คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #32 : Chapter 30 :: His Ex...Friend? (100%)
Chapter 30
His Ex...Friend?
แสงสว่างส่องผ่านเข้ามาทางผนังกระจกซึ่งสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ทะเลกว้างไปจนสุดลูกหูลูกตา แต่ทว่าความสวยงามที่อยู่ภายนอกนั้นไม่สามารถดึงความสนใจจากทั้งสองคนที่อยู่บนเตียงได้เลย...
ใช่...บนเตียงนั่นแหละ
“...”
“...”
เด็กหนุ่มนั่งคุกเข่าอย่างสงบเงี่ยมพลางเม้มปากทำตาปริบ ๆ มองน้าชายที่นั่งทำตาขวางอยู่ตรงหัวเตียงในสภาพเสื้อผ้าอยู่ครบ ชานยอลค่อย ๆ เอื้อมมือไปหาคนตัวเล็กแต่ก็ถูกปัดออกอย่างไม่ใยดีเลยกัดนิ้วชี้แก้เขิน
“ระวังตาเขนะ เป็นห่วงอ่ะ...”
“ขอบใจ แต่แกคงได้หัวแตกก่อนฉันจะตาเข” นี่ก็โหดตลอดเลย ตั้งแต่แบคฮยอนตื่นมาก็เอาแต่ทำหน้าแบบนั้น ตอนแรกกะว่าจะเนียนเบิ้ลอีกยกแหละแต่ก็สงสาร พอจะเข้าไปกอดก็ยกตีนขึ้นถีบเขาออกอีก ขนาดบ่นว่าเจ็บก้นนะยังฤทธิ์เยอะขนาดนี้ ถ้าสภาพครบ100%นี่ไม่อยากจะพากย์ น้ำหนักตีนคงลงมาเต็มMAX
“อย่าทำหน้างั้นได้ป่ะ ผมใจไม่ดีแล้วนะเนี่ย” พีคแล้วนะครับ แทนที่ตื่นมาแล้วจะได้นอนกอดกันอย่างมีความสุขแล้วจูบมอนิ่งคิสกันเหมือนในหนัง แล้วนี่อะไรมึนตึงแต่เช้าเชียว
“แล้วจะให้ฉันทำหน้ายังไง ไม่เจ็บไม่ปวดก็พูดได้สิ”
“เดี๋ยวสองสามวันก็หายแล้วเชื่อหมอนะคะ โอ้ะ...แบคฮยอน อย่า!!!” ชานยอลยกมือขึ้นบังก่อนจะเทกระจาดลงไปนอนขดตัวบนเตียงทันทีที่แบคฮยอนกระหน่ำตบกระบาลเขาไม่ยั้ง แถมยังดัดแขนท่ามวยปล้ำจนต้องฟาดมือลงบนเตียงรัว ๆ เป็นการบอกว่ายอมแพ้แล้ว “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก ยอมแล้ว ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”
“ยังจะปากดีอยู่ไหม?”
“ไม่แล้วไม่ อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!”
“ไอ้เด็กเวรเอ้ย!” แบคฮยอนจิ๊ปากแล้วกดหัวเด็กหนุ่มลงกับที่นอนแรง ๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะนิ่วหน้าเจ็บเพราะขยับตัวแรงเกินไป นี่กูโดนเปิดซิงหรือเพิ่งเดินเหยียบกับระเบิดมาเหรอ
“ที่รัก”
“ห้ะ?” คนตัวเล็กหรี่ตามองไอ้เด็กปัญญาอ่อนที่กำลังนอนบิดอยู่บนเตียงหลังจากเรียกเขาด้วยคำนั้น ท่ามึงนี่ถ้างอนิ้วมือนิ้วตีนกูว่าแคสติ้งเป็นชายน้อยในบ้านทรายทองได้เลย
“เขินจังเลยอ่ะ”
“อย่ามา ถ้ายังอยากอยู่ด้วยกันก็ห้ามเรียกแบบนี้อีก เข้าใจไหม?” แบคฮยอนชี้หน้าหลานชายที่นอนง่อยทำตาปริบ ๆ มองเขาก่อนจะดึงผ้าห่มมากอด
“ทำไมเรียกไม่ได้ล่ะ เราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้วนะแบคฮยอน”
“เพราะฉันเป็นน้า ส่วนแกก็เป็นหลานไง” คนตัวเล็กสูดปากแล้วค่อย ๆ ย้ายสะโพกที่ระบมไปหมดกลับไปนั่งที่เดิม
“อะไรอ่ะ นี่มันคืออะไร!” ชานยอลดีดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วฟาดมือลงบนผ้านวมสีขาวอย่างแรง แสดงออกอย่างชัดเจนไปเลยครับว่าไม่พอใจอย่างแรง “ได้ผมแล้วจะทิ้งใช่ไหม!”
“ตลกละมึง” ถ้าเป็นหนังจะกลอแผ่นกลับไปให้ดูจุดเกิดเหตุเมื่อคืนเลยว่าใครกันแน่ที่ได้ใคร แต่เดี๋ยวนะ...นี่ไม่ใช่ผ้าอนามัย เพราะงั้นจะไม่มีการไหลย้อนกลับไปฉากไหนทั้งนั้นแหละจบจบจบ!!
“ไม่รู้ล่ะ กว่าผมจะบรรลุนิติภาวะก็วันจันทร์ที่สามของเดือนพฤษภาคมปีหน้า เพราะงั้นน้าน่ะ – พราก – ผู้ – เยาว์” เห็นว่าแบคฮยอนใบ้แดกเพราะไม่รู้จะพูดอะไรกับการแถของเขา เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากล่างทำคิ้วตกพร้อมกับพยักหน้าขอความเห็นใจแต่ก็ได้นิ้วกลางกลับมาเป็นรางวัลสมน้ำหน้าคุณ “แบคฮยอนอ่า...” ชานยอลคลานไปนอนตักน้าชายพร้อมกับเอาหัวถู ๆ
คนตัวเล็กกุมขมับ ใจหนึ่งก็บอกตัวเองว่าเมื่อคืนไม่น่ายอมมันเลย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเหมือนการเอาโซ่ล่ามคอตัวเองแล้วยัดลูกกุญแจใส่มือชานยอล แต่อีกใจก็บอกกับตัวเองว่านี่มันอาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตของเขาแล้วก็ได้นะที่จะได้มีเซ็กส์ หนำซ้ำยังแอบรู้สึกดีอีกด้วย แต่จะให้พูดแบบนั้นก็คงไม่ดี ไอ้หลานนรกมันต้องได้ใจแล้วจับเขาฟาดฟันอีกรอบเป็นแน่ นี่ขนาดคิดยังอายเลยคุณพระช่วย
“ไม่หิวไง?”
“หิว!” เด็กโข่งดีดตัวลุกขึ้นนั่ง เมื่อก่อนบยอนแบคฮยอนเคยเกลียดหนังหน้ายิ้มตาตื่นแบบนี้ที่สุด แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้มันถึงได้น่ารักจังเลยวะ แค่คิดว่าเขากับชานยอลเลยเถิดมาจนถึงขั้นจะฟิวชั่นเป็นโกคูกับเบจิต้าในดราก้อนบอลแล้วก็เขินจนไม่รู้จะแสดงออกแบบไหนนอกจากทำหน้ามึนใส่มัน “ไปกินข้าวกันนะ”
“ไปอาบน้ำแปรงฟันดิ” แบคฮยอนเอื้อมมือไปจัดผมเผ้าที่ชี้โด่เด่เป็นทรงตลกให้หลานชาย ซึ่งที่เป็นอยู่ก็ได้มาจากการตื่นนอนและที่เขาจิกหัวมันเมื่อกี้ด้วย
“เราจะกลับกันเลยเหรอ”
“เอ้า” ร่างเล็กขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ถามแบบนี้หมายความว่าไงครับมิสเตอร์ชาร์ล คำถามของมึงทำให้น้ารู้สึกเจ็บตูดขึ้นมาอีกแล้วรู้บ้างไหมเล่า...
