คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : CHAPTER 10 :: Scent Marking
CHAPTER 10
Scent Marking
“บอกเลยนะ ไอ้ที่แกเรียกว่าตุ้งติ้งน้อยน่ะ มันบิ๊กบึ้มจนทำคนจุกมาแล้วนักต่อนัก”
ลู่หานยังไม่หยุดพูดตั้งแต่กลายร่างกลับมาเป็นมนุษย์ได้ เซฮุนเดินเข้าไปในรถพลางมองไปยังชายชุดหนังสีดำที่ยังคงตะโกนข่มจ่าฝูงหมาป่าอยู่ระเบียงหน้าบ้าน ใช้มือขวากำเป้าแน่น ๆ พร้อมเขย่าให้ดูสองที ซึ่งดูเหมือนว่าเจ้านายเขาจะไม่รู้จักความพ่ายแพ้ จึงทำหน้าอ้อร้อยียวนกวนประสาท จีบนิ้วชี้ขึ้นมาตรงระดับปลายคาง มองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนไปที่เป้ากางเกงแอนิเมจัสตนนั้น
“ไอ้หอกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
“เฝ้าบ้านดี ๆ นะเจ้าหญิงน้อย”
“เจ้าหญิงกับปู่ย่าตายายทวดพ่อแม่พี่ชายน้องชายแกเถอะว่ะคิมจงอิน” พูดจบก็ชูนิ้วกลางให้ชายหนุ่มผิวแทนที่กำลังจะเข้าไปในรถ
“ปกติเป็นแบบนี้เหรอ” เซฮุนหันไปถามอย่างไม่เข้าใจ ลู่หานก็ปากไว เจ้านายก็ไม่ยอมแพ้
“ตลอด ก่อนที่เขาจะถูกสั่งให้กลายเป็นแมว” วันนี้เซฮุนได้รู้แล้วว่าคิมจงอินไม่ใช่คนจริงจังอย่างที่ใคร ๆ คิด เพราะนอกจากการชอบพูดกวนประสาทเลขาอย่างเขาแล้ว เจ้านายก็ยังชอบเอาชนะคนอื่นด้วยการแกล้งอีกด้วย
ราว ๆ ครึ่งชั่วโมงที่เราสามคนนั่งคุยกัน เพื่ออธิบายให้มนุษย์เพียงคนเดียวได้รู้ว่าแอนิเมจัสคืออะไร ซึ่งลู่หานบอกว่าเรื่องราวเหล่านั้นไม่ได้มีเพียงแค่ในนิยาย กับมนุษย์ที่กลายร่างเป็นสัตว์ได้ตราบที่ใจต้องการ
ลู่หานใช้ชีวิตเป็นแอนิเมจัสมาเจ็ดร้อยปี เผ่าพันธุ์นี้ใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ทั่วไป เพียงแต่มีพลังพิเศษสามารถแปลงร่างเป็นสัตว์ได้และมีเวทมนตร์ แต่ก็ไม่ถึงขั้นเรียกว่าพ่อมดอย่างเต็มปาก
แอนิเมจัสจัดอยู่ในกลุ่มที่ไม่โดดเด่น แต่ก็ไม่ด้อยจนมองข้ามได้ เผ่าพันธุ์นี้อายุยืนและเอาตัวรอดเก่ง รู้วิธีลอบกัดศัตรูที่อยู่เหนือกว่าตน ซึ่งถ้ารักสงบ ไม่ปากดีล่อมือล่อเท้าอย่างเจ้าหญิงน้อย ก็สามารถอยู่ได้เป็นพัน ๆ ปี
ลู่หานค่อนข้างรักอิสระและชอบลุยไปทุกที่ แอนิเมจัสไม่สามารถฟื้นร่างกายได้หากบาดเจ็บ ทุกอย่างต้องใช้เวลาเหมือนมนุษย์ โดนยิงก็ตาย ไม่ได้เข้มแข็งไปกว่ากัน ซึ่งมีส่วนน้อยที่จะพลาดถูกทำร้าย เพราะแอนิเมจัสได้เปรียบเผ่าพันธุ์อื่นคือการเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์ชนิดใดก็ได้ เช่นแปลงเป็นนกบินหนีไป รวมถึงมดเพื่อย่อขนาดตนเองหลบหนีศัตรู ซึ่งใคร ๆ ต่างก็อิจฉา
