ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] "NERDY BOY" มนุษย์แบคฮยอน | CHANBAEK

    ลำดับตอนที่ #15 : Chapter 14 :: My Last Chance

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 20.52K
      150
      28 ธ.ค. 57

     

     

     

    Chapter 14

    My Last Chance

     

     
     

    กลิ่นเหม็นหืนของโรงพยาบาลกับเสียงล้อเตียงคนไข้ทำให้คนตัวเล็กรู้สึกใจไม่ดีเอาเสียเลย เบื้องหน้ามีทั้งคนเจ็บ ญาติผู้ป่วยหรือแม้แต่บุรุษพยาบาลที่เข็นเตียงคนไข้ผ่านไปตามทาง ทุกคนต่างกำลังสนใจเรื่องที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่และแบคฮยอนก็เช่นกัน

     

    สองขาวิ่งไปข้างหน้าพลางโค้งหัวเพื่อขอทาง หลังจากกลับไปหาชานยอลที่ม้านั่งใจกลางสวนสนุกเขาก็เห็นแค่หมวกสติชที่ตกอยู่บนพื้น ตอนนั้นใช้เวลามองหาคนตัวสูงอยู่แค่ครู่เดียวถึงตัดสินใจโทรหา และก็ได้คำตอบเป็นเสียงสั่น ๆ ของคนในปลายสาย แบคฮยอนไม่เคยเห็นชานยอลเป็นแบบนี้มาก่อน ประโยคที่แทบจับใจความแทบไม่ได้นั้นทำให้รู้ว่าตอนนี้ใครอีกคนกำลังร้องไห้อย่างหนัก

     

    ชานยอลเอาแต่ถามว่าจะทำยังไงดี...จะทำยังไงดี...พ่อจะเป็นอะไรหรือเปล่า ตอนนั้นคนตัวเล็กเพียงแค่บอกให้อีกคนใจเย็น ๆ ไว้และอย่าวางสายจนกว่าเขาจะไปถึงโรงพยาบาล เพราะแบคฮยอนเชื่อว่าตอนนี้คนรักของเขาคงกำลังฟุ้งซ่านจนไม่สามารถตั้งสติได้ ระหว่างที่คุยกันสองขาก็วิ่งออกไปหารถเพื่อนั่งไปโรงพยาบาล ซึ่งคนตัวเล็กคิดว่าแท็กซี่คงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในเวลาฉุกเฉินแบบนี้

     

    ชานยอล

     

    ...

     

    เด็กตัวสูงหยัดตัวลุกขึ้นแล้วเข้ามากอดร่างเล็กเอาไว้แน่นราวกับว่าคนตรงหน้าคือที่พึ่งทางใจสุดท้ายของเขา แบคฮยอนลูบมือไปตามแผ่นหลังกว้างพลางหอบหายใจ เบื้องหน้าที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้คือห้องไอซียู และพอลดระดับสายตาลงก็เห็นลู่หานกำลังนั่งกอดปลอบเด็กผู้ชายอีกคนที่มีสภาพไม่ต่างจากชานยอลในตอนนี้เลยสักนิด

     

    ทั้งคู่ผละออกจากกันก่อนที่เขาจะประคองร่างคนตัวสูงให้นั่งลงบนเก้าอี้แล้ววางมือลงบนไหล่กว้างเมื่อศีรษะทุยซบลงกับหน้าท้องเขาทั้งที่ยังสะอื้นอยู่ ชานยอลร้องไห้จนน่ากลัว ร่างตรงหน้าสั่นไหวเพราะแรงสะอื้น ผู้ชายคนหนึ่งที่เก็บความเศร้าไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยเพื่อให้คนรอบข้างเข้าใจว่าเขาไม่เป็นอะไร แต่พอวันหนึ่งความอดทนได้สิ้นสุดลง...ความเศร้าเหล่านั้นก็ถูกปลดปล่อยออกมาเป็นน้ำตาภายในครั้งเดียว

     

    แบคฮยอนคิดว่าคนตรงหน้าไม่ได้เข้มแข็งถึงขนาดนั้น ถึงชานยอลจะแสดงออกว่าไม่ต้องการพ่อแต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างที่เห็นมันจะตรงกันข้ามกับความรู้สึกอย่างสิ้นเชิง ชานยอลพยายามผลักไสความเจ็บปวดออกไปแล้วบอกกับตัวเองว่าต้องอยู่ให้ได้ นั่นคือวิธีปลอบใจตัวเองในแบบของผู้ชายคนนี้

     

    พอหันไปทางหนุ่มชาวจีนที่เหม่อมองไปข้างหน้าขณะลูบหัวเด็กชายอีกคนอยู่อย่างนั้น ไม่มีน้ำตาไหลออกมาเลยสักหยดเดียว ไม่มีท่าทีว่าจะร้องไห้ออกมา อาจเป็นเพราะลู่หานเป็นพี่ใหญ่เขาถึงจะต้องเข้มแข็งเพื่อน้องชายอีกสองคน

     

    เป็นช่วงระยะเวลาแค่ไหนกันที่สามพี่น้องถูกความหวาดกลัวเล่นงาน สิ่งที่แบคฮยอนทำได้ดีที่สุดในตอนนี้คืออะไร? แม้แต่คำปลอบใจดี ๆ สักคำยังไม่มีเลย เขาจะต้องทำยังไงชานยอลถึงจะหยุดร้องไห้ได้ ไม่...แบคฮยอนไม่รู้ เพราะตอนที่เคยยืนอยู่ในที่แบบนี้และพ่ออยู่ข้างในนั้น เขาก็ไม่สามารถหยุดน้ำตาและความจริงไว้ได้เหมือนกัน

     

     

    แต่พ่อของชานยอลจะต้องปลอดภัย...แบคฮยอนเชื่ออย่างนั้น

     

