ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    #AmongPages ความเงียบสีขาว | KAIHUN

    ลำดับตอนที่ #3 : 03 :: ความเงียบสีขาว #AmongPages

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.48K
      93
      15 ก.ย. 58

    M

     

     

     

    (3)

     

     


     

    ผมตื่นตั้งแต่ฟ้ายังมืดอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็แพ้สองยายหลานที่ลุกขึ้นมารมควันตั้งแต่เช้า เซฮุน อยู่ในชุดนักเรียนเรียบร้อยในเวลาตีสี่ครึ่ง ผมได้แต่ถามตัวเองในใจว่าอะไรที่ทำให้มนุษย์เราต้องเร่งรีบตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่แบบนี้ ก่อนจะนึกได้ว่าเซฮุนต้องปั่นจักรยานไปส่งผมขึ้นรถเมล์แล้วค่อยไปโรงเรียน

     

    คุณยายจัดแจงมื้อเช้าแบบง่าย ๆ แต่มันก็ยากสำหรับคนไม่ถนัดเรื่องเข้าครัวอย่างผม นานเป็นชาติแล้วที่คนอย่างคิมจงอินไม่ได้กินมื้อเช้า เพราะปกติแวะเข้าร้านกาแฟก่อนเข้าสำนักพิมพ์เสมอ

     

    หญิงชราเอาส้มใส่ถุงให้เอากลับไปกินที่ห้อง แถมบอกว่าหวานเจี๊ยบพอ ๆ กับหน้าหลานชายของแกนั่นแหละ ผมหลุดยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าเซฮุนดูขลาดอายกับคำชมจากคุณยายที่น่าจะเอาไว้เปรียบเทียบกับใบหน้าผู้หญิง แต่ในสายตาผมแล้วเซฮุนก็...

     

     

    หวานนะ ?

     

     

    เด็กตัวผอมปั่นมาส่งผมที่ป้ายรถเมล์เดิม เรามองหน้ากันเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่ต่างฝ่ายต่างก็เลือกที่จะเงียบ เด็กคนนี้ไม่ได้ก้าวขาคร่อมเบาะจักรยานแล้วปั่นหนีผมไปเหมือนกับเมื่อวานก่อน เซฮุนแค่ยืนนิ่งราวกับว่ารอให้ผมพูด

     

    พี่รู้ทางไปบ้านเราแล้ว วันหลังแวะไปหาได้ใช่ไหม ?” เซฮุนกลอกตาไม่กล้าสบตาผม เด็กหนุ่มถูจมูกและทิ้งช่วงไปหลายวินาทีก่อนจะพยักหน้าแล้วหันไปคร่อมเบาะจักรยาน

     

     

    ไปนะ

     

     

    รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเด็กคนนั้นตอนเจ้าตัวยกมือขึ้นพร้อมเกร็งมือโบกลา ถ้ามีระดับความขี้อายเต็มร้อยละก็ ผมให้เซฮุนไปเลยสองร้อยเปอร์เซ็นต์ เด็กนั่นเดี๋ยวมองเดี๋ยวหลบตาซึ่งคาดว่าเป็นผลพวงจากการที่น้องพูดไม่ได้เลยทำให้ความกล้าลดลง

     

    เซฮุน !”

     

    ผมตะโกนไล่หลังเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนที่ปั่นจักรยานไปจากตรงนี้ได้ไม่เท่าไหร่ เจ้าของชื่อเอาขาลงแล้วเอี้ยวหน้าหันกลับมา ตอนนั้นเป็นจังหวะที่ผมรัวกดชัตเตอร์ไปแล้วถึงสี่ครั้ง เซฮุนทำหน้าหวอหลังจากรู้ตัวว่าถูกแอบถ่ายรูปตอนทีเผลอ เด็กคนนั้นเลิ่กลั่กหันหน้ากลับไปสนใจถนนอีกครั้งเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

