คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : CHAPTER 14 :: ซวยเพราะความจริง
CHAPTER 14
ซวยเพราะความจริง
ในสายตาบยอนแบคฮยอน ปาร์คชานยอลก็แค่ไอ้คนอวดเก่งคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ในวินาทีนี้ วินาทีที่ไอ้บ้านั่นยืนทำหน้าเหมือนคนหยุดหายใจไป เพียงเพราะเห็นรุ่นพี่ยุนโฮอยู่ฝั่งตรงข้าม
ทางเดินแคบยังคงมีผู้คนเดินผ่านอยู่ตลอด ทั้งสามคนปล่อยให้ความสงสัย ความอึดอัดทำงานอยู่ชั่วอึดใจ จนกระทั่งพี่ยุนโฮเป็นฝ่ายทำให้ทุกอย่างเคลื่อนไหวอีกครั้ง
“กูเห็นมึงผ่าน ๆ ในมหาลัย แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอกันที่นี่”
พี่ยุนโฮเป็นคนน่านับถือ แต่ก็ไม่ได้เป็นคนดุขนาดที่ต้องกลัว ใคร ๆ มักจะเกรงใจ แบคฮยอนรู้สึกได้ถึงรอยยิ้มที่รุ่นพี่ส่งไปยังอีกฝ่าย หากแต่ปาร์คชานยอลก็ยังคงไม่แสดงท่าทีตอบรับเพื่อคลายความสงสัยให้กับเขา คนที่ยืนอยู่ตรงกลาง
ไม่เคยเลยสักครั้งที่คนตัวเล็กจะเห็นรุ่นพี่ทำอะไรแบบนี้ ทั้งรอยยิ้มซึ่งดูเหมือนกว่ากลัวอีกฝ่ายจะรำคาญ รวมไปถึงคำพูดที่ราวกับว่าต้องกลั่นกรองก่อนส่งไปยังอีกฝ่าย ที่แม้แต่เพื่อนสนิทรุ่นเดียวกันหรือรุ่นพี่ชางมิน น้องรหัสที่ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าซี้กันกว่าใคร ก็ยังไม่เคยได้เห็นมุมนี้
“มึงเปลี่ยนไปเยอะนะ”
ดวงตาคู่นั้นของชองยุนโฮไม่ได้ยิ้มไปตามริมฝีปาก ชายหนุ่มยังคงพยายามต่อเติมบทสนทนาที่เกิดขึ้นฝ่ายเดียว ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงมองมาราวกับว่าอยากสาปให้เขาหายตัวไปซะเดี๋ยวนี้
“ส่วนกูก็เหมือนกัน”
เขายังคงพูดต่อ แม้จะรู้ดีว่าตอนนี้ปาร์คชานยอลกำลังอึดอัด แต่ชองยุนโฮก็ไม่อยากเสียโอกาสนี้ไปแม้ว่ามันจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ เขาเลียริมฝีปากคลายความประหม่า กับเรื่องราวเก่า ๆ ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่สามารถขับไล่มันออกไปจากความทรงจำได้เลย
ความรู้สึกผิดเมื่อหลายปีก่อนยังคงตามหลอกหลอนจนทำให้นึกอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไข แต่เขาไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ จึงเอาแต่โทษตัวเอง และหวังว่าสักวันพระเจ้าจะมอบโอกาสยนี้ให้กับชองยุนโฮอีกครั้ง
หนุ่มวิศวะปีสี่ยังคงไม่ละสายตาจากคนตรงหน้า เพื่อมองให้ชัด ๆ ว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน กับระยะเวลาหลายปีที่ไม่ได้เจอกัน ชองยุนโฮไม่เวอร์ไปกว่าที่พูด แม้สีหน้า ท่าทาง การแต่งตัวของปาร์คชานยอลจะเปลี่ยนไปอย่างกับฟ้าเหว แต่สำหรับคนที่เคยรู้จักกันเป็นอย่างดี แน่นอนว่ามองแค่เดี๋ยวเดียวก็จำได้
“ชาน--”
“อย่าเรียกชื่อกู”
ถ้าไม่นับเสียงตะโกนเมื่อครู่ นี่คงเป็นครั้งแรกที่บยอนแบคฮยอนได้เห็นความน่ากลัวของปาร์คชานยอล ผ่านทางสีหน้าและน้ำเสียงซึ่งบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการพูดคุยกับพี่ยุนโฮแม้แต่คำเดียว
“...”
