คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : CHAPTER 05 :: ซวย... มึงกับกูอะซวย
CHAPTER 05
ซวย... มึงกับกูอะซวย
“อา... จริง ๆ เล้ย”
ขายาวหยุดเดินพร้อมมือซ้ายที่ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เพ่งมองใครอีกคนที่เรียกว่ามลพิษทางสายตาซึ่งมาพร้อมกระเป๋าอุปกรณ์สุดเทอะทะที่เด็กแฟชั่นจำเป็นต้องมีทุกคน และเขาก็เช่นกัน หากแต่กระเป๋าอุปกรณ์ของปาร์คชานยอลนั้นดูดีมีสไตล์ และถูกออกแบบด้วยช่างจากประเทศอิงลึ่น รุ่นลิมิเต็ดอิดิชึ่น
หลายคนเข้าใจผิด ๆ ว่าเด็กแฟชั่นแข่งกันด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนมเพื่อให้ดูมีระดับ แต่ความจริงแล้วจุดเด่นที่จะทำให้รู้ว่าเป็นคนมีสไตล์จริง ๆ หรือเป็นไอ้ขี้กากที่ใส่ของแพงแต่แต่งตัวไม่เป็น ซึ่งไอเทมที่จะทำให้รู้ได้ก็คือ นาฬิกาข้อมือ รองเท้า และกระเป๋า หากสามอย่างนี้เห่ย ต่อให้ใส่แบรนด์ดังระดับโลกมาก็ดูอ่อนหัดไปทันที
และปาร์คชานยอลจะบอกตรงนี้เลยว่าการแต่งตัวของเขามันโดดเด่นมีสไตล์ ชนิดว่าใครเลียนแบบมีต้องหัวเสียและพาลให้ไม่อยากเสวนาด้วย ก่อนหน้านี้โอเซฮุนเคยทำสีผมคล้าย ๆ เขา ซึ่งมันน่ารำคาญจริง ๆ ที่มลพิษทางสายตามันโผล่มาให้เห็นอีกแล้ว
“ไงเซฮุน?”
“อืม”
“ไปไหนวะ”
“กินข้าวน่ะ” เจ้าของชื่อตอบคำถามคริส ซึ่งดูเหมือนว่าจะคุยง่ายที่สุดในกลุ่มพวกหลงตัวเอง ถ้าไม่นับคิมจงอินที่ไม่อยู่ตรงนี้ด้วย
“นัดสาวเหรอว้า” จุนมยอนคือคนอีกประเภทที่ไม่อยากเสวนาด้วย พวกลิ่วล้อที่ทำตัวเป็นซูเนโอะคอยยืนประกบพูดจาเอาอกเอาใจเพื่อนจนน่ารำคาญนั่นน่ะ
“ต้องบอก?”
“แหม่ เพื่อนอุตส่าห์ชวนคุย แค่งัดปากพูดมันคงไม่ยากเกินไปหรอกมั้ง?” ชานยอลแค่นยิ้มพร้อมเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยตามระดับองศาที่คนหล่อเท่านั้นจะทำได้
“ขึ้นชื่อว่าอุตส่าห์ มันก็คือความไม่เต็มใจ กูบอกให้ฟังเฉย ๆ No Offense นะ” เอาเรื่องว่ะ เซฮุนมันไม่ยอมนิ่งเหมือนทุกครั้งแต่เสือกกวนตีนกลับมาพร้อมรอยยิ้มอีก
ชานยอลหุบยิ้มแล้วส่งสายตาประกาศสงครามไปยังอีกฝ่าย ถ้าจินตนาการไม่ออกก็ไปเปิดดู The Heirs ตอนคิมทันกับยองโดจะถีบยอดหน้ากัน ซึ่งพระเอกก็จะเป็นใครไม่ได้นอกจากปาร์คชานยอลคนนี้
“มึงคงไม่ได้นัดป๋ายเซียนไว้หรอกใช่ไหม?” ถ้าใช่ กูจะเอาเอาหน้าแนบจักรเย็บผ้าพร้อมปล่อยให้เข็มปักปากตัวเองแล้วด่าพ่อมึงในใจจนกว่าจะหายแค้น
“อ่า แสนรู้จัง นี่ดมกลิ่นเอาหรือว่าโทรถามมาล่ะ?”
เชี่ยะ นี่กูเดาถูกเรอะ?!
“ขอตัวก่อนนะ ถ้าปล่อยให้รอนานคงถูกงอนแย่ กูง้อคนด้วยคำพูดไม่เป็นซะด้วยสิ แบบว่าถนัดแสดงออกทางร่างกายมากกว่าน่ะ” เซฮุนพูดกลั้วหัวเราะพร้อมกระดิกนิ้วชี้เป็นเชิงไล่ ซึ่งจุนมยอนก็ถอยออกข้างให้ราวกับโมเสกแยกทะเลแดง ก่อนที่เขาจะเดินแทรกกลางไปกับชัยชนะแรกในวันนี้
“มันไปแล้วเพื่อน”
“กูเห็นแล้ว!”