    น่ารักเอาเรื่องนะเนี่ย

     

    ยิ้มให้กับภาพถ่ายในกล้องดิจิตอล ก่อนจะเงยหน้ามองไปยังถนนที่มีทุ่งหญ้าเขียวขจีอยู่รอบข้าง เซฮุนตัวเล็กลงเมื่อปั่นห่างไกลออกไป ผมยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาแล้วยื่นไปข้างหน้า เหมือนว่าอีกฝ่ายที่กำลังปั่นจักรยานเป็นมด ส่วนผมคือยักษ์ที่กำลังจะจับเด็กคนนั้นไว้ด้วยนิ้วมือ

     

    และกดชัตเตอร์

     

     

     

     

     

    วันนั้นผมกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องแล้วถอดเมมโมรี่การ์ดกล้องออกมาเพื่อที่จะอัพโหลดรูปถ่ายลงในเฟสบุ๊กให้เพื่อนฝูงรับรู้ว่าผมยังไม่โดนฆ่าหมกทุ่งนาตาย แต่แย่หน่อยตรงที่คอมพิวเตอร์ในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ไม่มีโปรแกรมตกแต่งรูปเหมือนที่ห้องหรือออฟฟิศ ผมเลยต้องเอารูปสด ๆ ลงทั้งอย่างนั้น

     

     

    ไงมึง วันที่สามในชนบท

     

     

     

    ความใส่ใจของเพื่อนสนิทนั้นรับรู้ได้ทันทีที่อ่านจบ เรื่องเสือกนั้นยิ่งใหญ่ โปรดไว้ใจปาร์คชานยอล

     

     

    เจอสาวน่ารัก ๆ บ้างยัง ?

    เจอ แต่ไม่ใช่สาว

    เฮอเร่อละ มึงทำกูคิดนะเกลอ

    ห่านี่ มึงคิดว่าผู้หญิงหาง่ายเหรอวะ

    ต่อให้เจอจริงก็ใช่ว่าจะสปาร์กได้ภายในวันสองวัน

    ปวดร้าวว่ะ

    แล้วสรุปเจอไร

    เด็กผู้ชาย

    WHAT ?

    ในรูปที่กูอัพไป นั่นแหละ อย่าถามมาก

    มึงเพิ่งไปถึงที่นั่นได้วันที่สาม

    เดี๋ยวนะ กูไปไล่ดูรูปแป๊บ

    เออ

    มึง

    ไม่ใช่อย่างที่มึงคิดแล้วกัน ห่า

    ไม่ใช่ที่คิดแล้วคืออะไร

    มึงไปถึงกูร์เยได้สามวัน อัพโหลดรูปลงเฟสบุ๊ก

    ปัง ! รูปเด็กผู้ชาย ?

    น้องมันน่ารักนะ ที่จริง

    เหยด มีการบอกว่าน่ารักด้วย

    มันมีอะไรกว่านั้น

    เอาเป็นว่าอย่าเพิ่งอุปทานไปเอง

    เออ เอาเหอะ ได้เสียเป็นเมียผัวกันเมื่อไหร่ก็บอกด้วย

    กูจะได้บอกน้องจีน่าที่แอบชอบมึงเป็นครั้งคราวให้ตัดใจ

    ถ้ามึงจะหันเข้าสู่ทางสายเหลือง

    แล้วแต่เลย

    เออมึง

    ว่า ?

    ลำบากใจจุงเบย เพื่อนลาพักร้อนไปเที่ยวทั้งที

    แต่กูมีข่าวร้ายจะบอก

    อยากได้ของฝากเป็นเหรียญห้าร้อยวอนยัดใส่ปากมึง

    แล้วตบท้ายด้วยราดน้ำมะพร้าวใส่หน้างี้เหรอ

    สาธุ...

    ถุย !

