คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : CHAPTER 14 :: Destiny
CHAPTER 14
Destiny
หิมะแรกในฤดูหนาวกับมืออุ่น ๆ ของใครอีกคน เรานั่งมองหิมะร่วงหล่นจากท้องฟ้าในรถ กระทั่งมนุษย์ที่มีความอดทนน้อยกว่าหมาป่าผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบเจ้านายพิงศีรษะหลับอยู่กับประตูตรงเบาะหลัง ส่วนเขาซบอยู่กับอกแกร่งของผู้ชายตัวเท่า ๆ กันแต่กลับแข็งแรงและให้ความอบอุ่นได้ดีกว่าผ้าห่มเสียอีก
เราจูบกันอีกครั้ง... มันแทบจะทันทีตอนที่เจ้านายตื่นเลยล่ะ เซฮุนยังคงใจเต้นแรง ถึงจะไม่เท่าครั้งแรกแต่ก็ทำให้ร้อนผ่าวไปทั้งหน้าได้เหมือนกัน ไม่มีใครพูดว่า ‘ผมชอบคุณ’ ออกมา เพราะวัยอย่างเราได้ก้าวผ่านจุดที่ต้องบอกความรู้สึกให้อีกฝ่ายรู้เหมือนเด็ก ๆ และโอเซฮุนเชื่อว่าเจ้านายคงไม่ใช่คนชอบพูดเลี่ยน ๆ นัก ถ้าไม่นับสาว ๆ ที่เคยควงน่ะนะ
คิดแล้วก็หมั่นไส้แปลก ๆ
เซฮุนยังคงไปทำงานอย่างปกติในเช้าวันจันทร์ เขาได้รับข้อความจากอี้ชิงว่าอาการของไคหายดีแล้ว และพร้อมจะกลับไปวุ่นวายชีวิตเขาต่อโดยไม่รู้สึกผิดใด ๆ ทั้งสิ้น เซฮุนไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเจ้านาย เพราะเขาก็อยากให้ทั้งคู่สู้กันให้ตายไปข้างในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าอย่างสมศักดิ์ศรี ดีกว่าการปล่อยให้หมาป่าขมวดคิ้วทำหน้ามึนตึงเพราะรู้เรื่องน่าหงุดหงิดของพี่ชายต่างแม่
“ได้แล้วจ้ะ ม็อคค่าร้อน ๆ”
“อะ ขอบคุณครับพี่เยจิน” คนตัวผอมยิ้มพร้อมโค้งศีรษะรับแก้วกาแฟจากหญิงสาวที่อุตส่าห์หวังดีซื้อมาให้เขาถึงโต๊ะทำงาน
“ไม่เป็นไรน่า เห็นนายนั่งอยู่ตรงนี้แล้วก็ชื่นใจ”
“ชื่นใจ?” คนฟังเลิกคิ้วพร้อมยกกาแฟขึ้นดื่ม เธอจึงพยักหน้ากลั้วหัวเราะ
“พี่คงรู้สึกแย่พิลึก ถ้าเกิดว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนี้เป็นเลขาคนใหม่”
“โธ่ พี่ครับ” เซฮุนหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้ นั่นสินะ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พนักงานที่นี่เคยชินกับการเปลี่ยนเลขาหน้าห้องซีอีโอสุดฮอต
“ที่อยู่ได้นานขนาดนี้ก็เพราะนายเป็นผู้ชายสินะ ไม่งั้นบอสคงงาบไปแล้ว...” ประโยคนี้เบาลงจนเหมือนกระซิบ คนฟังชะงักปากแก้วกาแฟแตะอยู่ที่ริมฝีปาก ก่อนจะสบตากับหญิงสาวซึ่งกำลังมองมาอย่างใคร่รู้
เพราะว่าเป็นผู้ชายเหมือนกัน...
‘ผมทำได้ทุกอย่าง ถ้ามันทำให้คุณไม่ใช่คู่ชีวิตของเขา’
RRRRrrrrr!!!
