คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Scene 9 :: พี่เขา...น่ารัก (100%)
Scene 9
พี่เขา...น่ารัก
จากที่ควรนอนไวเพราะพิษไข้แต่กลับกลายเป็นว่าได้อยู่คุยกันในห้องนอนจนดึกดื่น ไม่รู้ว่าใครหลับไปก่อน แต่พอสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาก็เห็นว่าคนตัวเล็กนั่งขดตัวหลับอยู่บนฟูกโซฟานุ่มที่เยื้องไปจากเตียงไม่มากนัก
ร่างสูงนั่งนิ่งพลางนวดขมับ ยังคงรู้สึกหนักอึ้งที่ศีรษะแม้ว่าจะกินยาลดไข้ก่อนนอนไปแล้ว หันไปข้างโต๊ะแล้วคว้าแก้วน้ำที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งมาดื่ม พอรู้สึกดีขึ้นก็หันไปทางเด็กน้อยที่ยังคงหลับไม่รู้เรื่อง
ถอนหายใจ... นั่นคือสิ่งที่ปาร์คชานยอลทำได้ดีในเวลาแบบนี้ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเพดานห้อง มีเพียงแค่โคมไฟสีซีเปียข้างหัวเตียงเท่านั้นที่ช่วยให้มองเห็น
นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ป่วยแบบนี้ ก็คงนานมากตั้งแต่เข้าวงการมา จะบอกว่าปีนี้รับงานเยอะกว่าปีที่ก่อน ๆ ก็คงใช่ คงต้องยกความดีควาชอบให้กับละครเรื่องล่าสุดที่ทำให้ดังขึ้นจนงานไม่ขาดมือแบบนี้ แต่ก็นั่นแหละ มันทำให้ตารางชีวิตเขาแคบลงเรื่อย ๆ
บวกกับมีเรื่องให้คิดมากซึ่งคงไม่พ้นเรื่องเด็กแถวนี้ ไหนจะอาหารที่บริโภคไม่ตรงเวลาอีก ร่างกายปาร์คชานยอลมันรวนไปหมด
“พี่”
“...”
“ปวดหัวเหรอ ทำไมตื่นไว” เจ้าของเสียงนั้นยังคงนั่งขดตัวอยู่ท่าเดิม ร่างสูงเสยผมขึ้นแล้วให้ความเงียบทำงาน ตอนนั้นแบคฮยอนถึงได้ถามตัวเองว่ามันถูกต้องแล้วเหรอที่เขาตื่นเพราะได้ยินเสียงแก้ววางลงบนโต๊ะ แทนที่จะเนียนแกล้งหลับต่อไป
“ผมทำคุณตื่นเหรอครับ”
“ใช่ ผมเป็นคนตื่นง่าย แค่ได้ยินเสียงพี่หายใจผมก็ตื่นแล้ว” เดี๋ยว ตอนแรกกะจะยิงมุกเฉย ๆ แต่ถ้าพี่เขาสวนกลับมาว่า ‘ผมยังไม่ตาย’ พร้อมสีหน้าโหด ๆ งี้จะเงิบไหมล่ะเกลอเอ๋ย
คนตัวสูงไม่ได้พูดอะไรอีก โธ่ถัง... ก่อนจะย้ายโลเคชั่นมาคุยกันในห้อง เขากับพี่พระเอกก็พ่นเรื่องดราม่าใส่กันเหมือนว่านี่คือช่วงรายการศาลาคนเศร้า ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นบ่อย บอกตามตรงว่าไม่ชอบเวลาพี่เขาหงอย ซึม ๆ แบบนี้เลย ต่อให้คำตอบของเหตุผลนี้คืออาการป่วยไข้ก็ตาม
“เค งั้นพี่นอนต่อ” แบคฮยอนหยัดตัวลุกขึ้นแล้วทำท่าบิดขี้เกียจกลบเกลื่อนบรรยากาศน่าอึดอัดในตอนนี้
คุณ... มันน่ารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ที่ไม่รู้จะเถียงอะไรกับพี่พระเอกในโหมดเงียบขรึม คนป่วยแถมอยู่ในสภาวะเจ็ทแล็คจากเรื่องดราม่าในอดีตควรได้รับการพักผ่อน พอพี่เขาหายแล้วค่อยกวนตีนทีหลังก็คงไม่สายไปหรอกมั้ง เออ แบคฮยอนคิดอย่างนั้น
“คุณจะไปไหน?”
“นอนข้างนอกไง”
“...”
“จะเอาอะไรไหมอะ เดี๋ยวจัดให้ก่อนนอน” ถ้าใช้ก็รีบเลย เดี๋ยวพอออกไปนอนข้างนอกแล้วจะไม่ได้ยินเสียงตะโกน แต่ถ้าบอกอยากกินนู่นนี่นั่นตอนตีสองนี่จะด่า
“ไม่ต้องไปครับ”
“หา?”
“ถ้าคุณง่วง” ชานยอลเงียบไปครู่หนึ่งขณะสบตากับเด็กน้อยที่ยืนอยู่ปลายเตียง “ก็ขึ้นมานอนตรงนี้”
“...”
เกิดอาการใบ้แดกอย่างฉับพลันอีกแล้ว แบคฮยอนถึงกับตาเหลือกกับประโยคที่ไม่คาดฝันว่าจะได้ยินจากปากพี่พระเอก ผีเข้านางบ่ครับ หรือเป็นเพราะพิษไข้เลยทำให้ธาตุไฟแตกซ่าน หลายวิเลยทีเดียวที่เด็กน้อยเอาแต่กัดเล็บระหว่างให้สมองทำงานดึก ๆ ดื่น ๆ ก่อนจะชำเลืองมองคนบนเตียง
“อย่ากัดเล็บครับ มันเหมือนเด็กปัญญาอ่อน”
“อ้าวลั่น”
“คุณมีเวลาสามวิก่อนที่ผมจะเปลี่ยนใจ”
จากตอนแรกอยากพูดดี ๆ ด้วยเลยต้องเปลี่ยนเป็นมองตาขวาง แบคฮยอนเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มแล้วเดินอ้อมไปขึ้นเตียงอีกฝั่งแทนที่จะคลานขึ้นไปแบบแม่เสือสาวในหนังโป๊ (อุ๊ต่ะ)
“กลัวผีก็บอกมา”
“ผมน่ะเหรอครับ?”
“ใช่ ถ้าไม่กลัวก็คงปิดไฟนอนแล้วถูกป่ะ” เด็กน้อยนั่งขัดสมาธิบนเตียงยิ้มกริ่มพลางชี้หน้าจับผิดคนตัวสูงที่นั่งทำหน้าป่วยอยู่ข้าง ๆ “การอ้างว่ารวยแล้วจะเปิดไฟกี่ดวงก็ย่อมได้นี่มันฟังไม่ขึ้นนะ แถมากเดี๋ยวเสียผู้ใหญ่”
“ผมแค่ชอบนอนในที่สว่าง มันผิดตรงไหน”
“ไม่ผิด แต่ถ้ายอมรับว่ากลัวผีต่อหน้าเด็กมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายนะจ๊ะ”
“ผมไม่ได้กลัว”
“เหรอ ๆๆๆ”
“คุณ”
“ยั้ย”
“...”
พรึ่บ!!!
“...”
“...”
WHAT – THE – FUCK
แบคฮยอนกลอกตาไปมาท่ามกลางความมืดเมื่ออยู่ ๆ ไฟก็เสือกดับอย่างหน้าด้าน ๆ คอนโดนี้ก็ไม่ใช่ราคาถูก ๆ ไหมล่ะสหาย ถ้าเกิดชาวบ้านชาวช่องเขาทำงานกลางดึกแล้วยังไม่ได้เซฟไฟล์งานมีได้ฉิบหายแน่ใครจะรับผิดชอบ
ว่าแต่คนที่อยู่ด้วยนี่หายไปไหน มือถือก็วางอยู่ข้างนอกด้วย ซึ่งแบคฮยอนก็ไม่แน่ใจว่าจำเป็นไหมที่ต้องให้แสงสว่างในตอนนี้ ซึ่งมันเป็นเวลาที่ควรล้มตัวลงนอนได้แล้วหลังจากพี่เขาเชิญชวนขึ้นมาบนเตียง
เดี๋ยว... เชิญชวนไรมึ๊ง!!!
“พี่พระเอก”
กริบ...
ขอโทษค่ะ... ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก ซ๋อหรี๋ ยัวนัมเบอ โทรบ่ได้ด๊อก
คือไรเหรอ ไฟดับปุ๊บพี่เขาก็เงียบไปเลย ทำตัวเป็นพวกใช้ชีวิตด้วยกระแสไฟฟ้าไปได้ ขานตอบกันบ้างได้ไหมล่ะ คือไม่ได้กลัวผีนะ แต่การที่อยู่ดี ๆ ผู้ชายจริงจังแถมป่วยอยู่ดันดับไปพร้อมกับแสงไฟนี่มันก็ยังไง ๆ อยู่ เด็กน้อยปะป่ายมือไปมากลางอากาศ แล้วก็ได้รู้ว่าคนที่เคยอยู่ตรงหน้านั้นหายไปแล้ว
ซาวด์หนัง Horror มา
บยอนแบคฮยอน คุณมีสิทธิ์ยืนยันเป็นครั้งสุดท้ายว่ากลัวผีหรือไม่ คุณมีเวลาตอบทั้งหมดสามวินาที... เริ่มได้
เดี๋ยวดิเฮ้ย ผีอะไม่ได้กลัว!
สอง...
เออไม่! หมายถึงว่าถ้าโผล่มาให้เห็นจัง ๆ อะกลัว แต่ถ้าอยู่เฉย ๆ งี้ไม่กลัวเว้ย
“พี่... ไปไหนแล้วอะ”
“...”