“อยู่ต่ออีกคืนนึงกันเถอะนะ”
“คือไร” แบคฮยอนหรี่ตามองหวาด ๆ ก่อนจะคว้าเอาหมอนมาถือไว้เป็นอาวุธ สภาพที่เป็นอยู่แค่ขยับตัวก็ร้าวไปหมดละ คราวนี้กูไม่ยอมให้มึงฝ่าเข้ามาถึงป้อมปราการประเทศกูแน่ปาร์คชานยอล ต้องมีตายกันไปข้างอ่ะนี่จริงจัง
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น ผมก็แค่อยากอยู่ต่อเอง” เด็กตัวสูงดึงหมอนออกแล้วโยนไปห่าง ๆ แบคฮยอนนั่งชันเข่าทันทีที่เด็กตัวสูงขยับเข้ามาจนตอนนี้เขาได้นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างขาของมันแล้ว “แค่นอนกอดเฉย ๆ ผมสัญญา”
“ฉันจะเชื่อได้ยังไง เมื่อคืนแกยังจะเอา ๆ ๆ อยู่นั่น” พูดจบก็ตบหน้าผากมันไปทีนึงครับ ขอลงไม้ลงมือทีเถอะ แค้น
“มองตาผม แล้วก็บอกมาว่าผู้ชายคนนี้กำลังโกหกน้าอยู่หรือเปล่า!” ชานยอลทำหน้าขึงขังก่อนจะหลับตาแน่นอ้าปากหวอเพราะถูกบีบจมูก “โอ้ะ!!”
“ตาแกมีแต่คำว่า SEX SEX SEX เลื่อนเป็นป้ายไฟตามคอนเสิร์ตอยู่ไม่รู้ตัวหรอกเหรอ”
“เบื่อจังคนรู้ทัน”
“ห้าม” ร่างเล็กชี้หน้าหลานชาย ทั้งคู่สบตากันอย่างหยั่งเชิง ดูเหมือนว่าแบคฮยอนจะเจ็บจริงถึงได้เอาแต่พูดแบบนี้ไม่หยุดเลย “เข้าใจไหม?”
“แล้วถ้าจูบล่ะ”
“จูบก็เป็นต้นเหตุของการมีเซ็กส์”
“รู้ได้ไง แสดงว่าตอนจูบกับผมน้าก็มีอารมณ์ใช่ไหม บอกความจริงมา!” ชานยอลเอาหน้าผากชนกับแบคฮยอนพร้อมกับออกแรงดันสู้กับอีกฝ่าย สองน้าหลานกำลังไฝว้กันด้วยหน้าผากและสายตาอย่างไม่มีใครยอมใคร
“ฉันเปล่า!”
“แบคฮยอนคนลามก ใจจริงก็รอโอกาสนี้มานานแล้วสินะ”
“อย่าเอาความคิดตัวเองมายัดเยียดให้คนอื่นได้ไหม แกนั่นแหละไอ้เด็กหื่น”
“หว่าย แต่เมื่อคืนก็ยอมเค้า”
“ตบปาก!”
“ถ้าตบผมจะฟันน้าเดี๋ยวนี้แหละ อยากคลานกลับบ้านไหมล่ะแบคฮยอน!” ยังไม่ทันฟาดก็ต้องค้างมือไว้กลางอากาศ แน่นอนว่าคำขู่ของไอ้เด็กกะโปกมันได้ผล “อยู่ต่อเถอะน่า...คืนเดียวเอง”
“ไม่น่ายอมมาด้วยเลย ให้ตายเถอะ” คนเป็นน้าผละตัวออกแล้วทิ้งตัวลงนอนเหมือนเดิม เห็นแบบนั้นหลานชายตัวดีเลยลงไปนอนคว่ำข้าง ๆ พร้อมกับเท้าศอกค้ำมองอีกคน
“เสียใจด้วยนะแบคฮยอน พรากผู้เยาว์แล้วก็ต้องรับผิดชอบงี้แหละ คนเป็นครูต้องมีจรรยาบรรณ จิตใต้สำนึก และคุณธรรม นี่ผมเรียนมา”
“เก็บไว้สอนตัวเองเถอะปาร์คชานยอล” คนตัวเล็กพูดเสียงเอื่อยขณะหลับตาอยู่ ชานยอลอมยิ้มแล้วโน้มลงไปจูบหน้าผากน้าชายเบา ๆ และมันก็ทำให้แบคฮยอนลืมตาขึ้น “ฉันเจ็บจริง ๆ นะ”
“ผมรู้ ปวดฉี่ไหมล่ะเดี๋ยวผมอุ้มไปเข้าห้องน้ำ” เด็กหนุ่มทำตาปริบ ๆ ถึงประโยคจะกวนส้นตีนแต่สีหน้าของชานยอลในตอนนี้มันดูซื่อบื้อจนด่าไม่ลงจริง ๆ
“บ้าเหรอ ไม่ได้เจ็บขนาดขยับตัวไม่ได้”
“แล้วผมต้องทำยังไง ผมไม่เคยเจ็บแบบนี้” ชานยอลนอนซบอกน้าชายแล้วก่ายขากอด แบคฮยอนถอนหายใจเนือย ๆ พอเห็นมันอ้อนแบบนี้แล้วมือก็เอื้อมไปวางไว้บนหัวมันเฉยเลย นี่ร่างกายของเขามีระบบอัตโนมัติต่อไอ้เด็กนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเหรอ
“ไม่ต้องทำอะไร ขอนอนอีกแป้บนึงเดี๋ยวค่อยลงไปกินข้าว”
“แต่มันสายแล้วนะ ปกติแบคอยอนต้องกินข้าวเช้าทุกวัน ผมกลัวจะปวดท้อง” ถ้าจะขนาดนี้เมื่อคืนมึงน่าจะไตร่ตรองบ้างไงหลานรัก... “หรือจะโทรสั่งรูมเซอร์วิสดีล่ะ จะได้ไม่ต้องเดินไกล”
“ทีงี้ล่ะเป็นห่วงกูเชียวนะ”
“ห่วงตลอดแหละแค่น้าไม่รู้ ที่บอกว่าจะอุ้มไปเข้าห้องน้ำนี่พูดจริงนะ”
“ขอบใจ แต่ไม่ต้อง”
“ผมรักแบคฮยอน”
“อืม”
“รักเท่าฟ้าเลย”
“เว่อ”
“รักจริง ๆ นะ”
“เออ รู้แล้ว”
“รู้เฉย ๆ เองเหรอ” เด็กหนุ่มเงยหน้ามองน้าชายที่ยังคงนอนหลับตาอยู่ ถ้าจะตายด้านขนาดนี้ต้องปิดผ้าม่านดับไฟจุดเทียนรอบห้องแล้วสารภาพรักไหมถึงจะมีปฏิกิริยาตอบรับเนี่ยหื้อ
“อือ” เสียงขานตอบในลำคอของอีกคนทำให้ชานยอลอยากเบ้ปาก บางทีเขาก็คาดหวังเกินไปว่าแบคฮยอนจะตอบมาว่า ‘น้าก็รักแกนะ’ ซึ่งอันที่จริงเขาก็รู้ดีอยู่แล้วว่านิสัยของน้าชายตัวเล็กเป็นยังไง
“เพราะที่ให้ไปทุกอย่างก็เพราะว่ารักเหมือนกัน” พูดจบก็นอนหันหลังให้ ชานยอลชะงักไปกี่วินาทีเขาไม่สามารถรู้ได้เลย เด็กหนุ่มรู้สึกแปลก ๆ เมื่อจู่ ๆ ร่างกายมันก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างน่าประหลาดโดยเฉพาะที่แก้มของเขา
หลานชายตัวแสบยิ้มกว้างแล้วขยับเข้าไปนอนกอดน้าชายตัวเล็กจากข้างหลังพร้อมกับซุกหน้าลงบนไหล่ขาวก่อนจะจูบลงไปเบา ๆ เขาเห็นว่าร่างในอ้อมกอดของเขากำลังเกร็งแล้วก็สะดุ้งอยู่เล็กน้อยตอนที่ถูกจูบ แต่ไม่ว่าแบคฮยอนจะแสดงออกมาแบบไหนมันก็น่ารักในสายตาเด็กอย่างเขาอยู่ดี
“เฮ้ยโทษที พอดีแวะไปหาเพื่อนที่มหาลัยเก่าเลยคุยกันยาว รอนานป่ะวะ?” จื่อเทากับจียอนเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนรุ่นพี่ที่มาเลทไปสองชั่วโมงก่อนจะนั่งลงบนเบาะยาวฝั่งตรงข้าม หญิงสาววางฟิคชั่นเล่มหนาลงบนโต๊ะแล้วเท้าแขนมองคาดโทษลู่หานที่ยังมีหน้าเอาแก้วน้ำของเธอไปดื่มหน้าตาเฉย
“โทรหาไอ้ชานยอลติดยังวะเฮีย” จะส่ายหน้าปฏิเสธเพราะขี้เกียจพูดมันก็ยังไงอยู่เพราะจื่อเทามันถามทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกห่างจากฟิคเล่มโปรด
“ยัง แต่ปล่อยมันไปก่อนเถอะ ถ้าตายห่าแล้วคงออกข่าวให้เห็นเองแหละ” ซึ่งคาดว่าคงไม่พ้นพวกข่าวจังไรแน่นอน ยกตัวอย่างเช่นหยิบเจลผิดเป็นกาวตราช้าง หามส่งโรงพยาบาลทั้งน้าหลานในสภาพร่างเดียวกันแทบไม่ทันไรงี้ ซึ่งมันโคตรจะน่าเวทนาและได้แต่หวังว่ามันจะไม่ออกมาแบบนั้น
“เฮียอย่าพูดงี้ดิ ตบปากสามทีแล้วเขวี้ยงออกไปข้างนอกเลยนะ” จียอนฟาดมือชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่พูดเรื่องตายได้อย่างหน้าตาเฉย
“ใช่ ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้”
ลู่หานมองเด็กสองคนสลับกันไปมา ความเชื่ออะไรของพวกมึงเหรอครับพี่สงสัย ทำไมกูต้องตบปากตัวเองแล้วเขวี้ยงไปข้างนอกเหมือนกับพวกเด็กห้าขวบกลัวความตายแล้วต้องตาย คำพูดของพี่มันเป็นคำสาปเหรอ แต่เพื่อความสบายใจของน้องทั้งสอง พี่จะทำตามก็ได้
“สั่งอาหารกันยังวะ”
“กูบอกพนักงานไว้ว่าถ้ามีผู้ชายขาสั้น ๆ เดินเข้ามาก็ให้ทำเมนูได้เลย” จื่อเทาเปิดอ่านฟิคต่อ ลู่หานเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มแล้วโน้มตัวข้ามฝั่งไปผลักหัวรุ่นน้องทีนึงเพราะหมั่นไส้
“สั้นแค่ขานะครับ อย่างอื่นของพี่นี่เรียกว่ายาวใหญ่ Size อาหรับ”
“ไอ้เฮีย!!!”