เลขาหนุ่มยิ้มเจื่อนพลางยกนิ้วขึ้นขอเวลานอก ซึ่งเยจินก็ยืนกอดอกพร้อมพยักหน้า และคนในสายก็ทำให้โอเซฮุนและพนักงานสาวได้รู้ว่าบทสนทนาระหว่างเขาและเธอได้สิ้นสุดลงแล้ว
( เข้ามาพบผมข้างใน )
*
เป็นครั้งแรกที่เซฮุนรู้สึกว่าการเดินเข้ามาในห้องกว้างของเจ้านายมันต่างไปจากทุกครั้ง ทั้งที่บรรยากาศโดยรอบมันหนาวจนมือเย็นไปหมด แต่หน้าของเขากลับร้อนผ่าวเพียงเพราะรู้ว่าจะได้เจอหน้าเจ้านายเป็นครั้งที่สองของวัน หลังจากที่เรามีจูบแรกกันไปเมื่อคืน
ขายาวก้าวเข้าไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงาน จดจ้องสายตาอยู่กับเก้าอี้ราคาแพงที่หันหลังให้ หมาป่าที่โหยหาการออกล่ากำลังให้ตึกสูงใจกลางกรุงโซลยึดเหนี่ยวจิตใจอยู่หรือไงนะ... เซฮุนคิดในใจ อาจจะสักครึ่งนาทีเห็นจะได้ที่เขาใช้เวลาไปกับการยืนรอ ก่อนจะส่งเสียงเรียก ‘เจ้านาย’ เบา ๆ แต่ก็ได้รับเพียงความเงียบกลับคืนมา
คนตัวผอมขมวดคิ้ว ก้าวขาเข้าไปใกล้พร้อมชะเง้อหน้ามอง และก็ได้คำตอบเป็นความว่างเปล่าเมื่อไม่มีใครนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้น
“อรุณสวัสดิ์”
“คุณพระช่วย!” เลขาหนุ่มสะดุ้งสุดตัวพลางหันไปมองใบหน้าคมของอีกคนที่ไม่รู้ว่าเข้ามายืนซ้อนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ “อรุณสวัสดิ์อะไรของคุณตอนนี้”
“ฮะ... ก็เมื่อเช้าผมไม่ได้ทักคุณในลิฟต์นี่ครับ” หมาป่าหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนจะจับเอวคนตรงหน้าให้พลิกหันมาสบตากันตรง ๆ “ที่จริงผมได้ยินเสียงคุณคุยกับสาวฝ่ายขาย ดูกระอักกระอ่วนที่จะตอบ ก็เลยทำตัวเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวสักหน่อย”
“เมื่อกี้ผมเกือบซัดหน้าคุณแล้ว” เซฮุนกำหมัดขึ้นให้ดู ซึ่งเขาไม่รู้ว่าควรจะกลัวหรือกลั้นขำดี?
“ขวัญอ่อนอะไรขนาดนั้น”
“เพราะคุณชอบมาเหมือน --” คนตัวผอมอ้าปากค้างทั้งที่ยังพูดไม่จบ ทั้งคู่สบตากันระหว่างรอคำตอบที่ชัดเจน
“...เหมือน?”
“...”
“ไคเหรอ?”
แม้บนใบหน้าเจ้านายจะมีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่ แต่เขาก็ไม่รู้เลยว่าภายใต้ดวงตาคู่นั้นกำลังคิดอะไรถ้าเป็นเรื่องของพี่ชายต่างแม่ที่พร้อมจะฆ่ากันให้ตายได้ทุกเมื่อ
เซฮุนสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกรวบตัวเข้าไปโดยไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากของเราเกือบชนกันอยู่แล้ว เจ้านายนึกครึ้มอะไรขึ้นมา ที่นี่คือบริษัทนะ
“โกรธเหรอ”
“หืม?”
