คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 05 :: Your Friends
Chapter 5
Your Friends
เสียงเพลงจากฝั่งนั้นไม่ได้ถึงขั้นทำให้เขาหูดับ ภาพหนุ่มสาวเต้นท่ามกลางแสงไฟวาววับอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก จะว่าไปแล้วเสียงเพลงนั้นเบาหวิวเหมือนเสียงยุงบินผ่านหูเสียมากกว่า ดีที่ว่าที่นี่ถูกแบ่งออกเป็นสองโซน เด็กหนุ่มเลยไม่ต้องทนปวดหัวกับการปล่อยให้เสียงเพลงอึกทึกดังกรอกหู
จื่อเทาชอบนั่งอยู่เงียบ ๆ หน้าเคาน์เตอร์บาร์ แล้วมองภาพเหล่านั้นโดยที่ไม่คิดจะเข้าไปร่วมแจมด้วย เหตุผลข้อที่หนึ่งคือเขาชอบความรู้สึกตอนสนุกสุดเหวี่ยงหลังจากเมาแล้วมากกว่า และคาดว่าเบียร์ขนาดเหมาะมืออีกสองขวดคงพาเขาไปถึงจุดนั้นได้ไม่ยาก
ส่วนเหตุผลข้อที่สอง...
หันไปทางด้านข้างแล้วมองผู้ชายร่างเล็กที่ถือขวดเบียร์ขนาดเหมาะมือไว้เช่นกัน เสื้อเชิ้ตสีดำตัวนั้นขัดกับสีผิวขาวสะอาดนั้นอย่างสิ้นเชิง นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาไม่อยากลุกไปไหน เพราะเป็นห่วงว่าอีกคนจะเมาฟุบหลับไปก่อน ซึ่งมันคงเป็นเรื่องยากที่จะเป็นอย่างนั้น
จื่อเทาชอบนั่งมองรุ่นพี่ตัวเล็กที่ยังคงจ้องมองดีเจหนุ่มบนชั้นลอยอย่างไม่ละสายตา ใช่...เขาสังเกตมาสักพักแล้ว จากระยะเวลาหลายเดือนที่รู้จักกันมา เด็กหนุ่มมั่นใจว่าเขาพอจะเดาทางพี่มินซอกออกอยู่บ้าง
“ชอบหรือไง”
“หมายถึงใครล่ะ”
“ดีเจคนนั้น ผมเห็นพี่มองตั้งนานแล้ว”
ทันทีที่พูดจบสายตาเฉียบคมก็หันมาทางนี้ ก่อนที่ริมฝีปากได้รูปจะคลี่ยิ้มบาง ๆ ราวกับว่าเรื่องที่หวงจื่อเทาคาดเดามันน่าตลก เด็กหนุ่มไม่ได้รบเร้าขอคำตอบ เขาเพียงแค่มองรุ่นพี่เชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อยพร้อมแลบลิ้นออกมารับปากขวดเบียร์ ก่อนที่มันจะโดนริมฝีปากบน
จื่อเทาจะละสายตาออกไปทางผู้หญิงอกโตที่นั่งอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้ก็ได้ แต่สายตาของพี่มินซอกที่มองมาทั้งที่ยังไม่ละปากขวดเบียร์ออกจากริมฝีปากนั่นน่ะ... เจ้าตัวกำลังแกล้งเขาอยู่ชัด ๆ
จื่อเทาเคยมีเซ็กส์กับผู้หญิงมาแล้วหลากหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นน้องใส ๆ ไร้เดียงสา เพื่อนรุ่นเดียวกันที่ยังเฮฮาได้แม้ว่าเราจะเคยนอนด้วยกันมาแล้ว หรือรุ่นพี่มหาลัยที่แรงสุด ๆ แต่ถ้าพูดถึงผู้ชาย พี่มินซอกคือคนแรก และทำให้เขารู้สึกว่านี่แหละคือเซ็กส์ที่สนุก
“เปล่า”
“แล้วพี่มองอะไร”
พี่มินซอกยิ้มอีกแล้ว หลายครั้งที่อีกฝ่ายทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นเด็กขี้สงสัย จื่อเทายกเบียร์ขึ้นดื่มบ้าง ก่อนจะเอนตัวเข้าหาอีกคนที่กำลังกระดิกนิ้วชี้เรียกให้เข้าใกล้ ๆ
“เห็นผู้ชายแจ็คเก็ตสีดำที่เต้นอยู่กับผู้หญิงเสื้อกล้ามสีขาวตรงนั้นไหม?”
“ตรงไหน?”
“นั่นน่ะ” พี่มินซอกใช้นิ้วชี้เกี่ยวคอเสื้อเขาให้ขยับเข้าไปอีกจนศีรษะของเราชนกัน แต่เชื่อเถอะว่ามันได้ผล ตอนนี้หวงจื่อเทาเห็นอย่างเต็มตาแล้วว่าคู่ชายหญิงที่อีกฝ่ายพูดถึงยืนอยู่ตรงไหน เพราะฝ่ายชายก็มองมาทางนี้เช่นกัน แต่พอรู้ว่ากำลังถูกมองอยู่เจ้าตัวถึงได้หันหนีไปอีกทาง
“ไอ้หมอนั่น”
“อืม”
“เหรอ?”