ชานยอลกำลังเลือดขึ้นหน้าเพราะถูกยั่วโทสะ มึงกล้ามากโอเซฮุนที่เหยียบหน้ากูแบบล่องหนโดยไม่ทิ้งรอยตีนใด ๆ ไว้ ให้ตายสิโรบิ้น... ที่เขาไปจากป๋ายเซียนไม่ได้ก็เพราะมีมารหัวใจอย่างไอ้เชี่ยนี่แหละคอยกระตุ้นให้หวงก้างอยู่เรื่อย ๆ
พูดแบบไม่แบดบอยนะ จริงอยู่ที่ป๋ายเซียนเป็นคนน่ารัก แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ฉุดเขาไว้ไม่ได้ บางครั้งก็น่ารัก บางครั้งก็ธรรมดา แต่บางครั้งก็ดูลึกลับน่าค้นหา ซึ่งอารมณ์แบบหลังไม่ค่อยมีมาให้ตื่นเต้นบ่อย ๆ ซะด้วยสิ
แล้วพอไอ้หอกเซฮุนมากระตุ้นแบบนี้ เขาก็อยากจะโทรไปขัดขวางแล้วหาทางลากป๋ายเซียนมาซะให้รู้แล้วรู้รอด
ชายหนุ่มหลับตาลงพร้อมเงยหน้าขึ้น พยายามหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ขณะที่จุนมยอนช่วยลูบหลัง หึ... ครั้งนี้เขาจะปล่อยโอเซฮุนไปก่อน ให้มันเชิดหน้าปานดีไปสักพัก เดี๋ยวก็รู้เองว่านกสะกดยังไง
“เมื่อกี้กูเกือบเตะปากมันแล้ว โด่”
“ใจเย็นไว้สหาย คนมีการศึกษาย่อมไม่เตะปากคนซี้ซั้ว” ชานยอลยิ้มมุมปากก่อนจะกระนิ้วชี้ปรามเพื่อน คริสจงใจถอนหายใจเสียงดัง ส่ายหัวอย่างระอาแล้วเดินนำไปก่อน
ชานยอลยื่นกระเป๋าอุปกรณ์ให้จุนมยอนช่วยถือ ก่อนที่เขาจะดับความหัวเสียทั้งหมดด้วยการล้วงเอาสมาร์ทโฟนออกมา ปกติเขาก็ไม่ได้โทรไปแหกป๋ายเซียนบ่อย ๆ หรอกนะ แต่คราวนี้ปล่อยไปไม่ได้จริง ๆ วันนี้ปาร์คชานยอลต้องงี่เง่าขอให้คนตัวเล็กมาลองชุดเขาก่อนให้ได้ แม้ตามนัดของเราจะเป็นวันมะรืนก็ตาม
( ว่าไงชานยอล )
“ป๋ายเซียนจ๋า...” คนตัวสูงปั้นหน้าออดอ้อนไปด้วยแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เห็น ได้ยินเสียงหัวเราะจากคนในสายซึ่งมันทำให้คนนิสัยไม่ดีใจชื้นขึ้นมาได้ครึ่งหนึ่ง
คนตัวผอมตรงไปยัง Aston Martin Vanquish สีขาวคันคู่ใจแล้วเก็บกล่องอุปกรณ์ไว้ด้านหลัง หยุดยืนขมวดคิ้วกับอารมณ์หงุดหงิดที่เกิดขึ้นเพราะความน่ารำคาญของปาร์คชานยอล ก่อนจะหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมากดดูเบอร์ที่ต้องหาเหตุผลในการโทรหาทุกครั้ง
ตอนนี้บยอนแบคฮยอนคงเรียนอยู่ และอีกครึ่งชั่วโมงถึงจะถึงเวลานัด เซฮุนเปิดประตูรถแล้วแทรกตัวเข้าไปด้านใน สตาร์ทเครื่องแล้ววางมือซ้ายลงบนพวงมาลัยก่อนจะปล่อยให้ความคิดได้ทำงานอย่างเต็มที่
เขาไม่ใช่เด็ก ๆ ที่จะสับสนในความรู้สึกตัวเอง ถึงจะไม่อยากยอมรับแต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าโอเซฮุนเผลอรู้สึกดีไปกับไอ้เตี้ยจอมกวนประสาทเข้าให้เสียแล้ว เขาจำไม่ได้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอรู้ตัวอีกทีก็อยากเจอหน้า อยากได้ยินเสียงที่เอาแต่พูดจาชวนหัวเสียเพราะคำพูดเหล่านั้นมันกระตุ้นความรู้สึกเขา