“ที่ผมเกือบพูดถึงไค มันทำให้คุณไม่พอใจหรือเปล่า” แทบจะเป็นไม่กี่ครั้งที่โอเซฮุนจะยอมโอนอ่อนกับคนตรงหน้า ทั้ง ๆ ที่ปกติจะเถียงอยู่ตลอด แต่เพราะเรื่องเมื่อคืนที่ทำให้ความรู้สึกของเราชัดเจนขึ้น เขาจึงเป็นกังวลถ้าหากจะทำให้เจ้านายไม่พอใจ
“ถ้าใช่ คุณจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นด้วยวิธีไหนล่ะเซฮุน?” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เพ่งมองมาอย่างคาดหวังคำตอบ ซึ่งคนเป็นเลขาที่อยู่ในสภาวะสมองกลวงถึงกับคิดหนัก
“ผมจะรู้เหรอ แต่ที่พูดถึงนั่นไม่ได้หมายความว่าคิดถึงเขา ที่รู้สึกอย่างนั้นก็เพราะถูกไคคุกคามอยู่บ่อย ๆ”
“ครับ ว่าไป”
“ว่าอะไรอีกเล่า ผมไม่ต่อยคุณก็ดีแล้วไง” คนตัวผอมกำหมัดโชว์อีกครั้ง จงอินยิ้มขำพลางโน้มใบหน้าลงไปจูบกำปั้นอีกคน ก่อนจะใช้มืออีกข้างคว้าข้อมือเขาไว้ราวกับกลัวว่าโอเซฮุนจะชักมือกลับ
คนถูกไล่ต้อนด้วยจูบยืนนิ่งเหมือนโดนสาปให้กลายเป็นหิน เขามองใบหน้าคมของอีกคนที่กำลังคลอเคลียหลังมือเขา กดจูบลงไปซ้ำ ๆ โดยไม่สนใจว่าโอเซฮุนจะเขินสักแค่ไหน ให้ตายเหอะ... ดวงความรักของหนุ่มราศีเมษชักจะตรงเกินไปแล้ว
‘เมื่อไหร่ที่ตกอยู่ในห้วงของความรัก โลกของคุณจะมองเห็นแค่เขา... คน ๆ นั้นที่จะเข้ามาทำให้คุณยอมทำในเรื่องที่ไม่ชอบ’
“เจ้านาย พะ -- พอก่อน นี่บริษัทนะ”
“ช่างหัวบริษัทเถอะ ผมทนไม่ไหวแล้ว” เซฮุนไม่แน่ใจว่าเสียงแหบพร่าที่มาพร้อมแววตาจ้องจะงาบเขากับตึกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอะไรที่ตื่นเต้นมากกว่ากัน บ้า บ้า บ้า! ถ้าเกิดคนที่อยู่ตึกนั้นมองเห็นจะทำไง! มันก็จริงหรอกที่ตรงนี้ค่อนข้างสูงและฝั่งนั้นก็คงไม่มีเวลาว่างมาใส่ใจว่าห้องกระจกนี้กำลังทำอะไรอยู่
“อื้ม!”
คนตัวผอมยืนห่อไหล่ ส่งเสียงอื้ออึงในลำคอทันทีที่ถูกจู่โจมด้วยจูบของคนตรงหน้า เซฮุนพยายามเบี่ยงตัวหลบพร้อมมองไปยังตึกฝั่งตรงข้าม แต่อีกฝ่ายก็บล็อกหน้าเขาให้หันกลับมา แล้วจูบอีกครั้งอย่างเอาแต่ใจเหมือนเด็ก ๆ
“เจ้านาย! อะ!”
ร่างของเขาถูกดันให้ถอยหลังจนต้องนั่งลงบนโต๊ะทำงานขนาดกว้าง ข้าวของที่เคยวางอย่างเป็นระเบียบตกลงพื้นกระจัดกระจายหากแต่ไม่มีใครนึกสนใจว่ามันจะสำคัญและราคาแพงสักแค่ไหน หมาป่าหนุ่มเอาแต่ใจด้วยการขบริมฝีปาก สลับกับดูดดุนลิ้น พร้อมใช้มือข้างหนึ่งคว้าท้ายทอยเขาไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้อีก
ตอนนี้หน้าหนาวจริง ๆ เหรอ ทำไมโอเซฮุนถึงรู้สึกร้อนเหมือนจะระเบิดออกมาอยู่รอมร่อ จากที่เคยพยายามผลักไสเพราะจิตสำนึกมันบอกว่าเราจะจูบกันสักกี่ครั้งก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ที่นี่
แต่แล้วยังไงล่ะ สุดท้ายโอเซฮุนก็ยอมหลับตาอยู่นิ่ง ๆ ให้เจ้านายจูบอยู่ดี
“ผมคิดถึงคุณ”
“...”
