คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #36 : Special Zitao :: His Puppy Love (100%)
Special Zitao
His Puppy Love...
เกิดมาตั้งยี่สิบสี่ปีแล้วแต่ยังไม่เคยมีแฟนเลยสักคนเดียว ไอ้ที่ทำให้ใจเต้นแรงก็พอมีอยู่ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเรียกว่าความรักได้ไหม?
แล้วอะไรล่ะที่เรียกว่า ‘ความรัก’
หมายถึงคนที่อยากอยู่ด้วย คนอยากจับมือ คนอยากนอนกอดน่ะเหรอ? แบบนั้นก็ไม่น่าจะใช่นะ?
แล้ว ‘ความรัก’ มันหน้าตาเป็นยังไงล่ะ?
หวงจื่อเทาชักจะอยากมีความรักดูสักครั้ง
เสียงกรี๊ดของเด็กสาวในโรงเรียนสตรีล้วนดังไม่ขาดสายทันทีที่รถตู้สีดำขับเข้ามาแม้ว่าพวกเธอจะไม่เห็นแม้แต่เผ้าผมของไอดอลหนุ่มที่อยู่ภายในรถเลยสักนิดในขณะที่เขาเห็นทุกอริยบทของเธอทุกคน
การ์ดตัวโตสองคนลงมาเปิดประตูให้ซึ่งคนที่ลงมาก่อนนั้นไม่ใช่ไอดอลหนุ่มที่สาว ๆ กำลังส่งเสียงกรีดร้อง แต่เป็นเมเนเจอร์ตัวเล็กหน้าโหดที่กำลังพยายามเจรจาศึกกับเหล่านักเรียนตรงหน้า เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นโอป้าของสาว ๆ ก็ก้าวขาซ้ายลงมาพร้อมกับสวมแว่นกันแดดโบกมือให้รอบทิศ
“จื่อเทาโอป้า กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด”
“โอป้า!!! โอป้า!!!!!!”
“หนูจ๋า ถ้าไม่อยากให้โอป้าเจ็บตัวอย่าเบียดเข้ามานะครับ” มินซอกทำหน้าเนือยแล้วอ้าแขนออกเดินท่าปูเพื่อกันไม่ให้ศิลปินในสังกัดโดนแตะต้องตัว ถ้าจินตนาการไม่ออกก็ให้คิดว่ามนุษย์เตี้ย ๆ คนนึงกำลังอ้าแขนก้าวขาเดินไปข้าง ๆ นั่นแหละ
นึกแล้วก็โมโหตัวเองที่เป็นคนขี้สงสาร ก็จะอะไรอีกล่ะ? รถตู้คันนี้จะไม่มีทางขับออกนอกเส้นทางกลับคอนโดได้เลยถ้าหวงจื่อเทาไม่เขย่าแขนเขาแล้วบอกว่า ‘พี่มินซอก...พาผมไปหาเพื่อนทีนะ ผมไม่ได้เจอมันมาจะครึ่งปีแล้วเนี่ย’
พอเห็นมันทำหน้าหงอเข้าหน่อยเป็นต้องใจอ่อนทุกทีสิ ทั้งที่ตอนคอยรับใช้ไอ้มนุษย์เซฮุนก็ไม่เคยมีคำว่าสงสารเข้ามาในหัวเลยสักครั้ง เพราะอย่างที่รู้ ๆ กันว่าโอเซฮุนนอกจากจะจองหองแล้ว มันยังกวนส้นตีนอีกด้วย
ถึงไอ้จื่อจะหน้าโหดตรงตามอิมเมจพระเอกหนังแนวมาเฟีย ตำรวจสายลับอาเธน่าอะไรก็ตาม นิสัยโดยแท้นี่อย่าให้แฟนคลับหรือดิสแพทรู้ แต่การที่คิมมินซอกพาหวงจื่อเทาฝ่ากลุ่มติ่งเด็กมาหา ‘เพื่อน’ ถึงที่นี่ก็มีเวลาให้แค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
คนตัวสูงอมยิ้มเดินเข้าประตูสระว่ายน้ำก่อนจะขึ้นบันไดไปข้างบน โชคดีที่ว่าโรงเรียนนี้เข้มงวดและเจ้าระเบียบสุด ๆ เด็กสาวเกือบร้อยคนถึงได้ถูกไล่กลับไปเข้าเรียนต่อโดยอ้างว่าใครไปสระว่ายน้ำมีถูกหักคะแนน เพราะฉะนั้นในสระถึงมีแค่เด็กม.ต้นที่มีเรียนว่ายน้ำเกือบ ๆ สามสิบคนเท่านั้นที่โชคดีได้เห็นจื่อเทาโอป้า
“พี่หาน!”
“ว่าไง?” ชายหนุ่มในชุดวอร์มพร้อมแว่นกันแดดนั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติกพยักหน้าทักทายเพื่อนรุ่นน้องที่ไม่ได้เจอกันมาสักพักนึงแล้ว
สืบเนื่องจากไอ้จื่อเป็นดารา จียอนเป็นวิศวกร ส่วนไอ้ชานยอลก็เป็นครูสอนพละเหมือนกับเขานั่นแหละ แต่จะให้บรรจุเป็นครูโรงเรียนเดียวกันก็ใช่เรื่อง มีหวังโดนมันหงำตาย เพราะอะไรก็น่าจะรู้ ๆ กันอยู่
แต่ใช่ว่าผู้ชายจากแดนจีนอย่างลู่หานจะหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่นะครับ แต่ติดแค่ว่าเตี้ยเท่านั้นแหละ เคยได้ยินไหมว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ และนี่คือเหตุผลที่ทำให้เขากับไอ้ชานยอลแยกโรงเรียนกันสอน
“เงียบ ๆ หน่อยสาวน้อย ไม่งั้นครูจะสั่งเลิกคลาสนะครับ” หยิบโทรโข่งขึ้นมาบอกเหล่าเด็กนักเรียนที่กำลังส่งเสียงฮือฮาในสระว่ายน้ำ พอโอป้ามาทีนี่กูแทบเป็นหมาเลยทีเดียว “นั่งก่อน” ลู่หานลากเก้าอี้พลาสติกมาข้าง ๆ ไอดอลหนุ่มอมยิ้มก่อนจะนั่งลงแล้วถอดแว่นกันแดดออก
“เป็นไงมั่งเฮีย”
“ง่วงจะตายห่าละ เมื่อคืนไปแดนซ์มา ลากสังขารมาสอนได้นี่ถือว่าปาฏิหาริย์” ชายหนุ่มนวดขมับก่อนจะขมวดคิ้วทันทีที่จื่อเทายื่นกล่องนมสดมาให้
“เช้า ๆ ต้องดื่มนม” จื่อเทายิ้ม
“ดื่มเชี่ยไร กูจะอ้วกของเก่าออกมาอยู่แล้ว ถ้าแดกนี่มีพุ่ง” ลู่หานดันมืออีกคนออกแล้วหันหน้าเข้าหาสระว่ายน้ำพร้อมกับทำมือปัด ๆ เป็นเชิงบอกให้เด็ก ๆ เล่นน้ำกันไปก่อน
“...” นั่น พอกูปฏิเสธก็ทำหน้าเป็นหมาหงอยเลยทีเดียว ลู่หานขมวดคิ้วมองคนข้าง ๆ ที่หางคิ้วตกแล้วก็รู้สึกผิด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หวงจื่อเทาเอานมมาให้เขาดื่ม แน่นอนว่าทั้งชีวิตมหาลัยของเขานั้นได้ดื่มนมตอนเช้าทุกวันเพราะมัน
สุดท้ายก็รับกล่องนมมาฉีกฝาออกแล้วยกกระดกรวดเดียวหมดไปเกินครึ่ง ลู่หานขมวดคิ้วทำท่าจะสำรอกของเก่าออกมาก่อนจะหันไปอีกทางเพื่อฝืนกลืนมันลงคอ จื่อเทาเห็นอย่างนั้นเลยล้วงกระเป๋ากุชชี่หาทิชชู่เสียยกใหญ่
“เฮ้ย ไม่เห็นต้องรีบขนาดนั้นเลยอ่ะ ค่อย ๆ ดื่มดิว้า...”
“ไม่ทันละ โอเค...หมดแล้วนะ” ลู่หานหันคว่ำกล่องลงให้ดู แน่นอนว่ามันเรียกรอยยิ้มจากคนตัวสูงได้เป็นอย่างดี “ว่าแต่งานถ่ายละครเป็นไงมั่ง ได้ข่าวว่าเริ่มถ่ายทำซีซั่นสามแล้วนี่” ครูพละว่าพลางเอนหลังพิงกับพนักเมื่อรู้สึกไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก สาเหตุก็มาจากนมสดที่เพิ่งยัดห่าเข้าไปเมื่อกี้นั่นแหละ
“ใช่ ๆ เฮียรู้ได้ไงอ่ะ...”
“อ๋อ เด็กเล่าให้ฟัง” ลู่หานผินหน้าไปทางสระว่ายน้ำและมันทำให้หน้าของหวงจื่อเทารู้สึกสั่นไหวแปลก ๆ
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยิ้มออกมาได้อยู่ดี เพราะอย่างน้อยไอ้เชี่ยพี่หานก็ยังอุตส่าห์จำทั้งที่มันเป็นเรื่องที่คนอื่นบอกต่อมาอีกทีและพร้อมที่จะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาได้ทุกเมื่อ แต่ประเด็นหลักอยู่ที่ว่าพี่หานนั่งดูละครที่เขาเล่นเลยนะ! มันเป็นเรื่องไม่คาดฝันสุด ๆ สำหรับหวงจื่อเทาเลยก็ว่าได้ที่คนอย่างมันจะมาเสียเวลานั่งดู เพราะมีไม่กี่อย่างบนโลกใบนี้ที่สามารถหยุดให้มันมานั่งดูได้ ซึ่งคงไม่พ้นหนังโป๊
“จริง แต่แค่ตอนเดียวนะ”
“...”
“จำได้ว่าลื้อพาผู้หญิงสองคนหนีออกจากโรงเรียนอ่ะ” ลู่หานลูบคางทำหน้าคิด “มีซอมบี้อยู่เต็มโรงเรียนไปหมด...แล้วลื้อก็ปล่อยให้เพื่อนคนนึงติดอยู่บนดาดฟ้าด้วย”
“คือฉากนั้นกูออกไม่ถึงห้าวิ...” แล้วทั้งตอนหวงจื่อเทาก็ได้ออกอยู่สองฉากถ้วน สรุปมึงดูกูหรือดูใครวะครับพี่หาน
“เอาเถอะ ว่าแต่มาที่นี่ไม่กลัวโดนติ่งรุมเหรอวะ”
“กลัว แต่ใจมันเรียกร้อง” ประโยคนี้ทำเอาคนฟังทำหน้าเหวอ ลู่หานขมวดคิ้วอ้าปากเล็กน้อยแล้วหมุนข้อมือเป็นเชิงบอกว่า ‘กูงง’
“อารมณ์ไหนของลื้อวะ”
“พูดก็พูดเถอะพี่หาน กูว่ามันถึงเวลาแล้ว” จื่อเทาวางมือลงบนหลังมืออีกคนพร้อมกับทำหน้าจริงจัง ลู่หานมองมือตัวเองสลับกับหน้าอีกคนก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น เดี๋ยวนะครับ...พี่ว่าบรรยากาศตอนนี้มันชักจะแปลก ๆ แล้ว
“เวลาไร”
“กูว่าเฮียน่าจะรู้...” จื่อเทามองอีกฝ่ายด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหมาย แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามองลู่หานแบบนี้ มันก็นานมากแล้วที่หวงจื่อเทากักเก็บความรู้สึกไว้ในก้นบึ้งของหัวใจหากแต่ไม่กล้าพูดมันออกไปเพราะกลัวเสียเพื่อน...
แต่วันนี้เขาพร้อมแล้ว...พร้อมที่จะพูดคำนั้นเพื่อเปลี่ยนทุกอย่าง
“กูชอบมึง...พี่หาน”
“...”
“ชอบตั้งแต่เห็นมึงขับสี่สูบเข้ามาในมหาลัย ชอบตั้งแต่เห็นมึงถอดหมวกกันน็อคออกแล้วเสยผมขึ้นจนมันตกลงมารับกับใบหน้าอันได้รูปของมึง ชอบตั้งแต่มึงทำท่าตั้งหลักก่อนก้าวขาคาบมอเตอร์ไซค์อย่างทุลักทุเล ชอบตอนที่มึงทำตัวแย่ ๆ แต่เสือกเท่ในสายตากูคนเดียว ชอบตอนที่มึงยิ้มแล้วตีนกาขึ้น ชอบตอนที่มึงแทนตัวเองว่าเฮีย ฟังแล้วป๋าชิบหายอ่ะคือโดน ชอบตอนที่มึงผิวปากแซวผู้หญิงด้วย ตอนแรกกูก็หวงแต่พอเห็นว่าเขาไม่ได้สนใจหนังหน้ามึงกูก็ดีใจ มันดีไปหมดเลย กูชอบมึงพี่หาน เป็นแฟนกันนะ”
มาเป็นชุด...
“...”
ลู่หานไม่ได้ตอบอะไรกลับไป สีหน้าของเขาไม่ต่างจากภาพ .jpg หลังจากได้ฟังความในใจเมื่อครู่จบ นี่ถ้าไม่บอกคงคิดว่าเป็นท่อนแรปสักเพลง มีเพียงแค่เสียงน้ำกระเซ็นหลังจากมีคนกระโดดลงไปในสระเท่านั้นที่ทำลายความเงียบระหว่างทั้งคู่ และสิ่งที่ทำให้หวงจื่อเทารู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะแตกสลายนั่นก็คือมือของคนตรงหน้าที่กำลังค่อย ๆ ชักกลับ
“ตลกป่ะวะจื่อ”
“...”