“เฮ้ยพี่ไม่เอางี้ดิ”
ยังคงเพ่งมองเข้าไปในความมืด บอกตามตรงว่าใช้ชีวิตอยู่ในโลกสีดำแทบทุกคืน แต่มันก็ยังมีแสงสว่างจากหน้าคอมพ์ส่องอยู่ตลอดไง แถมนั่นก็ที่บ้านมันไม่มีอะไรต้องกลัว ตอนเป็นเด็กเคยกลัวผี แต่โดนแม่ด่าว่าบ้านมึงยังจะกลัวอีก งี้ถ้าออกไปข้างนอกมึงไม่ต้องโทรจ้างหมอผีมาขนาบข้างเลยเหรอ
เออนั่นแหละ บยอนแบคฮยอนไม่ได้กลัว ก็แค่สงสัยว่าพี่พระเอกนางวาร์ปหายไปไหนแล้ว
“พี่”
พรึ่บ!
เด็กน้อยค้างในท่าคลานอยู่บนเตียง พอเลื่อนระดับสายตาขึ้นเล็กน้อยก็เห็นว่ามือข้างหนึ่งของเขาวางอยู่ตรงระหว่างขาพี่พระเอกที่อยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน โดยมีสวิตซ์บางอย่างอยู่ในมือ ซึ่งมันคงเป็นตัวจุดชนวนให้โคมไฟติด
ตาทั้งสองข้างกระพริบปริบ ๆ เมื่อภาพนิ้วมือทั้งห้าที่อยู่ตรงกลางสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้นมันเฉียดเป้ากางเกงนอนอีกคนไปแค่นิดเดียว
พลั่ก ๆๆๆๆๆ
แบคฮยอนรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเหงื่อตัวเองที่มันไหลออกมาเหมือนเขื่อนแตก อุณหภูมิที่ว่าเย็นแปรเปลี่ยนเป็นทะเลทรายซาฮาร่าในทันที ถ้าเอาไม้บรรทัดมาวัดถึงจะรู้ว่ามันเฉียดไปกี่มิล ซึ่งมันคงน้อยมาก แบคฮยอนอยากตาย
พอเงยหน้าขึ้นแล้วก็อยากจะครายอิ้ง เมื่อพบว่าใบหน้าของเขาทั้งคู่ห่างกันอยู่แค่คืบเดียว วูบหนึ่งเด็กน้อยรู้สึกเหมือนขาดอากาศหายใจจนแขนแทบทรุด แต่โชคดีที่ว่าขาหน้าทั้งสองยังคงแข็งแกร่งดุจหินผากับฐานอันบอบบาง
สีหน้าเรียบเฉยของอีกฝ่ายไม่ได้ชงให้บรรยากาศส่งไปทางตลก ซึ่งมันก็คงเป็นอย่างนั้นเพราะพี่พระเอกเขาซีเรียสมาตลอดชีวิต ซึ่งตอนนี้ก็ยังคงคอนเซปได้เป็นอย่างดี แบคฮยอนค่อย ๆ ยกยิ้มอย่างฝืนทน พี่พระเอกไม่ขำ แสดงว่าน้องต้องขำเอง
แม่!!!!!!!!!!!!!!!!!! ผมกำลังคร่อมตักผู้ชาย!!!!!!!!!!!!!!!!!
“ไอ ก๊อท ดิ อาย ออฟ เดอะ ทายเก้อ อะ ฟายเต้อ แด๊นซิ่ง ตรู เดอะ ฟายเย่อ...”
“...”
ฟีดแบคที่กลับมานี่โหดร้ายยิ่งกว่าพวกกรรมการในรายการแข่งร้องเพลงในทีวี ที่พอไม่พอใจกูก็กดให้แม่งออก แบคฮยอนปากกืก สายตาของพี่พระเอกที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความสงสาร เวทนา เห็นใจ สมเพช และปิดท้ายด้วยคำว่า ‘อะไรของมึงครับคุณนักเขียน’
“เคยฟังไหม เพลง Roarrrrr”
ไม่พูดอย่างเดียว นี่กูทำท่าประกอบความเชื่อถือด้วย ให้ตายเถอะคุณเณรช่วย ลูกอยากจะร้องไห้จนน้ำตาไหลเป็นโลหิต เตียงก็ตั้งกว้างแต่กูเสือกคลานมาคร่อมตักพี่เขาได้ยังไง นักวิทยาศาสตร์คนไหนพอจะตอบได้บ้าง ท่าทางนี่ก็ล่อแหลมมากไหม
“เสียงดีนี่ครับ”
เหมือนได้รับบัตรผ่านแรกจากการรอดตาย แล้วให้ไปเผชิญหน้ากับด่านที่สองอีกที แต่มันไม่แย่สักเท่าไหร่นะคุณ ตอนนี้พี่พระเอกเขาเริ่มเปลี่ยนอารมณ์แล้ว แม้ว่ามันจะเป็นแค่การขยับกล้ามเนื้ออันน้อยนิดบนใบหน้าก็ตาม
“โหว่าได้เหรอ... ตอนเป็นเด็กเคยประกวดร้องเพลงแล้วได้ขนมปี๊บกลับบ้านมาอวดแม่ด้วยนะ ใช่ย่อยไหมล่ะ”
แบคฮยอนพยายามจะคลานออกอย่างเนียน ๆ แน่นอนว่าจังหวะยกมือออกจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้นต้องหลุบสายตามองจริง ๆ โอยพ่อแก้วแม่แก้วเอ๊ย ก็มีเหมือนกันแหละไอ้นั่นอะ แต่ถ้ามันเป็นของคนหล่อมันเลยดูเป็นพื้นที่อันตราย ประหนึ่งเหมือนไฟจะไหม้ถ้าเกิดดพลาดไปสัมผัสเข้า
แบคฮยอนยังคงยิ้มแม้ว่าสถานการณ์จะไม่ใช่ แต่วินาทีนี้อะไรที่แถได้ก็คงต้องขุดมันออกมาใช้ให้หมด แต่สุดท้ายแล้วมันก็เปล่าประโยชน์ เมื่อแขนของเขาถูกอีกคนคว้าเอาไว้เต็มแรง
รู้สึกเหมือนถูกปิก๊ะจูปล่อยไฟฟ้าแสนโวลท์ใส่เลย...
“เพิ่งรู้ว่าคุณเสียงดี” ร่างสูงเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ แบคฮยอนทำตาเหลือกก่อนจะค่อย ๆ เอนตัวไปข้างหลัง สีหน้าและแววตาที่มองมาเหมือนในฉากละครไม่มีผิด พี่พระเอกมึงอย่า
“บอกแล้ว ผมเป็นเด็กมีพรสวรรค์เว้ย...” แบคฮยอนหักหลบไปทางด้านข้างแต่ก็ถูกแขนแกร่งดักเอาไว้เสียก่อน
นี่พี่พระเอก!!! มึงจะเหิมเกริมเกินไปแล้วนะ ไข้ขึ้นไง๊!!!
“ไหนครับ เมื่อกี้ใครกลัวผีนะ?”
“พี่ไงกลัว รีบหายไปควานหาปุ่มเปิดไฟฉุกเฉินทันทีเลยนะ” สองมือยกขึ้นมาใต้คางแล้วแลบลิ้นเหมือนผี
“ถ้าคุณพูดถึงไอ้นี่” ชานยอลมองใบหน้าซน ๆ ของเด็กน้อยตรงหน้าแล้วกดสวิตซ์โชว์ก่อนที่ไฟจะดับลงและติดใหม่อีกครั้ง ตอนนั้นแบคฮยอนถึงได้รู้ว่าความมืดที่เคยเกิดขึ้นมันไม่ใช่ความผิดของคอนโดนี้แต่อย่างใด “คุณคิดว่าไฟดับเหรอ”
“เอ้า ใครจะไปรู้ว่าโคมไฟตัวนั้นมันถูกควบคุมด้วยรีโมท” แบคฮยอนบุ้ยปากใส่โคมไฟตัวนั้นแล้วหันมาสบตากับคนตัวสูงอีกครั้ง
“เพี้ยน” แบคฮยอนถลึงตามองพระเอกหนุ่มที่เอาแต่พึมพำเบา ๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนเหมือนคนกำลังรู้สึกเสียดายเวลาเป็นอย่างมากที่เผลอนั่งเล่นกับเด็กกะโปกอย่างเขา
“แกล้งเด็กหนุกเปล่า”
“ไม่เห็นสนุกเลยครับ”
“เข้าใจ ๆ มันเลยวัยที่พี่จะรู้สึกแบบนั้นกับโลกใบนี้แล้ว” พูดจบก็หันไปยิ้มล้อ ขออีกสักเม็ดเถอะคืนนี้ชัยชนะต้องเป็นของทีมเด็กกะโปก
ร่างเล็กมองแผ่นหลังกว้างของคนตัวสูงที่นอนหันหลังให้ เลยฮัมเพลงเบา ๆ กวนตีนไม่ให้นอน มันก็ถูกต้องที่ตอนแรกบยอนแบคฮยอนเป็นห่วงพี่พระเอกมากจนอยากให้กินยาแล้วรีบนอนพักผ่อน พอพี่เขาหายแล้วจะได้กลับมาไฝว้กันเหมือนเดิม แต่ตอนนี้ไม่แล้ว พี่เขากวนตีนเกินไป ต้องให้เด็กถอนหงอก
“นี่ลุกไปไหนไม่ได้เลย”
“อะไรอีกครับ”
“เจอมองตาขวาง 555555555555555555”
“มุกอนุบาล”
“ตามไม่ทันก็บอก 555555555555555555555”
เด็กน้อยอ้าปากหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ก่อนจะเบิกตาอย่างตกใจเมื่อถูกอีกฝ่ายคว้าแขนไว้แล้วกระชากให้เขาลงไปนอนข้าง ๆ โดยไม่ทันตั้งตัว
“โอ๊ะ!!!”
