คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : Chapter 19 :: My Gift (100%)
Chapter 19
My Gift
เสียงน้ำจากก๊อกสลับกับเสียงจานชามกระทบกันนั้นทำลายความเงียบในห้องครัวตอนหัวค่ำหลังจากบ้านปาร์คกินอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อย ชานยอลชำเลืองมองอีกคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาขัดกระทะที่เกิดรอยไหม้จากฝีมือเขา เด็กหนุ่มขยับเข้าไปยืนใกล้ ๆ โดยที่ยังคงถู ๆ ฟองน้ำไปกับจานในมือ
“ถ้ามันขัดออกยากก็แช่น้ำไว้ก่อนดิ พรุ่งนี้ค่อยล้าง”
“ไม่เอาอ่ะ ครัวจะเหม็น”
“เหม็นก็เหม็น เดี๋ยวกูล้างเอง” เด็กหนุ่มชำเลืองมองศีรษะทุยที่เอาแต่ส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะหันมาทางเขา
“ชานยอลขี้เกียจจะตาย พูดแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ลืม”
“เอ้า! ถ้ากูลืมก็เตือนดิ มันยากตรงไหน” เด็กตัวสูงเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะชะโงกหน้าออกไปดูห้องนั่งเล่น และก็พบว่าลู่หานกำลังพาเพื่อนหอบรายงานขึ้นไปทำบนห้องแล้วปล่อยให้เจโน่นั่งดูทีวีอยู่คนเดียว
อ้อใช่ วันนี้ลู่หานมันพาเพื่อนที่มหาลัยมากินข้าวด้วย ชื่อคิมมินซอก
“เดี๋ยวก็เสร็จแล้วน่า” ชานยอลได้แต่ขยับปากบ่นอุบอิบแบบไม่มีเสียงก่อนจะเอาศอกสะกิดแขนอีกคน “ว่าไง”
“แน่ใจนะว่าไอ้แว๊นหัวส้มเป็นชายแท้”
“โธ่ชานยอล ถ้าแทฮยองชอบเราจริง ๆ คงไม่มาชอบเอาตอนนี้หรอก เราบอกชานยอลไปแล้วนี่ว่าเขามีแฟนแล้ว” แบคฮยอนมองคนคิดมากที่เอาแต่ถามเกี่ยวกับเรื่องเพื่อนสนิทของเขามาตั้งแต่วินาทีแรกที่แทฮยองปีนรั้วโรงเรียนออกไป ชานยอลเลอะเทอะจริง ๆ อ่ะ คิดว่าผู้ชายในโลกจะต้องตกหลุมรักเขาเหมือนชานยอลทุกคนหรือไง เฮ้อ
“ว่าได้เหรอ สายตาไอ้หอกนั่นอย่างกับรู้ว่ากูหึงมึงอ่ะ”
“ก็ชานยอลแสดงออกชัดเจนขนาดนั้น ขนาดโง่ ๆ อย่างเรายังรู้เลยว่าหึง”
“อยากมีแฟนเก็บอาการเก่งให้ไปคบกับคิมจงอินค่ะ ไปค่ะ ประตูบ้านอยู่ทางนั้น” ชานยอลชี้ออกไปข้างนอก แต่มนุษย์ฮอบบิทกลับทำตาปริบ ๆ อ้าปากทำท่าจะงับมือเขา
“แฟนที่ดีต้องไม่ไล่ให้เราไปคบกับคนอื่น”
“งั้นก็เสียใจด้วยที่มีแฟนเหี้ย” ชานยอลแค่นหัวเราะพลางมองอีกคนด้วยหางตา
“เหี้ยแต่รักเราคนเดียวก็โอเค”
“พอเถียงไม่สู้เลยหยอดเหรอวะฮอบบิท?” มันจะเกินไปแล้วนะโว้ย! กูกำลังจะโชว์โหดมึงก็พาวกกลับไปสวีทอยู่นั่น แล้วกูจะทำอะไรได้อีก ฟัค!
“ชานยอลก็เลิกไล่เราไปหาจงอินสักทีซี่”
เสียงงึมงำเหมือนคนบ่นอยู่คนเดียวแต่เสือกน่ารัก ทำให้คนขี้หงุดหงิดเงียบปากได้ ชานยอลได้แต่บอกกับตัวเองว่าให้เชื่อใจไอ้บ้านนอกให้มาก ๆ เพราะถ้าเกิดการระแวงเมื่อไหร่ ชีวิตคู่ก็จะสั่นคลอน ไอ้จงอินบอกไว้อย่างนี้
นี่กูเป็นแฟนกันหรือคู่ผัวเมียหลังแต่งงานแล้วกันแน่วะ
ต่อให้ไอ้แทฮยองมีแฟนเป็นผู้หญิงก็เถอะ แต่ขนาดปาร์คชานยอลคนนี้ยังโบกมือลาเส้นทางอดัมกับอีฟมาแล้วนับประสาอะไรกับไอ้แว๊นใจบ้านนอกนั่น แต่การเชื่อใจแฟนมันก็เป็นเรื่องที่ดีนะคุณ เพราะปรบมือข้างเดียวมันไม่ดังอยู่แล้ว แต่ถ้าเอามือกูตบหน้ามันข้างเดียวอันนั้นดังชัวร์
“มะรืนก็วันเกิดชานยอลแล้ว”
“มีของขวัญให้กูยัง”
“ไม่มีอ่ะ”
ทั้งสองคนหยุดมือที่กำลังวุ่นวายอยู่กับจานชามก่อนจะหันมามองหน้ากันและกันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก บรรยากาศเคว้งคว้างแถมยังได้ยินเสียง ‘กา กา กา’ บินหลอนอยู่บนหัวนี่คืออะไร เหตุใดไอ้บ้านนอกจึงตอบแบบไม่เสียเวลาคิดอย่างนั้น ซึ่งประเด็นหลักของคำถามนี้ปาร์คชานยอลคาดหวังคำตอบไว้อยู่ไม่กี่ข้อเองนะ ยกตัวอย่างเช่น
ก. ถ้าบอกก็ไม่เซอร์ไพรส์น่ะสิ (ยิ้มเขินสุด ๆ เท่าที่มนุษย์เตี้ยคนนึงจะทำได้)
ข. ไม่บอก เดาเอาเองนะ คึคึ (ยิ้มตาหยีแต่มีเล่ห์เหลี่ยม)
ค. อะไรดีน้า (อมยิ้มอ้อล้อ ลีลาไม่ยอมตอบ)
หรือถ้าแย่หน่อยก็อาจจะ...
ง. ชานยอลคิดว่าเราจะไปหาเงินมาจากไหนอ่ะ (อันนี้เหี้ยมาก ถ้าตอบงี้กูจะงอน)
จ. เรายังไม่ได้ซื้อล่ะ นี่แค่ใช้ชีวิตในเมืองกรุงให้ผ่านไปได้ในแต่ละวันก็ลำบากมากพอแล้วนะ วันเกิดยังมีอีกตั้งหลายปีถ้าชานยอลไม่ชิงตายห่าไปก่อนอ่ะ หรือถ้ายังไม่เลิกกันปีหน้าก็ยังมีโอกาส
แม่ง...กูว่างองูกับจอจานนี่เสี่ยงสุด ๆ ละ...