แต่แอนิเมจัสมีกฎข้อหนึ่งที่น้อยคนนักที่จะรู้ คือถ้าหากบาดเจ็บอย่างสาหัส ร่างกายจะไม่สามารถดึงพลังออกมาเปลี่ยนตนเองเป็นสัตว์ชนิดอื่นได้ ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ลู่หานต้องอยู่กับครอบครัวตระกูลคิมมาจนถึงทุกวันนี้ สืบเนื่องจากเมื่อสี่ร้อยปีที่แล้วแอนิเมจัสหนุ่มสู้กับสัตว์ใหญ่ แต่ถูกลอบกัดจากฝูงที่อยู่ข้างหลังจนปางตาย แต่วินาทีนั้นมีฝูงหมาป่าออกมาช่วย เขาจึงรอดมาได้
แอนิเมจัสเป็นเผ่าพันธุ์ที่ซื่อสัตย์ การช่วยเหลือแต่ละครั้งย่อมมีการตอบแทน ซึ่งคำปฏิญาณของแอนิเมจัสที่มีอยู่สามข้อ หนึ่งคือคำว่ารัก ที่สามารถพูดได้เพียงครั้งเดียว และจะผูกมัดผู้นั้นไปจนวันตาย ซึ่งลู่หานยังไม่เคยใช้มันกับใคร ...สองคือคำสัญญา ชายหนุ่มได้ให้กับหมาป่าครอบครัวคิมแล้วว่าจะจงรักภักดีไปจวบจนชีวิตจะหาไม่
ลู่หานอยู่มาตั้งแต่รุ่นทวด แต่รูปร่างหน้าตากลับหยุดตั้งแต่ตอนอายุยี่สิบเจ็ด แอนิเมจัสจะแก่ไปตามความสาหัสทางร่างกาย ซึ่งจงอินเคยมีโอกาสได้เห็นเผ่าพันธุ์ลู่หานอยู่สามสี่ครั้ง บางคนแก่ชราเป็นเพราะได้รับบาดแผลนานับไม่ถ้วนจากสงครามข้ามเผ่าพันธุ์ และบางคนยังดูเหมือนเป็นเด็กมอปลาย ทั้งที่อายุมากกว่าร้อยปีแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นหมาป่า แวมไพร์ และแอนิเมจัส ทั้งสามเผ่าพันธุ์ต่างมีความลำบากในการใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ที่มีจำนวนมากกว่าเผ่าพันธุ์เหนือธรรมชาติ แม้ว่าหมาป่าจะอายุยืนไม่เท่าอีกสองเผ่าพันธุ์ แต่ความแก่เฒ่าก็ยังคงเป็นปัญหาสำหรับพวกเขาที่อยู่มาเป็นร้อย ๆ ปี
ลู่หานเลี้ยงทั้งคุณชายและเจ้านาย ดังนั้นคงไม่ต้องถามถึงความสนิทและความผูกพันที่แอนิเมจัสหนุ่มมีต่อครอบครัวตระกูลคิม แต่เนื่องจากเจ้าตัวออกปากว่าจะอยู่รับใช้และปกป้องฝูงหมาป่า การพูดมากต่อหน้ามนุษย์จึงเป็นปัญหา เจ้านายจึงสั่งให้ลู่หานกลายเป็นแมวบ้าน ซึ่งการจะกลับมาเป็นร่างจริงได้ก็ต่อเมื่อถูกใครเรียกชื่อจริง ซึ่งเซฮุนคือคนแรกที่เอ่ยชื่อชายคนนั้น
*
“ลำพังผมคนเดียวคงปกป้องคุณจากแวมไพร์หลายตัวพร้อมกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นการมีแอนิเมจัสแปลงร่างเป็นนก บินสังเกตการณ์ละแวกนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี”
“ไคอาจจะฆ่าคุณก่อนแล้วค่อยฆ่าผมก็ได้ ไม่คิดงั้นเหรอ?”
