ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    DON'T GROW UP, IT'S A TRAP #ฟิคเปย์เด็ก | CHANBAEK

    ลำดับตอนที่ #8 : CHAPTER 07 :: Afraid

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 12.05K
      178
      26 เม.ย. 60

    T
    h
    e
    m
    y

     

     

     

    CHAPTER 07

    Afraid

     


     

     

    คุณแบคฮยอนไม่สบายอย่างจริงจัง แต่ชานยอลก็ไม่สามารถบอกให้อีกฝ่ายนอนพักผ่อนที่บ้านได้ ทางนั้นเป็นผู้ใหญ่ ส่วนเขาเป็นแค่เด็ก ทุกอย่างจึงจบด้วยการตัดสินใจของคนตัวเล็ก ซึ่งนั่นก็คือไปส่งแทโอที่เนอร์สเซอรี่ แต่เขากับน้องสาวขอนั่งรถเมล์ไปเอง และคนตัวเล็กก็ไม่ขัดใจ หลังจากที่เด็กหนุ่มอ้างว่าจะแวะซื้อเครื่องเขียนเสียก่อน

     

    ชานยอลเป็นเด็กเรียนดี มีอยู่ไม่กี่ครั้งที่ทำให้เขาละเลยจากเสียงของอาจารย์และเนื้อหาบนกระดานได้ เช่น คุณแบคฮยอน คุณแบคฮยอน และ คุณแบคฮยอน

     

    ในหัวมีแต่ความกังวลถึงอาการป่วยไข้ซึ่งเจ้าตัวคงปล่อยให้หายเองมากกว่าจะลุกไปหาหมอหรือทำอะไรสักอย่างเพื่อให้หายไวๆ ๆ เขาทำได้แค่แชทถามทุกสองชั่วโมง พร้อมบอกให้คุณแบคฮยอนปิดเสียงแจ้งเตือนไว้ เพราะถ้าหากนอนอยู่จะได้ไม่สะดุ้งตื่นเพราะข้อความของเขา

     

    ช่วงบ่ายสามคนตัวเล็กถึงตอบกลับมา พร้อมถามว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ เด็กหนุ่มจึงถ่ายรูปแป้นสนามบาสให้ดู พร้อมถามกลับไปว่าเป็นอย่างไรบ้าง ไข้ลดลงหรือยัง ครู่เดียวก็ได้รับคำตอบเป็นรูปสองนิ้วซึ่งมีพื้นหลังเป็นเพดาน ชานยอลหลุดยิ้มออกมา สุดท้ายก็ไม่ได้ไปทำงานสินะ

     

    วันนี้ทำงานพิเศษเปล่าวะชานยอล?

     

    ทำจันทร์ถึงพุธว่ะ เดี๋ยวกูกลับก่อนนะ โทษทีว่ะ เที่ยวให้สนุก เด็กหนุ่มเก็บของใส่กระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้าน มินโฮมองเพื่อนสนิทที่ดูเร่งรีบอย่างผิดปกติ ทั้งที่เมื่อวานนัดกันเสียดิบดีว่าวันนี้จะไปเดินโต๋เต๋แถวเกมเซนเตอร์กันสักหน่อย แล้วดูมันสิ

     

    จะรีบไปไหน

     

    คุณแบคฮยอนไม่สบาย กูจะไปดูแลเขา

     

    อะจะบะเฮ้ย... กะเอาความห่วงใยเอาชนะใจคุณเขาสินะ มินโฮมองเพื่อนสนิท ที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีเมื่อถูกล้อ

     

    กูแค่เป็นห่วง ไม่ได้คิดไกลถึงขนาดนั้น ชานยอลเหวี่ยงกระเป๋าเป้ไปด้านหลัง ถึงจะปฏิเสธให้ตายยังไง เด็กหนุ่มก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าลึก ๆ แล้วเขาก็อยากให้มันมีผลต่อใจคนตัวเล็กบ้างเหมือนกัน

     

    เออ รีบไปเหอะ คิ้วมึงจะได้เลิกผูกกันเป็นเงื่อนตะกรุดเบ็ดสักที

     

    อะไรวะ

     

    วันนี้มึงเอาแต่ทำหน้าตูด ไม่รู้ตัวเหรอวะ

     

    มินโฮยิ้มขำ ตบบ่าเพื่อนสนิทสองทีก่อนจะเดินออกไป ตอนนี้เหลือแค่เด็กหนุ่มตัวสูงที่ยืนอยู่ในห้องตามลำพัง ท่ามกลางความเงียบที่มีแค่โต๊ะ เก้าอี้อยู่เป็นเพื่อน ใบหน้าคมค่อย ๆ หันไปทางกระจกใสของหน้าต่างบานเลื่อนข้างประตู มองใบหน้าเรียบเฉยของตนเองที่มันดูไร้ชีวิตชีวา และเขารู้ดีว่าอะไรที่จะทำให้รอยยิ้มเกิดขึ้นได้

     

     

    .

    .

     

     

    แบคฮยอนไม่ได้ป่วยบ่อย ๆ อันที่จริงร่างกายของเขาจัดว่าถึกทึนยิ่งกว่าอะไรแม้จะเตี้ยกว่าเพื่อนในกลุ่มสมัยเรียนถึงสิบเซนต์ นี่เป็นครั้งแรกในรอบปี และคาดว่าจะเป็นครั้งเดียว คนตัวเล็กเกลียดน้ำลายขม ๆ กับดวงตาที่ร้อนผ่าว ครั้นจะนอนต่อก็ไม่หลับแล้ว ใจมันอยากลุกไปทำงานแต่สังขารก็ไม่อำนวย ไหนช่างจะบอกให้นอนพักก่อน อีกสองสามวันค่อยเข้าไปเช็กหน้างาน ซึ่งเขาคงไม่รอให้ถึงวันนั้น

     

    จูฮยอนโทรมาเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน เขาจึงบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก กินยาแล้วนอนก็คงหาย เธอย้ำบอกอีกว่าถ้าไม่ไหวก็นั่งแท็กซี่มาโรงพยาบาล นอนให้หมอฉีดตูดสักเข็มสองเข็มแล้วค่อยกลับบ้านไปนอนพักผ่อน ซึ่งแบคฮยอนแค่หัวเราะ แล้วลองเชิงพูดออดอ้อนอย่างที่ไม่เคยทำบ่อย ๆ หวังให้มาดูแลแฟนบ้างอย่าเอาแต่รักษาคนอื่น

     