“พูดเล่นเรื่องไม่เป็นเรื่องกูถีบนะครับ นี่ไม่อายนักเรียนด้วย” ลู่หานมองคาดโทษเพื่อนรุ่นน้องที่ทำให้เขารู้สึกขนลุกเพราะประโยคเมื่อครู่ มึงโทรหากูบอกว่าอยากเจอก็นึกว่าจะช่วยไปนั่งกินหมูกินเนื้อย่างกันตามประสาเพื่อนไม่ได้เจอกันนานแล้วดูดิ
“มึงพูดแบบนี้...แสดงว่าไม่เคยมีใจให้กูเลยใช่ไหม...” น้ำเสียงตัดพ้อส่งไปยังคนตัวเตี้ยกว่า แน่นอนว่ามันทำให้ลู่หานหน้าเหวอกว่าที่เป็นอยู่
ร้อยวันพันปีไอ้จื่อเคยพูดเลี่ยน ๆ ชวนขนหัวลุกแบบนี้ซะที่ไหนกัน นี่ถ้ามันหัวเราะแล้วบอกว่าล้อเล่นคงได้ถีบแม่งตกน้ำโชว์เด็ก แถมอาจได้ลงข่าวหน้าหนึ่งและเสียค่าปรับให้ทางต้นสังกัดมันหน่อยที่ทำแบบนั้น แต่ลู่หานผู้นี้ก็พร้อมที่จะเปิดเวทีเพรสคอนแถลงข่าวบอกเหตุผลว่าทำไมถึงต้องลงไม้ลงตีนกับเพื่อนแบบนั้น
“จริงจังป่ะเนี่ย?”
“หน้ากูเหมือนคนกำลังพูดเล่นหรือไง!!!” จื่อเทาฟาดมือลงบนขาอีกคนอย่างแรง ลู่หานสะดุ้งสุดตัวแล้วงอขาขึ้นเหยียบบนเก้าอี้ตัวที่นั่งอยู่
“จะเสียงดังทำไมวะจื่อ เดี๋ยวนักเรียนก็ได้ยินกันหมดหรอก อยากเป็นข่าวไง๊?”
“เป็นก็เป็นสิ!!!”
“แต่กูไม่อยากเป็น!!!”
“พูดงี้หมายความว่าไงวะพี่หาน มึงรังเกียจกูช่ะ!!!” จื่อเทาเบ้ปาก นี่มันชักจะไปกันใหญ่แล้วนะครับ จากตอนแรกนักเรียนก็ทำท่าอยากเสือกอยู่แล้วว่าเขาสองคนคุยอะไรกัน แต่พอไอ้จื่อเสียงดังแบบนี้เห็นทีว่าควรจะทำให้มันลดวอลลุ่มลงสักนิดไม่งั้นได้เป็นเรื่องแน่
“ไปแดกอะไรผิดสำแดงมาป่ะ ลื้อมาถึงนี่เพื่อที่จะพูดเรื่องนี้เหรอ” ก่อนอื่นต้องพูดดี ๆ กับมันครับ นี่อยากให้เห็นหน้าไอดอลสุดหล่อของสาวน้อยสาวใหญ่จริง ๆ ว่าตอนนี้มันกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ เล่นเอากูรู้สึกผิดเลยทีเดียว
“เออ คนไม่ใช่ทำอะไรก็ผิดไปหมดนั่นแหละ...”
“ไม่ดราม่าดิ มาเปิดอกคุยกันแบบแมน ๆ ดีกว่า ไม่ตุ๊ดนะ”
“...”
“จื่อ”
“อือ”
“มึงจะบอกว่าชอบกูแบบผู้ชายชอบผู้ชาย...ถูกไหม?” อันที่จริงก็แอบตะขิดตะขวงใจมานานแล้วแต่ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองจนเกินไป เพราะมีหลายครั้งที่รู้สึกว่าไอ้จื่อชอบทำอะไรที่ต่างจากคนอื่นให้เขาอยู่เสมอ มันดูพิเศษกว่าในบางครั้งแม้กระทั่งไอ้ชานยอลก็ยังไม่ได้แบบนั้น
“อือ...” จื่อเทาตอบเสียงแผ่ว ตอนนี้ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถทำให้ไอดอลหนุ่มรู้สึกดีขึ้นได้นอกจากประโยคว่า
‘มันจะฟังดูตลกป่ะวะจื่อถ้ากูจะบอกว่าชอบมึงเหมือนกัน...ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ...’
แต่หวงจื่อเทาคิดผิด...
จนถึงตอนนี้ลู่หานก็ยังทำหน้าแหยแถมยังมองเขาด้วยแววตาแบบนั้นอีก
“คืองี้นะ” ลู่หานวางขาลงแล้วกระสานมือ ถ้าสามารถเอาส้นตีนก่ายหน้าผากได้ก็จะทำให้ดูเดี๋ยวนี้ถ้ามันทำให้หวงจื่อเทารู้ว่าเขากำลังลำบากใจมากแค่ไหน ชายหนุ่มทำหน้าจริงจังและคิดว่าเพื่อนรุ่นน้องคงรับรู้ได้ว่าเขากำลังซีเรียสอยู่ “บางทีลื้ออาจจะอ่านฟิคเยอะเกินไป ที่เฮียจะบอกน่ะคือ...”
“มึงคิดว่าที่กูซื้อนมให้แดกทุกวันเพราะอินฟิคเหรอพี่หาน!!”
“...” สรัส แล้วทำไมต้องใส่อารมณ์ทุกประโยคด้วยล่ะหื้อ กูตกใจเป็นไหมล่ะ เป็นดาราแล้วอารมณ์ฉุนเฉียวหรือไงกัน นี่งง
“กูก็ไม่ได้อยากแดกป่ะวะ ที่แดกเพราะมึงยัดเยียด”
“เออกูรู้ว่ากูมันเอาแต่ใจ งี่เง่า บ้าบอสิ้นดีที่บังคับให้มึงแดกนม” นั่น ตัดพ้อกูด้วยประโยคยอดฮิตในละครอีก เอาสิจื่อ ใส่มาให้หมดพี่พร้อม “แต่ที่ทำไปทุกอย่างก็เพราะกูหวังดีกับมึงทั้งนั้น แต่มันไร้ค่า เปล่าประโยชน์!!”
“หวังเหี้ยอะไรของลื้อวะ” ลู่หานทำหน้าเนือย ถ้าตอนนี้คนตรงหน้าเป็นไอ้ชานยอลขอสาบานตรงนี้เลยว่าเขาจะเดินไปสุดขอบสระว่ายน้ำแล้ววิ่งมาเหยียบเก้าอี้พร้อมหนุมานถวายแหวนใส่มันสักดอก
“ก็มึงมันเตี้ย!!!”
“ไม่ต้องตอกย้ำกูก็รู้ตัวเองอยู่แล้วโว้ย!!! พอเห็นท่าทางกูไม่เอาด้วยเลยจะขุดปมด้อยมาล้อว่างั้นสิ? มึงนี่มันจริง ๆ เลยว่ะจื่อ กูอุตส่าห์เอ็นดูเห็นมึงเป็นน้องคนนึง” ลู่หานเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มแล้วชี้หน้าคนตัวสูงที่กำลังเบะปากเหมือนจะร้องไห้
“ก็กูอยากให้มึงสูงเลยซื้อนมให้แดกทุกวันไง!!! บ้าเอ้ย...มึงนี่ไม่ต่างอะไรจากไอ้ชานยอลเลยสักนิด โง่เป็นควายกันไปหมด”
“ถ้ากูเป็นควาย มึงก็เป็นนกเอี้ยงเขียว ๆ ตัวนึงเหมือนกันล่ะว่ะ” ครูพละสวนกลับ นี่ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่ามึงแล้วหวงจื่อเทา แทนที่จะได้ยินคำขอโทษดี ๆ เสือกพาลกูซะงั้น “อีกอย่างนะ มึงก็น่าจะรู้ว่ากูชอบผู้หญิง”
“แต่มึงเคยฟันผู้ชายอ่ะ”
“อันนั้นมันคือความผิดพลาดในชีวิตไหม กูเคยเดินทางสายกลางแค่ครั้งเดียวแล้วทำไมมึงต้องมาตอกย้ำกูอีกรอบด้วย ร้องไห้ใส่เลยดีไหมเนี่ย ฟั้ค!” ลู่หานถลึงตามองคนข้าง ๆ นี่อยากจะเบิ้ลกะบาลมันสักเม็ดถ้าไม่ติดว่าเด็กนักเรียนในสระมองอยู่
“แต่ความรู้สึกกูไม่ใช่ความผิดพลาดนะ...” จื่อเทาเม้มปากแล้วใส่แว่นกันแดดเข้าไป มันคงไม่ดีแน่ถ้าเกิดลู่หานเห็นว่าเขากำลังจะร้องไห้ เขาไม่อยากแสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครสมเพช...ไม่ต้องการ...
“แล้วมึงจะให้กูทำไงวะ” ไม่มีแล้วคำว่าเฮียกับลื้อ ตอนนี้ทุกอย่างกำลังรวนไปหมด ลู่หานไม่รู้แม้กระทั่งวิธีการหายใจให้เป็นจังหวะ นี่เดือดนะครับไม่ใช่เขิน
“คนที่ไม่ถูกรักทำอะไรได้ด้วยเหรอ...” มึงก็จะดราม่าไปอี๊กกกกกกกกก
“คิดสภาพดิ ถ้าเกิดกูกับมึงคบกันแล้วจะเป็นยังไง”
จื่อเทาถอดแว่นกันแดดออกแล้วค่อย ๆ หันมาสบตากับครูพละที่กำลังขมวดคิ้วมองเขา ถึงในสายตาคนอื่นพี่หานมันจะหน้าหวานมากก็เถอะ แต่ในสายตาหวงจื่อเทาน่ะผู้ชายคนนี้ทั้งหล่อทั้งเท่ มันดีไปหมดทุกอย่างเลย
“ฟิน”
“ฟินมะเขือไรล่ะ บอกเลยนะว่ากูไม่เป็นฝ่ายรับให้มึงเด็ดขาด” ลู่หานชี้หน้าอีกคน
“พูดแบบนี้คือเริ่มเขวแล้วช่ะ...”
“กูแค่บอกให้รู้ไว้” ครูหนุ่มเพิ่งรู้ตัวว่าได้หลุดพูดอะไรออกไปและมันกำลังไปในทางดิ่งลงเหว ไม่ได้การละ เขาต้องรีบฉุดตัวเองกลับคืนมา “ลองคิดดูนะว่าถ้าเกิดเราเป็นแฟนกันมันจะมีปัญหาอะไรตามมาบ้าง”
“เรื่องแฟนคลับกูน่ะเหรอ...” จื่อเทาถามเสียงแผ่วพร้อมกับส่งสายตาหวานซึ้งมาอีกรอบ โอย...กูขนลุกเป็นไหม นี่ปวดขี้หรืออะไรสับสนไปหมดละ “เราแอบคบกันก็ได้นะเว้ยเฮีย...พี่ในสังกัดกูก็แอบมีแฟนข้างนอกคบกันมาสิบกว่าปีแล้วไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลยอ่ะ...”
“นั่นก็ส่วนรุ่นพี่มึง แต่นี่มันเรื่องของเรา...ไม่ดิ ไม่ใช่เรื่องของเรา กูกำลังยกตัวอย่างให้มึงดูและมันจะไม่เกิดขึ้นจริง” ลู่หานขมวดคิ้ว “คิดดูดิว่ากอดกันทีนึงจะลำบากแค่ไหน”
“ลำบากไงอ่ะ?” ถามจบก็เงยหน้าขึ้นมองครูสอนพละในชุดวอร์มสีดำ ลู่หานกระดิกนิ้วเรียกคนตัวสูงให้ลุกขึ้นตาม ทั้งคู่สบตากันอยู่ครู่เดียวก่อนที่ครูหนุ่มจะเดินเข้าไปกอดอีกฝ่าย แน่นอนว่ามันทำให้หวงจื่อเทาเขินจนยืนตัวเกร็งไปหมดกับกอดครั้งแรกที่ต่างจากตอนกอดกับเพื่อนสนิทอย่างปาร์คชานยอล
แน่ล่ะ...ก็เขากำลังกอดกับคนที่ชอบนี่...
เสียงซุบซิบของเด็กนักเรียนในสระว่ายน้ำดังขึ้น เขาไม่ต้องกลัวว่าจะต้องตกเป็นข่าวเพียงแค่กอดกับเพื่อนสมัยเรียนซึ่งเหล่าแฟนคลับก็รู้เรื่องนี้ดี แต่แอบได้ยินเสียงนักเรียนคุยกันว่าจะเปลี่ยนคู่จิ้นจากชานจื่อ เป็นจื่อหานอะไรสักอย่าง และมันบ้าบอคอแตกสิ้นดี อย่าให้รู้นะครับว่าใครพูด พี่จะเรียกมาหักคะแนนให้หมด
“ลำบากชิบ”
“...”
“เห็นไหมว่ากูต้องเขย่งขาตอนกอดมึงเนี่ยห่า” ลู่หานผละตัวออกมาแล้วส่ายหน้าหน่าย ๆ
“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย” จื่อเทาพูดจบก็ก้าวขาไปข้างหน้าพร้อมกับย่อตัวลงกอดคนตัวเตี้ยกว่า ลู่หานเบิกตาอย่างตกใจ ยืนโง่ให้เพื่อนรุ่นน้องกอดอยู่ครู่เดียวก็ดันไหล่ออก “โอเคไหม”
“โอเคบ้าไรล่ะ โน!! ไอ เซด โน!!” ลู่หานไขว้มือเป็นรูปกากบาท ถ้ามึงเป็นผู้ชายหน้าหวานตัวเล็ก ๆ กูอาจจะพิจารณาใหม่ก็ได้ แต่นี่ตัวอย่างกับแมมมอธใส่ชุดคลุมท้องริอาจจะมาเป็นฝ่ายรับให้กู มึงใช้ส่วนไหนของร่างกายคิด หัวแม่ตีนเรอะ
“ทำไมอีกล่ะพี่หาน ทำไม!!”
“ก็กูไม่ได้ชอบมึงไง!!” ลู่หานสวนกลับไปในทันที
ประโยคนี้มันหยุดโลกทั้งใบชัด ๆ ไอดอลหนุ่มยืนเม้มปากแน่นขณะมองคนตรงหน้าอย่างตัดพ้อ นี่มันจะเกินไปแล้วนะ ทำไมถึงต้องเหยียบย่ำความรู้สึกอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของเขาด้วยคำ ๆ นั้นด้วย นี่คือสิ่งที่ไอดอลหนุ่มได้รับหลังจากสารภาพรักครั้งแรกในชีวิตงั้นเหรอ? ไหนล่ะความยุติธรรม? ลู่หานยังมีความเป็นคนอยู่ไหมหวงจื่อเทาอยากรู้...