ซึ่งนั่นก็คือการพูดถึงปาร์คชานยอล
ถึงจะรู้ดีว่าไอ้เตี้ยคงไม่เบี้ยวนัดไปหาไอ้ขี้เก๊ก แต่เขาก็ไม่พอใจอยู่ดี ซึ่งมันเป็นข้อเสียของมนุษย์ที่ยับยั้งได้ยาก กับการอ้าปากพูดไม่ได้สักอย่างเพราะไม่ได้เป็นแฟนกัน เซฮุนคิดว่ายังไม่ได้ถลำลึกนัก ซึ่งมันเป็นข้อดีที่ทำให้เขาเก็บอารมณ์ไว้ใต้สีหน้าเรียบเฉยได้
เซฮุนไม่เคยกังวลเรื่องความรัก อันที่จริง... เขาก็เคยมีแฟนมาแล้วหลายคน แต่คราวนี้กลับกลัวการเริ่มต้นเพียงเพราะอีกฝ่ายคือบยอนแบคฮยอน คนที่ไม่มีท่าทีว่าจะชอบเขาเลยสักนิด
ยิ่งไอ้เตี้ยแสดงออกอย่างชัดเจนว่าสนใจปาร์คชานยอล เขาก็ยิ่งหวั่นใจ ความสัมพันธ์ระหว่างเราทั้งคู่เริ่มต้นจากเรื่องงานถ่ายแบบชุด ต่างจากไอ้ขี้เก๊กที่ชัดเลยว่าชอบ ดังนั้นเซฮุนจึงเลือกที่จะเก็บไว้เงียบ ๆ แล้วรอดูท่าทีไปเรื่อย ๆ
ไว้สองคนนั้นคบกันเมื่อไหร่แล้วค่อยตัดใจแล้วกัน
สายตามองไปยังถุงคลุมชุดที่ห้อยอยู่บนราวเล็กตรงเบาะหลัง มันทำให้นึกถึงบยอนแบคฮยอนทุกครั้งไม่ว่าจะตอนตัดเย็บหรือวินาทีนี้ ชายหนุ่มรู้สึกสูญเสียความเป็นตัวเองเพราะความย้อนแย้งอีกแล้ว ทั้งที่ใจบอกว่าควรหยุด อย่ารู้สึกมากไปกว่าที่เป็นอยู่ แต่ลึก ๆ โอเซฮุนก็อยากให้ไอ้เตี้ยเข้ามาปั่นป่วนให้ปวดหัวเล่นไปเรื่อย ๆ
บางครั้งก็ทำตัวน่ารักจนไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นคน ๆ เดียวกัน แต่บางครั้งก็ทำตัวเป็นม้าดีดกะโหลกจนอยากเขกหัวสักที บ้าเอ้ย... ชอบแบบนั้นเข้าไปได้ยังไง
เรียวนิ้วยาวเคาะลงบนพวงมาลัยระหว่างตกอยู่ในห้วงความคิดว่าไม่อยากนัดเจอกันแค่ในคณะอีกแล้ว นึกย้อนไปถึงวันนั้นแล้วก็ต้องยกมือขึ้นป้องปาก ภายในห้องนอนของเขาที่ไม่เคยให้ใครเข้าไป และบยอนแบคฮยอนเป็นคนแรกที่ยืนอยู่ตรงนั้น พร้อมแววตาที่มองมาเพื่อกดดันให้รู้ว่าเขาควรหันไปทำอย่างอื่นมากกว่าจ้องมองท่อนบนเปลือยเปล่า
ไม่มีประโยคยียวนกวนประสาทว่าเขากำลังคิดเรื่องลามก ถึงได้ไม่ยอมละสายตาไปจากแผ่นหลังขาว ๆ นั้น บยอนแบคฮยอนเพียงทำตาใสแล้วปัดมือไล่จนกระทั่งเขาไหวไหล่ ก่อนจะหันไปสนใจกับหน้าต่างห้องแทน
เซฮุนมองถุงคลุมชุดผ่านกระจกมองหลังอีกครั้ง ผ่านไปราว ๆ ครึ่งนาทีก็คว้าสมาร์ทโฟนขึ้นมา พร้อมกดส่งข้อความหลังจากตัดสินใจได้แล้วว่าวันนี้อยากทำตามใจตัวเองสักครั้ง
คุณกำลังส่งข้อความถึง...