“ชานยอลเป็นคนเกิดเองยังจะมาขอของขวัญจากคนอื่นอีกเหรอ”
นั่นไงห่าจิก หนักกว่าที่กูคิดไว้อี๊กกก
“เอาไปให้คุณลุงสิ คุณลุงเป็นคนทำให้ชานยอลหายใจมาได้จนถึงทุกวันนี้นะ” แค่บอกว่าพ่อเป็นผู้ให้กำเนิดกูก็พอแล้วป่ะวะไอ้บ้านนอก
“ถ้าโรแมนติกไม่เป็นก็เงียบปากไปเลยไป” ชานยอลหรี่ตาคาดโทษคนตัวเล็กที่เอาแต่ขมวดคิ้วครุ่นคิดว่าผีห่าซาตานตนไหนที่ดลบันดาลจิตใจปาร์คชานยอลให้มีความคิดเป็นคนเห็นแก่ได้แบบนี้
“อะไรอ่ะ แล้วก็มางอนเรา” แบคฮยอนเอานิ้วชี้สะกิดแต่อีกคนก็เบี่ยงตัวหลบ “เราไม่เคยเห็นใครมาทวงของขวัญวันเกิดแบบนี้เลยนะ ชานยอลเป็นคนแรก”
“ดีแล้ว ถ้าบอกว่าเคยให้คนอื่นแต่ไม่ให้กูนี่จะโมโหจริง ๆ ด้วย”
“ชานยอลอยากได้ของขวัญจากเราเหรอ” แบคฮยอนช้อนตามองแฟนจ๋าตัวโตที่กำลังทำหน้างิดสุดขีด แย่แล้ว ชานยอลกำลังจะทำให้โลกนี้เป็นสีแดง ไม่ได้นะ นี่ไม่ใช่วันอาทิตย์อ่ะ
“คนทั้งโลกเขาก็ซื้อของขวัญให้แฟนทั้งนั้นแหละ มึงจะซื้อลูกอมให้แค่เม็ดเดียวกูก็ดีใจแล้ว มึงมันหยาบโลนฮอบบิท ไร้ความโรแมนติก แย่มาก กูขอกดแบนมึง” ชานยอลถลึงตามองมนุษย์ฮอบบิทที่เอากระทะวางเก็บที่เดิมก่อนจะเกาหัวตัวเองอย่างไม่เข้าใจ
“อยากได้ลูกอมก็ไม่บอกเราตั้งแต่แรกอ่ะ”
“เดี๋ยวชกหัวหลุด”
“หูย” แบคฮยอนย่นจมูกก่อนจะชำเลืองออกไปข้างนอกห้องครัวเพื่อสังเกตการณ์ว่าจะมีใครได้ยินเรื่องที่เขาสองคนคุยกันอยู่หรือเปล่า “จากที่อยู่ด้วยกันมานาน เรารู้สึกว่าชานยอลคงได้รับแต่สิ่งดี ๆ แพง ๆ มาตลอด แล้วเราก็ยังเรียนไม่จบ ไม่มีเงินเดือนเหมือนคนวัยทำงานอ่ะ” แบคฮยอนพูดเบา ๆ คล้ายกระซิบ
“แล้ว”
“เราจน”
“อันนี้กูรู้นานแล้ว”
“ส่วนจงอินกับจื่อเทาคงซื้อของแพง ๆ ให้แน่เพราะสองคนนั้นมีตังค์อ่ะ แม้แต่คุณลุงก็เหมือนกัน เราคิดว่าปีนี้ต้องมีทีเด็ดแน่ ๆ เราแอบได้ยินเขาคุยกับพี่ลู่หานกับเจโน่มา แต่เราจะไม่บอกหรอกนะว่ามันคืออะไร เดี๋ยวชานยอลจะไม่ตื่นเต้น”
แหม่...เล่นพูดแบบนี้กูคงยังอยากตื่นเต้นอยู่หรอกมั้ง
“กูก็ไม่อยากให้มึงเสียเงินหรอกนะ แต่กูแค่อยากเห็นว่ามึงใส่ใจ ขอโทษที่ง่าว” ชานยอลยีหัวคนตัวเล็กก่อนจะกอดคอให้ออกมาจากห้องครัวด้วยกันทั้งที่อารมณ์ยังคงขุ่นอยู่
พูดก็พูดเถอะว่ะ จะหาว่างี่เง่าก็ได้ที่อยากมีเรื่องงุ้งงิ้งกับแฟนบ้าง ถามว่าคบกันทุกวันนี้มันดีอยู่แล้วหรือเปล่า ปาร์คชานยอลก็คงตอบว่าดีสิ ดีมาก ๆ เลยด้วย แต่เหมือนเขาถูกปลูกฝังทางความคิดมาแบบนั้นว่าวันเกิดจะต้องมีของขวัญจากแฟน หรืออะไรที่พิเศษมากกว่าการมองหน้ากันแล้วบอกว่า ‘สุขสันต์วันเกิดนะ’ ก็เลยรู้สึกผิดหวังทั้ง ๆ ที่เขาก็เข้าใจไอ้บ้านนอกดี
“ชานยอลโกรธเราเหรอ”
“ไม่ได้โกรธ อย่าทำหน้าแบบนั้นดิ” ยิ่งเห็นแววตาผ่านเลนส์แว่นที่มองมาอย่างจริงใจแล้วก็ยิ่งรู้สึกผิด บางทีปาร์คชานยอลอาจจะงี่เง่าเกินไป เด็กหนุ่มหงุดหงิดตัวเองเหลือเกินที่ทำตัวเหมือนเด็กผู้หญิงเข้าไปทุกวัน
“พูดแล้วห้ามคืนคำนะ”
“เออน่า” ชานยอลตอบปัด ๆ เพราะเขาอยากหลุดพ้นอาการเฟลแดกจากเรื่องวันเกิดเฮงซวยที่ใกล้จะมาถึง แต่ถึงอย่างนั้นมนุษย์ฮอบบิทกลับเอาแต่มองมาเป็นระยะ ราวกับว่ารู้สึกผิดที่ไม่มีของขวัญให้กับเขา
วันนี้วันที่ยี่สิบเจ็ดพฤศจิกายนและมันคือวันคล้ายวันเกิดของปาร์คชานยอล เช้าวันนี้อากาศดีมาก ดีจนเด็กหนุ่มคิดว่าเขาไม่ควรรู้สึกเอื่อยเฉื่อยเพียงแค่นึกได้ว่าแบคฮยอนเลือกที่จะอยู่บ้านมากกว่าออกมาข้างนอกกับเขา
อืม ตอนนี้ปาร์คชานยอลนั่งอยู่ในรถกับพ่อตามลำพังสองคน
รถขับเทียบจอดหน้าร้านกาแฟ เราทั้งคู่ลงไปด้วยกันและเลือกเครื่องดื่มในแบบที่ชอบ ชานยอลเลือกโกโก้ร้อนสำหรับวันอุ่น ๆ แทนที่จะเป็นเครื่องดื่มเย็น ส่วนพ่อก็ยังเหมือนเดิม อเมริกาโน่เย็นไม่ใส่ไซรัป
เราเลือกหาที่นั่งในมุมสงบทางด้านใน ชานยอลรู้ว่าที่พ่อพามาที่นี่คงไม่ใช่เพราะอยากดื่มกาแฟตอนสาย ๆ ทั้งที่วันนี้พ่อก็มีงาน สังเกตได้จากมือถือที่สั่นเป็นระยะ แต่พ่อเลือกที่เก็บมันใส่กระเป๋าแล้วเงยหน้าขึ้นมาคุยกัน
“พ่อลางานเหรอ”
“เปล่า นี่ช่วงพัก ยังมีเวลาอีกชั่วโมงครึ่ง” ชายวัยกลางคนดึงแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยเพื่อดูนาฬิกาข้อมือก่อนจะหันไปทางลูกชายที่มองมาราวกับรู้ทุกอย่าง
“ไม่ใช่ตัดภาพมาอีกทีรีบบึ่งไปทำงานจนขับรถชนเสาไฟฟ้าอีกนะ”
“ปากแกนี่...” ปาร์คมองคาดโทษเด็กหนุ่มที่หลุดขำออกมาราวกับไม่รู้สึกผิดที่พูดแบบนั้นกับเขาผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพ่อแท้ ๆ ของมัน
“เข้าเรื่องเถอะ ผมรู้ว่าพ่ออยากชวนคุยเรื่องจริงจังเต็มแก่แล้ว” ในสายตาคนเป็นพ่อ ตอนนี้ชานยอลวางตัวได้ดีมากกว่าเมื่อปีที่แล้ว เจ้าเด็กนี่โตขึ้น ผิดกับที่คาดเอาไว้ว่าเจ้าตัวอาจจะนั่งกระดิกขาแล้วปั้นหน้าหงิกเพราะเซ็งที่ต้องมานั่งในที่แบบนี้ในวันเกิดของตัวเอง
“เรื่องเรียนน่ะ แกเล็งมหาวิทยาลัยที่ไหนไว้บ้างหรือเปล่า?”
“ไอ้จงอินกับไอ้เทาจะเข้ามหาลัยแห่งชาติโซล ส่วนผมไม่ได้มีปัญหาเรื่องสถาบัน ถ้าเพื่อนเรียนที่นั่นผมก็คงดูคณะที่น่าเรียนอีกที”
“เห็นพ่อของจงอินบอกว่าลูกชายเขาอยากเรียนนิติศาสตร์ ก็ดีเหมือนกันนะ แล้วจื่อเทาล่ะ?”
“มันก็เหมือนผมนั่นแหละ ยังไม่ได้คิดว่าจะเรียนอะไร แต่ที่แน่ ๆ คงไม่เอานิติ”
“แล้วแกอยากเรียนอะไรล่ะ”
“ไม่รู้สิ พ่อคิดว่าไง?”
