คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Chapter 09 :: My Pleasure
Chapter 9
My Pleasure
รามยอนทั้งหมดถูกเททิ้ง เราสองคนนอนหันหลังให้กันท่ามกลางความมืดและแกล้งทำเหมือนว่าหลับไปแล้ว ข้อแรกที่รู้คือปาร์คชานยอลไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจที่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ไอ้บ้านนอกฟัง แต่มันแปลกที่เขาไว้ใจมันมากกว่าใครหลายคนที่รู้จักกันมานาน
เสียงถอนหายใจแผ่วเบาของคนที่นอนอยู่ข้างหลังทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย จะว่าไปแล้วเขาก็มีส่วนที่ทำให้มื้อเย็นกร่อยจนต้องแยกย้ายกันทำธุระส่วนตัวก่อนจะเข้านอน ถ้าเกิดเขาไม่บอกให้ไอ้บ้านนอกเล่าต่อ บางทีเรื่องมันอาจจะไม่เรื้อรังถึงขั้นนี้ก็ได้ แต่ความเศร้าในครั้งนี้มันทำให้เราได้รู้จักตัวตนของกันและกันมากขึ้น
และตอนนั้นปาร์คชานยอลถึงได้รู้ว่าไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่กำลังคิดมาก
เช้าวันต่อมาเราทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันก็เหมือนกับทุกวันที่เขาปล่อยให้ไอ้บ้านนอกปั่นจักรยานลงเนินก่อนแล้วค่อยขึ้นไปซ้อนทายมันทีหลัง ขนมปังคนละแผ่นเป็นสิ่งเดียวที่เป็นเหตุผลให้เขาทั้งคู่ไม่ต้องอ้าปากพูดท่ามกลางความเงียบระหว่างทาง
ไอ้บ้านนอกน่าโมโหอีกแล้ว อันที่จริงมันจะเงียบไปเฉย ๆ ก็ได้เพราะตัวเขาก็ไม่ได้มีความคิดจะสร้างความอึดอัดขึ้นมาอีกรอบสักหน่อย แต่การที่มันใช้มือซ้ายถือกล่องนมพร้อมเอานิ้วหนีบแผ่นขนมปังที่แหว่งไปครึ่งนึงไว้ มันคือต้นเหตุที่ทำให้จักรยานส่ายไปมาจนเขาต้องเอาขาลงเป็นการบอกให้จอด
“ลงมา”
“อะไรอ่ะ”
“กูปั่นเอง” เด็กตัวสูงยัดกล่องนมที่บีบจนเบี้ยวคามือให้อีกคนถือ แบคฮยอนยืนงงพลางมองคนตรงหน้าที่กำลังก้าวขาคาบเบาะนั่งแล้วหันมามองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย
“โอ้ย!” ร่างเล็กลูบหัวป้อย ๆ เพราะถูกคนใจร้ายตบหัวอีกแล้ว
“ขึ้นมาดิ ต้องรอกูปรบมือก่อนไหม”
“ก็เรางงอ่ะ”
“งงห่าไรล่ะ หิวมากไงทำไมต้องแดกพร้อมกันสองอย่างตอนปั่นจักรยาน มึงนี่มันเหลือทนจริง ๆ นะฮอบบิท” เด็กหนุ่มจิ๊ปากอย่างหัวเสีย นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่จะทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดในตอนนี้ไปได้
ไอ้บ้านนอกทำหน้าโง่แล้วเดินไปนั่งเบาะหลังโดยที่ไม่พูดอะไรเลย ซึ่งมันก็ดีเหมือนกัน เพราะอย่างน้อยในหัวของมนุษย์ฮอบบิทคงมีแต่เรื่องความใจร้ายของเขามากกว่าเรื่องความเศร้าที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
“ปั่น”
“หา?”
“คิดว่าจะได้นั่งสบาย ๆ เหรอ ปากก็กินไป มือก็ถือกล่องนม ส่วนขามึงที่ว่างอยู่ก็ปั่นซะ” หันกลับไปมองคนที่กำลังทำตาปริบ ๆ อยู่ตรงเบาะหลัง ไอ้บ้านนอกยังคงทำหน้างงเหมือนในทีแรกก่อนจะก้มลงมองขายาว ๆ ของเขาที่ควรจะวางอยู่บนบันไดปั่นแทนที่จะเป็นพื้น
“โหย นึกว่าจะชานยอลจะปั่นให้เรานั่งซะอีก”
“อย่าแม้แต่จะคิด...เจ๊ท!!!” เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวทันทีที่รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ทาบลงกับเอว แน่นอนว่ามันคือจุดยุทธศาสตร์ที่ไม่ว่าใครก็ห้ามแตะต้อง แต่ไอ้บ้านนอกเสือกวางมือข้างหนึ่งลงบนเอวเขาตอนยืดขามาปั่นจักรยาน ไอ้เทาคือคนล่าสุดที่กล้าเสี่ยงตายทำแบบนี้และผลลัพธ์ก็คือรอยฝุ่นรูปรองเท้าบนเสื้อนักเรียนของมัน
“ชานยอลบ้าจี้เหรอ”
“ถามโง่ ๆ เอามือออกไป” เด็กตัวสูงหันไปคาดโทษร่างเล็กที่ทำตาใสใส่เขาแล้วหรี่ตายิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะชูนิ้วชี้ขึ้นทาบกับปลายจมูกตัวเอง
“เรารู้จุดอ่อนชานยอลแล้ว...”