“มึงมันเย็นชาที่สุดเลยพี่หาน...” น้ำเสียงสั่นเครือทำให้คนฟังขมวดคิ้ว คำพูดมึงนี่บทละครซีรี่ส์หลังข่าวมากไหม “มึงเหยียบย่ำความรักของกูจนไม่เหลือชิ้นดี...”
อุ่ย...
“กูมันบ้าไปเองที่คิดว่ามึงคงมีใจให้เหมือนกัน...”
นั่น...
“กูมันบ้าที่คิดว่าตลอดเวลาสี่ปีที่เราอยู่ด้วยกัน มันคือความรู้สึกดี ๆ ที่มากกว่าเพื่อน...”
ไม่ ๆ กูไม่เคยคิดแบบนั้น...
“ถ้าเลือกได้ กูไม่น่าตกหลุมรักคนอย่างมึงเลยพี่หาน...”
ดราม่ามากไหม...
“มึงมันคนไร้หัวใจ!!!”
ลู่หานสะดุ้งเมื่อจู่ ๆ คนตัวสูงก็ปากระเป๋ากุชชี่ราคาแพงใส่เขาก่อนจะเดินหนีออกไปท่ามกลางความงุนงงของเด็กสาวในสระว่ายน้ำ ชายหนุ่มก้มลงมองกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพงก่อนจะเกาหัว
จนถึงตอนนี้ก็ยังเรียบเรียงเหตุการณ์ไม่ถูก นี่มาสารภาพรักเอง ช้ำเอง เศร้าเอง แต่กูผิดงั้นหรือ แล้วต่อไปจะทำหน้ายังไงเวลาเจอกันล่ะ ไอ้จื่อมันคิดจะงอนไปถึงเมื่อไหร่ใครพอจะบอกพี่ได้บ้าง ลู่หานหันไปมองนักเรียนในสระก็ได้แต่ไหวไหล่แล้วแบมือออกเป็นเชิงบอกว่า ‘ก็ไม่รู้สินะ’
ปล่อยให้ควันสีหม่นลอยไปบนอากาศแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า มือข้างหนึ่งก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงสแล็คสีน้ำตาลอ่อน ขาก็ขยับไปตามจังหวะเพลงที่กำลังฟังอยู่ จะว่าไปแล้วก็มีบุหรี่กับไอพอตเนี่ยแหละที่ช่วยฆ่าเวลากับการรอใครสักคน นี่ก็เหลือเวลาอีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าไอ้จื่อเทาจะคุยเสร็จ แล้วตอนนี้ก็เหลือบุหรี่อีกแค่สองตัวเท่านั้น แน่นอนว่าเขาต้องค่อย ๆ ละเลียดอัดเข้าปอดให้คุ้มค่าก่อนที่มันจะหมดซองไปเสียก่อน
“ฮึก!!!”
“เอ้า คุยเสร็จแล้วเหรอ?”
มินซอกตะโกนไล่หลังไอดอลในสังกัดที่วิ่งออกมาอย่างกับตัวละครเอกในซีรี่ส์ที่ไปเจอฉากพระนางด้วบปากกันอย่างไม่ตั้งใจ หวงจื่อเทาหันกลับไปหาต้นเสียงแล้วส่ายหน้าก่อนจะขยับปากบอกว่า ‘รีบสูบมวนนั้นให้เสร็จ แล้วเรากลับบ้านกันนะ’
“อะไรของมันวะ...” เมเนตัวเล็กพึมพำพลางส่ายหน้าเบา ๆ เมื่อคนตัวสูงเข้าไปในรอในรถตู้แล้ว แต่จะโยนบุหรี่ที่เพิ่งสูบไปแค่ครึ่งมวนทิ้งไปก็ใช่เรื่อง อีกอย่างจื่อเทาก็ไม่มีงานต้องไปไหนอีก แถมช่วงนี้เซฮุนมันงดรับงานเพราะอ้างว่าจะพาที่รักมันบินลัดฟ้าไปเที่ยวรอบโลก เพราะงั้นตารางงานของคิมมินซอกถึงได้จบแต่เพียงเท่านี้
“เฮ้อ...อะไรของมันวะ” ได้ยินเสียงสบถคำเดียวกันก็หันไปมองตามเสียงแล้วก็เห็นชายหนุ่มในชุดวอร์มถือกระเป๋าแบรนด์เนมที่คุ้นหน้าเป็นอย่างดี ทั้งคู่หันมาสบตากันก่อนที่ผู้จัดการหนุ่มจะปล่อยควันบุหรี่ออกมาทางริมฝีปากเบา ๆ
“โทษนะ นั่นกระเป๋าจื่อเทาใช่ไหม”
“อ๋อใช่ คุณเป็น...?”
“ผู้จัดการส่วนตัว”
“อ้อ...” ลู่หานพยักหน้าแล้วเดินเข้ามาหาอีกฝ่ายก่อนจะยื่นกระเป๋าให้ “มันลืมไว้” เมเนเจอร์หนุ่มหลุบตาลงมองก่อนจะคาบมวนบุหรี่ไว้ในปาก
“ทะเลาะกันมาหรือไง”
“ก็นิดหน่อย พอดีอธิบายไปแล้วมันไม่เข้าใจ ไว้เดี๋ยวค่อยโทรไปคุยกันอีกทีตอนมันเย็นลงละกัน” ลู่หานว่าแล้วมองไปยังรถตู้คันสีดำ
“มันโกรธใครได้ไม่นานหรอก ว่าแต่สูบบุหรี่ไหม?” มินซอกถามพร้อมกับยื่นซองบุหรี่ให้ ชายหนุ่มชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งพลางกวาดสายตาไปรอบ ๆ ถึงสระว่ายน้ำจะอยู่ส่วนหลังโรงเรียนและไม่มีใครเดินเพ่นพ่านแถวนี้ก็เถอะ แต่ถ้าสูบกลิ่นมันคงติดตัวไปทั้งวันแน่และเขายังไม่พร้อมที่จะถูกเรียกไปอบรม “ลืมไปว่าเป็นครู”
“สูบจัดนะเนี่ย” ลู่หานก้มลงมองก้นบุหรี่ตามพื้นหญ้า เมเนหนุ่มตัวเล็กแค่นหัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วเงยหน้าขึ้น
“สูบแทนบุรุษน่ะ”
พูดจบก็พ่นควันบุหรี่ใส่หน้าอีกฝ่าย ลู่หานหลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นมองใบหน้าหยิ่ง ๆ ของอีกคน มันยังไงกันครับ นี่ก็เกย์อีกคนเหรอ ชีวิตกูจะหนีพ้นวงเวียนนี้ไหม หรือพระเจ้าได้กำหนดไว้แล้วว่าลู่หานต้องเดินสายเพอเพิ่ลไลน์
“นี่”
ลู่หานขมวดคิ้วเมื่ออีกคนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ นี่ก็ไม่ได้มีแม่เหล็กติดตัวป่ะครับ อะไรจะดึงดูดเพศเดียวกันขนาดนั้น คือต้องการผู้หญิงน่ะเข้าใจไหม ที่ปฏิเสธไอ้จื่อไปนี่ไม่ได้หมายความว่าจะโอเคกับเมเนของมันป่ะเห้ย
“อยากเป็นดาราไหม หน้าแบบนี้ดังได้ง่าย ๆ เลยนะ ว่าไงล่ะสนใจหรือเปล่า?”
50%
‘ความรู้สึกของคนเราก็เหมือนกับแก้วใบใส...
ถ้าตกแตกเมื่อไหร่...มันก็ไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้...
แม้ว่าคุณจะเก็บมันขึ้นมาติดกาวประกอบใหม่ก็ตาม’
Post...
“ดราม่ามากไหม”
เสียงของผู้จัดการส่วนตัวเหมือนกับเข็มแหลมพันเล่มที่ทิ่มแทงหัวใจไม่มีผิด ทำเอาไอดอลหนุ่มน้ำตาหยดเผาะใส่หน้าจอสมาร์ทโฟนจนต้องใช้แขนเสื้อเช็ดออก จื่อเทายกมือป้องปากกลั้นสะอื้นแล้วกดออกแอพลิเคชั่นอินสตาแกรมก่อนจะทอดสายตามองออกไปนอกกระจก
มันจบแล้วจื่อเทา...รักแรกของเขามันจบแล้ว...
“ทะเลาะอะไรกันทำไมไม่คุยดี ๆ ล่ะ”
“ผมไม่มีอะไรจะคุยกับมันแล้วพี่...ทุกอย่างจบแล้ว...” เสียงอู้อี้เหน่อ ๆ ลอดออกมาจากมือที่ป้องปากเอาไว้ มินซอกเห็นแล้วก็เวทนาเลยยื่นกล่องทิชชู่ให้และไอดอลหนุ่มก็รับมากอดไว้แนบอกราวกับว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่สามารถปกป้องเขาจากความเศร้าได้
“อยากระบายไหม”
“อึ่ก...” จื่อเทาไม่ได้ตอบคำถามในทันที เขาได้แต่ส่ายหน้าแล้วกลืนก้อนสะอื้นลงคอพร้อมกับปล่อยให้น้ำตาของความเจ็บช้ำไหลลงอาบแก้มชะล้างความโศกเศร้าออกไปก่อนจะถ่ายรูปทิชชู่เปียก ๆ ปรับสีเป็นโทนขาวดำแล้วอัพลงไอจีอีกครั้งพร้อมแคปชั่นว่า ‘THE END’
ลงไปไม่ถึงสามวิแฟนคลับก็แห่มารุมกดไลค์กันไม่หวาดไม่ไหวแถมคอมเมนท์ถามอีกด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งไอดอลหนุ่มไม่พร้อมจะอธิบายให้ใครรับรู้ถึงความเจ็บปวดรวดร้าวกับรักครั้งแรกที่พังทลายย่อยยับไม่มีเหลือ ถ้าความรักมันทำให้คนเราเจ็บปวดแบบนี้พระเจ้าจะสร้างมันให้มนุษย์ทำไมหวงจื่อเทาอยากจะรู้นัก...
“อึ่ก...พี่มินซอก...”
“เอาสักอย่าง ถ้าจะพูดก็หยุดร้องไห้ก่อน” อยากจะข้ามไปนั่งเบาะเดียวกันแล้วช่วยซับน้ำตาให้เหลือเกิน แต่ถ้าทำแบบนั้นก็จะเหมือนคุณพ่อลูกติดเกินไป ทุกวันนี้พวกไอดอลในบริษัทก็หาว่าคิมมินซอกมีลูกติดคนใหม่แทนโอเซฮุนแล้ว
“ผมตัดสินใจแล้วนะ...”
“หืม?”
“เรื่อง MV ของพี่รี่อิน...ผมจะเล่น” ไอดอลหนุ่มว่าก่อนจะสูดน้ำมูกแรง ๆ เห็นตอนแรกมันไม่กล้ารับงานเพราะเขินว่างั้น ไม่กล้าร่วมงานกับนักร้องในดวงใจกลัวติ่งแตกจนเสียงานเสียการ เขายังจำตอนแรกที่มันเห็นไอ้เซฮุนได้ดีเลยล่ะ ถ้าวิ่งเข้าชาร์ตใส่ได้คงทำไปแล้ว
จื่อเทามองออกไปนอกหน้าต่าง เขาได้แต่คิดว่าชีวิตจริงนี่มันแย่กว่าในฟิคเสียอีก มันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ไม่ได้จบลงอย่างแฮปปี้หลังจากสารภาพรักกับคนที่อุตส่าห์แอบชอบมาตั้งหลายปี นี่คือผลตอบแทนของการทุ่มเทของเขางั้นหรือ? ทำไมล่ะ หวงจื่อเทาก็แค่อยากมีความรักที่สวยงามเหมือนในนิยายเท่านั้น
วันนี้ก็เข้าวันที่สามแล้วที่หวงจื่อเทาใช้เวลาถ่ายทำมิวสิควิดีโอของนักร้องสาวในค่ายเพลงใหญ่ จะว่าไปแล้วนี่เป็นโอกาสดีของเขาที่ได้ร่วมงานกับจางรี่อิน แต่ถึงอย่างนั้นไอดอลหนุ่มก็ไม่ได้รู้สึกดีนักเพราะความเศร้าที่สะสมมาตั้งแต่หลายวันก่อน
มินซอกเดินมานั่งลงบนเก้าอี้พับสตาฟแล้วยื่นขวดน้ำพร้อมหลอดให้หากแต่อีกคนกลับส่ายหน้าแล้วดันมือออก จื่อเทาเบือนหน้าไปทางแม่น้ำจูเจียง มันสวยงามจนอดจินตนาการไม่ได้ว่าถ้าเขามาที่นี่กับคนที่ชอบมันก็คงดี
หวงจื่อเทาไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกตอนไปเที่ยวตามสถานที่โรแมนติกกับคนที่ชอบมันเป็นยังไงแล้วจะรู้สึกแบบไหน บางทีมันอาจจะใจเต้นแรงเหมือนตอนอ่านในฟิค หรือในละครที่เขาเคยดู หรืออาจจะไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรใด ๆ เลยก็ได้
เขาไม่รับสาย ไม่ตอบไลน์ ไม่อะไรทั้งนั้นถ้าคนติดต่อมาชื่อ ‘ลู่หาน’ ยอมรับว่างี่เง่าที่ทำแบบนี้แต่ว่าเขาไม่พร้อมจะคุยกับมันในฐานะเพื่อนเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว หวงจื่อเทาอยากรู้นักว่าไอ้พี่หานมันโง่หรือมันโง่กันแน่ เพื่อนในลิสต์ไลน์บวกเฟซบุ้คกูรวมกันนี่แทบจะได้ประชากรทั้งทวีป มึงยังจะอยากได้เพื่อนอีกเหรอ กูขอมึงเป็นแฟนนี่คือพิเศษมากแล้วไหม ถ้าอยากได้เพื่อนนักก็ไปเต้นเร่า ๆ หาไอ้ชานยอลนู่นไป
“เรามีเวลาว่างอยู่ที่นี่ถึงเก้าโมงวันพรุ่งนี้ก่อนกลับเกาหลี เย็นนี้แกอยากไปเดินช็อปที่ไหนหรือเปล่า?” มินซอกถามและไอดอลหนุ่มก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบ นี่เขาอยากกลับโซลใจจะขาดแล้ว อยากกลับไปหาไอ้ชานยอลให้มันบ่นให้มันด่าซะยังจะดีกว่าต้องมาทำงานต่างประเทศพร้อมกับความเหงาเศร้าโศกแบบนี้ “แน่ใจนะ?”