ทันทีที่ถอนจูบออก คิมจงอินก็ฮุคหมัดหนัก ๆ ใส่เลขาอย่างเขาด้วยคำพูดชวนให้ใจเต้นและสายตาที่มองมาอย่างมีความหมาย เซฮุนเลียริมฝีปากคลายความขลาดอาย ขณะมองหน้าชายหนุ่มผิวแทนที่กำลังสื่อให้รู้ผ่านทางสายตาว่าเจ้าตัวไม่ได้เวอร์ไปกว่าที่พูดเลย
“ทำเหมือนไม่ได้เจอกันนานแล้ว”
“ความคิดถึงมันขึ้นอยู่กับเวลาหรือไง แค่ไม่เห็นคุณห้านาทีผมก็คิดถึงแล้ว”
“...”
“คุณก็เหมือนกัน” จงอินยิ้มขณะสบตากับคนเป็นเลขาที่กำลังพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด
“ผม... ทำไม?”
“คุณก็คิดถึงผม เซฮุน” ชายหนุ่มผิวแทนเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายที่ค่อย ๆ เอนหลังถอยไปจนต้องใช้มือยั้งไว้ก่อนร่างของตนจะเอนลงไปนอนราบบนโต๊ะ “และจูบของผมก็ทำให้คุณรู้สึกดีด้วย”
“พูดอะไรเนี่ย!” คนถูกจับได้โพล่งออกไปทั้งที่ใบหน้ากำลังขึ้นสีจัด ซึ่งเจ้านายคนเอาแต่ใจไม่ได้โกรธเรื่องไคเลยสักนิด หนำซ้ำยังยิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วก้มลงมาหอมแก้มเขาเสียฟอดใหญ่อีก
“ผมชอบกลิ่นของคุณตอนนี้”
“...”
“กลิ่นความสุข” ชายหนุ่มละใบหน้าออกมาเล็กน้อยเพื่อสบตากับมนุษย์ที่เข้ามามีผลกระทบต่อชีวิตและความรู้สึกของเขา “ที่เกิดขึ้นเวลาอยู่กับผม”
ไม่รู้หรอกว่ากลิ่นแบบนั้นเป็นอย่างไร แต่คำพูดของเจ้านายก็ไม่ได้ไกลไปกว่าความรู้สึกของเขาตอนนี้นัก ถ้าให้เปรียบ มันก็คงเหมือนดอกไม้ที่กำลังค่อย ๆ เติบโต และเซฮุนเชื่อว่าอีกไม่นานมันคงเบ่งบานอย่างสวยงามเพราะผู้ชายคนนี้
“ผมเริ่มอยากรู้แล้วว่าตอนนี้กลิ่นของคุณเป็นยังไง”
ชายหนุ่มผิวแทนอมยิ้ม มองอีกคนที่ไม่กล้าสบตากับเขาหลังจากปล่อยให้คำพูดน่ารักหลุดออกมา จงอินจับมือคนตรงหน้าวางลงบนแก้มตนเองพร้อมโน้มตัวเข้าหาคนเป็นเลขาที่นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา
“ลองดูสิ แล้วบอกผมว่าคุณได้กลิ่นแบบไหน”
“...”
หัวใจเต้นตึกตักจนเหมือนระเบิดเวลา เซฮุนมองดวงตาคู่นั้น เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกลืนกินทั้ง ๆ ที่ตอนนี้มือของเจ้านายค้ำอยู่บนโต๊ะ กักกันตัวเขาไว้ด้วยวิธีเดียวกับไคในคืนข้างตรอกแคบ แต่ความรู้สึกกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อตอนนี้เขายอมอยู่ในอาณัติคนตรงหน้า โดยไม่พยายามหาทางหนีหรือแสดงท่าทีว่าหวาดกลัว
กลับกันแล้ว... โอเซฮุนยังรู้สึกดีด้วยซ้ำ
คนตัวผอมค่อย ๆ เลื่อนใบหน้าเข้าใกล้อีกคน เพื่อลิ้มลองการสัมผัสความรู้สึกผ่านกลิ่น ซึ่งเขาและเจ้านายต่างรู้ว่ามนุษย์ไม่สามารถทำได้เหมือนหมาป่า ปลายจมูกโด่งรั้นแตะลงที่สันกรามของชายหนุ่มที่อยู่ในชุดสูทสีเข้ม เซฮุนสัมผัสได้เพียงแต่ความประหม่าและความตื่นเต้นที่ส่งผลให้เหงื่อในร่างกายพร้อมใจกันทำงาน มากกว่าจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย
“ผมไม่เห็นได้กลิ่นอะไรนอกจากน้ำหอมของคุณ...”