มันเป็นชั่ววินาทีสั้น ๆ เท่านั้น ที่ปาร์คชานยอลหันมามองหน้าเขาเพื่อตอกย้ำให้รู้ว่าทุกอย่างมันยังไม่จบเพียงเท่านี้ น่าแปลกที่ความคิดมากมายตีรวนอยู่ในความคิดได้เพียงแค่สบตากับผู้ชายคนนั้น คนตัวสูงยังคงหัวเสีย โกรธ ไม่พอใจ หรืออะไรก็ตามที่สามารถรู้สึกแย่ ๆ กับเขาได้ หลังจากรู้ความจริง
คนตัวเล็กได้แต่มองตามคนที่เขาเรียกว่า ‘ไอ้โง่’ จนหายลับสายตาไป ความสงสัยเกิดขึ้นจนต้องการคำตอบว่าเหตุการณ์เมื่อครู่คืออะไร ทำไมพี่ยุนโฮถึงรู้จักกับไอ้บ้านั่น ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เพียงผิวเผิน และพอหันไปทางรุ่นพี่ที่เคยให้คำปรึกษาได้เป็นอย่างดีเมื่อแบคฮยอนมีปัญหา ก็พบว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังยืนนิ่ง สายตามองต่ำราวกับว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
“พี่ยุนโฮ” แบคฮยอนจับท่อนแขนแกร่ง สักราว ๆ สามวินาทีเห็นจะได้ คนอายุมากกว่าจึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นสบตากัน “พี่เคยรู้จักกับมันเหรอ?”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบคำถามในทันที เขาปล่อยให้เสียงเพลงโดยรอบทำลายความเงียบในใจตนเองขณะที่เรื่องราวเก่า ๆ มันย้อนกลับมาให้รู้สึกผิดอีกครั้ง ยุนโฮสบตากับรุ่นน้องที่ยังคงรอคำตอบ ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ
“...อืม”
กลิ่นเหล้าและกลิ่นบุหรี่ยังคงติดอยู่ตามเสื้อผ้า แม้ว่าตอนนี้บยอนแบคฮยอนจะยืนอยู่คนเดียวบนฟุตปาธ ท่ามกลางสายลมหวีดหวิวยามค่ำคืน บนถนนไม่มีรถวิ่งผ่านเหมือนเมื่อชั่วโมงก่อนหน้านี้
เรื่องราวที่รุ่นพี่เล่า-- ไม่สิ ต้องบอกว่าเรื่องที่พี่ยุนโฮระบายให้ฟังยังคงวนเวียนอยู่ในหัวเต็มไปหมด จนทำให้ความสับสน ความสงสัย ไม่อยากเชื่อตีรวนกันจนอยากหลับไปซะให้มันรู้แล้วรู้รอด
แบคฮยอนคงกลับบ้านทั้งที่ยังรู้สึกแบบนี้ไม่ได้ คนตัวเล็กจะเริ่มพูดกับน้องชายฝาแฝดที่กำลังตกอยู่ในหลุมของความรักยังไงว่าเขาเพิ่งโยนหนามเป็นพัน ๆ เล่มลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
ทั้งที่คิดล้มเลิกแผนบ้า ๆ นั่นเพื่อให้ป๋ายเซียนจริงจังกับความรัก แล้วค่อยบอกไอ้บ้านั่นทีหลังว่า ‘บยอนแบคฮยอนคือพี่ชายฝาแฝด’ พอถึงตอนนั้นเขาก็พร้อมที่จะแกล้งทำเป็นไม่รู้จักปาร์คชานยอลให้ แม้ว่าจะไม่เต็มใจทำก็ตาม
แบคฮยอนยังคงโกรธในสิ่งที่ไอ้บ้านั่นเป็น ทุก ๆ อย่างนั่นแหละ แต่เขาจะอธิบายยังไงให้น้องเจ็บน้อยที่สุดว่าฝ่ายนั้นรู้ความจริงแล้ว และดูเหมือนว่าปาร์คชานยอลก็พร้อมที่จะเกลียดเราทั้งคู่โดยไม่ต้องการฟังเหตุผลใด ๆ ทั้งนั้น
ไหนจะเรื่องที่พี่ยุนโฮเพิ่งเล่าให้ฟัง เรื่องบ้า ๆ นั่นที่แบคฮยอนถามย้ำไปทุกครั้งว่ามันคือเรื่องจริงเหรอ?