“อนาคตของแก ฉันอยากให้แกคิดเองก่อนว่าอยากเดินไปในทางไหน จะได้แนะนำถูก” คนเป็นลูกนิ่งไปครู่หนึ่งหลังจากได้ยินประโยคนี้ ทั้งที่เคยคิดว่าพ่ออาจจะอยากให้เรียนวิศวะเพื่อที่จบมาจะได้มีงานการที่มั่นคงเหมือนกับพ่อ แต่เขาคิดผิด
“ผมยังหาตัวเองไม่เจอเลย” ชายวัยกลางคนมองลูกชายที่หลุบสายตาลงมองแก้วกระดาษสีขาวบนโต๊ะไม้ราวกับว่ากำลังใช้ความคิด “ตอนที่พ่อจะเข้าวิศวะ พ่อคิดอะไรอยู่”
สิ้นสุดคำถามคนเป็นพ่อก็หัวเราะในลำคอเบา ๆ ลักยิ้มบนแก้มทั้งสองข้างนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้พ่อดูใจดีขึ้น ถ้าให้เทียบกับตอนปั้นหน้านิ่งจริงจัง ซึ่งพ่อมักจะทำอย่างหลังอยู่เสมอ
“ตอนนั้นฉันคิดว่าต้องเลือกอะไรสักอย่างเพื่อเรียนมันให้จบ แล้วเอาไปประกอบอาชีพในอนาคต”
“นั่นสิ เราก็แค่ต้องเลือกอะไรสักอย่าง เพื่อเรียนมันให้จบ”
“แต่เอาจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ ‘แค่’ หรอกชานยอล ตอนนี้เหมือนแกกำลังยืนอยู่ตรงกลาง แล้วมีทางแยกอยู่ข้างหน้ามากมายให้แกตัดสินใจว่าจะเลือกเดินไปทางไหน บางทางแยกก็แคบจนยากที่จะเดินเข้าไป เพราะยังมีคนอายุเท่าแกอีกมากมายที่แย่งกันเข้าไปในนั้น บางทางแยกก็กว้างเกินไปจนดูโล่ง ไม่ค่อยมีคนเลือกเดินทางนั้น ส่วนมากมันจะกลายเป็นทางเลือกสุดท้ายสำหรับกลุ่มคนที่ถูกเตะออกมาจากทางแคบ ๆ นั่น”
ที่พ่อพูดก็ถูก บางคณะโควตารับคนเข้าน้อย แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังแย่งกันเข้าไป ซึ่งคนเหล่านั้นยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันคือสิ่งที่พวกเขาต้องการจริง ๆ หรือเปล่า หรือพวกเขาเลือกเข้าไปเพราะคิดว่าคณะนี้ดัง เรียนจบไปแล้วต้องได้ดี มีหน้ามีตาในสังคม พูดคุยอวดโวได้ว่าจบมาจากสถาบันนี้ จบจากคณะที่มีชื่อเสียง
“แต่พ่อก็เลือกเดินทางแคบมาแล้ว”
“ฟลุ๊คน่ะ ตอนนั้นฉันดันตัวผอมเลยปีนขึ้นกำแพงข้ามหัวคนพวกนั้นไปได้ง่าย ๆ” พ่อหัวเราะ “ตอนนั้นใจนึงก็อยากเรียนสถาปัตย์เพราะชอบวาดรูป แต่พอมาคิดดี ๆ แล้ว วาดรูปจะวาดตอนไหนก็ได้ แต่งานที่มั่นคงและทำให้รู้สึกท้าทายไปด้วยนี่สิคือสิ่งที่น่าสนใจกว่า”
“เลยเลือกวิศวะสินะ”
“เลี้ยงลูกสามคนให้อยู่กินอย่างสบายได้ฉันก็พอใจแล้ว”
เหมือนว่าบทสนทนาจะสิ้นสุดลงเพราะไม่มีใครพูดอะไรอีก ชานยอลคิดว่าความอึดอัดที่มีต่อพ่อมันจางลงไปมากแล้ว แต่พออยู่ด้วยกันสองคนบรรยากาศมันก็เป็นอย่างนี้เสียทุกที อาจเป็นเพราะเรานิสัยเหมือนกันเกินไปอย่างที่ใคร ๆ ว่าจริง ๆ นั่นแหละ ไม่ค่อยพูด แต่ก็เข้าใจ
“ฉันอยากให้แกมีอนาคตที่ดีนะชานยอล”
“ผมรู้”
“ถ้าแกยังตัดสินใจไม่ได้ ฉันก็มีตัวเลือกเพิ่มมาให้อีกหนึ่ง”
เด็กหนุ่มมองใบโบว์ชัวร์ที่พ่อวางลงบนโต๊ะก่อนจะเลื่อนมาข้างหน้า ตัวหนังสือภาษาอังกฤษกับภาพชาวต่างชาติที่อยู่ปกเป็นภาพประกอบนั้นทำให้เด็กหนุ่มเข้าใจได้ไม่ยากว่าพ่อต้องการสื่ออะไร
“ทุกสถาบันสอนดีแต่เราใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างตอนสมัครงานไม่ได้” ชายวัยกลางคนมองลูกชายที่กำลังคลี่โบว์ชัวร์ดูอย่างใจเย็น “สมัยนี้เลือกคนเข้าทำงานที่ประวัติการเรียน ทั้งเกรด สถาบัน ประสบการณ์ทำงานก็มีส่วน”
“ยิ่งจบนอกมา คนยิ่งอยากได้ไปทำงานด้วยสินะ” เด็กหนุ่มพูดทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากโบว์ชัวร์ ไม่ต้องถามให้เสียเวลาว่าเพราะอะไรพ่อถึงหยิบยื่นสิ่งนี้ให้กับเขา “พ่อเอามาจากไหน”
“ลูกสาวเพื่อนฉันเอง เธอเรียนอยู่อเมริกามาสองปีแล้ว จากที่ฟังมาเธอก็ดูเต็มใจเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้ถ้าเกิดแกสนใจไปอยู่ที่นั่น ในกรณีอยู่รัฐเดียวกันน่ะนะ”
“อืม...”
“แค่ทางเลือกน่ะ ฉันไม่บังคับอยู่แล้ว” ปาร์คจองซูกระแอมไอพลางประสานมือไว้บนตัก เขากำลังเป็นกังวลว่าลูกชายจะคิดยังไงกับเรื่องนี้ หลังจากที่เขาใช้เวลาทบทวนอยู่หลายวัน อีกทั้งยังปรึกษาลูกชายคนโตมา และลู่หานก็เห็นด้วย
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ถ้าถามว่าน่าสนใจไหม แน่นอนมันน่าสนใจมาก แต่ไหนแต่ไรที่ปาร์คชานยอลชอบเดินทางไปเจอสิ่งใหม่ ๆ แต่มันไม่ใช่ตอนนี้ ตอนที่เขามีแฟนอยู่แล้วทั้งคน
“ฉันไม่ได้อยากเอาคำตอบตอนนี้ แกเอาโบว์ชัวร์ไปให้แบคฮยอนดูก่อนก็ได้”
“...”
“ลู่หานบอกว่าเพื่อนแกเรียนเก่งแต่อ่อนภาษาอังกฤษ ถ้าจะไปอยู่ที่นั่นก็ต้องติวหนักกันหน่อย ไหนจะคะแนนโทเฟล ไหนจะคะแนนสอบวัดระดับความรู้ทางภาษาอังกฤษกับคณิตศาสตร์ อย่างแบคฮยอนนี่น่าเป็นห่วงเรื่องโทเฟล”
เด็กมองพ่ออย่างไม่เชื่อหูตัวเอง เขาใช้เวลาอยู่เกือบนาทีในการทบทวนสิ่งที่พ่อพูดออกมาทั้งหมด ก่อนจะขมวดคิ้วสงสัยเพื่อให้พ่ออธิบายกับประโยคคลุมเครือนี้อีกครั้ง
“หมายความว่าพ่อจะให้ผมกับไอ้บ้านนอก...?”
“อืม ฉันชอบเด็กขยัน จะส่งลูกไปเรียนนอกทั้งทีถ้ามีเด็กตั้งใจเรียนอย่างแบคฮยอนไปช่วยคุมความประพฤติก็คงดีเหมือนกัน”
“เออ...” ชานยอลอ้าปากค้าง บอกเลยว่าตอนนี้หัวใจกำลังเต้นแรง ราวกับว่าพ่อเพิ่งอนุมัติให้เขาแต่งงานกับไอ้บ้านนอกได้ยังไงอย่างนั้น ไม่จริงน่า...ตาแก่นี่จะส่งเขากับมนุษย์ฮอบบิทไปเรียนเมืองนอกจริง ๆ เหรอ?
