันก้าวขาลงจากเตียงก็ต้องหันหลังเมื่อถูกคนตัวเล็กคว้ามือเอาไว้
“เดี๋ยว” แบคฮยอนไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองชานยอล แต่มืออุ่นร้อนนั้นกลับจับมือเด็กหนุ่มไว้แน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะสะบัดมันออก “แกเพิ่งกลับมาอยู่ที่นี่ได้ไม่กี่วัน”
“...”
“แล้วก็มาพูดแบบนี้ แกจะให้ฉันทำยังไง”
“...”
“ไม่คิดว่าฉันจะกลัวถูกแกทิ้งบ้างเหรอ”
“...”
“แกยังเด็ก แถมยังมีคนเข้าหาเรื่อย ๆ ถ้าเกิดวันนึง...”
“มันจะไม่มีวันนั้น”
ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นสบตากับหลานชาย เด็กหนุ่มเสยผมขึ้นอย่างหัวเสียก่อนจะนั่งลงเหมือนเดิมแล้วก้มหน้าลงเพื่อเรียบเรียงคำพูด มันเป็นไปได้ยังไงที่ตอนนี้เขาทั้งสองคนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ชวนอึดอัดทั้งที่ทุกอย่างกำลังจะไปได้ด้วยดีแท้ ๆ
“ผมขอโทษ”
“แกไม่ผิดหรอก”
“ผิดสิ ผิดเต็ม ๆ เลย” คนตัวเล็กมองมือตัวเองที่กุมมืออีกคนเอาไว้ มือแกร่งนั้นกำลังค่อย ๆ คลายออกเพื่อสอดประสานกับมือของเขา “ผมเอาแต่คิดเรื่องตัวเองจนลืมนึกถึงความรู้สึกของแบคฮยอน”
“...”
“มันถูกอย่างที่น้าพูด ผมควรให้เวลาพิสูจน์ตัวเองมากกว่านี้หน่อย” ถึงใบหน้าของเด็กตัวสูงจะไม่มีรอยยิ้ม แต่ตอนนี้น้าชายอย่างเขากำลังรู้สึกดีขึ้นมาได้เพียงเพราะปลายนิ้วหัวแม่มือของชานยอลกำลังไล้อยู่กับหลังมือเขา “ไม่ต้องกลัวนะ”
เด็กหนุ่มยิ้มแล้วจับมือเล็กขึ้นมาจูบแช่ไว้ก่อนจะผละออก แบคฮยอนหน้าขึ้นสีจัดเพียงเพราะอีกฝ่ายแสดงออกกับเขาอย่างอ่อนโยน ชานยอลยิ้มบาง ๆ ดูเหมือนว่าตอนนี้สถานการณ์จะดีขึ้นมาแล้วในระดับหนึ่ง
“ถ้าแบคฮยอนก็รู้สึกเหมือนกัน...ผมจะยอมเป็นอะไรก็ได้”
“...”
“ขอแค่ได้อยู่ด้วยกัน แค่รู้ว่าผมไม่ได้มองน้าเหมือนเมื่อก่อนแล้ว”
“...”
“ถ้าเป็นแบบนี้แบคฮยอนจะสบายใจขึ้นใช่ไหม?” เด็กหนุ่มยิ้มกว้างขึ้นเพื่อให้คนตรงหน้ารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้างหลังจากที่เขายัดเยียดเรื่องน่าอึดอัดให้ ชานยอลยกแขนเล็กขึ้นแล้วทิ้งตัวลงนอนบนตักเหมือนเดิมก่อนจะวางมือแบคฮยอนลงบนแผงอกตัวเอง
“นอนดี ๆ สิ” อยากจะโทษแสงจากดวงจันทร์ที่ทำให้เขาต้องเห็นรอยยิ้มของชานยอลในตอนนี้ แน่นอนว่ามันทำให้คำด่าทุกอย่างถูกกลืนลงคอไปหมด ใครสั่งใครสอนให้ปลุกคนอื่นกลางดึกเพื่อที่จะมาพูดเลี่ยน ๆ แบบนี้กัน
บยอนแบคฮยอนนี่ซื่อบื้อจริง ๆ เขาควรจะรู้ตั้งแต่เห็นชานยอลมายืนทำหน้าหงอยอยู่หน้าห้องแล้วว่าทุกอย่างมันเป็นแผนที่ถูกวางไว้ทั้งหมด มือเล็กเลื่อนมาวางลงบนหน้าผากเด็กหนุ่มอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ก่อนจะลูบเบา ๆ และมันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดเอาไว้ ใช่...บยอนแบคฮยอนสร้างความกลัวขึ้นมาเองทั้งหมด และปาร์คชานยอลกำลังค่อย ๆ พังมันลงทีละนิด
นึกแล้วก็ขำ เขาเผลอกลัวเรื่องผีที่หลานชายเล่าไปได้ยังไงกัน อาจเป็นเพราะเวลาเด็กคนนี้พูดอะไรมันก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริงไปหมด ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองก็รู้ดีที่สุดว่าเมื่อก่อนชานยอลน่ะโกหกเก่งมากแค่ไหน แม้กระทั่งเรื่องผีคุณป้านั่นน่ะ...