แอสตันมาร์ตินคันหรูขับเทียบจอดฟุตปาธ พร้อมใครคนหนึ่งที่เดินออกมาจากรถในชุดนอน ผู้ชายตัวผอมสูงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาโดยไม่ถามสักคำว่าเพราะอะไรถึงถูกโทรตามออกมาข้างนอกในเวลาแบบนี้ เพียงเพราะแบคฮยอนบอกว่า ‘ออกมาหาหน่อยได้ไหม’ พร้อมบอกพิกัดที่ยืนอยู่ เซฮุนก็ตอบตกลง และปล่อยให้เขารอเพียงยี่สิบนาทีเท่านั้นในการเดินทางมาถึงที่นี่
แทบจะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่คนตัวเล็กรู้สึกว่ามันดีเหลือเกิน กับการมีใครสักคนยืนอยู่ตรงหน้าเพื่อเรา ในช่วงเวลาที่กำลังรู้สึกไม่ดีและสับสนจนไม่รู้ว่าต้องทำยังไงเรื่องราวมันถึงจะง่ายขึ้นเหมือนอย่างที่เคย เขารู้สึกดีที่เซฮุนยืนอยู่ตรงหน้า
“...”
ชายหนุ่มยืนนิ่ง หลุบสายตาลงมองไอ้ตัวแสบที่ซบหน้าผากลงกับแผงอกเขาโดยไม่พูดกวนประสาทเหมือนอย่างเคย เสียงถอนหายใจของแบคฮยอนเบาหวิว แต่ก็คล้ายว่ากำลังตะโกนบอกถึงความอึดอัดที่เขาไม่รู้ว่าเจ้าตัวอยากพูดออกมาหรือเปล่า
เซฮุนยืนให้แบคฮยอนซบอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร และปล่อยให้สองมือวางอยู่ข้างตัว มากกว่าจะยกขึ้นมาลูบศีรษะปลอบใจเหมือนอย่างที่ต้องการ
“ชุดนอนสวย”
“ที่โทรตามเพราะอยากดูชุดนอนกูหรือไง”
“ถ้าบอกว่าใช่ มึงจะตบหัวกูไหม”
“...”
เสียงของไอ้เตี้ยเบอร์หนึ่งต่างไปจากทุกครั้ง สิ่งที่ได้ยินในตอนนี้ไม่ใช่แค่เสียงสายลมยามค่ำคืน แต่มันคือเสียงถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าของคนตัวเล็ก
“กูมีทางเลือกให้มึงแค่สองข้อ หนึ่งคือให้กูไปส่งที่บ้าน หรือสอง” ชายหนุ่มเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “แชร์เรื่องที่ทำให้มึงกลายเป็นหมาเหงาให้กูฟัง”
ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ เพียงครั้งเดียว บยอนแบคฮยอนยังคงเป็นไอ้เตี้ยจอมซ่าที่คิดว่าตัวเองจัดการทุกเรื่องบนโลกได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร แต่ต้องไม่ใช่ตอนนี้
“ทั้งที่กูไม่ตอบตกลงเป็นแฟน มึงก็ยังใจดีออกมา ทำไมน่ารักแบบนี้”
“มันใช่เวลาพูดถึงเรื่องนั้นเหรอ”
“ที่รีบออกมาเพราะอยากเอาชนะใจกูแน่ ๆ”
“คนแบบมึงจำเป็นต้องเอาชนะไหม ต่อให้ตกลงหรือไม่ กูก็ยอมมึงทุกอย่างอยู่แล้ว” เซฮุนเริ่มมีน้ำโห คนอุตส่าห์เป็นห่วง ยังจะพูดจาอ้อร้ออีก
แบคฮยอนเงียบไปนาน อาจจะราว ๆ สามนาทีกับการยืนซบหน้าผากลงกับอกเขา ซึ่งเซฮุนคงไม่ว่า ถ้าหากอีกฝ่ายอยากให้บทสนทนาของเราเดินทางไปเรื่อย ๆ โดยไม่มองหน้ากัน
“ถ้ามึงรู้ว่าคนที่มึงเกลียด เคยกลายเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดคนหนึ่ง มึงจะรู้สึกยังไงวะเซฮุน”
“...”