“ฆ่าก่อนฆ่าหลังก็ตายเหมือนกันหรือเปล่าครับเลขาโอ?” ชายหนุ่มขมวดคิ้วพร้อมยัดถุงเสื้อผ้าใส่ จนคนคนตัวผอมต้องย่อตัวเพื่อรับถุงเหล่านั้นไว้แนบอก
“ถามจริงนะ คุณกลัวตายไหม?” เซฮุนรีบเดินตามเจ้านายที่ออกจากร้านเสื้อผ้าไปโดยไม่รอเขา ทั้งคู่เดินทอดน่องไปตามฟุตปาธช่วงเย็น ซึ่งถ้าเทียบกับโซลแล้ว ที่นี่สงบและน่าอยู่กว่าเป็นไหน ๆ
“คำถามสิ้นคิดเหมือนถามว่าตายแล้วไปไหน”
“เอ้า ก็หาเรื่องคุยกันไง แก้ปากว่าง”
“เดี๋ยวก็บ่นหิวอีก” จงอินชำเลืองมองคนตัวผอมที่ทำหน้ามึนพร้อมหลุบสายตาลงมองหน้าท้องตนเอง ก่อนที่เขาจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นความรู้สึกหิวโหยของคนเป็นเลขา “ไม่ทันขาดคำ”
“ก็เรายังไม่ได้กินข้าวกันเลย ผมไม่สบายอยู่ด้วยเนี่ย”
“นั่งกินที่นี่มันเสี่ยง ผมไม่อยากให้ชาวบ้านตกใจถ้าเกิดเห็นหมาป่ากับแวมไพร์สู้กัน จนกระจกแตกร้านพังเละเทะ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการเชือดคอมนุษย์ที่กำลังมีไข้ ซึ่งในปากยังคงอัดแน่นไปด้วยของกิน”
ดูพูดเข้า มาเป็นภาพเลย -_-
“แค่คิดว่าคุณจะตายอย่างทรมาน ผมก็รู้สึกสงสารจนจับใจ”
เจ้านายปั้นหน้าปั้นตาดราม่า ถามจริงเถอะว่าคิมจงอินไม่คิดเหรอว่าตัวเองจะตายก่อนเขา ไม่เคยจะปลอบให้สบายใจว่าหมาป่าน่ะเก่งมาก แล้วเอาชนะแวมไพร์ได้ใส ๆ อยู่แล้ว แต่เจ้านายกลับเอาแต่พูดว่า ‘ตาย ตาย ตาย และตาย’ อยู่นั่น
“งั้นแวะซื้อของกินก่อนได้ไหมครับ”
“...” จงอินหยุดยืนอยู่กับที่ มองปลายนิ้วชี้ของอีกคนซึ่งกำลังชี้ไปยังโพจังมาจา ร้านอาหารข้างทาง ก่อนเจ้าตัวจะพยักหน้าย้ำเพื่อชวนเขาให้ไปด้วยกัน
คนเป็นเจ้านายปัดมือไล่อย่างรำคาญ ซึ่งเซฮุนคงห่วงเรื่องปากท้องมากเกินกว่าจะมาทำหน้ากวนใส่เขาเพราะไม่พอใจท่าทางที่แสดงออก สองมือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์เนื้อดี เอนหลังพิงกำแพงหินระหว่างรอ เพราะคิดว่าถ้าจะให้รอกลับไปกินที่บ้านคงต้องหูชาเพราะได้ยินโอเซฮุนบ่นว่าหิวตลอดทางระหว่างขากลับแน่ ๆ
ไม่นานนักคนตัวผอมก็วิ่งข้ามกลับมาพร้อมของกินและถุงเสื้อผ้าที่เขาซื้อให้ จนต้องยื่นมือเข้าไปช่วยถือเพราะรำคาญตา
“มีต๊อกปกกี โอเด้ง กับตีนไก่ คุณอยากกินอะไรเดี๋ยวผมป้อน”
“อย่าใช้คำว่าป้อน ขนลุก ไม่ -- ผมไม่กิน” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เบือนหน้าหลบไปอีกทางเมื่อคนเป็นเลขาคีบตีนไก่สีแดงเถือกมาให้เขา
“งั้นใช้คำว่าจะส่งมันเข้าปากคุณก็ได้”
“ผมบอกว่าไม่ไง” จงอินถลึงตามองอีกฝ่ายที่ยังยัดเยียดไม่เลิก
“แต่คุณยังไม่ได้กินอะไรเลยนะ กองทัพต้องเดินด้วยท้องสิ เกิดมีแวมไพร์โผล่มาตอนนี้คุณอาจจะพลาดท่าเพราะหิวจนไม่มีแรงสู้ก็ได้ หมาชอบขาไก่ด้วยนี่ ผมรู้ บ้านเพื่อนผมเลี้ยงหมา”
คนถูกเรียกว่า ‘หมา’ เป็นครั้งที่ร้อยถอนหายใจพลางเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม จงอินจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะก้มลงงับตีนไก่แล้วเคี้ยวให้คนเป็นเลขาดู
“ดุดันเหลือเกิน” เซฮุนทำตาปริบ ๆ ยิ้มแห้งตอนเห็นอีกฝ่ายกลืนมันลงคอ เพียงครู่เดียวเท่านั้นที่เซฮุนรู้สึกได้ถึงความหวังดีที่ตนเองมอบให้เจ้านาย ก่อนจะเห็นหายนะลาง ๆ ทันทีที่ใบหน้าและริมฝีปากอีกฝ่ายกำลังแดงเถือก
“อะ... อา!”