“คนเขาก็บ้าจี้กันทั้งโลกแหละหรือมึงไม่เป็น”
“เราไม่เป็นนะ”
“มึงมันตัวประหลาดไง เลิกพูดมากแล้วปั่นซะ” บ่นเป็นหมีกินผึ้งแล้วยกขายาว ๆ ขึ้นเหยียบตรงท่อเหล็ก เสียงหัวเราะเบา ๆ ของคนที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลังทำให้เด็กหนุ่มเพิ่งเห็นข้อดีของการเป็นคนบ้าจี้ก็วันนี้ มันเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดจริง ๆ เมื่อปาร์คชานยอลกำลังรู้สึกดีที่คนบางคนหัวเราะได้เพราะเขา
ทุกอย่างกลับเข้าสู่วงจรชีวิตตามปกติ โต๊ะที่เคยถูกยกไปตั้งข้าง ๆ มนุษย์ฮอบบิทถูกยกกลับมาไว้ที่เดิม เด็กหนุ่มปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปโดยที่ไม่พูดถึงมัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังหันไปหาคนที่นั่งติดหน้าต่างทุกครั้งที่นึกถึง
เท้าศอกมองอีกคนที่กำลังตั้งใจดูกระดานกับหนังสือที่กางอยู่บนโต๊ะ ไอ้หมอนั่นแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับการเรียนออกซึ่งถือเป็นเรื่องดี ตอนนั้นปาร์คชานยอลถึงตระหนักว่าได้ปล่อยมนุษย์ฮอบบิทให้เข้ามาวิ่งเล่นในโลกของเขาอย่างเป็นทางการแล้ว
เที่ยงนี้ทั้งสามหนุ่มนั่งกินข้าวอยู่โต๊ะเดิม พวกเขาชอบนั่งตรงนี้ด้วยเหตุผลว่าไอ้จงอินชอบมองสนามหญ้าข้างนอก ในขณะที่แก๊งห้องสมุดก็เปลี่ยนที่นั่งไปเรื่อยตามโต๊ะที่ยังว่างอยู่ แต่วันนี้แปลกตาหน่อยเพราะแก๊งนางฟ้าย้ายไปนั่งร่วมกับโต๊ะนั้นด้วย
เขาเห็นว่าฮันซอนฮวากำลังพูดอะไรบางอย่าง แค่ครู่เดียวคิมจงแดก็ยิ้มเขินก่อนจะสละที่นั่งให้เธอแล้วลุกไปนั่งข้างโดคยองซูแทน ภาพที่เห็นเรียกความสนใจจากนักเรียนในละแวกนั้นได้เป็นอย่างดีเมื่อตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นกำลังชูกล่องน้ำผลไม้ให้เลือกพร้อมรอยยิ้ม ไอ้บ้านนอกดูเงอะ ๆ งะ ๆ ก่อนจะคว้าเอากล่องน้ำแอปเปิ้ลไป
พวกเขาได้ยินเสียงพูดคุยของผู้หญิงที่อยู่โต๊ะข้างหลังมาสักพักใหญ่แล้ว ในทีแรกมันเริ่มที่การนินทาเพื่อนไปจนถึงกรี๊ดกร๊าดโอเซฮุน และล่าสุดก็มาจบที่เรื่องของโต๊ะนางฟ้ากับเด็กเนิร์ด คาดว่าเรื่องที่ฮันซอนฮวาชอบไอ้บ้านนอกคงถูกแพร่กระจายไปทั้งสายชั้นในอีกไม่ช้านี้
“ฉันว่าฮันซอนฮวาคงเบื่อผู้ชายหล่อ ๆ หรือไม่ก็เช็คเรตสร้างกระแส ถึงได้โฉ่งฉ่างกับบยอนแบคฮยอนอย่างนั้น”
“ไม่หรอกมั้ง ผู้หญิงหยิ่ง ๆ ที่คิดว่าตัวเองอยู่เหนือคนอื่นอย่างยัยนั่นไม่เข้าหาใครก่อนอยู่แล้วเธอก็น่าจะรู้ แต่เรื่องเบื่อผู้ชายหล่อ ๆ ฉันเห็นด้วย”
“ฉันว่าแม่นั่นคงอยากเปิดซิงเด็กใหม่”
“อ๋า! เธอพูดอะไรออกมาน่ะ น่าเกลียดชะมัด!”
“มันก็เป็นไปได้ไม่ใช่เหรอ ฉันคิดว่าเด็กใหม่ยังบริสุทธิ์อยู่ เชื่อเถอะว่าเดี๋ยวสองคนนั้นก็คบกัน แล้วฮันซอนฮวาก็จะสอนให้เด็กเนิร์ดเรียนรู้กับบทรักที่สุดแสนจะเร่าร้อนจนหมอนั่นเปลี่ยนไปเป็นคนละคน”
บทสนทนาเมื่อครู่ทำเอาคนนั่งฟังถึงกับเส้นเลือดกระตุก ผู้หญิงนี่มันผู้หญิงจริง ๆ ให้ตายเถอะ ถ้าไม่นินทาคนอื่นก็เอาแต่พูดเรื่องไร้สาระ แล้วมันแย่ตรงที่เขาดันจินตนาการภาพตามนี่แหละ...ภาพตอนที่มนุษย์ฮอบบิทใจแตกจนกลายเป็นคนละคนนั่นน่ะ - -
‘ทำไมล่ะชานยอล...แค่นี้ถึงกับทนไม่ไหวแล้วเหรอ...เราแค่จับมันเองนะ’
เดี๋ยวนะ...กูคิดอะไรอยู่...
“เหี้ย!!!!!!!!!”
ผู้คนละแวกนั้นต่างหันมามองเด็กตัวสูงเป็นตาเดียวกัน แม้กระทั่งจงอินกับจื่อเทายังชะงักอยู่ท่าถือช้อน เด็กเขียวกลอกตาก่อนจะหันไปโบกมือยิ้ม ๆ เป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไร พอหันกลับมาก็พบว่าไอ้เพื่อนตัวดีกำลังกุมขมับอยู่
“เป็นเชี่ยไรเพื่อน” <- จงอิน
“ช่วงนี้มึงเครียดเกินไปป่ะวะ กูบอกแล้วว่าให้กลับไปอยู่บ้าน” <- จื่อเทา
ชานยอลส่ายหน้าปฏิเสธแล้วเงยหน้าขึ้นหายใจเข้าลึก ๆ เวรเอ้ย...พอรู้ตัวว่าคิดยังไงกับมนุษย์ฮอบบิทแล้วความจังไรก็พุ่งพล่านเข้ามาในหัวเลยเหรอ มันจะตลกร้ายเกินไปแล้ว ไหนจะกลิ่นหอมของตัวมันที่เหมือนว่ายังติดจมูกอยู่อีก เขาต้องเป็นบ้าแน่ ๆ ถ้ายังปล่อยให้สมองคิดแต่เรื่องของไอ้บ้านนอกแบบนี้
“ตอนเย็นกูไม่มีเรียนเสริม ไปกินข้าวบ้านกูเปล่า? พ่อกูถามถึงมึงอยู่พอดี” คำถามของไอ้จงอินทำให้เขาหลุดออกจากความคิด เด็กหนุ่มใช้เวลาเรียกสติกลับมาเพียงแค่ครู่เดียวก่อนจะพยักหน้ารับ
“ว่าแล้วก็อยากเจอพ่อมึงเหมือนกัน แต่เย็นนี้กูมีซ้อมว่ายน้ำ”
“มึงพลาดแล้วเกลอ”
“ไว้คราวหน้าแล้วกัน มึงชวนไอ้เด็กใหม่ไปด้วยดิวะชานยอล” จื่อเทาว่าและจงอินก็เห็นด้วย แต่เด็กตัวสูงกลับส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“มันทำงานพิเศษ ไปด้วยไม่ได้หรอก”
“เออใช่” จงอินเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งก่อนจะมองเพื่อนสนิทที่ทำหน้าคิดไม่ตกอยู่ฝั่งตรงข้าม ไอ้ชานยอลเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เช้าแล้ว และการถามไปตรง ๆ มันก็ได้เพราะพวกเขาก็ใช่ว่าจะมีความลับต่อกันเสียเมื่อไหร่ แต่เรื่องบางเรื่องถ้าให้เจ้าตัวพูดเองคงดีกว่าไปคาดคั้นเอาคำตอบเพราะอยากรู้