“ที่ถูกตราหน้าว่าเหี้ย เป็นเพราะเคยถูกคนอื่นทำแย่ ๆ ใส่มาก่อน มึงจะยังเกลียดเขาลงอยู่ไหม?”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบคำถามในทันที เขาใช้เวลาทบทวนคำถามและครุ่นคิดว่าอะไรที่ทำให้แบคฮยอนพูดถึงเรื่องนี้ ซึ่งมันคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...
“ปาร์คชานยอลเหรอ”
คนถูกถามเพียงพยักหน้าช้า ๆ เป็นคำตอบ “มันทำแบบนี้ได้ไง”
“...”
“ปาร์คชานยอลควรเป็นคนนิสัยแบบนั้นตั้งแต่แรก กูจะได้ไม่รู้สึกผิดที่เกลียดมัน แต่--”
“...”
“แต่ทำไมมันต้อง--”
‘พี่ย้ายมาจากปูซานตอนมอปลายปีสาม ชานยอลคือเพื่อนคนแรกของพี่’
‘พี่ไม่กล้าเข้าหาคนอื่นเพราะกังวลว่าจะเข้ากับคนโซลไม่ได้ ชานยอลเป็นคนไม่ค่อยมีใครคบ ใส่แว่นหนาเตอะ ผมเผ้ารุงรัง ไม่ดูแลตัวเอง คลั่งไคล้อนิเมะ วาดรูปเก่ง แล้วก็เชื่อในเรื่องมนุษย์ต่างดาว แต่ทุกอย่างก็ไม่ใช่เรื่องน่ารำคาญ’
‘วิชาภาษาอังกฤษ อาจารย์ให้การบ้านในหัวข้อเรื่องที่ชอบเพื่อออกไปพูดในหน้าชั้น วันนั้นชานยอลออกไปพูดเรื่องมนุษย์ต่างดาว มันเชื่อว่าในอีกดาวหนึ่งมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่จริง และด้วยความที่มันเป็นคนแบบนั้น ท่าทาง สีหน้า แววตาตื่น ๆ เวลาพูดเรื่องจริงจังคนรอบข้างเลยกลัวเวลามันพูด’
‘หลังจากนั้นพี่ก็เพิ่งได้รู้ว่าชานยอลโดนแกล้งอยู่บ่อย ๆ แต่ไม่ถึงกับรุนแรง อย่างมากแค่ขัดขา ตะโกนแซวเรื่องน่าอาย และพอพี่เป็นเพื่อนมัน ชานยอลเลยกล้าแสดงออกมากขึ้น ทั้งคำพูดและการกระทำ เพราะมันคิดว่าอย่างน้อยก็ยังมีคน ๆ หนึ่งที่เข้าใจมัน ซึ่งก็คงไม่ผิด พี่เข้าใจ’
‘แต่เพราะพี่เป็นเพื่อนมัน เราเลยโดนกันทั้งคู่’
‘จากที่โดนแกล้งขำ ๆ ระดับความหมั่นหน้าก็เพิ่มขึ้นตามลำดับที่ชานยอลมันกล้าแสดงออก แต่การแกล้งของเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงมันต่างกัน ของเด็กผู้หญิงคงเป็นการนินทา พูดโน้มน้าวยังไงก็ได้ให้อีกฝ่ายเกลียดคนนั้นเหมือนกัน แต่เด็กผู้ชายไม่พูด พวกมันทำเลย’
‘เราโดนเรียกไปหลังตึก ที่จริงเรียกว่าโดนลากไปคงจะถูกกว่า’
‘ชานยอลถูกถามในสิ่งที่พวกมันรู้คำตอบอยู่แล้ว พี่กับมันโดนอยู่อย่างนั้นซ้ำ ๆ ในแต่ละครั้งวิธีการแกล้งจะหนักหนาต่างกัน’
‘เริ่มต้นจากขังอยู่ในห้องส้วมที่ไม่ได้ล้าง หลังจากนั้นก็หนักหนาขึ้นเรื่อย ๆ จนพี่เริ่มจิตตก ไม่มีความสุขกับการไปโรงเรียน มันทำให้พี่ไม่อยากอยู่ใกล้ ๆ ชานยอลอีก ความกลัว ความอึดอัดกับสิ่งที่ถูกกระทำ ทำให้พี่มีความคิดแย่ ๆ ว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็เพราะชานยอล พี่เริ่มรังเกียจความชอบของเพื่อนสนิท และอยากใช้ชีวิตอยู่อย่างปกติ ไม่อยากเป็นที่รองรับอารมณ์ของพวกบ้านั่นอีกแล้ว’