“เผ็ดเหรอ? เวรละ เดี๋ยวผมวิ่งไปซื้อน้ำให้!” เซฮุนลนลาน หันซ้ายขวาแล้ววางถ้วยกระดาษทั้งหมดใส่มือคนผิวแทน ก่อนจะวิ่งไปซื้อน้ำด้วยความเร็วทั้งหมดที่เขามี
ไม่ถึงสามนาทีขายาวก็กลับมาหยุดอยู่ที่เดิม เพื่อพบว่าเจ้านายกำลังค่อย ๆ อาการดีขึ้นตามลำดับโดยที่ยังไม่ได้ดื่มน้ำสักอึก ซึ่งเซฮุนคิดว่าคงเป็นผลจากความสามารถของหมาป่าที่ฟื้นฟูร่างกายตัวเองได้ แต่สายตาคู่นั้นที่มองมาน่ะ... ท่าทางว่าจะไม่จางหายไปกับความเผ็ด
“สิ่งที่คุณควรรู้ไว้วันนี้คือผมไม่ชอบรสเผ็ด”
“โธ่ มันก็ไม่ขนาดนั้นไหม คุณไม่เคยกินเหรอ”
“ไม่”
“งั้นถือว่าเปิดโลก... อุ่ย” เซฮุนผงะกับสีหน้าเจ้านายซึ่งไม่ตลกไปกับเขา “งั้นกินโอเด้งแทน อันนี้ไม่เผ็ดแน่นอน มา เดี๋ยวผมป้อน”
“ถ้าหิวก็กินเองสิ จะพยายามป้อนผมทำไม?” จงอินมองค้อน แต่คนเป็นเลขากลับไม่สะทกสะท้าน
“แบ่งกันไง ยายผมบอกว่าถ้ากินคนเดียวคือไอ้เห็นแก่ตัว”
“แต่ก็ช่วยดูด้วยว่าคนข้าง ๆ เขาอยากกินด้วยไหม?”
“ผมรู้ว่าคุณหิว”
“ผมไม่ได้หิว”
โคร่กกกก...
“...”
“...”
ทั้งคู่สบตากันท่ามกลางเสียงรถซึ่งขับผ่านไปเป็นระยะ ก่อนคนช่างพูดจะหลุดขำออกมาจนเห็นดวงตาคู่นั้นที่หยีจนเป็นสระอิ คิมจงอินรู้สึกเสียฟอร์มอย่างบอกไม่ถูกกับเสียงกระเพาะที่มันกล้าหักหน้าเขา ตอนนี้โอเซฮุนกำลังพูดอะไรอยู่นะ? คนเป็นหมาป่ารู้สึกเหมือนหูทั้งสองข้างมันกำลังร้อน ๆ เพราะอีกฝ่ายเอาแต่ยิ้มตอนพูด และหยิบไม้เสียบโอเด้งขึ้นมาป้อนเขาที่ถือของไว้เต็มไม้เต็มมือ
“ถ้าจะกินเองก็ต้องเอาถุงมาให้ผมถือ แต่ถ้าผมถือถุง ผมก็ไม่มีมือกิน นั่นหมายความว่าคุณต้องป้อนผม เลือกเอาว่าจะยังไง”
“...คุณนี่มัน” จงอินขยับปากบ่นเบา ๆ ว่า ‘ตัวแสบ’ แต่อีกฝ่ายกลับยักคิ้วกวน ซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นว่าเขายังคงถือถุงต่อไป และอ้าปากรับโอเด้งที่อีกฝ่ายป้อนแม้ว่าจะไม่เต็มใจนัก
สุดท้ายวันนี้คิมจงอินก็ได้เรียนรู้ ว่าจ่าฝูงอย่างเขามีจุดอ่อนเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง ...ซึ่งนั่นก็คือรอยยิ้มของโอเซฮุน
*
เวลาผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ที่ต้องอยู่กับเจ้านายและแอนิเมจัสในบ้านกลางป่า ช่วงแรกยอมรับว่าอึดอัดและรู้สึกไร้ค่าที่ต้องนั่ง ๆ นอน ๆ โดยไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่ากิน นอน ดูทีวี นั่งฟังลู่หานโม้เรื่องเมื่อหลายร้อยปีก่อน และลับฝีปากกับเจ้านาย กระทั่งคุณคยองซูกับคุณไอรีนมาที่นี่ เพื่อบอกข่าวเรื่องแวมไพร์ให้รู้ว่าคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว
สายของคุณไอรีนบอกว่าตอนนี้เหล่าเพื่อนของไคมารวมตัวกันที่โซลแล้วส่วนหนึ่ง อีกทั้งเจ้าตัวยังส่งจดหมายไปที่บ้าน เพื่อหัวเราะเยาะกับความตื่นตูมของหมาป่าที่พามนุษย์หลบหนีไป แสดงถึงความปอดแหกและความหวาดกลัวที่มีต่อเหล่าแวมไพร์จนน่าสมเพช
ไคบอกว่าจะยอมปล่อยเซฮุนก็ได้ถ้าหากจงอินยอมมาตามนัด และสู้กันตัวต่อตัวจนกว่าจะรู้แพ้รู้ชนะ และถ้าฝั่งหมาป่าแพ้ ศพต่อไปที่ตามจ่าฝูงไปอยู่ในหลุมก็คือบิดาผู้ให้กำเนิด ซึ่งไคคงไม่ได้พูดเล่น
หลังจากใช้เวลาคิดและหักลบความเป็นไปได้ จงอินจึงตัดสินใจพาเซฮุนกลับเกาหลีเพราะคิดว่าฝั่งแวมไพร์คงไม่ลงทุนโกหกเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงเพราะต้องการตัวเลขาของเขาแน่ และถึงจะมีความคาใจอยู่ แต่ถ้าไคต้องการเผชิญหน้ากัน... คิมจงอินก็พร้อมทุกเมื่อ
“ที่ต้องระวังตอนนี้ไม่ใช่แค่นัมแทฮยอนกับซงมินโฮ แต่เป็นพวกลิ่วล้อเด็กที่รอเวลาลอบกัดฝั่งเรา” ไอรีนพูดทำลายความเงียบ ขณะขับรถไปบนถนนโล่งซึ่งเป้าหมายคือโซล
“อาจจะต้องเพิ่มการคุ้มกันให้พ่อกับจงอิน ทั้งในละแวกบ้าน และการเดินทางออกไปข้างนอก มันน่าหงุดหงิดจริง ๆ ที่พ่อฉันไม่ยอมอยู่เฉย ๆ” คยองซูนึกเป็นกังวล แม้ว่าท่านจะเป็นจ่าฝูงตั้งแต่กำเนิดเฉกเช่นเดียวกับจงอิน แต่หลังจากถ่ายทอดตำแหน่งและมอบพลังให้กับพี่ชายที่ต้องสานต่อทุกอย่าง ท่านจึงสูญเสียพลังไปจนปัจจุบันเป็นได้เพียงนักรบ
“ไคก็เป็นพี่ชายของนายเหมือนกัน”
“สำหรับคนที่คิดฆ่าคนในครอบครัว ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะทำใจยอมรับเรียกคนพรรค์นั้นว่าพี่ได้” คยองซูตอบเสียงเรียบ เขายังจำแววตาของไคได้ แววตาคู่นั้นที่มองเห็นเขาเป็นศัตรู มากกว่าจะมองว่าเป็นคนที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน “เธอจำกลิ่นของเซฮุนได้ไหม?”
“จำไม่ได้หรอก ฉันไม่ได้สนใจเขานี่” ดวงตาคู่สวยมองกระจกหลังเป็นระยะ เพื่อเช็กดูให้แน่ใจว่าจ่าฝูงและเลขาในรถอีกคันไม่ได้ถูกลอบทำร้ายระหว่างที่เธอกับคยองซูกำลังคุยกัน
“กลิ่นเขาเปลี่ยนไป”
“เหรอ” ไอรีนแค่นหัวเราะ หญิงสาวกำลังรู้สึกหัวเสียแปลก ๆ กับคำตอบของเพื่อนสนิท ซึ่งเธอขอโบ้ยว่าเป็นเพราะใกล้ถึงวันพระจันทร์เต็มดวง ถึงได้รู้สึกอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ง่ายกว่าปกติ “กลิ่นเขาเป็นยังไงล่ะ?”