    กูจะบอกว่างานที่มึงส่งไปอะ มันโดนเด้งกลับมา

    เดี๋ยว

    ไอ้คนแปลต้นฉบับแม่งเรื่องมาก

    บอกว่ามึงแก้แปลกอยู่หลายจุด

    มึงลองดูแล้วกัน มันมาร์กมาให้แล้ว

    ไอ้ห่า นักแปลคนใหม่แม่งปัญญาอ่อนฉิบหาย

    แล้วกูจะทำยังไง นี่ไม่ได้เอาโน้ตบุ๊กมาด้วย

    ตอนนี้ก็อยู่อินเทอร์เน็ตคาเฟ่

    มึงมีตัวเลือกไหนอีกล่ะ

    จองตั๋วรถไฟกลับโซลสิเพื่อนรัก

    ถ้าไม่จอง มึงก็ฝังรากอยู่ตรงนั้นแล้วเริ่มแก้งานซะ

     

     

     

     

    ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ต้องใช้เวลาอยู่ในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ถึงสามวัน เฉลี่ยแล้วก็ตกวันละสิบห้าชั่วโมงกับงานที่ต้องแก้ไข ก่อนหน้านี้เคยมีปัญหากับฝ่ายอาร์ตเรื่องใช้คำไม่สวย คำตก ขอบบ้าง นู่นนี่นั่นไม่โอเค แก้จนหัวหมุน เรื่องล่าสุดที่กำลังแก้อยู่ก็ปัญหาระดับโลก ผมนี่นั่งเหลาแล้วเหลาอีกจนปวดตาไปหมด

     

    หลังจากเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อยก็รู้สึกเหมือนถูกปลดทาส ถ้าเกิดผมหายหัวไปไม่เข้าเฟสบุ๊ก บก. อาวุโสจะเล่นผมหนักแค่ไหน ถ้าอ้างว่ามือถือหายจะฟังขึ้นไหม แค่คิดก็เสียวโดนเด้งออกจากงานเหลือเกิน

     

    ผมกลับไปใช้ชีวิตในชนบทอีกครั้ง แน่นอนว่าสิ่งแรกที่นึกถึงคือเด็กมอปลายอย่างโอเซฮุนที่เคยคุยกันไว้ว่าเราต้องได้เจอกันอีก แต่นี่ก็ผ่านไปสามวันแล้วที่ไม่ได้โผล่ไปให้เห็นเลย เด็กนั่นจะคิดยังไงนะ ?

     

     

    น้อยใจหรือว่าไม่คิดอะไรเลย ?

     

     

    กว่าจะไปถึงบ้านเด็กคนนั้นก็หกโมงเย็น ในมือของผมมีถุงพลาสติกที่ข้างในอัดแน่นไปด้วยขนม ผลไม้ รวมไปถึงต๊อกที่ตั้งใจเอามาให้สองยายหลานเป็นของฝาก

     

    สองขาหยุดอยู่หน้าบ้านแล้วมองไปยังจักรยานที่จอดอยู่ หากแต่ไม่มีคุณยายนั่งอยู่ตรงที่ประจำอย่างวันนั้น ผมขมวดคิ้วแล้วเดินเข้าไป ก่อนจะชะโงกหน้ามองและก็ได้เห็นประตูห้องของคุณยายเปิดทิ้งเอาไว้

     

    สวัสดีครับ ?”

     

    ผมส่งเสียงทักทายพร้อมวางของฝากลงบนชานบ้านและก้มลงถอดรองเท้า แต่พอไม่มีเสียงตอบกลับมาเลยถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้องที่เปิดประตูทิ้งไว้แล้วก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าเซฮุนกำลังพยายามประคองร่างหญิงชราที่หมดสติขึ้นมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

     

    คุณยาย ? !”

