คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : CHAPTER 16 :: Mad
CHAPTER 16
Mad
โซ่ตรวนเส้นใหญ่ถูกปลดออกจากข้อมือซึ่งเกิดรอยถลอกจากการเสียดสี ร่างชื้นเหงื่อหมดสภาพแทบทรุดลงไปกับพื้นแต่ได้อ้อมแขนของน้าชายแท้ ๆ รับไว้ได้ทันท่วงที ริมฝีปากหยักสั่นเครือ น้ำตาคลอกับความเจ็บปวดทางกายและใจ จนคนมองต้องเอื้อมมือขึ้นมาลูบศีรษะปลอบโยนเบา ๆ หลังจากที่หลานชายผ่านพ้นคืนพระจันทร์เต็มดวงสำเร็จได้อีกครั้ง
“ไม่เป็นไร น้าอยู่ตรงนี้”
“...”
“ไม่เป็นไร”
ไคไม่รู้สึกถึงพลังที่มีอยู่เลยสักนิด มันเป็นอย่างนี้เสมอในค่ำคืนวันพระจันทร์เต็มดวงจนถึงเช้าสายของอีกวัน แวมไพร์ผิวแทนถูกประคองให้ขึ้นขี่หลังคนเป็นน้า แม้จางอี้ชิงจะตัวผอมบางดูเหมือนคนไม่แข็งแรง แต่ก็สามารถพาเขาไปที่เตียงได้โดยไม่มีทีท่าว่าจะเสียหลัก
อี้ชิงจัดแจงกะละมังใส่น้ำและผ้าขนหนูมาไว้ข้างเตียง บิดพอหมาด ๆ แล้วเช็ดตัวให้หลานชายที่เขารู้ดีว่าอีกราว ๆ หนึ่งชั่วโมงเจ้าตัวก็คงลุกขึ้นมาเดินเหินและก่อเรื่องน่าปวดหัวให้เขาได้จนแทบลืมไปว่าเมื่อคืนเคยทุกข์ทรมานแค่ไหน
เขาเป็นคนใจอ่อนเกินไป จึงไม่สามารถปล่อยให้หลานชายอยู่ตามลำพังและพยายามอดทนเติบโตเป็นแวมไพร์ที่แข็งแกร่งได้อย่างที่เคยตั้งใจไว้ ในสายตาจางอี้ชิง ยังคงมองเห็นไคเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่เอาแต่ทำหน้าเศร้าตอนยืนมองกรอบรูปผู้เป็นแม่ที่จากโลกนี้ไปแล้ว
เด็กผู้ชายที่ขาดความรักความอบอุ่นตั้งแต่แรกเกิด แม้ว่าจางอี้ชิงจะพยายามทดแทนส่วนนั้นสักเท่าไหร่ แต่มันก็ไม่สามารถเติมเต็มความรู้สึกเหล่านั้นได้
“อี้ชิง” ชายหนุ่มเชื้อสายจีนหันไปทางหลานชายที่กำลังปรือตามองเขาอย่างอิดโรย ทั้งคู่สบตากันครู่หนึ่ง ก่อนคนอายุมากกว่าจะซับผ้าขนหนูลงไปบนใบหน้าซึ่งชื้นไปด้วยเหงื่อของอีกฝ่าย “น้า... เคยมีความรักไหม?”
“น้าดูเหมือนแวมไพร์รักสันโดษที่ไม่อยากมีใครขนาดนั้นเลยหรือไง?”
“ผมไม่ได้ชวนเล่นทายคำ เวลาถามก็หัดตอบให้มันตรงคำถามบ้าง อ๊า!”
“เพื่อนเล่นแกหรือไง?” อี้ชิงขบกรามพูดเสียงลอดไรฟัน หลังจากตบกบาลหลานชายที่บริวารแวมไพร์มากหลายต่างให้ความนับถือ ไคไม่ชอบให้ใครเล่นหัว เรื่องนี้เขารู้เป็นอย่างดี ดังนั้นเจ้าเด็กนี่จึงได้แค่หายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์
“งั้นทำไมน้าถึงไม่มีคู่ชีวิตสักที หรือว่ายังหาไม่เจอ”
อี้ชิงสนใจการเช็ดตัวให้หลานมากกว่าการตอบคำถามนี้ ไคยังคงคาดหวังคำตอบ ซึ่งถ้าจะให้นอนทำหน้าโง่ ๆ จนกว่าจะหายดีเหมือนที่เคยทำมันก็ได้ แต่ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน เขาก็แทบไม่เคยใส่ใจเรื่องส่วนตัวของน้าเลยเพราะคิคว่าเป็นเรื่องส่วนตัว
“เธอตายไปแล้ว”
“เพราะ...?”