ทั้งสองคนประสานเสียงกันจนคนทั้งร้านหันมามองอย่างไม่ได้นัดหมาย ลู่หานเอานิ้วชี้แตะริมฝีปากตัวเองเป็นเชิงบอกให้เด็ก ๆ ทั้งสองคนเงียบปากหน่อย คำว่าไอ้เฮียเมื่อกี้ทำให้กูเกือบเป็นตัวลิ้นสองแฉกแล้ว
“อายคนเขาไหม”
“เฮียดิต้องอาย พูดอะไรก็ไม่รู้อ่ะ ทะลึ่ง เราเป็นผู้หญิงนะ”
“บอกสเตตัสทำไมครับ อยากให้พี่จีบเหรอ” ลู่หานยักคิ้ว จียอนกำทิชชู่เป็นก้อนแล้วเขวี้ยงใส่อย่างเขิน ๆ พร้อมกับขยับปากพูดว่า ‘เรามีชานยอลแล้ว’ ในขณะที่จื่อเทายังคงทำเป็นไม่สนใจ ซึ่งมันแปลกมากในวันนี้ “สนุกมากเหรอจื่อ”
“อือ”
“ไหนอ่านให้ฟังหน่อย”
“ไม่เอา เดี๋ยวดักคอกูเหมือนไอ้ชานยอล”
“ใช่ เฮียอย่าสนใจเลย ถ้าคนไม่ชอบทำยังไงก็ไม่มีวันเข้าใจหรอก เดี๋ยวหาว่าเรากับจื่อเป็นบ้าอีกล่ะ”
“เฮียก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลยป่ะวะ เคยบอกไปแล้วไงว่าเคยมีเพื่อนเป็นเกย์ เพราะงั้นเรื่องวาย ๆ งี้พอจะเข้าใจอยู่ ว่าไงวะจื่อ จะไม่อ่านให้เฮียฟังจริง ๆ น่ะเหรอ?” ลู่หานเลื่อนไปนั่งฝั่งตรงข้ามเด็กหนุ่มแล้วกดให้หนังสือหงายลงบนโต๊ะ
“สนใจด้วยไง?” เด็กหนุ่มมองรุ่นพี่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
“ก็ระหว่างรอมื้อเที่ยง?” ลู่หานไหวไหล่แล้วเอนพิงกับพนักก่อนจะถอดผ้าพันคอวางไว้ข้างตัว
“ถ้าเฮียบ่นเราตบนะ” จียอนออกตัวแทน ถ้าเป็นเรื่องความชอบของเธอกับจื่อเทาล่ะก็ ขอปกป้องอย่างถึงที่สุด
“ฟังอยู่”
เด็กเขียวนิ่งไปครู่หนึ่งราวกับชั่งใจ แน่นอนว่าเหตุการณ์ตอนอ่านฟิคให้ไอ้ชานยอลฟังครั้งนั้นคือประสบการณ์ช้างเย็ดดี ๆ นี่เอง อารมณ์เหมือนเป่าปี่ให้ควายฟังแต่ถึงอย่างนั้นการที่รุ่นพี่สนใจในเรื่องนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่อะไรนัก
“ร่างสูงวางมือลงบนขาเรียวสวยก่อนจะค่อย ๆ ลูบไล้ไปตามผิวลื่นขาวเนียนราวกับผู้หญิง”
“เย้ดดด มีตัวผู้ขาสวยแบบนั้นด้วยเหรอวะ?” ลู่หานขมวดคิ้วก่อนจะยกขาขึ้นมาข้างหนึ่งแล้วมองผิวตัวเองผ่านรูขาด ๆ ของกางเกงยีนส์ “แสดงว่าไอ้คนที่ถูกลูบต้องไปแว๊กขนขามาก่อนเผด็จศึกแน่ ๆ”
“เฮียอ่ะ!”
“หรือว่าเป็นตุ๊ดวะ” จื่อเทาทำหน้าเซ็งพร้อมกับทำท่าจะเขวี้ยงหนังสือใส่ ซึ่งตอนนี้ลู่หานกำลังทำหน้าเหวอทำนองว่ากูทำอะไรผิด ก็แค่สงสัย?
“แล้วใครจะไปบรรยายว่า ต้นขาบึกบึนเหมือนสึบาสะเข้าชิงนัดสุดท้ายกับขนหน้าแข้งยาวพรอมแพรมเหมือนหญ้าแพรกวะ กูเกลียดมึงแล้วพี่หาน แม่งแย่”
“แย่ไรอีก”
“แย่เม็ด”
“อู้ย ถ้าผวนนี่แสบดากเลย” ลู่หานยิ้มขำแล้วตบหนังสือบอกให้รุ่นน้องอ่านต่อ “เร็วดิ กำลังสนุก”
“มึงมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นอ่ะ รู้งี้ไม่น่าชวนมาเลย”
“ใช่ ๆ ไม่น่าชวนเลย” จียอนเสริม
“งั้นไว้วันหลังค่อยงอน ตอนนี้ชวนเฮียเถอะ เฮียหิวเหลือเกิน” ลู่หานทำท่าลูบท้องแล้วผายมือให้จื่อเทาอ่อนต่อซึ่งแน่นอนว่าเด็กเขียวไม่ยอมทำตาม “โอ๋ ๆ ไม่เกรียนแล้ว สัญญา”
“...”
“ด้วยเกียรติของลูกเสือตัวจริง”
“สำรองพอไหม มุกไรของเฮียเนี่ยอย่างแป้ก” จียอนมองคนที่นั่งชูสามนิ้วอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาเอือมระอาสุด ๆ จื่อเทาดูท่าทีของลู่หานอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เชื่อว่าคนตรงหน้าจะไม่กวนส้นตีนเขาอีกแล้วเลยตัดสินใจอ่านต่อ
“ร่างสูงหยุดไม่ได้แล้ว มือหนากำลังสั่นระริกเพราะร่างตรงหน้ากำลังร่อนเอวยั่วราวกับเสือสาวในโพรงป่าลึก” จื่อเทาละสายตามองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม และลู่หานก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะดักคอเหมือนก่อนหน้านี้ ซึ่งมันเป็นเรื่องดีเหลือทน “ร่างสูงฟาดมือลงบนสะโพกงอนเสียงดังเพี้ยะ!”
“หือ? แล้วสะโพกงอนนี่ต้องง้อป่ะวะ?”
“ไอ้ห่าพี่หาน!!!!!!!!!!!!!!”