‘จนครั้งสุดท้าย มันบังคับให้เราดูรูปมนุษย์ต่างดาว แล้วช่วยตัวเอง’
แบคฮยอนกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ขณะที่ยังคงซบหน้าผากอยู่กับแผงอกอีกคน เขายังจำสีหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดของรุ่นพี่ได้เป็นอย่างดี แต่สิ่งเดียวที่คนตัวเล็กไม่รู้ก็คือ ตอนนั้นเขากำลังทำหน้าแบบไหน
‘พี่ไม่กล้าทำ ยังไงก็ไม่กล้า พี่รีบก้มหัวให้พวกมัน ขอร้องอย่างหมาขี้แพ้ เพื่อให้ทุกอย่างหยุดลงแค่นี้’
‘ชานยอลด่าพี่ บอกให้หยุดก้มหัวให้พวกขยะ พวกมันไม่มีค่าเลยสักนิด และนั่นทำให้ชานยอลโดนซัดจนแว่นแตก’
‘พวกนั้นบอกว่าจะหยุดก็ได้ แต่นั่นไม่ได้หมายถึงชานยอล’
‘มันให้โอกาสพี่เลือก ว่าจะอยู่เพื่อโดนแกล้งกับชานยอลตลอดไป หรือว่าจะอยู่กับพวกมันแล้วแกล้งชานยอลแทน’
‘แกล้งคนประหลาดในสังคม ที่เชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีอยู่จริง’
‘ให้รู้สักทีว่าความคลั่งไคล้ทั้งหมดนั่นก็แค่การ์ตูน 2D ไม่มีตัวตน’
‘พวกมันเชื่อว่าวิธีนั้นจะทำให้ชานยอลเลิกงมงายกับเรื่องพวกนั้นได้’
‘เสียงหัวเราะของพวกเดนนรกที่ยืนรุมเราสองคนจนรอบข้างมองเห็นแค่รองเท้ากับขากางเกง พี่รู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก กับความกดดันในตอนนั้นที่จำเป็นต้องเลือกว่าจะเอาตัวรอด หรือจะซวยไปพร้อม ๆ กับเพื่อน’
‘พี่จำสีหน้าของชานยอลในตอนนั้นได้ ผิดหวัง เสียใจ ช็อก มื่อเห็นว่าพี่ลุกขึ้นเดินไปหยุดยืนอยู่กับพวกมัน’
‘พี่มันคนขี้ขลาด แบคฮยอน’
‘ทั้งที่ทุกอย่างก็แค่ความชอบของคน ๆ หนึ่งแท้ ๆ ซึ่งทุกคนแม่งก็มีความชอบที่ไม่เหมือนกัน’
‘แต่เพราะความกลัว ความปอดแหกของพี่ในวันนั้น ที่ทำให้พี่ได้เห็นหน้าชานยอลเป็นครั้งสุดท้าย’
‘เพราะวันต่อมา ก็ไม่มีใครได้เห็นหน้ามันอีก’
‘ชานยอลลายื่นใบลาออก และไม่มีใครติดต่อมันได้’
‘พี่ทนอยู่กับความรู้สึกแบบนั้นมาหลายปี จนกระทั่งได้รู้ว่ามันเพิ่งเข้าปีหนึ่งที่นี่ แต่ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปอย่างกับฟ้าเหว’
‘คนที่เคยชอบปั่นจักรยานปล่อยมือ เพราะบอกว่ารู้สึกเหมือนได้รับอิสระ ตอนนี้กลับกลายเป็นพอร์ชคันหรูที่ทำให้มันรู้สึกอย่างนั้นได้’
‘ไม่มีรูปวาดการ์ตูนสี่ช่อง มีแต่ชุดแฟชั่นที่ถูกโชว์ในงานนิทรรศการมหาลัยเมื่อวนไปจนถึงสาขาแฟชั่นดีไซน์ พร้อมชื่อกำกับว่าใครเป็นคนออกแบบ’
‘ไม่มีแว่นหนาเตอะที่เคยใส่ ไม่มีทรงผมที่เคยยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เมื่อตอนนี้มันถูกทำสีและเซ็ทเป็นทรงอย่างดี ผิวพรรณสะอาดจนไม่เหลือเค้าคนเดิมในตอนนั้น’