“อืม”
“พี่ชอบมันหรือไง”
“อย่าถามเหมือนคนกำลังหึงสิ” พี่มินซอกหัวเราะแล้วหมุนเก้าอี้หันเข้าหาเคาน์เตอร์บาร์
“ผมกำลังแยกแยะระหว่างหึงกับหวงอยู่ แต่พี่เชื่อเถอะว่ามันเป็นอย่างหลัง”
“ถ้าพี่เป็นสาว ๆ คงเบะปากร้องไห้แน่ถ้าได้ยินนายพูดแบบนี้” คนตัวเล็กเรียกบาร์เทนเดอร์แล้วสั่งเบียร์เพิ่มมาอีกสองขวด
“ผมรู้ว่าต่อให้ผมชุ่ยแค่ไหนพี่ก็ไม่เสียดายหรอก”
“นี่กำลังตัดพ้ออยู่เหรอ?” พี่มินซอกไม่ได้รู้สึกผิด หรืออันที่จริงอาจจะไม่รู้สึกอะไรเลย หวงจื่อเทารู้ดีว่าเขายังเด็กเกินไปที่จะเล่นโต้ตอบบทสนทนากับอีกฝ่ายแบบนี้
“ผมแค่จะบอกว่าผมคงทำให้พี่เสียใจไม่ได้อยู่แล้ว และผมก็ไม่อยากให้เรา คนใดคนหนึ่งต้องเสียใจ”
“ใกล้เที่ยงคืนแล้ว โอเค ดราม่าได้” คนตัวเล็กมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะเอาขวดเบียร์มาชนกับขวดเบียร์ของรุ่นน้องเป็นเชิงบังคับให้ดื่ม จื่อเทาหัวเราะในลำคอเบา ๆ เขาชอบพี่มินซอกก็เพราะแบบนี้
“พี่เป็นผู้ชายคนแรกของผม ผมต่างหากที่ต้องเสียใจ”
“พูดแบบนี้หมายความว่ามีผู้ชายคนที่สองแล้วหรือไง?” มินซอกหันตัวเข้าหาอีกคนพลางเลิกคิ้ว
จื่อเทารู้ว่าคนตัวเล็กแค่ถามเล่น ๆ แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมภาพของโอเซฮุนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วถึงลอยเข้ามาในหัว เพียงแค่ได้ยินคำว่า ‘ผู้ชายคนที่สอง’ จากปากพี่มินซอก
“ที่ไม่ตอบนี่คือเรื่องจริงเหรอ?” ร่างเล็กเบิกตากว้าง แน่นอนว่าเขากำลังตกใจถ้ามันเป็นเรื่องจริง
เพราะค่ายกีฬาเมื่อตอนนั้น ที่รุ่นพี่โทรมาชวนให้เขาไปช่วยดูแลนักเรียนอีกแรง ด้วยความที่ว่าง ๆ ไม่ได้ทำอะไร คิมมินซอกเลยกะว่าจะไปเปลี่ยนบรรยากาศสักหน่อย แต่ใครจะรู้ว่าจะไปสปาร์คเข้ากับหวงจื่อเทาซะได้
ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อ และเราสองคนก็ชอบที่จะเป็นแบบนี้ ทั้งมินซอกและจื่อเทาไม่ได้รู้สึกต่อกันชนิดที่ต้องตกลงปลงใจเป็นแฟน เด็กคนนี้กำลังสนุกกับสิ่งแปลกใหม่ที่เพิ่งได้ลิ้มลอง ส่วนตัวเขาก็ไม่ใช่พวกคิดมากที่ต้องมาปั้นหน้าจริงจังแล้วถามว่า ‘ตกลงระหว่างเราคืออะไร’
จื่อเทาไม่ใช่พวกชอบไม้ป่าเดียวกัน เรื่องนี้วัดได้จากการมีเซ็กส์ครั้งแรก แต่พอมันมีครั้งที่หนึ่ง...ก็ต้องมีครั้งที่สอง ยิ่งพอเป็นเด็กวัยอยากรู้อยากลองแล้วก็ยิ่งสนุกกับสิ่งใหม่ ๆ และนั่นเป็นเหตุที่ทำให้เขาทั้งคู่ติดต่อกันมาตั้งแต่ตอนนั้น
“ไม่รู้สิ แต่ผมกำลังสนใจคน ๆ นึงอยู่มั้ง ความจริงต้องเรียกว่าเพิ่งสนใจถึงจะถูก” จื่อเทาไหวไหล่แล้วยกเบียร์ขึ้นดื่ม
“อ่าฮะ”
“เขาเป็นคนที่ผมกับเพื่อนไม่ชอบขี้หน้ามาก ๆ เลยนะ แต่ไม่รู้ดิพี่ พอได้คุยกันจริง ๆ จัง ๆ แล้วหมอนั่นมันก็ไม่ได้แย่อย่างที่ใคร ๆ ว่านี่หว่า”
“เข้าเรื่องแล้วบอกด้วยนะ”
มินซอกยิ้มขำ ซึ่งดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะเสียฟอร์มอยู่ไม่น้อย ตั้งแต่รู้จักกันมา นี่เป็นครั้งที่สองที่จื่อเทาแสดงออกให้เห็นว่าเขากำลังอาย ส่วนครั้งแรกคือตอนที่เจ้าตัวเงอะงะเพราะไม่เคยมีเซ็กส์กับผู้ชายด้วยกัน
“พี่ เขาน่ารักว่ะ”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ” มินซอกเท้าคางมองอีกคนยิ้ม ๆ อย่างเอ็นดู
“ก่อนผมมาหาพี่”
“ไวไฟ”
“ถ้าเทียบกับพี่ ระหว่างผมกับหมอนั่นช้ายิ่งกว่าเต่าเป็นอัมพาตอีก”
“เหรอ มีรูปไหม?”
“ผมไม่ได้ถ่ายไว้ แต่ถ้าพี่อยากดูก็หาได้ไม่ยาก” จื่อเทาล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดเข้าอินเทอร์เน็ต แน่นอนว่าการหารูปโอเซฮุนขวัญใจสาว ๆ มันไม่ใช่เรื่องยากเลยสักนิด
“อืม...” มินซอกมองหน้าจอสมาร์ทโฟนที่อีกคนเอาให้ดูก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากัน เขารู้ว่าตอนนี้จื่อเทากำลังต้องการความเห็น ว่าเจ้าของใบหน้าสี่อารมณ์ในรูปสี่ช่องนี้เป็นยังไง
จะว่าหล่อก็หล่อ แต่พอยิ้มแล้วก็ให้อีกความรู้สึกนึง เด็กตัวขาวยิ้มตาหยีคนนี้น่ารักใช้ได้เลยล่ะ หน้าตาแบบนี้คงป๊อปในหมู่สาว ๆ ไม่แปลกถ้าไอ้เด็กขี้เห่อจะสนใจกับสิ่งใหม่ที่เขาเพิ่งสอนให้เมื่อไม่นานมานี้
ไม่อยากเรียกว่าสอนเลย เอาเถอะ...อยากเรียกอะไรก็เรียกไปแล้วกัน
“ชื่อ?”
“โอเซฮุน”
“เขาเป็นเหมือนพี่เหรอ?” มินซอกเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มอย่างพอใจอยู่
“ไม่รู้สิ แต่ผมว่าจะลองดู”
“ไปจีบชายแท้ระวังแห้วล่ะ”
“ขอบคุณที่เป็นห่วง ผมเชื่อคนเจอประสบการณ์ตรงอยู่แล้ว” จื่อเทาหัวเราะพลางงอตัวเล็กน้อยเมื่อถูกรุ่นพี่ชกอกเข้าไปเต็มแรงหลังจากถูกจี้ใจดำเข้าไป
.
.
เช้าวันนี้พ่อกับแม่มาส่งที่โรงเรียน เนื่องจากวันนี้พ่อมีประชุมช่วงสายเลยไม่ต้องรีบออกจากบ้านแต่เช้าเหมือนกับทุกวัน
เด็กหนุ่มโค้งศีรษะก่อนจะเดินถอยหลังออกมาสองก้าวแล้วมองรถยนต์ของพ่อที่กำลังขับออกไปจนลับสายตา เซฮุนชอบที่จะให้พ่อกับแม่มาส่ง ชอบที่จะยืนมองรถขับออกไป เพราะมันคือช่วงเวลาที่ทำให้เขาได้อยู่กับครอบครัวนานที่สุด
ขายาวก้าวไปตามฟุตปาธอย่างใจเย็น อีกแค่ไม่กี่เมตรก็จะถึงหน้าประตูโรงเรียนแล้ว เด็กหนุ่มสาวมากมายกำลังทยอยเข้าไปข้างใน ทุกคนดูไม่รีบเพราะยังมีเวลาอีกสี่สิบนาทีก่อนที่ประตูจะจะปิดลง
แต่พอเดินมาถึงหน้าประตูฝีเท้าก็หยุดยืนอยู่กับที่เมื่อพบว่าใครคนหนึ่งเดินอยู่บนฟุตปาธฝั่งตรงข้าม และทันทีที่อีกฝ่ายรู้ตัวว่ากำลังถูกมอง ผู้ชายที่เดินล้วงกระเป๋ากางเกงก็หยุดอยู่ตรงนั้นเช่นกัน
เซฮุนเลียริมฝีปากคลายอาการประหม่า มันเป็นเรื่องไม่คาดคิดที่ได้เห็นคิมจงอินในช่วงแรกของวัน ซึ่งเด็กหนุ่มคิดว่ามันเป็นเรื่องดีมาก ๆ
ทั้งคู่ปล่อยให้คนอื่น ๆ เดินผ่านไปโดยที่ไม่มีใครกล่าวทักทายก่อน เราเพียงแค่สบตากันอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งจงอินเดินเข้าไปข้างใน ตอนนั้นโอเซฮุนถึงนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ควรยืนทื่ออยู่ตรงนี้โดยที่ไม่คิดทำอะไรสักอย่าง
เราเดินจังหวะเดียวกันแต่อยู่คนละฝั่ง เซฮุนชำเลืองมองคนผิวแทนที่ม้วนหูฟังเก็บใส่ในซองกำมะหยี่ที่เขาเคยให้ไปก่อนจะลอบยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
เซฮุนปล่อยให้หัวใจเต้นแรงกว่าจังหวะปกติเพียงแค่ครู่เดียว ก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกงเอาสมาร์ทโฟนขึ้นมาเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงสั่น พอปลดล็อกหน้าจอก็พบข้อความเข้า ซึ่งเป็นของคนที่เขาคาดไม่ถึงอีกแล้ว
คุณได้รับข้อความจาก...