“โทษเว้ย 5555555555555555555555555555555555555”
40%
เสียงเคาะประตูห้องน้ำทำให้คนที่กำลังแปรงฟันละสายตาจากกระจกบานใหญ่ก่อนจะเดินไปเปิดประตู และทันทีที่เปิดออกก็เห็นใบหน้าเหยเกของหลานชายที่ยืนบิดเป็นเลขแปดพร้อมกับมือทั้งสองข้างซึ่งกุมเป้าอยู่ และเขาก็ไม่ได้โง่ที่จะต้องถามว่ามันเป็นโรคอะไร
“จะราดแล้ว”
ได้ยินแค่นั้นแบคฮยอนก็ดึงประตูเข้าหาตัวพร้อมกับถอยออกให้เด็กตัวสูงวิ่งเข้าไปข้างในห้องน้ำกว้างซึ่งถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ข้างในเป็นอ่างอาบน้ำ ข้างนอกเป็นอ่างล้างหน้ากับชักโครกถูกตกแต่งด้วยหินขัดค่อนข้างอลังแถมยังใช้ไฟสีส้มอ่อน ๆ อีกด้วย
คนตัวเล็กหันหน้าเข้าหากระจกแล้วแปรงฟันต่อทันทีที่ไอ้เด็กตัวแสบดึงกางเกงนอนลงไปกองตรงหัวเข่าแล้วก็หันมามองเขาด้วยสายตาอ้อน(ตีน) แถมยังทำมือปัด ๆ เป็นเชิงบอกให้เขาหันหน้าหนีด้วยนะ เสือกอายอะไรขึ้นมาตอนนี้คิดว่ากูอยากดูมากเหรอ -_-
“แปรงด้วย” เสียงสาระแน ๆ มาพร้อมกับเสียงกดชักโครก ชานยอลดึงกางเกงนอนขึ้นแล้วรีบเสนอหน้ามาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ น้าชายแล้วหยิบแปรงสีฟันขึ้นมา
“รอฉันแปรงเสร็จก่อน ออกไป” แบคฮยอนดันหน้าอีกคนออกอย่างรำคาญหากแต่เด็กตัวสูงกลับยื้อเอาไว้แล้วบีบยาสีฟันใส่แปรงหน้าตาเฉย
“แปรงพร้อมกันมันประหยัดเวลานะแบคฮยอน”
“หัดเป็นคนเห็นคุณค่าของเวลาตั้งแต่เมื่อไหร่” ร่างเล็กเหล่มองเด็กตัวสูงแล้วแค่นหัวเราะ บทจะกวนตีนนี่แทบจะขุดคำคมทั้งโลกมาพูด ชานยอลอมยิ้มแล้วงับแปรงสีฟันก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งบนขอบอ่างล้างหน้าหินขัด
“ถ้าพูดเดี๋ยวก็เขินอีกล่ะ”
“ไม่มีอ่ะ ฉันเริ่มจะชินกับมุกเสี่ยวของแกแล้ว”
“จริงดิ!”
“เออ”
“หมายความว่าต่อไปนี้ต่อให้ผมพูดหวานแค่ไหนน้าก็จะไม่หวั่นไหวเลยใช่ไหม?” มือของทั้งสองคนยังคงแปรงฟันต่อไป และคงมีแค่แบคฮยอนที่เอาแต่มองกระจกในขณะที่เขาอยู่ในสายตาเด็กหนุ่มตลอด
“อือ”
“ไม่เป็นไร ในเมื่อแผน A ไม่ได้ผลก็ต้องใช้แผน B”
ร่างเล็กขมวดคิ้ว ยังไม่ทันออกปากถามว่าแผนที่พูดถึงคืออะไรปากของเขาก็ถูกจูบเสียแล้ว นัยน์ตากะพริบปริบ ๆ ตอนนี้สิ่งที่บยอนแบคฮยอนมองเห็นนั้นไม่ใช่กระจกบานใหญ่อีกต่อไป แต่มันคือแพรขนตาของเด็กตัวแสบที่อยู่ห่างเพียงแค่ปลายจมูก
ชานยอลค่อย ๆ ผละออก แบคฮยอนเห็นว่ายังมีฟองสีขาวอยู่ตามริมฝีปากที่กำลังยกยิ้ม คนตัวเล็กยังค้างอยู่ท่านั้น แน่นอนว่าตอนนี้แปรงสีฟันสีน้ำเงินยังคงคาบไว้อยู่ในปากเหมือนก่อนหน้านี้
เหตุการณ์เมื่อครู่มันเกิดขึ้นไวมากจนเขาไม่ทันได้ตั้งหลักแม้ว่ามันจะเป็นจูบแบบปากแตะปากเหมือนเด็ก ๆ ก็ตาม ชานยอลคาบแปรงสีฟันอีกครั้งแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดคราบฟองยาสีฟันของเขาที่ติดแก้มอีกคนออกให้ สีหน้าน้าชายตัวเล็กตอนนี้ดูน่ารักจนเขาอยากจะแกล้งต่อจริง ๆ
อยากปากแข็งมากก็ช่วยไม่ได้นะแบคฮยอน มิสเตอร์ชาร์ลของน้าเป็นพวกไม่ยอมใครซะด้วยสิ โดยเฉพาะคน ๆ เนี้ย...
“ไม่กลับพร้อมกันระวังถูกแฟนคลับรุมทุบรถ แล้วจะหาว่าไม่เตือน” เมเนเจอร์ส่วนตัวพูดขณะมองไปยังไอดอลในความดูแลที่กำลังนั่งแชทอย่างเอาเป็นเอาตาย สีหน้าโอเซฮุนในตอนนี้เหมือนคนกำลังจะถอดรหัสมอสยังไงอย่างนั้น
“พี่กลับไปก่อนเลย เดี๋ยวจงอินมารับ” ดาราหนุ่มว่าแล้วปัดมือเป็นเชิงบอกให้มินซอกกลับไปก่อน คนตัวเล็กยืนมองคนในความดูแลด้วยสายตาติดระอา โชคดีที่ว่าเซฮุนมันไม่ได้เอาแต่เล่นมือถือตลอดเวลาไม่งั้นคงโดนพวกคนในกองถ่ายเอาเรื่องนี้ไปอัพดราม่าในเฟซบุ้คแน่
“ระวังตัวด้วยแล้วกัน นี่ก็มันดึกแล้วพวกซาแซงคงดักรออยู่ข้างนอก”
“พี่ดูก่อนว่าผมเป็นใคร?” เซฮุนอ้าแขนออกกว้างพร้อมกับมองไปรอบ ๆ ซึ่งตอนนี้เหลือเพียงแค่เขากับมินซอกเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในกองถ่ายหลังจากพวกสตาฟกลับไปหมดแล้ว โดยเฉพาะนางเอกที่ได้รับบทผีที่รักอย่างคิมฮยอนอา “อีกอย่าง ต่อให้ถูกแฟนคลับรุมจริง ๆ พี่ก็ช่วยอะไรผมไม่ได้หรอก ตัวก็แค่นั้นเผลอ ๆ โดนเหยียบก่อนผมอีก”
“หน้าที่กูไหม? ถ้ากูไม่ปกป้องมึงแล้วใครจะทำล่ะหือโอเซฮุน? บ้านรวยมากก็จ้างการ์ดฝรั่งมาเลยสิจะได้ไม่ลำบากกู” เอาแบบจัสตินบีเบอร์ไปเลยฟาย ใครเข้าชาร์จใส่คือพุ่งชนไม่ก็จับเหวี่ยงออก เซฮุนลอยหน้าลอยตาแล้วกระดิกนิ้วบอกให้รุ่นพี่กลับไปซะ
“กลับไปชงกาแฟร้อน ๆ ดื่มแล้วก็นอนนะพี่มินซอก”
“ถ้าพรุ่งนี้มีข่าวว่ามึงโดนทึ้ง กูจะเป็นคนสุดท้ายที่จะไปถึงโรงพยาบาล”
“เดี๋ยวดิ ฝากรองเท้าคู่นี้ด้วย!” คนตัวเล็กถอนหายใจพรืดแล้วหันกลับไปก่อนจะคว้าเอารองเท้าทีละข้างที่ไอ้เด็กเวรเขวี้ยงมาโดยไม่คิดเลยว่ามันจะโดนหน้าโดนหัวเขาบ้างไหม มึงทดลองเล่นละครสัตว์เหรอวะครับโอเซฮุน
คิมมินซอกเครียด บางทีโอเซฮุนอาจจะลืมไปแล้วว่ามันได้มาถึงจุดนี้เพราะใครถ้าไม่ใช่เขา พอเห็นว่ารุ่นพี่ออกไปแล้วไอดอลหนุ่มก็ยกขาขึ้นเหยียบบนเก้าอี้พร้อมกับกดส่งสติ๊กเกอร์กลับไป ที่ยังอยู่ตรงนี้ไม่ขยับดากไปนั่งร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามกองถ่ายก็เพราะว่ายังเสือกไม่เสร็จนี่แหละ
มันจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเลยถ้าบยอนแบคฮยอนไอ้เตี้ยม่อต้อมะขามข้อเดียวเพื่อนซี้ปึ้กของเขานั้นมันใช้รูปดิสไลน์ธรรมดาที่ไม่ใช่รูปคู่กับไอ้เด็กกะโปกมิสเตอร์ชาร์ลทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นเปลี่ยนรูปเลยสักครั้ง
นั่น...พอเลื่อนดูไลน์อีมนุษย์หลานก็ไม่ต่างกันเลยสักนิดแค่ขยับเปลี่ยนท่านิดหน่อยแต่ดูก็รู้ว่าถ่ายพร้อมกัน เซฮุนหรี่ตามองจอระหว่างรอคำตอบหลังจากคาดคั้นไปนานว่าผีตนไหนเข้าสิงมันถึงได้เปลี่ยนเป็นรูปนี้ ซึ่งเพื่อนรักก็ตอบมาแค่คำเดียวว่า
‘กูนอนก่อนนะ’
นอนพ่องดิครับ คนจะเสือกใครใช้ให้มึงนอนตอนนี้ แต่รอแล้วรอเล่าแบคฮยอนก็ไม่ยอมตอบกลับมาสักทีแถมยัง Read ให้กูตื่นเต้นเล่นอีก นี่มันจะเกินไปแล้วนะบักเตี้ย เซฮุนกดออกไปหน้าจอหลักแล้วทักไป Report ไคจ๋าแต่มันก็เสือกอ่านแล้ว voice กลับมาว่า ‘กูขับรถอยู่ รีบมากทำไมไม่คุยตั้งแต่เมื่อวาน’
นี่มันอะไรกันวะครับไอดอลงง? ทำไมทุกคนถึงทำตัวเหมือนอยากไปนอนตัวเย็นในโลงสี่เหลี่ยมผืนกันผ้ากันหมดไม่เว้นแม้กระทั่งอีห่าจงอินที่รัก ปกติขับรถกูก็เห็นมึงนั่งเล่นไลน์แถมทอยเต๋าเกมเศรษฐีได้พร้อมสร้างแลนด์มาร์คแถมโอลิมปิคคูณสี่เหยียบทีมีตีนแตก
กึ่ก!!