“เกือบโขกกับหัวเตียงแล้วไหมล่ะ ถือว่าเป็นโชคของคุณเลยนะครับเนี่ย”
“โชคบ้าไร รู้เปล่าว่าเมื่อกี้ผมใจวูบเลย ความรู้สึกเหมือนถูกผลักตกเหวอะ พอเถียงไม่สู้แล้วก็ชอบใช้กำลังเหรอ ผมจะแช่งให้หาเมียไม่ได้ พอพี่หาเมียไม่ได้พี่ก็จะไม่มีลูก พอไม่มีลูกพี่ก็ต้องแก่หนังเหี่ยวจนแห้งตาย”
คนป่วยเพียงแค่อมยิ้มกับความปากคอเราะร้ายของเด็กอายุสิบเจ็ดที่เคยทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้เมื่อหลายชั่วโมงก่อน เพียงเพราะได้ฟังเรื่องราวในอดีตของเขา ชายหนุ่มมองใบหน้าซน ๆ ของคนตัวเล็กแล้วเขี่ยปลายจมูกรั้นเบา ๆ อย่างหมั่นเขี้ยว แน่นอนว่านักเขียนเด็กแสบนั้นรีบหันหน้าหลบองศาทันที
“เกลียดพี่ว่ะ”
“ครับ ถ้าบอกว่า ‘รักพี่จัง’ คืนนี้ผมคงนอนไม่หลับแน่”
“โอ๊ย ถ้าจะหลงตัวเองขนาดนี้ พี่ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนถามหน่อย ปรึกษาทนายส่วนตัวบ้างยัง”
“เมื่อกี้แรงโน้มถ่วงของโลกน่ะ อย่าเก็บไปใส่ใจเลยนะครับ ยังไงคุณก็ยังไม่ตาย”
“แรงมะเหงกดิ”
“ทำไมคุณเป็นแบบนี้ล่ะครับ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วยังเห็นทำตาแป๋วเหมือนคนอยากเข้ามากอดปลอบผมอยู่เลย” คนฟังตาเหลือกครั้งที่ร้อยของวัน ได้ยินแบบนี้แล้วถึงกับขึ้น!!!
“ผมสงสารตอนพี่ยังเป็นเด็กอ้วนเว้ย ถามหน่อยว่าตอนนี้พี่มีอะไรน่าสงสารมั่ง หน้าสดยังไม่เป็นสิว ถลกเสื้อขึ้นก็เห็นหน้าท้องเป็นลอน เงินก็มีใช้ สาวก็ติดเยอะ ไหนตอบมาดิ๊” ตอนพูดก็ขยับถอยไปข้างหลังเพื่อสร้างระยะห่าง ชานยอลอมยิ้มกับน้ำเสียงที่กระตุกเป็นพัก ๆ ที่มาพร้อมสีหน้าคาดโทษของเด็กน้อย
“คุณแอบดูหน้าท้องผมเหรอ?”
“แหม่ ๆๆ ก็กล้าถาม วันนั้นพี่เปลี่ยนเสื้อแล้วตั้งใจหมุนตัวมาหาผมอะ แค่นี้ทำเป็นลืม อ่อยจนเคยตัวล่ะสิ ใช้ได้ไหมเนี่ยใช้ได้ไหม” แบคฮยอนจิ๊ปากรัว ๆ แล้วกระดิกนิ้วชี้
“แต่คุณบอกว่าตอนผมเป็นเด็กอ้วนน่ารักนี่ครับ”
“ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเป็นพี่ไง ถ้ารู้ใครจะไปชมวะ ไม่ได้มีเลยความน่ารักอะ น่าตื้บมากกว่า” แบคฮยอนกำหมัดแล้วทำท่าชกใส่ใบหน้าหล่อของอีกคน
“คุณจะเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มที่จะทำร้ายผมสินะ จิตใจทำด้วยอะไร” คิ้วหนาขมวดมุ่นแล้วเพ่งมองเด็กน้อยที่กำลังกลอกตาไปมา
“เออ”
“ตอนตอบช่วยสบตากับผมด้วยครับ”
เกลียดพี่พระเอกอะ เกลียด
พอสู้ไม่ได้ก็เอาความหล่อมาเป็นท่าไม้ตายจัดการคู่ต่อสู้งั้นดิ ซึ่งบอกเลยว่าช่วงแรก ๆ บยอนแบคฮยอนยังพอไหว แต่ตอนนี้หัวใจแม่งโคตรไม่รักดี คือมันจะสั่นอะไรนักหนาวะ หน้านี่ก็ร้อนจั๊ง แอร์ร้อนมากมั้งเนี่ยห่านนน
“เออ”
แบคฮยอนย่นจมูกแล้วพลิกตัวนอนหันหลังให้ ก่อนจะเอื้อมมือลงไปตะกุยหาผ้านวม เวรกรรมของกูอีกแล้วที่ไม่รู้จักห่มผ้าก่อน ซึ่งมันเสือกไปกองอยู่ทางพี่พระเอกหมด ถ้าลุกขึ้นไปแย่งก็กลัวจะได้ไฝว้กันอีกรอบ ซึ่งบยอนแบคฮยอนไม่สู้ คืนนี้ยอม
ตะกุยหาได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องชะงักมืออยู่ท่านั้นเมื่ออยู่ ๆ ผ้านวมที่คิดว่าต้องพึ่งกูเกิ้ลถึงจะหาเจอนั้นได้ถูกห่มขึ้นมาจนถึงหัวไหล่ แน่นอนว่าผีคงทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้ เด็กน้อยนอนนิ่งแล้วกลอกตาไปมา ไม่มีเสียงบ่นหรือประโยคหลอกด่าใด ๆ หลุดออกจากปากใครอีกคนอีก
ความเงียบไม่ใช่สิ่งที่เด็กน้อยชอบสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเวลาอยู่กับพี่พระเอก ในทีแรกแบคฮยอนไม่เคยตั้งคำถามว่าสำหรับดาราหนุ่มที่ชื่อปาร์คชานยอลนั้นเขาชอบอะไรบ้าง? ไม่เคยเลยสักครั้ง จนพักหลัง ๆ มันเกิดเรื่องราวมากมายที่ก่อให้เกิดความรู้สึกอะไรหลาย ๆ อย่าง ที่ตัวเขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจมัน
ตั้งแต่ความสับสน หงุดหงิด เป็นห่วง หรือแม้แต่อาการที่ไม่อยากยอมรับว่ารู้สึกอย่างนั้นกับอีกฝ่ายจริง ๆ
แบคฮยอนชอบทะเลาะกับผู้ชายที่อายุมากกว่าสิบปี ผู้ชายที่เคยคิดว่านิสัยไม่ดีที่สุดในโลก แต่ในขณะเดียวกันผู้ชายคนนี้ก็เคยเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดในโลกเช่นกัน แต่พอมีบทสนทนาชวนทะเลาะที่ทำลายบรรยากาศผ่อนคลายลงไปได้
เด็กน้อยจมอยู่ในห้วงของความคิด สิ่งเดียวที่แบคฮยอนรู้สึกได้ในตอนนี้มีเพียงแค่ความอุ่นและกลิ่นหอมของผ้านวม กับมือใหญ่ที่กำลังยีหัวเขาอย่างเอ็นดู...
รู้แล้วใช่ไหมว่าหลังจากทะเลาะกับพี่พระเอกแล้วจะต้องแลกมากับอะไร?
มันต้องแลกกับความรู้สึกใจเต้นแรง ซึ่งบยอนแบคฮยอนไม่รู้เลยว่าจะเก็บอาการแบบนี้ไปได้ถึงเมื่อไหร่
50%
เสียงนาฬิกาปลุกเป็นอีกเสียงหนึ่งที่แบคฮยอนเกลียดเข้าไส้แม้ว่าเขาจะเป็นคนตั้งเวลาด้วยตัวเอง เด็กน้อยขมวดคิ้วอย่างหัวเสีย กับการที่ต้องแหกตาตื่นทั้งที่รู้สึกกระหายการนอนอยู่แบบนี้ มือเล็กควานหามือถือเพื่อกดปิดเสียงเตือนแล้วเอามากอดแนบอก นอนหลับตาถอนหายใจออกมาเพื่อตั้งสติก่อนจะปรือตา
แสงสว่างจากโคมไฟที่เปิดทิ้งไว้ตลอดทั้งคืนทำให้มองเห็นเฟอร์นิเจอร์ที่ตกแต่งอยู่ตามห้อง แบคฮยอนลุกขึ้นนั่งเกาหัว หันไปข้างตัวก็เห็นเพียงแค่รอยยับของผ้าปูที่นอนแต่ไม่พบซากกายหยาบของคนป่วยที่น่าจะขดตัวอยู่ในผ้าห่ม
ตื่นแล้วเหรอ หรือว่าพี่เขาไปเข้าห้องน้ำ แบคฮยอนรู้สึกไม่ค่อยโอเคที่สมองของเขาเริ่มทำงานเพราะการนึกถึงเรื่องของพี่พระเอก เขาส่ายหัวไล่ความคิดแล้วลงจากเตียงก่อนจะเดินออกไปข้างนอกเพื่อตรงไปจัดการธุระส่วนตัวก่อนกลับบ้านอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน
“โอ๊ะ!”
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
แบคฮยอนเลิกคิ้วมองคนตัวสูงที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ในครัว สีหน้าพี่พระเอกยังดูป่วย ๆ อยู่ ซึ่งบางทีก็ไม่แน่ใจว่าที่เป็นแบบนั้นเพราะพี่เขาไม่สบาย หรือว่าพี่เขากำลังทำหน้าเซ็งใส่อยู่กันแน่ แต่อาการคงไม่น่าเป็นห่วงแล้ว
เมื่อพอลดระดับสายตาลงก็เห็นกล่องพลาสติกใส่ผัก ถุงขนมปัง ผู้ชายคนนั้นกำลังตั้งใจทำมื้อเช้าสินะ ก็แหงล่ะ มีดที่อยู่ในมือคงไม่ได้ตั้งใจเอามาแทงเขาแน่ ๆ ถึงพี่เขาจะชอบทำหน้าตูด แต่พอยิ้มแล้วออร่าเทพบุตรก็ฟุ้งกระจายไปโดยรอบ พี่พระเอกเขาหล่อ เขาคูล แล้วก็คงเล่นบทฆาตกรในหนังผีไม่ได้ เพราะผีคงยอมแพ้ความหล่อจนล้มเลิกความตั้งใจที่จะอาฆาตนาง
“ทำไรอะ”
“แซนวิช”
“เผื่อด้วยป่ะ” เสียงนี้ดัดให้เล็กลงเป็นเชิงกวนพร้อมย่นจมูก ชานยอลมองเด็กน้อยที่ยืนเกาะแหมะอยู่ตรงทางเข้าครัวแล้วก็ได้แต่เงียบ
“ไปแปรงฟันครับ”
“ได้! ไม่เอาทูน่านะ!” พูดจบก็รีบแจ้นไปจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำในทันทีอย่างไม่อิดออด
พระเอกหนุ่มชะงักมีดหลังจากได้ยินอย่างนั้น ก่อนจะชำเลืองมองไปยังกระป๋องทูน่าที่วางอยู่ใกล้มือและเพิ่งถูกทาไปบนขนมปังโฮลวีตทั้งสองแผ่น มันถูกประกบเป็นสองชั้นและคั่นกลางด้วยมะเขือเทศและผักสลัด นี่ยังไม่รวมอีกสองชิ้นที่ถูกตัดเป็นสองส่วนไปแล้วด้วยนะ
“...”