“ชานยอล”
“ว่า”
“มึงมีเรื่องปิดบังกูสองคนอยู่ป่ะวะ” สุดท้ายก็เป็นไอ้เทาที่ทนความอยากรู้ไม่ไหว ถ้าเป็นเรื่องเก็บอาการไอ้ชานยอลสอบตกเป็นคนแรกและตามด้วยไอ้เทา ซึ่งเรื่องนี้เขากับมันเคยคุยกันมาแล้วเรื่องอาการแปลก ๆ ของเพื่อนสนิทที่มีต่อเด็กใหม่ ซึ่งไอ้เจ๊กก็รับปากซะดิบดีว่าจะไม่คาดคั้นแต่สุดท้ายก็โชว์โง่จนได้
“เชี่ยเทา มึงนี่นะ...” จงอินถอนหายใจพลางส่ายหน้าหน่าย ๆ การบังคับให้ไอ้ชานยอลพูดมันไม่ใช่เรื่องที่เข้าท่าสักเท่าไหร่ ซึ่งเขาทั้งสองคนก็รู้ดี
คนตรงหน้านิ่งไปครู่หนึ่งราวกับใช้ความคิด ระหว่างนั้นจงอินก็แค่หันไปขยับปากบ่นเพื่อนชาวจีนที่เสือกพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องขึ้นมา ถ้ามื้อเที่ยงกลายเป็นหมันจะโทษใครไปไม่ได้เลยนอกจากมัน เด็กหนุ่มหันเข้าหาเพื่อนตัวสูงที่กำลังเงยหน้าขึ้น สีหน้าของมันไม่ได้มีท่าทีว่าจะเหวี่ยงหรือก่นด่าถึงความขี้เสือกของไอ้เทา ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอีกอย่างที่ประวัติศาสตร์ควรจะจารึกไว้
“เรื่องที่ปิดบังน่ะมี แต่กูขอเวลาอีกหน่อย ถ้ามันชัดเจนกว่านี้แล้วจะเล่าให้ฟัง”
“นี่แกไม่คิดจะกลับบ้านจริง ๆ น่ะเหรอ”
คำถามของพ่อไอ้จงอินทำเอาบทสนทนาเรื่องทีมฟุตบอลเมื่อก่อนหน้านี้ง่อยไปโดยปริยาย แต่มันก็ไม่ได้แย่นักถ้าเทียบกับตอนช่วงแรก ๆ หนีออกจากบ้าน ชายวัยสี่สิบปลาย ๆ เห็นว่าเด็กหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง แน่นอนว่าเขาดีใจที่ชานยอลยังใช้เวลาคิดกับคำตอบนี้โดยที่ไม่โพล่งออกมาทันทีว่า ‘ไม่’
“ยังไม่ใช่ตอนนี้”
“รู้ใช่ไหมว่าทำไมลุงถึงอยากให้แกกลับไปอยู่บ้าน”
“รู้ ลุงเคยสอนแล้วแต่ผมไม่จำเอง” จงอินหัวเราะกับคำตอบของเพื่อนสนิท เป็นเพราะชานยอลมาที่นี่บ่อยเลยกลายเป็นว่ามันสนิทกับพ่อของเขาอยู่ในระดับหนึ่ง
“ไม่มีพ่อคนไหนไม่รักลูก ลุงอยากให้แกจำคำนี้เอาไว้”
“ครับบบ...” ชานยอลลากเสียงยาวก่อนจะโค้งหัวเล็กน้อยหลังจากที่พ่อของเพื่อนสนิทคีบอาหารให้
“แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ เห็นจงอินบอกว่าแกย้ายไปอยู่บ้านเช่ากับเด็กใหม่ที่ย้ายมาจากต่างจังหวัด”
“ก็ดีนะลุง นิสัยมันซื่อ ๆ หลอกง่ายด้วย” เด็กหนุ่มตอบด้วยท่าทีสบาย ๆ ถ้าพูดถึงมนุษย์ฮอบบิทล่ะก็หน้าเนิร์ด ๆ ของมันก็ลอยเข้ามาในหัวเลยทีเดียว
“ลุงหมายถึงเรื่องที่อยู่น่ะ”
“...อ้าว” ชานยอลถึงกับหน้าแห้ง ก็นึกว่าลุงถามถึงเรื่องไอ้บ้านนอกซะอีก นี่เขาเอาแต่คิดเรื่องของมันอยู่ตลอดเวลาจนลืมนึกถึงองค์ประกอบของสรรพสิ่งบนโลกใบนี้เลยเหรอวะ...
“ที่นั่นเหรอ ไม่มีอะไรเลยลุง ราวบันไดก็ขึ้นสนิม รั้วก็สีถลอกออกหมดจนเห็นสภาพปูนดิบ แถมยังกะแดะมีเก้าอี้ชิงช้าเหล็กขึ้นสนิมด้วยนะ ลุงเป็นวิศวกรคงจินตนาการออกได้ไม่ยาก” เด็กตัวสูงบ่นไปตามภาพในหัวที่ฉายมาเป็นฉาก ๆ “เห็นไอ้บ้านนอกมันพูดอยู่เหมือนกันว่าจะซื้อสีมาทาเพราะทางเจ้าของบ้านอนุญาตแล้ว”
“บ้านเราเหลือสีเหลืออยู่นี่พ่อ? ที่เราช่วยกันทาห้องดนตรีตอนนั้นก็ยังใช้ไม่หมด” จงอินหันไปถามพ่อ
“อ่าใช่ แกจะเอาไหมล่ะลุงยกให้” ประโยคนี้ทำเอาเด็กตัวสูงหูผึ่ง ชานยอลเบิกตาโพลงพยักหน้ารัว ๆ แล้วยิ้มกว้างกับของฟรีที่ไม่ต้องเสียเงินเลยสักวอนเดียว
“เยี่ยมเลยลุง”
“ถ้าจำไม่ผิดน่าจะมีสีขาว ครีม กับเขียวอ่อน เอาไปทั้งหมดเลยก็ได้นะ”
“ยอดเยี่ยมกระเทียมดอง” ชานยอลชูนิ้วหัวแม่มือก่อนจะเซไปทางด้านข้างเพราะถูกเพื่อนสนิทผลักหัว และตอนนั้นเด็กหนุ่มก็ได้รู้ว่าเผลอเล่นกับพ่อมันมากเกินไป
“เห็นว่าช่วยแบคฮยอนประหยัดได้หรอกนะ กูไม่อยากให้มันเสียเงินฟุ่มเฟือย” จงอินพูดเสียงเรียบ แหม่งานพระเอกขอให้บอกพี่เขาเถอะ ความหล่อนี่ที่หนึ่งไม่เป็นสองรองใคร
“แล้วไม่พาเพื่อนมาด้วยล่ะ”
“มันทำงานพิเศษน่ะพ่อ”
“อ้าวเหรอ เออดี ๆ เป็นเด็กเป็นเล็กยังรู้จักหาเงินเอง” แทงหน้ากูเลยจ๊ะประโยคนี้ “จากที่ฟังจงอินเล่าดูท่าเด็กคนนั้นจะลำบากเอาเรื่องเหมือนกันนะ” พ่อไอ้จงอินก็เป็นซะอย่างนี้ เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมลูกชายถึงได้รักพ่อมันนักหนา
หลายครั้งที่ปาร์คชานยอลอิจฉาเพื่อนสนิทที่เติบโตมาในครอบครัวแบบนี้ ถึงแม่มันจะบินบ่อยเพราะทำงานเป็นแอร์โฮสเตส อีกทั้งพ่อยังออกงานต่างจังหวัดอยู่ตลอดเดือนนึงกลับบ้านแค่ไม่กี่วันแต่โดยรวมแล้วก็ยังอบอุ่นอยู่ดี เพราะไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหนพ่อกับแม่ก็กลับมาให้ความสนใจลูกเสมอ
“คราวหลังก็พาเพื่อนมากินข้าวที่บ้านได้นะ”
“เรื่องนั้นผมรู้ แต่ถ้าทำบ่อย ๆ ไอ้ชานยอลมันจะติดเป็นนิสัย ผมไม่อยากให้มันสบายจนเกินตัว” พูดจบคนเป็นพ่อก็หัวเราะ ถ้าหากว่านั่งอยู่ข้างกันเขาคงเอื้อมมือไปลูบหัวลูกชายอย่างเอ็นดูกับความคิดความอ่านที่โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นจนเขาภูมิใจ
“โหลุง ได้ทีขอเล่าหน่อย” ชานยอลดื่มน้ำไปครึ่งแก้วแล้วเช็ดปากลวก ๆ “ไอ้จงอินเอาลุงมาอ้างแล้วไล่ผมออกไปอยู่ข้างนอกนะรู้เปล่า”
“หืม?”