‘ซอนแซงนิม’
[ ไส้กระเป๋ากางเกงโผล่ออกมาข้างนอกแล้ว ]
ทันทีที่อ่านจบคนถูกท้วงก็เบิกตากว้างอย่างตกใจก่อนจะลนลานก้มลงมองกระเป๋ากางเกงตัวเองทั้งสองข้าง แต่มันก็ไม่เห็นเป็นอย่างข้อความที่ส่งเข้ามา
“...”
เซฮุนหันไปทางคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม แน่นอนว่าตอนนี้คิมจงอินไม่ได้ปั้นหน้านิ่งทำเหมือนไม่สนใจเขา แต่ผู้ชายคนนั้นกำลังกำมือป้องปากขำราวกับว่าสิ่งที่โอเซฮุนเป็นอยู่มันตลกเสียเต็มประดา
คุณกำลังส่งข้อความถึง...
‘ซอนแซงนิม’
[ นี่คือวิธีบริหารเสียงหัวเราะตอนเช้าของนายเหรอ - - ]
รอไม่ถึงห้าวินาที คนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามก็สไลด์หน้าจอมือถือเปิดอ่านข้อความที่เขาเพิ่งส่งไป เพียงแค่ชั่วอึดใจเดียวเท่านั้นจงอินก็เงยหน้าขึ้น ก่อนจะหมุนสมาร์ทโฟนเล่นระหว่างมองมายังเขา
“อรุณสวัสดิ์”
“...”
ทำไมคิมจงอินถึงเป็นคนแบบนี้นะ พอแกล้งเสร็จแล้วก็ยิ้มน้อย ๆ เหมือนผู้ชายใจดี และตบท้ายด้วยการเอ่ยทักทายตอนเช้าจากฝั่งนั้น ซึ่งบอกตามตรงเลยว่าประโยคเมื่อครู่มันไม่ได้ดังและก็ไม่ได้เบาเกินไป แต่ที่สุดแล้วมันทำให้โอเซฮุนพูดอะไรไม่ออก
“มาเช้าจัง”
“ก็มาเวลานี้ทุกวัน แล้วนายล่ะ”
“อะไรนะ?” เด็กตัวผอมขมวดคิ้วพลางยกมือขึ้นป้องหูกับประโยคที่เบาจนเขาจับใจความไม่ได้
จงอินไม่ได้ทวนคำพูดในทันที ผู้ชายคนนั้นถูปลายจมูกเบา ๆ ก่อนจะก้าวข้ามมาทางนี้แล้วหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ เขา
“ฉันถามนายว่ากินข้าวหรือยัง?”
“อ๋อ ข้าว” เซฮุนยิ้มเก้อเขินเพราะทำตัวไม่ถูก ที่อยู่ ๆ จงอินก็ข้ามมาฝั่งนี้โดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว
“วันนี้แม่ฉันอยู่บ้าน เธอเลยตื่นมาทำข้าวกล่องมื้อเช้าให้ลูกชาย ไอ้ครั้นจะรอเพื่อนอีกสองคนก็ไม่รู้ว่ามันจะมาถึงเมื่อไหร่ ฉันไม่อยากอดตายก่อนถึงสิบเอ็ดโมง เพราะงั้นกินด้วยกันไหม?”
จงอินกำลังชวนไปกินข้าว...
คิมจงอินชวนเขาไปกินข้าวด้วยกัน...
“แน่นอนอยู่แล้ว นี่ฉันยังไม่ได้กินข้าวเลย ลาภปากชัด ๆ”
เซฮุนรู้สึกได้ว่ากำลังเกร็งริมฝีปากให้ยิ้ม และภาพที่ออกมามันคงตลกสุด ๆ จงอินถึงได้มองริมฝีปากเขาตอนนี้ แต่จะให้ทำยังไง ถ้าตอบเฉย ๆ ก็กลัวผู้ชายคนนี้คิดว่าเขาไม่อยากกิน แต่ถ้ายิ้มแปลก ๆ ก็กลัวถูกจับได้ว่ากำลังฝืนยิ้มโง่ ๆ อยู่
เซฮุนลูบท้องขณะสบตาอีกคน เชื่อเถอะว่าคนอย่างเขาน่ะเก่งได้แค่สามวิเท่านั้นแหละ พอหลังจากนั้นก็หลบสายตาหนีอยู่ดี
.
.