ไอดอลหนุ่มขมวดคิ้วมองไปทางด้านข้างกับเสียงกุกกักผ่านกล่องไม้ซึ่งวางพิงอยู่ข้างผนังหากแต่กวาดสายตาไปรอบตัวแล้วกลับไม่พบใครสักคน เซฮุนค้างอยู่ท่านั้นเกือบหนึ่งนาที ตอนนี้ชายหนุ่มกำลังพยายามมองหาต้นตอที่ทำให้เขารู้สึกว่าที่นี่ไม่ได้มีเขาแค่คนเดียว
กึ่ก!!
นี่เดือดแล้วนะครับ เซฮุนหันไปตามต้นเสียงอีกครั้งแล้วก็ถอนหายใจฮึดฮัด คนกำลังทำการใหญ่ทำไมต้องมีเสียงมาขัดจังหวะด้วย พอก้มหน้าลงอีกครั้งก็ต้องลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพราะเสียงนั่นยังไม่ขาดหายไป
ไอดอลหนุ่มขมวดคิ้วพลางกลอกตาไปรอบ ๆ เมื่อจู่ ๆ แสงไฟที่เคยให้ความสว่างกำลังกะพริบติด ๆ ดับ ๆ เป็นระยะอย่างกับในหนังผี แต่มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริง ๆ ที่โอเซฮุนไม่เชื่อในเรื่องลี้ลับเพราะงั้นไอดอลหนุ่มเลยย่างสามขุมไปยังจุดเกิดเหตุแล้วก็เห็นมิกกี้เมาส์สองตัววิ่งหาที่หลบมุมทันทีที่เจอมนุษย์
“ปอปเอ้ย”
นอกจากที่บ้านแล้วก็ไม่บ่อยนักที่เขานึกอยากจะหยาบคายนอกสถานที่ เพราะการเป็นไอดอลซึ่งต้องคีพลุคโอป้าผู้แสนดีที่ค้ำคออยู่ตลอด แต่การเห็นหนูวิ่งพล่านในกองถ่ายแบบนี้บอกเลยว่าเฟลสุด ๆ สกปรก โสโครก จะฟ้องพ่อ
“โชคดีนะที่มึงเกิดเป็นหนู ถ้าเป็นคนกูจะสั่งให้ลูกน้องพ่อไล่กระทืบมึงข้อหาทำกูตกใจ” นั่งลงยอง ๆ แล้วชี้นิ้วเข้าไปในรูแคบ จะเข้าใจที่พูดไหมมันก็ไม่ใช่เรื่องของเขา ปัญหาอยู่ที่หนู โอเคนะ จบ
อารมณ์อยากเสือกดับลง ตอนนี้โอเซฮุนไม่อยากรู้แล้วว่าทำไมสองน้าหลานถึงนึกญาติดีกันขึ้นมาถึงขั้นถ่ายรูปคู่ด้วยกันได้ ก็แหม่...ไอ้สองตัวนั่นน่ะแค่นั่งในห้องเดียวกันยังทำหน้าเหมือนถูกหมาแย่งอากาศหายใจยังไงอย่างนั้น แต่โอเค ไว้ก่อนก็ได้ ไม่วันนี้วันข้างหน้ามันก็ต้องเล่าให้เขาฟังอยู่ดี
เซฮุนเดินทอดน่องลงมาจากกองถ่ายในตึกสูง เหตุเพราะวันนี้มีถ่ายฉากผีในอาคาร บทนักเรียนแพทย์อย่างเขาเลยถูกหลอกที่นี่ กว่าจะถ่ายทำเสร็จก็มืดค่ำจนตอนนี้แทบไม่เหลือใครอยู่แล้ว
ปลายนิ้วเรียวกดปุ่มเรียกลิฟท์แล้วถอยหลังออกมายืนรอ กดเข้าแอพกล้องถ่ายรูปแล้วส่องดูว่าเสื้อผ้าหน้าผมยังหล่อดีอยู่ไหม ไม่ได้ครับความหล่อต้องเช็คตลอด เซฮุนเงยหน้าขึ้นมองตัวเลขลิฟท์ที่ยังอยู่ชั้นเดิมทั้งที่เมื่อกี้ก็เห็นอยู่กับตาว่าเขากดลิฟท์ไปแล้ว
แต่จะยืนทะเลาะกับลิฟท์ไปก็เปล่าประโยชน์ เซฮุนเอื้อมไปกดปุ่มอีกรอบแล้วเงยหน้าขึ้น แต่ตัวเลขที่อยู่ชั้นสูงกว่าเกือบสิบชั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะเคลื่อนตัวลงมาเลยสักนิดเดียว ไอดอลหนุ่มขยับปากบ่นอย่างหัวเสีย นึกอยากจะโทรบอกพ่อให้คอมเพลนเจ้าของตึกยันวิศวกรก่อสร้างลามไปจนถึงแม่บ้านทำความสะอาดจริง ๆ ให้ตายเถอะ!!!
สุดท้ายก็ตัดสินใจใช้บันได โอเซฮุนจะยอมเสียเหงื่อสักครั้งก็ได้ถึงมันจะทำให้เขาเหนื่อยมากกับการเดินลงตั้งสองชั้นก็เถอะ ครั้นจะเดินออกทางประตูหน้าก็เห็นป้ายบอกว่าปิดแล้วต้องออกทางประตูลานจอดรถชั้นใต้ดินเท่านั้น
“เหนื่อยชิบ” บ่นอุบอิบพร้อมกับพัดมือตามใบหน้าหลังจากเดินมาถึงลานจอดรถชั้นใต้ดินเป็นการสำเร็จ ข้างล่างช่างเงียบสงบจนอดจินตนาการไปถึงฉากในหนังผีที่เขาเล่นอยู่ไม่ได้จริง ๆ นี่ขนาดไม่มีการจัดฉากยังดูสมจริงกว่าที่พวกในกองถ่ายใช้เวลาเกือบครึ่งวันเซ็ทฉากซะอีก
เซฮุนกวาดสายตาไปรอบ ๆ แล้วก็สะดุดตากับรถคันหนึ่งที่จอดอยู่ข้าง ๆ เสาใหญ่และมันกำลังสั่นอยู่ ซึ่งถ้าเด็กปัญญาอ่อนมองก็คงคิดว่ารถปอร์เช่สีดำคันนั้นอาจจะเป็นหุ่นยนต์ตัวไหนตัวหนึ่งในทรานส์ฟอร์เมอร์ แต่เหนือสิ่งอื่นใดแล้วโอเซฮุนก็ได้สำเหนียกว่านี่มันคือชีวิตจริงไม่ใช่ในหนัง
ครับ...มีคนกำลังเอากันในรถคันนั้น...