“ในโบว์ชัวร์มีมหาลัยให้เลือกเยอะมาก จะไปนิวยอร์ค แคลิฟอร์เนีย โอไฮโอ วอชิงตันอะไรก็ลองดูแล้วกัน แต่ละมหาลัยมันบอกไว้ว่าต้องการคะแนนโทเฟลเท่าไหร่ อะไรยังไงก็ลองศึกษาดู ตกลงกันได้แล้วก็บอกพ่อ จะได้บอกครูแจซอกเขียนจดหมายรับรองให้ด้วย เพราะบางมหาลัยต้องใช้มัน”
“เฮ้ยพ่อ มันจะไม่แพงหูฉีกเหรอ ที่จริงเรียนเกาหลีก็ได้นะ แต่ช่วยออกค่าเทอมให้ไอ้บ้านนอกด้วย” ชานยอลอมยิ้มมองพ่อที่ลุกขึ้นยืนกระชับสูทนอกด้วยท่าทางฟอร์มจัดเหมือนอย่างเคย
“ก็แล้วแต่แก”
“โอเค งั้นเดี๋ยวขอไปถามแบคฮยอนก่อนนะว่ามันอยากเรียนที่ไหน” เด็กตัวสูงยิ้มกว้างก่อนจะลุกขึ้นกุมมือพ่อแล้วเขย่ารัว ๆ อย่างดีใจ
“อะไรของแก”
“ความจริงผมตั้งใจไว้ว่าจะส่งข้อความไปขอบคุณพ่อที่ทำให้แม่ท้องผมได้ แต่มันเป็นเรื่องยากมากพ่อเข้าใจใช่ไหม ใจจริงอยากจะหอมแก้มสักฟอดแล้วทำมือเป็นรูปหัวใจบนหัวด้วย แต่ไม่เอาแล้วดีกว่า ผมกลัวพ่ออาย”
“เออดีที่ยังคิดได้” ปาร์คจองซูมองลูกชายอย่างหวาด ๆ ท่าทางดีอกดีใจจนเวอร์เกินเหตุแบบนี้มันเป็นเรื่องที่เขาคาดไม่ถึงเลยจริง ๆ
ได้เพียงแค่มองตามแผ่นหลังลูกชายที่วิ่งออกจากร้านไปด้วยความเร็วโดยที่ไม่รอให้เขาขับรถไปส่งที่บ้าน วินาทีนั้นปาร์คจองซูได้แต่ถามตัวเองว่ามันควรจะเป็นเขาไม่ใช่เหรอที่ต้องเดินออกไปแล้วปล่อยให้ไอ้เด็กนั่นนั่งใช้ความคิดอยู่ที่นี่ตามลำพังก่อนจะกลับไปปรึกษาเพื่อนที่บ้าน
ชายวัยกลางคนยิ้มขำพลางส่ายหน้าหน่าย ๆ ที่เมื่อกี้บอกว่าลูกชายโตขึ้นน่ะขอเปลี่ยนคำพูดได้ไหม ให้ตายเถอะ ในสายตาคนเป็นพ่อ ต่อให้ลูกจะเรียนจบมีงานทำแล้วยังไงลูกก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำนั่นแหละ
สายตาที่มองไปยังกล่องกระดาษในมือนั้นแน่วแน่ และมือที่กำลังค่อย ๆ ติดสก๊อตเทปก็เช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่บยอนแบคฮยอนกำลังห่อของขวัญให้ใครสักคนถ้าไม่นับเรื่องทำงานบ้าน หรือทำตามคำสั่งทุกอย่างเมื่อถึงวันเกิดของพ่อกับแม่ เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาคิดว่ามันถูกต้องแล้ว การเป็นลูกควรจะตอบแทนผู้ให้กำเนิดเมื่อเวลาวนมาถึงวันครบรอบวันคล้ายวันเกิด
แบคฮยอนใช้เวลานานกว่าจะเลือกของขวัญได้ อันที่จริงเขาก็ลังเลมาตั้งแต่วันนั้นที่ได้คุยกับจงอินแล้วล่ะว่าควรซื้อของขวัญดีไหม เพราะถ้ามาลองคิดดูดี ๆ ชานยอลก็เคยซื้ออะไรหลายอย่างให้กับเขา แต่พอมาคิดดูอีกที...ชานยอลก็มีเงินมากพอที่จะซื้อสิ่งนั้นถ้าเกิดว่าแบคฮยอนคิดจะซื้อให้
กลัวชานยอลเห้นแล้วไม่ดีใจ นั่นแหละที่แบคฮยอนกลัว
สุดท้ายเลยตัดสินใจแล้วว่าจะให้ ไม่ว่าชานยอลจะพอใจหรือไม่ก็ตาม อย่างน้อยผู้ชายคนนั้นก็ออกปากมาเองว่าแค่ลูกอมเม็ดเดียวก็ดีใจแล้ว แต่ที่แบคฮยอนกำลังจะให้น่ะราคามันมากกว่าลูกอมตั้งหลายร้อยเท่าเลยนะ เพราะฉะนั้นชานยอลต้องพอใจ
ระหว่างนั่งห่อของขวัญก็วางแผนว่าจะเซอร์ไพรส์แฟนยังไงดี บอกตามตรงเลยว่าแบคฮยอนไม่ใช่คนถนัดเรื่องนี้ แต่ถ้าจะยื่นให้เฉย ๆ ก็กลัวชานยอลจะเซ็งอีกอ่ะ แต่ถ้าจะเอาไปซ่อนชาตินี้ชานยอลคงหาไม่เจอแน่ ทำไมชีวิตถึงยากจังเลยนะ
หรือว่าจะแกล้งหลับแล้ววางของขวัญไว้บนโต๊ะข้างเตียงเหมือนที่ชานยอลเคยทำดีอ่ะ หูย...ถ้าทำแบบนั้นชานยอลต้องด่าหาว่าขี้ก๊อปแน่เลย ไม่เอา ๆ
“ไอ้บ้านนอก!”
เสียงตะโกนมาพร้อมเสียงฝีเท้าที่ย่ำตามบันไดขึ้นมาด้วยความเร็ว แบคฮยอนเบิกตากว้างอย่างตกใจก่อนจะหลุบตาลงมองซากกล่องที่ยังห่อไม่เสร็จกับกระดาษห่อของขวัญที่ปัจจุบันมันยังม้วนไว้เป็นอย่างดี ไหนจะอุปกรณ์บนพื้นอีก
แย่แล้ว! ทำไมชานยอลถึงกลับมาเร็วจังเลยล่ะ ทั้งที่ตอนแรกคิดว่าคงอีกเป็นชั่วโมงกว่าจะกลับ เขาเลยชะล่าใจไปดูดฝุ่น ถูบ้านให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยมาห่อของขวัญ
และตอนนี้ยังทำอะไรไม่เสร็จเลยสักอย่าง ขอเวลาอีกสักสองนาทีไม่ได้เหรอ
สองมือรีบกวาดทุกอย่างยัดเข้าไปใต้เตียงก่อนจะหันซ้ายขวาหาที่ซ่อนกล่องกระดาษที่มีของขวัญชานยอลอยู่ในนั้น ร่างเล็กเดินวนไปวนมาอยู่กับที่พลางกุมขมับ เสียงฝีเท้าก็ดังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ก่อนจะยัดกล่องนั้นใส่เข้าไปในฮู๊ดเสื้อตัวนอกของตัวเอง
ปัง!
“ว่าไง!”
แบคฮยอนยืนตรงเท้าชิดกันพร้อมยกมือขึ้นระดับหัวไหล่ทักทายผู้มาใหม่ที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา รู้สึกตึง ๆ ตรงคอเสื้อเพราะของขวัญที่หน่วงอยู่กับฮู๊ดแต่ก็ไม่กล้าขยับมากเพราะกลัวชานยอลจะรู้ ที่เขาเป็นอยู่มันน่าจับผิดมากเลยนะ แต่ถือว่าโชคดีที่ชานยอลดูเหมือนจะไม่ได้สนใจกับท่าทางแปลก ๆ ของเขานัก
คนตัวสูงยังคงยิ้มเหมือนในทีแรกขณะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา แบคฮยอนทำตาปริบ ๆ ตอนสบตากัน ชานยอลเอาแต่ยิ้มเหมือนคนกำลังจะสำลักความสุขออกมายังไงอย่างนั้น ก่อนที่มือใหญ่ จะเอื้อมมือกุมมือเขาเอาไว้ แล้วจูงมือให้เดินออกไปจากห้องด้วยกัน
“ไปปั่นจักรยานเล่นกันเถอะ วันนี้อากาศดี”
50%
คนตัวเล็กถูกลากมาถึงลานจอดรถ ดีที่ข้างล่างไม่มีใครอยู่ ไม่งั้นคงเกิดคำถามว่าบยอนแบคฮยอนเป็นบ้าอะไรถึงได้ทำท่าเหมือนคนจะขาดใจตายเพราะคอเสื้อรั้งคอเอาไว้
แต่นับว่าพระเจ้ายังเข้าข้างอยู่ ชานยอลถึงได้ตรงดิ่งเข้าไปเอาจักรยานออกมา แล้วพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้เขาขึ้นไปซ้อนข้างหลัง แบคฮยอนจะไม่ยอมให้อีกคนเห็นของขวัญก่อนเซอร์ไพรส์เด็ดขาด เขาตั้งใจไว้อย่างดิบดีแล้ว
เพราะจากที่เห็นอาการงอนตูดบิดของชานยอลเรื่องของขวัญวันเกิด มันคงไม่ดีแน่ถ้าเขาจะถูกกระชากคอเสื้อหาเรื่อง เพราะจับได้ว่าซ่อนกล่องของขวัญไว้ในฮู๊ด แต่ดั๊นลีลาไม่ยอมเอาให้สักที ก็ถ้าของที่อยู่ข้างในมันราคาล้านวอนก็ว่าไปอย่างอ่ะ แบบนั้นชานยอลอาจจะพอใจมากกว่า แล้วก็คงหักลบความผิดหวังเรื่องเซอร์ไพรส์พลาดได้
คนตัวเล็กเดินเฉียงท่าปูไปทางด้านข้างพลางปั้นหน้านิ่ง เขาจำมาจากหนังสายลับเมื่อตอนเป็นเด็ก ว่าการตบตาผู้คนด้วยวิธีเก็บสีหน้านั่นมันเท่สุด ๆ ไปเลย และแบคฮยอนคาดว่าชานยอลต้องจับพิรุธไม่ได้แน่ ๆ
“ทำไรของมึงวะฮอบบิท”
อุ่ย...