    จูฮยอนคิดว่าเขาแค่พูดเล่น อืม ก็ไม่แปลกที่จะคิดอย่างนั้น เพราะตลอดเวลาที่คบกันมาก็มีแค่ช่วงสามสี่ปีแรกที่เราทำตัวเหมือนคู่รักทั่วไป แต่พอเข้ามหาลัยเราก็เริ่มโตขึ้น การแสดงออกจึงเป็นอย่างเดียวที่ทำให้อีกฝ่ายรับรู้ได้ มากกว่าการพล่ามแต่คำว่ารักกรอกหู

     

    จูฮยอนมักจะบ่นว่าเหนื่อยอยู่ตลอด อันที่จริงเขานึกเห็นใจคนทำงานสายนี้ที่ให้เวลากับคนไข้มากกว่าชีวิตตนเอง เพราะฉะนั้นแบคฮยอนจึงไม่อยากงี่เง่า แล้วปล่อยให้เธอกลับไปนอนแช่น้ำอุ่นแล้วนอนก่อนเข้าเวรเช้าในวันพรุ่งนี้ดีกว่า

     

    แบคฮยอนวางสายไปพร้อม ๆ ความรู้สึกแห้งเหี่ยวตามประสาชายหนุ่มที่ห่างเหินความน่าตื่นเต้นกับความรักมานาน เขาไม่ใช่ผู้ชายคลั่งรัก ชนิดว่าต้องสวีทอยู่ตลอด แต่การจะประคับประคองความสัมพันธ์นี้ไว้ได้ แน่นอนว่าต้องไม่ใช่การพยายามอยู่ฝ่ายเดียว เขารู้ว่าจูฮยอนไม่ได้เปลี่ยนไป แต่จากสายงานของเราทั้งคู่ที่ฉีกกันไปคนละทาง ช่วงเวลาการพบเจอกันจึงมีผลอยู่พอสมควร

     

     

    บ้าเถอะ มันมีคำว่าพยายามอยู่ในหัวเขาตั้งแต่เมื่อไหร่?

     

     

    เราต่างให้ความสนใจกับอีกสิ่งหนึ่งจนละเลยกันและกันโดยไม่รู้ตัว หลายครั้งที่แบคฮยอนนึกขึ้นได้ เขาจึงพยายามหันไปให้ความสนใจจูฮยอนให้มากกว่าที่เคย แต่ก็เท่านั้น เมื่อกลับกลายเป็นว่าคนที่ยุ่งจนแทบไม่มีเวลาคือเธอ

     

    ไม่อยากน้อยใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็เพราะเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นแหละที่บั่นทอนจิตใจคน แบคฮยอนไม่รู้ว่าความเหงามันเกิดขึ้นกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ อ้อ... ก็คงตั้งแต่ตอนเลิกเที่ยวกลางคืนแล้วหันหน้าให้กับชีวิตอย่างจริงจังล่ะมั้ง แต่การมีชานยอลกับซูยองเข้ามา เขาก็รู้สึกว่าได้รับการเติมเต็ม

     

     

    และการเติมเต็มที่ว่า มันกำลังมากเกินไป

     

     

    เสียงสัญญาณประตูดังขึ้นเรียกความสนใจจากคนป่วยที่ง่วนอยู่กับถ้วยรามยอนสำเร็จรูปในครัว แบคฮยอนเดินออกมาก่อนจะเห็นเด็กตัวสูงในชุดนักเรียนพร้อมถุงพลาสติกเต็มมือ รอยยิ้มที่ส่งมาสื่อให้รู้ว่าการที่เด็กคนนี้ยืนอยู่ที่นี่ล้วนแต่เกิดขึ้นด้วยความเต็มใจ

     

    กินข้าวเย็นกันนะครับ

     

    แบคฮยอนยิ้มบาง ๆ กับความน่าเอ็นดูของเด็กผู้ชายอายุสิบเก้าที่ไม่เคยลดลงไปเลยสักนิดเดียว คนตัวเล็กหลุบสายตาลงมองถ้วยรามยอน มันคงไม่จำเป็นแล้วเมื่อชานยอลตรงเข้ามาแบมือออกเป็นเชิงขอ ซึ่งเขาก็ยื่นให้อย่างไม่อิดออด

     

    เอาไว้กินตอนที่ผมไม่อยู่นะ วันนี้มีของอร่อยเยอะแยะเลย

     

    คนป่วยยืนกอดอกพิงกับวงกบประตูห้องครัว มองแผ่นหลังกว้างของเด็กตัวสูงที่กำลังถลกแขนเสื้อขึ้นจนถึงข้อศอกเพื่อจัดการมื้อเย็นใส่จาน แถมยังหันมาชี้นิ้วบอกให้เขาไปนั่งรออีก

     

    ครู่เดียวทุกอย่างก็ถูกจัดเตรียมบนโต๊ะอาหาร เขากินข้าวไม่ค่อยลงเพราะพิษไข้ ชานยอลจึงตักซุปใส่ถ้วยใบเล็กให้ มันทำด้วยสมุนไพรและกินไม่ยาก เด็กหนุ่มไม่อยากให้เขากังวลเรื่องจะเสียน้ำใจถ้าหากของเหลือ เจ้าเด็กยักษ์บอกว่าจะเก็บใส่ตู้เย็นไว้ให้ ถ้าหิวจะได้ลุกขึ้นมาอุ่นกินตอนกลางคืนได้

     

    แบคฮยอนรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งเพราะได้รับการดูแล ถึงจะไม่คุ้นชิน แต่พอเด็กคนนี้บอกว่า เป็นฝ่ายได้รับบ้างเถอะครับ คุณให้คนอื่นมามากแล้ว เขาก็อดรู้สึกดีกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อีกฝ่ายมองเห็นไม่ได้

     

     

    .

    .

     

     

    ไม่กลับบ้านหรือไง

     

    เดี๋ยวค่อยกลับได้ไหมครับ

     

    เดี๋ยวซูยองก็เหงาหรอก

     

    คืนนี้น้องนอนบ้านเพื่อน ผมต่างหากที่ต้องกลับไปเจอความเหงาที่บ้าน แบคฮยอนแค่นหัวเราะ มองเด็กหนุ่มที่นั่งแกะเปลือกส้มอยู่บนพื้นพรมอย่างตั้งใจ ในขณะที่เขานอนซมอยุ่กับเจลลดไข้บนเตียง

     

    วันนี้มีการบ้านหรือเปล่า?