บนดาดฟ้าคือที่เงียบสงบและลับสายตาผู้คนที่สุด ทั้งจงอินและเซฮุนไม่อยากให้มีใครเกิดคำถามว่า ‘ทำไมคิมจงอินกับโอเซฮุนถึงมานั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน’ ซึ่งมันเป็นเรื่องไร้สาระที่ไม่จำเป็นต้องมีคำตอบ
เด็กหนุ่มทั้งสองคนนั่งพิงหลังแทงค์น้ำสีน้ำเงินท่ามกลางสายลมอ่อน ๆ ยามเช้า ตรงนี้มองเห็นอาคารพาณิชย์ ต้นไม้ สวนสาธารณะ และบ้านช่องได้ไปจนสุดสายตา เซฮุนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเรื่อย ๆ เมื่ออีกคนไม่ได้เอาแต่เงียบอย่างที่คิด
จงอินวางฝาข้าวกล่องไว้อย่างเป็นระเบียบก่อนจะยื่นตะเกียบให้คนข้าง ๆ เด็กตัวผอมเพียงแค่มองอีกคนจัดแจงทุกอย่างให้
“ฉันชอบไข่ม้วน แม่นายทำเก่งจัง”
“ฉันก็ทำเก่งนะ พูดแล้วเดี๋ยวหาว่าโม้”
“ก็ต้องโม้อยู่แล้ว กับสิ่งที่เห็นด้วยตา ลิ้มรสด้วยลิ้นฉันถึงจะเชื่อ”
“งั้นเหรอ ไว้วันหลังไปที่บ้านฉันสิ แล้วจะทำให้กิน” จงอินหันมามองยิ้ม ๆ
“พูดงี้อีกแล้ว นายชวนทุกคนไปที่บ้านแบบนี้ตลอดเลยเหรอ”
“ยังไง?” เด็กหนุ่มผิวแทนถามอย่างไม่ยี่หระก่อนจะคีบคิมบับเข้าปากทั้งที่ไม่มองหน้าอีกคน
“ตั้งแต่เรื่องสอนเปียโน ตอนนี้ก็มาเรื่องไข่ม้วนอีก”
“ฉันดูเหมือนคนที่พร้อมจะชวนใครก็ได้ไปนั่งกระดิกเท้าที่บ้านระหว่างรอกินข้าวหรือไง”
“ก็นายชวนฉัน จะให้คิดแบบไหนล่ะ”
“คิดแบบที่อยากคิดนั่นแหละ ไม่เห็นจะยากตรงไหน” เซฮุนสะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายเอาปลายตะเกียบเคาะหัวเขาเบา ๆ
“เดี๋ยวก็หาว่าคิดไปเองอีก”
“ก็ถามสิ จะได้ตอบ”
ทำไมจงอินต้องสวนกลับมาได้ทุกครั้งที่เขาพยายามเถียงด้วยนะ สายตาของผู้ชายคนนี้เจ้าเล่ห์จริง ๆ พอรู้ว่าเขากำลังแพ้เจ้าตัวก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ
“ฉันไปได้เหรอ”
“ผมคงไม่แบกเปียโนทั้งหลังไปบ้านนักเรียนนะครับ ต่อให้รวยมากก็ตาม” เซฮุนเบือนหน้าหลบไปย่นจมูกยิ้ม ๆ ก่อนจะหันกลับมามองอีกคนที่กำลังตั้งใจกินข้าว แต่ก็ยังดูมีระเบียบไม่มูมมาม
“ไปวันเสาร์นี้เลยได้ไหม นายติดธุระหรือเปล่า”
“ฉันว่างตลอดขอแค่นัดก่อน” พอได้ยินแบบนี้แล้ว เซฮุนก็รู้สึกว่าจงอินคงมีเรื่องให้ทำอีกเยอะแยะ และคาดว่าผู้ชายคนนี้คงจัดเวลาในการทำแต่ละอย่างไว้เป็นอย่างดี
“นายมีตารางเวลาหรือเปล่า แบบว่าตอนจะกินข้าวก็ต้องใช้เวลาเท่านี้นะ นอนกี่ชั่วโมง เล่นกี่ชั่วโมง อ่านหนังสือกฎหมายกี่ชั่วโมง” อยากรู้ก็ต้องถาม เซฮุนบอกตัวเองในใจแบบนี้ เพราะถ้ามัวแต่กลัวว่าอีกฝ่ายจะมองไม่ดี ชาตินี้เขาก็คงไม่ได้คำตอบ
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่การจัดแจงเวลาในการทำแต่ละอย่างมันจะทำให้ฉันไม่ต้องรีบ” จงอินยื่นขวดน้ำให้ พอเซฮุนรับไว้แต่มือหนากลับไม่ยอมปล่อย
เด็กตัวขาวเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่อีกคนกลับพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าจะช่วยจับขวดไว้และให้มืออีกข้างของเขาที่ว่างอยู่ช่วยเปิดฝาอีกที
เซฮุนหมุนฝาขวดออกแล้วมองคนข้าง ๆ ที่ยกน้ำขึ้นดื่มโดยที่ไม่ให้ปากขวดโดนริมฝีปากตัวเอง ถึงจะเหวอไปแป๊บนึงเพราะคิดว่าจงอินหวังดีเอาน้ำให้ดื่ม ซึ่งความจริงแล้วเจ้าตัวก็แค่ให้เขาช่วยเปิดฝา แต่มันก็ทำให้ยิ้มได้อยู่ดี
“อ่านหนังสือเรียนบ้างนะ หนังสือเกมมันแค่ช่วยให้นายผ่านด่านได้” เซฮุนหันมาทั้งที่คิมบับยังอัดแน่นอยู่ในปากพลางกระพริบตาปริบ ๆ
“ฉันไม่ได้อ่านเพื่อให้ผ่านด่านนะ ฉันแค่ดูว่าแต่ละคนมีวิธีเล่นยังไง มันต่างจากฉันตรงไหนหรือเปล่า” เด็กตัวผอมเอนตัวไปเล็กน้อยเมื่อถูกอีกคนผลักหัวเบา ๆ “แล้วรู้ได้ไงว่าฉันอ่านแต่หนังสือเกม”
“เดาเอา”
“โม้”
“คงเป็นเพราะเรียนเสริมภาคค่ำมันเลยทำให้ฉันฉลาดขึ้นล่ะมั้ง” จงอินมองอีกคนที่มองมาราวกับกำลังจับผิด อีกทั้งแก้มทั้งสองข้างที่บวมป่องเพราะคิมบับนั่นน่ะ...
“ไม่อยากรู้ก็ได้”
“ในร้านหนังสือวันนั้น”
“...”
“ฉันเห็นตั้งแต่นายเดินเข้ามา”
ความรู้ใหม่วันนี้คือ คิมจงอินเป็นคนร้ายกาจ ผู้ชายคนนี้รู้ว่าจะทำยังไงให้คนฟังรู้สึกดีได้ และมันได้ผล เซฮุนนิ่งไปราวกับถูกสาปให้เป็นหิน ในขณะที่มนุษย์เข้าใจยากกำลังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน กินข้าวเช้าต่อไปอย่างสบายใจ
ตอนแรกรู้สึกเหมือนถูกผลักลงเหว เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมคลายความสงสัยให้ เซฮุนเห็นเหวมืดเบื้องล่างเพียงแค่ครู่เดียว ความรู้สึกหวิวก็หายไปเมื่อรู้ว่าจงอินคว้ามือเขาเอาไว้ และฉุดให้กลับมายืนที่เดิม
เพราะเหตุผลนั้น จงอินถึงได้เข้าใจไปเองว่าเขาชอบอ่านหนังสือเกมสินะ
“กินสิ ชอบไม่ใช่เหรอ?” เด็กตัวผอมมองคนข้าง ๆ ที่คีบไข่ม้วนมาวางไว้มุมกล่องฝั่งนี้ โอเซฮุนอยากชมตัวเองที่สามารถฝืนยิ้มเอาไว้ได้มาจนถึงวินาทีนี้ และเขาตั้งใจว่าจะฝืนต่อไปจนกว่าเราจะแยกกันไปเรียน
มันเป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่คนอื่นอาจจะมองข้าม แต่พอเป็นสิ่งที่จงอินมอบให้ มันเลยเป็นเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกดี เซฮุนกินไข่ม้วนชิ้นที่สามแล้ว เขาเป็นคนกินเก่ง แต่จากอาหารเช้าที่กินไปพร้อมพ่อแม่ ก็ทำให้อิ่มยาวไปจนถึงตอนเที่ยง ซึ่งเด็กหนุ่มไม่รู้สึกผิดกับกระเพาะตัวเองเลยสักนิดที่เลือกมานั่งอยู่ตรงนี้
“นายทำกับข้าวเก่งไหม”
“ถ้าทำกินเองก็อร่อย แต่ไม่รู้จะถูกปากคนอื่นหรือเปล่า... ทำไม? ถามแบบนี้อยากกินฟรีอีกงั้นสิ?”
“ฉันแค่อยากรู้ว่านายจะทำอะไรเป็นบ้างนอกจากไข่ม้วน ก็แค่นั้น” เซฮุนกำลังรู้สึกดีสุด ๆ ไปเลยที่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับคนข้าง ๆ แน่นอนว่าเขาชอบให้เราทั้งคู่อยู่ในบรรยากาศแบบนี้มากกว่าต้องนั่งเรียบเรียงคำพูดเป็นไหน ๆ
“วันเสาร์จะทำให้กิน”
คิมจงอินกะเอาให้โอเซฮุนตายวันนี้เลยสินะ...