จากสีหน้าชานยอลในตอนนี้ มันทำให้เขาคิดว่าบางทีผีมันอาจจะไม่มีอยู่ในโลกก็ได้
“ตัวยังร้อนอยู่เลย”
“ก็ฉันยังไม่หายหวัดนี่”
“งั้นรอเดี๋ยวนะ” ชานยอลดีดตัวลุกขึ้นนั่ง สีหน้าของเด็กตัวสูงดูกระตือรือร้นเว่อเกินกว่าที่คนปกติเขาจะเป็นกันในช่วงเวลาดึกดื่นแบบนี้
แบคฮยอนมองตามหลานชายที่วิ่งออกไปนอกห้องจนซุ่มซ่ามเตะขอบประตูอย่างแรง เขาเห็นว่าเด็กนั่นแอบเขย่งขาสูดปากเพราะความเจ็บแต่ก็ยังหันมายิ้มแหย ๆ ให้เขาแล้วโบกมือเป็นเชิงบอกว่า ‘แค่นี้ไม่เจ็บหรอก จิ๊บ ๆ’
สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ประตู ได้ยินเสียงเปิดน้ำก๊อกคาดว่าไอ้เด็กตัวแสบคงหาอะไรทำให้เขาประหลาดใจเล่นแน่ ร่างเล็กยิ้มขำแล้วก้มลงไปเก็บผ้าห่มขึ้นมาก่อนจะหันกลับไปจัดหมอนให้เข้าที่แล้วนอนรอ
ไวเท่าความคิด หลานชายตัวสูงกลับเข้ามาในห้องพร้อมกะละมังพลาสติกสีขาวในมือ เด็กหนุ่มใช้เท้าปิดประตูก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียงแล้วจัดแจงทุกอย่างลงบนโต๊ะ แบคฮยอนเลิกคิ้วมอง เขาไม่ได้โง่ที่จะไม่รู้ว่าชานยอลกำลังจะทำอะไรกับกะละมังใบนั้น แต่วินาทีนี้จะให้ยิ้มเขินให้มันเห็นล่ะก็...ฝันไปเถอะ
เด็กหนุ่มถลกแขนเสื้อไหมพรมขึ้นทั้งสองข้างแล้วบิดผ้าขนหนูผืนเล็กจนหมาด ก่อนจะขึ้นมานั่งกับขอบเตียงแล้วพับผ้าสามทบจนอยู่ในขนาดเหมาะมือ พอหันไปก็แอบรู้สึกใจเต้นเล็กน้อยที่พบว่าแบคฮยอนกำลังจ้องหน้าเขาอยู่ ซึ่งแววตาคู่นั้นไม่ได้มองคาดโทษหรือฉายแววสงสัย แต่มันเป็นแววตาที่ทำให้เด็กผู้ชายคนนึงใจเต้นแรงได้
“ผมเช็ดตัวให้”
“ถ้าฉันบอกว่าทำเองได้แกจะ...”
“ไม่”
“...”
“อยู่เฉย ๆ เดี๋ยวผมทำเอง” ชานยอลอมยิ้มแล้วกุมมือน้าชายตัวเล็กไว้แล้วทาบผ้าขนหนูผืนเย็นลงไป มือแกร่งค่อย ๆ เช็ดไปตามแขนแล้วก็พบว่าปัญหาในตอนนี้คือเสื้อแขนยาวตัวหนาที่ถลกขึ้นไปได้ถึงแค่ข้อศอกเท่านั้น
“...”
“...”
ทั้งคู่สบตากัน ต่างฝ่ายต่างรู้ว่าอีกคนกำลังคิดอะไรอยู่ แบคฮยอนไม่ได้ใสซื่อไร้เดียงสาที่จะเขินอายเพราะต้องถอดเสื้อออกต่อหน้าชานยอล ถึงแม้ว่าความรู้สึกของเขาทั้งสองคนมันจะเกินเลยมากกว่าคำว่าน้ากับหลานก็ตาม
ชานยอลมองคนตัวเล็กที่ไขว้แขนจับชายเสื้อก่อนจะถอดออก อยากขอบคุณพระเจ้าที่แบคฮยอนใส่เสื้อยืดสีขาวไว้ข้างในไม่อย่างนั้นเขาอาจจะมีความคิดอกุศลจนนึกอยากทำอะไรบ้า ๆ โดยไม่รอเวลาพิสูจน์อย่างที่ปากพูดไว้ก็ได้
เสื้อแขนยาวถูกวางไว้ข้างตัว ชานยอลจับแขนเล็กขึ้นมาซับเอาความร้อนออกให้ มีเพียงแค่เสียงบิดน้ำออกจากผ้าขนหนูเท่านั้นที่ทำลายความเงียบในตอนนี้ บยอนแบคฮยอนกำลังรู้สึกหงุดหงิดเสียงหัวใจตัวเองที่มันเต้นดังเรื่อย ๆ เพียงเพราะถูกสัมผัส
เด็กหนุ่มขยับเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น ทันทีที่ผ้าเย็น ๆ ซับลงตรงต้นคอแบคฮยอนก็สะดุ้งเล็กน้อย คนเป็นน้าเงยหน้าขึ้นสบตากับหลานชาย ปาร์คชานยอลทำให้เขาหวั่นไหวจนเกือบยอมโอนอ่อนเพราะคำพูดถึงสองรอบภายในวันเดียว และแน่นอนว่าตอนนี้คนตรงหน้าคือเหตุผลที่ทำให้อัตตราการเต้นของหัวใจของเขาผิดปกติ
“ยังปวดหัวอยู่ไหม?” เสียงทุ้มต่ำของเด็กหนุ่มมาพร้อมกับหน้าผากที่ทาบลงมา แบคฮยอนส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วช้อนตามองอีกฝ่ายที่ปลายจมูกเฉียดกันไปเพียงแค่นิดเดียว
ชานยอลวางผ้าขนหนูไว้ข้างตัวทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกห่างจากดวงหน้าขาว แบคฮยอนบีบมือตัวเองแน่นเพราะสัมผัสจากปลายนิ้วเรียวที่กำลังไล้อยู่กับริมฝีปากของเขา ตอนนี้คนตัวเล็กรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กที่ไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้แต่กระทั่งตอนจะถูกจูบ บยอนแบคฮยอนยังไม่รู้เลยว่าจะต้องทำหน้ายังไงหรือต้องวางมือไว้ตรงไหน