“งั้นลองขยับเข้าใกล้ผมให้มากกว่านี้สิ”
“...”
เซฮุนคิดว่าเจ้านายคงไม่ได้อยากให้เขาดมกลิ่นเพื่อสัมผัสความรู้สึกหรอก... ผู้ชายคนนี้ก็แค่แกล้งทำให้หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นก่อนจะบดขยี้ริมฝีปากอีกครั้ง คนตัวผอมโอบใบหน้าคมเอาไว้ แล้วค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับหมาป่าหนุ่มที่กำลังไล่ต้อนเหยื่อให้จนมุม
ปลายจมูกของเราชนกันและคลอเคลียบ้างระหว่างให้ความเงียบโดยรอบทำงาน เซฮุนเริ่มหายใจไม่ทั่วปอด เมื่อรู้สึกได้ถึงสองมือที่วางลงบนเอว ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนลงไปวางลงบนสะโพกของเขาในที่สุด
“เซอร์พร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
“...!!!” เจ้านายและลูกจ้างรีบผละตัวออกจากกันโดยอัตโนมัติเมื่อได้ยินเสียงผู้มาใหม่ซึ่งโผล่เข้ามาโดยไม่รู้ตัว ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูเลยแท้ ๆ ลู่หานเข้ามาในนี้ได้ยังไงกัน?!
“ยังไม่ถึงฤดูติดสัดเลย จะพัมพัมพัมผ่ามกันแล้วเหรอ” แอนิเมจัสหนุ่มหน้าตี๋ยิ้มกวนพร้อมแกะหมากฝรั่งเคี้ยวด้วยท่าทีสบาย ๆ
จงอินถอนหายใจพลางขยับสูทตัวนอก ส่วนเซฮุนจัดแจงเสื้อเชิ้ตให้เข้าที่ กลอกตาลอกแลกอยู่ในทีก่อนจะผงะเล็กน้อยเมื่อหันไปพบว่าลู่หานกำลังจ้องหน้าเขาอยู่ แถมยังยิ้มเจ้าเล่ห์อีก
“ฉันแปลงเป็นยุงบินเข้ามาเองแหละ ไม่งงเนอะ” พอเห็นว่ามนุษย์เพียงคนเดียวในห้องกำลังสงสัย เขาจึงคลายปมง่าย ๆ ให้ ซึ่งดูเหมือนว่าเซฮุนจะไม่รู้สึกพอใจกับคำตอบของเขาสักเท่าไหร่
“ผมจะไปทำงานต่อ”
“อืม”
หลังจากบินเข้ามาแอบดูหนังสดอยู่นาน ลู่หานทำหน้าเหมือนลิง เลิกคิ้วมองทั้งคู่ที่ทำตัวห่างเหินทั้งทางกายและคำพูด แหม่... ทั้งที่เกือบจะกินลิ้นกันอยู่แล้วเชียว ทีงี้มาทำเป็นนิ่งงั้นเหรอ เพราะลู่หานคนนี้ทนมองไม่ไหวจนต้องกลายร่างเป็นมนุษย์สินะ โธ่... เด็กเอ๋ยเด็กน้อย
“กระดุมเม็ดบนหลุดแน่ะ” แอนิเมจัสหน้าตี๋ยิ้มอ่อน เม้มปากชี้นิ้วย้ำ ๆ ซึ่งคนตัวผอมก็รีบติดกระดุมแล้วออกจากห้องไป
“มีอะไร” จงอินทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ พลางมองไปยังหนุ่มหน้าตี๋ที่ยืนอยู่หน้าประตู ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้ากระจกใสซึ่งมองเห็นใจกลางกรุงโซลได้อย่างชัดเจน ชายหนุ่มผิวแทนรู้ว่าลู่หานคงไม่พรวดพราดมาที่นี่เฉย ๆ หากไม่มีเรื่อง
“ฉันไปเจอผู้หยั่งรู้มา”
“...”