ร่างสูงนิ่งไปชั่วอึดใจ แล้วคิดว่าจะทำยังไงกับแซนวิชโง่ ๆ ตรงหน้า ลำพังตัวเขาคงไม่คิดจะกินมันเองทั้งสี่ชิ้นแน่ นอกจากการฝืนทำเป็นยิ้มต่อหน้าคิมจงอินหน้ากล้องแล้ว การเดาใจนักเขียนเด็กก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องใช้ความพยายามเช่นกัน นี่มันปัญหาระดับโลกชัด ๆ
“แล้วก็ไม่บอกว่าไม่ชอบ...”
พึมพำกับตัวเองเหมือนหมีกินผึ้งอย่างไร้เหตุผล ก็รู้หรอกนะว่าเขากับเด็กคนนั้นไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะพูดคุยทุกเรื่องบนโลกกันได้อย่างสนิทใจจนสามารถรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายชอบหรือไม่ชอบอะไร แอบเสียฟอร์มอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังดีที่เด็กตัวแสบไม่เห็นว่าเขาทำแซนวิชทูน่าไปแล้ว
เอื้อมมือขึ้นไปหยิบกล่องพลาสติกมาใส่แซนวิชทูน่าทั้งสามชิ้น แล้วเหลือไว้กินเองชิ้นนึง เช้าในวันป่วย ๆ แบบนี้กินอะไรไม่ลงหรอก แต่ยังไงปาร์คชานยอลก็ยังคงยืนยันว่าแซนวิชทูน่าฝีมือเขามันอร่อยมาก
ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ เด็กคนนั้นไม่รู้หรือไงว่าทูน่ามันอร่อย
สำหรับคนรักสุขภาพอย่างปาร์คชานยอลแล้ว ในตู้เย็นนั้นล้วนเต็มไปด้วยของสด แม้ว่ามันจะถูกแบ่งมาใช้วันละนิดวันละหน่อย แต่ชานยอลคิดว่ามันคงดีกว่าการบริโภคอาหารแช่แข็ง
ตั้งกระทะแล้วเปิดเตาแก๊สไฟฟ้า คว้าอุปกรณ์ทำอาหารแล้วจัดการเตรียมไข่ออกมาสี่ใบ จนถึงตอนนี้พระเอกหนุ่มก็ยังคงเป็นกังวล ว่าไข่แค่นี้จะพอคณาหลุมดำในท้องของเด็กแสบคนนั้นไหม ชานยอลไม่รู้ตัวว่าคิ้วกำลังขมวดเข้าหากันเพียงเพราะนึกถึงคนที่อยู่ในห้องน้ำ เสียงน้ำมันเดือดเป็นเหมือนระเบิดเวลาที่เร่งให้เขาตัดสินใจว่าจะทำยังไง จนกระทั่งได้คำตอบว่าการทำไข่ดาวหกฟองเผื่อไว้คงดีกว่าให้เด็กนั่นบ่นว่าไม่อิ่ม
“ทานเยอะ ๆ ก็ดีแล้ว เด็กวัยกำลังโต”
ไข่สามใบถูกตอกลงในกระทะ พอมันสุกได้ที่แล้วก็ช้อนมันขึ้นมาวางไว้ให้เสด็จน้ำมันแล้วตอกอีกสามใบลงไป เพียงแค่ครู่เดียวไข่ดาวทั้งหกฟองก็วางเรียงกันอย่างสวยงาม
ชานยอลเริ่มทำแซนวิชอีกครั้ง ไข่กับแฮมแผ่นถูกวางลงบนขนมปังโฮลวีต ตามด้วยมะเขือเทศและผักสลัด ชายหนุ่มใช้เวลาทำไม่นาน กับการโปะมันทับ ๆ กันแล้ววางเรียงบนจานโดยไม่ต้องตัดครึ่ง เสียงฮัมเพลงหลังจากเสียงประตูห้องน้ำเปิดเป็นการบอกว่าถึงเวลาที่เขาจะเสิร์ฟมือเช้าได้แล้ว
“หอมจังเลยยย” เสียงลอย ๆ ดังเข้ามาถึงในนี้ ชานยอลรู้ดีว่าเด็กคนนั้นแค่อยากกวนประสาทเขาต้อนรับดวงอาทิตย์ยามเช้า มากกว่าการจะประจบประแจงเพราะความหิว
“ชอบทำอะไรเวอร์ ๆ จนติดเป็นนิสัยไปแล้วสินะครับ”
แอบชำเลืองมองด้วยหางตาแล้วก็เห็นว่าคนตัวเล็กเดินเข้ามาข้างในแล้ว เด็กแสบเบ้ปากกวนแล้วเปิดตู้เย็นก่อนจะเอานมสดกล่องใหญ่ออกมาพร้อมแก้วแล้วชะโงกหน้ามาทางเขา อีกทั้งยังทำจมูกฟุตฟิต ๆ ใส่อีก
“แหวะ มีแต่กลิ่นน้ำมัน”
“...”
“แหวะ ๆๆๆๆ”
ร่างสูงหลุบสายตาลงมองใบหน้าซน ๆ ซึ่งมันรับเข้ากับผมหน้าม้าสีเข้มที่เปียกชุ่มหลังจากล้างหน้าเสร็จ ปาร์คชานยอลไม่แน่ใจว่าที่วันนี้เขาไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคุณนักเขียนเด็ก เป็นเพราะว่าเขาไม่สบายหรือเป็นเพราะสิ่งที่เด็กคนนี้แสดงออกมันไม่ได้น่าหงุดหงิดเหมือนเมื่อก่อนกันแน่?
“เดี๋ยวผมไปรอข้างนอกนะ รีบ ๆ เลย” พูดจบก็ยกซดนมโชว์ แถมยังใช้ลิ้นกวาดเอาคราบนมเข้าปากเหมือนลูกหมาอีก เด็กแสบนี่มันแสบจริง ๆ ชานยอลได้แต่มองตามหลังคนอารมณ์ดี ก่อนจะดึงคอเสื้อตัวเองขึ้นมาดมเพื่อพิสูจน์ว่าเหม็นจริงหรือเปล่า
“เหม็นที่ไหนกัน”
พึมพำกับตัวเองแล้วเอื้อมไปหยิบสเปรย์ดับกลิ่น ยื่นมือไปข้างหน้าแล้วฉีดขึ้นบนอากาศก่อนจะถือจานแซนวิชออกไปข้างนอก ให้ตายเถอะ นี่เขากำลังทำอะไรอยู่เหรอ ปาร์คชานยอลรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นทาสยังไงอย่างนั้น
มื้อเช้าผ่านไปอย่างเรียบง่าย พี่พระเอกอ้างว่าป่วยเลยกินแซนวิชทูน่าไปแค่ชิ้นเดียว นี่แอบบ่นไปนิดหน่อยเรื่องทำแซนวิชแฮมไข่มาเยอะอย่างกับประชด แต่ถึงอย่างนั้นแบคฮยอนก็ฟาดเรียบไปถึงสามชิ้นใหญ่
ตอนแรกคิดว่าจะโดนด่าแล้ว แต่พี่เขาแค่เดินเข้าไปในครัวแล้วกลับมาพร้อมกล่องพลาสติกเปล่า แถมจัดแจงแซนวิชที่เหลือใส่ให้อย่างสวยงาม บอกเลยว่าตอนนั้นตั้งหลักรอแล้ว ว่าถ้าเกิดพี่เขาพูดว่า ‘เอาไปทานที่โรงเรียนนะครับ’ มันคงจะเป็นอะไรที่ชวนให้เขินจนแทบปั้นหน้าปกติไม่ทันแน่
แต่เขาคิดผิด เมื่อพี่พระเอกแค่ทำหน้านิ่งเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น แล้วบอกว่า ‘คุณต้องรับผิดชอบโดยการทานมันให้หมด’ แค่นั้นแหละ จบเลย ไม่มีการเขินอะไรทั้งนั้น
เด็กน้อยเปิดประตูด้วยอารมณ์งิดเล็ก ๆ หลัก ๆ คือหงุดหงิดตัวเองที่คาดหวังว่าจะได้ยินคำพูดดี ๆ จากผู้ชายขี้เก๊ก เออนะ การที่ผลัดกันระบายความในใจเมื่อคืน มันไม่ได้หมายความว่าพี่เขาจะอ่อนโยนขึ้น พี่พระเอกก็ยังคงเป็นพี่พระเอกอยู่วันยังค่ำนั่นแหละ เพ้อเจ้อโว้ย
ลงลิฟต์มาถึงชั้นล่างแล้วตรงออกไปข้างนอก เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามเช้าพร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดก่อนจะก้มลงดูนาฬิกามือถือ นี่เพิ่งตีห้าครึ่งเองคงไม่ต้องนั่งแท็กซี่หรอกมั้ง ยังไงก็ไปเรียนทันอยู่แล้ว แบคฮยอนไม่ใช่คนอาบน้ำนาน
ไม่นานนักรถเมล์ก็ขับมาเทียบจอด คนตัวเล็กเดินเข้าไปแตะบัตรแล้วเลือกนั่งแถวหน้าก่อนจะทอดสายตาออกไปนอกถนนที่การจราจรยังโล่งต่างจากตอนกลางวัน เพียงแค่ครู่เดียวรถก็เคลื่อนตัวออก ระหว่างทางมองเห็นแค่ตึกอาคารพาณิชย์และต้นไม้ข้างทาง โซลตอนเช้ามันเงียบสงบจนอดที่จะนึกถึงพล็อตนิยายไม่ได้
ครืดดด...