ร่างเล็กห่อไหล่ก่อนจะหลับตาลงรับจูบที่อีกคนมอบให้ เด็กหนุ่มเอียงใบหน้าเล็กน้อยเพื่อปรับองศาก่อนจะแทรกลิ้นเข้าไปในโพรงปากของคนป่วยที่กำลังบีบแขนเขาเพราะความเขินอาย แม้กระทั่งตอนจูบแบคฮยอนของเขาก็ยังทำให้หลงได้ ลิ้นร้อนของคนป่วยดูไม่ประสีประสาตอนที่ถูกไล่ต้อนในโพรงปาก มือแกร่งโอบใบหน้าคนตัวเล็กเอาไว้แล้วใช้มืออีกข้างประคองแผ่นหลังบางให้เอนลงนอนบนผืนเตียงอย่างเบามือ
ลิ้นของแบคฮยอนร้อนและลมหายใจก็เช่นกัน แต่เชื่อเถอะว่ามันช่างเข้ากันได้ดีในค่ำคืนอันหนาวเหน็บแบบนี้ เด็กหนุ่มไม่ยอมละริมฝีปากออกมาแม้ว่าจะได้ยินเสียงหอบหายใจและเสียงครางประท้วงในลำคอของคนตัวเล็ก เสียงลมหายใจของทั้งคู่สอดประสานกันมันถี่กระชั้นยิ่งขึ้นตามเข็มวินาทีที่เดินไปข้างหน้า
ตอนแรกเริ่มจากจูบเบาบางจนกระทั่งแปรเปลี่ยนเป็นจูบร้อนแรงตามความต้องการของเด็กอายุน้อยกว่า แบคฮยอนกำเสื้อไหมพรมอีกคนไว้แน่น สถานการณ์ที่เป็นอยู่เหมือนกับคืนนั้นไม่มีผิด ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วและไม่รู้ว่าจะหยุดที่ตรงไหน มันทั้งตื่นเต้นและรู้สึกประหม่าไปพร้อม ๆ กัน
ชานยอลผละออกมาจูบเรียวปากซ้ำ ๆ อย่างหลงใหล เขามองดวงหน้าของคนตัวเล็กตอนกระทบกับแสงสีซีเปียจากโคมไฟแล้วก็ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะไล้ปลายนิ้วหัวแม่มือลงบนริมฝีปากบวมเจ่ออย่างเบามือ
“คราวนี้ผมไม่ได้ฝัน เพราะฉะนั้นห้ามหนีไปเข้าฝันใครนะแบคฮยอน...”
60%
คิ้วหนาขมวดมุ่นเมื่อได้ยินเสียงรบกวนเวลานอน ซึ่งมันจะเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากเสียงนาฬิกาปลุก เด็กตัวสูงกระชับคนในอ้อมกอดแน่นยิ่งขึ้นพร้อมกับกดปลายจมูกลงบนกลุ่มผมนุ่มเข้าปอดทันทีที่น้าชายตัวเล็กเริ่มขยับตัวตื่น
“นี่...ปล่อย”
“อือ...”
“ชานยอล...” แบคฮยอนขมวดคิ้วแล้วพยายามแกะวงแขนแกร่งที่โอบกอดเขาจากข้างหลังออกแต่ก็ไม่เป็นผล ร่างเล็กเอี้ยวหน้าหันกลับไปมองก็เห็นไอ้หลานตัวดีกำลังหลับตาเบ้ปากเป็นเชิงบอกว่ามันจะไม่ยอมทำอะไรทั้งนั้นนอกจากนอนกอดเขาต่อไป “ปาร์คชานยอล”
“หลับอยู่”
“หลับก็ปล่อย”
“ปล่อยไม่ได้ แขนมันหนักมากเลย...”
“อยากหัวแตกแต่เช้าใช่ไหม” จากตอนแรกสะลึมสะลือก็ได้ตื่นเต็มตาเพราะมันนี่แหละ เมื่อคืนก็นอนเกร็งตั้งนานกว่าจะหลับลง ก็จะอะไรซะอีก...ไอ้เด็กนี่มันยอมปล่อยให้เขานอนดี ๆ ที่ไหนกันล่ะ พอขยับหน่อยก็ขู่ว่าถ้าไม่ให้นอนกอดจะปล้ำจูบทั้งคืนเอาให้ปากเบินเป็นแองเจลิน่าโจลี่เวอร์ชั่นมาเลฟิเซนท์ไปเลย
“ดวงอาทิตย์ยังไม่ทันจะเซย์ฮัลโหล ก็ไม่รู้ว่าจะรีบตื่นไปไหน...”
“ทำงานไงถามได้”
“อ๋อ ทำงานไว้เลี้ยงผมสินะ ทำไมน่ารักงี้” พูดจบก็หอมหัวไปอีกดอก แบคฮยอนพลิกตัวหันเข้าหาไอ้เด็กตัวสูงที่นอนหลับตายิ้มปริ่มอยู่ก่อนจะขมวดคิ้วมองอย่างหมั่นไส้
“ภูมิใจมากไหมที่ให้ฉันหาเลี้ยง”
“ตอนแรกก็เฉย ๆ แหละแต่ตอนนี้ฟินแล้ว ติดไว้ก่อนนะแบคฮยอน ถ้าเรียนจบแล้วผมจะเลี้ยงน้าเอง” ชานยอลปรือตามองคนตัวเล็กแล้วยักคิ้วกวน “ตลอดชีวิตเลยก็ยังได้...”
“ทำเป็นพูด ฉันก็เลี้ยงแกมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วเพิ่งจะมาอะไรตอนนี้”
“ก็อันนั้นในนามน้ากับหลาน” แบคฮยอนทำหน้ามึน ชานยอลเห็นอย่างนั้นเลยปั้นหน้าเลียนแบบก่อนจะหลับตาแน่นเพราะถูกตบหัวรับอรุณ “โอ้ย!”
“แล้วมันผิดตรงไหน ตอนนี้ฉันก็เป็นน้า แกก็เป็นหลาน”
“ใคร? ใครเป็นน้าใครเป็นหลานครับแบคฮยอน?” ชานยอลเลิกคิ้วเถียงคอเป็นเอ็น คนตัวเล็กแค่นหัวเราะแล้วดันตัวเด็กหนุ่มออกแต่ก็ต้องขมวดคิ้วเพราะมันเสือกกอดแน่นยิ่งขึ้นแถมยังทำหน้ากวนตีนอีกด้วย “ไม่ต้องเถียงเลย เป็นน้าผมมาทั้งชีวิตแล้วไม่เบื่อหรือไง มันถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแล้ววัยรุ่น”
“เป็นอะไร พ่อแกไง?”