“เขาพูดถึงกลิ่นคาวเลือด ความโดดเดี่ยว การถูกทอดทิ้ง และคมเขี้ยว”
ทั้งคู่หันมาสบตากัน ไม่มีอีกแล้วแววตาของผู้ชายขี้เล่นที่เห็นทุกอย่างเป็นเรื่องน่าสนุก จงอินไม่เคยรู้ว่าหน้าตา ‘ผู้หยั่งรู้’ เป็นอย่างไร และน้อยคนที่จะมีสิทธิ์ได้เห็น ดังนั้นการที่ลู่หานเข้าพบผู้หยั่งรู้ได้ ก็ต้องแลกกับบางสิ่งบางอย่าง
“จากคน ๆ หนึ่ง ที่จะเข้ามาทำให้เรื่องนี้จบลง”
กลิ่นคาวเลือด ความโดดเดี่ยว การถูกทอดทิ้ง และ... คมเขี้ยว
“และดูเหมือนว่าคนในคำทำนายจะไม่ใช่แกว่ะจงอิน”
*
“ไม่ตกใจเลยเหรอ บังเอิญเจอผมโดยบังเอิญทั้งที”
“สิ่งเดียวที่จะทำให้ผมตกใจคือการถูกคุณกัดจนเลือดทะลักออกมาจากตรงนี้” เซฮุนเอียงคอพร้อมชี้นิ้วย้ำ ๆ ให้อีกคนดู ซึ่งชายหนุ่มในชุดแจ็คเก็ตหนังสีดำหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี ที่เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้สาปแช่งให้เขาไปตายหรือหันหลังให้
“ผมช่วย”
“ไม่ต้อง นี่! ไค!” เซฮุนอ้าปากอยากเถียงตัวแทบสั่น แต่เขาทำได้แค่ยื้อตัวเองไว้เมื่อถูกอีกฝ่ายลากแขนให้ไปด้วยกัน
ไคถือวิสาสะจูงรถเข็นและหยิบทุกอย่างที่ผ่านตาใส่เข้าไป และไม่คิดจะปล่อยมือเขา ท่ามกลางซุปเปอร์มาร์เก็ตตอนหัวค่ำ คนที่เดินผ่านหันมามองเราบ้างเป็นระยะเพราะการยื้อดึงที่ไม่สิ้นสุด
เซฮุนยืนนิ่ง เขาเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มพลางมองคนเอาแต่ใจที่ไม่รู้ว่าเป็นไปตามกรรมพันธุ์หรือโดยเนื้อแท้กันแน่ “ผมไม่กินเห็ด”
“ได้” ไคขานตอบอย่างว่าง่ายแล้วโยนไปข้างหลังอย่างไม่ใยดี ทำเอาคนตัวผอมอ้าปากค้างเพราะกลัวใครจะมาเห็นเข้า
“วางดี ๆ หน่อยได้ไหม!”
“เรื่องมากจัง ไอ้เห็ดโง่นั่นก็กลับเข้าไปอยู่ที่เดิมแล้วไง”
“ถ้าไม่รู้จักคำว่ามารยาทในสังคมก็เอาฟันคม ๆ ไถพื้นกลับบ้านไปเลยไป” เซฮุนมองค้อนแล้วชักมือกลับแต่ก็ไม่เป็นผล “ปล่อยได้แล้ว”
“ปล่อยก็โง่สิ” แวมไพร์หนุ่มยิ้ม ก่อนจะกระตุกแขนให้เซฮุนเข้ามาใกล้เขามากกว่านี้
“คืนนั้นผมน่าจะปล่อยให้คุณตายไปซะ”
“ต่อให้อ่านความคิดคุณไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่าในนี้คงไม่ได้คิดอย่างที่พูดหรอก” ไคเอานิ้วชี้เคาะขมับเซฮุนเบา ๆ พอเห็นว่าอีกคนเบี่ยงตัวหลบ เขาจึงหยิกแก้มเบา ๆ อย่างมันเขี้ยว
“ก็รู้หมดทุกอย่างยกเว้นความจริง” เซฮุนพึมพำ พลางยืดตัวไปหยิบกระปุกโคชูจังมาพลิกดูแล้วใส่เข้าไปในรถเข็น
“วันนี้คงทำงานทั้งวันเลยสินะ” แวมไพร์หนุ่มหันมาถาม และแววตาคู่นั้นเหมือนว่าจะไม่พอใจเขา
“ก็ใช่สิ ถามแปลก ๆ”
“ถึงว่า กลิ่นหมาคลุ้งไปทั้งตัว” แวมไพร์หนุ่มแค่นหัวเราะ พร้อมออกแรงบีบข้อมือเขามากขึ้น
“โอ๊ย! ผมเจ็บนะ”
ไคไม่ได้ขอโทษ ไม่แม้แต่จะสนใจเสียงของความเจ็บปวดที่เขาชอบฟังนักหนา ชายหนุ่มผิวแทนหายใจฮึดฮัดขณะมองอีกคนที่ทั้งอยากทะนุถนอมและรุนแรงด้วยในบางครั้ง เซฮุนชอบยั่วโมโหเสียจริง ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าต้องได้เจอกัน และเขาไม่ชอบกลิ่นหมาแต่ก็ยังทำแบบนี้อีก
“คุณชอบมัน”
“อะไร”
“คิมจงอิน คุณชอบมันใช่ไหม?”