     

    ประตูห้องไอซียูเปิดออก ผู้ชายร่างใหญ่ในชุดผ่าตัดถอดผ้าปิดปากแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าลู่หานก่อนที่ชานยอลจะวิ่งตามไปสมทบ แบคฮยอนเพียงแค่ยืนมองแผ่นหลังของคนตัวสูง เขาเพิ่งรู้ตัวว่าบีบมือแน่นเกินไปก็ตอนที่รู้สึกเจ็บ

     

    สีหน้าของคนเป็นพี่ใหญ่ยังไม่เปลี่ยนไปจากเดิม นั่นทำให้เขาหวั่นใจกับความจริงที่กำลังจะได้รับรู้ ถึงแบคฮยอนจะมองโลกในแง่ดีมาตลอด นั่นเป็นเพราะว่าเขาบอกตัวเองให้ทำแบบนั้น ทั้ง ๆ ที่ในบางครั้ง บางเหตุการณ์ตัวเขาก็ได้เห็นเองกับตาแล้วว่ามันไม่ใช่

     

    เพราะความจริงโลกมันก็หมุนวนรอบตัวเองเหมือนอย่างเคย มันไม่ได้ทำร้ายใคร แต่คนเรากลับคิดว่าโลกนี้มันโหดร้าย ทั้ง ๆ ที่มนุษย์เราเองต่างหากที่เป็นต้นเหตุของทุกอย่าง

     

    เช่นตอนที่เพิ่งมาถึงโรงพยาบาล แบคฮยอนได้ยินเสียงญาติผู้ป่วยสบถอย่างหัวเสียว่าวันนี้เป็นวันที่เหี้ยที่สุดในชีวิต ซึ่งเขาไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นเจอเรื่องเลวร้ายอะไรมาถึงได้พูดอย่างนั้น เพราะในขณะเดียวกัน พอหันไปทางด้านขวาก็ได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในชุดคนไข้ เธออุ้มเด็กทารกไว้แนบอกและเล่นอิงแอบอย่างมีความสุข มันทำให้แบคฮยอนคิดว่ามันไม่แฟร์เลยที่คน ๆ หนึ่งจะบอกว่าวันนี้เป็นวันเฮงซวย เพราะมันอาจจะเป็นวันเกิดของใครสักคนก็ได้

     

    แบคฮยอนพยายามเข้าใจชีวิตและความรู้สึกของคนรอบข้าง และเขาก็เข้าใจสามพี่น้องที่กำลังตกอยู่ในความหวาดกลัวเป็นอย่างดี ลู่หานพยักหน้าระหว่างฟังหมอพูด แพรขนตายาวแทบจะไม่กระพริบเลยระหว่างฟังผลจนกระทั่งเด็กชายคนนั้นทรุดตัวนั่งลงกับเก้าอี้ตัวเดิมแล้วยกมือขึ้นกำเสื้อตรงช่วงอกแล้วถอนหายใจออกมา...

     

     

    ตอนนั้นแบคฮยอนถึงได้ขอบคุณพระเจ้าที่ยังไม่พรากคนที่ชานยอลรักไป

     

     
     

     

     
     

    หลังจากย้ายคนไข้เข้าห้องพิเศษแล้วทุกอย่างถึงค่อย ๆ กลับเข้าสู่สภาพปกติ แบคฮยอนได้ยินลู่หานเรียกเด็กผู้ชายคนนั้นว่าเจโน่ ซึ่งตอนนี้ทั้งสองคนยืนอยู่ข้างเตียงเพื่อดูอาการของคนเป็นพ่อที่ยังไม่ได้สติ

     

    ชายวัยกลางคนมีผ้าก๊อซสีขาวโพกรอบหน้าผาก ลู่หานบอกว่าพ่อของเขาหัวแตกจนต้องเย็บไปหลายเข็มอีกทั้งแผลบนใบหน้าที่เกิดจากรอยกระจกบาด แขนข้างซ้ายหักจนต้องเข้าเฝือกแต่โดยรวมแล้วไม่มีผลร้ายแรง

     

    แบคฮยอนเงยหน้ามองคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โดยที่ไม่ยอมเข้าไปข้างใน ชานยอลเพียงแค่มองพ่อของเขาผ่านกระจกประตูห้องจนกระทั่งลู่หานเดินออกมา เขาทั้งสองคนถึงได้ถอยหลังออกไปเล็กน้อย

     

    “You want to go back now or you want to wait until he wakes up?” (นายจะกลับเลยหรือว่าจะรอให้พ่อฟื้นก่อน) ลู่หานมองน้องชายต่างแม่อย่างหยั่งเชิง ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาค่อนข้างมั่นใจว่ายังไงชานยอลก็คงปฏิเสธ แต่จากสีหน้าและจังหวะการตอบที่ยังหยุดใช้ความคิด เขาเลยเชื่อว่าน้องชายคนนี้คงยอมอ่อนลงบ้างแล้ว

     

    “I'll be waiting outside.” (ผมจะนั่งอยู่ข้างนอก)

     

    ...

     

    ...