“ช่วยชีวิตน้า”
ถ้าเป็นเรื่องของความรู้สึก จางอี้ชิงสามารถเก็บมันไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยได้เป็นอย่างดี ซึ่งมันเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ไครู้ว่าเรื่องนี้แหละที่เขารู้จักน้าชายมากกว่าใครอื่น
“แล้วทำไมน้าถึงไม่ได้ตายตามเธอไปล่ะ?”
“ผู้หญิงคนนั้นไม่ยอมให้สัญญาตกลงเป็นคู่ชีวิต เพราะเธอดันคิดว่าสักวันหนึ่งต้องตายก่อนน้าน่ะสิ” ชายหนุ่มเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง พลางนึกไปถึงหญิงสาวผิวขาวดุจหิมะในฤดูหนาวที่เขารักสุดหัวใจ “แล้วมันก็ดันกลายเป็นความจริงเสียอย่างนั้น”
ไคมองตามน้าชายที่กำลังเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อเอาชุดใหม่มาให้เขาเปลี่ยน อี้ชิงปล่อยให้ความเงียบไล่ต้อนความทรงจำในอดีตกลับมาให้ครุ่นคิดอีกครั้ง กับเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตธรรมดา ๆ ของผู้ชายอย่างจางอี้ชิง
“เชื่อแล้วว่าผู้หญิงเป็นเพศเอาแต่ใจ” คนเป็นน้ายิ้มขำ พลางใช้สองมือประคองร่างหลานชายให้ลุกขึ้นนั่ง “ขนาดน้าบอกว่ายินดีตายไปพร้อม ๆ กัน เธอยังไม่ยอมตกลง”
คำพูดของผู้หญิงคนนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจ จางอี้ชิงไม่เคยรู้เลยว่าชีวิตของแวมไพร์มันสำคัญมากแค่ไหน กระทั่งเธอพูดเสียงแข็งว่าจะไม่ยอมตอบตกลงเป็นคู่ชีวิตอย่างเด็ดขาด เพียงเพราะกลัวว่าจะทำให้เขาตายตามไปด้วย
“อยากร้องไห้ก็ร้อง แล้วผมจะแกล้งทำเป็นไม่เห็น”
“บอกตัวเองเถอะ เมื่อกี้สภาพของแกแทบดูไม่ได้แล้วยังจะปากดีอีก” อี้ชิงคาดโทษอีกฝ่ายแล้วพยักหน้าไปทางเสื้อผ้าและกางเกงตัวใหม่ ไคยิ้มขำ หลังจากอาการค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น เขาจึงเริ่มอ้าปากกวนประสาทน้าชายได้บ้าง
“เรามันรู้กัน”
“วันหลังฉันจะปล่อยให้แกรู้คนเดียวดูบ้าง อยากรู้นักว่ายังจะพูดมากแบบนี้อยู่ไหม?”
“ถ้าน้าจะทำอย่างที่พูดจริง ๆ ก็คงทำไปตั้งนานแล้วมั้ง” ไคลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เพิกเฉยต่อเสื้อผ้าชุดนี้แล้วตรงไปคว้าผ้าขนหนูขึ้นมาพาดไหล่ “น้าเชื่อในปาฏิหาริย์ไหม?”
“ฮะ มีเรื่องแบบนั้นอยู่ในหัวแกด้วยเหรอ?” อี้ชิงแค่นหัวเราะ นอกจากเรื่องโชคชะตาการเป็นคู่ชีวิต แวมไพร์อย่างไคก็ไม่เคยเชื่อเรื่องอะไรที่จับต้องไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงประหลาดใจอยู่ไม่น้อยกับคำถามของหลานชาย
“ผมถามเพราะผมคิดว่าบางทีน้าอาจจะเชื่อว่ามันมีอยู่จริงต่างหาก” ชายหนุ่มผิวแทนใช้นิ้วหัวแม่มือถูคราบเลือดออกจากข้อมือที่ไม่หลงเหลือรอยถลอกจากโซ่ตรวนแล้ว
“แกอยากจะพูดอะไร หืม?” อี้ชิงยืนกอดอกมองคนเป็นหลาน ที่กำลังยิ้มอย่างมีนัยยะบางอย่าง
“น้าเคยคิดหรือเปล่าว่าบางทีผู้หญิงคนนั้นอาจจะยังมีชีวิตอยู่?”