ทำไมมึงไม่ติดฟิล์มรู้ไหมว่ากูมองเห็นหมดแล้วเนี่ย!!!
ไอดอลเงินล้านยืนนิ่งเหมือนถูกสต๊าฟเอาไว้ ภาพหญิงสาวผมทองกำลังร่อนอยู่บนตักคนที่เขาไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเป็นใครเพราะหน้าอกหน้าใจไซส์บะเฮิ้มของแม่นางบดบังใบหน้านั้นไว้จนมิด กระจกกระเจิกก็เสือกเลื่อนลงอีก ไม่มีเงินไปเปิดม่านรูดโรงแรมกันเหรอพี่อยากรู้ เซฮุนค่อย ๆ ย่องไปยืนอยู่ตรงหลังเสาก่อนจะชะโงกหน้าออกไป แค่นั้นล่ะครับ...ชัดเลย...
“อา...อา...ออนนี่คะ...แรง ๆ”
“บอกกี่ทีแล้วว่าให้เรียกออนนี่ได้ก็ตอนที่อยู่ต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น ไหนเรียกใหม่ซิ...”
“แอมเบอร์...โอป้า...”
“เยี่ยม...ใส่แว่นเข้าไปสิ พี่ชอบเวลาเธอเป็นสาวแว่น”
“คิคิ”
เหยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
นั่นมันน้องฮยอนอาคนสวยของอีไคจ๋ากำลังสะบะเดเฮ้ด้วยปลายนิ้วกับเมเนเจอร์ส่วนตัวคนใหม่ของนางผู้ซึ่งเป็นทอมกระเป๋าที่ปากบอกว่า ‘เป็นหญิงแท้จริง ๆ นะคะ’ เซฮุนตะปบปากพลางส่ายหน้า กูอยากจะยกไอโฟนหกพลัสขึ้นมาถ่ายคลิปนี้แบบ HD ไว้อวดจงอินที่รักจริง ๆ แต่ถ้าทำแบบนั้นก็กลัวมันจะใจสลาย บาปอีก เพราะงั้นแอบส่งซิกไปให้ดิสแพทแทนแล้วกัน
“ฮุนจ๋าทำไร”
“แม่มึง!” ไอดอลเงินล้านสะดุ้งสุดตัวก่อนจะยกมือขึ้นทาบอกแล้วหันไปมองข้างหลังว่ามีใครได้ยินหรือเปล่า โชคดีที่นักแสดงหนังสดทั้งคู่ไม่ได้ยินจนต้องหยุดถ่ายทำกลางคัน “มาได้ไงวะ?”
“ยามบอกว่าห้างปิดแล้วกูก็เลยจะขึ้นไปรับนี่ไง แต่เห็นมึงทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ นี่เป็นส้นตีนไรเหรอ ทำอย่างกับเด็กขโมยซองไมโลตามร้านขายของชำ” จงอินมองคนรักหน่าย ๆ จนถึงตอนนี้เซฮุนมันก็ยังทำตัวแปลกไม่เลิก
“นี่ไคจ๋า มึงฟังกูให้ดีนะ” ไอดอลหนุ่มวางมือทั้งสองข้างลงบนไหล่อีกฝ่ายอย่างจริงจัง ร่างหนาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามก่อนจะพยักหน้าส่ง ๆ “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มึงจะยังมีกู เข้าใจไหม”
“อะไร ผลตรวจโรคส่งมาที่บ้านว่ากูเป็นมะเร็งอัณฑะระยะสุดท้ายเหรอ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นกูต้องทำคีโมไข่ด้วยไหม?” เซฮุนตบหน้าผากตัวเอง นี่เรื่องคอขาดบาดตายมึงยังจะอัปปรีย์ใส่กูอีก แช่งให้เป็นจริง ๆ เลยดีไหมเนี่ย
“ฮยอนอาของมึงน่ะมีผัวแล้ว”
“แฟนบอยฮยอนอาก็พูดแบบนี้ทุกคนแหละ มึงจะบอกกูทำไมวะที่รัก”
“ไม่ กูหมายถึงผัวจริง ๆ ไม่ใช่ผัวอุปทานเดี่ยวแบบมึงฟั้ค!” จงอินหรี่ตามองคนตรงหน้าก่อนจะเดินไปตามแรงดึง เซฮุนจับหัวไหล่จงอินให้ยืนหลบอยู่หลังเสาพร้อมกับมองไปยังรถคันนั้น
และคิมจงอินก็รู้สึกเหมือนโดนบอสทุกตัวในดันเจี้ยนรุมสตอมกัสโปรยหิมะแช่ขังใส่ไม่มีผิด ชายหนุ่มยืนนิ่งราวกับว่าร่างกายของเขาเป็นอัมพาตแบบฉับพลันทันทีที่เห็นไอดอลสาวที่รักกำลังดูดดุนเรียวนิ้วทอมหน้าหล่อในรถปอเช่สีดำคันนั้นอีกทั้งยังบดเบียดตัวเข้าหาตักคนที่นั่งอยู่ตำแหน่งคนขับอีกด้วย
“แม่งเย้ยยยยยยยยยย!!!...อุ้บ!!!” เซฮุนรีบตะปบปากเชี่ยถ่านที่เสือกร้องออกมาจนสองคนนั้นหันซ้ายขวามองหาต้นเสียง
พอกลับจากทะเลปาร์คชานยอลก็ไม่ได้เห็นแม้กระทั่งขนหน้าแข้งแบคฮยอนอีก พอขอเข้าไปนอนด้วยก็โดนปิดประตูใส่หน้าก็ไม่รู้ว่าจะกลัวอะไรนักหนา หลานชายคนนี้ออกจะเป็นคนดี ไหนอุตส่าห์ตะล่อมด้วยประโยคนี้ ‘เชื่อดิว่าจะไม่ทำอะไรมากไปกว่าการนอนเกี่ยวก้อยจนถึงเช้า’ แล้วแบคฮยอนก็ยังไม่ยอมใจอ่อนอีก
ชานยอลไปเรียนเหมือนปกติ เขาเริ่มชินกับชีวิตที่ไม่ต้องเล่นเกมจนถึงตีสี่ตีห้าเหมือนเมื่อก่อน พอไปเล่าให้ลุงชินฟังก็ได้รับรอยยิ้มและคำชมมาเป็นรางวัลพร้อมพุดดิ้งนมหนึ่งถ้วย เด็กหนุ่มรู้ว่าตัวเองก็ยังมีความเป็นเด็กอยู่มากที่ยังชอบให้ผู้ใหญ่ชม ชอบถูกเอ็นดู และมันคงจะดีไม่น้อยถ้าเกิดว่าแบคฮยอนก็คิดเหมือนลุงชินเช่นกัน
ลู่หานตบเข่าดังฉาดหลังจากที่เขาเล่าเรื่องวันนั้นให้ฟัง เสียงหัวเราะที่มาพร้อมกับตีนกาซึ่งนับจำนวนไม่ได้ทำให้เด็กตัวสูงรู้สึกอายอยู่ไม่น้อย มันเอาแต่ด่าว่าเขากระจอก กาก นูป อ่อนหัด สรรพสิ่งแห่งความง่อยอยู่กับปาร์คชานยอลหมดว่างั้น
รุ่นพี่ผู้มากประสบกามเล่าว่าจะเผด็จศึกทั้งทีต้องขุนให้เหยื่อมีความสุขก่อนแล้วค่อย ๆ เลื้อยใส่ อย่างที่ชานยอลทำมันเหมือนเด็กที่ดิ้นอยากจะเอาของเล่นแต่พ่อแม่ไม่ซื้อให้ แต่ถึงอย่างนั้นไอ้ห่าพี่หานก็วางมือลงบนไหล่เขาแล้วบอกว่า ‘มึงทำดีแล้ว ครั้งต่อไปลองให้หันหลังดู กูยังจำความรู้สึกตอนปั่นท่านั้นได้ดี เสียวจนลืมไปเลยว่าอึ้บกะเทยอยู่’
“มานานยัง?”