‘บยอนแบคฮยอนผู้มีพระคุณต่อโอเซฮุน อย่าลืมแสนห้า’
[ วันนี้ลืมเอาชุดมาด้วย ไปเจอกันที่บ้านกูแล้วกัน ]
ชายหนุ่มเท้าศอกลงพร้อมเสยผมขึ้นแล้วค้างมือไว้กลางศีรษะ ทอดสายตาไปยังเบื้องหน้าและบอกตัวเองว่าไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ตอนนี้ไอ้เตี้ยคงก่นด่าอยู่ในใจแต่ไม่มีเวลาปลีกตัวพิมพ์ข้อความตอบกลับเพราะเรียนแลปฟิสิกซ์อยู่ แค่นึกว่าอีกฝ่ายจะทำหน้าดื้อ ๆ ยังไง เขาก็หลุดยิ้มออกมาซะแล้ว
แก้ไขเบอร์ : หุ่นลองเสื้อไซส์มินิ 'ㅅ'
วันนี้เลิกเร็วกว่าปกติประมาณครึ่งชั่วโมง ป๋ายเซียนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้างกับการเรียนมาทั้งวันโดยที่ยังไม่ได้กินข้าวสักคำ คนตัวเล็กลูบท้องพร้อมเบะปากเล็กน้อย เมื่อนึกไปถึงพี่ชายที่บอกว่าจะไปกินข้าวกับชานยอล แถมสั่งให้เขากลับบ้านไปนั่งเลียโต๊ะดราฟท์เล่นที่บ้านอีก
แบคฮยอนแม่งนิสัยไม่ดี ที่ทำแบบนี้ก็เพราะชอบชานยอลเหมือนกันใช่ไหมล่ะ ถึงได้พยายามยกเรื่องทั้งโลกมาอ้างเพื่อให้ได้อยู่กับผู้ชายคนนั้นสองคน แต่กลับไล่เขาให้ไปเจอเซฮุนโดยไม่แคร์เลยว่าไอ้หล่อมันฉลาดอะ
สายตาที่มองมาเหมือนจะไม่มีอะไรแต่ก็มี ซึ่งป๋ายเซียนมั่นใจว่าต้องไม่ส่งไปในทางบวกแน่ เขาเชื่อว่าโอเซฮุนคงไม่ชอบสันดานขี้เหล้าของพี่ชายเขาจนต้องมองมาด้วยความรัก
ป๋ายเซียนไม่สนุกด้วยแล้ว แผนนี้มันต้องเล่นด้วยกันไม่ใช่หรือไง แต่นี่อะไร ปล่อยให้เขาไปลองชุด นั่งเกร็งทุกวินาทีรอจังหวะทำตัวถ่อยใส่เซฮุนเพื่อไม่ให้ถูกสงสัย มันยากมากเลยนะ แบคฮยอนควรสำนึกได้แล้วว่าน้องกำลังลำบาก
รู้งี้ไม่บอกเรื่องจูบกับชานยอลซะก็ดีหรอก ไม่อยากจินตนาการเลยว่าถ้าไอ้พี่ชั่วกลับมามันจะเล่าเรื่องงามหน้าให้ฟังถึงขั้นไหน หึ... บอกเลยนะว่าถ้าแบคฮยอนทำให้เขาหงุดหงิดแม้แต่นิดเดียว คราวหน้าจะทำมากกว่าจูบอีก คอยดู
ป๋ายเซียนแค่นหัวเราะ หอบข้าวของเดินออกไปหน้ามหาลัยเพื่อรอรถเมล์ เขาไม่ใช่คนติดมือถือขนาดนี้จนกระทั่งติดชานยอล และแน่นอนว่าคนตัวเล็กไม่สามารถไลน์ไปงอแงได้เพราะอีกฝ่ายอยู่กับป๋ายเซียนตัวปลอม
หาที่นั่งบนรถเมล์โดยไม่ยอมละสายตาจากสมาร์ทโฟน ไลน์ไปด่าพี่ชายฝาแฝดราว ๆ ยี่สิบบรรทัดเห็นจะได้แต่มันก็ไม่ยอมเปิดอ่านเลยสักครั้งเดียว ทำไมแบคฮยอนเป็นคนแบบนี้ ทำอะไรอยู่ก็ควรบอกน้องนุ่งบ้างอะ
คนตัวเล็กย่นจมูก หายใจฮึดฮัดพร้อมก้าวลงจากรถเมล์เพื่อไปต่อรถไฟใต้ดิน ป๋ายเซียนยังคงเดินก้มหน้าเล่นสมาร์ทโฟนโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง เพราะความชำนาญทางที่ใช้อยู่ทุกวัน แตะบัตรก่อนจะตรงเข้าไปในรถไฟใต้ดิน เลือกหามุมยืนด้านในสุดแล้วเอาหน้าผากแนบกับผนังเย็น
ไม่ได้การละ... ถ้าพี่ชายตัวดีมันยังเงียบแบบนี้ เห็นทีว่าป๋ายเซียนคงต้องใช้ไม้ตาย
‘ถ้าไม่ตอบ กูจะโทรหาชานยอล เอาให้หลอนกันไปเลยจ้าว่าใครกันนะอยู่ตรงนั้น’
โทรเข้า...
[ หมาขี้เมา ]
ป๋ายเซียนอมยิ้ม มองจอสมาร์ทโฟนอย่างพอใจแล้วปล่อยให้พี่ชายรอสายอยู่พักหนึ่งกว่าจะยอมกดรับ “ว่าไงพี่จ๋า”
( อยากเจ็บตัวเหรอจ๊ะปะปะป๋ายเซียนของพี่ )
“ก็มึงไม่ยอมตอบไลน์อะ ใครผิด”
( มึงไงผิด มางอแงเชี่ยไรตอนนี้ กูกำลังได้เรื่อง )
“กำลังสวีทกันอยู่สินะ กูต้องขอโทษปะที่ส่งข้อความไปขัดจังหวะ ฝากสวัสดีชานยอลด้วยสิ ‘ฮัลโหลชานยอล เราเองน้า ดอพเพลแกงเกอร์ของป๋ายเซียนเอง’” คนน้องดัดเสียงกวนประสาทพลางแค่นหัวเราะ เพ่งมองไปยังผนังสีครีมตรงหน้าแทนตัวพี่ชาย ก่อนจะทุบกำปั้นลงไป
( เสียใจนะจ๊ะ เพราะตอนนี้กูออกมาคุยข้างนอก เรื่องอะไรจะนั่งคุยให้มันจับผิดได้ ไม่โง่สิหนู )
“สุดยอดเลย ทำไมพี่กูมันฉลาดแบบนี้เนี่ย” คนน้องยังคงส่งเสียงประชดประชันอย่างต่อเนื่อง ฉลาดแต่เรื่องโง่ ๆ ไง!