“อือ ผมจะนอนถึงเช้าเลย” ตอบแค่นั้นแล้วกลับเข้าไปถ่ายทำฉากสุดท้าย มินซอกมองตามแผ่นหลังไอดอลในสังกัดแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าหน่าย ๆ สงสัยมันจะเศร้าจริง ถึงเวลาเข้าฉากมันจะแยกแยะอารมณ์ส่วนตัวกับงานออกก็เถอะ ก็นะ...แอบชอบเพื่อนมันก็ดราม่าอย่างนี้แหละ
.
.
โรงแรมโอเวอร์ซี ไชนีส เฟรนด์ชิปในกวางโจว ใช่...หวงจื่อเทาพักอยู่ที่นี่เป็นคืนสุดท้ายก่อนกลับโซล ภายในห้องกว้างมีเพียงแค่เสียงทีวีเปิดสลับช่องไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย ชายหนุ่มไม่ได้คิดจะหยุดดูอยู่ที่ช่องไหน เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าภาพตรงหน้าเป็นยังไงและกำลังพูดอะไรอยู่
หยิบมือถือขึ้นมากดเล่นเลื่อนดูลิสต์ในไลน์ แน่นอนว่าคนในกลุ่ม Favorite คือปาร์คชานยอล และรูปโปรไฟล์ของมันคือสภาพน้าแบคตอนหลับคาโต๊ะพร้อมคำบรรยายตามหลังว่า ‘แก่แล้วต้องพักผ่อนเยอะ ๆ นะครับทุกคน’ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นอะไรแบบนี้เพราะไอ้ชานยอลชอบแกล้งน้ามันเป็นปกติอยู่แล้ว
แต่ที่ทำให้ต้องถอนหายใจก็ตอนที่เลื่อนมาเจอรูปไอ้พี่หานในชุดว่ายน้ำนี่แหละ...มันคิดว่าตัวเองเท่มากเหรอวะที่ใส่แค่กางเกงในตัวเดียวแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่กล้องเนี่ย หุ่นก็ไม่มีห่าอะไรน่าดูเลยสักนิด แห้งอย่างกับไม้เสียบผีจนต้องเสิร์ทกูเกิ้ลหาซิกแพค
จื่อเทาโยนมือถือไปห่าง ๆ แล้วนั่งกอดอก ขืนนั่งดูรูปในอัลบั้มที่แยกออกมาเป็นโฟลเดอร์เดี่ยวคงได้เป็นบ้าตายแน่ ๆ จะลบยังไงไหวเป็นพัน ๆ ทั้งรูปที่แอบถ่ายเองกับรูปที่แอบจิ๊กจากเฟซบุ้คมันมาตลอดสี่ปี
พอเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาติดผนังแล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะตอนนี้เพิ่งจะสองทุ่มเศษ ๆ อยากกด Forward เวลาไปข้างหน้าให้ถึงวันพรุ่งนี้เร็ว ๆ จังแต่ก็ทำได้แค่คิด แล้วนี่ก็เริ่มหิวแล้วด้วยหลังจากโชว์กล้ามดากบอกพี่มินซอกไปว่าจะไม่กินมื้อเย็น แสดงศักยภาพให้เห็นกันไปเลยว่ากูชอกช้ำมากจนไม่สามารถกระเดือกอะไรลงท้องได้
ตอนพูดมันก็เท่อยู่หรอก แต่ตอนหิวนี่สิน่าสงสาร อยากจะตบปากตัวเองเหลือเกินที่อวดดีไม่เข้าเรื่อง อันที่จริงประชดรักก็ไม่จำเป็นต้องอดข้าวป่ะวะ ไม่น่าเลียนแบบฟิคเรื่องนั้นที่นายเอกอกหักเลยไม่แดกข้าวเป็นอาทิตย์จนดูน่าสงสาร เอาไงดี ถ้าบอกพี่มินซอกว่าหิวคงโดนด่าแน่ เพราะงั้นหวงจื่อเทาจะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นเด็ดขาด...
ไอดอลหนุ่มเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า ข้างในนั้นมีเพียงแค่เสื้อแขนยาวลายเสือดาวมีฮู๊ดกับชุดสำหรับไปสนามบินวันพรุ่งนี้ จื่อเทาสวมเสื้อทับเข้าไปพร้อมดึงหมวกขึ้นมา ถ้าใส่แว่นกันแดดตอนนี้คงจะเด่นเกินไปเพราะคงมีแต่คนบ้ากับพวกดาราเท่านั้นแหละที่จะใส่แว่นดำตอนกลางคืน เพราะงั้นการออกไปร้านสะดวกซื้อตอนนี้ก็ควรทำให้เหมือนคนธรรมดาที่สุด
หยิบคีย์การ์ดห้อง บัตรเครดิตและเงินสดจำนวนหนึ่งออกมา แน่นอนว่าเขาไม่จำเป็นต้องขนของไปเยอะแยะเพราะกะจะไปซื้อของกินละแวกนี้เพื่อประทังชีวิตในคืนนี้เท่านั้น ขายาวเดินลงมาจากลิฟท์แล้วก้มหน้าเล็กน้อยก่อนจะเบิกตาอย่างตกใจเมื่อเห็นแฟนคลับจำนวนหนึ่งนั่งรออยู่แถว ๆ ล็อบบี้
แย่แล้วสิ...ทำไมแฟน ๆ ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ จริงอยู่ว่ามันเป็นช่วงขาขึ้นของเขาแต่ก็ไม่คิดว่าจะมีแฟนคลับทุกที่ ๆ ไปถึงแบบนี้ ก็เห็นอยู่ว่ามีบางกลุ่มที่ตามไปให้กำลังใจถึงกองถ่ายทำเอ็มวี แต่การที่พวกเธอมานั่งเฝ้าเขาถึงที่นี่แถมมีที่คาดผมตัวหนังสือเด่นหราว่า ‘แพนด้าจื่อเทา’ มันก็เป็นเรื่องน่าประหลาดใจเหมือนกัน
ไอดอลหนุ่มเลียริมฝีปากแล้วก้มหน้าเดินฝ่าออกไปพร้อมกับดึงฮู๊ดให้ปิดหน้าอีกนิด ถ้าเกิดผู้หญิงกลุ่มนั้นเห็นมีหวังโดนรุมทึ้งจนเรื่องถึงหูพี่มินซอกแน่ เพราะงั้นเขาควรจะตีเนียนเดินผ่านไปโดยไม่ให้ใครหน้าไหนจับได้ทั้งนั้น
“นั่น? จื่อเทาโอป้าเปล่าอ่ะ?”
“หือ จริงเหรอ?”
“ใช่ จื่อเทาโอป้า?!”
“...”
ไอดอลหนุ่มทำตาเหลือกก่อนจะค่อย ๆ หันไปตามเสียงเรียก เพียงแค่พวกเธอได้เห็นเสี้ยวหน้าของโอป้าซารางแฮก็อ้าปากกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งจนคนที่อยู่ในละแวกนั้นหันมามองเป็นตาเดียวกัน จื่อเทายืนเลิ่กลั่กอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งแล้วก็ตัดสินใจได้ว่าไม่ควรยืนอยู่ตรงนี้ต่อไป ไม่งั้นคงโดนยำตายแน่
“โอป้า!!!!!”
สองขายาววิ่งออกจากโรงแรมด้วยความเร็วทั้งหมดที่เขามี ด้วยดีกรีจบครูสอนพละมาแน่นอนว่ามันทำให้เขาได้เปรียบเรื่องการวิ่ง แต่ถึงอย่างนั้นหวงจื่อเทาก็ลูบคมเด็กสาวเหล่านั้นเกินไป แม้ว่าพวกเธอจะหิ้วของพะรุงพะรังและไม่ได้เป็นนักกีฬาทีมชาติ แต่แฟนคลับของเขากลับวิ่งเร็วจนคาดไม่ถึง
ทั้งภาษาจีน ภาษาเกาหลีปะปนกันไปหมด ควรจะดีใจหรือเปล่าที่มีคนรักคนหลงขนาดนี้ มันก็นานมากแล้วนะที่เขารู้สึกว่าการเดินบนฟุตปาธตามถนนมันเป็นเรื่องยากลำบาก เหมือนคนถูกตีกรอบเอาไว้ว่าเดินไปทางไหนได้บ้าง และห้ามเดินไปทางไหน
ชายหนุ่มวิ่งหลบเข้าตรอกแคบมืดสนิทแล้วยืนขนาบกับผนัง เพียงแค่ครู่เดียวเสียงฝีเท้าของเหล่าหญิงสาวก็วิ่งผ่านไปโดยที่ไม่รู้ว่าเขาหลบอยู่ตรงนี้ จื่อเทาปิดเปลือกตาลงแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน นี่แค่ตั้งใจจะออกมาหาอะไรกินแต่ไม่คิดเลยว่าจะต้องวิ่งหนีซอมบี้อย่างที่เป็นอยู่
พอแน่ใจว่าแฟนคลับไม่อยู่แถวนี้แล้วชายหนุ่มเลยออกมาโกยอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด สักราว ๆ สามนาทีระบบการหายใจก็กลับเข้าสู่โหมดปกติ จื่อเทาหันซ้ายขวาแล้วขมวดคิ้วมุ่น แย่แล้วสิ...
ที่นี่ที่ไหน?
.
.
ผลักประตูกระจกใสเข้าไปในร้านกาแฟด้วยสภาพเนือยสุด ๆ ก่อนอื่นขอดื่มอะไรเย็น ๆ ให้ชื่นใจก่อนเถอะแล้วเรื่องหาทางกลับโรงแรมค่อยว่ากันอีกที จื่อเทาสั่งชาเขียวปั่นเพิ่มวิปครีมโดยไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมองแผงเมนูที่อยู่ข้างหลังเคาน์เตอร์ ล้วงกระเป๋าเงินออกมาเตรียมจ่ายแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าเศษเงินที่ถืออยู่มันคงไม่พอจ่ายสำหรับเครื่องดื่มในร้านกาแฟมียี่ห้อ เลยตัดสินใจยื่นบัตรเครดิตให้แล้วคิดว่าจะเก็บเงินสดที่เหลือไว้เป็นค่าแท็กซี่...แต่เดี๋ยวนะ...
“ชาเขียวปั่นเพิ่มวิปได้แล้วค่ะ”
“เวรแล้ว...” จื่อเทาทำตาโตแล้วกุมขมับแล้วรับแก้วชาเขียวมาอย่างมึน ๆ แน่นอนว่าเรื่องช็อกโลกในตอนนี้ไม่ใช่เศษเงินที่อยู่ในมือเขา แต่มันคือปัญหาระดับโลกที่แม้แต่พระเจ้าก็ยังให้คำตอบกับเรื่องนี้ไม่ได้คือ...
โรงแรมที่กูอยู่มันชื่ออะไร...
ด้วยความที่มัวแต่เหม่อ มัวแต่เศร้ากับเรื่องอกหักหวงจื่อเทาถึงไม่ได้สนใจใยดีเลยว่าที่ซุกหัวนอนตลอดสามวันที่ผ่านมาชื่ออะไรและอยู่ส่วนไหนของกวางโจว เรื่องเศร้าระดับหมายังไม่กล้าที่จะดราม่าได้บังเกิดกับเขาแล้ว ตายห่า นี่ก็ไม่ได้หยิบมือถือมาด้วย แล้วจะติดต่อพี่มินซอกยังไง จำเบอร์ใครไม่ได้เลยด้วย ฮัลโหลคิตตี้ที่นี่ที่ไหน
งับหลอดก่อนจะดูดเอาความหวานของชาเขียวลงคอ ในหัวกำลังทบทวนเส้นทางที่วิ่งมาเมื่อกี้นี้แต่เชื่อเถอะว่าเขาจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าผ่านอะไรมาบ้าง อาจเป็นเพราะกำลังตกใจกลัวแฟนคลับจะจับได้ก็เลยไม่ทันมอง
เวรเอ้ย...แล้วแบบนี้จะกลับยังไงล่ะ
“จื่อเทา?”
ไอดอลหนุ่มเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก ซึ่งคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานั้นทำให้มือที่ถือแก้วชาเขียวรู้สึกอ่อนเปลี้ยอย่างฉับพลันจนเผลอปล่อยมันร่วงลงไปโดยไม่รู้ตัว แต่โชคดีที่ว่าใครอีกคนคว้ามันเอาไว้ได้ทันก่อนจะตกพื้น
จื่อเทาเบิกตากว้างอย่างตกใจ ตอนนี้เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าเป็นโรคระทวยอย่างฉับพลันเลยทำอะไรเป๋อ ๆ ออกไปอย่างนั้น ไอดอลหนุ่มทึ้งหัวตัวเองทันทีที่เห็นว่าแขนเสื้อของคนตรงหน้าเลอะชาเขียวเพราะรีบคว้าแก้วเอาไว้
นี่มัน...พี่คุณครูอี้ฟาน...?
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณลูกค้า?” จื่อเทามองบาริสต้าสาวที่ออกมาดูเขาทั้งคู่พร้อมกับผ้าขี้ริ้วในมือ ชายหนุ่มร่างสูงยิ้มบาง ๆ พลางส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะหันไปทางอีกคนที่กำลังยืนหันหลังให้ประตูแล้วดึงฮู๊ดลงปิดหน้า
พอมองไปข้างนอกกระจกร้านก็เห็นกลุ่มเด็กสาวที่เดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้น เขาเห็นว่าพวกเธอถือผ้าเชียร์ที่เขียนเป็นภาษาจีนว่า ‘หวงจื่อเทา’ และจากที่เห็นมันคงทำให้ประติดประต่อเรื่องนี้ได้อย่างไม่ยากนัก
ร่างสูงโปร่งก้าวไปหยุดยืนอยู่ข้างหลังคนที่กำลังยืนก้มหน้าอยู่ ในมือนั้นยังคงถือแก้วชาเขียวที่หกออกมาจนเลอะมือไว้นิ่ง ๆ ใบหน้าคมหันไปพยักหน้าขอบคุณเมื่อบาริสต้าสาวยื่นทิชชู่สีน้ำตาลมาให้จำนวนหนึ่งก่อนที่เขาจะช่วยซับมือนั้นให้
“...”