เด็กตัวสูงสะดุ้งสุดตัวก่อนจะยิ้มโง่ ๆ ให้น้าชายที่เพิ่งมาถึง แบคฮยอนวางกระเป๋าไว้ข้างตัวพร้อมกับดึงเมนูออกมาเปิดดูเพื่อไม่ให้เสียเวลา ใช่แล้ว วันนี้ทั้งสองคนเลือกที่จะกินมื้อเย็นกันข้างนอกเพราะงั้นชานยอลถึงจอดดูคาติไว้ที่บ้านแล้วให้คนตัวเล็กไปส่งที่มหาลัย
เด็กหนุ่มเท้าคางมองคนที่กำลังเลือกดูเมนูอย่างตั้งใจ ซึ่งเขาก็รู้ดีว่านอกจากความอร่อยแล้วราคาก็ต้องสมเหตุสมผลด้วยไม่งั้นแบคฮยอนจะไม่สั่งเด็ดขาด ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นเมื่อจู่ ๆ หลานชายตัวโตก็ย้ายมานั่งข้างเขาจนต้องขยับเข้าไปชิดข้างในอย่างปฏิเสธไม่ได้
“หนาวไหม”
“ไม่เท่าไหร่ ขับรถยนต์ไม่หนาวเหมือนขับมอเตอร์ไซค์หรอก” แบคฮยอนพูดขณะที่สายตายังคงไล่ดูเมนูอาหารที่อยู่ตรงหน้า
“จริงด้วย ขับมอไซค์แล้วหนาวโคตร”
“ให้ไปรับไปส่งไหมล่ะ”
“ได้เหรอ?” ชานยอลทำตาโตก่อนจะหลุดยิ้มออกมา ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นสบตากับหลานชายที่กำลังยิ้มกว้างแล้วก็นึกขำในใจ
“ทำอย่างกับไม่เคย” จริงอย่างที่แบคฮยอนว่าจริง ๆ นั่นแหละ ทั้งที่ตอนม.ปลายนคนตัวเล็กก็ไปส่งเขาที่โรงเรียนอยู่เกือบทุกวัน แต่มันติดที่ว่าเมื่อก่อนปาร์คชานยอลไม่ได้รู้สึกดีแบบนี้ก็เท่านั้นเอง
“งั้นต่อไปนี้น้าไปรับไปส่งผมนะ?”
“อื้ม” ร่างเล็กขานตอบในลำคอก่อนจะกวักมือเรียกพนักงานมารับออเดอร์ “แล้วตอนเช้าล่ะ บางวันมีเรียนสิบโมงเลยไม่ใช่หรือไง?”
“ผมออกพร้อมแบคฮยอนได้ หอบการ์ตูนกับโน้ตบุ้คไปนั่งเล่นในห้องสมุดก่อนเข้าเรียนไง” เด็กหนุ่มยังคงตื่นเต้นกับเรื่องนี้ เขาทิ้งเวลาให้น้าชายสั่งอาหารเย็นเรียบร้อยก่อนจะเนียนจับมือใต้โต๊ะ ซึ่งมันดีมาก ๆ ที่แบคฮยอนยอมจับมือเขาตอบ
“เด็กสมัยนี้นี่ยังไง เข้าห้องสมุดเพื่อดูดไวไฟฟรีงั้นเหรอ ทำไมไม่รู้จักอ่านหนังสือหนังหา ไหนบอกว่าอยากเป็นครู” ชานยอลย่นจมูกกับคำบ่นของน้าชาย และเด็กหนุ่มรู้ตัวแล้วว่าได้พลาดการทำคะแนนครั้งยิ่งใหญ่ไปแล้ว ถ้าเป็นเดอะซิมส์ตอนนึ้ระดับความสัมพันธ์ที่แบคฮยอนมีต่อเขาคงลดไปเกือบสิบ
“ล้อเล่น ผมจะอ่านหนังสือตามที่น้าบอก”
“ให้มันจริงเถอะ”
“จะเฟซไทม์ไหมล่ะ”
“ลับหลังให้ได้อย่างนี้นะ” ร่างเล็กผลักแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ เรียกรอยยิ้มจากหลานชายตัวแสบได้เป็นอย่างดี
แย่จัง ๆ ๆ ๆ เขาอยากฟัดแก้มแบคฮยอนตรงนี้เลย แต่ทำไม่ได้
เดินออกมายืนหายใจเข้าปอดลึก ๆ หลังจากซัดทุกอย่างจนหมดด้วยราคาย่อมเยาว์ตามฉบับแบคฮยอน ทั้งสองคนเดินไปตามฟุธปาธ รถของน้าชายของเขาจอดไม่ไกลจากตรงนี้มากนักแต่มันก็ดีที่เขาทั้งคู่จะได้ใช้เวลาเดินด้วยกันในเวลาแบบนี้
ทันทีที่เลี้ยวโค้งเข้ามาในตรอกชานยอลก็กุมมือคนข้าง ๆ เอาไว้เพื่อแบ่งปันความอบอุ่นให้กันและกัน สักพักใหญ่ ๆ แล้วที่เด็กหนุ่มไม่ได้กังวลว่าแบคฮยอนจะปฏิเสธที่เขาแตะเนื้อต้องตัว อย่างน้อยสิ่งที่ปาร์คชานยอลรู้ในตอนนี้คือย่าทำประเจิดประเจ้อเกินไปแค่นั้นน้าชายก็ยอมให้จับมือแล้ว
“อยากหัดขับรถไหม?”
“ทำไมล่ะ” เด็กตัวสูงหันไปถามร่างเล็กที่กำลังทอดสายตาไปตามถนนเบื้องหน้า
“หัดไว้ก็ดี ถ้าเกิดวันหนึ่งพ่อแม่เป็นอะไรขึ้นมาแกจะได้พาเขาไปโรงพยาบาลได้” แบคฮยอนหันมาสบตากับเด็กหนุ่ม “คงไม่คิดจะพาเขาซ้อนมอเตอร์ไซค์คันนั้นไปหรอกใช่ไหม?”
“...”
“ไว้วันหยุดจะสอนให้” แบคฮยอนยิ้มก่อนจะเอื้อมมือไปยีหัวเด็กตัวสูงที่สีหน้าเจื่อนลงไปหลังจากพูดถึงเรื่อง ‘พ่อแม่จะเป็นอะไรไป’
“ผมจะหัดขับรถ” เหมือนจะพูดกับเขาแต่ก็ดูเหมือนว่าชานยอลกำลังพูดกับตัวเอง เด็กหนุ่มกำหมัดแน่นอย่างมุ่งมั่นแล้วหันหน้าเข้าหาร่างเล็กอีกครั้ง “ถ้าแบคฮยอนไม่สบายผมจะได้พาไปหาหมอ”
“...”
“ห้ามเป็นอะไรนะ น้าต้องอยู่กับผมไปนาน ๆ” ชานยอลสอดประสานเรียวนิ้วกับมือเล็กแน่นยิ่งขึ้น ก่อนจะขมวดคิ้วเพราะเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ของแบคฮยอน ซึ่งเขาไม่เข้าใจว่ามันมีอะไรน่าขำ ประโยคไหนมันตลกงั้นเหรอ
“ช่วยห่วงพ่อกับแม่แกก่อนเถอะ”
“ห่วงน่ะห่วงอยู่แล้ว ที่ปูซานมีญาติพี่น้องอยู่ด้วยกันเป็นสิบคงแย่งกันขับรถไม่หวาดไม่ไหว อีกอย่างน้าก็เห็นอยู่ว่าแม่ผมน่ะบึกบึนแค่ไหน”
“อยากจะเพ่นกระบาลแทนแม่แกจริง ๆ เชียว”
“จริง ๆ นะ” ชานยอลทำตาโต “แต่แบคฮยอนน่ะอยู่คนเดียว ถ้าไม่ใช่ผมแล้วใครจะดูแล”
“เอ้อ รู้แล้ว ทำให้ได้อย่างที่พูดแล้วกันเถอะ พอถึงตอนนั้นฉันกลัวแต่จะได้ซมซานไปเรียกแท็กซี่เอง”
“เอาความรักของผมเป็นประกันได้เลย” ชานยอลทุบอกข้างซ้ายดังปั่ก ๆ
“มีค่ามากไหมความรักของแกเนี่ย”
“สำหรับคนอื่นคงไม่” เด็กหนุ่มยิ้มกวน “แต่กับแบคฮยอนน่ะคือโลกทั้งใบเลยนะ <3”
“โอย ไม่น่ากินเยอะเลย คลื่นไส้อยากจะอ้วก...” ร่างเล็กเบือนหน้าไปอีกทางพร้อมกับพึมพำก่อนจะยิ้มออกมากับประโยคสุดเลี่ยนของหลานชาย
“ไว้เราไปเยี่ยมยายกันนะ”
“เอาสิ น้าก็ไม่ได้เจอแม่มานานแล้ว คิดถึงจะแย่”
“ผมจะไปให้ยายนอนปั่นหู แล้วก็ฝากตัวเป็นลูกเขยซะเลย”
“จะตลกอีกนานไหม” แบคฮยอนหรี่ตามองเด็กหนุ่มที่กำลังหัวเราะอย่างพอใจ
“ล้อเล่น”
ทั้งสองคนหยุดฝีเท้าทันทีที่มีใครคนหนึ่งเดินออกมาจากรถที่จอดอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนักโดยมีผู้ชายตัวสูงกว่าเดินตามออกมาและคว้าแขนผู้ชายอีกคนเอาไว้
“ฟังก่อนได้ไหมอี้ชิง?”