     

    ผมรีบเข้าไปดูอาการเธอ ก่อนจะเงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่น้ำตานองหน้า หันซ้ายขวาตั้งสติแล้วให้สมองคิดว่าควรทำอะไรในวินาทีนี้ ผมต้องพาคุณยายไปโรงพยาบาล ใช่ นั่นคือสิ่งแรกที่ควรทำ

     

    จับไว้นะ อย่าให้แกตกผมบอกเซฮุนแล้วก้มลงช้อนร่างหญิงชราให้ขึ้นขี่หลัง เด็กหนุ่มตัวผอมพยักหน้าซ้ำ ๆ แล้วตามผมออกมาอย่างไม่รอช้าโดยที่สองมือยังคงจับเธอเอาไว้

     

    พอออกมาข้างนอกก็เจอความมืดแปดด้านทั้งที่ตอนนี้ท้องฟ้าก็ยังสว่างโล่ง การจะไปโรงพยาบาลด้วยสองขาทั้งที่มีคนแก่สลบอยู่บนหลังนี่มันไม่ใช่วิธีที่เข้าท่าเลยสักนิด เซฮุนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมเขย่าแขนขอความช่วยเหลือ หยดน้ำใสที่ไหลอาบแก้มบวกกับแววตาที่มองมานั้นทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายเป็นกังวลมากแค่ไหน

     

    ใจเย็นก่อนนะ มองหน้าพี่ผมสบตากับอีกฝ่ายอย่างจริงจัง เซฮุนมองหญิงชราที่อยู่บนหลังผมเป็นระยะทั้งที่ยังร้องไห้ไม่หยุดแถวนี้บ้านหลังไหนมีรถยนต์บ้าง ?”

     

    เซฮุนหยุดใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะชี้ไปทางขวามือ

     

    เอาล่ะ วิ่งไปขอความช่วยเหลือจากบ้านหลังนั้น เดี๋ยวพี่จะพาคุณยายออกไปรอข้างถนน รีบไปเลย

     

    เด็กหนุ่มพยักหน้าแล้ววิ่งไปด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี ผมหันไปมองหญิงชราที่หมดสติซึ่งซบหน้าอยู่บนไหล่ผมแล้วก็ได้แต่ภาวนาในใจขอให้แกไม่เป็นอะไรไปก่อน

     

     

     

     
     

     

    เรามาถึงโรงพยาบาลได้ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน โชคดีที่พวกเขาไม่ประสบปัญหาการสื่อสารกับเซฮุน ไม่อย่างนั้นคุณยายอาจจะถึงมือหมอช้ากว่านี้ ผมละสายตาจากประตูห้องฉุกเฉินแล้วหันไปเห็นว่าเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนกำลังโค้งหัวขอบคุณซ้ำ ๆ จนสองสามีภรรยาผู้เป็นเพื่อนบ้านต้องจับไหล่เซฮุนไว้เป็นเชิงบอกให้หยุด

     

    จนถึงตอนนี้น้ำตาก็ยังคงไหลอาบแก้มขาวราวกับว่าดวงตาคู่นั้นเป็นเครื่องผลิตน้ำตา ผมเดินไปหยุดอยู่ข้างเด็กหนุ่มตัวผอมแล้วโค้งหัวขอบคุณทั้งคู่ที่ไม่ลังเลพาเราทั้งสามคนมาที่นี่

     

    ขอบคุณนะครับ

     

    ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันเห็นป้ายูนาตั้งแต่เด็ก แม่ของเซฮุนก็เพื่อนสนิทฉัน เรื่องแค่นี้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอก

     

    ถ้ามีอะไรขาดเหลือก็บอกลุงนะคนเป็นสามีวางมือลงบนบ่าเด็กหนุ่มตัวผอมที่ยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้น เซฮุนพยักหน้าทั้งที่เจ้าตัวเอาแต่จ้องมองพื้นอยู่อย่างนั้น

     

    เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการต่อเอง ขอบคุณอีกครั้งครับ

     

    สองสามีภรรยากลับไปแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ผมกับเซฮุนเท่านั้นที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉิน เด็กหนุ่มตัวผอมเอาแต่ก้มหน้ามองมือตัวเองที่ประสานอยู่บนตัก หลายครั้งที่สะอึกสะอื้นจนได้ยินเสียงคัดจมูก ผมเลยเดินไปขอทิชชู่จากพยาบาลหน้าเคาน์เตอร์แล้วยื่นให้คนที่ยังร้องไห้ไม่หยุด

     

    หายใจเข้าลึก ๆ เป็นอะไรไปอีกคนแล้วจะยุ่ง

     

    “...”