จื่อเทายืนตัวเกร็ง เขาชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าอาการที่เป็นอยู่มันเกิดขึ้นเพราะกลัวแฟนคลับจะจับได้หรือเป็นเพราะใครอีกคนที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลัง นัยน์ตาเรียวหลุบลงมองมือใหญ่ที่กำลังช่วยเช็ดชาเขียวที่เลอะอยู่ตามมือเขาแทนที่จะเช็ดของตัวเอง
ใช่...ตอนนี้แขนเสื้อของพี่คุณครูก็เลอะเหมือนกัน
“มาคนเดียวเหรอ?”
จื่อเทานิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ ร่างสูงหันกลับไปมองข้างหลังอีกครั้งแล้วก็พบว่าเด็กสาวกลุ่มนั้นยังคงไม่ไปไหน และดูท่าว่าสักคนในนั้นคงอยากเข้ามาซื้อเครื่องดื่ม มันคงไม่ดีแน่ถ้าเกิดเป็นอย่างนั้น
“อยากออกไปหรือเปล่า?” เสียงกระซิบที่อยู่ข้างหูอยู่ในโทนนิ่งพอดี ไม่มีท่าทีตื่นกลัวอย่างที่ไอดอลหนุ่มกำลังเป็นอยู่
“Ice Shaken Lemon Tea ได้แล้วค่ะ” มือแกร่งละออกไปคว้าเอาแก้วชามะนาวที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์มาถือไว้แล้วเดินเข้าไปข้างในร้านพร้อมกับหันมาพยักหน้าเรียกให้เขาเข้าไปด้วยกัน
จื่อเทาก้มหน้าเข้าไปทางด้านในสุดของตัวร้าน ตรงนี้เป็นมุมอับที่มีเก้าอี้โซฟาสองตัวตั้งอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็โจ่งแจ้งเกินไปและเชื่อว่าถ้านั่งอยู่อีกสักห้านาทีพวกหล่อนคงเดินผ่านมาฝั่งนี้แล้วเห็นเขาแน่
“ดึงฮู๊ดลงสิ” ไอดอลหนุ่มเลิกคิ้วสงสัยเมื่ออีกฝ่ายถอดเสื้อแขนยาวตัวนั้นออก ตอนนี้อู๋อี้ฟานเหลือเพียงแค่เสื้อยืดสีขาวเท่านั้น จื่อเทาขมวดคิ้วงงแต่ก็ยอมดึงฮู๊ดลงตามที่คนตรงหน้าบอก
“...”
จื่อเทายืนนิ่งเมื่ออีกฝ่ายคลุมเสื้อแขนยาวเมื่อครู่ลงบนไหล่เขา พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าเรียบเฉยของผู้ชายตัวสูงที่เอื้อมไปเอาทิชชู่ที่วางอยู่ข้าง ๆ ไซรับกับกล่องใส่หลอดมา
พูดไม่ออกอีกแล้ว จื่อเทาเพียงแค่มองกระดาษทิชชู่สีน้ำตาลในมือแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าอีกครั้ง แล้วก็พบว่าพี่คุณครูกำลังทำท่าเป็นเชิงบอกว่าให้เขาเอาทิชชู่ปิดปากเอาไว้ บางทีมันอาจจะเป็นการอำพรางตัวอย่างหนึ่ง หวงจื่อเทาคิดอย่างนั้น
“เดินตามหลังพี่มา ถ้าเกิดอะไรขึ้นอย่าวิ่ง...เข้าใจไหม?”
เขาไม่รู้จะพูดอะไรจริง ๆ สิ่งที่ไอดอลหนุ่มทำได้ดีที่สุดก็คือพยักหน้า...พยักหน้า...แล้วก็พยักหน้า...หวงจื่อเทาไม่มีแม้แต่เวลาคิดทบทวนว่าผู้ชายคนนี้มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องปกติถ้าเขาเจอพี่คุณครูที่โซล แต่ที่นี่มันกวางโจวเลยนะ
จื่อเทาเดินก้มหน้าตามหลังอีกคนไปติด ๆ พร้อมกับเอาทิชชู่ปิดปากเอาไว้ เรื่องการแสดงน่ะเขาพอจะเรียนรู้จากพี่เซฮุนมาบ้างเพราะฉะนั้นการแกล้งสำออยเป็นคนป่วยมันคงไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงนัก
ร่างสูงดันคนข้าง ๆ ให้ไปเดินฝั่งทางซ้ายเพราะกลุ่มแฟนคลับอยู่ทางขวามือ อี้ฟานดันแผ่นหลังอีกคนให้เดินนำไปข้างหน้าก่อนส่วนตัวเขาก็เดินซ้อนหลังไป ถึงจื่อเทาจะตัวสูงแต่ด้วยสัดส่วนของเขาเลยช่วยให้ปิดบังได้บ้าง ถึงมันจะไม่มิดเท่าตอนเดินกับแบคฮยอนก็เถอะ
“เฮ้อ...”
ร่างสูงหันไปมองคนข้าง ๆ ที่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่หลังจากขึ้นมาบนรถ จื่อเทาคาบหลอดเอาไว้แล้วดูดชาเขียวจนลดไปฮวบ ๆ ก่อนจะละออกมาหายใจเข้าลึก ๆ คนมองได้แต่ยิ้มขำกับท่าทางแบบนั้น ถึงเวลาจะผ่านไปหลายปีแล้วแต่เด็กคนนี้ก็ไม่ต่างไปจากเดิมนัก อืม...หมายถึงนิสัยน่ะ
“เอาล่ะ จะให้พี่ไปส่งที่ไหน”
“...”
“จื่อเทา?” พอเห็นว่าคนข้าง ๆ นั่งนิ่งไม่ได้ตอบคำถามเลยต้องเรียก หากแต่เจ้าของชื่อกลับหลับตาแน่นแล้วถอนหายใจราวกับว่ามีเรื่องอึดอัดสุมอยู่
“ผม...ไม่รู้”
“หืม?”
“ผมไม่รู้ว่าโรงแรมอยู่ที่ไหน...คือผมกะจะออกมาซื้อของกินแล้วก็กลับแต่ไม่คิดว่าจะเจอแฟนคลับดักอยู่ข้างล่างอ่ะ...นี่ก็ไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาเลยสักอย่าง มีแค่บัตรเครดิตอย่างเดียว รูดตามร้านบะหมี่ข้างทางก็ไม่ได้ด้วย” จื่อเทาชูแผ่นสี่เหลี่ยมแข็ง ๆ ให้คนตัวสูงดู
“อ่า นั่นสินะ ก็ตอนนี้เราเป็นดาราดังแล้ว” อี้ฟานหัวเราะแล้วเข้าเกียร์ก่อนจะออกรถ
“พี่รู้?”
“ครับ” ร่างสูงตอบทั้งที่สายตากำลังจับจ้องไปยังถนนเบื้องหน้า “ตอนเห็นรูปเราบนป้ายบิลบอร์ดก็ตกใจอยู่”
“มันดูไม่ดีเหรอ...” จื่อเทาถามเสียงแผ่วพลางชำเลืองมองคนข้าง ๆ อี้ฟานนิ่งไปครู่หนึ่งพลางเคาะนิ้วลงบนพวงมาลัย
“ลุคนั้นดูดีครับ”
“หมายความว่าปกติผมดูไม่โอเคช่ะ...”
“พี่ไม่ได้หมายความแบบนั้น” ร่างสูงยิ้ม “เพิ่งรู้ว่าเป็นคนคิดมาก”
“ก็แน่อยู่แล้ว เราเจอกันนี่นับครั้งได้เลย แถมตอนคุยกันก็มีแต่เรื่องน้าแบค” ชื่อที่หลุดออกมาจากปากไอดอลหนุ่มไม่ได้เสียดแทงหัวใจอู๋อี้ฟานเท่ากับช่วงปีแรกนัก ร่างสูงยิ้มบาง ๆ เมื่อนึกถึงคนตัวเล็กก่อนจะยื่นมือถือให้อีกคน
“คิดว่าเราคงต้องใช้มัน” จื่อเทารับไอโฟนมาถือไว้แล้วจ้องมันทั้งที่ยังไม่ได้กดเปิดหน้าจอ สุดท้ายเขาก็ตบหน้าผากตัวเองอย่างแรงจนร่างสูงต้องหันเข้าหา “เป็นอะไรครับ?”
“ผมจำเบอร์พี่มินซอกไม่ได้”
“อ้าว แย่แล้วสิ”
“แย่มาก ๆ เลยเนี่ย คือผมจำได้แต่เบอร์ตัวเอง” จื่อเทาถอนหายใจ
“พักคนละห้องเหรอ?”
“ใช่ กว่าพี่แกจะมาปลุกผมก็คงเจ็ดโมงเลยมั้ง อ๊ากกก” เขาคิดไม่ตกกับปัญหานี้ ถ้าเกิดยังหาโรงแรมไม่เจอพรุ่งนี้เช้าจะไปขึ้นเครื่องทันไหม พี่มินซอกต้องโกรธแน่เลยอ่ะ
“แล้วถ้าโทรเข้าเบอร์ตัวเองล่ะ ไม่ก็ทิ้งข้อความไว้เผื่อเขาเข้าไปหาเรากลางดึก”
“ไม่มีทางอ่ะ พี่มินซอกเป็นพวกหลับยาวถึงเช้าเลย...แต่จะลองดูก็ได้อ่ะ” พูดจบก็ก้มหน้าก้มตากดโทรเข้าเบอร์ตัวเองแล้วรอสายอยู่พักใหญ่ ๆ ก่อนจะหันมาส่ายหน้าบอกอีกฝ่ายว่ามันไม่ได้ผล
“อ่า...งั้นเอางี้ไหม? เดี๋ยวพี่พาขับรถวนแถวนี้ดู ถึงโรงแรมจะมีเยอะแต่เราก็น่าจะคุ้นอยู่บ้าง?” จื่อเทาหันควับ เขาเห็นด้วยกับไอเดียนี้เลยพยักหน้ารัว ๆ ก่อนจะก้มหน้าลงเพราะเสียงท้องร้อง และแน่นอนว่าอู๋อี้ฟานได้ยินชัดเต็มสองหู
“แหะ ๆ”
“หิวเหรอ?”
“ครับ...ผมยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เลิกกอง...” จื่อเทาพูดเสียงแผ่ว ร่างสูงส่ายหน้าเบา ๆ แล้วหักพวงมาลัยเลี้ยวไปทางขวา
“งั้นไปหาอะไรกินก่อนค่อยไปส่งที่โรงแรมแล้วกัน”
“ดีเลยครับ ดี ๆ” จื่อเทายิ้มกว้าง ไหน ๆ ก็ออกมาเสี่ยงขนาดนี้แล้วเขาก็ควรจะกลับไปในสภาพอิ่มท้องแล้วนอนหลับฝันดีสิ แต่พอหันไปทางที่นั่งคนขับก็ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพบว่าร่างสูงกำลังมองเขาอยู่
เดี๋ยว...อาการหน้าร้อนผ่าวแบบฉับพลันนี่คืออะไรกัน?
“เห็นบอกว่าเราคุยกันแทบนับประโยคได้ เพราะงั้นก็ใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักกันดีไหม?”
ทำความรู้จักเหรอ หมายความว่าไง หมายถึงให้เขาเล่าเรื่องตัวเองแล้วพี่คุณครูก็เล่าเรื่องส่วนตัวกลับมางี้เหรอ แล้วจำเป็นไหมว่าต้องเล่าอะไรยังไง เรื่องไหนที่เล่าได้และเรื่องไหนที่ไม่ควรเล่า? แต่เดี๋ยวสิ...ทำไมเขาต้องมาคิดหนักเพราะเรื่องนี้ด้วยล่ะ?
สุดท้ายมื้อดึกของวันนี้ก็มีเพียงแค่บะหมี่กล่องที่หาซื้อได้ตามข้างทาง เพราะถ้าลงไปนั่งกินตามร้านคงได้มีรูปหลุดไปอีก ซึ่งเขาไม่ได้กลัวว่าจะต้องเป็นข่าวหรืออะไร แต่เพราะเด็กคนนั้นบอกว่าอยากกลับโรงแรมไปอย่างแนบเนียนที่สุดโดยที่ไม่ให้ผู้จัดการส่วนตัวรู้ เลยกลายเป็นว่าการลงไปซื้อแบบกลับบ้านคงจะสะดวกที่สุด
เบื้องหน้ามีเรือล่องอยู่ในแม่น้ำจูเจียง มีคนมากมายกำลังชมความสวยงามยามค่ำคืนในกวางโจวบนเรือ ทั้งคู่เดินไปหยุดอยู่ตรงทางเดินเท้าริมแม่น้ำ ตรงนี้น่าจะเงียบและสงบมากพอสำหรับคนที่ต้องทำตัวหลบ ๆ ซ่อน ๆ อย่างไอดอลหนุ่มที่เขาหิ้วมาด้วย จื่อเทาหันไปข้างหลังก็เห็นสวนดอกไม้สีแดงปนเหลืองยาวไปจนสุดสายตาอีกทั้งบรรยากาศรอบข้าง มันสวยมากจนเขานึกเสียดายที่ไม่ได้หยิบโทรศัพท์ติดมือมาด้วย
“มีอะไรเหรอ?” ร่างสูงถามเมื่อเห็นว่าตอนนี้จื่อเทายังยืนอยู่ตรงนั้นแทนที่จะมานั่งกินบะหมี่อย่างที่เจ้าตัวบ่นว่าหิวมาตลอดทั้งทาง
“เสียดายอ่ะ” อี้ฟานเงยหน้ามองคนที่กำลังย่อตัวนั่งลงบนขั้นบันไดข้าง ๆ เขา จื่อเทาดูหงอย ๆ ตอนใช้ตะเกียบคลุกบะหมี่ให้เข้ากัน “ผมชอบถ่ายรูป เห็นอะไรเป็นไม่ได้ต้องถ่ายตลอด” ร่างสูงพยักหน้าปนหัวเราะหลังจากได้ยินคำตอบ มันไม่ใช่เรื่องแปลกกับยุคสมัยนี้ที่สามารถหยิบจับอะไรมาถ่ายก็ได้ง่าย ๆ ถ้าเทียบกับเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน
จื่อเทาชะงักมือทันทีที่เห็นสมาร์ทโฟนสีดำยื่นมาตรงหน้า พอหันไปหาเจ้าของมือถือเครื่องนี้ก็รู้สึกร้อนผ่าวอีกแล้วกับรอยยิ้มแบบนั้น พี่คุณครูพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าให้เขาเอาไปใช้ได้ แต่มันจะดีเหรอ?