     

    มีครับ ผมจะนั่งทำตอนคุณหลับแล้ว

     

    งั้นฉันหลับเลยแล้วกัน

     

    เดี๋ยวสิครับ ผมแกะส้มให้คุณกินอยู่นะ อย่าเพิ่งสิ เด็กหนุ่มลนลาน รีบแกะใยส้มออกจนหมดแล้วชิมชิ้นแรกก่อน เขาเห็นว่าเจ้าเด็กยักษ์พูดกับตัวเองเบา ๆ ว่าลูกนี้ไม่เปรี้ยวก่อนจะแบ่งครึ่งแล้วยื่นให้เขา และสิ่งที่อีกฝ่ายเป็น มันเรียกรอยยิ้มจากคนป่วยได้อย่างดี

     

    อะไรของเธอเนี่ยชานยอล

     

    ส้มไงครับ ลูกนี้หวานกำลังดีเลยนะ อมเปรี้ยวนิดนึง คุณน่าจะชอบ

     

    อ๊า รู้แล้วน่า ได้แต่มองอย่างอ่อนใจ แบคฮยอนยันตัวลุกขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียงเพื่อกินส้ม ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยมีคนทำแบบนี้ให้ สมัยเรียนมอปลายมีแต่ปอกเปลือกแล้วยัดเข้าปากทีครึ่งลูกแล้วพ่นเม็ดใส่หน้าไอ้จงอิน

     

    ผมรู้มาว่าส้มมีวิตามินซีสูง มันดีต่อคนป่วยมากเลยนะ แววตาใสซื่อน่าเอ็นดูจนอยากถอนหายใจอยู่หลายครั้ง แบคฮยอนไม่รู้ว่าจะวางตัวอย่างไร หลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายแอบหอมแก้มเขาเมื่อตอนเช้ามืด

     

    มันทำให้นึกไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ที่คนตัวเล็กเริ่มตะขิดตะขวงใจกับการแสดงออกของเด็กคนนี้ แบคฮยอนหันไปทบทวนตัวเอง แทนที่จะโทษว่าความผิดปกติที่เกิดขึ้นมาจากอีกฝ่าย เขาจึงหันหน้าปรึกษาเพื่อนสนิท

     

     

    กูไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่สิ่งที่ชานยอลเป็น มันต่างจากที่ซูยองเป็น

    ยังไงวะ?

    กูก็ไม่อยากคิดแบบนี้นะ แต่เด็กผู้ชายอายุสิบเก้าจะติดกูขนาดนี้เลยเหรอวะ มึงเข้าใจใช่ไหมว่ากูก็ผู้ชาย อายุก็สามสิบกว่าแล้ว

    แล้ว?

    ทั้งมาทำอาหารให้ คุยกับกูตลอดในขณะที่เด็กคนอื่นคงเอาเวลาไปสนใจเกม ฟุตบอล ผู้หญิง แต่นี่ไม่เลยมึง ไหนจะเป็นห่วงเป็นใย บางครั้งสายตาที่มองมาก็แปลก ๆ ด้วย

    มึงหวั่นไหวเหรอ?

    บ้าดิ ไม่ใช่อย่างนั้น ที่กูกังวลคือกูกลัวเด็กมันคิด

    แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริงมึงจะทำยังไงวะ?

    ...

    ถ้าเกิดวันหนึ่งชานยอลมันไม่อยากมองมึงในฐานะผู้อุปการะแล้ว วันนั้นมึงจะทำยังไง?

    ไม่หรอก กูหวังว่าจะไม่ใช่อย่างนั้น

     

     

    แต่สุดท้าย ทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นจริง...

     

     

    แบคฮยอนยังจำความรู้สึกตอนปลายจมูกเย็น ๆ สัมผัสลงบนแก้มได้ แม้จะเบาบางราวกับกลัวว่าเขาจะตื่น แต่สำหรับคนที่กายเหนื่อยล้าเพราะพิษไข้ และพยายามข่มตาหลับ เขาก็รู้สึกได้ รวมไปถึงการที่ชานยอลนั่งเฝ้าเขาจนเช้า

     

    คนตัวเล็กทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพื่อไม่ให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรามันเปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นมันคงโหดร้ายกับเด็กคนนี้จนเกินไป อีกทั้งใจเขาก็ไม่อยากให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง เพราะเรื่องที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเพราะความสับสนของเด็กอายุสิบเก้าหรือเปล่า

     

    ชานยอลเจอปัญหาครอบครัวตั้งแต่ยังเด็ก ขาดความรักและความอบอุ่น อีกทั้งยังไม่เคยมีแฟน จึงสับสนว่าสิ่งที่แบคฮยอนมอบให้มันลึกซึ้งมากกว่าขอบเขต และเขาคงไม่คิดจับเข่าคุยกับเด็กคนนี้ เพื่อหยุดความคิดแต่ต้องแลกมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงที่คงทำให้เรามองหน้ากันไม่ติดไปพักหนึ่ง หรืออาจจะแย่ไปกว่านั้น

     

    นี่

     

    ครับ?

     

    เปล่า คนตัวเล็กยิ้ม ก่อนจะรับส้มมาทั้งลูกที่ไม่เหลือใยติดผลอยู่เลย ซึ่งมันบ่งบอกถึงความใส่ใจของเด็กคนนี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่บยอนแบคฮยอนรู้สึกคุ้นชินกับการถูกดูแลอย่างนี้

     

    ไหนจะใบหน้าซื่อ ๆ กับแววตาที่มองมานั่นอีก คนตัวเล็กเอ็นดูแลเป็นห่วงชานยอลมากเกินกว่าจะนึกรังเกียจความรักร่วมเพศ ไม่ว่าอย่างไร เด็กคนนี้ก็คงเป็นคนสุดท้ายที่บยอนแบคฮยอนคิดจะทำร้ายจิตใจ ชานยอลเจอเรื่องแย่ ๆ มามากแล้ว เขาไม่อยากเป็นจุดดำเล็ก ๆ ในใจที่จะทำให้อีกฝ่ายจดจำไปตลอด

     

    แต่การคิดตีตัวออกห่าง ทั้งที่อยากอยู่กับเด็กคนนี้ มันก็สวนทางกับความรู้สึกเหลือเกิน

     

     

    ชานยอล

     

    ครับ

     

    มาเป็นลูกบุญธรรมฉันไหม?