     

    ถ้านอนโรงพยาบาลเพราะร้องไห้นี่อายเขาตายเลยนะผมเอาศอกสะกิดคนข้าง ๆ ที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาร้องไห้และเอาทิชชู่ซับจมูกไว้เพราะกลัวน้ำมูกไหล เออนะ เวลาแบบนี้ก็ยังน่ารักได้อยู่เฮ้

     

    ผมวางมือลงบนศีรษะเด็กหนุ่มแล้วนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อรอดูปฏิกิริยาว่าเซฮุนจะเบี่ยงตัวหลบแล้วหันมามองค้อนที่ผมถึงเนื้อถึงตัวเหมือนวันนั้นอีกไหม แต่ก็ได้คำตอบกลับมาเป็นความว่างเปล่า ผมเลยค่อย ๆ ลูบนิ้วมือลงบนศีรษะทุยเป็นการปลอบใจ

     

    ไม่เป็นไร ท่านถึงมือหมอแล้ว

     

    “...”

     

    อีกเดี๋ยวเดียวหมอก็จะออกมาบอกข่าวดี ทำใจให้สบาย ถ้ายังร้องไห้อย่างนี้ คุณยายมาเห็นเข้าท่านจะเป็นห่วงนะรู้ไหม ?” ผมก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อกระซิบบอกอีกคน แรงสั่นจากไหล่ทั้งสองข้างนั้นเบาลงก่อนที่เจ้าตัวจะหันมาสบตากับผม

     

    ทั้งตา ทั้งจมูก... แดงไปหมดแล้ว

     

    เสียงประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกพร้อมเตียงคนไข้ที่ถูกเข็นออกมา ผมกับเซฮุนตรงดิ่งเข้าไปหาคุณหมอซึ่งเขาคงรู้ว่าใครต้องการข่าวดีมากที่สุด

     

    ความดันสูงน่ะครับ โรคคนแก่

     

    อ่า... อย่างนั้นเหรอครับผมหันไปมองคนข้าง ๆ ที่ยังน้ำตาคลอระหว่างรอให้หมออธิบายต่อ

     

    ผมต้องให้น้ำเกลือแล้วรอดูอาการท่านสักคืน ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องร้องไห้นะ ท่านปลอดภัยแล้วหมอยิ้มให้เซฮุนก่อนจะหันมาหยุดที่ผมส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายรบกวนติดต่อที่เคาน์เตอร์ได้เลยนะครับ

     

    ขอบคุณมากครับหมอผมกับเซฮุนก้มหัวขอบคุณคนตรงหน้า เมื่อเงยขึ้นก็เห็นว่าเซฮุนไม่ได้อยู่ข้างตัวแล้ว พอหันกลับไปก็พบว่าเจ้าของร่างผอมบางกำลังวิ่งไปตามทางเดินยาว ก่อนจะเข้าไปในห้องคนไข้รวมในวินาทีถัดมา

     

     

    ให้ตายสิ... เด็กคนนี้นี่ใจร้อนจริง ๆ

     

     




     

    คุณยายลืมตาตื่นขึ้นมาหลังจากหมดสติไปหลายชั่วโมง คงมีแค่เซฮุนคนเดียวที่ไม่มีอาการง่วงเหงาหาวนอนเลยสักนิดถ้าเทียบกับญาติคนไข้อื่น ๆ ที่อยู่ในห้องรวม ผมยืนมองสองยายหลานคุยกันอยู่ห่าง ๆ รู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นรอยยิ้มของเด็กคนนั้นแม้ว่าปลายจมูกรั้น จะแดงระเรื่อหลังจากหยุดร้องไห้