     

    ร่างเล็กมองสองพี่น้องสลับกันไปมา เมื่อไม่มีใครพูดอะไรจนปล่อยให้ความเงียบโรยตัวอีกครั้ง แบคฮยอนคิดว่านี่อาจจะเป็นโอกาสของลู่หานที่จะได้คุยกับน้องชายอย่างเปิดใจหลังจากความพยายามนั้นล้มเหลวมาแล้วหลายหน

     

    เกอครับ สู้ ๆ นะ แบคฮยอนยิ้ม และนั่นเป็นจังหวะที่เด็กตัวสูงหันไปมองร่างเล็กที่กำลังพูดเป็นภาษาจีนผมคิดว่าชานยอลคงใจอ่อนลงบ้างแล้ว ยังไงก็ชวนเขาคุยหน่อยนะครับ อะไรก็ได้แต่อย่าเพิ่งเข้าเรื่องชวนเขากลับบ้านก็พอ

     

    ลู่หานเข้าใจในสิ่งที่แบคฮยอนแนะนำเพราะเขาก็คิดจะทำอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วยิ้มบาง ๆ ก่อนที่ร่างเล็กจะหันไปอธิบายให้คนตัวสูงฟังว่าเขาคุยอะไรกับลู่หานไปบ้าง

     

    เราจะลงไปซื้อน้ำกับขนมมาให้ น้องเจโน่คงหิวแล้ว ชานยอลก็คงอยากดื่มน้ำเหมือนกันใช่ไหม รอแป๊บนึงนะเราจะรีบกลับมา แบคฮยอนยิ้มแล้วค่อย ๆ เดินถอยหลังก่อนจะหันไปทางลู่หานแล้วพยักหน้าเป็นเชิงให้กำลังใจ

     

     

     

     

    “I'm the one who asked Jeno to make a call because I thought you might cut the line before I got a chance to speak if you know I called.” (พี่เป็นคนขอให้เจโน่โทรไปเอง เพราะถ้านายรู้ว่าพี่เป็นคนโทรไป นายคงชิงวางสายก่อนที่พี่จะมีโอกาสได้พูด)

     

    “Um” (อืม)

     

    ทั้งสองคนนั่งอยู่บนเก้าอี้แถวสามตัวที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามห้องคนไข้พิเศษ พวกเขาทอดมองไปยังผนังสีครีมเพื่อหาที่ยึดสายตา เพราะการหันไปมองหน้าคู่สนทนาในตอนนี้คงไม่ใช่เรื่องที่เข้าท่าสักเท่าไหร่

     

    ลู่หานพูดถูก เพราะถ้าหมอนั่นโทรมาจริง ๆ เขาคงไม่ปล่อยโอกาสให้มันพูดถึงห้าวินาทีแน่ ทั้งคู่เงียบไปโดยที่ไม่มีใครอยากเปิดประเด็นขึ้นมาอีก ชานยอลกำลังนึกย้อนกลับไปถึงตอนที่เขาวิ่งออกมาจากสวนสนุก วินาทีนั้นเด็กหนุ่มไม่รู้เลยว่าทำอะไรลงไปบ้าง พอรู้ตัวอีกทีเขาก็มาถึงโรงพยาบาลแล้ว

     

    ชานยอลไม่ได้รอให้อีกคนอธิบาย เขาเอาแต่ยิงคำถามออกไปว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ พ่อเข้าไปอยู่ในห้องไอซียูนานแค่ไหนแล้ว และอาการเป็นยังไงบ้าง เด็กหนุ่มได้ทิ้งทิฐิที่เคยมีไปจนหมดสิ้น เขาแทบลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้เคยเกลียดขี้หน้าพี่ชายต่างแม่มากแค่ไหนเพียงเพราะตอนนั้นต้องการคำตอบในสิ่งที่อยากรู้

     

    “This morning...before he went out, he touched Jeno's head and told him to concentrate on reading books. The future is yours he said.” (เมื่อเช้า...ก่อนพ่อออกไป เขาลูบหัวเจโน่แล้วบอกให้น้องตั้งใจอ่านหนังสือนะ อนาคตเป็นของลูก)

     

    ลู่หานเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งพลางประสานมือไว้บนตัก เขาต้องเรียบเรียงคำพูดให้ดีถ้าไม่อยากให้น้องชายเจ้าอารมณ์ต้องโมโห ตอนนี้เป็นโอกาสที่เขาจะได้พูดให้ชานยอลเข้าใจถึงแม้ว่ามันจะยาก แต่เขาก็อยากลองอีกสักครั้ง

     

    “He said I may take Jeno out somewhere to release when he finishes reading books. He wants younger brother to loves his elder brother the way I feel for him but I said ‘Don't worry. He doesn't have to love me the way I love him. I just want to take care of him, see him grows up well. These are duties of a brother I want to do’” (พ่อบอกว่าถ้าเจโน่อ่านหนังสือเสร็จแล้วก็ให้พาน้องออกไปเที่ยวเล่นบ้างจะได้ผ่อนคลาย พ่ออยากให้น้องรักพี่เหมือนที่พี่รักน้อง แต่พี่บอกเขาพ่อไม่ต้องห่วง มันไม่จำเป็นหรอกว่าน้องจะต้องรักผมเท่าที่ผมรักน้อง ผมแค่อยากดูแลเขา ให้เขาโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี นั่นคือหน้าที่ที่พี่ชายอย่างผมอยากทำ)

     

    “What makes you want to do for others that much.” (อะไรที่ทำให้คุณคิดอยากทำเพื่อคนอื่นขนาดนั้น)

     

    “Just think that we're sharing same blood, and we all have one same father. That's enough.” (แค่คิดว่าเรามีสายเลือดเดียวกัน มีพ่อคนเดียวกัน แค่นั้นมันก็พอแล้ว)

     

    ...

     

    “If you're angry that dad has many wives, I understand. And I think dad understands what you're feeling as well. But what about you? Do you want to understand him too?” (ถ้านายโกรธที่พ่อมีภรรยาหลายคนพี่เข้าใจ และพี่คิดว่าพ่อก็คงเข้าใจที่นายรู้สึกเหมือนกัน แล้วนายล่ะเคยคิดจะลองเข้าใจพ่อบ้างไหม?)

     

    ...