“...”
คนถูกถามนิ่งไปขณะสบตากับชายหนุ่มผิวแทน ภาพความทรงจำเลวร้ายเหล่านั้นที่จำได้ติดตามันกลับมาทำร้ายจางอี้ชิงอีกครั้ง ไม่เคยเลยที่ชายหนุ่มจะเคยชินกับความรู้สึกนี้ มันมีแต่ความเจ็บปวดหากนึกถึงใบหน้าของหญิงสาวผู้เป็นที่รักก่อนเธอจะตายจากไป
จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้พบกับมนุษย์ที่เดินผ่านกัน คน ๆ นั้นที่ทำให้จางอี้ชิงลังเลที่จะเชื่อว่า ‘ปาฏิหาริย์’ มีอยู่จริง
“ถูกผีเข้าหรือไง อยู่ดี ๆ ก็นึกสนใจเรื่องน้าขึ้นมา?” ชายหนุ่มเชื้อสายจีนขมวดคิ้วมองตามหลานชายที่หัวเราะในลำคอพลางตรงเข้าไปในห้องน้ำ และเลือกที่จะเปิดประตูไว้เพื่อให้บทสนทนาของเรายังคงดำเนินต่อไปได้
“เมื่อคืนผมฝันว่ามีลูก”
“...”
“เด็กทารกที่หัวเล็กกว่าฝ่ามือผมอีก”
ไม่เหลือเค้าผู้ชายที่เคยถูกพระจันทร์เต็มดวงทำร้าย ตอนนี้เหลือเพียงแวมไพร์หนุ่มที่กำลังพูดถึงเรื่องไม่คาดฝันด้วยน้ำเสียงปกติจนดูไปทางมีความสุขด้วยซ้ำ อีกทั้งยังมองมือตนเองที่แบออกราวกับคนโง่
ตลกน่า... ไอ้เด็กที่ดีแต่สร้างปัญหา รักสนุกไปวัน ๆ ฆ่าคนเพื่อดูดเลือดโดยไม่สนใจอะไรน่ะเหรอจะนึกอยากเป็นพ่อคน?
“รู้ใช่ไหมว่าเซฮุนท้องให้แกไม่ได้”
ร่างเปลือยเปล่าสีแทนชะงักกับประโยคเมื่อครู่ สองมือค้ำลงกับผนังแล้วปล่อยให้น้ำเย็นยะเยือกในฤดูหนาวไหลชะโลมทั่วร่างกายจนถึงพื้น ใช่... เรื่องนี้ไครู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าแวมไพร์สามารถทำให้มนุษย์ตั้งท้องได้แค่ผู้หญิงเท่านั้น และถึงทำสำเร็จ แม่ของเด็กก็มีเปอร์เซ็นต์ตายค่อนสูงเพราะทารกมีเชื้อแวมไพร์ซึ่งต่างจากมนุษย์ทั่วไป ซึ่งผู้หญิงธรรมดาไม่สามารถต้านทานความเจ็บปวดจากเด็กที่เกิดจากเผ่าพันธุ์เหนือธรรมชาติได้
“และต่อให้เปลี่ยนเซฮุนเป็นแวมไพร์ เขาก็มีลูกให้แกไม่ได้อยู่ดี”
ประโยคนี้เชือดเฉือนใจชายหนุ่มที่กำลังวาดฝันทุกอย่างจนเป็นรูปเป็นร่าง ว่าครอบครัวของเขาจะมีความสุขมากสักแค่ไหนถ้าหากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสามคน โดยมีไค เซฮุน และลูกอีกคนซึ่งจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ดีทั้งนั้น
จางอี้ชิงกำลังจะย้ำอีกครั้งว่าความฝันของแวมไพร์อย่างไคมันไม่ได้พิเศษไปกว่าความฝันของมนุษย์ที่เกิดขึ้นยามหลับ คนเป็นน้าชายตอกย้ำและอ้างเหมือนทุกครั้งว่า ‘อยากเตือนสติ’
ว่าไคไม่สามารถแหกกฎที่ธรรมชาติสร้างไว้ เพราะแวมไพร์ไม่สามารถทำให้มนุษย์เพศชายตั้งครรภ์ได้
“ไค”
“...”