‘พี่ไม่อยากเชื่อ พี่พยายามสืบเรื่องของมันอยู่ห่าง ๆ จนรู้ว่าตอนนั้นชานยอลมันย้ายไปเรียนต่างประเทศ เริ่มต้นใหม่ที่นั่นเลยทำให้เรียนช้ากว่า พี่คิดว่ามันคงอยากเปลี่ยนตัวเอง แต่ในขณะเดียวกัน พี่ก็ได้ยินเรื่องไม่ดีที่คนอื่น ๆ พูดถึง ว่าชานยอลมันนิสัยแย่แค่ไหน’
‘เพราะงั้นไม่ว่านายจะรู้สึกยังไง พี่ก็อยากให้รู้ไว้ว่าว่าการที่คน ๆ หนึ่งจะกลายเป็นไอ้เหี้ยของใครสักคนได้ มันอาจเป็นเพราะว่าเขาเคยถูกทำร้ายมาจนไม่อยากเป็นคนดีอีกแล้ว’
‘แต่พี่ก็ยังเชื่อว่ามันยังเป็นปาร์คชานยอลคนเดิม คนที่ไม่เคยคิดร้ายกับใคร’
‘และพี่จะเชื่ออย่างนั้นต่อไป’
เซฮุนยืนนิ่งหลังจากฟังอีกฝ่ายพ่นเรื่องราวที่รู้มาจากรุ่นพี่จนจบ ภาพตอนเขาและปาร์คชานยอลลับริมฝีปากกัน และกลายเป็นไอ้หมอนั่นที่แพ้ราบคาบไปอย่างเละเทะทุกครั้งนั่นย้อนกลับมาในความคิด ตอนนั้นมันดูตลก และคิดว่าเราก็แค่คนสองคนที่เหม็นขี้หน้ากัน หรือแม้แต่ตอนช่วยกันออกแบบชุด และร่างแพทเทิร์นงานคู่ สีหน้าและแววตาของไอ้คนหลงตัวเองก็ดูจริงจังจนกลายเป็นคนปกติในสายตาเขาได้ไปถึงชั่วเวลาหนึ่ง
สีหน้าปาร์คชานยอลตอนเกือบมีเรื่องชกต่อยกับรุ่นพี่ ตอนอธิบายงานตัวเองในคาบอย่างคนมีความรู้ ทุกอย่าง... มันทำให้ไอ้บ้านั่นดูน่าสงสารขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
“ต่อให้เคยเจอเรื่องไม่ดีแค่ไหน แต่ก็ใช่เรื่องที่จะมาทำกับคนอื่นยังไงก็ได้เปล่าวะ มันเคยโดนทำร้ายแล้วไง ตอนนี้มันก็ทำให้คนอื่นเสียใจเหมือนกัน ก็สมควรแล้ว ใช่ ปาร์คชานยอลสมควรโดนแบบนั้นแล้ว” แบคฮยอนย้ำเพื่อให้ตัวเองไม่รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป แต่กลายเป็นว่ายิ่งพูด... เขาก็ยิ่งรู้สึกแย่มากขึ้นเป็นเท่าตัว
“...”
“กูจะอธิบายให้ไอ้ป๋ายฟังยังไง”
“...”
“ถ้ามันรู้ มันต้องรู้สึกแย่กว่ากูเป็นร้อยเท่าแน่ ๆ กูจะปลอบน้องยังไง ก่อนหน้านั้นกูก็คะนองปากซ้ำเติมมันไปด้วย ทำไมกูไม่คิดก่อนว่าผลมันต้องส่งไปถึงป๋ายเซียนด้วย”
ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงมือเล็กที่ขยำเสื้อนอนของเขาแน่น ราวกับว่าแบคฮยอนอยากถ่ายทอดความรู้สึกต่าง ๆ นานามาให้ ไม่ว่าจะเป็นความกังวลถึงความรู้สึกของน้องชาย รู้สึกผิดต่อปาร์คชานยอลแม้ไม่ต้องการ ความสับสนที่ไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังรู้สึกยังไงกันแน่ และไม่รู้ว่าต้องเริ่มแก้ไขเรื่องนี้ยังไงก่อน แต่โดยรวมแล้ว แบคฮยอนมันไม่ได้นึกถึงความรู้สึกของตัวเองเลยสักนิด
“ทั้งที่ควรสะใจที่ทำให้มันรู้สึกแย่ได้ แต่ทำไมกูถึงอึดอัดแบบนี้”
TBC
ความคิดเห็น