“พ่อคุณทูนหัว”
“ตบกระบาลอีกรอบดีไหม?”
“ตบด้วยปากกระชากด้วยลิ้นเหรอ โหดMAX...อ่ะนั่นแน่...” ชานยอลคว้าข้อมือน้าชายที่กำลังจะโบกกะโหลกเขาเอาไว้พร้อมกับยิ้มร่า “ถ้าตบผมจูบนะ เอาดิ ๆ”
“คิดว่าฉันจะยอมแกหรือไง ไอ้เด็กเวร”
“ยอมไม่ยอมเมื่อคืนก็เกือบ...โอ้ย!!!!” ชานยอลหลับตาแน่นแล้วปล่อยข้อมืออีกคนออกมากุมจมูกตัวเองหลังจากโดนน้าชายตัวเล็กเฮดบัดเข้าเต็มข้อ แบคฮยอนลุกขึ้นไปยืนอยู่ข้างเตียงแล้วแค่นยิ้มมองไอ้เด็กกะโปกที่กำลังกุมจมูกนอนดิ้นพล่านจนหมอนกับผ้าห่มตกพื้นไปหมด
เวลาผ่านไปไม่ถึงเดือนที่ปาร์คชานยอลนั่ง ๆ นอน ๆ รอน้าชายกลับบ้าน เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมาติดเจ้านายที่ต้องคอยเอาคางเกยขอบหน้าต่าง พอได้ยินเสียงรถขับเข้ามาก็ทำลิ้นห้อยหางกระดิก ครั้งหนึ่งเด็กหนุ่มเคยด่าเพื่อนที่ติดหญิงจนไม่ยอมมาเล่นเกมด้วยกัน แต่ตอนนี้เขาเข้าใจความรู้สึกนั้นอย่างถ่องแท้แล้ว นี่ก็ติดน้าจนไม่มีเวลาเข้าไปตีครีฟ ตีดอทกันเลยทีเดียว ก็จะให้ทำไงได้ ในหัวของปาร์คชานยอลมันมีแต่ฟองสบู่ที่เป็นรูปแบคฮยอนอยู่เต็มไปหมด
ครั้นจะออกไปหาเพื่อนก็รู้สึกว่ามันธรรมดาไปเลยมีความคิดว่าจะทำอะไรดีตัวเขาถึงจะดูเป็นคนขึ้นมาบ้าง แบบว่าอยากรู้สึกมีค่านิดนึงส่วนผลพลอยได้ก็คือสีหน้าอึ้ง ๆ ของน้าชายตัวเล็กอะไรทำนองนั้น แต่ปัญหาคือคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรดี
ไปทำงานพิเศษเหรอ? เหนื่อยอ่ะ...แถมได้เงินน้อยอีก ถ้าเข้างานเร็วก็ต้องตื่นเช้า แต่ถ้าเข้าช้าก็เลิกค่ำและมันทำให้เขาไม่มีเวลาง้องแง้งใส่แบคฮยอน เพราะงั้นเขาจะทำอะไรได้บ้าง อยากให้น้าชายภูมิใจและอึ้งทึ่งจริง ๆ นะเนี่ย
สุดท้ายเด็กหนุ่มก็หาคำตอบให้กับตัวเองจนได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ ที่เขาเลื่อนจอมือถือไปเรื่อย ๆ แล้วเห็นสเตตัสอึนจีในเฟซบุ้คว่า
‘เด็กสมัยนี้เลี้ยงยากจังวะ ไม่ต้องมีมันแล้วลูกกูยอมขึ้นคาน ฟั้ค’
กดไลค์ไปจึ๊กนึงแล้วก็อดที่จะเสือกไม่ได้เลยทักแชทไปเพราะหัวใจมันเรียกร้อง มันเล่าว่าช่วงนี้ทำงานพิเศษเพิ่มเติมคือเป็นพี่เลี้ยงเด็กประถม ได้ค่าขนมเพิ่มเติมนิดหน่อยจะเก็บไว้ไปเที่ยวญี่ปุ่นปีหน้า
เลยถามว่าทำวันละกี่ชั่วโมง รายได้กี่วอนแล้วคำตอบก็ทำให้ปาร์คชานยอลตาเป็นประกายขึ้นมา เด็กหนุ่มเลยปรึกษาว่าอยากหางานพิเศษทำก่อนเข้ามหาลัย ก่อนได้ข้อมูลก็โดนมันด่าว่าเป็นควายธนูไปหนึ่งดอกที่เสือกโง่โดนรีไทร์ ยอมให้มันบ่นไปเกือบสองย่อหน้าเอสี่ ถ้าเขียนเป็นนิยายคงสู้เจเคโรว์ลิ่งได้ไม่ยาก
สรุปคือการสอนหนังสือเด็กคือหนทางที่ดีที่สุดสำหรับเด็กหนุ่ม ซึ่งโชคดีที่ว่าปาร์คชานยอลเป็นคนขี้เกียจแต่เสือกเรียนดีวิชาภาษาอังกฤษ แถมคณิตศาสตร์ม.ต้นไปนิดนึง เขาเรียนเก่งช่วงนั้นสมัยยังไม่เป็นเด็กใจแตก พอแชทจบแล้วก็รีบดีดตัวจากโซฟาไปเปิดคอมพ์ทันทีแล้ว search หาข้อมูลเกี่ยวกับเด็กที่ต้องการครูสอนพิเศษราคาถูก
เด็กตัวสูงลงรายละเอียดแล้วโพสต์ในเวปเรียบร้อยพร้อมแปะเบอร์มือถือและไลน์ เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมงก็มีเด็กแอดเข้ามาติดต่อถึงสองคน ชานยอลตอบตกลงสอนวันละสองชั่วโมงต่อหนึ่งคน สถานที่ก็ตามแมคโดนัล สตาร์บั้ค และถ้าเด็กไม่สะดวกก็จะนั่งรถไปสอนที่บ้านด้วยก็ได้
เวลาผ่านไปเกือบสามอาทิตย์และปาร์คชานยอลก็แทบจะหมุนตัวรอบบ้านหลังจากรู้ผลว่าเข้าครุศาสตร์ได้แล้วและหวงจื่อเทาก็เช่นกัน เด็กหนุ่มเอาปากกาเมจิกสีแดงวงรอบวันที่วันเปิดเทอมไว้แล้วเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า