ร่างเล็กล้วงเอามือถือออกมาจากกางเกงหลังจากที่มั่นสั่น แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าคนส่งข้อความเข้ามาเป็นใคร แบคฮยอนตาเหลือกทำปากเหมือนลิง หลายวินาทีเลยที่เขาเอาแต่มองชื่อเจ้าของเบอร์ ก่อนจะกดเปิดหน้าจอดูเนื้อความข้างใน
คุณได้รับข้อความจาก...
‘พี่พระเอก’
[ กลับยังไงครับ? ]
หลังจากอ่านจบแล้ว
คำถามแรกคือ... กูยิ้มทำไม
แบคฮยอนเกาหัวเหมือนคนโง่แล้วก็ได้แต่กลั้นยิ้ม กลอกตาซ้ายขวาดูว่ามีคนกำลังมองอยู่หรือเปล่า เพราะมันคงไม่ดีแน่ถ้าเกิดจะมีใครมาเห็นว่าไอ้เด็กเตี้ยนี่กำลังนั่งอมยิ้มเพราะมองจอมือถือ โด่... ทีเมื่อกี้ทำหน้ามึนซึนใส่ ที่จริงเป็นห่วงก็บอกมา
คุณกำลังส่งข้อความถึง...
‘พี่พระเอก’
[ วาร์ปกลับ ]
หลังจากกดส่งแล้วก็คว่ำมือถือลงกับหน้าขา ก่อนจะหันหน้าเข้าหากระจกรถเมล์ บ่ได้ดอก... ถ้าให้ตอบคำถามทันทีพี่พระเอกต้องคิดว่าเขาเชื่องเหมือนหมาแน่ ๆ ต้องกวนตีนกลับไปให้รู้ซะบ้างว่าแบคฮยอนคนนี้มีจุดยืนที่มั่นคงดุจหินผา
เวลาผ่านไปไม่กี่วินาทีก็หงายจอมือถือขึ้นดูอย่างร้อนใจ เออ ก็เพิ่งกดส่งข้อความไปเองไหมล่ะมึง แล้วพี่เขาก็คงไม่ตอบกลับมาทันทีหรอก สภาพอย่างนั้นขอจินตนาการเลยว่าพี่เขาคงนั่งไขว่ห้าง กอดอกข้างหนึ่งแล้วแสยะยิ้มพร้อมแค่นหัวเราะอยู่แหง ๆ
ผ่านไปแล้วสามนาที แต่ก็ไม่มีข้อความใด ๆ เด้งขึ้นมาให้ได้ลุ้นอีก คนตัวเล็กหรี่ตาเบ้ปาก หรือว่าพี่พระเอกนางจะงิดที่เจอกวนตีนแบบคอมโบตั้งแต่ในครัว เฮ้ย ตัวก็ไม่ได้เล็กทำใจน้อยไปได้ สู้หน่อยดิวัยรุ่น
ครืดดด...
“อุ๊แม่!!!”
แบคฮยอนทำตาโตแล้วรีบตะปบปากตัวเองหลังจากเผลออุทานไปซะแรง ถึงจะเป็นช่วงเช้าแต่คนที่อยู่บนรถเมล์ก็พอมีให้ได้อับอายขายขี้หน้าอยู่ เด็กน้อยกัดริมฝีปากบนแต่ก็เท่านั้น เพราะสุดท้ายเขาก็ยิ้มออกมาเพราะข้อความของคนป่วยอยู่ดี
คุณได้รับข้อความจาก...
‘พี่พระเอก’
[ ขอเลขทะเบียนแท็กซี่ด้วยครับ ]
คาดว่าตอนนี้ริมฝีปากบนคงเลือดห้อไปแล้ว ไม่อยากยอมรับเลยว่ากำลังรู้สึกยังไงอยู่ ทำไมต้องยิ้มตอนเห็นประโยคห้วน ๆ แต่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ซึ่งเขาคงไม่ได้เข้าข้างตัวเองแน่ว่ามันเป็นอย่างนั้น เพราะคนอย่างปาร์คชานยอลคงไม่ขอเลขทะเบียนไปแทงหวยงวดวันที่สิบหกนี้หรอก
คุณกำลังส่งข้อความถึง...
‘พี่พระเอก’
[ ผมนั่งรถเมล์ จะให้เดินไปถามทะเบียนกับคนขับป่ะ -.- ]
หันหน้าไปทางด้านขวากะว่าจะให้ต้นไม้ริมทางช่วยบรรเทาความรู้สึกในตอนนี้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ช่วยอะไรเลยสักนิด แถมตอกย้ำเข้าไปอีกว่าบยอนแบคฮยอนกำลังยิ้มอย่างขลาดเขินเพราะข้อความของใครอีกคน ผ่านกระจกใสที่เห็นเงาสะท้อนอยู่ในนั้น
ครืดดด...
มือถือสั่นอีกแล้ว การกดอ่านข้อความของคนที่เคยแยกเขี้ยวใส่กันทุกครั้งที่เจอกันกลายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ไหนจะแก้มทั้งสองข้างที่มันกำลังร้อนผ่าวอีก จะบอกว่าป่วยติดจากพี่พระเอกมาก็คงไม่ใช่ เพราะบยอนแบคฮยอนนี่ถึกยิ่งกว่าคูโบต้าใส่เกราะตีบวกสิบซะอีก
คุณได้รับข้อความจาก...
‘พี่พระเอก’
[ ผมกำลังจะนอนต่อหลังจากทานยาที่คุณซื้อมาให้เรียบร้อยแล้ว ตอนสมัยมัธยมครูเคยสอนผมเรื่องความรับผิดชอบ ถ้ามีคนตื่นแต่เช้ามาทำแซนวิชให้ทั้งที่ยังป่วยอยู่ ผมคงทานมันให้หมดและไม่แอบเอาไปโยนทิ้งถังขยะให้เสียน้ำใจแน่ ]
แบคฮยอนยิ้มแล้วแลบลิ้นกับประโยคยาวยืดที่ถ้าให้พูดตรง ๆ ว่า ‘ต้องทานให้หมดนะครับ ผมอุตส่าห์ตื่นมาทำให้แต่เช้า’ แค่นั้นก็จบแล้ว ฟอร์มเยอะกว่านี้มีอีกไหม ก็รู้หรอกว่าตื่นมาทำแต่เช้า ทีแรกก็คิดว่าทำไปตามมารยาท แต่ตอนนี้...
พี่พระเอกกำลังทำให้แบคฮยอนคิดไปในทางอื่น
“แบคฮยอน!”
เจ้าของชื่อหันซ้ายขวาก่อนจะหยุดสายตาอยู่ที่ชายหนุ่มร่างสูงซึ่งยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน คนตัวเล็กยิ้มกว้างแล้วโบกมือทักทาย ก่อนที่รอยยิ้มจะค่อย ๆ จางลงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายก็กำลังยิ้มและโบกมือกลับมาเช่นกัน
แม่!!! พี่เทาเขาอ่อย!!!
“อย่าเพิ่งเข้าโรงเรียนนะ รอพี่ก่อน!” ชายหนุ่มไม่พูดอย่างเดียว รุ่นพี่สุดหล่อหยุดยืนข้างถนนแล้วมองซ้ายขวา ก่อนจะหาจังหวะวิ่งข้ามมาฝั่งนี้ในนาทีถัดมา
แบคฮยอนช้อนตามองคนหล่อที่มาพร้อมกลิ่นหอม มันเป็นสัจธรรมของโลกใช่ไหมที่คนหน้าตาดีจะต้องมาพร้อมกลิ่นเด็ด ๆ จนเหมือนว่าพระเจ้าได้สรรค์สร้างมาเพื่อคนกลุ่มนี้โดยเฉพาะ หอมจนอยากยื่นหน้าเข้าไปดมใกล้ ๆ เหมือนในโฆษณาโรลออน
“ปกติมาเรียนเวลานี้เหรอ”
“อ๋อ ใช่... มาเวลานี้เลย” ปากกืกไปหมด อะไรที่เป็นตัวของตัวเองแบคฮยอนไม่รู้จักแล้ว มันเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ กับการที่คนเราจะทำตัวไม่ถูกเวลาเจอคนที่ชอบมาก ๆ
“โอเค” จื่อเทาอมยิ้มแล้วมองนาฬิกาข้อมือ “พี่จะได้จำไว้ว่าควรมาถึงโรงเรียนเวลาไหนถึงจะได้เจอเรา”
คนฟังถึงกับตาเหลือก ให้ตายเถอะ ประโยคเมื่อครู่นี้หลุดออกมาจากปากผู้ชายที่เคยปฏิเสธกูอย่างไร้เยื่อใยจริงหรือ พี่เทาสุดฮ๊อตที่มีหนุ่มสาวเข้าหาไม่ได้ขาด ไหนจะไอ้คยองซูที่บอกว่าผู้ชายคนนี้หาความดีไม่ได้ ให้ความหวังคนอื่นไปวัน ๆ เพื่อเช็กเรตติ้ง ให้ตายยังไงก็ไม่เหลียวแลบยอนแบคฮยอนคนนี้
แต่บางทีโดคยองซูมันอาจต้องคิดใหม่ ถ้ามันได้เห็นพี่เทาเป็นฝ่ายทักเขาก่อน แล้วพูดประโยคชวนให้คิดเข้าข้างตัวเองแบบนั้น
อดีตไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ ปัจจุบันสิแน่นอนกว่า เคยได้ยินไหมว่าน้ำหยดใส่หินหินมันยังกร่อน บางทีความน่ารักของกูมันอาจจะเพิ่งปังเข้ากลางหัวใจพี่เทาก็ได้ใครจะรู้
พี่เขาชอบกูแล้วแน่ ๆ
“กินข้าวมาหรือยังหื้ม?” มีหื้มปิดท้ายนี่เพิ่มความอ่อนโยนเข้าไปอีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์ แบคฮยอนพยักหน้าโง่ ๆ ทั้งที่ยังยิ้มอยู่ “น่าเสียดายจัง ว่าจะชวนไปกินด้วยกันสักหน่อย”
เจ็ท!!! เปลี่ยนคำตอบตอนนี้ทันไหม!!!