“ก่อนหน้านี้เป็นกลิ่นมนุษย์” คยองซูเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมองรถอีกคันผ่านกระจกมองหลัง “แต่ถ้าเป็นตอนนี้ เธอจะได้กลิ่นพี่ชายของฉันบนตัวเซฮุน”
“...”
ไม่ต้องอธิบายมากไปกว่านี้จ่าฝูงสาวก็สามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ ไอรีนหันไปสบตากับเพื่อนสนิทที่มองมาราวกับจะย้ำว่าสิ่งที่กำลังอยู่ในหัวเธอในตอนนี้นั้นเป็นเรื่องจริง เมื่อนึกถึงการแสดงความเป็นเจ้าของด้วยการปล่อยกลิ่นใส่ ซึ่งหมาป่าจะไม่เข้าไปยุ่งกับผู้นั้น
“จงอินอาจจะทำเพื่อปกป้องเลขาโอก็ได้”
“จากหมาป่าด้วยกันน่ะเหรอ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถาม เพราะเรื่องปล่อยกลิ่นเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของใช้ได้กับเรื่องคู่เท่านั้น ซึ่งจ่าฝูงสาวตอบไม่ได้ เพราะเธอรู้อยู่แก่ใจ และการคาดเดาซี้ซั้วแบบนั้นก็ไม่ใช่นิสัยของเธอนัก
“ก็ฉันเห็นนายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตอนคุยกับเลขาโอ”
“เขาเป็นคนตลก และฉันก็ไม่ใช่หมาป่าตายด้าน จะแปลกอะไรถ้าคนเราจะหัวเราะตอนที่รู้สึกว่าเรื่องนั้นมันน่าขำ” เขาหันไปมองเสี้ยวหน้าของหญิงสาวที่กำลังหัวเราะ ขณะทอดสายตามองไปยังถนนเบื้องหน้า โดยมีรถของจงอินขับตามอยู่ข้างหลัง
“ยิ้มบ่อย ๆ ก็ดี”
*
เซฮุนกลับไปทำงานได้อย่างปกติ แม้จะกลัวจนต้องหันซ้ายขวาอยู่ตลอด แต่การมีนักรบหมาป่าสาวที่อยู่ในฝูงเดียวกับคุณไอรีนมาคอยตามดูแลอยู่ห่าง ๆ ก็ทำมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีพลังไปสู้กับสิ่งเหนือธรรมชาติโล่งอกขึ้นบ้าง ถามว่าเกรงใจและอึดอัดไหม ก็คงตอบว่าใช่ แต่จะให้ทำไงได้ โอเซฮุนก็กลัวตายเหมือนกัน
ได้ยินข่าวมาว่านายท่านและคุณผู้หญิงบินไปดูไบ ซึ่งเป็นเรื่องดีที่แวมไพร์จะตามไปไม่ได้ และโชคร้ายอาจมาตกที่เจ้านายที่คงต้องเจอผลลัพธ์เรื่องนี้เต็ม ๆ
ขายาวเดินไปตามลานจอดรถตอนหนึ่งทุ่มพร้อมสูทนอกซึ่งพาดอยู่กับท่อนแขน รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่วันนี้ไม่เห็นนักรบหมาป่าสาวเดินตาม แต่นั่นคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ บางทีเธออาจจะอยู่ส่วนไหนส่วนหนึ่งที่เขามองไม่เห็นก็ได้
เซฮุนเริ่มชินที่ได้กลับมาทำงานอีกครั้งจนเกือบลืมเรื่องแวมไพร์ไป เพราะงานมากมายที่มีให้ทำตลอดจนแทบไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่น ตื่นตอนเช้า กินข้าวตอนเที่ยง ทำงาน และกลับบ้านในตอนเย็น
แต่ดูเหมือนว่าฝ่ายเป็นแวมไพร์จะรู้ทันว่าเขากำลังจะลืม ถึงได้กลับมาเตือนความจำให้โอเซฮุนรู้สึกว่าชีวิตมนุษย์ที่มีหมาป่าคอยปกป้องก็ไม่ได้ปลอดภัยเสมอ เมื่อเห็นว่าตอนนี้ชายหนุ่มตัวสูงผมดำไถอันเดอร์คัท กำลังเอาปืนจ่อหัวหมาป่าสาวที่คอยติดตามเขาอยู่
“...”