ถอดชุดลำลองออกแล้วโยนไปมั่วซั่วก่อนจะเอาเชิ้ตสีขาวกับสูทแฟชั่นมาใส่และตามด้วยสแล็กขาเต่อ เด็กตัวสูงมองกระจกพลางขยำแว๊กแล้วจัดเผ้าผมให้เซ็ทตั้งก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วยืนโพสท่าสารพัดเพื่อปรับองศาให้ดูดี
“อะแฮ่ม”
“ย่าห์ เด็กปีสองตรงนั้นน่ะมานี่ซิ” ใบหน้าของเด็กหนุ่มดูเคร่งเครียดขณะพูดกับตัวเองในกระจก แถมยังกระดิกนิ้วเรียกอีกด้วย “ทำไมไม่เอาเสื้อเข้าข้างใน? แล้วเน็กไทหายไปไหน” ชานยอลยืนมองตัวเองอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็หลุดยิ้มออกมา แค่จินตนาการว่าในอนาคตเขาจะได้เป็นครูเหมือนแบคฮยอนก็เขินจะแย่แล้ว
เสียงรถขับเข้ามาในบ้านทำให้หูกาง ๆ ถึงกับกระดิก ชานยอลลนลานก้มลงมองเสื้อผ้าในตอนนี้แล้วก็มองกระจกอีกครั้งหนึ่งเพื่อยืนยันกับตัวเองว่าเขาดูดีพอแล้ว เด็กตัวสูงรีบวิ่งออกไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับกระชับสูทให้เข้าที่ เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นประตูก็เปิดออกโดยใครอีกคน
ร่างเล็กยังไม่ทันได้ถอดรองเท้าก็ต้องหยุดอยู่ท่านั้น มือนี่ไม่ต้องพูดถึง ยังไม่ทันปล่อยจากลูกบิดก็เพราะอึ้งกับภาพตรงหน้านี่แหละ ผีสางตนไหนดลใจให้ปาร์คชานยอลใส่สูทเซ็ทผมยืนยิ้มแฉ่งอยู่ตรงนั้นเหรออยากรู้
“อะไร”
“ผมเหมือนครูหรือยัง?”
“...” น้าชายตัวเล็กมองสาระรูปคนเป็นหลานตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วก็เลิกคิ้วขึ้น เด็กหนุ่มยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้นระหว่างรอคำตอบแต่ก็ต้องหุบยิ้มลงเพราะแบคฮยอนเดินเข้ามาในบ้านหน้าตาเฉยโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ
“เฮ้ย ตอบก่อนดิ” เด็กตัวสูงเดินแท่ด ๆ ไปยืนแง้งอยู่ข้างหลังน้าชายแล้วกะพริบตาปริบ ๆ
“ครูบ้าที่ไหนใส่สแล็คขาเต่อกับสูทแฟชั่น” แบคฮยอนมองอีกคนด้วยหางตาแล้วดันหน้าชานยอลออกไปห่าง ๆ ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนอนบนโซฟาหลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการสอนมาตลอดทั้งวัน
“งั้นไปซื้อสูททางการกัน” ชานยอลเดินมานั่งบนพื้นแล้วเท้าแขนลงบนโซฟาที่น้าชายตัวเล็กนอนอยู่ แบคฮยอนปรือตามองคนเป็นหลานแล้วก็ขมวดคิ้ว
“ซื้อเพื่อ?”
“ผมจะได้ดูเหมือนครูไง”
“เหมือนไปทำไม สิ่งที่แกควรทำตอนนี้คือการเป็นนักศึกษา”
“ใช่ ผมเป็นนักศึกษา” เด็กหนุ่มยิ้มกว้างแล้วเอาคางเกยกับแขนแบคฮยอน “ผมติดครุศาสตร์แล้วนะ”
“หืม?” คนตัวเล็กลืมตาขึ้นแล้วมองไปยังใบหน้าของเด็กตัวสูงที่กำลังอมยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “จริงดิ?”
“ไปฉลองกัน”
“ฉลอง?” แบคฮยอนหัวเราะแล้วผลักหัวชานยอลเบา ๆ หากแต่เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะเบ้หน้างอนหรือแสดงออกว่าน้อยใจเลยสักนิด “นี่แค่เพิ่งติดนะ ทำอย่างกับว่าเรียนจบแล้ว”
“แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้รู้ว่าผมขยับเข้าใกล้น้าอีกก้าวนึงแล้วนะ”
“...”
“ผมจะขยับเข้าไปใกล้กว่านี้อีก คอยดู” เด็กตัวสูงยักคิ้ว สีหน้าของชานยอลดูมุ่งมั่น ไม่มีท่าทีย่อท้อแม้ว่าเขาจะไม่แสดงออกว่าดีใจกับเรื่องนี้ ทั้งคู่สบตากัน สุดท้ายแบคฮยอนก็หลุดยิ้มให้เห็นพร้อมกับยีหัวเด็กตัวสูงก่อนจะรั้งเข้ามาซบอกตัวเอง ซึ่งชานยอลก็ยิ้มกว้างแล้วเอาหัวถู ๆ เหมือนกับเด็ก
“ถ้าทำไม่ได้ฉันจะฆ่าแก”
“ไปฉลองกันนะ”
“ที่ไหนล่ะ”
“ข้างนอก ร้านไหนก็ได้ที่แบคฮยอนอยากกิน ชี้นิ้วมาได้เลย” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นแล้วล้วงเอากระเป๋าเงินออกมา “วันนี้ผมเลี้ยง”
“...” ชานยอลหัวเราะขณะมองใบหน้าที่ฉายไปด้วยความสงสัยของน้าชายแล้วจับมือเล็กมาจูบซ้ำ ๆ จนพอใจก่อนจะหันไปสบตากันอีกครั้ง
“ผมมีเงิน ไม่ได้ขอแม่ด้วย มันเป็นเงินที่ผมหามาเอง”
“...”