     

    จากห้องที่เงียบอยู่แล้ว ปัจจุบันยิ่งเงียบกว่าเดิมเพราะความคิดของเขาทั้งคู่ แบคฮยอนมองเด็กหนุ่มที่หยุดแกะเปลือกส้ม ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม

     

    มันคือสิ่งที่คนตัวเล็กคิดมานาน และคาดว่าอีกฝ่ายคงดีใจถ้าหากเรากลายเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่าไม่ใช่อย่างนั้น ซึ่งมันแย่ตรงที่เขาพูดออกไปเพื่อเป็นการชี้ให้อีกฝ่ายเห็นถึงเส้นสีแดงที่ขีดคั่นความสัมพันธ์ระหว่างเรา ตอกย้ำว่าอย่าคิดไปในทางอื่น

     

    “ตามกฎหมาย อายุห่างกันสิบห้าปีก็รับเป็นลูกบุญธรรมได้แล้ว ถ้าเธอตกลง ฉันจะได้เดินเรื่องนี้ ต่อไปเวลาทำอะไรจะได้ง่ายขึ้น

     

    ชานยอลไม่ได้ขานตอบกลับมา เจ้าเด็กยักษ์แค่มองเขาราวกับว่าเสียใจ ผิดหวัง และอยากถามว่าทำไม ทั้ง ๆ ที่เหตุผลมันง่ายนิดเดียว สำหรับคนที่ให้การอุปการะและอยู่ในฐานของความเอ็นดู

     

    ย้ายมาอยู่ด้วยกันดีไหม ปลายปีนี้บ้านก็สร้างเสร็จแล้ว

     

    คุณไม่ได้เอาไว้เป็นเรือนหอเหรอครับ ทั้งเสียงและแววตานั้นส่งมาราวกับคาดหวังคำตอบ แบคฮยอนหลุบสายตาลง ก่อนจะยิ้มสู้ให้กับการแกล้งโง่ ว่าไม่รับรู้ถึงความรู้สึกอีกคน

     

    เรือนหอที่มีเธอกับซูยองอยู่ด้วยไง ทำไม กลัวฉันบ่นเวลาพาแฟนมาบ้านเหรอ

     

    ...

     

    เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงนะ อยากทำอะไรก็ทำ ถ้าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วจะพาแฟน--

     

    ผมไม่อยากมีแฟนครับ

     

    ...

     

    ผมเข้าใจว่าคุณหวังดี แต่อย่ายัดเยียดให้ผมมีในสิ่งที่ผมไม่ต้องการ... ได้ไหมครับ?

     

    ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยเลยสักครั้งที่ชานยอลจะพูดแทรกเพื่อแย้งในสิ่งที่เจ้าตัวไม่ต้องการ เด็กยักษ์นั่นไม่มองหน้าเขาแล้ว เพราะตอนนี้ผลส้มในมือคงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้รู้สึกดีกว่า แบคฮยอนถอนหายใจเบาหวิว เขารู้สึกไม่ดีที่กำลังทำร้ายชานยอลด้วยวิธีนี้ ไม่ว่าจะด้วยทางอ้อมหรือทางตรง อย่างไรก็เสียใจอยู่ดี

     

     

    แต่การบอกย้ำสถานะเพื่อเตือนสติ มันคงช่วยทำให้ทุกอย่างชัดเจนขึ้น

     

     

    โอเค ไม่มีก็ไม่มี

     

    ความสบายใจเวลาอยู่ด้วยกันถูกกลบด้วยความอึดอัด ชานยอลก้มหน้าก้มตาแกะเปลือกส้มต่อไปโดยไม่พูดอะไรอีก มองจากมุมนี้ก็พอรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกแย่ แต่จะทำอย่างไรได้ การตัดไฟตั้งแต่ต้นลมมันก็คงดีที่สุด

     

    ส่วนเรื่องลูกบุญธรรม ผมจะคุยกับซูยองดูครับ

     

    เขาไม่รู้สึกดีเลย และชานยอลก็คงเหมือนกัน

     

    เป็นเด็กวัยรุ่นนี่ดีจังเลยนะ อยู่มาได้จนถึงตอนนี้ทั้งที่เมื่อคืนไม่ได้นอน คนตัวเล็กชำเลืองมองเด็กหนุ่มที่ยังคงนั่งนิ่ง ชานยอลไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาทำตาใสเมื่อถูกจับผิดได้เหมือนอย่างเคย

     

    ผมนอนแล้วครับ

     

    งั้นเหรอ

     

    ครับ ไม่งั้นผมจะอยู่มาถึงตอนนี้ได้ยังไงกัน สุดท้ายอีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากัน พร้อมรอยยิ้มฝืนที่คงส่งมาเพราะอยากให้เขาสบายใจ หลังจากนั่งเงียบไปนาน

     

    เดี๋ยวนี้หัดโกหกเหรอ

     

    “’งั้นคืนนี้ผมจะรีบนอนครับ

     

    จะดูแลคนอื่นก็ต้องดูแลตัวเองให้ได้ก่อน เข้าใจไหม? แบคฮยอนมองคาดโทษเด็กตัวสูงที่พยักหน้าอย่างว่าง่าย แม้แววตาคู่นั้นจะเศร้าลงไปจากเดิมก็ตาม

     

     

    ขอโทษ...

     

     

    ผมจะดูแลตัวเองให้ดีครับ

     

    ดี คนตัวเล็กยิ้ม

     

    ผมจะกลับบ้านหลังจากที่คุณกินส้มลูกนี้หมดครับ คุณจะได้พักผ่อน

     

    ทั้งคู่สบตากัน ก่อนที่รอยยิ้มของคนตัวเล็กจะจางหายไป ไม่ชอบความรู้สึกตอนนี้เลย ความลำบากใจและความย้อนแย้งนี้คืออะไรกัน เขาอยากให้ชานยอลกลับบ้านเพราะไม่อยากให้เด็กคนนี้ถลำลึกมากไปกว่านี้ แต่อีกใจก็อยากให้อยู่ด้วยกัน พูดคุยเรื่องไร้สาระเหมือนอย่างเคย แต่มันดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องยากแล้ว

     

     

    .

    .

     

     

     

    หายป่วยแล้วก็เปรี้ยวเลยทีเดียว นี่เครียดขนาดนั้นเลย?