“แล้วจะเตรียมยาแก้ท้องเสียไปด้วย...”
เสียงของเขาแผ่วลงกว่าประโยคก่อนหน้านี้เป็นไหน ๆ เซฮุนกลัวว่าคนข้าง ๆ จะจับได้เหลือเกิน ว่าเขากำลังเขินมากแค่ไหนที่ถูกฮุคหมัดตรงนับครั้งไม่ถ้วนแบบนี้ตั้งแต่หน้าประตูโรงเรียน
.
.
เสียงออดบ่งบอกเวลาพักเที่ยงดังไปทั่วอาคาร เซฮุนไม่ได้เดินออกไปข้างนอกเหมือนกับคนอื่น ๆ แต่เขาเลือกที่จะนั่งอยู่ตรงนี้เป็นคนสุดท้ายเหมือนกับทุกวัน และปล่อยให้ความเงียบโรยตัวอยู่โดยรอบ
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองกระดานดำที่ยังคงเปื้อนชอร์คสีขาวอยู่เต็มไปหมด เขาได้แต่ถามตัวเองว่าความรู้สึกเฉาในตอนนี้มันคืออะไร ทั้ง ๆ ที่มันก็เป็นแบบนี้เหมือนเมื่อวานและวันก่อน ๆ
อยู่คนเดียวในเวลาพักเที่ยง นั่นคือสิ่งที่เซฮุนเป็นมาตลอด แต่อยู่ ๆ เขากลับเหงาและคิดถึงการนั่งกินมื้อเช้ากับจงอินขึ้นมาเสียอย่างนั้น
มันคงเป็นเพราะได้รับในสิ่งที่ห่างหายไปนาน ก็เลยรู้สึกโหยหามันมากขึ้น ซึ่งถ้าถามว่าดีไหม เซฮุนก็คงตอบว่ามันดีมาก ๆ กับการที่เขาได้นั่งกินข้าวกับคนที่ชอบ แต่มันก็ทำให้เขาโลภมาก อยากทำอย่างนั้นอีกทุกวัน
ตอนนี้จงอินคงอยู่โรงอาหาร และเลือกนั่งโต๊ะติดหน้าต่างเหมือนอย่างเคย ถ้าเขาไม่รู้สึกอะไรกับผู้ชายคนนั้น เชื่อเถอะว่าตอนนี้โอเซฮุนคงพาตัวเองกับขนมปังไปหาม้านั่งตัวเดิมที่เขานั่งเป็นประจำแล้ว
ได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ แล้วเอาขนมปังกับนมออกมาวางไว้บนโต๊ะ ก็แค่กินมันให้อิ่มนั่นแหละไม่เห็นจะยากอะไร เด็กหนุ่มมองซองขนมปังแล้วฉีกมันออก ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อใครอีกคนแย่งมันไปจากมือเขา
“ไง”
“หวงจื่อเทา?”
“ขนมปังไส้ครีมด้วย ของโปรดเลยนะเนี่ย ขอคำนึงได้ไหม?” คนตัวสูงทำ หน้ากวนประสาทขณะมองมายังเขาก่อนจะนั่งลงบนโต๊ะ
“จะเอาก็เอาไปทั้งหมดนั่นแหละ”
“โธ่ ดูพูดเข้าสิ” จื่อเทาหัวเราะแล้วยื่นซองขนมปังคืน เขาเห็นว่าเซฮุนมองมาราวกับกำลังจับผิดว่าเขาจะมาไม้ไหน ก่อนจะรับขนมปังกลับคืนไป “ผ้าขนหนูฉันล่ะ”
“อ้อ ใช่” เซฮุนดูตกใจที่ถูกทักแบบนี้ ซึ่งมันโคตรน่ารัก น่าเอ็นดูเป็นไหน ๆ จื่อเทายิ้มพอใจขณะที่คนตัวผอมกำลังรูดซิปกระเป๋าเป้แล้วเอาผ้าขนหนูออกมาคืนเขา
“อะไรกัน ซักให้เรียบร้อยแล้วแต่ไม่ยอมเอามาคืนงั้นเหรอ”
“ฉันลืมน่ะ แต่นายก็มาเอาเองแล้วนี่” ชอบเหลือเกินเวลาอีกคนทำหน้าเรียบเฉย แต่สายตาเหมือนกำลังคาดเดาความคิดเขาไปด้วย จื่อเทาไหวไหล่แล้วมองอีกคนที่กำลังจะกินขนมปัง แต่พอจะเอาเข้าปากแล้วก็ค้างอยู่ท่านั้น ก่อนจะเงยหน้ามองเขา “มีอะไรอีกหรือเปล่า”
“ถ้าไม่มีอยู่ที่นี่ไม่ได้หรือไง เหงาอ่ะ นั่งด้วยคนดิ”
“อย่ามากวนประสาทน่า” เสียงเซฮุนดูติดรำคาญนิด ๆ แต่จื่อเทารู้ว่ามันไม่ได้อยู่ในระดับที่ต้องการไล่ให้เขาไปไกล ๆ หรอก
“นายกินแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ”
“หมายถึงขนมปังหรือสถานที่ล่ะ” เซฮุนมองอีกคนที่เดินไปนั่งเก้าอี้ตัวหน้าเขาก่อนจะเอาคางเกยท่อนแขนตัวเอง
“ทั้งสองอย่างเลย”
“นี่นายไม่ไปกินข้าวหรือไง”
“ตอบคำถามก่อนสิ อย่าเปลี่ยนเรื่อง” คนชอบกวนประสาทยังคงตื๊ออย่างไม่ลดละ เซฮุนถอนหายใจแล้วกัดขนมปังโดยไม่สนใจคนที่เอาแต่นั่งจ้องเขาอยู่
“กินแบบนี้ทุกวัน ส่วนสถานที่ก็แล้วแต่อารมณ์น่ะ”
“ไม่เบื่อแย่เหรอ ไปกินข้าวยำกันเถอะ”
“ห๊ะ?”
“ป่ะ กินข้าวยำกัน วันนี้ฉันเลี้ยง” ไม่พูดอย่างเดียว จื่อเทาเดินอ้อมมาข้างหลังแล้วจัดการเอาซองขนมปังออกจากมือให้เสร็จสรรพ ก่อนจะคว้าแขนเขาให้ลุกขึ้นเดินออกไปด้วยกัน
เซฮุนเบิกตาอย่างตกใจ เขาได้แต่ปล่อยให้ร่างกายเดินไปตามแรงดึงของอีกฝ่าย จื่อเทาไม่ได้ออกแรงมาก แต่ก็รู้สึกได้ว่ามันแรงกว่าที่คนปกติเขาจะทำกัน อาจเป็นเพราะผู้ชายคนนี้เป็นนักกีฬาด้วยล่ะมั้ง
ทั้งคู่ตกเป็นเป้าสายตาในโรงอาหาร เขาเห็นว่าทั้งหญิงและชายต่างเอนหัวเข้าหากันกระซิบกระซาบ ซึ่งคนตัวสูงไม่ได้แคร์สายตาผู้คนเหล่านั้นเลย เมื่อกี้ได้ยินว่า ‘หวงจื่อเทามีเรื่องกับโอเซฮุนเหรอ เขาจะต่อยกันใช่ไหม?’ และนั่นเป็นต้นเหตุที่ทำให้หมอนี่คลายมือออกแล้วเปลี่ยนมากอดคอเขาแทน
“เยด ๆๆ”
เสียงของปาร์คชานยอลมาพร้อมกับสีหน้าตื่น ๆ เมื่อเราทั้งคู่เดินเข้าไปใกล้ เซฮุนยังคงพยายามแกะแขนแกร่งออกให้พ้นจากคอเขา แต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่หวงจื่อเทาก็ยิ่งออกแรงมากขึ้น แต่มันก็ไม่ถึงกับเจ็บ
“...”