เซฮุนค้างอยู่ในท่าเสียบกุญแจ เขารู้สึกได้ว่าตอนนี้มีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ที่คงไม่ได้คิดไปเอง คนตัวผอมกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ เกร็งตัวเพราะความกวาดกลัวกับภัยที่มาโดยไม่มีโอกาสได้ตั้งตัวซึ่งกำลังเลื่อนเข้ามาใกล้จนรู้สึกได้ถึงไอเย็น
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ดูมีเนื้อมีหนังขึ้นนะ พวกหมาป่าคงเลี้ยงดูคุณเป็นอย่างดี”
“คุณจะทำอะไรเธอ?”
“หมายถึงนักรบกระจอก ๆ ที่คิดว่าจะช่วยอะไรคุณได้น่ะเหรอ?” เจ้าของเสียงมองไปยังเพื่อนสนิทที่ยืนแค่นยิ้มอยู่กลางลานจอดรถ พร้อมเอาปืนย้ำขมับหญิงสาวที่เลือดโชกตั้งแต่ต้นคอเพราะถูกกัด
“อย่าทำแบบนี้ ผมขอร้อง”
“แล้วคุณอยากให้ผมทำแบบไหนล่ะ เซฮุน?”
รู้สึกได้ถึงลมหายใจของคนข้าง ๆ จนต้องหดคอลง เซฮุนหันไปสบตากับชายหนุ่มผิวแทนผู้มีใบหน้าไม่ต่างจากเจ้านายเลยสักนิด แต่รอยยิ้มมุมปากและแววตาที่มองมานั้นมันทำให้เขาแยกผู้ชายสองคนออกจากกันได้ไม่ยาก
แม้ว่าคิมจงอินจะชอบทำเหมือนว่ารำคาญ แต่ผู้ชายคนนั้นก็ไม่เคยมองเขาอย่างนี้
“หึ... มีแต่กลิ่นหมา”
น้ำเสียงติดหงุดหงิดมาพร้อมคิ้วซึ่งขมวดเข้าหากัน แวมไพร์หนุ่มเอนหลังพิงกับเบาะรถพลางถอนหายใจ ชำเลืองมองคนตัวผอมซึ่งยังคงนิ่งงันอยู่ท่านั้น จนเขาต้องเอื้อมไปจับมือบิดกุญแจเพื่อสตาร์ทรถ
“เดี๋ยวก็หายใจไม่ออกกันพอดี”
“ก็คงงั้น แต่ต้องไม่ใช่เพราะขาดอากาศในรถแน่ ๆ” น้ำเสียงสั่นเครือแต่ไม่ยอมแพ้ของเซฮุนทำไคหลุดยิ้มออกมา ชายหนุ่มพลิกหันข้าง พร้อมเลื่อนตัวเข้าหาคนที่กำลังสู้เขาแม้จะกลัวจนไม่กล้าหันมาสบตาตรง ๆ
“ใครจะรู้ ผมอาจทำให้คุณขาดอากาศจนตายเพราะหายใจไม่ทันก็ได้” แวมไพร์หนุ่มคลอเคลียจมูกลงบนซอกคอขาว แม้จะยังได้กลิ่นหมาป่าที่แสดงความเป็นเจ้าของ แต่มันก็ไม่ใช่อุปสรรคนัก ถ้าหากเขาจะ...
ทำรอย
“อย่า!”
โอเซฮุนไม่ได้ตัวเล็ก บอบบางจนสู้ใครไม่ได้ แต่ต้องไม่ใช่แวมไพร์ที่มีพลังเหนือมนุษย์อย่างไค คนตัวผอมพยายามดิ้นทุรนทุรายในที่แคบบนรถ แต่การรุกรานของอีกฝ่ายก็หนักหน่วงเกินกว่าที่จะสู้แรงได้ ร่างของเขาแนบชิดกับประตูด้านซ้าย หอบหายใจฮัก พยายามผลักอีกฝ่ายออกแต่ก็ไม่เป็นผล
หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ รู้สึกหวาดกลัวอยู่ทุกขณะว่าคมเขี้ยวจะฝังลงมาเมื่อไหร่ แต่สุดท้ายทุกอย่างก็จบลงแค่ความเจ็บซึ่งเกิดจากการดูดคอ มนุษย์ที่กำลังถูกคุกคามตัวสั่นเกร็ง มองใบหน้าคมของอีกฝ่ายที่เพิ่งถอนริมฝีปากออก พร้อมใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือเช็ดริมฝีปากตนขณะจับจ้องสายตาอยู่กับซอกคอเขา
“เกินไปแล้ว โอเซฮุน”
“...!!!” คนตัวผอมรีบจับต้นคอตนเอง ก่อนจะพบว่าไม่มีคราบเลือดติดออกมาตามฝ่ามืออย่างที่กลัว
“คุณไม่กลัวฝูงหมาป่าที่ฉีกเนื้อกินสด ๆ แต่กลับกลัวแวมไพร์ผมที่ดื่มแค่เลือด น่าน้อยใจชะมัด”
“เพราะพวกเขาไม่เคยทำร้ายผมต่างหาก”
“เหรอ? แล้วรอยแผลเป็นที่หลังคุณล่ะ?”