     

    “Love of adults is a lot different from children's. Like we can live separately when we date someone. But for adults, it's much more that. They need to share their life together. It's unbelievable that two people can carry their life together when there comes a disagreement sometimes. But if it becomes terrible that they can't keep moving on any longer...they need to separate.” (ความรักของผู้ใหญ่ต่างจากความรักของเด็กมาก อย่างตอนมีแฟนเราก็แยกกันอยู่ได้ แต่ผู้ใหญ่มันมากกว่านั้นตรงที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกัน มันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อที่คนสองคนจะประคับประคองชีวิตไปด้วยกันทั้งที่บางครั้งก็มีความเห็นที่แตกต่าง แต่ถ้าชีวิตคู่มันแย่จนทนไม่ไหว...เขาก็ต้องแยกจากกัน)

     

    ...

     

    “But there's another difference that breaking up is the thing they need to think carefully. In case they have a child, problem will become his like it does with you. But I want you to discriminate it, Chanyeol.” (แต่มันต่างอยู่อีกเรื่องตรงที่การเลิกกันมันเป็นเรื่องต้องทบทวนให้ดีก่อน เพราะถ้ามีลูกด้วยปัญหามันจะตกไปอยู่ที่เด็กคนนั้นเหมือนอย่างที่นายกำลังรู้สึกอยู่ แต่พี่อยากให้นายแยกแยะมันให้ออกนะชานยอล)

     

    “"About what?” (เรื่องอะไร)

     

    ลู่หานไม่ได้ตอบคำถามในทันที ดวงตาคู่นั้นหลุบลงก่อนจะลุกขึ้นยืนอยู่ตรงหน้าน้องชายตัวสูง เด็กหนุ่มเงยหน้ามองใครอีกคนที่กำลังมองมายังเขาด้วยแววตาเศร้าหมอง

     

    “Jeno's mom is a playgirl. She made a slip and got pregnant after only slept with dad once.” (แม่ของเจโน่เป็นผู้หญิงชอบเที่ยวกลางคืน เธอพลาดท้องเพราะนอนกับพ่อแค่ครั้งเดียว)

     

    ...

     

    “She wanted to get Jeno out since she knew that she got a two month of pregnancy but dad stopped her and said he will take care of this child but he needs a little bit of time. So she gave in to give a birth and let grandma takes care of Jeno after that. Dad always transfer money to him regularly. Jeno grew up without warmth, see dad once in a while and we should forget about his mom.” (เธอจะเอาเจโน่ออกตั้งแต่รู้ว่าท้องได้สองเดือน แต่พ่อห้ามไว้และบอกว่าจะรับเลี้ยงเด็กเองแต่เขาขอเวลาหน่อย ตอนนั้นเธอถึงได้ยอมคลอดเด็กคนนั้นแล้วฝากให้ยายเลี้ยงดู ส่วนพ่อก็ส่งเงินให้ไม่ได้ขาด เจโน่โตขึ้นมาแบบเด็กขาดความอบอุ่น นาน ๆ ครั้งถึงจะได้เจอพ่อ ส่วนแม่คงไม่ต้องพูดถึง)

     

    ชานยอลพูดไม่ออกกับเรื่องที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน แน่นอนว่ามันเป็นเพราะเขาเลือกที่จะปิดหูปิดตาและเข้าใจว่าพ่อเจ้าชู้จนทำให้เกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้น เด็กหนุ่มนั่งนิ่งโดยที่ไม่โต้แย้งอะไร เขาเพียงแค่นั่งฟังคนตรงหน้าพูดและคิดตาม

     

    “Before dad married your mom, he married my mom before. They didn't love each other. It's all about two families that want to get a grandson.” (ก่อนที่พ่อจะแต่งงานกับแม่ของนาย เขาเคยแต่งงานกับแม่พี่มาก่อน ทั้งคู่ไม่ได้มีความชอบพอกันเลยสักนิด มันเป็นเรื่องราวของสองครอบครัวที่อยากได้หลานชาย) ลู่หานวางมือลงบนไหล่กว้างแล้วบีบเบา ๆ “But you're lucky.” (แต่นายโชคดีนะ)

     

    ...

     

    “You were born from a love between dad and mom, not from any mistake or a requirement from a family.” (ที่นายเกิดมาจากความรักของพ่อกับแม่ ไม่ใช่เพราะความผิดพลาดหรือจากความต้องการของผู้ใหญ่)

     

     

     

     

    แบคฮยอนกลับมาพร้อมถุงพลาสติกสีขาว ร่างเล็กชะลอฝีเท้าลงเมื่อเห็นลู่หานกำลังพูดอะไรบางอย่างกับชานยอล และสีหน้าของทั้งคู่ไม่ค่อยดีนัก ในหัวได้แต่ถามตัวเองว่าควรจะเดินเข้าตอนนี้เลยดีไหม หรือควรออกไปเดินเล่นรอบโรงพยาบาลสักรอบก่อนแล้วค่อยกลับมา แต่ยังไม่ทันตัดสินใจสองพี่น้องก็มองมาทางนี้พร้อม ๆ กัน

     

    กินแซนวิชกัน

     

    คนตัวเล็กยิ้มกว้างแล้วชูถุงพลาสติกขึ้นระดับหัวไหล่ก่อนจะรีบวิ่งไปหยุดอยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่มทั้งสองแล้วเอาแซนวิชให้หนุ่มชาวจีนก่อน ลู่หานรับมาถือไว้ทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากอีกคน เขาเห็นว่าแบคฮยอนนั่งลงข้าง ๆ น้องชายของเขาแล้วเริ่มแกะกล่องแซนวิช

     

    กิน

     

    ...

     

    เร็วสิ ถ้าชานยอลไม่กินเราจะกินเองนะ

     

    กินก่อนเถอะ ชานยอลถอนหายใจแล้วดันมือคนตัวเล็กออก แบคฮยอนหน้าเจื่อน แต่แค่ครู่เดียวเท่านั้นเขาก็กลับมายิ้มเหมือนเดิมก่อนจะแบ่งแซนวิชเป็นสองส่วนแล้วยื่นให้

     

    นะ

     

    ...