“เราสบตากับเคนนี่อยู่อ่ะ เหมือนมันกำลังจะบอกว่า ‘สวัสดีแบคฮยอน วันนี้อากาศสดใสดีนะว่าไหม ถ้าขาของฉันยาวกว่านี้ ฉันก็อยากออกไปปั่นจักรยานสูดอากาศบริสุทธิ์บ้างเหมือนกัน’ ยังไงอย่างนั้นเลยอ่ะ”
แบคฮยอนเหลือบมองแฟนตัวโตแค่ครู่เดียว ก่อนจะหันไปทางเจ้าของชื่อที่เอาคางเกยช่องเหล็กของประตูรั้วหน้าบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ใคร นอกจากหมาพันธุ์เยอรมัน เชฟเฟิร์ดที่กำลังเมาง่วงสุด ๆ และไม่เคยมีความคิดจะย้ายก้นลุกไปไหนทั้งนั้น
“ขึ้นมาได้แล้ว”
“พอถึงวันเกิด ชานยอลก็ใจดีขึ้นมาเลยอ่ะ” แบคฮยอนทำตาโตมองขายาวที่วางอยู่บนขั้นบันไดปั่นเตรียมพร้อมออกไปข้างนอก
“หรือจะปั่นเอง?”
“ไม่นะไม่! ชานยอลปั่นแหละดีแล้ว วันนี้เราเจ็บขามากเลยอ่ะ คงปั่นให้ชานยอลนั่งไม่ได้ เราเดินชนประตูมา” คนตัวเล็กลนลานโกหกคำโต ในขณะที่อีกคนเพียงแค่ทำหน้าเรียบเฉยราวกับว่าต่อให้ไม่มีคำแก้ตัว ชานยอลก็ไม่ได้สงสัยอะไรขนาดนั้น
“เดินชนประตูยังไงให้เจ็บขา มันต้องเจ็บตีนหรือไม่ก็หัวไม่ใช่เหรอวะ?”
อุ่ย...
“เท้าเราก็เจ็บ” แบคฮยอนพยายามทำหน้าให้เป็นปกติที่สุด ก่อนจะเดินท่าปูไปซ้อนท้ายจักรยาน เขาจะไม่ยอมปั่นเองเด็ดขาดต่อให้ชานยอลจะทุ่มท่า เพราะถ้าทำอย่างนั้นของขวัญที่ห้อยต่องแต่งอยู่กับฮู๊ดต้องเปิดเผยแน่!
ไม่บ่อยนักหรอกที่แบคฮยอนจะมีโอกาสได้กวาดสายตาดูวิวทิวทัศน์รอบข้างแบบนี้ เพราะปกติก็เป็นคนปั่นอยู่ตลอด สายตาก็ต้องมองแต่ถนนข้างหน้า จะหันไปชมวิวก็ไม่ได้เดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุ ไม่จากทางรถยนต์ก็คงเป็นจากฝ่ามือของชานยอล
ตอนที่ชานยอลเกิด อากาศก็คงดีแบบนี้เหมือนกันสินะ
ร่างเล็กมองแผ่นหลังกว้างแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม มันทำให้อดคิดถึงเมื่อตอนเรารู้จักกันแรก ๆ ไม่ได้ว่าอีกฝ่ายแสดงออกกับเขาแบบไหน ครั้งหนึ่งชานยอลเคยเป็นเพื่อนสนิทกับตลับเมตร ผู้ชายคนนี้ใช้มันเป็นอาวุธเวลาเขาขยับเข้าไปใกล้ แต่แบคฮยอนชอบนะ สีหน้าชานยอลตอนกำลังกลัวสุดขีดน่ะน่ารักจะตายไป
ชานยอลคงกำลังอารมณ์ดีมากแน่ ๆ ถึงได้ฮัมเพลงจนจบ และต่อด้วยเพลงที่สองอย่างไม่อิดออด แบคฮยอนขยับปากร้องตามโดยไม่ออกเสียง เพราะถ้าชานยอลได้ยินเข้า เจ้าตัวคงเขินจนหยุดร้องเพลงแน่ ๆ
“หิวยัง”
“กระเพาะเราเชื่อมต่อกับกระเพาะของชานยอล มันจะหิวพร้อมชานยอลนะ” ประโยคน่ารักทำเอาคนฟังรู้สึกดี อีกทั้งศีรษะทุยที่เพิ่งซบลงกับแผ่นหลังก็เช่นกัน มันทำให้ชานยอลยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“กูไม่เขินหรอกนะ”
“จริงเหรอ” แบคฮยอนจับเสื้ออีกคนไว้หลวม ๆ พลางชะโงกมอง แต่ก็เห็นเพียงแค่เสี้ยวหน้าของคนตัวสูงเท่านั้น
“เออดิ”
“แน่นะ”
“เออ” ชานยอลปรับเสียงให้เหมือนปกติ ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะรู้สึกไม่อยากจะปกติเพราะคนตัวเล็กเอาแขนสั้น ๆ มากอดเอว อีกทั้งยังเอาแก้มแนบหลังเขาเสียอย่างนั้น
“ตัวชานยอลหอมจัง”
“เลิกพูดสักทีดิ๊” ไอ้เตี้ยนี่ก็จะทำให้เขาเขินอยู่นั่น นอกจากปาร์คชานยอลจะไม่ยอมบอกว่าเขินแล้ว เขาก็จะไม่ยอมบอกอีกด้วยว่าจมูกที่กำลังกดหอมเสื้อของเขาอยู่น่ะมัน...
เฮ้อ...ทำไมแฟนกูน่ารักอย่างนี้วะ
“โอ๊ะ!” เด็กตัวสูงหันไปมองคนข้างหลังที่ลงจากเบาะนั่งทันทีที่เขาจอดจักรยานลงข้างสวนสาธารณะ ร่างเล็กถอยไปสามก้าวด้วยท่าทางแปลก ๆ สายตาที่กำลังล่อกแล่กนั่นน่ะมีพิรุธชะมัด
“อะไร”
“ชานยอลมาทำอะไรที่นี่”
“หาที่นั่งคุยกัน ยังไม่หิวไม่ใช่เหรอ?”
เด็กหนุ่มมองมนุษย์ฮอบบิทที่ยังคงยืนทื่ออยู่ที่เดิม อันที่จริง มันก็แค่ยืนอยู่เฉย ๆ เหมือนกับทุกทีนั่นแหละ แต่สถานการณ์ในตอนนี้มันแปลกไปไหม ทั้งที่เมื่อกี้เจ้าตัวเอาแต่พูดจ้อเจื้อยอย่างกับนกแก้วนกขุนทอง แต่พอเขาจอดจักรยาน ไอ้บ้านนอกก็มีท่าทีเปลี่ยนไป
“เป็นไรเปล่า?”
“เปล่าอ่ะ”
“มานี่สิ” ชานยอลยื่นมือออกมา เขาเห็นว่าไอ้บ้านนอกหลุบตาลงมองมือเขาราวกับกำลังชั่งใจ
ระหว่างรอให้สมองอันแรมต่ำของคุณแฟนประมวลผล ชานยอลก็ได้เห็นว่าคอเสื้อคนตัวเล็กมันรั้งไปข้างหลังเลยตรงเข้าไปหากะว่าจะช่วยจัดเสื้อให้ แต่อีกฝ่ายกลับผละตัวออก
“จะช่วยจัดเสื้อให้”
“ไม่เป็นไร เราชอบให้คอเสื้อมันขึ้นสูง ๆ แบบนี้” แบคฮยอนทำตาโต แย่แล้ว...จะทำยังไงดีอ่ะ ตอนนี้ชานยอลกำลังทำหน้าเหมือนคนไม่เชื่อคำพูดแฟนเลย นี่เขาไม่เคยโกหกเลยนะ อย่างมากก็แค่ไม่พูดความจริง ชานยอลห้ามมองจับผิดแบบนี้สิ
“...”
“...!!!”