“ผมไม่ได้เล่าให้ฟังเพราะอยากให้รู้ทีเดียวตอนได้เงินแล้ว ถึงมันจะน้อยนิดสมเต่าถุยไม่ได้เศษเสี้ยวเงินเดือนน้าก็เถอะ แต่มันก็มากพอสำหรับสองคนกับการกินของอร่อย ๆ มื้อนึง”
ให้ตายเถอะ...บยอนแบคฮยอนกำลังอึ้งจนพูดไม่ออก เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าปาร์คชานยอลจะมีมุมแบบนี้ด้วย
“ไว้ผมเรียนจบมีงานทำก่อนนะ พอถึงตอนนั้นแบคฮยอนอยากไปไหนผมก็จะพาไป ถ้าเงินเดือนไม่พอใช้ผมก็จะหาเพิ่ม เก็บเงินไว้เปิดห้องเช่าสอนพิเศษเด็ก สักสิบคนดีไหม? หรือจะยี่สิบคนดี? ไม่เอาดีกว่า...รับเยอะไปเดี๋ยวผมไม่มีเวลาให้น้า”
“...”
“ไปกันนะแบคฮยอน ผมทำงานมาเกือบเดือนก็เพราะวันนี้” เด็กหนุ่มกุมมือคนตัวเล็ก คาดว่าสิ่งที่ทำมาเกือบตลอดทั้งเดือนมันคงได้ผลแล้วเพราะตอนนี้แบคฮยอนยังไม่ละสายตาออกห่างจากเขาเลย
“บ้าน่า” แบคฮยอนดีดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วมองหลานชาย ชานยอลเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายตาปริบ ๆ แล้วปล่อยให้มือเล็กลูบหัวตัวเอง “ไม่เห็นต้องไปกินของแพง ๆ เลย น้านั่งกินต๊อกข้างทางกับแกก็ได้”
เด็กตัวสูงรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังพองโตเพราะสายตาของอีกฝ่ายที่มองมากับคำพูดที่สื่อถึงความเรียบง่ายซึ่งบอกให้เด็กอย่างเขาได้รู้ว่าแบคฮยอนไม่ได้ต้องการอะไรพิเศษมากไปกว่าเดิมเลย
“แค่มีแก...” ประโยคนี้แผ่วลงพร้อมกับสายตาที่เบือนหลบไปทางอื่น แบคฮยอนดูขลาดอายที่จะพูดแบบนี้แต่เชื่อเถอะว่ามันทำให้คนฟังอย่างเขาทนไม่ไหวจนต้องพุ่งเข้าไปกอดพุงคนตัวเล็ก
“อย่าน่ารักมากไปกว่านี้ได้ไหม มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนของ ถ้าผมกอดน้าแน่นเกินไปจนกระดูกหักจะทำไง” เด็กหนุ่มพูดเสียงอู้อี้ขณะซบหน้าลงกับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าของน้าชาย
“เฮ้!” แบคฮยอนก้มลงมองหัวเด็กตัวสูงที่ซุกอยู่กับหน้าท้องเขาอีกทั้งวงแขนแกร่งที่ตวัดกอดรอบเอวนี่อีก ร่างเล็กหน้าขึ้นสีจัดเพราะหลานชายที่แสดงออกทั้งทางคำพูดและการกระทำ การขัดขืนสิ้นสุดลง บยอนแบคฮยอนทำแบบนั้นได้แค่ครู่เดียวเท่านั้นแหละสุดท้ายก็ยอมกอดหัวตอบแล้วยิ้มออกมาโดยที่ไม่ให้อีกคนเห็น
และแล้วเวลาก็เดินมาจนถึงวันเปิดเทอม ปาร์คชานยอลตื่นเต้นมากกับชีวิตมหาลัยรอบสองจนต้องตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวแต่เช้า เด็กหนุ่มจอดดูคาติยอดรักไว้ในลานจอดรถสำหรับมอเตอร์ไซค์แล้วก็เดินไปนั่งรอที่จุดนัดพบ
ไลน์ถามไอ้เพื่อนตัวดีว่ามันใกล้มาถึงหรือยังก็ได้คำตอบว่าอีกประมาณสิบห้านาทีน่าจะมาถึง ปกติปาร์คชานยอลต้องหงิดจนไลน์ด่าพ่อหวงจื่อเทาไม่ยั้งแต่ตอนนี้อารมณ์ดีครับ ต่อให้รอถึงมะรืนก็รอได้ ไม่ได้เว่อด้วย...
“แฮ่!”
“เหี้ย!” เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ ๆ ก็มีใครคนหนึ่งโผล่เข้ามากอดจากข้างหลัง พอหันไปก็ป๊ะหน้ากับสาวสวยประจำคณะวิศวะซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากปาร์คจียอนที่กำลังหัวเราะสะใจอยู่ แกล้งกูได้นี่ฟินจั๊ง
“ว่าไงคะน้องปีหนึ่ง”
“สวัสดีค่ะพี่” ชานยอลจีบกางเกงแล้วย่อขาทำท่าถอนสายบัวประชด นั่นยิ่งทำให้หญิงสาวระเบิดหัวเราะหนักกว่าเดิมอีก ไม่ต้องแคร์มันแล้วครับภาพล้งภาพลักษณ์ “ว่าแต่รู้ได้ไงว่าฉันอยู่นี่”
“จื่อบอก” จียอนว่าแล้วนั่งลงข้าง ๆ เพื่อนตัวสูงก่อนจะเบ้ปากเล็กน้อย “งอนได้ป่ะเนี่ย”
“งอนไรอีก”
“ไม่เคยจะทักมาเลยอ่ะ ไลน์มีไว้ทำไม พอซิ่วแล้วก็ลืมเพื่อนเก่าดิ?” ชานยอลลูบแขนป้อย ๆ ทันทีที่ถูกอีกคนฟาดแขน
“ก็ไม่ค่อยว่างเล่น ไอ้เทาไม่ได้เล่าให้ฟังเหรอว่าช่วงนี้ฉันทำงานสอนพิเศษเด็ก”
“เล่า แต่ตัวคุยกับจื่อได้ทำไมคุยกับเราไม่ได้อ่ะ”
“เป็นผู้ชายเขาไม่ทักผู้หญิงก่อนหรอก มันไม่ดี” ชานยอลขมวดคิ้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง จียอนนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาเห็นว่าคิ้วเธอเริ่มขมวดเข้าหากัน
“จริงดิ...”