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม” เซฮุนเบื่อที่จะต้องคอยฟังคำพูดคำจาเอาแต่ใจของไคแล้ว ถ้าผู้ชายคนนี้ทำตัวดี ๆ บ้างก็คงน่ายืนคุยด้วยสักสองสามนาทีอยู่หรอก แต่นี่อะไร ทำตัวผีเข้าตลอดเวลา
“...”
ไคกัดฟันกรอด เผลอบีบข้อมืออีกคนแรงยิ่งขึ้นโดยไม่รู้ตัว แค่นึกถึงหน้าไอ้ลูกหมาที่มีทุกอย่างเพียบพร้อมแล้วก็หัวเสียทุกที เซฮุนนิ่วหน้าเจ็บและพยายามชักมือออก แต่ไคก็ยิ่งออกแรงยิ่งขึ้น จนกระทั่งรู้ตัว จึงปล่อยมือออกพร้อมถอยหลังไปสองก้าวเพราะถูกผลัก
“บ้าไปแล้วหรือไง?!” เซฮุนจับข้อมือตนเองที่เป็นรอยแดงเด่นชัด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นคาดโทษไคที่ไม่แม้แต่จะแสดงให้เห็นว่ารู้สึกผิด
“คุณจะรักหมาป่าที่เคยนอนกับผู้หญิงไม่เลือกหน้างั้นเหรอ?”
“...”
“คิดว่ามันจะหยุดที่คุณ คนที่เป็นผู้ชายเหมือนมันหรือไง?”
“...”
“มันก็แค่หลอกล่อคุณด้วยถ้อยคำหวาน ๆ เหมือนที่เคยใช้กับผู้หญิงคนอื่น ที่คิมจงอินทำไปทั้งหมดก็เพราะอยากแสดงความเป็นจ่าฝูงให้พวกขี้ข้าของมันนับถือเท่านั้น”
เหมือนมีใครเอามีดมากรีดกลางอกจนเป็นรู แล้วทิ่มแทงมันซ้ำ ๆ ลงไปจนเหวอะหวะ เพื่อบอกให้โอเซฮุนได้รู้ว่าโลกใบนี้มีกฎเกณฑ์อย่างไรบ้าง ผู้ชายที่เกิดมาเพื่อคู่กับผู้หญิง และเซฮุนก็เกิดมาบนโลกใบนี้ด้วยความรักของพ่อกับแม่ ซึ่งแน่นอนว่าความรู้สึกเหล่านั้นย่อมมั่นคงกว่าความรู้สึกที่มีต่อเพศเดียวกัน เซฮุนก็เห็นมาแล้วนักต่อนักตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมกระทั่งมหา’ลัย
เขาเชื่อใจเจ้านาย แต่ก็อดคิดตามที่ไคพูดไม่ได้ว่ามันจะเป็นเรื่องจริง ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าคิมจงอินเคยควงผู้หญิงนับไม่ถ้วนและล้วนจบลงบนเตียง
ความอบอุ่นที่ฟุ้งอยู่ในรถกับจูบหวาน ๆ ฉายขึ้นมาเหมือนภาพถ่าย รอยยิ้มอ่อนโยน ริมฝีปากที่ฉาบไปด้วยความรู้สึกเหล่านั้น มันเคยทำให้โอเซฮุนมั่นใจมาตลอด จนกระทั่งนาทีที่แล้ว
“มองผมสิ เซฮุน”
“...”