     

    กูเคลียร์งานเสร็จแล้ว วางใจได้

     

    จงอินยิ้มขำ มองเพื่อนสนิทตัวดีที่ทำหน้าอมทุกข์ไปหาเขาถึงบ้าน ออกปากว่าวันนี้ต้องเมาเพราะเรื่องที่กลัวมาตลอดได้กลายเป็นความจริงแล้ว ให้ตายซี้... เขาก็นึกว่าไอ้แบคฮยอนจะเทเด็กนั่น แต่ที่ไหนได้... มันเครียดเพราะไม่กล้าทำร้ายจิตใจนี่แหละ

     

    พี่เลี้ยงจำเป็นบอกว่าจะอยู่เฝ้าให้ถึงตีหนึ่ง เพราะงั้นมึงรีบแดกรีบเมาซะ

     

    ลูกมึงคงไม่ร้องโยเยกลางดึกหรอกมั้ง ถ้าจำเป็นจริง ๆ ก็ให้ผู้จัดการเข้างานสายซะสิ

     

    อย่าดีกว่า เด็กร้านกูไม่มีใครเป็นงานเลยไอ้ห่า นอกจากเซฮุนแล้วกูก็ไม่รู้จะพึ่งใคร อย่าให้กูเดือดร้อนเพราะปัญหาโลกแตกของมึงดีกว่าเพื่อน

     

    ให้มันได้อย่างนี้ คนตัวเล็กแค่นหัวเราะ ก่อนจะประเดิมด้วยโซจูแก้วแรก

     

    จงอินมองเพื่อนแล้วก็นึกถึงตอนเรียนมหาลัย แดกอย่างนี้เปลืองฉิบหาย แต่ก็ดีเหมือนกัน รีบแดกรีบเมา อีกไม่นานก็คงจอด ขออย่างเดียวเลย อย่าอ้วกแตกให้อับอายขายขี้หน้าก็พอ

     

    มึงจะคิดมากทำไมวะ เด็กมันชอบ มันก็อยากสัมผัสบ้างเป็นเรื่องธรรมดา มึงก็แค่แกล้งตายทำเป็นไม่รู้ต่อไป

     

    ก็เพราะแกล้งทำอยู่นี่ไงกูถึงได้เครียด มึงคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาได้ไงวะ กูโดนผู้ชายด้วยกันหอมแก้มนะ แถมยังเป็นเด็กที่กูรักมาก ๆ คนหนึ่งด้วย เอาแล้วไง พอมันเครียดทีไรก็พ่นออกมาอย่างกะแรปได้ จงอินกลอกตามองโต๊ะอื่น บอกเลยว่าในเต็นท์โพจังมาจาไอ้ห่านี่เสียดังที่สุดแล้ว ถ้าอาจุมม่าเดินมาตบกะโหลกจะไม่ช่วยเลย

     

    มึงรังเกียจเหรอ

     

    หมายถึงที่ถูกหอมแก้มหรืออะไร

     

    ทุกอย่าง มึงรังเกียจความรู้สึกที่เด็กมันมีต่อมึง หรือว่ารังเกียจสัมผัสที่มาจากผู้ชายด้วยกัน แบคฮยอนไม่ได้ตอบคำถามทันที และนั่นทำให้เขาหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้

     

    ขำห่าไร

     

    เอ้า ตลกขนาดนี้ไม่ขำได้ไง จงอินยกโซจูขึ้นดื่ม พลางมองเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมานานเป็นสิบปี ก่อนจะวางแก้วใบเล็กลงบนโต๊ะถ้ามึงรังเกียจ มึงจะไม่เสียเวลาคิดคำตอบเลยแบคฮยอน

     

    ไม่ใช่อย่างนั้น ที่กูไม่รู้สึกรังเกียจก็เพราะว่ากูรักแล้วก็เอ็นดูเด็กมันมากต่างหาก

     

    มีข้อยกเว้นแบบนี้ด้วย เอาจริง ที่พูดมานี่มึงแน่ใจเหรอ?

     

    ...

     

    อยากเทปะละ?

     

    เทบ้าไร กูเลี้ยงดูของกูมาตั้งหลายปี อยู่ดี ๆ จะให้ปล่อยไปเพราะความรู้สึกของเด็กที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเพราะอารมณ์ชั่ววูบหรือเปล่าน่ะเหรอ อนาคตเด็กทั้งคนนะแบคฮยอนกำลังจะเป็นบ้ากับปัญหาที่คิดไม่ตก พลางมองไปยังถนนผ่านเต็นท์สีขุ่น

     

    แล้วจะกังวลทำไม ปล่อยไปตามยถากรรมเลยสิ ไหน ๆ มึงก็แกล้งตายทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้มาแล้ว ก็ยังนั่งแดกข้าวด้วยกัน คุยเป็นชั่วโมง แถมยังปล่อยให้เขาแกะส้มให้แดกไม่ใช่เหรอ

     

    ...

     

    ระวังใจตัวเองให้ดีเถอะ ต่อให้ไม่เคยชอบผู้ชายด้วยกัน ก็ใช่ว่าจะรู้สึกไม่ได้ จงอินเติมโซจูให้เพื่อนที่นั่งนิ่งไป หลังจากได้ยินคำพูดทิ่มแทงใจจากเขายิ่งเด็กมันเข้ามาในช่วงที่มึงแห้งเหี่ยวแบบนี้ด้วย

     

    ...

     

    เพราะมึงกับจูฮยอนก็ไม่ได้--

     

    อย่า จงอินอมยิ้ม มองเพื่อนสนิทที่ยกมือขึ้นห้ามทันทีที่รู้ว่าเขาจะพูดอะไรต่อ

     

    ปฏิเสธกูได้นะ แต่มึงปฏิเสธสิ่งที่รู้อยู่แก่ใจไม่ได้หรอก เราแม่งอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว ทั้งเรื่องปัญหาหัวใจ ปัญหาครอบครัวมันเป็นยังไง ไม่ใช่เด็กที่จะมาเอียงคอถามว่า เอ๊ะ! นี่มันคืออะไรกันนะ ฉันชอบเขาหรือเปล่า ไม่ใช่หรอก มันคือความหวังดี

     

    เกลียดไอ้จงอินก็ตรงนี้... มันอ่านใจเขาทะลุปรุโปร่งไปหมด แต่ถึงอย่างนั้นแบคฮยอนก็ไม่อยากยอมรับว่าความดีของเด็กที่เขาดูแลมานานหลายปี มันจะกลายเป็นความรู้สึกที่มากกว่านั้นได้ มันเกินไปจริง ๆ

     

    กูว่ามึงรู้ว่าต้องจัดการยังไง แต่พอเอาเข้าจริง ๆ มันก็ยากใช่ไหมล่ะ? ความถูกต้องกับความต้องการแม่งชอบสวนทางกันตลอด ไม่รู้เป็นเหี้ยไร จงอินยังคงเติมเหล้าให้เพื่อนเป็นระยะ ยิ่งเขาพูด อีกฝ่ายก็ยิ่งยกโซจูขึ้นดื่มย้อมใจ

     