“มันบอกว่าผมเป็นลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้ มาอาศัยอยู่บ้านลุงเป็นเดือน ๆ ลุงคงอึดอัดแย่ แต่ลุงไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นหรอกใช่ไหม?”
“พ่อไม่คิดแต่ผมคิดเอง ผมอยากให้มันซาบซึ้งถึงรสชาติของการใช้ชีวิตแบบคนอวดเก่ง” จงอินมองพ่อยิ้ม ๆ ก่อนจะหันไปทางเพื่อนตัวสูง “มึงจะได้รู้ว่าทุกคนไม่ได้พร้อมจะช่วยมึงเสมอ ถ้าไม่มีแบคฮยอนตอนนี้มึงจะทำยังไงวะ?”
“ครับ ๆ กูรู้ว่าสิ่งที่กูทำมันแย่มาก ตอนนี้กูสำนึกและก็มีความคิดที่จะหางานพิเศษทำแล้วด้วย แต่เลิกเสี้ยมให้กูกลับไปอยู่บ้านสักที”
“เออ แค่นั้นแหละที่กูอยากให้มึงทำ”
คนเป็นพ่อส่ายหน้าหน่าย ๆ กับบทสนทนาของเด็กวัยรุ่นทั้งสอง เมื่อไม่นานมานี้เขามีโอกาสได้เจอกับพ่อของชานยอลผู้ซึ่งเป็นรุ่นน้องที่เป็นวิศวกรโยธาเหมือนกัน เขาทั้งคู่คุยกันเรื่องงานไปจนถึงเรื่องลูกและดูเหมือนว่าปาร์คจองซูจะเป็นกังวลอยู่พอสมควรกับการที่ลูกชายไม่กลับบ้าน
ตอนนั้นเขาเพียงแค่ปลอบใจและรับปากว่าจะให้จงอินช่วยดูอีกแรง สำหรับเรื่องปัญหาของชานยอลเขาเคยคุยกับลูกชายหลายครั้ง ถึงได้รู้ว่าลูกชายก็หัวแข็งพอ ๆ กับพ่อของมันอย่างกับถอดแบบกันออกมายังไงอย่างนั้น ปากหนักทั้งคู่ คิดอะไรก็เอาแต่เงียบและปล่อยให้เรื่องมันเลยเถิด
“อ้อ พ่อจะบอกว่าฮีจินลางานนะ เธอต้องไปเฝ้าลูกสาวผ่าตัดไส้ติ่ง อาทิตย์นี้ก็ทนหน่อยแล้วกัน อย่าทำบ้านสกปรกมากเพราะกว่าป้าแกจะมาก็เสาร์หน้าเลย”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้ว พ่อไม่ต้องห่วง” สิ้นสุดบทสนทนาพ่อลูก ชานยอลก็คิดไอเดียอะไรดี ๆ ออก เด็กหนุ่มวางช้อนแล้วเอื้อมมือไปจับแขนพ่อของเพื่อนสนิทเอาไว้แล้วจ้องหน้าอย่างจริงจัง
“ลุง”
“หือ?”
“อยากได้พ่อบ้านจำเป็นไหม จ่ายเป็นรายชั่วโมง ถ้าสนใจผมเริ่มงานได้เลยหลังจากกินข้าวเสร็จ”
สองพ่อลูกมองหน้ากันก่อนจะหันไปทางเด็กตัวสูงที่ยากจะเดาความคิด ชานยอลยิ้มกริ่มแล้วยักคิ้วให้เพื่อนสนิท แน่นอนว่าการทำงานพิเศษในครั้งนี้มันคงได้เงินแค่ไม่กี่วอน แต่เชื่อเถอะว่าเงินแค่นั้นสามารถเอาไปทำอะไรได้มากกว่าที่คิด
แบคฮยอนลงจากจักรยานแล้วจูงขึ้นทางเนิน วันนี้เขารู้สึกว่าขามันล้าเหลือเกินหลังจากใช้งานมันมาตลอดทั้งวัน ร่างเล็กจอดสิ่งที่ชานยอลเรียกว่าเศษเหล็กไว้ที่เดิมแล้วล็อกล้อไว้เสร็จสรรพ เดินเอื่อยขึ้นบันไดไปอย่างไม่เร่งรีบ เขาพยายามที่จะไม่ถอนหายใจเพราะมันทำให้โลกร้อนเลยเลือกที่จะสูดอากาศเข้าปอดลึก ๆ แทน
เปิดประตูบ้านเข้าไปก็เห็นว่าไฟปิดอยู่ ในทีแรกคิดว่าชานยอลยังไม่กลับแต่พอเปิดสวิตซ์ไฟก็ต้องขมวดคิ้วทันทีที่พบว่าคนที่กำลังนึกถึงนั้นนอนคว่ำหน้าอยู่บนที่นอน น่าแปลก...แบคฮยอนคิดอย่างนั้น แต่คนตัวเล็กเพียงแค่ชะเง้อหน้ามองเพื่อเช็คให้แน่ใจก่อนจะวางกระเป๋าเป้ลง
ยืนนิ่งให้หายเหนื่อยอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันไปทางผนังโล่งที่เขาเคยพยายามติดกรอบรูป ตอนนี้มีเพียงแค่รอยแตกของซีเมนต์ที่คิดว่าคงถูกปรับหลายตังค์แน่ ๆ ตอนย้ายออก แบคฮยอนส่ายหน้าไล่ความคิดก่อนจะคว้าเอาผ้าขนหนูมากอดไว้แนบอก เขาควรอาบน้ำแล้วมาทำการบ้านให้เสร็จ ๆ จะได้รีบเข้านอนไว ๆ
เปิดฝักบัวแล้วหลับตาลง พอเห็นชานยอลหลับผิดเวลาแล้วก็รู้สึกยังไงก็ไม่รู้ เขาคิดไปเองหรือเปล่านะว่าทุกอย่างมันแปลกไปเพียงแค่เมื่อวานนี้เขากับผู้ชายคนนั้นมีโอกาสได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นจนถึงขั้นเปิดใจคุยกัน แต่วันนี้เราทั้งคู่แทบไม่คุยกันเลยหลังจากเดินเข้าห้องเรียน
ชานยอลอาจจะเสียฟอร์มและนึกขึ้นได้ว่าพลาดที่เล่าเรื่องส่วนตัวให้เขาฟัง หรืออาจจะรู้สึกแย่ที่ได้รับรู้เรื่องในอดีตของเขา ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริงแบคฮยอนก็คงรู้สึกผิด คนตัวเล็กไม่ได้ตั้งใจให้ชานยอลรู้สึกแย่ตามไปด้วย วินาทีนั้นก็แค่อยากปลอบใจ เพราะเวลาที่รู้สึกว่าอยู่ตัวคนเดียวมันแย่แค่ไหนบยอนแบคฮยอนเข้าใจดีที่สุด
วันนี้กับเมื่อวานต่างกันอย่างสิ้นเชิง หลายครั้งที่คนตัวเล็กรู้สึกโหวง ๆ พอหันไปแล้วไม่เห็นว่าชานยอลอยู่ข้าง ๆ แต่กลับกลายเป็นฮันซอนฮวาที่หยิบยื่นสิ่งดี ๆ ให้เขาตลอดทั้งทางคำพูดและการกระทำ