     

    ภาพที่ผมจำได้คือเด็กมอปลายที่ชอบแสดงสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่าไร้อารมณ์กับทุกสิ่งทุกอย่างในโลก แต่ตอนนี้เจ้าตัวกำลังยิ้มอย่างมีความสุข ตาคู่นั้นหยีลงตอนถูกมือเล็กหนังติดกระดูกลูบหัว ผมรู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจอย่างน่าประหลาด จนอดไม่ได้ที่จะรูดซิปเอากล้องดิจิตอลในกระเป๋าสะพายไหล่ใบเล็กซึ่งอยู่ตรงช่วงอกออกมา แล้วถ่ายภาพนั้นไว้โดยไม่เปิดแฟลชรบกวนคนไข้

     

    ผมลดกล้องลงแล้วเก็บมันใส่กระเป๋าเหมือนเดิม โรงพยาบาลที่นี่เล็กและเงียบมาก ต่างจากในเมืองอยู่โข ผมกวาดสายตาไปรอบ ๆ อย่างใคร่รู้ จนกระทั่งเซฮุนหันมาทางนี้และตามด้วยหญิงชราที่นอนให้น้ำเกลืออยู่บนเตียงผู้ป่วย

     

     

    วินาทีนั้นผมรู้สึกเหมือนคิมจงอินเป็นพระเจ้า เพียงเพราะเห็นรอยยิ้มของสองยายหลานที่ส่งมาให้

     

     

     
     

     
     

    เมื่อหมดเวลาเยี่ยมคนไข้ ผมกับน้องเลยต้องออกมาข้างนอก สีหน้าเซฮุนดูอิดโรย แต่ผมคิดว่ามันก็ดีกว่าตอนที่ร้องไห้ฟูมฟายเป็นไหน ๆ เราปล่อยให้เสียงล้อของเตียงคนไข้เข็นผ่านกลบบรรยากาศอยู่เกือบห้านาที จนกระทั่งเสียงท้องของอีกฝ่ายโพล่งขึ้นมาทำลายความเงียบนั่นแหละ ผมถึงได้เห็นใบหน้าขลาดอายของเซฮุนอีกครั้ง

     

    ไปกินข้าวกันเด็กหนุ่มตัวผอมพยายามยกมือขึ้นมาสื่อสารกับผมด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ราวกับว่าเจ้าตัวพยายามทำให้มันง่ายขึ้น

     

    แต่ไม่เป็นไรนะเซฮุน... พี่ไม่เข้าใจเลยสักอย่าง

     

    อะไร ? จะออกไปกินข้างนอกเหรอ ? ไม่ใช่ ? แล้วมันยังไงล่ะ ? อ่า... ไม่มีเงิน ?” ได้แต่ขมวดคิ้วเดาไปมั่วซั่วจนกระทั่งอีกฝ่ายพยักหน้ารัว ผมถอนหายใจออกมาหนัก ๆ กับการเล่นเกมใบ้คำโดยที่ไม่ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นความสนุก

     

    ก่อนกินข้าวผมควรเดินไปซื้อปากกากับสมุดให้น้องสักเล่ม

     

     

     

     

     
     

    พอฟ้ามืด การหามื้อค่ำกินก็กลายเป็นเรื่องยากเมื่อมองไปทางไหนก็เจอแต่ประตูร้านที่ปิดแล้ว แต่มันก็ไม่แย่ไปเสียทีเดียวเมื่อคนข้าง ๆ สะกิดผมแล้วชี้ไปทางด้านหลัง ตรงนั้นมีเพิงหมาแหงนที่คงเรียกว่าร้านหมูย่าง แต่วินาทีนี้ทั้งผมและเซฮุนคงไม่สนใจแล้วว่าที่ตรงนั้นจำเป็นต้องมีหลังคาดี ๆ ให้หรือเปล่าถ้าหากว่าห่าฝนดันตกลงมาขัดจังหวะ