( เออ แค่นี้ก่อนนะ กูต้องกลับไปหาชานยอลของมึงแล้ว )
“ห้ามวาง!” ป๋ายเซียนขมวดคิ้ว “ไหนมึงบอกว่าไม่ชอบชานยอลไง ถ้าคนไม่มีใจ ให้ตายยังไงก็ทนอยู่ด้วยไม่ได้หรอก แบบนี้แสดงว่าชอบแล้วใช่ไหมอะ”
( เมื่อวานกูก็ไม่ได้ชอบหรอก แต่ตอนนี้เริ่มอยากชอบก็เพราะมึงเนี่ย )
“แบคฮยอน!” ป๋ายเซียนเบะปาก และไอ้ขี้เมาคงไม่มีทางเห็นว่าตอนนี้น้องกำลังหัวเสียและต้องการเห็นผู้แพ้แค่ไหน “ห้ามให้ชานยอลแตะต้องตัวนะ”
( ทำไมจะทำไม่ได้ ทีมึงยังยอมให้มันจูบเลย )
“ก็กูชอบชานยอล ก็ต้องทำได้ดิ เราไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะที่จะใช้ของชิ้นเดียวกันอะ”
( เอ้า ชานยอลของมึงคือสิ่งของเหรอวะ ไม่เอาน่าป๋ายเซียน มึงเริ่มทำตัวไม่น่ารักแล้วนะ )
“มึงก็เหมือนกัน ห้าม! ห้าม! ห้าม!”
( อะไร ที่มึงหวงนักหวงหนาแบบนี้นี่แค่จูบกันจริง ๆ เหรอวะ ไม่ใช่โดนล้วง-- )
“บ้าดิ! มันทำอะไรกูก็บอกหมดแล้วอะ” คนน้องเอาหน้าผากโหม่งผนังเบา ๆ ขณะรถไฟกำลังเคลื่อนตัวผ่านไปแต่ละสถานี เขารู้ดีว่าไอ้พี่ชั่วมันใจถึงแค่ไหน และคนตายด้านแบบนั้นก็คงไม่เขินอะไรง่าย ๆ เหมือนเขาด้วย
ซึ่งหมายความว่าถ้าหากมีการถึงเนื้อถึงตัว คนพี่คงพร้อมสู้และไม่มีการขลาดเขิน ซึ่งดูเหมือนว่าชานยอลจะชอบ หลังจากเห็นพูดถึงอยู่หลายครั้งว่า ‘วันนั้นป๋ายเซียนน่ารักมากเลย’
ซึ่งวันนั้นที่ว่าไม่ใช่เขา
( นึกถึงจุดเริ่มต้นดิวะ อีอูฐตกอยู่ในสภาพไหน มึงจำไม่ได้แล้วดิ? )
“จำได้”
( เออ ถ้ามีอะไรคืบหน้าเดี๋ยวจะรีบบอก แค่นี้นะ )
“มึงอะ”
ป๋ายเซียนงอหน้า กระพริบตาปริบ ๆ มองจอมือถือที่ถูกวางไปแล้ว ตอนนี้แบคฮยอนมันคงเอาจริง และคาดว่าจุดจบคงใกล้จะมาถึงโดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่านี้ ซึ่งคนตัวเล็กรู้สึกไม่ค่อยดีนัก เพียงเพราะรู้ว่าอีกไม่นานก็จะไม่ได้เจอชานยอลอีก
“โกรธไอ้แบคฮยอนเหรอ?”
“เออดิ ก็มัน--”
พูดยังไม่ทันจบก็ต้องกลืนคำพูดลงคอทันทีที่นึกได้ว่าวันนี้ขึ้นรถไฟมาแค่คนเดียว และทั้งขบวนเขาก็ไม่รู้จักใครหน้าไหนทั้งนั้น แต่เสียงทุ้มและน้ำหอมกลิ่นคุ้น ๆ ใกล้จมูกกำลังทำให้รู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
อย่า – บอก – นะ – ว่า
“...แม่ร่วง!!!”
คนตัวเล็กผงะจนแทบสิงร่างกับผนัง เหลือกตามองผู้ชายตัวสูงที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมผู้คนมากมายกำลังกรูเข้ามาทันทีที่ประตูเปิดออก ป๋ายเซียนรู้สึกเหมือนถูกทุบหัวตอนช่วงเวลาโลกหยุดหมุน แล้วก็ไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงกับสถานการณ์นี้
เพราะโอเซฮุนยืนอยู่ตรงหน้าเขา!!!