เธอเป็นคนยิ้มสวย ถ้าเปรียบรอยยิ้มเป็นดอกไม้ผู้หญิงคนนั้นก็คงเป็นดอกกุหลาบแดงที่กำลังบานเต็มที่ ส่วนชานยอลเหรอ...ก็คงเหมือนดอกทานตะวันล่ะมั้ง ที่พอไม่มีแดดก็เหี่ยวเฉา แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้นท้องฟ้าแจ่มใสผู้ชายคนนั้นก็จะยิ้มและหงุดหงิดทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ได้เพียงเพราะแดดร้อนเกินไป
“ตลกจัง”
แบคฮยอนหัวเราะกับตัวเอง มันเกือบจะดีแล้วเชียวกับการเปรียบเทียบชานยอลกับดอกไม้ แต่พอเห็นคิ้วหนา ๆ ที่ชอบขมวดเข้าหากันเวลามองมาน่ะ เหมือนจะโมโหเขาหรอกนะเห็นแล้วก็รู้สึกดีชะมัดเลย หรือบยอนแบคฮยอนจะเป็นโรคจิตที่ชอบให้ผู้ชายคนนั้นหงุดหงิดเขาอยู่เรื่อยกันนะ
ยิ้มกับตัวเองได้แค่ครู่เดียวก็ต้องเม้มปากแน่น อยากรู้จังว่าชานยอลยังรู้สึกแย่กับเรื่องที่เล่าให้ฟังเมื่อคืนอยู่หรือเปล่า และถ้าเป็นอย่างนั้นคนอย่างเขาจะทำอะไรได้บ้างไหม จริงอยู่ที่จงอินกับจื่อเทาสนิทกับผู้ชายคนนั้นมากที่สุด แต่เวลาดึก ๆ แบบนี้ที่อยู่กับชานยอลก็มีแค่เขาคนเดียวนะ
อาบน้ำเสร็จก็เอาผ้าขนหนูผืนเล็กมายีหัว เป้าหมายของค่ำคืนนี้คือการทำให้ผมแห้งก่อนการบ้านเสร็จ เพราะแบคฮยอนไม่อยากให้หัวขึ้นราอย่างที่ชานยอลเคยบอกเอาไว้ ถ้าเป็นอย่างนั้นมันต้องแย่มากแน่เลย
พอก้าวออกมาก็ต้องหยุดฝีเท้าเมื่อหันไปเห็นอะไรบางอย่าง ถึงเขาจะเป็นคนสายตาสั้นแต่ก็มันก็ไม่ได้เพี้ยนถึงขนาดสร้างภาพหลอนได้ อีกทั้งตอนนี้ก็ยังใส่แว่นอยู่ แบคฮยอนค่อย ๆ ก้าวไปหยุดอยู่ข้างผนังที่เคยมีแต่รอยปูนแตกเพราะตะปูก่อนจะเอื้อมไปสัมผัสกรอบรูปถ่ายใหม่เอี่ยมอย่างเบามือ และภาพที่เขาทำมันตกแตกเมื่อวานก็ฉายเข้ามาในหัว
คนตัวเล็กกำลังไม่เข้าใจว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมรูปถ่ายครอบครัวถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ทั้งที่ก่อนเข้าไปอาบน้ำเขาก็เห็นว่าตรงนี้มันไม่มีอะไรติดอยู่เลย แน่นอนว่าพระเจ้าคงไม่ได้เป็นคนทำ และเหตุผลที่จะเป็นไปได้มากที่สุดก็คง...
ร่างเล็กมองไปทางใครอีกคนที่ยังคงหลับอยู่ท่าเดิม แบคฮยอนค่อย ๆ ก้าวไปหยุดอยู่ข้างที่นอนก่อนจะนั่งลงยอง ๆ มองเสี้ยวหน้าของคนตัวสูง
“ชานยอล”
“...”
“ไม่ได้หลับอยู่ใช่ไหม”
“...”
“ชานยอลเอารูปไปใส่กรอบให้เราเหรอ”
เงียบ...
คนตัวสูงยังคงนอนนิ่งไม่ขยับตัวแม้ว่าเขาจะพูดสร้างความรำคาญไปแล้วหลายประโยค แบคฮยอนย่นจมูกแล้วแกล้งสะบัดหัวให้น้ำกระเด็นไปโดนและมันก็ได้ผล คิ้วหนานั้นทำงานไวกว่าสิ่งอื่นใดเมื่อมันกำลังขมวดเข้าหากันเพราะสิ่งที่เขาทำลงไปมันสร้างความหงุดหงิดให้คนที่หลับอยู่ แบคฮยอนอมยิ้มแล้วจิ้มแขนแกร่งเบา ๆ
“ชานยอลตื่น...”
“...”
“ลุกมาคุยกับเราก่อนนะ” แบคฮยอนยังคงไม่ลดละความพยายาม แต่คนตัวสูงก็ดื้อจริง ๆ เลย “ชานยอลจะแกล้งหลับทำไมเนี่ย”
“กูจะนอน”
“น่ะ! ยอมพูดแล้วเหรอ ลุกขึ้นมาก่อนเร็ว” ร่างเล็กพยายามออกแรงดึงแขนแกร่งแต่ดูเหมือนว่าคนตัวสูงจะไม่ให้ความร่วมมือเลยสักนิด “ชานยอลติงต๊อง”
“ไรวะคนจะนอน” คนขี้โมโหดีดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วขมวดคิ้วมองคาดโทษ นี่เป็นอีกครั้งที่แบคฮยอนไม่รู้สึกผิดกับการทำให้คนตรงหน้าโมโห กลับกันแล้วเขากำลังรู้สึกดีที่จะได้คุยกันหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างใช้ชีวิตของตัวเองในโรงเรียนมาตลอดทั้งวัน
“ขอบคุณนะ”
“อะไร” เด็กหนุ่มปั้นหน้านิ่ง เขาแทบจะไม่มองหน้าซน ๆ ของคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเลยด้วยซ้ำ เขาไม่โอเคกับสายตาตัวเองที่เอาแต่บอกว่าไอ้บ้านนอกมันน่ารักขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าโมโห
“ขอบคุณ”
“เออได้ยินแล้ว พูดอะไรซ้ำ ๆ วะมึงเป็นหุ่นยนต์ไง?” นั่นไง สุดท้ายก็หันหน้าเข้าหามันจนได้ ปาร์คชานยอลอยากบ้า มนุษย์ฮอบบิทตอนหัวเปียกแถมยิ้มตาหยีแบบนี้มันจะน่ารักเกินไปแล้ว
“ก็เราไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากคำนี้ ชานยอลสมควรได้รับจากเรานะ”
“เพี้ยนอ่ะมึง ปลุกกูขึ้นมาเพื่อฟังคำขอบคุณเหรอ พรุ่งนี้ค่อยพูดก็ได้ไหม” เหี้ยสุดก็กูนี่แหละครับ เรื่องปากหมาขอให้บอก ปาร์คชานยอลเพิ่งรู้วันนี้ว่าตัวเขาจะปากไม่ดีกว่าเดิมเป็นเท่าตัวเวลารู้สึกเขินจนไปไม่เป็น
“รอไม่ไหวหรอก เรารู้สึกตื้นตัน” เด็กหนุ่มหรี่ตามองคนตัวเล็กที่กำลังเอามือทาบอกตัวเอง “ชานยอลเป็นคนดีนะเนี่ย”
“เขาทำให้ฟรีหรอก มันเป็นร้านเพิ่งเปิดใหม่ โปรโมชั่นพอดี”
โกหก...