“เออ ผู้ชายดี ๆ ที่ไหนเขาจะทักผู้หญิงก่อนวะ ผู้หญิงต้องทักมาก่อนดิ”
“เอ้า แบบนั้นผู้หญิงก็ถูกมองว่าอ่อยสิ”
“ผู้ชายก็ถูกมองเหมือนกัน”
“แล้วทำไงดีอ่ะ”
“ก็ไม่ต้องคุยกันไง”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง เค ๆ เอ๊ะ...เดี๋ยวนะตัว” เด็กสาวขมวดคิ้วมองเพื่อนตัวสูงที่กำลังกุมท้องขำแล้วก็หรี่ตาลง นี่ก็พาไปเรื่อย
“เฮ้ย!” ทั้งคู่หันไปมองเจ้าของเสียงที่ตะโกนมาตั้งแต่ไกล จากออร่าความเขียวแต่ก็ยังหล่อเลยทำให้เดาไม่ยากว่าไอ้เจ๊กนั่นเป็นใครกันนะ จียอนลุกขึ้นยืนแล้วกระโดดเหยง ๆ โบกมือเรียกเพื่อนร่วมอุดมการณ์วายอย่างดีใจก่อนที่หวงจื่อเทาจะเดินมาถึง “รอนานป่ะ”
“ไม่นาน ๆ เอ้อ! เอานี่ไป” ทันทีที่เจอหน้ากันปาร์คชานยอลก็กลายเป็นอากาศธาตุ เด็กหนุ่มมองเพื่อนทั้งสองคนที่กำลังยืนงุ้งงิ้งกันอยู่แล้วก็ได้แต่สงสัยว่าสรุปใครกันแน่ที่รอไอ้ห่าเทา
“อะไรอ่ะ เร็วดิเราตื่นเต้น” จื่อเทากำมือทั้งสองข้างพร้อมกับมองไปยังกระเป๋าแบรนด์เนมที่จียอนสะพายอยู่ เพียงแค่อึดใจเดียวหญิงสาวก็ยื่นกระดาษแข็งแผ่นเล็กให้กับเขา
“บัตรเข้างานฟิค”
“เย้ะ?!”
“เออ ลายเซฮุนโอป้าด้วย เราฝากเพื่อนซื้ออ่ะ ลายนี้หมดไวกว่าเอ็กโซอีกนะจื่อ” จียอนจีบปากจีบคอพูด มันทำให้เด็กเขียวรู้สึกเหมือนตัวเองพิเศษกว่าใครทั้งหมดทั้งมวลในโลกนี้
“เฮ้ย โคตรเฉร๋งเลยอ่ะ จีจี้สุดยอด” ทั้งสองคนไฮไฟฟ์กัน “แล้วจี้ไปไหม”
“ไปดิ วันนั้นจื่อต้องช่วยหิ้วถุงนะเราเล็งฟิคไว้หลายเรื่องเลยอ่ะ กะหมดตัวเพื่อการนั้นโดยเฉพาะ”
“เค งั้นจี้ซื้อเรายืมต่อ”
“ห้ะ” จียอนขมวดคิ้วมองตามแผ่นหลังเพื่อนตัวเขียวที่เดินเข้าไปนั่งข้างชานยอลหน้าตาเฉย
“มึงกินข้าวยัง” จื่อเทาถามพร้อมกับล้วงกระเป๋าเป้พร้อมกับเอาแซนวิชออกมาสามชิ้น เด็กตัวสูงมองมือเพื่อนแล้วรับเอาไว้ ถ้าไม่กินก็จะเสียน้ำใจอยู่ จียอนเดินกลับมานั่งไขว้ห้างข้างชานยอล ทั้งสามคนแกะกล่องพลาสติกออกแล้วกัดแซนวิชคำแรกพร้อมกับทอดสายตาไปยังน้ำพุหน้าตึกคณะที่อยู่เบื้องหน้า
“ตัวมีปฐมนิเทศกี่โมงนะ”
“เก้าโมง”
“นี่ก็แปดโมงครึ่งแล้ว รีบกินรีบไปหาที่นั่งไหมเดี๋ยวเราไปส่ง” จียอนว่าแล้วชานยอลก็พยักหน้ารับ
“จี้เหงาเปล่าว้า โทษนะเว้ย” จื่อเทาก้มหน้าลงเพื่อที่จะมองเพื่อนผู้หญิงเพียงคนเดียวในมหาลัยพร้อมกับส่งสายตารู้สึกผิดไปให้
“ตอนแรกก็เหงา ไว้มาเจอกันบ้างนะห้ามลืมเราด้วย” จียอนเบ้ปาก ชานยอลยิ้มขำแล้วยีหัวหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะรั้งมาซบอกตัวเอง
“โอ๋ ๆ อย่าร้อง”
“รู้สึกเหมือนโดนอ่อยแล้วทิ้งเลยอ่ะ ตัวทำไมใจร้ายงี้ T_T”
“เฮ้ย อย่าไปคิดมาก ชานยอลมันก็เหี้ยแบบนี้นานแล้ว ที่ทำกับจี้ถือว่าปรานีละนะ”
“อ้าวสัดนี่” เด็กตัวสูงง้างมือขึ้นเตรียมจะโบกกระบาลแต่จื่อเทาไหวตัวทัน
เสียงมอเตอร์ไซค์สี่สูบสีดำเรียกความสนใจให้หันไปมองถนนสองเลนทางเข้าตึกคณะ ทั้งสามคนอ้าปากหวอกับความเท่ของชายหนุ่มในชุดนักศึกษาผิดระเบียบที่เพิ่งจอดรถเสร็จ ผู้ชายคนนั้นก้าวขาลงจากเบาะแล้วถอดหมวกกันน็อกเต็มใบออก จากที่เห็นเน็กไทดูก็รู้ว่าเป็นเด็กปีหนึ่งคณะเดียวกับเขา แต่กางเกงยีนส์สีซีดขาด ๆ ที่สวมใส่นั่นน่ะสิคืออะไร?