“กำลังกลับบ้านเหรอวะ?”
“อะ... เออ” คนตัวเล็กยิ้มแห้งพร้อมกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ มันไม่ใช่ความบังเอิญแน่ที่อีกฝ่ายอยู่ตรงนี้ โอเซฮุนมีรถขับตั้งหลายคัน คงเป็นไปไม่ได้เลยที่ทุกคันจะพร้อมใจกันพังจนต้องขึ้นรถไฟใต้ดินแทน
แต่เดี๋ยว... เมื่อกี้มันพูดกับเขาว่าไงนะ...
‘โกรธไอ้แบคฮยอนเหรอ?’
ฮือออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ
“เป็นอะไรไป เหงื่อตกเชียว?” คนตัวเล็กเม้มปากหลับตาแน่น ยืนกอดม้วนกระดาษแนบอกเมื่อถูกคนตัวโตกว่าลูบแก้มเบา ๆ
“ก็มึงเล่นยืนเบียดแบบนี้ไม่เหงื่อแตกก็บ้าแล้ว” ป๋ายเซียนพยายามตั้งสติ เชิดหน้าเถียงอีกคนให้ดูเหมือนพี่ชายมากที่สุด แต่คงไม่ได้ผล เพราะสายตาคู่นั้นที่มองมาเหมือนกับจะบอกว่า ‘ไม่ดิ้นสิ ใจเย็น ๆ นะ ป๋ารอฟังหนูแถอยู่’
“งั้นไปหาที่เย็น ๆ คุยกันดีไหม แบบว่า-- อ่า วันนี้ไม่ได้ใส่เสื้อช็อปมาเหรอวะ?”
“อ๋อ... กูทำเลอะอะ ก็เลยฝากเพื่อนซัก”
“ฝากเพื่อน?”
“เอ้อ” ป๋ายเซียนหัวเราะแหะ พยายามจะเฟดตัวออกจากตรงนั้นแต่ก็ต้องยืนตัวตรงแผ่นหลังแนบกับผนังเพราะคนตรงหน้าถูกดันเข้ามาจนแก้มเขาแนบกับแผงอกแกร่ง
เซฮุนยันสองมือไว้กับผนัง หลุบสายตามองใบหน้ากระอักกระอ่วนของคนตัวเล็กที่ดูผิดแปลกไปจากวันแรกที่รู้จักกันอย่างสิ้นเชิง ไม่สิ... ต้องบอกว่าแปลกไปจากหลาย ๆ ครั้งเวลาอยู่ด้วยกัน
แน่ล่ะ... ถ้าเหมือนกันทุกอย่างสิแปลก
“ดูเหมือนมึงจะหัวเสียเรื่องปาร์คชานยอลอยู่นะ ทะเลาะกับศัตรูหัวใจอยู่หรือไง?” เสียงกระซิบข้างหูทำให้ต้องหดคอลง ป๋ายเซียนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าสบตากับคนตัวสูงที่เหมือนว่ากำลังกอดเขาเพราะแรงดันจากผู้คนที่เบียดเสียดอยู่บนรถไฟ
“เปล่า มึงหูฝาดแล้ว”
“อืม คงใช่อย่างที่มึงว่า เพราะคนบ้าที่ไหนจะคุยกับตัวเองล่ะถูกไหม ‘แบคฮยอน! มึงห้ามให้ชานยอลแตะต้องตัวนะ เราไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วที่จะใช้ของชิ้นเดียวกัน’ อ้อ... กูบังเอิญได้ยินพอดีน่ะ”
เซฮุนพูดกลัวหัวเราะอย่างไม่ยี่หระ และยังคงมองมาอย่างคาดหวังว่าเขาจะแก้ตัวยังไงกับบทสนทนาเมื่อครู่ที่ค่อนข้างชัดเจนว่าคนที่อยู่ในสายคือ ‘บยอนแบคฮยอน’
ฮืออออออออออออออออออออออออออออออออออออ
“มึง” ป๋ายเซียนค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น จนถึงตอนนี้โอเซฮุนก็ยังคงยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะแบมือออกมา “ขอยืมมือถือหน่อยดิ”
“จะเอาไปทำไรอะ”
“มือถือกูแบตหมด จะโทรบอกแม่ว่ารถเสีย ขอยืมหน่อย”
“มึงก็จะกลับบ้านอยู่แล้วไม่ใช่ไงวะ”
“กูจะไปอู่ซ่อมรถต่างหาก ขอยืมแค่นี้ไม่ได้?” เซฮุนขมวดคิ้ว ซึ่งคนตัวเล็กรู้ว่าสีหน้าและสายตาที่แสดงออกมานั้นเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ตอนนี้อีกฝ่ายคงกำลังไล่ต้อนให้เขาจนมุม ซึ่งป๋ายเซียนจะไม่ยอมตายตรงนี้แน่
ปลดล็อกหน้าจอแล้วยื่นสมาร์ทโฟนให้อย่างจำใจ เซฮุนยักคิ้วใส่พร้อมขยับปากพูดว่า ‘Thank You’ ก่อนจะกดเบอร์โทรออก เออ! จะทำอะไรก็ทำเถอะ อีกสามสถานีเขาก็ลงแล้ว หลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นก็ให้ไอ้แบคฮยอนสานต่อเองแล้วกัน
RRRRRRrrrrrrrrrrrrrr!!!