เขาจะเก็บเรื่องนี้เอาไว้แล้วตายไปพร้อมกับมัน และขอสาบานเลยว่าปาร์คชานยอลจะไม่มีวันบอกมนุษย์ฮอบบิทเด็ดขาดว่าเงินทั้งหมดที่เอาไปจ่ายค่ากรอบรูปนั้นเขาได้มาจากการทำงานบ้านช่วยไอ้จงอิน ถึงมันจะทุลักทุเลไปหน่อยแต่พ่อมันก็ให้เงินมาเป็นค่าตอบแทน
แต่ก่อนเริ่มงานเด็กหนุ่มขอตัวกลับมาเอารูปที่บ้านเพื่อที่จะเอาไปส่งร้านทำกรอบรูปก่อน พอทำงานบ้านเสร็จจะได้ไปรับของพอดี ส่วนพ่อไอ้จงอินก็แสนดีเหลือเกิน พอเห็นว่าเพื่อนลูกชายถือถังสีทั้งสองมือก็นึกสงสารเลยอาสาว่าจะขับรถไปส่ง ซึ่งชานยอลก็ดีใจเลยโค้งขอบคุณจนหัวแทบจะติดเข่า
กลับมาถึงบ้านประมาณสามทุ่มพอดี ไอ้จงอินบอกให้พ่อมันรออยู่ร้านกาแฟส่วนมันก็มาช่วยเขายกถังสี เด็กหนุ่มยังจำสีหน้าของเพื่อนสนิทได้ มันดูเรียบเฉยแต่ก็พอเดาออกว่ามันอยากพูดอะไร ปาร์คชานยอลถึงได้เล่าให้ฟังถึงเหตุผลว่าทำไมเขาถึงขอทำงานบ้านเพื่อแลกกับเศษเงินเพียงแค่นั้น
‘ตอนนี้มึงหล่อกว่าปาร์คชานยอลคนเดิมเยอะเลยว่ะ’
นั่นคือประโยคสุดท้ายก่อนไอ้จงอินจะเดินลงบันไดไป...
“มีโปรโมชั่นแบบนั้นด้วยเหรอ โชคดีจังเลยเนอะ งั้นแสดงว่าชานยอลกลับมาเอารูปที่เราเก็บไว้ในลิ้นชักเพื่อที่จะกลับไปร้านนั้นอีกครั้งน่ะสิ”
ผ่าง!!!
“...”
“น่ารัก”
เด็กตัวสูงเลิกคิ้วขึ้นทันทีที่ถูกมือนิ่ม ๆ หยิกแก้มเบา ๆ แน่นอนว่าร่างกายของเขามันมีปฏิกิริยาเสมอถ้าเกิดว่าสัมผัสนั้นมาจากคนตรงหน้า มนุษย์ฮอบบิทยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะเดินไปยืนอยู่หน้ากรอบรูปแล้วหันมาหาเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้ริมฝีปากของมันฉีกยิ้มกว้างขึ้นกว่าในทีแรก
นี่แหละไอ้บ้านนอกที่เขารู้จัก...
“ทำไมตอนเป็นเด็กมึงหน้าตาเห่ยจังวะฮอบบิท”
“อะไรอ่ะ ตอนเป็นเด็กใคร ๆ ก็บอกว่าเราน่ารักนะ” ไอ้เตี้ยหันมาทำตาปริบ ๆ ใส่เขา เออจ๊ะ น่ารักใส่กูเข้าไป เอาให้กูสำลักความง่าวตัวเองไปเลยจ๊ะ
“เขาโกหกมึงแล้ว ไม่มีคำว่าน่ารักอะไรทั้งนั้นแหละ” เด็กตัวสูงทิ้งตัวลงนอน เพียงแค่ครู่เดียวไอ้บ้านนอกก็เดินมานั่งลงข้าง ๆ เขา
ครับ...มันยิ้มอีกแล้ว...
“ขอดูรูปชานยอลตอนเด็กบ้างสิ” เจ้าของชื่อหลุบตาลงมองมือที่แบออกมาก่อนจะฟาดลงไปเบา ๆ
“ไม่มี กูพับเป็นจรวดเล่นหมดแล้ว” เด็กหนุ่มพูดอย่างไม่ยี่หระแล้วพลิกตัวหันหลัง ก่อนจะเบิกตาอย่างตกใจเมื่อจู่ ๆ คนตัวเล็กทิ้งตัวลงนอนข้างเขาเสียอย่างนั้น พอหันหน้าเข้าหามันก็พบว่ามนุษย์ฮอบบิทมันไม่ได้ใส่แว่นแล้ว “อะไรของมึงวะ”
“นอนด้วย”
“ไปนอนฝั่งมึงดิ ตรงนี้อาณาเขตกู”
“หัวเรายังไม่แห้งเลยนอนไม่ได้ เราไม่อยากให้หมอนมีกลิ่นอับ”
“แต่หมอนกูอับได้งั้นสิ?”
“แหะ”
“ยังจะกวนตีนอีก” เด็กตัวสูงมองใบหน้าซน ๆ ที่อยู่ห่างกันเพียงแค่ช่วงหายใจพร้อมง้างมือขึ้นค้างไว้อยู่กลางอากาศ ไอ้บ้านนอกไม่มีท่าทีว่าจะหลบเลยสักนิด กลับกันแล้วดวงตาคู่นั้นกำลังมองมายังเขา ราวกับจะสื่อความหมายอะไรบางอย่าง และแน่นอนว่าปาร์คชานยอลไม่เข้าใจ
“ชานยอล”
“อืม”
“ระหว่างเรากับโลก ชานยอลรำคาญอะไรมากกว่ากัน” คำถามกวนตีนแต่เสือกน่ารักในสายตาของเขาขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขาอยากจะหยิกแก้ม บีบจมูก หรือทำอะไรก็ได้ให้หายหมั่นเขี้ยวเหลือเกินแต่ความซึนมันไม่เห็นด้วย
“รำคาญมึงมากกว่า”
“เรากับยามหน้าโรงเรียน ใครน่าเตะมากกว่า”
“มึง”
“แล้วระหว่างเรากับรามยอนล่ะ” คนตัวเล็กยังคงทำตาใสขณะสบตากัน
“มึงอยากได้ยินคำตอบแบบไหนวะฮอบบิท”
“คำตอบที่ผลลัพธ์ออกมาเป็นเรา”
“...”