     

    ชานยอลยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า ฝืนกินแค่สามคำได้ไหม เด็กตัวสูงหันไปมองคนข้าง ๆ ที่ยังคงยื่นแซนวิชให้กับเขา ส่วนอีกครึ่งหนึ่งยัดเข้าปากตัวเองภายในคำเดียว ลู่หานมองทั้งคู่สลับกันไปมา เขารู้สึกได้ถึงบางอย่างระหว่างเด็กสองคนนี้ที่คงเรียกว่ามิตรภาพ

     

    พี่จะเอาเข้าไปให้เจโน่ ขอบใจมากนะแบคฮยอน

     

    อื้อ เจ้าของชื่อพยักหน้าทั้งที่แก้มทั้งสองข้างยังอัดแน่นไปด้วยแซนวิช

     

    พอเสียงประตูห้องคนไข้ปิดลงชานยอลก็เอื้อมมือขึ้นมาเช็ดมุมปากให้คนตัวเล็กแล้วยิ้มบาง ๆ เด็กหนุ่มเห็นว่าไอ้บ้านนอกของเขากำลังพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้กินบ้าง คนที่กำลังตกอยู่ในความเศร้าถึงได้ยัดแซนวิชทั้งหมดเข้าปากภายในคำเดียวเช่นกัน

     

    ทั้งคู่ยิ้มขำกับสีหน้าของกันและกัน แม้ว่าจะยิ้มและหัวเราะได้ไม่เต็มที่ แต่ชานยอลก็รู้สึกดีที่ไอ้บ้านนอกอยู่ตรงนี้ข้าง ๆ เขาพร้อมกับข่าวดีที่ว่าพ่อปลอดภัยแล้ว คนตัวเล็กวางมือลงบนมืออีกคนก่อนจะเปลี่ยนเป็นสอดประสานในวินาทีถัดมา

     

    ชานยอลรู้ว่าคนข้าง ๆ กำลังพยายามปลอบใจเขา และมันก็ได้ผล เพราะในตอนนี้คงไม่มีอะไรที่จะสามารถเยียวยาความรู้สึกของเด็กหนุ่มได้นอกจากรอยยิ้มและสัมผัสจากมือของคน ๆ นี้

     

    แบคฮยอนเอากล่องนมเอาออกมาแล้วฉีกฝาออกเล็กน้อยก่อนจะยื่นให้ ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขยังไงเราก็ต้องกินเพื่อที่จะได้มีเรี่ยวแรงสู้กับปัญหาที่ถาโถมเข้ามาในชีวิต คนตัวเล็กโล่งใจที่คนรักของเขายอมทำตามโดยที่ไม่ดื้อดึงอย่างที่คิดเอาไว้

     

    ชานยอลค้นถุงพลาสติกแล้วก็เห็นช็อกโกแลตแท่ง เด็กหนุ่มฉีกฟอยล์ออกครึ่งหนึ่งแล้วยื่นให้ แบคฮยอนผละตัวถอยหลังออกเล็กน้อย พอจะหยิบกินเองคนตัวสูงก็ชักมือกลับ ร่างเล็กทำตาปริบ ๆ เมื่อชานยอลพยักหน้าบอกว่าจะป้อน

     

    ขอโทษที่ทิ้งให้อยู่สวนสนุกคนเดียว

     

    ไม่เห็นต้องขอโทษเลย ชานยอลรีบมาหาพ่อน่ะถูกแล้ว อย่าคิดมาก แบคฮยอนยกกล่องนมดื่มแล้วแปะมือตัวเองกับมือคนรักซ้ำ ๆ เพื่อช่วยผ่อนคลายบรรยากาศในตอนนี้

     

    อยากกลับบ้านยัง? เด็กตัวสูงหันไปถามและก็ได้รับคำตอบเป็นใบหน้าที่ส่ายปฏิเสธเบา ๆ

     

    เราอยากอยู่กับชานยอล

     

    ...

     

    ถ้าชานยอลอยากเข้าไปเฝ้าพ่อ เราจะนั่งรออยู่ข้างนอก ไม่ต้องห่วงนะเก้าอี้ตรงนี้มีตั้งสามตัวเรานอนเหยียดขาได้สบายเลย เป็นฮอบบิทก็ดีอย่างงี้ แบคฮยอนอ้าแขนออกกว้างแล้วมองเก้าอี้ตัวซ้ายสุดกับขวาสุดที่ชานยอลนั่งอยู่

     

    แล้วใครบอกว่าจะปล่อยให้นั่งอยู่ตรงนี้คนเดียว จะบ้าเหรอ

     

    เอ้า ว่าเราทำไมอ่ะ... คนตัวเล็กเลิกคิ้วพลางทำปากจู๋ ชานยอลถึงได้หลุดขำออกมาเบา ๆ

     

    ถ้าจะเข้าไปก็ต้องไปพร้อมกันสิ

     

    ไม่ดีอ่ะ เราว่าชานยอลอยู่กับพ่อสองคนดีกว่าเผื่อมีเรื่องอยากคุยกัน เรานั่งรอได้ เราชอบนั่ง คำพูดคำจาน่าหมั่นเขี้ยวทำให้ไอ้บ้านนอกได้ใจเขาไปยิ่งกว่าเดิมอีก จากที่คิดว่ามากอยู่แล้วแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะล้นออกมา ชานยอลรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่เป็นแฟนกับคน ๆ นี้

     

    กูเป็นลูกชายที่แย่มากเลยใช่ไหม?