ไม่ใช่แค่ผู้ชายหูกางที่กำลังตกใจ ตอนนี้จงอินก็เช่นกัน ทันทีที่หัวไหล่ทั้งสองข้างถูกกดให้นั่งลงข้างปาร์คชานยอล เซฮุนก็นั่งตัวแข็งเมื่อคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามคือใครอีกคนที่เขาใช้เวลาเกือบสี่สิบนาทีไปกับการนั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน
จงอินคงกำลังสงสัยว่าเพราะอะไรจื่อเทาถึงได้ลากเขามาที่นี่ด้วยท่าทางสนิทสนมเกินเหตุ ซึ่งมันคงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ถ้าหากเซฮุนจะอ้าปากบอกไปว่า ‘ฉันเปล่านะ หมอนี่ลากมาเอง’ เพราะเขาเองก็ยังหาเหตุผลที่จะพูดแก้ตัวออกไปไม่ได้ทั้งที่เราไม่ได้เป็นอะไรกัน
“อะไรล่ะเนี่ย อะไรล่ะเนี่ย อะไร อะไร อะไร...” ชานยอลรัวลิ้นพูดทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกห่าง ตอนนั้นจื่อเทาถึงได้หยัดตัวนั่งลงข้าง ๆ เซฮุนพร้อมรอยยิ้ม
“โอเซฮุนไง”
“กูได้เกรดสี่ภาษาอังกฤษ ไม่ได้โง่” ชานยอลก้มหน้าลงสวนกลับไป ตอนนี้มีเพียงแค่จงอินเท่านั้นที่ยังไม่ปริปากพูด ผู้ชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยังคงเอาแต่จ้องหน้าเขาอยู่อย่างนั้น
“เฮ้ยจงอิน”
“ว่า”
“มึงอย่ามองแบบนั้นดิวะ” จื่อเทาหัวเราะแล้วหันหน้าเข้าหาคนตัวผอมที่กำลังนั่งเกร็ง ก็รู้ว่าตอนนี้เซฮุนกำลังรู้สึกไม่ดี และเขากำลังจะช่วยทำให้มันดีขึ้น “เซฮุนไม่ได้แย่อย่างที่คนอื่นว่าหรอกนะเว้ย”
“นี่มึงไปรู้จักมักจี่กันตั้งแต่เมื่อไหร่ สอยดาวตามงานวัดแล้วได้ซองมาม่าเป็นรางวัลเหมือนกันงี้เหรอ” ปากชานยอลยังคงไม่สงบ แต่ทุกคนก็ไม่ได้สนใจนัก
เซฮุนกำลังอึดอัด ยิ่งจื่อเทาพูดมันก็ยิ่งไปกันใหญ่ จากที่เห็นก็พอจะรู้ได้ไม่ยากว่าจงอินไม่ได้เล่าเรื่องเขาให้เพื่อน ๆ ฟัง
“เอาเป็นว่ากูรู้แล้วกัน เดี๋ยวมาคุยต่อ ไปซื้อข้าวกันเถอะเซฮุน” เจ้าของชื่อเลิ่กลั่กเงยหน้าขึ้นก่อนจะหันไปทางคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เด็กตัวผอมลุกขึ้นตามแรงดึงของอีกฝ่ายก่อนจะเดินไปกับหวงจื่อเทาอย่างปฏิเสธไม่ได้
.
.
“กูว่าเชี่ยเทาโดนน้ำมนต์มาแน่ ๆ”
“อาจเป็นงั้น” จงอินหัวเราะในลำคอ แล้วกลับมาสนใจกับอาหารเที่ยงอีกครั้ง หลังจากใช้เวลาเกือบนาทีในการเรียบเรียงความคิด
“เดี๋ยวนะ”
“อืม”
“เดี๋ยวเลยเดี๋ยว นะนะนะน๊าน...” จงอินเงยหน้ามองเพื่อนตัวสูงที่กำลังยิ้มอย่างมีเลศนัย อีกทั้งยังชี้หน้าเขาราวกับมีเรื่องจะพูด “กูเพิ่งนึกได้”
“อะไร”
“ซอนฮวาเคยบอกกูว่ามึงกับไอ้เทาผลัดกันควงโอเซฮุน ไอ้ห่า...ถ้ามันไม่พาหมอนั่นมาวันนี้ กูคงตายไปพร้อมกับความคาใจนี้แน่ ๆ”
“...”
ช้อนในมือค้างอยู่ในระดับเดิมก่อนที่มันจะถูกวางลงในจานอาหาร เขารู้ว่าโซลแคบนิดเดียว แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีคนเห็นเข้า โดยเฉพาะคนใกล้ตัวอย่างฮันซอนฮวา ซึ่งการที่เขากับเซฮุนเจอกันมันก็ไม่ได้แย่ แต่ที่จะแย่ก็ตอนที่ไอ้ห่าเทาพาหมอนั่นมาแนะนำให้รู้จักทั้ง ๆ ที่เขากับเซฮุนไม่ได้คุยกันครั้งแรกนี่แหละ
จงอินมองไปทางเพื่อนสนิทที่กำลังพาอีกคนเลือกเมนูมื้อเที่ยง ก่อนจะหันหน้าเข้าหาเจ้าหนูจำไมตัวเท่าควาย ที่กำลังสงสัยจนเรียกได้ว่าเสือก
“มึงรู้แล้วเหยียบไว้เลยนะ”
“เหยียบ? นี่หมายความว่าที่ฮันซอนฮวาพูดเป็นเรื่องจริงงั้นดิ?” ชานยอลเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง นี่เขาเชื่อในอุดมการณ์กะโปก ๆ ของเพื่อนทั้งสองคนมาตลอดเลยนะ ว่าต่อให้ตายยังไงมันก็คงไม่มีทางเข้ากับมนุษย์โอเซฮุน ผู้หลงใหลในความวัลลาบีได้แน่ ๆ แล้วนี่มันอะไรกัน!