“พี่ยังไม่กินเหรอ...”
“ใช่ แต่ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวพี่ไปกินกับเพื่อนก็ได้” จื่อเทาว่าแล้วยีหัวคนตัวเล็กกว่า “แต่วันหลังต้องไปด้วยกันนะ”
“หา?”
เด็กหนุ่มชาวจีนหัวเราะในลำคอ ก่อนจะสบตากับคนตัวเล็กที่กำลังงงเป็นไก่ตาแตก เด็กหนุ่มเพียงแค่อมยิ้มอย่างขลาดเขินแล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
“พี่แค่คิดว่าเราน่าจะลองไปกินข้าวด้วยกันดูสักครั้งน่ะ”
“...”
“แบบที่ไม่ใช่ในโรงอาหาร แต่เป็นวันหยุดที่กินข้าวเสร็จแล้วไปดูหนังต่อได้... เราคิดว่าไง?”
แบคฮยอนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยที่ยังไม่ละสายตาจากอีกฝ่าย อยากจะแคะหูตรงนี้แล้วขอให้พี่เทาพูดอีกทีว่าเขาไม่ได้หูฝาดไปเอง พี่เขาชวนไปกินข้าวข้างนอกด้วยกัน แถมยังชวนไปดูหนังอีก นี่มันไม่ใช่ความฝันแน่ ๆ
สวัสดีกายหยาบ นี่เราวิญญาณเอง
“แบคฮยอน!!!”
“...?”
ทั้งคู่หันขวับไปตามเสียงเรียก ก่อนที่เจ้าของชื่อจะถอนหายใจทันทีที่เห็นว่าเพื่อนไซส์มินิกำลังตรงมาทางนี้อย่างกับวิญญาณยังตามติดภาคสาม สายตาของโดคยองซูที่มองมานั้นเหมือนว่ามันกำลังอยากฆ่าใครสักคนคาสนามหญ้า แน่นอนว่าพี่เทาเองก็ได้เห็นสายตาคู่นั้น
“เพื่อนเรามาแล้ว งั้นไว้คุยกันนะ”
พี่เทาหันมายิ้ม จังหวะนั้นรู้สึกเสียดายนิด ๆ เลยได้แค่อ้าปากค้าง แต่จะรั้งไว้ก็กลัวว่าไอ้เพื่อนสนิทมันจะทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ไปกว่าเดิมเพราะปากมัน โดคยองซูหมั่นหน้าพี่เทาแค่ไหนเขารู้ดีที่สุด คนตัวสูงโน้มหน้าลงมาใกล้พร้อมกระซิบข้างหูเบา ๆ พอให้ได้ยินกันแค่สองคน เชื่อเถอะว่ามันทำให้คนฟังขนลุกซู่กับอิแค่ประโยคเดียว
“แบบสองต่อสอง...”
โอเค... Deal!!!
“ยิ้มไร เก็บเศษเหรียญได้ข้างถนนเหรอ” นี่คือประโยคทักทายยามเช้าของเพื่อนสนิท คยองซูยังคงมองมาด้วยสายตาไม่ต่างจากเดิมราวกับว่าอยากคาดโทษให้เขารู้สึกผิด แม้ว่าพี่เทาจะเดินห่างออกไปแล้ว
“โธ่มึง กูแค่คุยกันเฉย ๆ”
“ไม่เฉย ๆ เพราะหน้ามึงตอนนี้เนี่ย มันมาอ่อยไรอีกล่ะ”
“อย่าเรียกว่ามันได้เปล่าวะ พี่เขาอายุมากกว่าเรานะเว้ย”
“ไอ้เชี่ยเทา”
“โอเค”
แบคฮยอนมองเพื่อนอย่างยอมแพ้ นี่ถ้ายกธงขาวได้คงทำไปแล้ว อะไรจะคับแค้นใจนักหนา ชาติที่แล้วพี่เทาไปจุดไฟเผาขนหน้าแข้งอาม่ามึงเหรอ พี่เขาหล่อ มีสิทธิ์ที่จะอ่อยใครแค่ไหนก็ได้อยู่แล้ว มันเป็นธรรมชาติของคนหน้าตาดีที่ต้องบริหารเสน่ห์บ้าง นี่ต้องให้อธิบายไหมว่าพี่เทาเปลี่ยนไปจากเดิมหลายขุม จากที่เคยเลี่ยง ๆ ตอนนี้พี่เขาเป็นฝ่ายคอนเน็กติ้งหากูเลยนะเพื่อน
“เลิกคุยเรื่องไร้สาระดีกว่า เรามีเรื่องที่ต้องจริงจังกว่านั้น” คยองซูว่าขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินขึ้นบันไดอย่างไม่เร่งรีบ
“เรื่องนิยายเหรอ กูเพิ่งเขียนไปได้สี่หน้า”
“นิยายมึงนี่เขียนชาติหน้าก็ยังได้ ที่กูพูดถึงคือเรื่องพี่ชานยอลกับคิมดาซม”
ประโยคนี้ทำเอาเด็กน้อยชะงัก แบคฮยอนค่อย ๆ ชำเลืองมองเพื่อนสนิทที่จ้องอย่างคาดหวังคำตอบตามประสาคนขี้เสือกและอยากเป็น The one who can know everything about ไอเด้า
นี่แทบลืมไปเลยว่าถ้ามาถึงโรงเรียนแล้วคงโดนติ่งอย่างมันถามเรื่องนี้แน่ ๆ
“มึงน่าจะถามถึงอาการพี่เขาก่อนป่ะวะ”
“กูเชื่อว่าพี่ชานยอลคงไม่เป็นอะไรมาก เพราะถ้าเป็นจริง มึงก็คงไม่อมขี้ฟันเก็บไว้จนเพื่อนสนิทคนนี้ต้องออกปากถามเองหรอก”
กราบ
“ก็ไม่มีไรมากอะมึง พี่พระเอกไม่สบาย คิมดาซมเลยไปเยี่ยมเฉย ๆ กูออกไปซื้อของกลับมาอีกทีเธอก็กลับแล้ว”
“แน่ใจ?”
“เออ”
“แล้วท่าทางพี่ชานยอลเป็นไงบ้าง แบบ... สายตาเขาดูมีเยื่อใยไรงี้ไหม?” คยองซูขมวดคิ้วแล้วม้วนข้อมือประกอบ นี่มึงเห็นกูเป็นตำรวจฝ่ายสอบสวนหรือช่างจับผิดคนเก่งของโลกใบนี้เหรอซั้ซ
“กูจะรู้ไหม”
“มึงต้องรู้สิ มึงเป็นนักเขียน ขนาดเวลาบรรยายสีหน้าตัวละครออกมาเป็นตัวหนังสือมึงยังทำได้เลย”
“กูไม่รู้” แบคฮยอนเอากระเป๋าห้อยข้างเก้าอี้แล้วกลอกตาไปมา เมื่อวานคุยกันซะดึกดื่นแต่ก็ลืมหลอกถามเรื่องนี้ไปเลย สรุปพี่พระเอกกับผู้หญิงคนนั้นมีซัมติงอะไรกันหรือเปล่าวะ?
“ไม่รู้ก็ต้องรู้ให้ได้ เย็นนี้มึงแวะซื้อของเข้าไปฝากแล้วอ้างว่าเป็นห่วงดิ พอถึงตอนนั้นก็หลอกถามซะ มันอาจจะยากสำหรับคนโง่อย่างมึงหน่อย แต่กูเชื่อว่ามึงทำได้นะเพื่อน ว่าแต่มึงได้ติดต่อไปหาพี่จงอินยัง แผนการเสือกฉบับที่หนึ่งดำเนินการไปถึงไหนแล้ว” รู้สึกเหมือนโดนกระสุนรัวใส่ไม่หยุด แบคฮยอนค้างอยู่ท่านั้นระหว่างที่คยองซูกำลังจ้องมาอย่างคาดหวังคำตอบ
ไม่ได้ เขาจะเล่าเรื่องนี้ให้ไอ้หอกนี่ฟังไม่ได้เด็ดขาด เรื่องที่ได้ฟังจากปากพี่ตัวโกงนั้นมันไม่สมควรเล่าต่อเลยสักนิด แม้ว่าโดคยองซูจะเป็นเพื่อนสนิทจนสามารถบอกเล่าทุกเรื่องบนโลกใบนี้ให้ฟังได้ก็ตาม แต่ทุกเรื่องที่ว่ามันคือเรื่องของบยอนแบคฮยอนคนนี้เท่านั้น
แต่ความลับก็คือความลับ ยิ่งเป็นเรื่องของพี่พระเอกแล้ว แบคฮยอนก็ยิ่งไม่อยากให้มันหลุดออกไปให้ใครรู้
“ยังว่ะ”
“โหย ไรวะ”
“โธ่มึง นิยายกูก็ต้องเขียน จะเอาเวลาไหนไปเสือกเรื่องชาวบ้าน” แบคฮยอนส่ายหน้าหน่าย ๆ แล้วหันไปทางอื่น เขาไม่ใช่คนโกหกเก่ง ถ้าขืนยังหน้าด้านแถต่อไปคงถูกจับโกหกได้แน่ ๆ
เวลาพักเที่ยงสิ้นสุดลงแล้วต่อด้วยคาบบ่ายสุดทรหด แบคฮยอนและคยองซูกลับเข้ามาในห้องทั้งที่ยังคุยเรื่องเกมออกใหม่ที่ราคาแพงเหมือนถูกปล้น แต่ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็ตกลงหารสองแล้วผลัดยูสเซอร์สตีมกันใช้
พอกลับมาถึงโต๊ะขาก็หยุดชะงักเมื่อเห็นกล่องของขวัญวางไว้บนโต๊ะ เด็กทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมายแล้วชะโงกมองดู เผื่อว่าจะเป็นของคนอื่นฝากวางไว้ แต่พอเห็นการ์ดที่แปะอยู่บนกล่อง แบคฮยอนก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นชื่อตัวเอง
“อ่านแบบออกเสียงด้วย” คยองซูไม่แม้แต่จะถามว่า ‘เฮ้ยใครส่งมาวะ?’ เจ้าตัวเพียงแค่พยักหน้าพร้อมผายมือไปยังการ์ด ก่อนที่ทั้งคู่จะนั่งลงประจำที่ตัวเอง
“ขอโทษที่ไม่ได้เอาให้ด้วยตัวเองนะครับพอดีว่าต้องรีบไปทำงานต่อ ผมคงไม่ต้องอธิบายถึงของชิ้นนี้ เพราะถ้าคุณเห็นคงเข้าใจได้ด้วยตัวเอง”
“ใครวะ” คยองซูเท้าศอกมองพลางขมวดคิ้ว อ้างอิงจากคำว่า ‘ต้องรีบไปทำงานต่อ’ คาดว่าคงไม่ใช่นักเรียนที่นี่แน่ หรือถ้าจะมีก็อาจเป็นยาม
“พี่อี้ฝาน”
“เหยด รีบแกะเลย ข้างในคือเงินสดป่ะวะ บางทีอาจจะเป็นค่าจ้างงวดแรก” คยองซูมองเพื่อนที่กำลังแกะกล่องของขวัญ แต่ทันทีที่เห็นกล่องด้านใน ดวงตาของเด็กหนุ่มทั้งสองก็เบิกกว้างอย่างตกใจ
เมื่อมันคือสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่แบบลิมิตเตดอิดิชั่นของไอออนแมน!!!