     

    เราไม่ห้ามนะถ้าชานยอลอยากโทษตัวเอง แต่หลังจากนั้นต้องคิดใหม่นะ แบคฮยอนวางมือลงบนไหล่กว้างแล้วมองเสี้ยวหน้าของคนตัวสูงถ้าคิดว่าที่ผ่านมามันแย่มาก สิ่งที่ชานยอลควรทำต่อไปนี้คือทำให้มันดีขึ้น

     

    ...

     

    พระเจ้าคืนคุณพ่อให้ลูกชายทั้งสามคนแล้ว ท่านกำลังให้โอกาสชานยอลนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเด็กหนุ่มคงโพล่งกลับไปด้วยความไม่พอใจแล้วว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริง โอกาสบ้าบออะไรกันปาร์คชานยอลไม่เคยต้องการ และเขาก็ได้รู้ว่าคิดผิดมหันต์

     

    เด็กหนุ่มมองข้ามความน่ากลัวของโลกใบนี้ไปซึ่งก็คือความตาย อีกทั้งความจริงที่เพิ่งได้รู้จากปากลู่หาน ยอมรับว่ามันทำให้ความคิดของปาร์คชานยอลเปลี่ยนไปพอสมควร

     

    คนอย่างกูสมควรได้รับโอกาสด้วยเหรอวะ

     

    สำหรับคนที่ยังมีโอกาส เขาก็ควรที่จะได้รับมันไม่ใช่เหรอ?

     

    ...

     

    คำว่าขอโทษมันอาจจะพูดยาก แต่เราเชื่อว่ามันจะเปลี่ยนทุกอย่างได้ เด็กหนุ่มหันมาสบตากับคนตัวเล็กที่กำลังทำหน้าจริงจัง เขารู้ว่าพอเป็นเรื่องครอบครัวเมื่อไหร่ไอ้บ้านนอกจะเซนซิทีฟเสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกัน

     

    เสียงประตูเปิดออกอีกครั้งและคราวนี้ลู่หานออกมาพร้อมกับเจโน่ เขาเห็นว่าเด็กคนนั้นมองมาที่ชานยอลด้วยสายตาหวาด ๆ ก่อนจะถอยไปหลบอยู่ข้างหลังพี่ชายคนโต

     

    “Jeno has a class tomorrow. I'll drive him back home and I'll be back to take care of a medical fee. And I'll talk to a car insurance company too.” (พรุ่งนี้น้องมีเรียน พี่เลยจะพาเจโน่ไปส่งที่บ้านก่อนแล้วจะกลับมาจัดการเรื่องค่ารักษาของพ่อ ส่วนเรื่องประกันรถพี่จะคุยเอง)  

     

    “Is dad still sleeping?” (พ่อยังหลับอยู่เหรอ)

     

    “Um. Do you want to go back now?” (อืม นายจะกลับเลยหรือเปล่า)

     

    ชานยอลไม่ได้ตอบคำถาม เขาเพียงแค่สบตากับพี่ชายต่างแม่ก่อนจะมองไปยังประตูบานนั้นที่ปิดสนิทอยู่ เขาไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ถึงใจมันจะอยากอยู่ที่นี่แต่อีกใจก็ยังไม่กล้าพอถึงขนาดนั้น ยอมรับว่าเด็กหนุ่มยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับพ่อถึงแม้ว่าจะเป็นห่วงมากก็ตาม

     

    แบคฮยอนวางมือลงบนหน้าขาอีกคนแล้วพยักหน้าให้กำลังใจ เด็กตัวสูงเห็นว่าริมฝีปากของไอ้บ้านนอกพูดแบบไม่มีเสียงว่าเราจะอยู่ตรงนี้ เพียงแค่นั้น...มันก็ทำให้ปาร์คชานยอลมีความกล้ามากขึ้น

     

    “I'll stay with dad.” (ผมจะอยู่กับพ่อเอง)

     

     

     

     

    เช้าวันจันทร์ที่ไม่สดใสเหมือนอย่างเคย แบคฮยอนค่อย ๆ ปั่นจักรยานไปอย่างไม่เร่งรีบพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ก้อนเมฆสีเทาลอยเกลื่อนคล้ายว่าอีกไม่นานฝนอาจจะตก และถ้าเป็นอย่างนั้นคงแย่แน่เพราะเขาไม่ได้เอาร่มมาด้วย

     

    คนตัวเล็กเอี้ยวหน้าหันกลับไปมองเบาะหลังที่ว่างเปล่า ไม่มีใครซ้อนท้ายแล้วบ่นให้เขารีบปั่นเร็ว ๆ เหมือนอย่างเคย ไม่มีสีหน้าหงุดหงิดที่เจ้าตัวพยายามกลั้นยิ้มเอาไว้เวลาเขาพูดจากวนประสาท ใช่แล้ว...ชานยอลชอบบอกว่าแบคฮยอนน่ะกวนประสาททั้ง ๆ ที่เขาเปล่าทำอย่างนั้นสักหน่อย

     

    เราสองคนนั่งเฝ้าคุณลุงจนถึงเช้า ชานยอลถึงได้บอกให้เขากลับบ้านเพื่ออาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน ส่วนชานยอลกับพี่ลู่หานจะอยู่เฝ้าต่อเอง แบคฮยอนคิดว่าทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดีเมื่อคนตัวสูงเริ่มเปิดใจ แค่ยอมคุยกับพี่ลู่หานได้โดยที่ไม่เดินหนีไปไหนก็คิดว่ามันเกินความคาดหมายแล้ว เพราะงั้นเรื่องการปรับความเข้าใจของครอบครัวนี้คงไม่เป็นเรื่องยากอีกต่อไป และนั่นหมายความว่าอีกไม่นาน...

     

     
     

    ชานยอลก็ต้องกลับไปอยู่บ้าน...ใช่ไหม?