“ไม่ถึงขั้นควงหรอก แต่ตอนนี้มึงอย่าพูดอะไร ไว้กูเล่าให้ฟัง”
ถ้าจะบอกไอ้เทาว่าเขารู้จักเซฮุนมาสักพักแล้ว งานนี้คงมีคำถามอีกยาวเหยียด และอาจจะเกิดการเสียฟอร์มที่แนะนำตัวว่าว ๆ ทั้งที่ต่างฝ่ายต่างรู้จักกันอยู่แล้ว อีกทั้งเรื่องที่ไอ้ห่าเทาอาจจะหยิบขึ้นมาน้อยใจว่า ทำไมเป็นเพื่อนกันแล้วถึงไม่เล่าให้ฟังบ้าง ซึ่งเขาไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนั้น
“เล่าตอนนี้เลยไม่ได้เหรอ ต่อมเสือกกูดิ้นพั่บ ๆ แล้วเนี่ย” ชานยอลประสานมือไว้ใต้คางทำท่าเหมือนตุ๊ด เรื่องเสือกนี่ขอให้ไว้ใจผม ไอ้สัด
“ไว้เดี๋ยวเล่า มันไม่มีอะไรลึกซึ้งอย่างที่มึงคิดแล้วกัน”
“นิดนึงก็ได้ แง้มหน่อย” ชานยอลจีบมือทำท่าประกอบ
“กูแค่บังเอิญเจอเซฮุนตอนมันโดนรุมกระทืบ”
“มึงเลยไปช่วยว่างั้น”
“ไม่ได้ช่วย ตอนนกูเจอ พวกมันก็อัดเซฮุนจนพอใจแล้ว”
“โหย มึงนี่ไม่พระเอกเลยห่า คนจริงต้องเอาตีนไปจูบหน้าเรียงตัว แล้วหันไปยักคิ้วให้โอเซฮุนพร้อมปิดท้ายด้วยคำว่า ‘มาแค่นี้ไม่คณาตีนกูหรอกนะ หึ’ อะไรอย่างนั้นดิ”
“ปัญญาอ่อน มึงเอามุกนี้ไปหยอดใส่แบคฮยอนเถอะ” จงอินส่ายหน้าหน่าย ๆ
“ให้หยอดมันเหมือนไล่กูไปตาย ทุกครั้งที่กูทำอย่างนั้นเหมือนสายตาของมันกำลังถามว่า ‘ชานยอลเป็นส้นตีนอะไรอ่ะ’ ทุกครั้งเลยห่า”
“ก็สมควรแล้ว”
“มันสองคนมาแล้ว ทำตัวให้เป็นปกติเร็ว!” ชานยอลนั่งยืดหลังตรง วางมือทั้งสองข้างไว้บนโต๊ะอาหารก่อนจะชำเลืองมองโอเซฮุนที่หยัดตัวนั่งลงที่เดิมข้าง ๆ เขา และตามด้วยไอ้เทา “น่ากินจังเนอะ”
“ไปซื้อสิ”
“...”
จงอินหลุดขำออกมาอย่างห้ามไม่ได้ นอกจากแบคฮยอนที่ทำให้ไอ้ชานยอลหน้าสั่นได้แล้ว ก็คงมีเซฮุนอีกคนนี่แหละ
“ไหนมึง เล่ามาเลย ไปรู้จักกันได้ไงวะ” ชานยอลถามแก้เขินหลังจากถูกเบรกจนดริ๊ฟท์โค้งลงเหว แต่จื่อเทาเลือกกินข้าวก่อนที่จะตอบคำถามเพื่อน “นี่เซฮุน นายรู้ไหมว่าไอ้เทามันเหม็นขี้หน้านายมาก”
“รู้ แต่เขาก็ยังลากฉันมาที่นี่”
“เหยดแหม่...มึงไปลากเขามาทำไมห๊ะ!!! ไอ้ชาติชั่ว!!! มึงมันมือถือสากปากถือตีน!!! ตอนนินทาเขานี่น้ำลายฟุ้งเลยไอ้ห่า แล้วตอนนี้คืออะไร!!!” ชานยอลลุกขึ้นโน้มตัวข้ามหัวเซฮุนไปทุบจื่อเทา เด็กตัวผอมงอตัวลงเพื่อหลงองศามือนั้น ก่อนจะสบตากับใครอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ห่า กูขอแดกข้าวก่อนได้ไหมล่ะ”
“ไม่ได้ มึงไม่มีสิทธิ์ทำให้กูค้างคาใจนะเทา”
“ก็เมื่อวานกูไล่บี้ไอ้พวกแก๊งสวะที่นินทาว่ากูได้เหรียญทองเพราะแข่งว่ายน้ำสองคน แต่ตอนนั้นพวกมันกำลังจะเล่นเซฮุน เลยเป็นโชคของหมอนี่ที่กูเข้าไปจังหวะนั้นพอดี” จื่อเทาอธิบายแล้วหันมายิ้มให้คนข้าง ๆ
“นี่ไง มึงดูไว้ พระเอกตัวจริง!!!” ชานยอลบอกจงอินพร้อมชี้นิ้วไปทางเพื่อนเจ๊กที่นั่งอยู่ทางสุดขวามือ ตอนนั้นเขาถึงได้รู้ตัวว่าหลุดพูดออกมาเมื่อจงอินถลึงตาใส่
“เซฮุนมานั่งกินข้าวกับเราได้ใช่ไหมวะ?” จื่อเทาถามความเห็นเพื่อนอีกสองคน ซึ่งชานยอลแบมือออกทั้งสองข้างแล้วยักไหล่เป็นเชิงบอกว่า ‘ก็แล้วแต่’ ส่วนอีกคนยังเงียบอยู่ “แล้วมึงล่ะจงอิน”
“ก่อนตัดสินใจทุกอย่าง มึงถามความสมัครใจเขาหรือยัง”
“เออว่ะ” พอได้ยินแบบนี้จื่อเทาเลยนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหันหน้าเข้าหาเซฮุน “นายอยากมานั่งกินมื้อเที่ยงกับพวกเราไหม?”
เด็กตัวผอมไม่ได้ตอบคำถามในทันที เซฮุนเอาแต่มองหน้าจงอินระหว่างใช้ความคิด ตอนนั้นเขาได้แต่คิดว่าถ้าอ่านใจอีกฝ่ายผ่านทางสายตาได้ก็คงดี และเขาจะทำตามทุกอย่างที่จงอินอยากให้ทำ
แต่เขาก็อ่านใจจงอินไม่ออกอยู่ดี
“ฉัน...”
“หืม?”
“ฉันชอบกินคนเดียวมากกว่า”
“นั่นไง มึงนี่มันเผด็จการจริง ๆ หวงจื่อเทา ถามหน่อยครับ พี่มาจากชิงเต่าหรือโซเวียต” ชานยอลดูจะสะใจมากที่สุด ซึ่งจื่อเทาดูผิดหวังกับคำตอบนี้ แต่มันคงดีกว่าถ้าเขาจะรักษาระยะห่างเอาไว้
“ไอ้จงอิน มึงอ่ะทำให้เซฮุนอึดอัด ลดอคติบ้างดิวะ” จื่อเทาโบ้ยให้เพื่อนสนิทที่ชี้หน้าตัวเองพร้อมเลิกคิ้วขึ้นเมื่ออยู่ ๆ ความผิดเสือกมาอยู่ที่เขา
“กู?”