     

    ผมหันไปถามความเห็นคนข้าง ๆ ว่าอยากกินอะไร ซึ่งในทีแรกเจ้าตัวก็แสดงท่าทีลังเลเพราะไม่มีเงินติดตัวมาด้วย แววตานั้นกำลังบอกถึงความกระอักกระอ่วนลำบากใจ ในเมื่อเซฮุนไม่ยอมสั่ง ผมเลยจับมือน้องชี้นิ้วเลือกเสียเลย

     

    เรานั่งข้างกันแล้วจัดการมื้อเย็นที่ล่วงเลยมาจนถึงดึกดื่นป่านนี้ ผมเอาแต่สนใจหมูย่างโดยไม่หันไปมองเขาเพราะกลัวว่าจะอึดอัด แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกได้ว่าเซฮุนแอบหันมามองอยู่บ่อย ๆ

     

    น้องค่อย ๆ กินจนผมหงุดหงิดต้องคีบหมูขึ้นจ่อปากให้ เจ้าของใบหน้าขาวเลิกคิ้วมองพร้อมเบี่ยงตัวถอยเล็กน้อย แต่พอโดนถลึงตามองพร้อมตะเกียบที่จี้เข้าหา เด็กนักเรียนมอปลายที่ทำหน้าอมทุกข์ก็อ้าปากรับมันเข้าไปอย่างปฏิเสธไม่ได้

     

    อร่อยต้องทำมือยังไง ?”

     

    ผมชวนอีกคนคุยเพื่อทำลายความเงียบพร้อมเท้าศอกมองกระพุ้งแก้มขาวซึ่งบวมป่องเพราะหมูที่อัดแน่นอยู่เต็มปาก เขานิ่งไปแล้วค่อย ๆ ชำเลืองกลับมาแล้วเม้มปากเคี้ยวมัน

     

    อย่างนี้เหรอ ?” พอเห็นอีกฝ่ายทำมือไม้ให้ดู ผมเลยทำตามบ้างและเซฮุนก็พยักหน้าแล้วถ้าไม่อร่อยล่ะ ?”

     

    เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเบ้หน้าพร้อมแลบลิ้นออกมา ซึ่งมันทำให้ผมหลุดหัวเราะกับการแสดงท่าทีที่มันง่ายกว่าที่คิดเอาไว้ เซฮุนเม้มปากหลังจากเห็นว่าผมหัวเราะ ก่อนที่เราทั้งคู่หันไปทางแม่ค้าที่มองมาด้วยสายตาแปลก ๆ โอ้... ให้ตายเถอะ ผมคงทำให้เธอเข้าใจผิดเสียแล้ว

     

    คือผมบอกให้น้องสอนภาษามือให้น่ะครับ หมูร้านคุณป้าเนี่ย... อร่อยมาก อย่างนี้เลยผมยกมือขึ้นทำท่าประกอบซึ่งเซฮุนก็รีบทำตามเพราะกลัวป้าแกเข้าใจผิด

     

    ตกใจหมดเลยลูก ถ้าไม่อร่อยก็เก็บไว้ในใจนะ อย่าพูดให้ได้ยินเลย ป้าสะเทือนใจ

     

    ฮ่า ๆ ขอโทษครับผมหัวเราะแล้วหันไปยิ้มให้คนข้าง ๆ ที่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

     

    หลายครั้งที่มนุษย์พยายามอธิบายเรื่องราวมากมายให้ผู้อื่นเข้าใจในสิ่งที่กำลังคิดอยู่ ไม่ว่าจะด้วยคำพูด การกระทำหรือตัวหนังสือ แต่ผมกลับคิดว่าคนเราไม่จำเป็นต้องพูดว่าตอนนั้นกำลังคิดยังไง รู้สึกยังไง เพราะบางทีสายตามันอาจสื่อความรู้สึกออกมาได้ดีกว่า