“ชานยอลอยากถามบ้างไหม”
สถานการณ์ในตอนนี้มันต่างจากคืนแรกที่เราเริ่มใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสิ้นเชิง เด็กหนุ่มยังจำได้ดีกับความรู้สึกแปลก ๆ ที่ทำให้ต้องรีบแจ้นไปขอตลับเมตรจากบ้านไอ้จงอินได้เป็นอย่างดี แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้มันคงไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว
“อืม...”
แบคฮยอนมองอีกคนอย่างประหม่า บางทีเขาอาจจะเป็นบ้าเหมือนที่ชานยอลว่าถึงได้ปล่อยให้ตัวเองอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ทั้งที่คนตัวสูงก็แสดงออกว่าไม่ได้รู้สึกดีกับเกมถามตอบเลยสักนิด
“ถ้ากูถาม มึงต้องตอบตามความจริง...เข้าใจไหม?”
“เราจะไม่โกหก”
ทั้งที่แอร์เย็นฉ่ำแต่เด็กตัวสูงกลับเหงื่อออก ทั้งตรงขมับ ซอกคอ และฝ่ามือ เขารู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ของคนตรงหน้าที่ผ่อนเข้าออกเป็นจังหวะ ปาร์คชานยอลควรจะเริ่มยังไงดีกับคำถามที่มันไม่เข้าท่าเลยสักนิด เพราะคำตอบที่ได้รับอาจทำให้เขารู้สึกแย่ไปอีกหลายวันก็ได้
“นมชมพูกับรามยอนเลือกอะไร”
“รามยอน เพราะอิ่มกว่า”
“คณิตศาสตร์กับภาษาอังกฤษ”
“คณิต”
“ครูแจซอกกับไอ้เทา”
“ครูแจซอก”
“ไอ้เตี้ยคยองซูกับป้าขายต๊อก”
“คยองซู”
“รถเมล์กับจักรยาน”
“จักรยาน”
“กูกับซอนฮวา”
“...”
“...”
จนได้...ปาร์คชานยอลหลุดปากถามโง่ ๆ ออกไปแล้ว...
ไอ้บ้านนอกเพียงแค่มองหน้าเขาโดยที่ไม่ตอบคำถาม บางทีมันอาจจะใช้สมองอันน้อยนิดคิดอยู่ก็ได้ว่าคำตอบไหนจะทำให้เขาเสียใจน้อยที่สุดในฐานะรูมเมทที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอีกนาน
แต่ถึงคำตอบจะเหี้ยก็ช่วยทำให้มันจบ ๆ หน่อยได้ไหม นี่ลุ้นจนแทบเป็นไส้เลื่อนอยู่แล้ว ถ้าจะตอบว่าฮันซอนฮวาเขาจะได้แกล้งทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วผลักหัวมันเล่น ๆ และหลังจากนั้นจะได้ไปนอนเฟลให้สาแก่ใจกับความโง่ของตัวเองที่เสร่อถามออกไปอย่างนั้น
มือเล็กค่อย ๆ ยกขึ้นมาชี้หน้าเขาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ชานยอลเห็นว่าตอนนี้สายตาของไอ้บ้านนอกมันแปลกไปจากเดิม ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันต่างยังไง แต่จะยอมรับก็ได้ว่าเขากำลังรู้สึกดีสุด ๆ เพียงแค่เห็นปลายนิ้วชี้มาที่เขา
“เราขอตอบว่าชานยอล...”
“...”
“...”
“รักษาน้ำใจกูเหรอ”
“เราเปล่านะ”
“เหตุผลล่ะ”
“ไม่พูดได้ไหมอ่ะ...”
“ไม่ได้ มึงต้องตอบเดี๋ยวนี้ไม่งั้นกูจะคิดว่ามึงโกหก”
“เราไม่ได้โกหกจริง ๆ นะ...” แบคฮยอนทำปากจู๋เพราะถูกบีบแก้ม และภาพที่เห็นมันเรียกรอยยิ้มจากเด็กตัวสูงได้โดยไม่รู้ตัว “อานออนนน...” (ชานยอลลล...)
“บอกมาว่าอยู่กับใครแล้วมีความสุขมากที่สุด” เด็กหนุ่มเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ ๆ ก่อนจะคลายมือออกจากแก้มนุ่มนิ่ม แบคฮยอนหลับตาแน่นกับความรู้สึกแปลก ๆ ที่กำลังทำให้เขารู้สึกร้อนหน้าไปหมด พอลืมตาขึ้นก็พบว่าตอนนี้คนตัวสูงยังไม่ละสายตาออกไปไหนระหว่างรอคำตอบ
“...ชานยอล”
“...”
“ไม่ว่าจะเป็นคำถามไหน แต่ถ้าชานยอลอยู่ในตัวเลือก เราก็จะเลือกชานยอล”
“...”
“ห้ามตีเรานะ” แบคฮยอนเอามือปิดเหม่งตัวเองทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากคนตรงหน้า
ชานยอลนิ่งไปครู่หนึ่ง หัวใจของเขากำลังทำงานอย่างหนักเพราะคำตอบของมนุษย์ฮอบบิท เด็กหนุ่มไม่รู้แม้กระทั่งวิธีแสดงออกทางสีหน้าเวลาดีใจ นานมาแล้วที่เขากลายเป็นคนชอบใช้กำลังและปั้นหน้านิ่งไม่ว่าจะรู้สึกแบบไหน หลายครั้งที่เด็กตัวสูงหงุดหงิดปากตัวเองที่สวนทางกับความรู้สึก...แต่ครั้งนี้เขาควรจะทำให้มันตรงกันสักที
แบคฮยอนเบิกตาอย่างตกใจเมื่ออีกฝ่ายโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนกลายเป็นว่าริมฝีปากของเราแตะกันเบา ๆ หรือสิ่งที่เห็นได้ตามละครทั่วไปคือฉากจูบ มือที่ทาบอยู่กับหน้าผากรับรู้ได้ถึงความร้อนที่คิดว่ามันคงกำลังกระจายไปทั้งตัวแล้ว
เพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้นที่คนตัวเล็กตกอยู่ในสถานะมึนงง ชานยอลผละริมฝีปากออกเพียงเล็กน้อยและเราก็จ้องตากันอีกแล้ว เขากำลังหายใจไม่ออก บางทีบยอนแบคฮยอนอาจจะต้องตายหลังจากรู้ตัวว่าเพิ่งจูบกับคนตรงหน้า
“กูว่ากูไม่ได้แค่รำคาญมึงแล้วว่ะ...”
“...”
“...”
“แล้ว...มันยังไง...”
มืออีกข้างที่ว่างอยู่เผลอกำเสื้อไว้แน่น นอกจากการวิ่งร้อยเมตรที่ทำให้ใจเต้นแรงจากการหอบนี่คงเป็นอีกเรื่องที่ทำให้แบคฮยอนรู้สึกอย่างนั้น แน่นอนว่าคนตัวเล็กไม่ได้ใสซื่อที่จะไม่เข้าใจความหมายของการจูบ แต่มันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายจริง ๆ ที่เกิดขึ้นกับคน ๆ นี้
“กูไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่กูทนเห็นมึงอยู่กับคนอื่นไม่ไหวแล้ว”
“...”