    จงอินไม่รังเกียจและก่นด่าที่แบคฮยอนเป็นอย่างนี้ เราก็แค่มนุษย์คนหนึ่ง ที่สามารถรู้สึกและเอนเอียงไปตามสิ่งเร้า แม้แต่เรื่องที่สังคมบอกว่าผิด ต่อให้สมองอยากแย้งแค่ไหน แต่สุดท้ายหัวใจก็เอาชนะได้อยู่ดี

     

     

    เขาก็เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนทั้งสองคนมาตลอด จูฮยอนไม่ผิดที่งานยุ่งจนไม่มีเวลาให้ แบคฮยอนก็ไม่ผิดที่ใจดีรับเลี้ยงดูชานยอลและน้องสาว รู้สึกผูกพัน สนิทสนมกันมากขึ้นจนช่องว่างลดน้อยลง และชานยอลไม่ผิดที่จะรู้สึกดีกับคนที่เป็นโลกทั้งใบของตน ไหนจะการแสดงออกบางอย่างที่ไม่ตั้งใจให้คิดเกินเลยของแบคฮยอน ที่ทำให้ความรู้สึกของเด็กคนหนึ่งก่อตัวขึ้นจนกลายเป็นความรัก

     

     

    ไม่มีใครผิด แต่ต้องมีเจ็บถ้าเกิดความเปลี่ยนแปลง

     

     

    แบคฮยอนยกโซจูขึ้นดื่มอีก ปล่อยให้แอลกอฮอล์ในร่างกายช่วยทำให้สมองว่างเปล่าสักที หลังจากจมอยู่กับความกังวลมาหลายวัน เขาตอบแชทชานยอลน้อยลง และทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง แม้แต่ในวันหยุดที่ได้เจอกัน เขาก็นัดเจอข้างนอกและบอกว่าจะไปธุระต่อ ให้ตาย... แบคฮยอนมองหน้าเด็กคนนั้นอย่างสนิทใจไม่ได้อีกแล้ว

     

    รุ่นน้องกูคบกับแฟนมาหลายปี พอเลิกกันก็เฮิร์ทฉิบหาย เลยเยียวยาแผลใจด้วยการใช้เวลาอยู่กับเพื่อน ไปเที่ยวเล่นด้วยกัน จนความรู้สึกค่อย ๆ เปลี่ยนไปแล้วหันมาชอบกันเอง

     

    มันแปลกเหรอวะ เพื่อนรักเพื่อนเกิดขึ้นง่ายจะตาย อย่างตอนกูกับจูฮยอนก็เริ่มต้นอย่างนั้น แบคฮยอนแย้ง แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะ

     

    แต่สองคนนั้นเป็นผู้หญิงว่ะเพื่อน จงอินมองเพื่อนสนิทที่เปลี่ยนสีหน้าไปจากเดิม ทุกวันนี้ก็ใช้ชีวิตเลสเบี้ยนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

     

    ...

     

    พอถึงเวลาคิวปิดมันก็ไม่สนหรอกว่าจะแผลงศรใส่ใคร และเป็นเพศไหน

     

    ...

     

    คนที่พอดีกับใจ กับคนที่ใจคิดว่าดีมันอาจจะเป็นคนละคนกันก็ได้ ระยะเวลาไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าคนนี้แหละใช่สำหรับเรา มึงลองคิดดูแล้วกัน

     

     

    .

    .

     

     

    ตอนนี้เที่ยงคืนครึ่ง และไอ้เตี้ยก็เมาไปแล้ว ขวดโซจูเรียงรายอยู่ตรงหน้าบ่งบอกได้ถึงความบ้าของเพื่อนสนิท จงอินมองอีกคนที่นั่งคอพับอยู่ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะง้างมือขึ้นทำท่าจะตบบ้องหู พอเมาแล้วก็กลายเป็นหมา แถมยังพล่ามเรื่องสมัยเรียนไม่หยุดอีก

     

    ชายหนุ่มมองสมาร์ทโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนหน้านี้เคยมีข้อความแชทแจ้งเตือนขึ้นมาอยู่เป็นระยะ แต่แบคฮยอนก็ไม่สนใจจะเปิดอ่าน จนมาถึงตอนนี้คิมจงอินทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ เขาจึงเปิดอ่าน แล้วก็พบว่าทั้งหมดนั้นเป็นของชานยอล

     

     

    ผมมาหาคุณที่ห้องแต่ไม่เจอ ทำงานอยู่เหรอครับ?

    ขอโทษนะครับ ผมไม่รู้ว่าคุณยุ่งอยู่ กับข้าวอยู่ในตู้เย็นนะ

    ถ้าว่างตอบหน่อยนะครับ

    ผมถึงบ้านแล้วนะ

    คุณครับ เป็นอะไรหรือเปล่า เงียบไปแบบนี้ผมเป็นห่วงครับ

    แบตหมดเหรอ

    ขอโทษนะครับ ผมทำให้คุณรำคาญหรือเปล่านะ

     

     

    จงอินถอนหายใจ เขาไม่ได้สนิทกับชานยอลถึงขนาดเข้าหัวอกหัวใจเด็กมันขนาดนั้น แต่จากที่เห็นการทำงาน และฟังเพื่อนเล่าถึงอุปนิสัย ปาร์คชานยอลก็เป็นแค่เด็กมอปลายคนหนึ่งที่กำลังถูกความรักเล่นงาน ซึ่งคนที่เคยผ่านช่วงชีวิตนั้นมาแล้วอย่างเขาก็เข้าใจมันเป็นอย่างดี

     

     

    แต่ไอ้เตี้ยนี่ก็ใจร้ายใจดำไม่ตอบเด็กมันเลย บ้องหูสักทีดีไหมเนี่ย

     

     

    คนผิวแทนสไลด์จอมือถือ กดเข้าโปรแกรมแชทตอบกลับไปอย่างทนไม่ได้ ไม่ถึงนาทีเลยด้วยซ้ำ ชานยอลก็เปิดอ่านข้อความที่พิมพ์ไปเมื่อครู่ราวกับว่านั่งเฝ้าอยู่ตลอดเวลา ชายหนุ่มถอนหายใจพลางมองไปยังเพื่อนสนิทที่ยังฟุบหลับอยู่

     

    ถ้ามันจะเป็นเรื่องชั่ววูบจริง ๆ เขาก็อยากให้แบคฮยอนและชานยอลจัดการความรู้สึกของตนเองให้ได้ ต่อให้ไอ้เตี้ยมันจะปากแข็งหลอกตัวเองว่าไม่ใช่ แต่ตัวมันเองนั่นแหละที่รู้ดีที่สุด ว่ากำลังหวั่นไหวเพราะความดีของเด็กเข้าให้แล้ว เขาไม่อยากให้มันสองคนสับสนจนทำร้ายจูฮยอนไปโดยไม่รู้ตัว

     

     

     

    .