“ผมเป็นคู่ชีวิตของคุณ เรามีจิตเชื่อมต่อกัน ถ้าใครคนหนึ่งตาย อีกคนก็จะตายตามไปด้วย ผมไม่มีทางทิ้งคุณเด็ดขาด” เป็นครั้งแรกที่ไคพยายามเกลี้ยกล่อมใครสักคนเพื่อเรียกร้องขอความรัก และหากคนตรงหน้าไม่ใช่คู่ชีวิต มีหรือที่เขาจะยอมทำ
ดวงตาคมมองอีกคนที่ยืนนิ่ง หลุบสายตาลงขณะคิดตามเรื่องที่เขาพูดไปทั้งหมด มันไม่แฟร์หรอก เรื่องนี้ไครู้เป็นอย่างดี แต่ถ้าจะให้ทำตัวเป็นพระเอกและรอคอยความรักโดยไม่พยายามสักนิด ...แบบนั้นก็ไม่ใช่ตัวเขา
“ถ้าคุณตาย ก็หมายความว่าผมต้องตายด้วยงั้นสิ?” เซฮุนเงยหน้าถามอย่างหยั่งเชิง ซึ่งไคเพียงแค่ยิ้มพร้อมเดินเข้าหาก้าวหนึ่ง โดยที่ยังไม่ละสายตาจากดวงหน้าขาว
“ผมจะไม่แพ้” แวมไพร์หนุ่มยื่นคำสัญญา เพื่อบอกให้คนตรงหน้าเชื่อใจว่าการต่อสู้ศึกสายเลือดต่างเผ่าพันธุ์ที่ใกล้จะมาถึงนี้ คิมจงอินเท่านั้นที่จะเป็นผู้แพ้
ไคเลือกยืนอยู่เฉย ๆ เพื่อให้คู่ชีวิตของตนได้ใช้เวลาทบทวนเสียหน่อย ไคไม่ใช่คนอดทนเก่งนัก แต่ถ้าหากจะทำให้เซฮุนเปลี่ยนใจจากไอ้ลูกหมามาหาเขาได้ มันก็คงคุ้มเสียเวลา
“ถามจริงเถอะ คุณชอบผมจริง ๆ หรือเพราะเชื่อเรื่องคู่ชีวิตกันแน่?”
“แล้วมันต่างกันตรงไหน?” ไคขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ คู่ชีวิตก็คือคู่ชีวิต ความรู้สึกอย่างอื่นมันต้องผูกกันอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องตั้งคำถามสำหรับเรื่องนี้เลยสักนิด
“คุณทำให้ผมกลัวตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน แล้วหลังจากนั้นก็คุกคามผมตลอด จนถึงวินาทีนี้” เซฮุนกลืนน้ำลาย เขาพ่นความรู้สึกที่มีต่อไคออกมาทั้งหมด เพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจได้ภายในครั้งเดียว “คุณทำเหมือนเด็กแย่งของเล่น มากกว่าการแสดงออกว่ามีใจให้ผม”
“ผมไม่แย่งของเล่นกับใคร แต่ถ้าปั่นหัวก็อีกเรื่องนึง” ไคตอบหน้านิ่ง เขากำลังหงุดหงิดที่เซฮุนกำลังคิดอย่างนั้น
“ผมไม่รู้หรอกว่าความหมายเรื่องคู่ชีวิตของแวมไพร์เป็นยังไง แต่ผมเป็นมนุษย์” คนตัวผอมถอนหายใจแผ่วเบา “และการจะเป็นคู่ชีวิตกันได้ เขาสองคนก็ต้องมีความรู้สึกที่ตรงกัน”
“...”
“และผมก็ไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นกับคุณเลยสักนิด”
TBC
ไงล่ะ งานนายเอกที่แท้จริม ไม่ง่ายนะคะ พูดเหล่ย มีการตบหน้าฉาดใหญ่แบบไม่กลัวตายด้วย บางคนบอกถ้ากูเป็นแวมไพร์นี่แดกคอเซฮุนไปแล้ว เล่นตัวดีนัก !!! 5555555555555
อ้าว เมนท์ฟิคตัวเองอีกละ
ความคิดเห็น