แบคฮยอนถอยหลังก้าวหนึ่ง เท่ากับจำนวนที่ชานยอลก้าวเข้าหา สายตาของผู้ชายฉลาดแกมโกงคนนั้นกำลังมองมา และตอนนี้คนตัวเล็กคิดว่าไททันจอมโหดคงรู้แล้วว่าเขาซ่อนอะไรไว้ข้างหลัง
“เอาออกมา”
นั่นไง...
“อ...อะไรอ่ะ”
“นับหนึ่ง”
“หูย มานับอะไรกัน...” แบคฮยอนพึมพำ ขณะที่ขาสั้น ๆ ทั้งสองข้างกำลังเดินถอยหลังไปเรื่อย ๆ
ชานยอลจ้องหน้ามนุษย์ฮอบบิท ชนิดว่าเอาให้สำลักความลับตายกันไปข้าง นี่เป็นแฟนกันมาตั้งหลายเดือน กล้าดียังไงถึงมีความลับกับเขา
“เฮ้ยนั่นรถชนกัน!” ชานยอลชี้ไปสุดแขนด้วยสีหน้าตกใจเกินจริง แต่ดูเหมือนว่าวิธีหลอกเด็กของเขาจะใช้กับไอ้บ้านนอกไม่ได้
แบคฮยอนมองมาด้วยสายตาอ้างว้าง ราวกับว่าเจ้าตัวกำลังผิดหวังที่เขาเล่นมุกกะโปกแบบนี้ออกมากลางวันแสก ๆ ได้ยังไง ทั้งคู่ค้างอยู่ท่านั้น ชานยอลรู้สึกเสียฟอร์มเหลือเกินกับความผิดพลาดอันใหญ่หลวงที่เกิดขึ้น และเขาจะไม่ยอมให้คนตรงหน้าพูดอะไรให้เขาต้องอายแน่!!
“โอ๊ะ อย่านะชานยอล!”
เจ้าของชื่อไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ชานยอลเข้าไปรวบตัวแฟนจ๋าไว้กันไม่ให้หนี เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าไอ้บ้านนอกซ่อนอะไรไว้ข้างหลัง!!!
ตุ่บ!!!
เสียงอะไรบางอย่างตกลงพื้นทำให้ทั้งสองคนค้างอยู่ท่านั้น ก่อนจะหันไปมองกล่องกระดาษสีน้ำตาลที่นอนโง่ ๆ อยู่บนพื้นซีเมนต์ แบคฮยอนลนลานจะเข้าไปเก็บ แต่คนตัวสูงกลับออกแรงกอดแน่นยิ่งขึ้นจนดิ้นไปไหนไม่ได้
“นั่นอะไร”
แบคฮยอนถึงกับตาเหลือก ก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่นจนเป็นเส้นตรงราวกับว่ามีฆาตกรโรคจิตเย็บปากเขาไว้ด้วยด้ายชนิดขาดยากสุด ๆ ไม่สิ...อันที่จริงเขารู้สึกเหมือนนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะไม้ยาวที่มีหลอดไฟห้อยอยู่บนหัว ก่อนที่ชานยอลในชุดตำรวจนอกเครื่องแบบจะวางมือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ แล้วมองมาด้วยสายตาดุสุด ๆ ไปเลย
‘บอกความจริงมาซะ โทษหนักจะกลายเป็นเบา’
นั่นคือเสียงในมโนภาพที่แบคฮยอนได้ยิน
“ที่คอเสื้อมันหน่วงไปข้างหลังเพราะมึงซ่อนมันไว้ในฮู๊ดงั้นเหรอ?” แบคฮยอนอยากร้องไห้ เขาจะไม่ใช้คำว่าโง่นะ แต่ชานยอลจะเพิ่งมาฉลาดอะไรเอาตอนนี้อ่ะ...
ร่างเล็กมองไททันตัวโตที่ผละตัวออกแล้วเข้าไปเก็บกล่องกระดาษขึ้นมา คนตัวสูงยืนมองมันแล้วพลิกดูอยู่ในทีก่อนจะเขย่าจนได้ยินของที่อยู่ข้างใน
“อย่าเขย่าแรงซี่” แบคฮยอนคว้ามืออีกคนไว้พลางส่ายหน้า ชานยอลหลุบตามองแฟนจ๋าที่กำลังทำหน้าเหมือนคนจะสำลอกความลับออกมาแล้วก็ยิ้มกริ่ม
“ให้กูสินะ”
“...ถ้าหมายถึงตอนที่ห่อกระดาษห่อของขวัญแล้วก็ใช่อ่ะ...” แบคฮยอนทำหน้าเหมือนคนเตรียมพร้อมจะรับเสียงถอนหายใจผิดหวังของอีกฝ่าย ถ้าเปิดกล่องออกมาชานยอลต้องเซ็งแน่ ๆ เลย
เด็กหนุ่มยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก็ดีเหมือนกันที่ไอ้บ้านนอกเอาแต่จดจ่อสายตาอยู่กับกล่องกระดาษ เพราะเขาจะได้ไม่ต้องกลั้นยิ้มให้เมื่อยแก้ม ชานยอลยีผมคนตรงหน้าก่อนจะกดศีรษะทุยให้ซบลงกับอกแล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“ทำไมมึงน่ารักแบบนี้วะฮอบบิท”
“จะน่ารักกว่านี้อีกถ้าห่อกระดาษเรียบร้อยแล้วอ่ะ...”
“กูหมายถึงมึง ไม่ใช่ของขวัญนี่” ชานยอลยิ้มขำที่คนตัวเล็กหูเพี้ยนได้ยินไปอีกอย่าง “ซื้อมาหรือเปล่า?”
“ซื้อคับ”
“แพงไหม?”
“ไม่แพง เราบอกชานยอลแล้วนี่ว่าไม่มีตังค์...” เสียงอู้อี้ของคนตัวเล็กเหมือนกำลังรู้สึกผิดอยู่ในใจ ชานยอลมองกล่องของขวัญในมือแล้วผละคนตรงหน้าออกก่อนจะจ้องตา
“กลัวกูโกรธเหรอ?” แบคฮยอนพยักหน้าเป็นคำตอบ เด็กหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะกอดคอคนตัวเล็กให้เดินไปด้วยกัน “มึงทำกูรู้สึกผิดเลยนะเนี่ย”
“รู้สึกผิดทำไมอ่ะ เราสิต้องรู้สึกผิดที่ห่อของขวัญยังไม่เสร็จ”
“ไหนตอนแรกบอกว่าไม่มีให้ไง”
“ก็เราไม่มั่นใจว่าควรให้ดีไหม เพราะเราไม่มีเงิน กลัวว่าซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้แล้วชานยอลจะไม่ดีใจอ่ะ”
“เพ้อเจ้อ เห็นกูเป็นพวกยึดติดขนาดนั้นเลยหรือไง ก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าอะไรก็ตามที่มาจากมึง แค่ลูกอมเม็ดเดียวกูก็ดีใจแล้ว” แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังยิ้มให้เขา ผิดจากที่คาดไว้ว่าชานยอลงอาจจะผิดหวัง
“ต่อให้เป็นของราคาถูก ชานยอลก็จะดีใจใช่ไหม”
ชานยอลยิ้มแล้วพยักหน้าเป็นคำตอบ และมันทำให้คนที่กำลังตกอยู่ในความกังวลรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง แบคฮยอนจะเลิกคิดมากได้ก็คงเป็นตอนที่ชานยอลเห็นของขวัญที่อยู่ข้างในกล่องนั่นแหละ
เด็กหนุ่มทั้งสองคนนั่งลงบนม้านั่งในสวนสาธารณะ เบื้องหน้าคือแม่น้ำ และฝั่งตรงข้ามคือตึกสูงใหญ่ ตรงนี้มีคนมาเดินผ่านไปมาเป็นระยะ บางคนปูเสื่อนอน บางคนพาหมามาเดินเล่น
ชานยอลวางของขวัญไว้บนตัก ก่อนจะหันไปทางคนรักที่มองของในมือเขาอย่างลุ้น ๆ
“กูแกะเลยนะ?”
ไม่บ่อยนักที่จะเห็นคนอย่างมนุษย์ฮอบบิทจะมองเขาด้วยสายตาประหม่าแบบนี้ แบคฮยอนพยักหน้าช้า ๆ เป็นคำตอบ ตอนนั้นชานยอลถึงได้ค่อย ๆ ลอกสก๊อตเทปออก
“วันนี้ชานยอลจะไปฉลองที่ไหนหรือเปล่า”
“นัดกับไอ้สองตัวนั้นไว้ตอนทุ่มนึง แล้วมึงก็ต้องไปกับกูด้วย” แบคฮยอนพยักหน้าช้า ๆ อีกครั้ง ตอนนี้สายตาของเขายังคงไม่ละออกห่างจากมือใหญ่ที่ยังคงง่วนอยู่กับกล่องของขวัญ
“ชานยอล”
“หืม?”