แต่ที่ทำให้อึ้งกว่านั้นคือเส้นผมสีทองหยักศกที่กำลังถูกมือเรียวขยี้จนแสกกลางเป็นทรง จื่อเทาค้างอยู่ในท่ากำลังจะกัดแซนวิชขณะที่สายตายังจับจ้องไปยังผู้ชายตัวผอมคนนั้น เด็กเขียวรู้สึกเหมือนมีลมเย็น ๆ ตีหน้าพร้อมกับซาวด์เสียงเพลง She Is Ost.ซีรี่ส์เรื่องคิมซัมซุน ยังไงอย่างนั้น
หนุ่มผมทองกระชากเน็กไทออกจนหลวมพร้อมกับกระชับเสื้อยีนส์ให้เข้าที่ สองขาหยุดยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับหรี่ตาเมื่อแสงแดดอ่อน ๆ กระทบก่อนจะกวาดตามองไปโดยรอบจนกระทั่งหยุดอยู่ที่พวกเขาทั้งสามคน
“ตายแล้ว เราต้องโดนขอเบอร์แน่เลยตัว โอบไหล่เราหน่อย” จียอนว่าทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกห่างจากชายหนุ่มสุดเท่คนนั้นที่กำลังเดินมาทางนี้ ชานยอลโอบไหล่หญิงสาวไว้แล้ววางท่าเหมือนหวงแฟนสุดขีดในขณะที่จื่อเทาถูก Pause ให้กลายเป็นซากก้อนหินไปแล้ว
“เอ่อ โทษนะ หอประชุมไปทางไหนเหรอพอจะรู้ป่ะ?”
“รู้” ทั้งสองคนยังไม่ทันปริปากก็ต้องหันไปมองหวงจื่อเทาที่เสนอหน้าตอบตั้งแต่เขาเพิ่งถามจบ นี่มึงจะไม่ทิ้งระยะไว้ให้ดีเลย์เลยเรอะ “ปีหนึ่งเหรอ”
“อ้อ ใช่” ชายหนุ่มตอบแล้วหันไปยิ้มให้กับเด็กตัวสูงที่กำลังวางท่ากวนตีนขณะโอบไหล่หญิงสาวเอาไว้ “เรียนครูเหมือนกันดิ?”
“ใช่” <- ชานยอล
“ไม่ได้เรียนครู เราอยู่ปีสอง มีแฟนแล้วด้วย” <- จียอน
“จะไปปฐมนิเทศเหรอ ไปด้วยกันไหม” ทั้งชานยอลทั้งจียอนหันควับหลังจากได้ยินประโยคทีเด็ดของหวงจื่อเทาที่ใช่ว่ามันจะทำตัวแบบนี้บ่อย ๆ นอกจากตอนเข้าม.ปลายที่มันเสนอหน้าเข้ามาทักเขาตอนนั้นล่ะก็...นี่ก็คงเป็นครั้งที่สองที่ห่าเทาเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาเริ่มต้นกับเพื่อนใหม่
“เอาดิ นี่ก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน เพิ่งมาครั้งที่สองเองเนี่ย” ชายหนุ่มแต่งตัวผิดระเบียบพูดด้วยท่าทีสบาย ๆ ก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วเอาซองบุหรี่ออกมากะเทาะ
“เราชื่อหวงจื่อเทา นายชื่ออะไรเหรอ...”
“อ้าว คนจีนดิ? ถึงว่าสำเนียงแปลก ๆ” ชายหนุ่มหัวเราะแล้วถอยออกไปพอสมควรแล้วจุดบุหรี่สูบในที่ลับสายตาคน “นี่ชื่อลู่หาน เป็นคนจีนเหมือนกัน”
“สุดยอดเลย...”
“ห่าเทา มึงจะแสดงออกชัดเกินไปละสัด...” ชานยอลกระซิบเพื่อนตัวเขียวที่กำลังมองไปยังหนุ่มชาวจีนอีกคนที่เงยหน้าขึ้นแล้วพ่นควันบุหรี่ออกมาเป็นวงกลมให้ลอยไปบนอากาศ
“ไรว้า กูก็แค่ว่าเขาหล่อดี หน้าเหมือนพระเอกการ์ตูนวายเลยเนาะจี้” พอเห็นว่าเพื่อนตัวสูงไม่เห็นด้วยเลยหันไปถามหญิงสาวอีกคนซึ่งจียอนก็พยักหน้า
“ใช่ ๆ แต่ติดที่ว่าเตี้ยไปหน่อย” <- จียอน
“เออ น่าเสียดายตรงนี้แหละ” <- จื่อเทา
ทั้งสามคนยังคงให้ความสนใจกับเพื่อนใหม่ที่ยังไม่เป็นทางการ ลู่หานอัดนิโคตินเข้าปอดพร้อมกับสไลด์ไอโฟนหกพลัสที่ทำให้พวกเขาได้แต่คิดแล้วก็สงสัยว่าเป็นของแท้หรือว่าจีนแดงกันแน่ ทำไมมันซื้อไวจังวะ
“แต่งตัวผิดระเบียบตั้งแต่วันแรก แถมยังขับสี่สูบไม่แคร์ความยาวของขาตัวเองอีกต่างหาก แม่งเจ๋งจริงกูยอมเลย” ชานยอลขมวดคิ้ว
TBC
อูย เจอเพื่อนใหม่แล้ว <3
ประชาสัมพันธ์ค่า มนุษย์ชานยอลเปิดให้โอนค่าฟิคแล้วนะคะ ท่านผู้ใดสนใจจะจับจองก็เข้าไปอ่านรายละเอียดในลิงค์นี้ได้เลยเนาะ ( bit.ly/1APwigO ) หรือไม่ก็ไปซื้อในงานฟิควันที่ 25 ตุลานี้ก็ได้ค่ะ เราอยู่บูธ C7 นะ
ความคิดเห็น