คนตัวผอมขมวดคิ้วก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกง และที่ทำให้ป๋ายเซียนเบิกตากว้างก็คือสมาร์ทโฟนที่บอกว่าแบตหมดในมืออีกคนมันกำลังสั่นเป็นเจ้าเข้าว่ะ...
โอเซฮุน!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เหงื่อที่ว่าซึมตามขมับเริ่มไหลพลั่ก ๆ ตามโครงหน้า ราวกับว่าเดินอยู่กลางทะเลทรายซาฮาร่าตอนบ่ายวันพุธ เสียงริงโทนยังไงดังกรอกหู ราวกับมีดที่จ่อคอป๋ายเซียนว่านรกได้ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เมื่อเซฮุนหันหน้าจอมา... พร้อมเบอร์โทรที่ไม่ได้ทำการเซฟชื่อเอาไว้
แม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
“โทษทีว่ะ จะโทรหาแม่แต่ดันกดเบอร์ตัวเองเฉยเลย”
ไหนมึงบอกว่าแบตหมดไง้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! TT_TT
“เอ... ทำไมไม่ขึ้นเบอร์มึงวะ” เซฮุนขมวดคิ้วมองหน้าจอสมาร์ทโฟนทั้งสองเครื่อง ก่อนจะชำเลืองมองคนตัวเล็กที่ดูเหมือนจะตายเพราะสิ่งที่เขาทำอยู่ เห็นแล้วก็นึกขำในใจ
“โทรศัพท์มึงหลอนมั้งอะ...”
“งั้นเดี๋ยวกูลองโทรเข้าเครื่องมึงดู”
“อย่านะ!!!” ป๋ายเซียนพยายามแย่งสมาร์ทโฟนในมือคนตัวโตกว่าซึ่งยืดแขนขึ้นจนชนเพดาน คนตัวเล็กกำเสื้อเซฮุนแน่นโดยไม่สนใจว่ามันจะราคาแพงแค่ไหน ออกแรงเขย่าเป็นเชิงขอให้หยุด แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีว่าจะคืนให้เลย
“โทรติดแล้วแต่ทำไมเบอร์ไม่ขึ้นเครื่องมึงวะ?”
คนตัวผอมหลุดยิ้มออกมาอย่างนึกสนุก กับท่าทีลนลานของคนตัวเล็กซึ่งยังคงพยายามแย่งมือถือโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดจนกว่าจะได้คืน กระทั่งรถไฟเลี้ยวทางโค้ง ร่างของเขาจึงแนบชิดกันอีกครั้ง จนปลายจมูกและริมฝีปากชนเข้าหน้าผากมนคนตัวเล็กอย่างไม่ตั้งใจ
“...”
“เอาคืนมา...” เสียงอู้อี้คล้ายกระซิบอยู่ใกล้หู พร้อมแววตาที่มองมาเป็นเชิงขอร้องซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อน และค่อนข้างมั่นใจว่า ‘บยอนแบคฮยอน’ คงไม่ทำอย่างนี้
มีเพียงเสียงรถไฟเท่านั้นที่ทำลายความเงียบระหว่างทั้งคู่ เซฮุนลดมือลงมาแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายบีบข้อมือเพื่อแย่งสมาร์ทโฟนคืน ชายหนุ่มไม่รู้ว่าที่อีกฝ่ายกำลังหน้าแดงเป็นเพราะโมโหหรือเพราะเหตุการณ์ชวนใจเต้นเมื่อครู่กันแน่
( ว่าไงวะ )
“เปล่า สงสัยมือกดไปโดนปุ่มโทรออกน่ะ”
ป๋ายเซียนหลับตาแน่นหลังจากเห็นแล้วว่าพี่ชายฝาแฝดกดรับสายเซฮุนแล้ว เขาทุบอกคนตัวโตกว่าอย่างเหลืออด พร้อมเอาเหม่งโขกลงไปซ้ำ ๆ หวังให้รู้สึกเจ็บที่ไม่ยอมฟังกันบ้างเลย
( แหม่... นึกว่าเพราะคิดถึงซะอีก )
( ใครโทรมาเหรอ? )