     

     
     

    รู้สึกหวิวตรงหน้าอกข้างซ้ายอย่างบอกไม่ถูก เพียงเพราะชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนไปแค่วันเดียว แบคฮยอนพยายามบอกตัวเองทำใจให้ชิน เผื่อว่าในอนาคตเขาจะต้องตื่นมาพบเพียงแค่ความว่างเปล่าและปั่นจักรยานมาโรงเรียนคนเดียว เพราะอย่างน้อยเรื่องดี ๆ ก็ยังมีอยู่คือเขาสามารถเจอชานยอลได้ในคาบเรียน

     

    แต่ดูเหมือนว่ายิ่งพยายามปลอบใจตัวเองก็ยิ่งคิดมาก ไม่ชอบความรู้สึกตอนนี้เลยที่กำลังงี่เง่างอแงเป็นเด็ก ๆ ก็อยากให้ชานยอลกลับไปอยู่กับครอบครัวไม่ใช่เหรอ แล้วพอทุกอย่างใกล้จะเป็นความจริงแล้วทำไมถึงได้มีความเห็นแก่ตัวขึ้นมาล่ะ ชานยอลอยู่กับเขาตลอดไปไม่ได้หรอกนะ แบคฮยอนคนโง่

     

    เฮ้

     

    จอดจักรยานไว้แล้วหันไปตามเสียงเรียกแล้วก็พบชายหนุ่มผิวแทนยืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังโบกมือให้ ตอนนั้นแบคฮยอนถึงนึกได้ว่าเขาไม่ควรทำหน้าหงอยจนผิดสังเกต

     

    อรุณสวัสดิ์จงอิน

     

    ไง กินข้าวมาหรือยัง? สิ้นสุดคำถามคนตัวเล็กก็คลายสายกระเป๋าเป้ออกมาข้างหนึ่งแล้วรูดซิบออก

     

    ยังเลย เรากำลังจะ...

     

    ...

     

    ทั้งคู่หยุดยืนอยู่กับที่ก่อนจะมองไปยังนมทั้งสองกล่องที่แบคฮยอนเอาใส่กระเป๋าเพราะความเคยชิน จงอินเห็นว่าคนตัวเล็กกำลังหงอยและเขาก็พอจะเข้าใจว่าสาเหตุมาจากอะไรเพราะเพิ่งโทรคุยกับไอ้ชานยอลมาเมื่อเช้า มันฝากแบคฮยอนไว้ซะดิบดีอย่างกับว่าจะหายไปนาน ทั้ง ๆ ที่อยู่เฝ้าพ่อแค่วันเดียว

     

    เราให้

     

    ขอบใจ จงอินยิ้มแล้วรับกล่องนมมาฉีกฝาออกดื่ม ทั้งสองคนเดินขึ้นไปบนอาคารเรียนด้วยกันอย่างไม่เร่งรีบ แบคฮยอนขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่ออีกคนวางกระเป๋าลงข้าง ๆ เขาซึ่งเป็นที่นั่งของชานยอล วันนี้จะนั่งเป็นเพื่อน

     

    แต่...

     

    วันนี้มีคาบภาษาอังกฤษ ชานยอลมันฝากติวให้นายน่ะ แบคฮยอนลดสีหน้าลงแล้วพยักหน้าหงึก

     

    งั้นจงอินช่วยติวให้เราด้วยนะ เราจะได้เอาการบ้านไปให้ชานยอลทำตอนเย็น

     

    มันฝากบอกมาว่าให้นายไปทำงานพิเศษแล้วกลับบ้านนอนซะ ส่วนเรื่องการบ้านของวันนี้ฉันจะแวะเอาไปให้มันที่โรงพยาบาลเอง

     

    ...

    ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ปล่อยให้มันโตขึ้นโดยที่ไม่มีใครช่วยพยุงบ้างก็ดีเหมือนกัน จงอินยิ้มแล้วยกกล่องนมขึ้นดื่ม แบคฮยอนหลุบสายตามองกล่องนมที่อยู่ในมือทั้งสองข้าง ถึงจะได้ยินอย่างนั้นแล้วแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี ถ้าชานยอลกับคุณลุงคุยกันได้แล้วก็คงดีสินะ

     

    แสดงว่าห้ามเราไปหาชานยอลที่โรงพยาบาลเหรอ

     

    ไม่ใช่อย่างนั้น นายเองก็มีเรื่องที่ต้องทำ พ่อไอ้ชานยอลปลอดภัยแล้วไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ฉันแค่อยากให้ลูกชายทั้งสามคนหันหน้าคุยกันบ้าง เพราะถ้านายอยู่ที่นั่นชานยอลมันก็คงขลุกอยู่กับนายแค่คนเดียว ถูกไหม?

     

    อ่า...จริงด้วย

     

    อย่ากังวลเลย เย็นนี้ฉันอยากรายงานเจ้านายว่าไอ้บ้านนอกของมันใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุขดีโดยไม่นั่งหงอยทั้งวันจนไม่เป็นอันเรียน

     

    เราไม่ได้เป็นอย่างที่จงอินพูดสักหน่อยอ่ะ ร่างเล็กขยับปากบ่นงุบงิบก่อนที่บรรยากาศจะกลับเข้าสู่ความเงียบทั้งที่เพื่อนในห้องต่างส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย แต่แบคฮยอนกลับไม่รู้สึกอย่างนั้นเทามาช้าจัง

     

    ซ้อมว่ายน้ำอยู่มั้ง ใกล้ถึงวันแข่งแล้ว

     

    อ๋อ...

     

    นี่

     

    อื้อ แบคฮยอนชำเลืองมองคนข้าง ๆ ขณะดื่มนมอยู่

     

    ถามเล่น ๆ นะ จงอินเท้าแขนไว้บนโต๊ะแล้วหันเข้าหาคนตัวเล็กกว่าถ้าเกิดไอ้ชานยอลดีกับพ่อแล้วต้องกลับไปอยู่บ้าน นายจะว่ายังไง?