“ไม่รู้ว่าแบตเหลือกี่เปอร์เซ็นต์ เอาไปสิ”
“แล้วพี่ไม่ต้องใช้มันเหรอ”
“พี่มีมือถือไว้โทรเข้าโทรออกกับทับกระดาษแค่นั้นครับ” ร่างสูงยิ้มขำ จื่อเทากดเปิดหน้าจอแล้วก็หันไปมองคนข้าง ๆ อีกครั้ง
“ทำไมไม่ล็อกพาสเวิร์ดไว้ล่ะ”
“ไม่จำเป็นครับ มันไม่มีความลับอะไรอยู่ในนั้นหรอก” อี้ฟานพูดในท่าทีสบายก่อนจะใช้ตะเกียบคลุกบะหมี่ในกล่องของเขา ตอนนี้หวงจื่อเทาเชื่อแล้วว่าผู้ชายคนนี้มีโทรศัพท์ไว้โทรเข้าโทรออกจริง ๆ เพราะจากที่เห็นแบตเตอรี่ที่เหลือเกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์นี่แหละ
“รูปก็ไม่มีเหรอ”
“น้อย”
“ทำไมทามไลน์ชีวิตพี่ฟังดูน่าเบื่อจังเลยอ่ะ...” จื่อเทาถามเสียงแผ่วขณะกดล็อกออฟไอจีของคนข้าง ๆ ซึ่งเมื่อครู่ก็แอบดูไปนิดนึงแล้วก็พบว่ามีอยู่สองรูปถ้วน แถมเป็นรูปท้องฟ้าทั้งหมดอีกด้วย
“แล้วทามไลน์ชีวิตแบบไหนถึงจะมีสีสันล่ะครับ?” ถามจบก็กินบะหมี่คำแรก เขาไม่ค่อยชอบรสจัดนัก แต่ในเมื่อคนข้าง ๆ บอกว่าอยากกินเผ็ดเขาเลยต้องกินด้วยถ้าไม่อยากเสียเวลายืนรอนาน ๆ
“นั่นสิ” จื่อเทาตอบสั้น ๆ แล้วถ่ายรูปแม่น้ำก่อนจะถอนหายใจออกมา แน่นอนว่าทุกอากัปกิริยาของเด็กคนนี้อยู่ในสายตาของอู๋อี้ฟานทุกอย่าง “ผมพูดไปอย่างนั้นทั้งที่ตอนนี้ก็ไม่ได้มีความสุขอ่ะ”
“นอกจากเรื่องหิวแล้วยังมีอะไรที่ทำให้เราเซ็งได้ด้วยเหรอครับ?” อี้ฟานหัวเราะ เขาแทบจะดื่มชามะนาวสลับกับบะหมี่ทุกคำเพราะความเผ็ดร้อนของมัน
“มีดิ ความรักไง” ร่างสูงเหล่มองคนข้าง ๆ ที่พูดทั้งยังก้มหน้าก้มตาจิ้มไอโฟนอยู่อย่างนั้น “ยังไม่ได้ถามเลยว่าทำไมพี่มาอยู่ที่นี่ได้” กดโพสต์รูปในไอจีเสร็จแล้วก็หันไปสนใจกับบะหมี่กล่องบ้าง อี้ฟานไม่ได้ตอบคำถามในทันที เขาเว้นจังหวะให้ความเงียบริมแม่น้ำยามค่ำคืนช่วยเรียบเรียงเรื่องราวในหัวก่อนจะวางกล่องบะหมี่ลง
“พี่ย้ายมาเป็นครูที่นี่สามปีกว่า ๆ แล้วครับ”
“หา?” จื่อเทาเบิกตาอย่างตกใจ “ทำไมผมไม่เคยรู้เลยล่ะ”
“ถ้ารู้สิแปลก” ร่างสูงหัวเราะ ซึ่งมันก็ถูกอย่างที่พี่คุณครูบอก คนไม่ได้เจอหน้าไม่ได้ติดต่อกันมันก็คงไม่แปลกถ้าจะไม่ได้รับรู้เรื่องราวของอีกฝ่ายเลย
“ผมถามได้ไหมว่าทำไมพี่ถึงบอกว่าผมดูดีในลุคแบบนั้น” พูดจบก็กินบะหมี่ขณะที่สายตายังไม่ละออกห่างจากใบหน้าของร่างสูงที่ทอดสายตาออกไปยังแม่น้ำ
“ดูดีในสายตาแฟนคลับ แต่พี่ชอบเวลาเราเป็นแบบนี้มากกว่า”
“ผมก็ไม่ได้อยากทำแบบนั้นนักหรอก มันเหมือนน้ำท่วมปากอ่ะ ตอนแรกคิดว่าทุกอย่างมันจะออกมาเรียบง่ายเหมือนในนิยาย แต่พอเป็นดาราแล้วอะไร ๆ ก็ดูยากไปหมด” จื่อเทาถอนหายใจอีกแล้ว
“ไม่มีความสุขกับงานที่ทำอยู่เหรอ?” อี้ฟานวางแก้วลงแล้วเท้ามือไว้ข้างหลัง
“มีสิ ผมรู้สึกดีมาก ๆ เวลามีผลงานออกมาแล้วแฟนคลับคอยสนับสนุน” ไอดอลหนุ่มรีบตอบทันที ถึงเขาจะรู้สึกอึดอัดกับการใช้ชีวิตแบบนี้แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความสุขเลย
“งั้นก็คิดว่ามันเป็นงานสิเราจะได้สบายใจ มันไม่ใช่การเสแสร้ง แต่มันคือสิ่งที่เราต้องทำ” อี้ฟานเว้นจังหวะไปชั่วอึดใจ “มันต้องมีสักแห่งบนโลกใบนี้ที่เราแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาได้โดยไม่ต้องคอยกังวลว่าจะถูกมองแบบไหน” จื่อเทาชะงักมือที่คีบเส้นบะหมี่ไว้ขณะมองเสี้ยวหน้าของร่างสูงที่กำลังยิ้มอยู่
อู๋อี้ฟานไม่ได้หันมามองหน้ากันเลยด้วยซ้ำ แต่คำพูดเมื่อครู่เหมือนกับว่าผู้ชายคนนี้ได้เปิดประตูเข้ามาอ่านความรู้สึกของเขา ซึ่งมันทำให้คนที่จมดิ่งอยู่กับความเศร้ารู้สึกดีขึ้นได้อย่างน่าประหลาดที่มีใครสักคนเข้าใจทั้งที่ไม่ได้เอ่ยปากเล่าเรื่องส่วนตัวอะไรมากมาย
“แล้วพี่มีที่แบบนั้นหรือยัง” คำถามของจื่อเทาทำให้ร่างสูงต้องหยุดใช้ความคิด เขาหันไปมองเด็กน้อยที่ห่างกันเป็นสิบปีก่อนจะยิ้มบาง ๆ
“ยังครับ”
“เพราะอะไรเหรอ ผมถามได้ไหม”
“คงเพราะพี่เลือกอยู่แต่ที่เดิม ๆ ล่ะมั้ง แต่มันก็ไม่แย่เท่าไหร่”
“พี่พูดเหมือนคนกำลังเศร้าเลยอ่ะ นี่สอนคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็ไม่มีความสุขได้ไงเนี่ย” จื่อเทาบ่นอุบอิบ
“นั่นสิ งั้นก็ลืม ๆ มันไปเถอะนะครับ” อี้ฟานยิ้มขำพลางส่ายหน้าและคนข้าง ๆ ก็เช่นกัน ทั้งคู่กำลังหัวเราะกับเรื่องไม่เป็นเรื่องท่ามกลางสายลมยามค่ำคืนริมแม่น้ำจูเจียง
“ผมถามอีกข้อได้ไหมอ่ะ...”
“ครับ”
“พี่กับน้าแบค...” จื่อเทาลากเสียงยาวและมันแผ่วลงจนเงียบไป เขาไม่รู้ว่าควรจะถามต่อดีไหมเพราะจากสีหน้าพี่คุณครูตอนนี้แล้วดูจะเดายากอยู่เหมือนกัน
“ถ้าพี่มีแฟน พี่คงอยากอยู่ใกล้ ๆ เขามากกว่าให้ระยะทางเป็นอุปสรรค” ถึงจะไม่ได้ตอบตรง ๆ แต่มันก็ทำให้ไอดอลหนุ่มเข้าใจได้ จื่อเทาพยักหน้าแล้วก้มกินบะหมี่ต่อ
“ฟังดูโรแมนติกเนอะ”
“ไม่หรอกครับ มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์เวลาหลงรักใครคนหนึ่ง อย่างน้อยก็ทางความรู้สึกถึงตัวจะอยู่ใกล้ไม่ได้” ร่างสูงยิ้ม
“เข้าใจยากอีกละ”
“ไม่หรอกครับ เราแค่ไม่พยายามเข้าใจในสิ่งที่พี่พูด” จื่อเทาย่นจมูก เขารู้ว่าคนหน้าโหด ๆ อย่างเขาไม่ได้น่ารักตอนทำหน้าแบบนี้หลังจากเสียงด่าของไอ้ชานยอลลอยเข้ามาในหัว “แล้วเราล่ะครับ มีแฟนหรือยัง?”
และแล้วก็ถึงคราวของเขาที่ต้องเจอคำถามหยุดโลก หวงจื่อเทาคาบเส้นบะหมี่ไว้อยู่หลายวิก่อนจะกัดให้มันขาดแล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตากับอีกฝ่ายในสภาพที่ไม่สู้ดีนัก
“เจ็บอ่ะ...คำถามนี้เจ็บ...”
“ไม่ต้องตอบก็ได้นะ ทานต่อเถอะ”
“...”
“...”
กลับเข้าสู่ความอึมครึมแล้วปล่อยให้เสียงคลื่นน้ำกระทบฝั่งทำลายความเงียบ หวงจื่อเทารู้ว่าเขาคงต้องทนรู้สึกแย่แบบนี้ไปพักใหญ่ ๆ หรือจนกว่าจะทำใจเรื่องไอ้เชี่ยพี่หานได้ ถึงจะยิ้มจะหัวเราะแต่พอวกกลับมาเรื่องหัวใจไอดอลหนุ่มก็หงอยทุกที
“ผมแอบชอบเพื่อนมาสี่ปีแล้ว” จื่อเทาวางกล่องบะหมี่ลงแล้วดูดชาเขียวจนหมดแก้ว “ไม่ใช่ไอ้ชานยอลนะ พี่อย่ามองอย่างนั้นดิ”
“สายตาพี่มันบอกอะไรหรือไงครับ” ร่างสูงหัวเราะ
“จะไปรู้เหรอ ถ้าหน้าผมมีกระจกพี่ก็คงได้เห็นหน้าตัวเองตอนนี้อ่ะ” เห็นว่าไอดอลหนุ่มกำลังเสียฟอร์มเลยยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ แล้วจ้องตา แน่นอนว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มันส่งผลให้จื่อเทาเงียบและนั่งนิ่งไม่ขยับตัว
“โอเคครับ ถ้ามองผ่านตาคู่นี้ก็พอจะเห็นหน้าตัวเองอยู่บ้าง”
“...”
“เล่าต่อสิ พี่ฟังอยู่” ทำไมถึงพูดได้อย่างหน้าตาเฉยหลังจากทำให้คนอื่นใจสั่น หวงจื่อเทาได้แต่โกรธพี่คุณครูอยู่ในใจที่ตบหัวแล้วลูบหลังเขาด้วยวิธีนี้
มือเรียวยาวทาบลงบนอกตัวเอง เขาเริ่มจะแย่แล้วนะ เคยคิดว่าอาการแพ้คนหล่อมันหายไปตั้งแต่ตอนเดบิ๊วท์เพราะได้เจอดาราหล่อ ๆ ในสังกัดเยอะแยะจนชินแล้ว อย่างมากก็คิดว่าดูดีแล้วก็มองผ่านไป แค่นั้นจริง ๆ
“นั่นแหละ ผมเพิ่งบอกความรู้สึกให้มันรู้เมื่อไม่กี่วันก่อน แล้วก็เละไม่เป็นท่า”
“อ่า...”
“ผมรู้สึกแย่อ่ะ...ไม่รู้จะทำยังไงดี ทั้งเสียใจ ทั้งไม่รู้ว่าจะเข้าหน้ามันยังไง” จื่อเทาเอาคางเกยหัวเข่าทั้งสองข้างแล้วมองไปยังแม่น้ำเบื้องหน้า “ผมโกรธที่มันเห็นความรู้สึกผมเป็นอะไรก็ไม่รู้”
“มันเป็นเรื่องที่ต้องทำใจถ้ารู้สึกกับเขามากกว่าเพื่อน แต่จะไปโกรธอีกฝ่ายก็ยังไงอยู่ อีกอย่างก็เป็นเราทั้งนั้นที่เป็นฝ่ายเริ่มรู้สึก”
“...”