    .

     

     

     

    เด็กหนุ่มลงจากแท็กซี่  ก่อนจะวิ่งเข้าไปในเต็นท์โพจังมาจาข้างถนนแล้วหยุดยืนหอบหายใจ ภาพตรงหน้าคือคุณจงอินยืนจ่ายเงินอยู่ โดยมีคนตัวเล็กฟุบหลับบนโต๊ะพร้อมขวดโซจูจำนวนหนึ่ง

     

    ชายหนุ่มผิวแทนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ตบบ่าปุ ๆ แล้วหันกลับไปด้านหลัง ชานยอลไม่มีคำถามสำหรับผู้ใหญ่ที่สามารถดื่มเหล้าได้โดยไม่ผิดกฎหมาย แต่ความเป็นห่วงเป็นใยมันก็ทำงานหนักจนอยากเข้าไปถามไถ่จริง ๆ

     

    ฝากพามันกลับคอนโดหน่อยนะ ลูกฉันงอแงแล้ว

     

    ได้ครับคุณจงอิน ขับรถดี ๆ นะครับ เด็กหนุ่มโค้งศีรษะ

     

    คนอายุมากกว่าตบบ่าเขาปุ ๆ แล้วเดินไปขึ้นรถ ชานยอลตรงเข้าไปหาคนตัวเล็กพร้อมก้มดูอาการ ซึ่งดูเหมือนว่าตอนนี้จะหลับลึกไปแล้ว และนั่นหมายความว่าเขาต้องหิ้วปีกคุณแบคฮยอนไปขึ้นแท็กซี่

     

    แม้จะทุลักทุเล แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็กลับมาถึงคอนโดได้โดยสวัสดิภาพ เด็กหนุ่มกดรหัสผ่านประตูหน้าห้อง ครู่เดียวก็พาคนเมาเข้าไปข้างในได้ในที่สุด

     

    ถอดรองเท้าก่อนนะครับ

     

    ชานยอลประคองร่างคนตัวเล็กให้ยืนพิงกับผนัง ก่อนจะก้มลงจับข้อเท้าและถอดรองเท้าหนังออกให้อย่างไม่รังเกียจ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังปรือตามองเขาอยู่ ชานยอลไม่รู้ว่าจะพูดอะไร กับความรู้สึกแย่ ๆ ที่วนเวียนอยู่ในหัวมาตลอดหลายวัน เพราะความห่างเหินระหว่างเรา

     

    มาได้ไง

     

    คุณจงอินน่ะครับ

     

    อ้อ ไอ้เวรนั่น... คนตัวเล็กแค่นหัวเราะ พร้อมชักขาออกจากมือของเขา ชานยอลรีบลุกขึ้นคว้าเอวบางเอาไว้ เมื่ออีกฝ่ายเกือบล้มลงไปเพราะเสียการทรงตัว

     

    ไม่มีใครขยับตัวอีก แม้แต่คนเมาที่ไม่เคยอยู่นิ่งตลอดตั้งแต่ลงจากแท็กซี่ ชานยอลมองคนในอ้อมกอด เขาไม่กล้าปล่อยมือออกเพราะกลัวคนตรงหน้าเสียหลัก แต่ก็ไม่สามารถกระชับกอดให้แน่นขึ้นได้

     

    เดี๋ยวผมพาไปนอนในห้อง

     

    ถ้าฉันบอกว่าเดินเองได้... เธอจะปล่อยหรือเปล่า

     

    เด็กหนุ่มไม่ตอบคำถาม เขาหลุบสายตาลงมองท้ายทอยคุณแบคฮยอนจะจับท่อนแขนอีกฝ่ายขึ้นเพื่อหิ้วปีกไปนอนบนเตียง แต่ยังไม่ได้ทันทำอะไร ร่างของเขาก็ถูกดันให้พิงหลังกับผนัง โดยมีคนตัวเล็กยันมือขวางเอาไว้

     

    ชานยอลเบิกตากว้างอย่างตกใจ มองใบหน้าอีกฝ่ายที่อยู่ใกล้มากกว่าทุกครั้ง พร้อมกลิ่นฉุนของแอลกอฮอล์ที่คละคลุ้งอยู่ใต้จมูก หัวใจเต้นตึกตัก สายตาของคุณแบคฮยอนที่มองมามันต่างไปจากเดิม ซึ่งเขาได้แต่บอกตัวเองว่าอีกฝ่ายกำลังเมา

     

    ทำไม

     

    ...

     

    ทำไมถึงมาอยู่ตรงหน้าฉันทุกครั้งในเวลาแบบนี้

     

    ชานยอลไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ว่าเป็นเพราะอะไร เขาแค่ยืนนิ่ง แล้วปล่อยให้สายตาและคำพูดอีกฝ่ายกดดันจนตายกันไปข้าง

     

    เด็กหนุ่มหลับตาแน่น เพียงเพราะปลายนิ้วมืออุ่น ๆ ของคนตัวเล็กสัมผัสลงบนแก้มเขา แม้จะเบาบาง แต่มันก็ชวนให้ใจเต้นอย่างหนักจนกลัวว่าจะระเบิดออกมา ยิ่งพอลืมตาขึ้น เขาก็ยิ่งอยากจะเป็นบ้า เมื่อพบว่าตอนนี้ใบหน้าของเรา... มันเริ่มจะใกล้กันเข้าไปทุกทีแล้ว

     

    คุณแบคฮยอนครับ...

     

    ...

     

    ได้โปรด...

     

     

    อย่าทำให้ผมต้องพังกำแพงระหว่างเรา...