“สุขสันต์วันเกิดนะ”
ประโยคนี้หยุดเขาไว้ได้ เด็กหนุ่มหันไปมองคนตัวเล็กที่นั่งทำหน้าอึนพลางยิ้มแห้ง ๆ ชานยอลไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงได้ยิ้ม ดูเหมือนว่าทุกคำพูด ทุกการกระทำของไอ้บ้านนอกมันทำให้เขารู้สึกดีไปหมด แม้ว่าจะไม่มีคำหวานเลยสักนิด
“อยากฟัดแก้มมึงจังฮอบบิท แต่กลัวมึงอายคนแถวนี้” ชานยอลพูดไปตามความรู้สึก ถ้ารู้ว่าแฟนจะให้ของขวัญแบบนี้ เขาจะอยู่ในห้องแล้วล็อกกลอนแน่นหนา หลังจากนั้นก็ทำทุกอย่างที่มันควรจะเป็น
“หอมสิ จะตรงนี้หรือตรงนี้ก็ได้อ่ะ” ไอ้บบ้านนอกหันแก้มพร้อมเปิดเหม่งขึ้น ชานยอลหัวเราะอีกแล้ว เขาได้แต่ส่ายหน้าหน่าย ๆ แล้วเลื่อนใบหน้าเข้าไปหอมแก้มคนช่างพูดก่อนจะผละออกมา
“งั้นแกะแล้วนะ”
“โอเค” แบคฮยอนนั่งยืดหลังตรง เพ่งมองไปยังมือแกร่งที่กำลังค่อย ๆ แกะออกอย่าประณีต เขาได้แต่คาดหวังว่าของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ตั้งใจเลือก จะทำให้ชานยอลมีความสุข
“...”
แบคฮยอนกำมือแน่นจนชื้นเหงื่อไปหมด ชานยอลนิ่งไปเลยหลังจากเห็นของที่อยู่ข้างใน และท่าทางที่เป็นอยู่มันทำให้เขาเป็นกังวลจริง ๆ
ชานยอลอมยิ้มแล้วเอาของขวัญขนาดเล็กกว่าฝ่ามือขึ้นมา เด็กหนุ่มตัวสูงหันไปทางคนรักที่กำลังทำหน้าลุ้นสุดขีด ฟิกเกอร์ไททันหน้าตาขี้โมโหกับฟิกเกอร์บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ และฮอบบิทแอนด์ผองเพื่อนอีกสองสามตัวที่กระจัดกระจายอยู่ตามมุมกล่อง
“แย่แล้ว โฟรโดแขนขาด!!” แบคฮยอนชะโงกหน้าดูของขวัญในกล่อง คงเป็นเพราะมันตกกระแทกพื้นเมื่อกี้แน่ ๆ เลย “ทำไงดี ตัวนี้หลายตังค์ด้วยอ่ะ...”
ชานยอลยิ้มขำ ในที่สุดไอ้บ้านนอกก็คลายความจริงออกมาแล้วว่าของขวัญที่อยู่ในกล่องนี้ไม่ได้ราคาถูกอย่างที่ว่าเอาไว้ เด็กหนุ่มวางกล่องของขวัญไว้ข้างตัวก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ชานยอลจะไปไหน?” สีหน้าของคนตัวเล็กในตอนนี้ดูตกใจมากเพียงแค่เขาลุกขึ้นยืน ชานยอลแกะมือเล็กออกจากข้อมือตัวเองแล้วเดินถอยหลังไปทีละก้าว
“เดี๋ยวมา”
แบคฮยอนนั่งหงอยอยู่ตรงม้านั่งเกือบสิบนาทีแล้ว แต่คนตัวสูงก็ยังไม่กลับมาอีก เขาเอาถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้ง ๆ ที่ไม่ชอบทำแบบนี้ แต่พอคิดมากแล้วก็ทำให้โลกร้อนทุกทีเลยอ่ะ
ชานยอลรีบวิ่งออกไปเพราะอะไร นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาเป็นกังวล
แบคฮยอนมองโฟรโดผู้น่าสงสารในมือแล้วก็พยายามหารู เพื่อประกอบแขนใส่เข้าไป แต่ก็เท่านั้น...มันต่อไม่ได้ และถึงต่อได้มันก็กลายเป็นของชำรุดไปแล้ว ชานยอลคงไม่ชอบใจแน่ ๆ ที่รีบวิ่งออกไปแบบนั้นคงเพราะอยากสงบสติอารมณ์หรือเปล่านะ?
ร่างเล็กหลุดออกจากความคิดเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งมาทางนี้ ชานยอลหอบหายใจหนักก่อนจะนั่งยอง ๆ ลงตรงหน้าเขา แบคฮยอนมองคนตัวสูงที่แกะกล่องกาว ดูเหมือนว่าชานยอลจะรู้ว่าเขากำลังคิดมาก ริมฝีปากที่เคยพูดแต่คำหยาบถึงได้ยิ้มตอนที่เราสบตากัน
“จับไว้นะ”
“...”
แบคฮยอนจับคุณโฟรโดไว้ก่อนที่ชานยอลจะแต้มกาวลงตรงข้อต่อระหว่างแขนกับหัวไหล่ของฟิกเกอร์ ที่รีบวิ่งออกไปเมื่อกี้คือไปซื้อกาวเองหรอกเหรอ ชานยอลน่าจะบอกก่อน
ชานยอลพ่นลมหายใจทางริมฝีปากลงรอยข้อต่อ มันแผ่วเบาและอ่อนโยนมากตอนที่โดนมือของเขา แบคฮยอนไม่เคยมานั่งคิดว่าชานยอลเปลี่ยนไปจากเดิมมากน้อยแค่ไหน เขารู้แค่ว่าชานยอลเปลี่ยนไปบ้าง อาจเป็นเพราะเราพัฒนาความสัมพันธ์ขึ้นมาตามลำดับ ชานยอลที่เคยเอาแต่โมโหร้าย ถึงได้กลายเป็นผู้ชายแสนดีแบบนี้
“มันหักแล้ว ชานยอลเอาไปแค่นั้นก็ได้นะ”
“ได้ไง อันนี้ก็จะเอา” เด็กหนุ่มเงยหน้ามองคาดโทษคนคิดมากที่ยังคงทำหน้าหงอยเหมือนตอนสิบนาทีที่แล้ว แบคฮยอนหลับตาลงเมื่อคนตรงหน้าเลื่อนมือขึ้นมายีหัวเขาเบา ๆ ราวกับอยากปลอบใจ “อย่าทำหน้าแบบนั้น นี่วันเกิดแฟนนะ”
“ชานยอลก็บอกว่าชอบของขวัญของเราก่อนสิ เราจะได้ยิ้มออกสักทีอ่ะ”
“เออชอบ ไอ้ไททันหัวโปกนี่ก็ชอบ ชอบไปหมดเลย คนให้กูก็ชอบ” แบคฮยอนย่นจมูก ทำไมชานยอลต้องมาตะคอกด้วยคำพูดหวาน ๆ แบบนี้ด้วยนะ ไม่เห็นจะโรแมนติกเลยอ่ะ แล้วก็มาว่าเขา
“เราเพิ่งเคยซื้อของขวัญเป็นครั้งแรก ชานยอลเก็บไว้ให้ดีนะ อย่าวางไว้ที่สูงมาก ถ้าตกลงมาอีกเดี๋ยวแขนหัก” เด็กตัวสูงพยักหน้าเป็นคำตอบ ก่อนจะกดจมูกลงบนมือเรียวเสียฟอดใหญ่ “ถ้าของแพงคงไม่พังง่าย ๆ แบบนี้เนอะ”
“รู้จักคำว่าคุณค่าทางจิตใจไหม มีโฟรโดที่ไหนแขนขาดแบบนี้บ้าง” ชานยอลเงยหน้ามองอีกคนที่เริ่มจะยิ้มออกมาได้บ้างแล้ว
“ไททันอยู่นอกกำแพง ส่วนฮอบบิทถูกขังอยู่ข้างใน”
“นั่นหมายความว่าฮอบบิทหนีไปไหนไม่ได้แล้ว มันต้องอยู่กับไททันตลอดไป” ชานยอลเงยหน้าสบตากับอีกฝ่าย แบคฮยอนไม่ได้ตอบอะไร คนที่เคยทำหน้าซน ๆ เพียงแค่ยิ้มตาหยีเท่านั้น
น่ารักจังเลยแฟนกูเนี่ย...