“ให้กูเป็นทุกอย่างของมึงได้ไหมวะ”
“...”
“...”
พอกันทีกับความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจ ปาร์คชานยอลไม่สนแล้วว่าเขาจะถูกมองยังไงหลังจากนี้ เรื่องการกระทำที่สวนทางกับความรู้สึกนั่นน่ะก็พอกันที ต่อไปนี้เด็กหนุ่มจะไม่ฝืนมันอีกต่อไป เขาอยากใช้เวลาอยู่กับคนตรงหน้าให้มากกว่านี้
“ทุกอย่างที่ว่า...หมายถึงแฟนเหรอ...” คนตัวเล็กถามเสียงแผ่วราวกับไม่แน่ใจ และมันก็ใช่...ตอนนี้แบคฮยอนกำลังกลัวความคิดตัวเองซึ่งเขาไม่รู้เลยว่ามันจะตรงกับที่ชานยอลพูดหรือเปล่า
“...อืม”
“...”
“เลิกมองฮันซอนฮวาแล้วหันมาชอบกูได้แล้ว”
“แต่...” ยังพูดไม่ทันจบร่างของเขาก็ถูกรั้งเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดเสียแล้ว คราวนี้แบคฮยอนถึงได้รู้ว่าไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวที่กำลังใจเต้นแรง ถึงจะไม่เห็นว่าตอนนี้ชานยอลกำลังทำสีหน้าแบบไหน แต่จากการออกแรงของมือที่เดี๋ยวแน่นขึ้นเดี๋ยวคลายออกราวกับกลัวว่าเขาจะเจ็บนั่นน่ะ...
ชานยอลก็ประหม่าเหมือนกันใช่ไหม?
“ทำให้กูรู้สึกดีแล้วก็รับผิดชอบด้วย”
“แล้วเราต้องทำยังไง...” แบคฮยอนพูดอู้อี้ในอ้อมกอดคนตัวสูง
“อยากรู้เหรอ?” ชานยอลผละตัวออกแล้วจับไหล่เล็กเอาไว้และก็ได้เห็นว่าแววตาของมนุษย์ฮอบบิทนั้นกำลังสบสน หรืออาจจะกลัวในสิ่งที่เขาพูดออกไป
“ถ้าบอกว่าล้อเล่นเราไม่ตลกด้วยนะ”
“หน้ากูเหมือนคนกำลังพูดขำ ๆ อยู่หรือไง”
“ใครจะรู้ ชานยอลชอบโมโหเราแล้วอยู่ดี ๆ มาพูดแบบนี้ใครจะไปเชื่อ”
“เพราะมึงนั่นแหละ มึงคนเดียวเลยฮอบบิท” เด็กตัวสูงชี้ปลายจมูกรั้น และการที่คนตรงหน้าหลับตาแน่นราวกับกลัวว่าเขาจะลงไม้ลงมือเหมือนอย่างเคยนั้นก็เป็นคำตอบได้แล้วว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมันถูกต้องไม่มีผิด กับการกระทำที่สวนทางคำพูดเสมอมันทำให้รู้ว่าเขามันเชื่อไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละ
“แล้ว...มันจะต่างจากเดิมยังไงเหรอ”
“เออ...นั่นสิ”
คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน จะว่าไปแล้วก็ไม่รู้เลยว่าหลังนี้จะเป็นยังไง เพราะสิ่งที่เขาต้องการก็แค่อยากอยู่กับมนุษย์ฮอบบิทให้มากขึ้น แล้วก็อยากให้มันเลิกมองคนอื่นก็เท่านั้นเอง
“เรื่องอื่นอย่าเพิ่งคิด ตอนนี้มึงถามตัวเองก่อนเถอะว่าจะทำยังไงเวลาถูกกูนอนกอดแบบนี้” พูดจบก็กดหัวทุยให้ซบลงกับแผงอกตัวเองอีกครั้ง ชานยอลยิ้มกว้างแล้วยีหัวที่ยังไม่แห้งเบา ๆ
ในเมื่อไอ้บ้านนอกไม่วิ่งหนีก็เป็นสัญญาณที่ดีแล้วว่าการเปิดใจในครั้งนี้มันได้ผลอยู่พอสมควร ต่อให้ยังไม่ได้ชอบแต่คนเราอยู่ด้วยกันทุกวันมันจะไม่ใจอ่อนบ้างเหรอวะ
“เอาตลับเมตรไหม”
“กวนตีน”
“แหะ” รู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อยหลังจากไอ้บ้านนอกยกขาขึ้นมาก่ายเขาเหมือนลูกลิงอีกทั้งยังเอาหัวถู ๆ กับเสื้อยืดของเขาอีก “ชานยอลตัวใหญ่จัง”
“มึงเตี้ยเองต่างหาก”
“เราเตี้ยก็ได้”
“ดีมาก เป็นแฟนกูเมื่อไหร่แล้วค่อยหือ ตอนนี้ยอมกูไปก่อนเข้าใจไหม”
“คับ”
“เดี๋ยวเหอะมึง...” จูบหัวมันไปแรง ๆ หนึ่งดอก ในเมื่อพูดความในใจไปหมดแล้วจะทำยังไงก็ได้ปาร์คชานยอลคิดอย่างนั้น อีกทั้งไอ้บ้านนอกก็ยังไม่หือไม่อือเพราะงั้นเขาจะคิดว่ามันสมยอมก็แล้วกัน
“วันเสาร์นี้ไปสอนพิเศษไอ้เจ๊กนั่นหรือเปล่า”
“ไปสิ ชานยอลจะโมโหอีกเหรอ”
“เปล่า แล้ววันอาทิตย์ล่ะ”
“วันนั้นเราว่าง”
“งั้นวันอาทิตย์เป็นของกู ห้ามไปไหน โอเคไหม?”
แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกคนอย่างไม่เข้าใจ นี่เขาชินกับชานยอลในลุคส์ผู้ชายขี้โมโหไปแล้วใช่ไหมถึงได้รู้สึกแปลก ๆ กับสีหน้าในตอนนี้ แต่ตอนที่กึ่งยิ้มกึ่งทำหน้าหงุดหงิดก็น่ารักไปอีกแบบ ว่าแต่วันอาทิตย์มีอะไรกันนะ แต่ถ้าถามออกไปจะโดนตบหัวอีกหรือเปล่า ถึงเราจะเพิ่งจูบกันไปแต่ก็ใช่ว่าจะไว้ใจมือใหญ่ ๆ นั่นได้เสียเมื่อไหร่ แต่ดูเหมือนว่าร่างเล็กจะคิดผิดเมื่อชานยอลเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ แล้วคว้าเอาผ้าขนหนูผืนเล็กมาเช็ดหัวให้เขาก่อนจะปิดท้ายด้วยการจุ๊บหน้าผากเบา ๆ
“วันอาทิตย์ทาสีบ้านกันนะ”
TBC
คนปากแข็งเวลาหลุดทีมันจะหลุดออกมาจนหมดเปลือกเลยอ่ะคุณ 5555555555555555555555555555555555
เขาจูบกันแล้วค่ะออนนี่ เขียนมาสิบตอน เขาจูบกันแล้ว
- FANART น่ารัก ๆ BY น้องออมหมี @biyeol จ้า ขอบคุณมากนะคะ น่ารักมาก TT -
ความคิดเห็น