“ฉันฟังนายมามากพอแล้ว” ผู้ชายคนนั้นมีผิวขาวตัดกับเสื้อโค้ทสีดำตัวยาวและผ้าพันคอสีเดียวกัน แต่ไม่ว่าคนนั้นจะดูดีแค่ไหนก็ไม่น่าตกใจเท่ากับผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น
“ไอ้ครูขี้เก๊ก?” ชานยอลอุทานเบา ๆ สองคนนั้นยังคงไม่รู้ว่าเขายืนอยู่ตรงนี้ เด็กตัวสูงหันไปมองคนข้าง ๆ และดูเหมือนว่าแบคฮยอนกำลังอึ้งกับสิ่งที่เห็น อย่าว่าแต่คนตัวเล็กจะตกใจเลย ตัวเขาเองก็ตกใจไม่แพ้กันนั่นแหละ
“ถ้าเป็นแบบนี้เราก็อย่าเจอกันอีกเลยดีกว่า”
“...”
“พอเถอะ”
“อี้ชิง”
“เรื่องของเรามันควรจบตั้งแต่ตอนนั้นแล้วไม่ใช่เหรอ?”
ตอนนั้น?
อี้ฟานไม่ได้พูดอะไรหากแต่มือแกร่งนั้นยังคงจับต้นแขนอีกฝ่ายไว้และคงไม่ยอมปล่อยไปง่าย ๆ อี้ชิงไม่ยอมมองหน้าเขา ไม่มองตั้งแต่คุยเรื่องเมื่อครู่จบ
“ฉันมันแย่ที่ขอให้นายอยู่ข้าง ๆ ทั้ง ๆ ที่ฉันก็มีวิกตอเรียอยู่แล้ว”
“...”
“ฉันคิดว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีถ้าความเห็นแก่ตัวของฉันมันจะดึงนายเอาไว้ได้ แต่ทำไมล่ะอี้ฟาน?”
“...”
“ทำไมถึงชอบครูคนนั้น?”
“...”
“ทำไมถึงพูดเรื่องของเขาให้ฉันฟังได้อย่างหน้าตาเฉย? นายไม่คิดว่าฉันจะเสียใจหรือไง?”
“อืม” ร่างสูงขานตอบในลำคอ อู๋อี้ฟานไม่ได้เต็มใจตอบแบบนี้นักแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคิดอย่างนั้นจริง ๆ กับความสัมพันธ์ระหว่างเขาสองคนที่คลุมเครือมาตลอด “เรารู้จักกันมากี่ปี คิดว่านายน่าจะรู้จักฉันดีที่สุด”
“ใช่...เพราะว่าฉันรู้ ฉันก็เลยเป็นแบบนี้ไงอี้ฟาน...”
“นายก็แค่เสียดาย มันไม่มีอะไรมากกว่านั้นหรอก”
“ไหนตอนนั้นนายบอกว่าต่อให้ฉันมีวิกตอเรียก็ไม่เป็นไรไง” อี้ชิงกำเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่น “ที่นายชอบครูคนนั้นก็เพราะว่าอยากไปจากฉันไม่ใช่เหรอ...”
“...”
“เลิกหลอกตัวเองสักทีสิ...ฉันเกลียดเวลานายเอาแต่พูดถึงเขา...” เสียงของอี้ชิงอ่อนแรงและแผ่วลงเรื่อย ๆ แต่มันก็ทำให้คนที่ยืนอยู่ตรงนี้ได้ยินชัดเจนดี “เกลียดที่นายเอาแต่บอกว่าขอแค่ได้อยู่ข้าง ๆ เขาเหมือนที่เคยเป็นกับฉัน...”
“...”
“นายไม่ได้ชอบครูคนนั้น นายก็แค่บอกตัวเองว่าต้องชอบเขาให้ได้”
“พอสักทีเถอะ!!!”
ทั้งสองคนหันไปมองตามเสียง แม้กระทั่งแบคฮยอนเองก็ตกใจที่จู่ ๆ ชานยอลก็โพล่งออกมา เด็กหนุ่มมองภาพตรงหน้าพร้อมกับกำหมัดแน่นก่อนจะปล่อยมือคนตัวเล็กออกแล้วเดินเข้าไปกระชากคอเสื้ออี้ฟาน
“ชานยอล!!”
“...!!!” อี้ชิงมองคนตัวสูงทั้งสองคนสลับกันไปมาก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพบว่าตอนนี้ครูตัวเล็กที่เขาพูดถึงเมื่อครู่กำลังเข้ามาดึงเด็กหนุ่มอีกคนออก
“มึงทำห่าไรวะไอ้ครูขี้เก๊ก!”
อี้ฟานไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ไม่แม้แต่จะผลักเด็กหนุ่มที่กำลังอยู่ในอารมณ์โทสะออกหรือแสดงอาการไม่พอใจ สายตาของร่างสูงมองไปยังคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ปาร์คชานยอล แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นอีกฝ่ายก็หลบตาเขา
อู๋อี้ฟานไม่รู้ว่าตอนนี้บยอนแบคฮยอนกำลังรู้สึกยังไงอยู่ แต่สิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือ...คนตัวเล็กไม่อยากมองหน้าเขาแล้ว
“ชานยอล!!” แบคฮยอนยังคงพยายามดึงหลานชายออกมาหากแต่เด็กตัวสูงกลับกำคอเสื้ออีกฝ่ายแน่นยิ่งขึ้น เขากำลังโกรธ โมโห และพร้อมที่จะซัดหน้าไอ้หมอนี่ได้ทุกเมื่อ
“คิดว่าเจ๋งมากเหรอที่ทำแบบนี้ได้?”
“...”
“มึงเห็นน้ากูเป็นตัวอะไร?”
“ชานยอล น้าขอร้องล่ะ...” แบคฮยอนก้มหน้าลงแล้วออกแรงบีบแขนเด็กหนุ่มเพื่อย้ำให้รู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้และกำลังขอร้องให้หยุด “กลับบ้านนะ”
“แบคฮยอน...”
“อย่ามาเรียกชื่อน้ากู” เด็กหนุ่มผลักร่างสูงออกอย่างแรงพร้อมกับชี้หน้าก่อนจะถอยหลังออกไปตั้งหลัก ปลายนิ้วยาวถูจมูกอย่างหัวเสีย จนถึงตอนนี้แบคฮยอนก็ยังไม่ปล่อยมือออกจากแขนเขา “แฟนเก่าที่เป็นเจ้าของร้านดอกไม้ตัวจริงอยู่ตรงนี้แล้วสินะ?”
“...”
“ชานยอล” แบคฮยอนไม่กล้าเงยหน้าขึ้น เขากำลังรู้สึกหน้าชาไปกับความจริงที่ได้รับรู้เมื่อครู่นี้ ถึงความรู้สึกที่มีต่อพี่อี้ฟานมันจะจางลงจนเหลือแค่ความรู้สึกดี ๆ ที่ต่างฝ่ายต่างเคยมีให้กัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเสียความรู้สึก
ที่เข้าใจผิดมาตลอดว่าอู๋อี้ฟานชอบเขาแค่คนเดียว
“สวมเขาให้ผู้หญิงคนนึงได้นี่มีความสุขมากป่ะวะ?” ชานยอลมองทั้งสองคน ทั้งสมเพชและรังเกียจไปพร้อม ๆ กัน เด็กหนุ่มกุมมือแบคฮยอนไว้แน่นเพื่อให้รู้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้และจะไม่มีวันปล่อยมือไปหาใครหน้าไหนทั้งนั้น
คำพูดของปาร์คชานยอลไม่ได้เสียดแทงความรู้สึกอู๋อี้ฟานมากไปกว่าสีหน้าของบยอนแบคฮยอนที่เป็นอยู่ อยากเข้าไปอธิบายทุกอย่างให้ฟังแต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าใจ เพราะเรื่องของเขากับอี้ชิงมันเคยเป็นความจริงและตอนนี้ก็ยังตัดไม่ขาด
“ไปลงนรกกันทั้งคู่นั่นแหละ”
TBC
เผ็ดเลยอ่ะ #คดีพริก
ความคิดเห็น