“ใช่ ก็มึงไม่ชอบขี้หน้าเซฮุน”
“มึงก็พอกันเลยค่ะ ไม่ต้องปาขี้ให้เพื่อน” ชานยอลว่า
“ก็คงงั้นมั้ง” จงอินมองมายังเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ถ้ามึงไม่อคติก็ดีแล้ว”
“คงงั้นหมายความว่ายังไง” เซฮุนอดไม่ได้ที่จะถาม จื่อเทาเห็นว่าท่าไม่ดีเลยวางมือลงบนไหล่คนข้าง ๆ เพื่อบอกให้ใจเย็น
“ฉันไม่บอกนายหรอก” สายตาของจงอินที่มองมาเหมือนกับว่าอยากพูดอะไรอีก และเขาก็ต้องการที่จะรู้
“แล้วนายล่ะเซฮุน หมั่นหน้าพวกเราสามคนเหมือนพวกห้องอื่นหรือเปล่า” ชานยอลถาม เพราะเขาก็พอจะรู้อยู่ว่านักเลงกลุ่มอื่นก็เหม็นหน้าพวกเขาอยู่ไม่น้อย
“ฉันเฉย ๆ กับนาย...แต่กับคิมจงอิน” ประโยคหลังมองไปยังคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาจริงจัง ท่ามกลางความสงสัยของชานยอลและจื่อเทา “ก็คงงั้นมั้ง”
“ควรดีใจไหมเนี่ย มีคนแสดงออกว่าไม่ชอบต่อหน้าแบบนี้” จงอินพูดด้วยท่าทางสบาย ๆ ก่อนจะก้มหน้ากินข้าวต่อหลังจากทิ้งช่วงไปพักหนึ่ง
“ไม่เอาน่าเซฮุน ไอ้จงอินไม่ได้แย่อย่างที่คิดหรอก มันแค่เป็นคนไม่ค่อยพูดน่ะ” จื่อเทาพยายามแก้ต่างให้เพื่อนสนิท ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกผิดที่แกล้งทำเป็นไม่รู้จักกันมาก่อน
“ไม่รู้มาก่อนเลยนะ คิดว่าเป็นคนคุยเก่งซะอีก” ทั้งสองคนยังไม่ละสายตาออกจากกันและกัน คงมีเพียงแค่จื่อเทาและชานยอลที่กำลังเป็นกังวลว่าสองคนนี้จะขบหัวกันเมื่อไหร่
“อยากให้คุยด้วยหรือไง”
“ที่ถาม เพราะหวังคำตอบหรือเปล่า”
“เหยดแหม่...” ชานยอลอุทานเบา ๆ พลางมองจงอินกับเซฮุนสลับกันไปมา
“ไอ้จงอินก็เป็นงี้แหละ ต้องมีคนชวนคุยมันถึงจะคุยด้วย” จื่อเทายังคงพยายามช่วย เพราะไม่อยากให้เซฮุนรู้สึกไม่ดีกับเพื่อนสนิทของเขา
“ก็ตามนั้น” จงอินมองหน้าจื่อเทาก่อนจะหยุดสายตาอยู่ที่คนตัวผอมอีกครั้ง “ถ้าอยากให้คนพูดน้อยคุยด้วย ก็ชวนคุยให้มากขึ้นสิ ไม่เห็นจะยากตรงไหน...”
ประโยคเมื่อครู่ก็ยังคงสบาย ๆ เหมือนอย่างที่เจ้าตัวชอบทำ เซฮุนกำลังพยายามกลั้นยิ้มกับประโยคที่ราวกับจะบอกว่า ‘ฉันคุยไม่เก่ง เพราะงั้นนายต้องชวนฉันคุยให้มากกว่าเดิมนะรู้ไหม’
“ไปไหนคะที่รัก” ชานยอลเงยหน้ามองอีกคนที่ลุกขึ้นพร้อมจานอาหารที่กินหมดแล้ว จงอินค้างอยู่ท่านั้นก่อนจะมองทั้งสามคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“อาจารย์นัดกูไปคุยเรื่องเข้านิติฯ ไว้เจอกันคาบบ่าย”
เซฮุนได้เพียงแค่มองตามแผ่นหลังอีกคนที่กำลังเดินออกไปจากโรงอาหาร ตอนนี้เด็กหนุ่มอยากรู้เหลือเกินว่าจงอินกำลังคิดอะไรอยู่ เรื่องที่เขารู้จักหวงจื่อเทาตั้งแต่เมื่อคืน แต่กลับไม่ได้เล่าให้จงอินฟังเมื่อเช้า
แต่พอมานึกดูแล้ว บางทีเซฮุนอาจจะคิดมากเกินไปก็ได้ เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจงอินสนใจเรื่องนี้หรือเปล่า
“กินข้าวได้แล้ว” เสียงของจื่อเทาเรียกให้หลุดออกจากความคิด เซฮุนพยักหน้าก่อนจะหันมาสนใจกับมื้อเที่ยงของโรงเรียนที่ไม่ได้กินมานาน “อย่าคิดมากนะ ไอ้จงอินมันนิสัยดีจริง ๆ ฉันคอนเฟิร์ม”
“ไม่คิดมากหรอก ขอบใจนะ” ทั้งคู่มองหน้ากันครู่เดียวก่อนจะหลุดยิ้มออกมา
ถึงตอนแรกเขาจะไม่ค่อยชอบการแสดงออกของจื่อเทา แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนนี้เซฮุนกำลังรู้สึกอิจฉาจงอินที่มีเพื่อนแบบนี้ มันจะมีสักกี่คนที่คอยพูดแก้ต่างให้เพื่อนอยู่ตลอดเวลา เพราะกลัวว่าคนอื่นจะมองเพื่อนไม่ดี นี่เป็นข้อดีอีกข้อที่เซฮุนมองเห็นในตัวจื่อเทา
แรงสั่นของสมาร์ทโฟนขัดจังหวะการกินมื้อเที่ยง เซฮุนล้วงมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วเปิดดู แล้วก็พบว่าข้อความนี้มาจากคน ๆ เดียวกับเมื่อตอนเช้า
เซฮุนไม่สามารถกลั้นยิ้มได้อีกต่อไป เขาต้องก้มหน้าลงแล้วเม้มริมฝีปากก่อนจะเก็บมือถือใส่กระเป๋าเพราะกลัวจื่อเทาหรือชานยอลเห็นเข้า เด็กหนุ่มรู้สึกร้อนไปทั้งหน้าและใบหู หัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะปกติกลับเร็วแรงยิ่งขึ้นเพราะตัวหนังสือแค่ไม่กี่ประโยค
คุณได้รับข้อความจาก...
‘ซอนแซงนิม’
[ วันเสาร์มีการบ้านต้องส่ง 1 ข้อคือ... อธิบายเรื่องของนายกับไอ้เทามาให้หมด พร้อมบอกความรู้สึกที่มีต่อมัน ข้อนี้ 5 คะแนน ถ้าตอบดีอาจมีจิตพิสัยเพิ่ม ]
TBC
เห็นผมนิ่ง ที่จริงผมหึงนะครับ
หมายเหตุ :: ฉากที่ชานยอลคึยกับจงอินว่า ซอนฮวาเล่าเรื่องจงอินกับจื่อเทาผลัดกันควงเซฮุน เราเขียนหลงทามไลน์ฟิคนะคะ เพราะจากที่ชานยอลคุยกับซอนฮวาใน #มนุษย์แบคฮยอน เป็นฉากที่ชานยอลทำงานพิเศษอยู่ในร้านกาแฟค่ะ (ในวันหยุด) แต่ในตอนนี้ที่เราเขียน ชานยอลพูดเหมือนได้ฟังเรื่องนี้มานานแล้ว (ทั้งๆที่จื่อเทาเพิ่งเจอเซฮุนเมื่อวานเอง) อันนี้เราพลาดเองค่ะ มึนสุด หลงทามไลน์เอง ต้องขอโทษแฟนฟิคทุกท่านที่เราไม่ละเอียดเองนะคะ ครั้นจะเข้าไปแก้ฉากก็แก้ไม่ได้แล้ว เราเลยขออนุญาตใช้วิธีชุ่ยๆ คือการแถในตอนต่อไปนะคะ ว่าซอนฮวาเข้าใจผิด คิดว่าที่ไปด้วยคือจื่อเทา แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ (ขอโทษจริงๆค่ะ รู้สึกผิดมากที่เขียนทามไลน์ผิด)
ความคิดเห็น