เซฮุนอมยิ้มกับเสียงคนในสายที่มีมากกว่าหนึ่งคน ซึ่งคงไม่พ้นไอ้ขี้เก๊กปาร์คชานยอล ร่างเล็กยังคงพยายามก่อกวนให้เขาวางสาย ซึ่งชายหนุ่มคงไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้น จึงกดศีรษะอีกฝ่ายให้จมลงกับแผงอกของตน และยิ่งออกแรงดิ้นเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรวบกอดแน่นขึ้นเท่านั้น
( อ๋อ เซฮุนน่ะ )
( เฮ้อ ไม่รู้จักเวล่ำเวลาเลยนะ วางดีไหม? เดี๋ยวอาหารจะเย็นหมดนะครับ )
“มึงไปกินข้าวเถอะ ไว้คุยกัน”
( โอเค ๆ คิดถึงนะ )
( วันนี้ป๋ายเซียนจะทำให้เราหึงอีกกี่ครั้งหืม? )
เซฮุนแค่นหัวเราะพร้อมกดตัดสายก่อนจะได้ยินประโยคเลี่ยน ๆ มากไปกว่านี้ ทั้งหัวเสียที่รู้ว่าบยอนแบคฮยอนอยู่กับปาร์คชานยอล แต่ก็สะใจที่จับผิดคนตรงหน้าได้
ชายหนุ่มรู้สึกแปลก ๆ มาตลอดกับการได้เจอไอ้เตี้ยในแต่ละครั้ง แต่ก็พยายามบอกตัวเองว่าการพูด แววตา ลักษณะท่าทางเหล่านั้นที่ชวนให้สงสัย คงเป็นเพราะคิดไปเอง กระทั่งวันนั้นที่เขาเห็นคนตัวเล็กในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์กำลังเดินอยู่บนฟุตปาธอีกฟากของสระน้ำในมหาลัย จึงตัดสินใจโทรหาเพื่อถามว่าจะไปไหน
แต่คนที่กดรับสายกลับไม่ใช่คนที่เขากำลังมองอยู่
เซฮุนเก็บเรื่องนั้นไปคิดทั้งคืน หาเหตุผลมากมายว่าเป็นเพราะคิดไปเองหรือเรื่องนี้มันมีอะไรอีกที่เขายังไม่รู้ รวมไปถึงความผิดปกติทั้งหมดที่เกิดขึ้น ซึ่งพอนึกย้อนกลับไปก็ทำให้สงสัยยิ่งกว่าเดิม
ชายหนุ่มค่อย ๆ เริ่มเก็บรายละเอียดและตัดสินใจสะกดรอยตามอยู่ห่าง ๆ ในทีแรกเขาไม่รู้ว่าจะได้เรื่องหรือไม่ จนเห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้าไปในตึกสถาปัตย์นั่นแหละ จิ๊กซอว์ก็เริ่มต่อเข้าไปในถาดทีละตัว
‘มีสองชื่ออะ ทั้งเกาหลีทั้งจีน เรียกแบบไหนกูก็หันหมดแหละ พ่อแม่ตั้งให้ไง ภูมิใจ’
‘ที่ไปยืนรอหน้าติดวิดวะนี่อยากได้นายแบบหรือว่าอยากจีบกูกันแน่ เอาแบบไม่ซึนนะ กูชอบคนใจ ๆ พูดชุดเดียวรู้เรื่องเลยงี้’
‘ถึงเด็กวิศวะจะสร้างเก่ง แต่ต้องไม่ใช่ปัญหาแน่นอน ไว้ใจกูสิเซฮุน’
‘เซฮุนน่า มึงต้องชอบกูแน่ ๆ เลย กูรู้สึกได้ ไอ้เงินนี่ก็แรงพิศวาส’
แตกต่าง... แต่ก็เหมือนกัน
‘เฮ้ย ทำไมให้เยอะงี้’
‘คราวก่อนแค่หกหมื่นเอง นี่มึงให้มาตั้งแสนห้า คงแถมติดมาจริง ๆ แหละ’
‘งั้นไปนอนรอตรงนั้นได้ไหม’
‘เซฮุน’
‘กูขอยืมเสื้อก่อนนะ’
เซฮุนสบตากับคนตัวเล็กที่มองมาอย่างประหม่า และพอมั่นใจแล้วว่าสิ่งที่คิดมันเป็นความจริง เขาก็สามารถแยกออกเป็นฉาก ๆ ได้เลยว่าที่เคยอยู่ด้วยกัน... วันไหนคือแบคฮยอน วันไหนคือป๋ายเซียน
ซึ่งวันนี้โอเซฮุนก็ได้คำตอบแล้วว่าคนตรงหน้าเขาคือ...
“มาทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการหน่อยดีไหม ...ป๋ายเซียน?”
TBC
น้องซวยแล้วพี่มันรู้บ้างไหมเนี่ย ความแตกแล้วโว้ย
พี่แบคฮยอนทำอะไรอยู่กับคนขี้เก๊ก ตอนหน้าได้รู้กัน!
*** ตอนนี้บทยังกระจายไม่ทั่วถึงนะคะ เพราะสองแฝด+เซฮุนเป็นตัวเดินเรื่อง ชานยอลมีบทแน่นอนค่ะ 'เมื่อถึงเวลา' เขาจะออกมาแบบ--
ความคิดเห็น