“เข้!!!”
“...!!!!”
คู่หูไซส์มินิหันมามองหน้ากันอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง คยองซูขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้เพื่อดูให้ชัด ๆ พร้อมปาดมือไปตามผิวกล่องเหมือนที่คนไม่มีปัญญาซื้อเขาทำกัน ทุกอย่างใหม่เอี่ยม ล่าสุดเพิ่งบ่นไปเองว่าจะทำยังไงชีวิตนี้ถึงจะได้มันมาครอบครอง
“มึง มีกระดาษติดอยู่ข้างหลัง”
“...”
แบคฮยอนดึงโพสต์อิทสีเหลืองออกมา และเพียงได้เห็นข้อความสั้น ๆ ริมฝีปากก็ผุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เมื่อข้อความนั้นเขียนว่า
‘ผมเดาเอาเองว่าคุณคงไม่อยากได้ลายเซ็นของคิมดาซม’
พี่พระเอกเดาไม่ผิด แต่ถึงอย่างนั้นบยอนแบคฮยอนก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้มือถือเครื่องใหม่เพราะเหตุผลนี้ คนตัวเล็กเบือนหน้าหลบไปอีกทางเพราะกลัวเพื่อนจะเห็นว่าเขากำลังยิ้มเพราะผู้ชายอย่างปาร์คชานยอล วันนี้เขานับแทบไม่ได้แล้วว่ายิ้มเพราะคน ๆ นี้ไปแล้วกี่ครั้ง ไหนจะตอนเช้าที่ไอ้คยองซูเปิดคลิปในรายการโชว์ที่พี่พระเอกไปออกอีก เขาไม่รู้ตัวเลยว่าหลุดยิ้มออกมาตอนที่เห็นพี่พระเอกโดนเอ็มซีแซวเรื่องในกองถ่าย จนกระทั่งไอ้คยองซูทัก
‘นี่มึงกำลังยิ้มตอนดูคลิปพี่ชานยอลเหรอวะเพื่อน?’
มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น อย่าว่าแต่โดคยองซูจะแปลกใจเลย ตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าจะใช้ชีวิตมาจนถึงจุดที่ใจเต้นแรงได้เพียงเพราะเห็นรูป หรือคลิปในรายการทีวีของพี่พระเอก
“โห... ไรวะ ขนาดพี่ชานยอลยังไม่ซื้อใช้เองเลย แล้วนี่อะไร”
“พี่เขาก็โตแล้วไง ส่วนนี่ก็คงเป็นค่าจ้างกูแหละ” แบคฮยอนพยายามปั้นหน้าให้เป็นปกติ แม้ว่าสีหน้าโดคยองซูจะมองเหยียดราวกับไม่เชื่อว่าบยอนแบคฮยอนผู้นี้จะได้รับเรื่องดี ๆ จากไอดอลของมัน
“ถ่ายรูปอวดในทวิตเร็ว ให้ชาวบ้านเขาอิจฉา”
“เดี๋ยวดิ ถ้าทำงั้นพี่พระเอกคงได้หาว่ากูเห่ออีกล่ะ ไม่เอา”
“โหยมึง เป็นกูนี่ไม่ได้ จะถ่ายลงแม่งทุกโซเชียลเอาให้ติ่งทุกสมาคมต้องอิจฉา แบบว่าไอดอลซื้อไอเทมลิมิเตดให้เลยนะ อิจฉาไหมล่ะ ๆๆ” คยองซูมองเพื่อนที่อยู่ ๆ ก็เงียบไป ตอนแรกยังเห็นมันดีใจเหมือนถูกหวยอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับทำหน้าเหมือนคนติดหนี้พันล้านยังไงอย่างนั้น “เป็นไรวะ”
“เปล่า”
“ตอแหล”
“เออ ไว้เดี๋ยวเล่า”
มองสมาร์ทโฟนไอออนแมนที่อยู่ในมือแล้วก็นึกไปถึงคนป่วย เขาไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน มันเป็นเรื่องไม่คาดคิดเลยจริง ๆ คิมดาซมไม่ได้ทำมือถือพังสักหน่อย แต่การที่ผู้ชายคนนั้นซื้อเครื่องใหม่ให้ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งต้องมาจากความใส่ใจ
แต่แบคฮยอนไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองมากไปกว่านี้แล้วให้ตายสิ ตั้งแต่ไอ้เรื่องเมื่อคืนที่เปิดอกคุยกันจนดึกดื่น ถูกชวนให้นอนเตียงเดียวกันทั้งที่ก่อนหน้านี้พี่พระเอกก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าหวงพื้นที่ส่วนตัวยิ่งกว่าอะไรดี ไหนจะตื่นมาทำมื้อเช้าให้ จนกระทั่งสมาร์ทโฟนเครื่องนี้ที่ต้นเหตุมาจากลายเซ็นของดาราสาวคนนั้น
พี่พระเอกแม่ง... อันตรายต่อหัวใจเกินไปแล้ว...
เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีส้มที่กำลังถูกความมืดกลืนกิน นักเรียนต่างทยอยกันกลับบ้านแต่ก็ยังมีบางส่วนอยู่เรียนเสริมจนถึงค่ำ แบคฮยอนเพิ่งแยกกับคยองซูเมื่อกี้นี้ ก่อนกลับมันยังคงทิ้งคำพูดทิ่มแทงใจให้เด็กไม่เคยมีแฟนอย่างเขาได้คิดมากอีก
‘มึง ตอนนี้กูรู้สึกว่าไม่ได้ชอบแค่พี่เทาคนเดียวแล้วว่ะ’
‘ใครอีกล่ะ อย่าบอกนะว่าเป็นไอ้ห่าแทฮยอง’
‘เรื่องจะเป็นใครเอาไว้ก่อนเหอะ ประเด็นคือตอนนี้กูสับสนไปหมดเลยว่ะ ทั้งพี่เทาที่ชอบอยู่แล้ว ช่วงนี้พี่เขาเพิ่งมาทำดีด้วยแถมชวนกูไปเที่ยวอีก ส่วนอีกคนอะ กูไม่เคยคิดเลยว่าจะชอบเขาได้เลยนะ แต่กูแม่งหลอกตัวเองมาตลอดว่าไม่ได้ชอบ ไอ้ชิบหาย กูว่ากูชอบเขา’
‘แล้วเขาชอบมึงไหม’
‘...’
‘ที่เครียด ๆ อยู่เนี่ย มีใครสักคนชอบมึงเปล่าเพื่อน’
‘...’
‘ก่อนจะว่าตัวเองเป็นคนหลายใจ ไว้มีคนไหนคนหนึ่งเลือกมึงก่อนค่อยเครียดก็ยังไม่สายป่ะเพื่อน การอุปทานเดี่ยวไม่ได้ช่วยให้เขารู้ว่ามึงเกิดยัง งี้กูก็เครียดได้ดิว่าจะเลือกพี่ชานยอลหรือพี่อินซองดี’
ถูกของมัน ทั้งพี่พระเอก ทั้งพี่เทา ไม่มีใครชัดเจนเลยสักคนว่าจะมีใจให้
คนหนึ่งก็ทำตัวเหมือนเจ้านายเล่นกับหมา อีกคนก็หมาหยอกไก่...
เออดี กูนี่มันศูนย์รวมสรรพสัตว์ชัด ๆ
นอกจากจะเป็นเด็กไร้ประสบการณ์เรื่องความรักแล้วยังชอบคิดเข้าข้างตัวเองด้วย เลิกเลยมึง บางทีพี่พระเอกเขาก็แค่รู้สึกไม่ดีที่ทำให้ชาวบ้านชาวช่องเดือดร้อนเพราะแฟนเก่าก็ได้ มือถือเครื่องนี้แพงก็จริง แต่มันก็ไม่ทำให้ขนหน้าแข้งพระเอกหนุ่มพันล้านร่วงอยู่แล้ว
ครืดดด...