“ถ้าการสารภาพรักต้องจบที่สมหวังงั้นคนทั้งโลกคงมีแฟนมากกว่าสองคน ยกตัวอย่างเช่นเราก็ได้ ‘หวงจื่อเทามีแฟนคลับทั้งหมดกี่คน?’ และพี่เชื่อว่าพวกเธอคงอยากเป็นแฟนกับเรา”
“นั่นสิ...” จื่อเทากำลังหงอย ที่พี่คุณครูพูดมามันถูกหมดเลย เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นกบในกะลาที่ไม่เคยออกมาดูโลกภายนอกแล้วก็เลือกเชื่อในสิ่งที่ตัวเองอยากเห็น “ผมเพิ่งเคยมีความรักครั้งแรก แถมยังเป็นผู้ชายด้วยกันอีกด้วย ผมพูดเรื่องนี้กับพี่ได้ใช่ไหม?” ไอดอลหนุ่มดูชั่งใจ ถึงจะพอรู้มาว่าพี่คุณครูก็ชอบผู้ชายเหมือนกันก็เถอะ แต่การที่เขาจะแบ่งความอึดอัดให้คนข้าง ๆ ที่เพิ่งเจอกันในรอบหลายปีมันก็อาจจะน่าเกลียดเกินไป
“ถ้าเราไม่รีบกลับโรงแรมนะ” คำตอบของร่างสูงทำให้จื่อเทารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
“พี่เคยแอบชอบเพื่อนตัวเองหรือเปล่า”
“เคยครับ”
“เหรอ แล้วจบยังไง”
“จบตั้งแต่เรายังไม่ได้เริ่ม” จื่อเทาหันไปมองคนข้าง ๆ ตอนนี้สีหน้าพี่คุณครูนั้นเรียบเฉยจนยากที่จะคาดเดา “คนเรามีนิสัยและทัศนคติที่ต่างกัน เพราะงั้นเราเล่าให้พี่ฟังได้แต่อย่าเอาเรื่องของพี่ไปเป็นตัวเลือกในการตัดสินใจทำอะไรสักอย่างเลย”
“ทำไมพี่ถึงคิดว่าผมจะทำแบบนั้นอ่ะ”
“หรือจะบอกว่าไม่ล่ะครับ”
“ใช่ก็ได้” จื่อเทาตอบกลับในทันทีทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากร่างสูง “ก็พี่อายุมากกว่าผมตั้งกี่ปี คิดว่าถ้าจำไปทำบ้างก็คงช่วยได้เยอะ”
“มันช่วยไม่ได้หรอก แค่คนที่ชอบก็คนละคนกันแล้ว” ร่างสูงหันมาสบตากับคนข้าง ๆ “คิดจะชอบเพื่อนก็ต้องพร้อมที่จะเสียเพื่อน นี่คือสิ่งที่เราควรรู้ตั้งแต่แรก”
“...”
“ส่วนจะกลับไปเป็นเพื่อนกันได้หรือไม่มันก็อยู่ที่ตัวเรากับอีกฝ่าย แต่ตราบใดที่เรายังโกรธแล้วคิดว่าเป็นความผิดของเขา เรานั่นแหละจะเสียเขาไป”
“ตอนนี้ก็เหมือนเสียไปแล้ว”
“เพราะอะไรล่ะครับ?” คำถามที่ส่งมาแน่นอนว่าเขาต้องตอบ จื่อเทาเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งระหว่างใช้ความคิด จะว่าไปแล้วมันก็เพราะตัวเขาเองทั้งนั้นที่เริ่มเอง จบเอง ดราม่าเองทั้งหมด
“เพราะผม...”
“ลองเก็บไปคิดดูแล้วก็ทบทวนสิว่าควรจัดการกับเรื่องนี้ยังไง” ร่างสูงยิ้ม ซึ่งรอยยิ้มของคน ๆ นี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาสักเท่าไหร่เพราะความรู้สึกผิดที่มีต่อลู่หาน
ใช่ เขาไม่ควรโกรธไอ้เตี้ยนั่นเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้เลย
“พี่ชอบดูซีรี่ส์ไหม”
“หืม?” อี้ฟานขมวดคิ้วเล็กน้อยกับคำถามที่เปลี่ยนไปเรื่องอื่นจนน่าประหลาดใจ “พี่ไม่ค่อยดูหรอก ทำไมเหรอ?”
“เปล่า” จื่อเทายิ้มขำ “เห็นตัวเองตอนนี้แล้วก็นึกถึงเรื่องที่นางเอกเป็นดาราแล้วพระเอกเป็นมนุษย์ต่างดาว มีหลายครั้งที่พระเอกเข้ามาช่วยนางเอกตอนสถานการณ์คับขัน ฉากนั้นโรแมนติกดี” จู่ ๆ ภาพตอนคนตัวสูงเข้ามายืนซ้อนอยู่ข้างหลังพร้อมกับเช็ดมือให้เขาก็ลอยเข้ามาในหัว
“โทมินจุนใช่ไหม?”
“อ่าใช่ ๆ โทเมเนเจอร์ พี่ก็รู้จักนี่”
“เรื่องนั้นดังครับ ครูในห้องพักก็เอาแต่คุยเรื่องนี้ช่วงที่ละครออกอากาศ”
“พี่คงไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวหรอกใช่ไหม...” จื่อเทามองอีกคนอย่างหวาด ๆ แน่นอนว่าท่าทางที่เป็นอยู่มันเรียกรอยยิ้มจากร่างสูงได้เป็นอย่างดี
“อยากรู้ก็หลับตาสิครับ” ไอดอลหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นแล้วกระพริบตาปริบ ๆ จนถึงตอนนี้อู๋อี้ฟานก็ยังคงยิ้ม ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนคนยิ้มเก่งแต่ก็ดูเหมือนคนไม่ชอบยิ้ม แล้วมันยังไงกันล่ะ...พูดเองก็งงเอง
“พี่จะทำไรอ่ะ...”
“อยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าพี่เป็นมนุษย์ต่างดาวหรือเปล่า?”
“...”
จื่อเทาสบตากับคนตัวสูง เขากำลังใจเต้นแรงเพราะใบหน้าหล่อ ๆ ที่กำลังมองมาเช่นกัน จนบางทีเขาเริ่มจะแยกแยะไม่ออกแล้วว่ามันเหมือนกับความรู้สึกตอนมองลู่หานหรือเปล่า? มันเหมือนกับในฟิคที่เคยอ่านซึ่งพอเปิดหน้าต่อไปก็จะเป็นฉากที่คาดเดาเอาไว้
เปลือกตาปิดลงรับความมืดมิด จื่อเทาไม่รู้ตัวว่ากำลังบีบมือตัวเองแน่นจนมันปวดไปหมด ทำไมต้องตื่นเต้นขนาดนี้กะอีแค่เขาบอกให้หลับตาลง มันไม่ใช่ฉากที่จะถูกจูบสักหน่อย ความเป็นไปได้ก็มีต่ำมากด้วยเพราะจากสภาพแล้วพี่คุณครูคงชอบผู้ชายตัวเล็กอย่างน้าแบคมากกว่า แต่เดี๋ยวนะ...ทำไมเขาต้องคิดไปถึงเรื่องชอบไม่ชอบด้วยล่ะ กำลังหวังอะไรอยู่หรือไงหวงจื่อเทา? ไม่เอาน่า...
แช่ะ...
ไอดอลหนุ่มลืมตาขึ้นหลังจากได้ยินเสียงกดชัตเตอร์ สิ่งแรกที่เห็นก็คือกล้องไอโฟนที่อยู่ตรงระดับใบหน้าอีกคน อี้ฟานยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหันหน้าจอให้ดู แน่นอนว่าภาพที่ถ่ายออกมามันคือตัวเขาที่กำลังหลับตาอยู่
“มนุษย์ต่างดาวถ่ายรูปเป็นด้วยนะ”
“โหย...พี่อ่ะ” เห็นพี่คุณครูกำลังยิ้มขำแล้วก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ พวกเขาทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วก็หัวเราะทั้งที่ไม่มีเรื่องตลก หวงจื่อเทาไม่สนใจแล้วว่าไอ้ความเจ็บปวดจากความรักมันเป็นยังไง เพราะเขากำลังรู้สึกดีที่ได้อยู่กับผู้ชายคนนี้...คนที่เข้าใจยากที่สุดในโลก
“อยู่ชั้นสิบหกเหรอ ไม่ได้ลืมคีย์การ์ดไว้ในรถใช่ไหม?”
จื่อเทาพยักหน้าช้า ๆ แล้วหันไปมองร่างสูงที่ยืนอยู่หน้าลิฟท์ของโรงแรม ซึ่งตอนตีสองไม่มีแฟนคลับดักรออยู่อีกแล้วเพราะฉะนั้นการเดินเหินผ่านล็อบบี้เลยไม่ใช่เรื่องที่ต้องระวัง
เขากำลังเฉาทั้งที่ควรจะดีใจที่กลับมาถึงที่นี่ได้โดยสวัสดิภาพโดยไม่ต้องวิ่งหนีเหล่าแฟนคลับหรือทนท้องร้องไปจนถึงเช้า แต่พอรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะต้องแยกทางกับพี่คุณครูเขาก็รู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก
ไม่อยากให้ไป...ยังอยากอยู่ด้วยกันอยู่เลย...
“ลิฟท์มาแล้ว”
“...”
จื่อเทาไม่ได้หันไปมองอีกคน เพราะกลัวพี่คุณครูเห็นว่าเขากำลังทำหน้ายังไงอยู่ บางทีถ้าที่นี่เป็นโซลมันก็คงดี และหวงจื่อเทามั่นใจว่าการเดินเข้าไปในลิฟท์มันคงง่ายกว่านี้เพราะอย่างน้อยในอนาคตเขาก็สามารถหาทางไปเจอผู้ชายคนนี้อีกได้
แต่ที่นี่คือกวางโจว...
“งั้น...ผมไปก่อนนะ” สิ่งที่หวงจื่อเทาเห็นมีเพียงแค่มือใหญ่ที่วางอยู่ข้างตัวเท่านั้น เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย ไม่กล้าพูดตอนกำลังมองหน้ากัน “ขอบคุณนะครับที่ช่วยผม ทุกเรื่องเลย”
“ไม่เป็นไร” พี่คุณครูกำลังยิ้มอยู่หรือเปล่า เขากำลังมองอยู่ไหม?
จื่อเทาก้าวเข้าไปในลิฟท์แล้วเอื้อมไปกดปุ่มชั้นสิบหก แน่นอนว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นใบหน้าของผู้ชายคนนั้น มือเรียวกำหมัดแน่นระหว่างรวบรวมความกล้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นเมื่อประตูลิฟท์ค่อย ๆ ปิดเข้าหากัน
แล้วก็พบว่าพี่คุณครูอี้ฟานก็กำลังมองมาที่เขาอย่างไม่ละสายตา...
“พี่อี้ฟาน!”
จื่อเทาเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูลิฟท์ที่ปิดลงแล้ว หัวใจของเขากำลังเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะอารมณ์ชั่ววูบหรืออะไรก็ช่างมันเถอะ แต่ตอนนี้เขารู้แค่ว่าอยากอยู่ใกล้ ๆ ผู้ชายคนนั้น อยากคุยด้วย อยากมองหน้า
จื่อเทากดลิฟท์ชั้นสามเพียงแค่ครู่เดียวประตูก็เปิดออก ชายหนุ่มวิ่งออกมาพร้อมกับหันซ้ายขวาหาประตูหนีไฟก่อนจะวิ่งไปตามทางเพื่อลงบันไดไปยังชั้นล่าง อย่าเพิ่งไปนะ...ขอร้องล่ะ เขายังไม่ได้ขอไลน์ ไม่ได้ขอเบอร์ ไม่ได้ขออะไรเลยสักอย่าง ถ้าจากกันทั้งอย่างนี้หวงจื่อเทาคงเสียใจไปจนวันตายแน่
“...”
แต่แล้วก็ต้องพบกับความผิดหวังเมื่อพบว่าอู๋อี้ฟานไม่ได้ยืนอยู่ที่นี่อีกแล้ว พอกวาดสายตาไปรอบ ๆ ก็พบเพียงแค่พนักงานโรงแรมเท่านั้นที่โค้งหัวให้กับเขาตอนเดินผ่าน หัวใจของหวงจื่อเทาเต้นช้าลงแทบนับจังหวะไม่ได้ เขารู้สึกเหมือนอกหักซ้ำสองทั้งที่ทุกอย่างมันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
เขาจะไม่ได้เจอพี่คุณครูอีกแล้วจริง ๆ น่ะเหรอ...
ร่างสูงขมวดคิ้วมองเพื่อนดาราที่เอาแต่นั่งเงียบมาตลอดทั้งที่มันเป็นฝ่ายโทรตามให้เขาออกมาเอง ปาร์คชานยอลงงครับ ไม่รู้ว่าหวงจื่อเทาเป็นห่าอะไรมันถึงได้เอาแต่มองชามะนาวเย็นตรงหน้าแล้วปล่อยให้มันละลายทิ้งโดยที่ไม่ยกขึ้นแดก
“เป็นอะไรก็ว่ามาครับ เพื่อนจะนั่งฟัง”
“...”
นั่นแน่ะ...ถามแล้วไม่ตอบประหนึ่งทดลองเป็นพระเอกซีรี่ส์ ชานยอลยกแก้วม็อคค่าเย็นขึ้นดื่มทั้งที่ไม่ละสายตาจากเพื่อนสนิท เอาเถอะครับ ในเมื่อมันอยากเจอหนังหน้าก็ออกมานั่งกับมันหน่อย วันนี้วันเสาร์ไม่ได้นัดกับแบคฮยอนว่าจะออกไปไหน จะแย่หน่อยก็ตรงที่ต้องปล่อยให้น้าชายผู้ซึ่งควบหน้าที่แฟนอยู่ทำงานบ้านคนเดียวนั่นแหละ
“ห่าเทา”
“...”
“พี่หานมันมาเล่าเรื่องมึงให้กูฟังว่ะ”
“ห้ะ?” ไวเท่าความคิด พอขุดเรื่องนี้ขึ้นมาพูดหน่อยไอ้เพื่อนตัวเขียวถึงกับเรียกสติกลับมาไม่ทัน ชานยอลเอนหลังพิงพนักโซฟาเดี่ยวแล้วเลิกคิ้วขึ้นมองอย่างผู้มีชัย สุดท้ายมึงก็ต้องเงยหน้าขึ้นมาคุยกับกูจนได้ “มันพูดอะไร”
“ก็เล่าหมดเลย เรื่องที่มึงชอบมันนั่นแหละ”
“เฮ้ยยยยยยยย ได้ไงอ่ะ...” จื่อเทากำลังหน้าเสีย เขาจะต้องทำหน้ายังไงตอนที่รู้เรื่องนี้เหรอ นี่กูสารภาพรักกับมึงก็จริงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามึงจะเอาไปบอกใครก็ได้ไหมไอ้พี่หาน...
“เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับเพื่อนนะมึง” ชานยอลชี้หน้าคาดโทษเพื่อนซี้ ซึ่งจื่อเทาเพียงแค่เบ้ปากแล้วคว้าเอาแก้วชามะนาวมาดูดเสียอึกใหญ่ ปกติเห็นมันแดกแต่ชาเขียววันนี้นึกครึ้มยังไงเปลี่ยนแนว เป็นดาราแล้วเปลี่ยนรสนิยมความชอบเหรอ หรือไง?
“มันว่าไงมั่ง...”