“...”
“ถ้าคุณโกรธที่ถูกผมดูดพลังชีวิตวันนั้นล่ะก็... อยากได้คำขอโทษใช่ไหม?” น้ำเสียงอ่อนโยนมาพร้อมหลังมือที่ลูบแก้มขาวซึ่งเบี่ยงหลบอย่างรังเกียจ “ไม่เอาน่า... ตอนนั้นผมก็แค่อยากรู้ว่าคุณกำลังปิดบังอะไรอยู่หรือเปล่า”
“...”
“แต่ตอนนี้ผมรู้แล้ว และผมอยากให้คุณยอมไปด้วยกันดี ๆ” แวมไพร์หนุ่มเท้ามือกักกั้นคนตัวผอมไว้ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงได้กลิ่นหมาป่าตามตัวเซฮุน ซึ่งมันคงเป็นแผนของคิมจงอิน
น่าหงุดหงิดเป็นบ้า
“ผมจะไปกับคุณเพื่ออะไร ทำไมถึงไม่ฆ่าผมเหมือนกับคนอื่น ๆ บอกมาสิ”
“ผมจะยังไม่ตอบคุณวันนี้หรอก” ชายหนุ่มยิ้ม พลางใช้นิ้วหัวแม่มือคลึงริมฝีปากล่างอีกฝ่ายที่น่าบดขยี้ให้เลือดไหล เขาอยากรู้ว่ากวาดลิ้นเลียเลือดจากริมฝีปากโอเซฮุนจะหวานหอมสักแค่ไหน มันคงดีมากเลยทีเดียว
“งั้นก็อย่าหวังว่าผมจะไปกับคุณ” เสียงของคนตัวผอมยังคงสั่น ทั้งคู่สบตากันท่ามกลางความเงียบ ก่อนไคจะส่งสัญญาณมือเพื่อบอกเพื่อนสนิทให้ปล่อยตัวหมาป่าสาวที่อาการสาหัสเพราะพิษจากคมเขี้ยวแวมไพร์ลง
“ก็พอจะรู้อยู่ว่าคุณคงไม่ไปด้วย”
“...”
“เดี๋ยวคุณก็จะรู้เองว่าต้องการใครมากกว่ากัน ระหว่างผมหรือลูกหมาตัวนั้น”
ไคไม่สามารถหลบหนีความรู้สึกได้อีกต่อไปแล้ว ระหว่างที่เซฮุนซ่อนตัวอยู่ในกะลาของฝูงหมาป่าตระกูลคิม เขาก็ฝันถึงคนตัวผอมอยู่ตลอดจนไม่เป็นอันทำอะไร ในหัวของชายหนุ่มมีแต่ภาพอีกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นตอนเพิ่งตื่น ตอนหัวเราะ ทุกอิริยาบถนั้นฝังอยู่ในหัวเขาแม้ว่าจะเป็นทั้งที่เห็นเองและในจินตนาการ จนเขาเริ่มสนใจโอเซฮุนมากเข้าไปทุกที
และคาดว่าถ้าอยู่ด้วยกันให้มากกว่านี้คงกลายเป็นความรักได้อย่างไม่ยาก เพราะไคยอมรับแล้วว่าการเห็นอีกฝ่ายในความฝันและอ่านความคิดไม่ออกนั่นคือสัญญาณของการเป็นคู่แท้
และตอนนี้อุปสรรคในทุก ๆ เรื่องของเขาก็คือหมาป่าอย่างคิมจงอิน
TBC
ใคร ๆ ก็รักกกกกกกกกกก
#ให้ทายว่าถ้าเจ้านายเห็นรอยแล้วจะทำไง
ความคิดเห็น