“เรารักชานยอลจัง ขอบคุณที่เกิดมานะ”
ชานยอลเพียงแค่ยิ้ม เขาก็อยากขอบคุณแบคฮยอนเหมือนกันที่ทำให้ชีวิตมีอะไรมากกว่าการหายใจทิ้งไปวัน ๆ พอนึกย้อนกลับไปถึงอดีตที่ผ่านมา ชานยอลคิดว่าเราได้อะไรมากมายจากคน ๆ นี้
นอกจากความรักแล้ว บยอนแบคฮยอนยังทำให้ปาร์คชานยอลเรียนรู้กับคำว่าความเห็นใจ
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาคงมองเห็นแค่ตัวเองที่ถูกครอบครัวทำร้าย ซึ่งพอลองคิดดี ๆ แล้ว มันคือตัวเด็กหนุ่มเองทั้งนั้นที่คิดไปเอง ชานยอลยอมลดทิฐิลงแล้วหันหน้าเข้าหาครอบครัว ตอนนั้นเขาถึงได้รู้ว่าการฟอร์มจัดมันไม่ได้ช่วยให้เราเข้าใจกัน
“แบคฮยอน”
แทบจะนับครั้งได้ที่ชานยอลยอมเรียกชื่อ ร่างเล็กเลิกคิ้วมองอีกคนที่ยังคงนั่งยอง ๆ อยู่ตรงหน้าเขาโดยที่ไม่ยอมลุกขึ้นมานั่งด้วยกัน
“ไปเรียนเมกาด้วยกันนะ”
“หา?”
“รู้ว่าตกใจ แต่ก่อนจะปฏิเสธนี่ขอให้กูได้พูดก่อน” ชานยอลรีบดัก เขาเห็นว่าไอ้บ้านนอกเหวอไปเล็กน้อย ซึ่งมันคงไม่แปลกสำหรับคนที่ใส่ใจกับเรื่องการใช้เงิน “พ่ออยากให้กูไปเรียนที่นั่น แล้วเขาก็บอกกูให้มาชวนมึงด้วย ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายเขาจะออก ถ้ามึงลำบากใจ ตอนเรียนจบเราค่อยหาเงินมาทยอยคืนเขาก็ได้”
“...”
แบคฮยอนนิ่งไป เขาไม่รู้ว่าจะต้องทำหน้ายังไงกับเรื่องที่เพิ่งรับรู้เมื่อครู่นี้ แน่นอนว่าการไปเรียนต่างประเทศมันไม่เคยอยู่ในหัวของเขาเลยสักนิด
“ชานยอล นี่มันเรื่องใหญ่มากเลยนะ”
“รู้ แต่พ่อเป็นคนเสนอเอง กูไม่ได้รบเร้าให้เขาพามึงไปด้วยเลย” เด็กตัวสูงรีบอธิบายก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้าใจผิดไป
ก่อนหน้านี้แบคฮยอนแสดงออกให้เห็นว่าคิดมากเรื่องของขวัญ แต่ตอนนี้คงกลายเป็นตัวเขาเองแล้วล่ะ ที่ต้องกลัวคำตอบว่าแฟนจะยอมไปด้วยกันหรือเปล่า
“เราพูดภาษาอังกฤษยังไม่ได้เลย มหาลัยจะรับเข้าเหรอ?”
“ถ้ามึงตกลง กูจะช่วยติวให้เอง”
“ชานยอล” แบคฮยอนวางมือลงบนหน้าขาคนข้าง ๆ ก่อนจะหันไปสบตากันอย่างจริงจัง “ไม่ไปได้ไหม?”
“...”
“เราไม่อยากไป แล้วก็ไม่อยากให้ชานยอลไปอยู่ที่ไกล ๆ ด้วย” สายตาที่มองผ่านเลนส์แว่นนั้นดูจริงจัง มันทำให้เขาเชื่อแล้วว่าร่างเล็กไม่ต้องการข้อเสนอนี้
ถึงจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่ถ้าแบคฮยอนอยากอยู่ที่นี่ เขาก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น
“โอเค ไม่ไปก็ไม่ไป” เด็กหนุ่มยิ้มบาง ๆ พลางกุมมืออีกคนที่วางอยู่บนหน้าขาของเขา ชานยอลรู้ว่าแบคฮยอนจริงจังมากแค่ไหน ผ่านมือที่ประสานกันแน่นราวกับกลัวว่าเขาจะหนีไปนั่นน่ะ ชานยอลเข้าใจดี
“เราไม่อยากงี่เง่าแบบนี้เลย ขอโทษนะ”
“คิดมากน่า เรียนที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ กูก็แค่ลองถามดูเผื่อว่ามึงจะสนใจ”
“ชานยอลโกรธเราไหม เอาความจริงนะ”
ชานยอลเหมือนคนโง่ที่เอาแต่ยิ้มเวลามองแฟน ทั้งที่เขาเองก็ผิดหวังอยู่เล็กน้อยกับเรื่องไปเรียนต่อต่างประเทศ ถึงจะเตรียมใจมาบ้างแล้วก็เถอะว่าไอ้บ้านนอกคงไม่อยากไป แต่พอได้ยินคำตอบว่าเจ้าตัวก็ไม่อยากให้เขาไปเหมือนกัน มันก็พอชดเชยกันได้
“กูรักมึงมากกว่าจะมานั่งคิดเล็กคิดน้อยว่ะ โทษที” ชานยอลไหวไหล่แล้วเอากล่องของขวัญมาวางไว้บนตัก จะว่าไปแล้วไอ้ฟิกเกอร์หน้าโง่ที่นอนแอ้งแม้งอยู่ในกล่องนี่มันเหมือนคนซื้อไม่มีผิด ที่สำคัญ...มันทำให้เขายิ้มได้
“ปีหน้าเอาตัวเองผูกโบว์มาก็ได้นะถ้าคิดไม่ออกว่าจะซื้ออะไรให้”
“ไม่เอาอ่ะ ชานยอลคิดเรื่องทะลึ่งอยู่ก็บอกมา” แบคฮยอนหรี่ตามองคนตัวสูงที่กำลังยิ้มเจ้าเล่ห์
“ไม่คิดก็แปลกแล้ว คบกันมาตั้งกี่เดือนให้แค่จูบเองเหรอ มึงนี่อำมหิตจริง ๆ”
“พอถึงวันเกิดเราชานยอลก็เอาตัวเองผูกโบว์มาบ้างสิ เราจะได้คิดเรื่องลามก”
“อ้าวได้...งั้นข้ามไปวันเกิดมึงเลยได้ไหมล่ะ นี่อยากผูกโบว์จนตัวสั่นไปหมดแล้ว” ชานยอลแกล้งบิดตัวไปมา
“ใส่ชุดสาวใช้ด้วยนะ”
“อย่ามาตลก” เด็กหนุ่มหุบยิ้มมองคนตัวเล็กที่เอาแต่หัวเราะชอบใจ หลังจากบอกให้เขาแต่งตัวเป็นสาวใช้ในวันเกิด
ชานยอลล็อกคอคนตัวเล็กเข้ามาแล้วกดจูบศีรษะทุยอย่างหมั่นเขี้ยว ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากของคนในอ้อมกอดก็ยิ่งอยากทำให้มากกว่านี้ แต่ติดที่ว่าทั้งคู่อยู่ในสวนสาธารณะ ไม่อย่างนั้นมนุษย์ฮอบบิทคงโดนฟัดจนแก้มช้ำแน่ ๆ
“เหมือนรอยยิ้มถูกสร้างมาเพื่อชานยอลเลยอ่ะ” แบคฮยอนเอานิ้วชี้จิ้มลงบนแก้มเขาเบา ๆ
เราสบตากันอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก เด็กหนุ่มใช้เวลาเพียงแค่ชั่วอึดใจในการคิดทบทวน และก็ได้คำตอบแล้วว่าวันนี้มันก็เหมือนกับทุกวัน ไม่จำเป็นต้องมีเค้กหรือปาร์ตี้ใหญ่โต เพียงแค่ได้อยู่กับคนพิเศษด้วยความที่รู้สึกพิเศษ แค่นั้นมันก็น่าจะเพียงพอแล้ว
ชานยอลยิ้มพร้อมคว้ามือเรียวไว้แล้วจูบลงปลายนิ้วเบา ๆ มือของแบคฮยอนไม่ได้นุ่มเหมือนมือผู้หญิง แต่มันก็อุ่นมากพอที่จะส่งไปให้ถึงหัวใจของเขาได้
ปาร์คชานยอลรักคนนี้...เขารักบยอนแบคฮยอน
“ถ้ามึงคือรอยยิ้ม งั้นมันก็คงถูกสร้างมาเพื่อกูจริง ๆ นั่นแหละ”
TBC
ฟิคเรื่องนี้มันก็เนิบ ๆ มาแต่แรกแล้วนะ แบบอ่านเอาฟินอ่ะ ไม่มีอะไรเลย 55555555555555555555 อย่าคาดหวังมากเลยนะคะ
"ความรักเปลี่ยนชานยอล หรือว่าชานยอลเปลี่ยนความรัก เขาถึงได้เปลี่ยนไปถึงขนาดนี้?"
ตอนหน้าไปฉลองปีใหม่กับเพื่อน ๆ ในห้องกันเถอะ!!!
[FANART] ไททันขี้โมโห งานสวย ๆ จากคุณ @blueharo21 เองค่า นั่ลล๊าคคคค kkkkkk
ความคิดเห็น