     

     

    เขาควรคว้าไหล่อีกคนเอาไว้ แล้วบอกว่า คุณกำลังเมาแต่เด็กหนุ่มไม่ได้ทำอย่างนั้น ชานยอลไม่สามารถต่อต้านความต้องการของหัวใจได้ เขาชอบคุณแบคฮยอนมากจนยอมให้ทุกอย่างเป็นไปโดยไม่กลัวอนาคต

     

    ริมฝีปากของเราค่อย ๆ แตะกันราวกับเป็นแม่เหล็ก เด็กหนุ่มไม่เคยรู้ว่ารสชาติของจูบเป็นอย่างไร ซึ่งคุณแบคฮยอนเป็นคนแรกที่ทำให้เขาได้รู้จักมัน แม้จะเคยเห็นในละครและฟังประสบการณ์เรื่องเล่าของเพื่อนฝูง มันก็ไม่เหมือนกันเลย... ไม่สักนิดเดียว

     

    ความรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน ชานยอลยืนตัวแข็งทื่อ แล้วปล่อยให้คนตรงหน้าสอดลิ้นเข้ามาทำความรู้จักกับความไร้เดียงสาของตน กลิ่นเหล้าไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกรังเกียจ แต่กลับเพิ่มความประหม่าให้เด็กที่ไม่ประสีประสา

     

    ชานยอลค่อย ๆ ก้มหน้าเมื่ออีกฝ่ายรั้งท้ายทอยเขาลงมา จนกระทั่งจูบของเราแนบแน่นยิ่งขึ้นจนแทบไม่เหลือช่องว่าง มือทั้งสองข้างค่อย ๆ กำเข้าหากันแน่นเมื่อลิ้นถูกดูดดึงอย่างชำนาญ ในขณะที่ปาร์คชานยอลทำได้แค่ยืนเงอะงะอย่างคนไม่เคย

     

    เด็กหนุ่มพยายามรวบรวมความกล้า ไม่ว่าจูบที่เกิดขึ้นจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือเพราะเหตุผลใด เขาก็อยากคว้าโอกาสนี้เอาไว้อย่างคนเห็นแก่ตัว ปาร์คชานยอลไม่สามารถถอยหลังกลับได้ ไม่แม้แต่ยืนอยู่เฉย ๆ แล้วปล่อยให้ความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายตายไปกับตนเอง เขาอยากกอด อยากสัมผัส อยากทำอะไรอีกมากมาย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด...

     

     

    มาเป็นลูกบุญธรรมฉันไหม?

     

     

    หัวใจที่มีแต่รอยบาดแผลยังคงเต้นแรงได้เสมอจากคน ๆ เดิม แขนแกร่งรวบเอวคนตรงหน้าเข้าหาอ้อมกอด กดแผ่นหลังบางเข้าหาตัวเพื่อเพิ่มความแนบแน่นทั้งที่ริมฝีปากยังแลกจูบกันอยู่ไม่ห่าง หัวใจของเด็กหนุ่มกำลังถูกเติมเต็มและถูกทิ่มแทงไปพร้อม ๆ กัน แต่เขาก็ไม่อยากผลักไสคนตรงหน้าออก แม้ว่าคำว่าลูกบุญธรรม หรือคำว่าผู้อุปการะจะตะโกนอยู่ข้างหูอยู่ตลอดเวลา

     

    เด็กหนุ่มถูกดันออกจนแผ่นหลังชนกับผนังอีกครั้ง ชานยอลมองคนตัวเล็กที่ถอยออกไปสองก้าวเพื่อสร้างระยะห่าง ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับว่าเรียกสติกลับมาได้แล้ว คุณแบคฮยอนเสยผมขึ้นแล้วค้างมือไว้กลางศีรษะ ไม่แม้แต่จะมองหน้ากันเพื่อขับไล่ความกลัวในวินาทีนี้ไป

     

    ดูเหมือนว่าตอนนี้พื้นห้องคงน่ามองกว่าปาร์คชานยอลเป็นไหน ๆ หลังจากที่คุณแบคฮยอนนึกได้ว่าเราทั้งคู่เพิ่งทำเรื่องไม่สมควรลงไป แต่ถึงอย่างนั้น... เด็กหนุ่มก็ไม่อยากให้ฝันร้ายมันกลายเป็นความจริง

     

    ขอโทษ

     

    ประโยคเมื่อครู่ก้องอยู่ในหู เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนขาทั้งสองข้างมันชาขึ้นมาจนไม่สามารถก้าวไปไหนได้ สิ่งเดียวที่ปาร์คชานยอลรู้สึกและมองเห็น ก็คือร่างของคนตัวเล็กที่พยายามประคองตนเองให้เดินไปตามทางจนหยุดอยู่หน้าประตูห้อง พร้อมเปิดเข้าไปโดยไม่มีความลังเลใจอยู่เลย

     

    ภายในโถงกว้างเงียบสงบ มีเพียงเด็กหนุ่มตัวสูงซึ่งยืนอยู่กับความรู้สึกมากมายที่ประดีประดังเข้ามาพร้อมกัน ดวงตาคู่นี้ยังไม่ละสายตาจากประตู มันร้อนผ่าวและพร่ามัว รู้ตัวอีกทีน้ำตาก็ไหลออกมาเสียแล้ว

     

    ถ้าแผลจากร่างกายคือเลือด งั้นแผลจากหัวใจก็คงเป็นน้ำตา ปาร์คชานยอลได้พาตัวเองเดินทางมาไกลจนถึงทางตันแล้ว เขาผิดเองที่เก็บความรู้สึกที่มีต่อคุณแบคฮยอนไว้ในใจไม่ได้ จนทุกอย่างมันพังลงไม่เหลือชิ้นดี

     

    ถ้าหากไม่มาที่นี่ แล้วทนอยู่กับความเศร้าใจไปอีกสักพักเดี๋ยวทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ปาร์คชานยอลเก่งอยู่แล้ว เขาสามารถยิ้มต่อหน้าคนตัวเล็กได้แม้ว่าจะเจ็บหัวใจแทบทนไม่ไหว

     

     

    ถ้าไม่มาที่นี่ ถ้าคว้าตัวอีกฝ่ายไว้แล้วเตือนสติสักหน่อย ถ้าไม่จูบตอบ ถ้า... ถ้า... ถ้า...

     

    คำ ๆ นี้มักเกิดขึ้นหลังจากที่เกิดความผิดพลาดไปแล้ว ชานยอลเงยหน้าขึ้นเพื่อหยุดน้ำตา หัวใจและร่างกายมันชาไปหมด เจ็บปวดกับความรักครั้งแรกที่รู้อยู่แล้วว่าผลลัพธ์จะออกมาแบบไหน

     

     

    แต่สุดท้าย ปาร์คชานยอลนั่นแหละที่ปล่อยให้ตัวเองต้องเจ็บ

     

     

     

    TBC

     

     

    เรื่องราวของเด็กน่าสงสารคนหนึ่ง ที่โทษแต่ตัวเองทั้งที่เป็นฝ่ายถูกจูบ

    ตอนต่อไปจะเป็นยังไงล่ะเนี่ย (เอ้า มึงเป็นคนเขียนไหม)

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×