     

    ตอนนี้ผมกำลังยิ้ม ขณะสบตากับเด็กอายุน้อยกว่าถึงแปดปีก่อนจะเอื้อมมือไปยีหัวอย่างหมั่นเขี้ยว เซฮุนพยายามปัดมือออกพร้อมเบี่ยงตัวหลบ พอหลุดออกจากความเศร้าแล้วเด็กคนนี้ก็นึกขึ้นได้เลยว่าต้องรำคาญ

     

    ซึ่งบอกเลยว่าผมชอบเวลาเซฮุนแสดงออกว่ารำคาญมากกว่าตอนร้องไห้เป็นไหน ๆ

     

     

     
     

     

     

    ผมอาสาว่าจะอยู่เฝ้าคุณยายแล้วให้น้องกลับบ้านเพราะต้องไปเรียนตอนเช้า แน่นอนว่าเจ้าตัวไม่ยอม ต้องขอบคุณพยาบาลสาวใจดีที่ให้กระดาษเอสี่มาหลายแผ่นพร้อมปากกาหนึ่งแท่งที่เซฮุนบอกว่าถ้าใช้เสร็จแล้วจะรีบเอาไปคืน ซึ่งมันเป็นเรื่องดีสำหรับผมที่ไม่ต้องพยายามเดาใจเด็กคนนี้ผ่านทางสายตาหรือภาษามืออีก

     

    เซฮุนอ้างว่าผมเป็นคนแปลกหน้า (อันนี้เจ็บสุด) จะมารับภาระแทนหลานแท้ ๆ ได้ยังไง ซึ่งผมก็อธิบายไปแล้วว่าเพราะอะไร แต่ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กนี่จะมีเหตุผลในใจอยู่แล้ว  คำพูดของผมเลยกลายเป็นลมปากโง่ ๆ ที่ได้แต่ถามตัวเองว่าพูดออกไปทำไม

     

    แต่คนอย่างคิมจงอินเกิดมาโต้ลมแดดลมฝนตั้งยี่สิบแปดปีแล้ว มันเรื่องอะไรที่จะยอมหุบหน้าแล้วปล่อยให้เด็กนี่เอาเหตุผลมาอ้างอยู่ฝ่ายเดียว ผมก็มีเหตุผลเป็นของตัวเองเหมือนกันว่ะ

     

     
     

    พี่จะกลับยังไงเหรอถามหน่อย นี่ก็ดึกแล้ว ถ้ามีรถโดยสารขับผ่านก็ว่าไปอย่าง นี่ได้ยินแต่เสียงยุงบินจี้หูอยู่ยิก ๆ มองแบบนี้จะบอกว่าให้เดินกลับเองล่ะสิ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงอย่าคิดว่าพี่ไม่กล้านะ หลงทางกลางทุ่งอย่างเด็ดเดี่ยวก็ทำมาแล้ว แต่ถ้าทำจริง ๆ ขึ้นมาก็เตรียมตอบคำถามคุณยายไว้ได้เลย

     
     

     

    ผมพยายามเกร็งหน้านิ่งเข้าสู้ แสดงศักยภาพสายแข็งอย่างคนอายุมากกว่า แม้ว่าสีหน้าของเซฮุนตอนมองมาหลังจากได้ยินเหตุผลกะโหลกกะลาของผมจะน่ารักจนอยากเอื้อมไปหยิกแก้มแรง ๆ สักทีก็ตาม เด็กหนุ่มไม่ได้จรดปลายปากกาลงบนกระดาษเอสี่เพื่อตอกกลับมาให้ผมหน้าหงายและวินาทีนั้นมันทำให้รู้ว่าได้เข้าใกล้เซฮุนขึ้นไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว

     

     


     

    TBC

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×