เสียงมือถือสั่นเรียกสติคนที่กำลังเหม่อลอยอยู่ข้างถนน แบคฮยอนล้วงกระเป๋ากางเกงข้างซ้ายแล้วก็ประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเมื่อมือถือข้างที่สั่นอยู่กลับไม่ใช่เครื่องที่เขาใช้ประจำ แต่มันมาจากไอ้เจ้าไอออนแมนตัวปัญหาที่ทำให้เขาฟุ้งซ่านมาเกือบครึ่งวัน
บอกเลยว่าตั้งแต่แกะกล่องก็ปล่อยให้ไอ้คยองซูเล่นจนสาแก่ใจ พอมันเช็กเครื่องเรียบร้อยเขาก็เก็บมันเข้ากระเป๋า โดยไม่ทันสังเกตว่าเครื่องมันยังถูกเปิดทิ้งไว้
เบอร์ที่โทรเข้าทำให้หงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก บยอนแบคฮยอนกลายเป็นเด็กกะโปกที่อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ เพราะความคิดตัวเองไปแล้วว่ะคุณ พอเริ่มรู้ตัวว่าชอบแล้วก็เป็นแบบนี้เหรอ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม แบบที่จะกวนประสาทพี่พระเอกยังไงก็ได้โดยที่ไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากความสะใจ
“อือ”
( นี่คือการทักทายตอนรับสายเหรอครับ? )
“กูด อีฟวีนิ่งทีชเช่อ ฮาวอาร์ยู” ทำเสียงยานคางแล้วทอดสายตาไปยังท้องถนน มองรถราที่ขับผ่านไปมาแล้วนั่งลงบนเก้าอี้หน้าป้ายรถเมล์
( เสียงคุณดูแปลก ๆ อารมณ์ไม่ดีอยู่หรือเปล่า? )
“นึดนึงอะ แต่เดี๋ยวก็หาย ว่าแต่พี่เหอะ เป็นไงมั่งไข้ลดยัง” พอได้ยินอย่างนั้นแล้วก็รู้สึกผิด นี่กูจะไปนอยด์ใส่พี่เขาทำไมวะ นางก็อยู่ของนางดี ๆ ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยด้วยซ้ำ
( ครับ ผมดีขึ้นแล้ว )
“อือ” แบคฮยอนขานในลำคอแล้วยืดขาออกไปก่อนจะก้มหน้าลง “ขอบคุณสำหรับโทรศัพท์ คนรวยนี่ดีเนอะ จะซื้ออะไรก็ได้”
( นึกว่าคุณจะไม่พูดถึงแล้วซะอีก )
คนตัวเล็กเบะปาก ที่จริงก็ไม่อยากพูดหรอกนะ แต่ถ้าเงียบไปเลยก็จะน่าเกลียดเกินคนเขาอุตส่าห์ซื้อของแพงแบบลิมิตเตดให้ทั้งที แถมตอนนี้อารมณ์ก็กำลังดิ่งสุด ๆ จนกวนประสาทไม่ลง
เรื่องนี้พี่พระเอกไม่ผิด แต่เด็กที่ชอบคิดไปเองคนนี้ต่างหากที่ผิด
( ผมหวังว่าคุณจะถูกใจนะ )
อือ ถูกใจ
( ผมคิดว่าเด็กวัยรุ่นน่าจะชอบอะไรแบบนี้ )
อือ ชอบ
( คุณนักเขียน? )
“ห...ห๊ะ?”
( เป็นอะไรหรือเปล่า เงียบไปเลย? )
“เฮ้ยเปล่า ผมฟังอยู่นี่ไง”
แบคฮยอนเขี่ยเท้ากับซีเมนต์เหมือนคนโง่ ทำไงดี ถ้าคุยต่อไปคงเป็นบ้าตายแน่ ๆ พี่พระเอกเลิกถามเรื่องมือถือเครื่องนี้สักทีดิ๊ ข้ามไปคุยเรื่องอะไรก็ได้อะ เอาแบบไร้สาระสุด ๆ เรื่องที่ไม่ทำให้ใจเต้นแรงน่ะมีไหม
( อย่าเขี่ยเท้ากับพื้นครับ มันเหมือนเด็กปัญญาอ่อน )
“...”
ร่างเล็กค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นหลังจากได้ยินประโยคหลอกด่าเหมือนกับเมื่อคืนนี้ มันไม่ใช่เดจาวู แต่เหมือนกับว่าคนพูดกำลังมองเขาอยู่ที่ไหนสักแห่ง เสียงคนในสายเงียบไปแล้ว ฝั่งตรงข้ามถนนไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้นนอกจากพนักงานออฟฟิศที่เดินผ่านไป ทางขวามีกลุ่มนักเรียนยืนรอรถเมล์ ส่วนทางซ้าย...
มีรถปอร์เช่สีขาวจอดอยู่...
( ถูกจับได้ซะแล้ว )
“...”
( จะให้ผมขับไปจอดตรงนั้น หรือว่าคุณจะเดินมาขึ้นรถเองครับ? )
แบคฮยอนกำลังจะเป็นบ้าเพียงเพราะการกระทำของผู้ชายที่ชื่อปาร์คชานยอล ทุก ๆ อย่างที่เคยทำแล้วดูเผด็จการในวันนี้มันทำให้เด็กอย่างเขาใจสั่นอย่างห้ามไม่ได้จริง ๆ คนตัวเล็กเพียงแค่มองไปยังปอร์เช่ที่จอดอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากนัก ถึงจะไม่เคยเห็นพี่พระเอกขับคันนี้มาก่อน แต่ก็คงเดาได้ง่าย ๆ ว่าคนที่อยู่ภายใต้ฟิล์มทึบนั่นคือใคร
“ทำไมพี่ทำแบบนี้วะ...”
ถ้าไม่ได้คิดอะไร พี่พระเอกก็ควรกลับไปทำตัวเหมือนก่อนหน้านี้ และอย่าแสดงออกต่อเขาให้มันมากกว่าที่เป็นอยู่ อะไรก็ได้ที่ทำให้บยอนแบคฮยอนรู้ตัวว่านี่คือความหวั่นไหวแต่มันไม่ใช่ความชอบ เด็กอย่างเขาแยกแยะไม่ออกแล้วว่าควรจะรู้สึกดีไหม เพราะอีกฝ่ายคือผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่าถึงสิบปี ซึ่งแน่นอนว่าความคิดและมุมมองของทั้งคู่ย่อมต่างกัน
แม้แต่กับหวงจื่อเทา บยอนแบคฮยอนก็ยังไม่เคยกลัวการคิดไปเองขนาดนี้เลย
ปอร์เช่สีขาวขับมาเทียบจอดหน้าป้ายรถเมล์ กระจกฝั่งข้างคนขับที่ลดลงทำให้มองเห็นคนที่นั่งอยู่ด้านใน ชายหนุ่มใส่แว่นเนิร์ดกรอบสีดำพร้อมผ้าปิดปากนั้นทำให้ตบตาผู้คนในละแวกนี้ได้ ทั้งคู่สบตากันอยู่แค่ครู่เดียวขณะที่ยังถือโทรศัพท์ไว้แนบหู
( ไปทานข้าวกันนะครับ )
ไม่มีอีกแล้วน้ำเสียงเรียบเฉยที่ดูเหมือนไม่เต็มใจตอบ
...เมื่อตอนนี้แบคฮยอนสัมผัสได้แต่ความอ่อนโยนผ่านเสียงนั้น
ไม่มีอีกแล้วแววตาที่เคยมองมาเหมือนรำคาญ
...เมื่อตอนนี้แบคฮยอนเห็นว่าดวงตาคู่นั้นมันต่างไปจากครั้งก่อนเป็นไหน ๆ
ไม่มีอีกแล้ว การพบเจอกันแต่ละครั้งอย่างฝืนใจเพราะหน้าที่
...เมื่อตอนนี้การเจอกันของเขาทั้งคู่ในแต่ละครั้ง มันเริ่มมาจากความต้องการทางความรู้สึกแล้ว
มันจะแย่หรือเปล่า ถ้าเกิดว่าเขาปล่อยให้ความรู้สึกมันเป็นไปโดยที่ไม่บังคับว่ามันจะต้องออกมาแบบไหน ถ้าเขาจะรู้สึกกับพี่พระเอกมากไปกว่านี้ มันจะ...
“แค่กินข้าวเหรอ”
( ครับ? )
“พี่ยังดูป่วยอยู่เลยอะ กินข้าวเสร็จแล้วรีบกลับไปนอนเลยนะ เดี๋ยวคืนนี้ผมไปค้างเป็นเพื่อน”
พูดจบก็กดวางสายแล้วขึ้นไปบนรถพร้อมคาดเข็มขัดนิรภัยโดยที่ไม่พูดอะไรอีก แบคฮยอนไม่ได้หันไปสบตากับพระเอกหนุ่มที่กำลังเลิกคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ ซึ่งเขาก็ภาวนาให้เป็นแบบนั้นต่อไป
พี่พระเอกจะคิดยังไงก็ช่างหัวพี่เขาแล้ว ในเมื่อความรู้สึกมันบอกว่าตอนนี้อยากอยู่ใกล้ ๆ งั้นบยอนแบคฮยอนก็จะลองเอาเรื่องป่วยมาเป็นข้ออ้างเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ว่าที่เป็นอยู่มันคืออารมณ์หวั่นไหวตามประสาเด็กไม่เคยมีแฟน หรือว่าเขาตกหลุมรักผู้ชายคนนี้เข้าแล้วกันแน่
“งั้นช่วยกดเบอร์คุณฮโยลินให้ด้วยครับ ผมจะขออนุญาตเธอ”
TBC
ความสับสนของเด็กที่ไม่เคยมีแฟนมาก่อน บยอนแบคฮยอนจะทำยังไงกับความรู้สึกตัวเองที่หาความแน่นอนไม่ได้ ไหนจะพี่เทาที่กลับมาสั่นคลอนหัวใจ
แล้วพี่พระเอกคิดอะไรกับเขาบ้างไหม?
ความคิดเห็น