     

    ร่างเล็กกัดฝากล่องนมขณะสบตากับคนตัวโตกว่า จากที่เห็นแบคฮยอนคงคิดเรื่องนี้ไว้อยู่เหมือนกันและบางทีมันอาจจะเป็นต้นเหตุของใบหน้าเศร้าหมองที่เจ้าตัวพยายามกลบเกลื่อนมันอยู่ก็ได้

     

    เราจะไม่ว่าอะไร

     

    ทำไมล่ะ ไม่อยากอยู่ด้วยกันแล้วเหรอ

     

    อยากสิ เราอยากอยู่กับชานยอล แบคฮยอนหลุบตาลงถึงไม่ได้อยู่บ้านหลังเดียวกันแล้วแต่เราก็เจอชานยอลที่โรงเรียนได้นี่

     

    ถ้าคิดอย่างนั้นแล้วทำไมนายถึงยังหงอยแบบนี้ล่ะ? จงอินมองคนตรงหน้าอย่างเอ็นดู ยิ่งนึกไปถึงเพื่อนสนิทตอนมันโทรมาสั่งการให้เขาดูแลไอ้บ้านนอกของมันก็ยิ่งเอ็นดูเข้าไปใหญ่ วูบหนึ่งเด็กหนุ่มคิดว่า...

     

     

     

    เฮ้ย นั่นใช่ไอ้ปาร์คชานยอลคนที่ไม่เคยสนใจใครจริง ๆ น่ะเหรอ?

     

     

     

    มันเป็นเอง เราไม่ได้ตั้งใจเศร้านะ

     

    มีตั้งใจกับไม่ตั้งใจด้วยเหรอ? เด็กหนุ่มผิวแทนยิ้มขำ

     

    ไปบอกชานยอลเลยว่าเรายิ้มทั้งวัน พูดจบก็ยิ้มกว้างให้ดู

     

    มันคงหาว่านายเป็นบ้า คนอะไรจะยิ้มได้ทั้งวัน พอได้ยินอย่างนั้นแบคฮยอนเลยหุบยิ้มลงแล้วขมวดคิ้วคิดหนัก

     

    งั้นบอกว่าเรายิ้มนิดนึงก็ได้อ่ะ...

     

    ฉันรู้น่าว่าควรบอกยังไง เพราะงั้นฉันจะช่วยติวภาษาอังกฤษให้นาย คาบนั้นห้ามเหม่อล่ะ โอเค?

     

    เราจะตั้งใจเรียน

     

    ดี

     

    จงอินยีหัวคนตัวเล็กแล้วทั้งคู่ก็ยกกล่องนมดื่มพร้อมกัน หลังจากที่ได้คุยกับชานยอลเรื่องพ่อ ก็พอจะคาดเดาอนาคตได้ลาง ๆ แล้วว่ามันจะเป็นไปในทางไหน ซึ่งเด็กหนุ่มได้แต่หวังว่าทั้งสองคนจะผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ไปด้วยความเข้าใจกันและกัน

     

    จงอิน

     

    หืม?

     

    “เราคิดถึงชานยอล คนตัวเล็กกัดฝากล่องนมอีกแล้ว จงอินยิ้มขำแล้วเท้าคางมองเด็กแว่นที่กำลังมองมาอย่างหวาด ๆ ห้ามบอกชานยอลนะว่าเราพูดงี้

     

    ไม่ล่ะ ฉันจะบอกมันให้หมดเลย

     

    ไม่เอางี้สิ เราแค่บอกจงอินให้รู้กันสองคนอ่ะ... แบคฮยอนหน้าเจื่อนแล้วเขย่าแขนขอร้องคนข้าง ๆ

     

    ความลับมีในโลกที่ไหนกัน ไม่รู้ล่ะ...ฉันจะบอกมันเดี๋ยวนี้แหละ จงอินแกล้งเอามือถือขึ้นมาก่อนจะยิ้มขำเมื่อคนตัวเล็กพุ่งเข้ามายื้อแย่งไปจากมือเขาแต่ก็ไม่สำเร็จ

     

    อย่านะจงอิน ห้าม ๆ ๆ

     

    เฮ้ยอย่ามาขัดสิ

     

    “ทำไมเป็นคนแบบนี้อ่ะ เราอุตส่าห์ไว้ใจทำไมหักหลังกันได้ลงคอ จงอินใช้ไม่ได้”

     

    ฮ่า ๆ

     

    จงอินลุกขึ้นยืนแล้วชูมือถือขึ้นสุดแขนก่อนจะยิ้มขำเมื่อคนตัวเล็กพยายามกระโดดแย่งมันไปจากเขา อ่า...ชานยอลเพื่อนรัก เห็นทีว่าเย็นนี้กูคงได้เล่าเรื่องความน่ารักของแฟนมึงให้ฟังจนฟ้ามืดแน่ ๆ เลยว่ะ

     

     

     

    หวังว่าตอนนั้นไอ้เพื่อนตัวดีคงไม่ไล่เตะเขากลางโรงพยาบาลหรอกใช่ไหม?

     

     

     

    TBC

     

     

     

    เรากำลังจะเติบโตไปกับปัญหาในชีวิตที่ผ่านเข้ามาให้แก้ไข ตอนต่อไปชานยอลจะทำยังไงถ้าพ่อของเขาตื่นขึ้นมา ทิฐิที่เคยมีลดลงไปมากพอสมควรเพราะเรื่องที่พ่อเกือบตาย อีกทั้งความจริงที่ลู่หานเล่าให้ฟัง ชานยอลจะทำยังไง?

     

    ขอบคุณทรานส์ภาษาอังกฤษจากคุณครูของหนู :: @Pinkkieeee ด้วยค่า :3

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×