“ก็บอกว่ามึงหายหัวไปเลย โทรหาก็ไม่รับสาย นี่สรุปใครเป็นคนบอกรักใครกันแน่วะ ดูเหมือนว่าไอ้ห่าพี่หานจะเดือดร้อนกว่ามึงอีก” ชานยอลพูด เขาเห็นว่าไอ้เพื่อนตัวดีกำลังเลิ่กลั่กเหมือนคนจะกระอักชามะนาวที่เพิ่งดื่มออกมายังไงอย่างนั้น
“กูผิดเองแหละ” จื่อเทาหยิบมือถือขึ้นมาสไลด์แก้โง่ เขาใช้เวลาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาทบทวนตัวเองว่าความรู้สึกที่เป็นอยู่ในตอนนี้คืออะไร มันแย่มาก ๆ เลยที่ความเศร้าที่มีต่อลู่หานมันเจือจางลงจนแทบไม่หลงเหลืออยู่ แต่เขากลับมานั่งเครียดเรื่องพี่คุณครูแทน “ไว้กูจะไปขอโทษมันแล้วกัน”
“ง้องแง้งเป็นตุ๊ดไปได้นะมึงเนี่ย แล้วนี่ยังไงวะ? สรุปยังชอบมันอยู่เปล่า?”
“ไม่รู้ดิ ก็ยังรู้สึกดี ๆ อยู่แต่กูก็ไม่ได้พีคเหมือนตอนแรกแล้วว่ะ” จื่อเทาขมวดคิ้ว เขาเหมือนคนใจง่ายเลยให้ตายเถอะ
“แล้วจะเอายังไง เพราะจากที่ดู ๆ พี่หานมันก็เครียดนะ มึงก็รู้อยู่ว่าคนอย่างมันไม่ค่อยคิดเรื่องคนอื่น นี่ฉีกเศษเสี้ยวเวลามาคิดเรื่องมึงได้นี่ถือว่าเป็นบุญหัว”
“เออ กูจะไปขอโทษมันแล้วกลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม” ชานยอลเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง แม้กระทั่งสีหน้าของไอ้เจ๊กเขียวที่แสดงออกก็ไม่ได้มีทีท่าว่าฝืนกลั้นพูดสักเท่าไหร่ มันดูสบาย ๆ เกินกว่าคนเพิ่งอกหักจริง ๆ
จื่อเทาถอนหายใจแล้วกดเข้าไอจี พอเห็นแจ้งเตือนแล้วก็ได้แต่สงสัยว่าแฟนคลับมากระหน่ำกดไลค์อะไรกันตอนนี้ทั้งที่เขาไม่ได้อัพรูป แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีไอดอลหนุ่มก็ได้คำตอบทันทีที่เห็นรูป ๆ หนึ่งซึ่งเขามั่นใจว่าไม่ได้ถ่ายและไม่ได้เป็นคนอัพหากแต่มันขึ้นอัพเดทในไอจีของเขา
“กูไลน์ไปบอกมันเมื่อชั่วโมงที่แล้วว่าจะมาเจอมึง เดี๋ยวไอ้พี่หานก็คงมาถึงแล้วล่ะ นั่งคุยกันแบบเปิดอกไปเลยห่าไม่ต้องเขินแล้ว เป็นเพื่อนกันมาจะห้าปีมึงน่าจะรู้ว่าสันดานมันเป็นคนง่าย ๆ ไม่เก็บเรื่องก๊อง ๆ ไปคิดนานหรอก”
คำพูดยาวเหยียดของเพื่อนสนิทไม่ได้ลอยเข้าโสตประสาทเลยสักนิด หวงจื่อเทาค้างมืออยู่ท่านั้นโดยที่ไม่กดอะไร สายตาของเขาหยุดอยู่ที่แคปชั่นใต้ภาพแม่น้ำฮันที่มีแก้วชาเขียวปั่นวางอยู่ ซึ่งทำให้รู้ได้ทันทีเลยว่าเจ้าของประโยคนี้เป็นของใคร
‘เคยดู The Heirs หรือเปล่าครับ?’
“อะไรของมึงวะ?” ชานยอลขมวดคิ้วมองเพื่อนสนิทที่จู่ ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นยืนทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกห่างจากมือถือ
จื่อเทากลืนน้ำลายเหนียวลงคอ เขารู้สึกได้ถึงสมาร์ทโฟนที่กำลังสั่นอยู่ในมือ ไอดอลหนุ่มยิ้มกว้างแล้วเดินมาตบบ่าเพื่อนปุ ๆ พร้อมกับก้มไปจูบหัวมันเบา ๆ ทีนึงก่อนจะกระซิบบอกว่า ‘กูไปแล้วนะ ไว้เจอกันเมื่อชาติต้องการ’ ก่อนจะปล่อยให้คนตัวสูงนั่งงงอยู่ตรงนั้นโดยที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“เฮ้ยห่าเทา!!! มึงจะมาเอาคืนกูด้วยวิธีนี้ไม่ได้นะเว้ย!!!”
จื่อเทาสะพายกระเป๋าเดินออกมาและนั่นเป็นจังหวะที่ใครอีกคนกำลังจะเปิดประตูพอที ทั้งสองคนชะงักแม้กระทั่งผู้มาใหม่เองก็ยังปรับสีหน้าไม่ถูก ลู่หานเลียริมฝีปากแล้วก็ได้แต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เพราะไม่รู้ว่าจะต้องพูดประโยคไหนก่อนหลังจากได้ป๊ะหน้ากันแบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้
“เอ่อ...จื่อ”
“ว่าไงเฮีย กูรีบ”
“เดี๋ยวดิ ฟังเฮียก่อน”
“เร็ว ๆ” จื่อเทามองนาฬิกาข้อมือขณะที่ลู่หานกำลังหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเรียกขวัญเรียกกำลังใจ ครูพละเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงกว่าก่อนจะวางมือบนไหล่นั้น เขาไม่สนใจแล้วว่าจะมีคนยืนมองอยู่หรือขวางทางเข้าร้านหรือเปล่า
มันถึงเวลาแล้วเหมือนกัน ลู่หานได้ใช้เวลาเป็นเดือนในการทบทวนความรู้สึกตัวเองที่มีต่อเพื่อนรุ่นน้องคนนี้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ว่าเป็นเพราะรังเกียจความรู้สึกนั้นหรือแค่ตกใจเฉย ๆ ตลอดเวลาหลายปีที่จื่อเทามันใส่ใจและอยู่ข้าง ๆ เขาเสมอ ยอมรับก็ได้ว่ารู้สึกดีเหมือนกันแต่ตอนนั้นไม่รู้ว่ามันจะมากไปกว่าคำว่าเพื่อน แต่พอได้ยินจากปากมันเขาถึงได้รู้และตอนนี้เขามีคำตอบให้กับตัวเองแล้ว
“เฮียก็ชอบจื่อเหมือนกัน”
“...”
“เรา...เป็นแฟนกันนะ”
“บ้าป่ะเฮีย”
แกร๊ง!!!!
“ห้ะ” ลู่หานขมวดคิ้วมองคนตัวสูงที่ทำหน้าตาเฉยแล้วดันเขาออกให้พ้นทาง จื่อเทาหัวเราะพร้อมกับเดินถอยหลังไปเรื่อย ๆ ทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากเพื่อนรุ่นพี่ที่เขาเคยแอบชอบ
“เราคบกันไม่ได้หรอก” จื่อเทาป้องปากพูดเบา ๆ ซึ่งตอนนี้ลู่หานก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะช็อกที่ถูกปฏิเสธ อารมณ์แบบโดนกวักมือไปหาแล้วตบหน้าด้วยช้างดาวเบอร์สี่สิบสามแบบทวินแคมยี่สิบหกวาวยังไงอย่างนั้น
“แต่ลื้อบอกว่า...?”
“ตอนนั้นน่ะใช่ แต่ตอนนี้ไม่แล้วอ่ะ” ไอดอลหนุ่มยิ้มกว้าง “ขอโทษที่ทำให้คิดมากนะเว้ยพี่หาน แต่กูมีคนที่คิดว่าใช่แล้วว่ะ”
“WHAT”
“ไงล่ะมึงโดนกูหักอกบ้าง คว๊าย!! 55555555555” จื่อเทาเปิดประตูแท็กซี่แล้วขึ้นไปอย่างหน้าตาเฉย ทิ้งไว้แค่คนตัวเตี้ยที่ยืนงงกับประโยคที่ทำให้เขารู้สึกหิวหญ้าขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
“คือเชี่ยไรเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
ขายาวก้าวลงมาจากแท็กซี่หลังจากจ่ายค่าโดยสารเรียบร้อยแล้ว เขาก้มดูมือถืออีกครั้งเพื่อหาพิกัดของรูปภาพ พอนึกย้อนไปแล้วมันก็เป็นตัวเขาเองที่ยืมไอโฟนพี่คุณครูวันนั้นแล้วลืมล็อกออกเอง ไอดอลหนุ่มกวาดสายตาไปรอบ ๆ ซึ่งหวงจื่อเทามั่นใจว่ารูปนี้ถ่ายจากแม่น้ำฮันร้อยเปอร์เซ็นต์
ทำยังไงดี ตอนนี้เขาใจเต้นแรงมากจนกลัวว่ามันจะหลุดออกมาอยู่แล้ว มือก็เย็นไปหมดทั้งที่อากาศสดใสขนาดนี้ มันจะเป็นอย่างที่คิดจริง ๆ น่ะเหรอที่พี่คุณครูจะอยู่ที่นี่ มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน
แน่นอนว่าเขาเคยดูซีรี่ส์เรื่องนั้น ถึงพล๊อตมันจะตลาดมากแต่ก็ถูกใจแม่ยกจนดังกระฉ่อนไปทั่วเอเชีย จำได้ว่าเนื้อเรื่องช่วงต้น ๆ นางเอกยืมมือถือพระเอกไปเล่นเฟซบุ้คเพื่อติดต่อหาเพื่อนจนลืมล็อกเอาท์ออกแต่ก็ไม่คิดว่า...
“...”
สองขาหยุดยืนอยู่กับที่ทันทีที่หันไปเห็นร่างสูงยืนอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก ผู้ชายคนนั้นหันหน้ามามองเขาก่อนจะยิ้มบาง ๆ เหมือนอย่างที่เจ้าตัวชอบทำ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่คุณครูจะยืนอยู่ตรงนั้น...ไม่อยากจะเชื่อเลย...
RRRrrrrrr!!!
“...”
มือของเขาสั่นไปหมดแล้ว ไอดอลหนุ่มกำลังเสียความเป็นตัวเองอย่างหนักเพียงแค่เห็นว่าเบอร์ที่โทรเข้าเป็นเบอร์แปลกอีกทั้งผู้ชายคนนั้นก็ทำท่ายกไอโฟนขึ้นทาบหู จื่อเทานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเลียริมฝีปากแล้วกดรับสาย
( คราวหลังอย่าวิ่งนะครับ พี่ไม่ได้รีบไปไหน )
“พี่...”
( ตอนนั้นที่เรายืมมือถือพี่โทรเข้าเครื่องตัวเอง ขอโทษนะครับที่ไม่ได้บอกก่อน )
ภาพนั้นลอยมาเป็นฉาก ๆ จำได้ว่าพอถึงโรงแรมก็เอาแต่นั่งซึมจนเช้าไม่ได้แตะมือถือเลยจนพี่มินซอกเอาไปชาร์ตให้ตอนเขาเข้าไปอาบน้ำเตรียมไปสนามบิน แต่ยอมรับเถอะว่าที่เป็นอยู่มันทำให้เขารู้สึกดีจริง ๆ
“พี่มาเที่ยวเหรอครับ”
( ครับ ) ร่างสูงตอบสั้น ๆ เขาเห็นว่าเด็กคนนั้นยังไม่ละสายตาไปไหนและตัวเขาเองก็เช่นกัน ( แต่ยังไม่มีกำหนดว่าจะกลับเมื่อไหร่ )
“...”
( วิ่งมาอย่างนั้นหิวหรือยังครับ? )
“ก...ก็...หิวครับ...”
( งั้นไปหาบะหมี่ข้างทางกินกันไหม? หรือว่ามีธุระต้องไปที่ไหนต่อ? )
“ไม่ครับไม่ วันนี้ผมว่างทั้งวันเลย ว่างมากพอที่จะนั่งคุยกับพี่ได้ถึงเช้า...จริง ๆ นะ” จื่อเทารีบตอบกลับไปและมันทำให้คนได้ฟังหัวเราะเพราะเสียงของเด็กคนนี้ดังมาทั้งในโทรศัพท์และจากฝั่งนั้น
( เราพูดเองนะ )
“อือ...” จื่อเทาตอบเสียงแผ่ว “ถึงพี่จะบอกว่ายังไม่มีกำหนดกลับกวางโจวก็เถอะ แต่พอจะประมาณได้ไหมว่าวันไหน”
( ทำไมเหรอครับ? )
“ผมอยากรู้”
( ถ้าพี่อยู่ที่นี่นาน ๆ มันจะมีผลกับเราด้วยเหรอ? )
“มีสิ มากด้วย”
( ยังไงครับ? )
“พี่กำลังไล่ต้อนให้ผมพูดคำ ๆ นั้นเหรอ...อย่าทำงี้ดิ” เขาได้ยินว่าพี่คุณครูกำลังหัวเราะ ทำไมถึงได้เจ้าเล่ห์อย่างนี้นะ
จื่อเทากำไอโฟนไว้แน่นเมื่อร่างสูงก้าวเข้ามาทีละนิด...ทีละนิดจนตอนนี้พี่อี้ฟานหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว จื่อเทาเลียริมฝีปากที่แห้งผาก เขารู้สึกได้ถึงเหงื่อกาฬของความตื่นเต้นที่ซึมออกมาจากขมับชื้นเมื่อได้สบตากับร่างสูงในระยะใกล้
( พี่กะว่าจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะกลายเป็นโลกอีกใบของเรา แบบนี้พอจะเข้าท่าหรือเปล่าครับจื่อเทา? )
END
คนอ่านบอกกูช๊อกค่ะอีดอก ตอน 50% แรกพากูขรรมจนเหงือกสั่นมาพาร์ทหลังนี่คืออาร๊ายยยยยยยยยยยยยย
#เขตงดปารองเท้า
#เขตงดขอสเปคริสเทา
ความคิดเห็น