“โชคชะตาไม่ใช่ตัวกำหนดทุกอย่างในชีวิตหรอกนะ มันก็ขึ้นอยู่กับตัวเราด้วย แกเข้าใจที่น้าพูดหรือเปล่า?”
“...”
“แกทำให้เซฮุนกลัวตั้งแต่วันแรก ทำให้เขาเจ็บตัว เสียความรู้สึกนับครั้งไม่ถ้วน น้าถามทีเถอะ... มันจะมีคนโง่ที่ไหนอยากใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ทำให้รู้สึกว่าเรากำลังไม่ปลอดภัย?” อี้ชิงจัดแจงปูผ้าห่มให้เข้าที่จนเรียบ ก่อนจะตรงไปหยิบกล่องยาเพื่อรอฉีดกลบกลิ่นหมาป่าให้หลานชาย “โชคชะตามันเป็นแค่ตัวช่วย แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความรู้สึกของทั้งสองฝ่าย”
“ก็พูดได้สิ ผู้หญิงที่เป็นคู่ชีวิตของน้าตายไปแล้วนี่”
“...”
“ผมไม่ฉลาดเหมือนไอ้คนที่เรียนจบจากอเมริกา เป็นซีอีโอยังหนุ่มยังแน่นที่ใคร ๆ ต่างก็ให้ความสนใจ แต่สาบานเถอะว่าไอ้โง่คนนี้พยายามแล้ว ผมรู้แค่ว่าต้องการเซฮุน ผมอยากให้เขารักผม ถึงตัวผมจะไม่เคยรู้เลยว่าเวลารักใครสักคนมันต้องทำยังไง”
“แต่เขาเป็นคนของจงอิน แกต้องคิดแล้วว่าโชคชะตาที่เชื่อมาตลอดมันจะสู้ความรู้สึกที่มนุษย์มีได้เหรอ? เขาพูดเองกับปาก ไค” อี้ชิงเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “กฎเกณฑ์การใช้ชีวิตของทุกเผ่าพันธุ์มีความแตกต่างกัน และมนุษย์คนนั้นกำลังสอนให้แกรู้ว่าคู่ชีวิตที่ถูกกำหนดโดยโชคชะตามันไม่มีค่าอะไรเลยถ้าไร้ความรู้สึก”
“...”
“ปล่อยเขาไปเถอะ”
“ตลกน่า ให้ปล่อยโอเซฮุนไปน่ะเหรอ?”
สองมือยังคงค้ำอยู่กับผนังห้องน้ำ และความเย็นยะเยือกยังคงไหลผ่านร่างกายอย่างต่อเนื่อง ไคเอี้ยวหน้าหันไปสบตากับน้าชายที่กำลังมองมาอย่างจริงจัง ก่อนริมฝีปากหยักจะยกยิ้มเพื่อบอกให้จางอี้ชิงรู้ว่าเขายังคงเลือกดันทุรังต่อไป
“ผมไม่ใช่คนดีขนาดนั้น น้าก็รู้”
*
“จะให้ฉันใจเย็นได้ยังไง คุณดูสิ ดูสิ่งที่ลูกชายของเรากำลังทำอยู่!”
“...”
“พามนุษย์ไปที่บ้านของครอบครัวเราในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง โดยไม่บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้สักคน เขาทำอย่างนั้นได้ยังไง?”
“นั่งลงเถอะจุนกึม ต่อให้เสียงดังแค่ไหนจงอินก็ไม่ได้ยินเสียงคุณหรอก”
เสียงของคนเป็นสามีไม่เคยน่าหงุดหงิดขนาดนี้มาก่อน แม้ว่าอีกฝ่ายจะหัวเสียไม่แพ้เธอ แต่การห้ามหมาป่าที่กำลังพร้อมจะฉีกเนื้อเป็นชิ้น ๆ ให้สงบลงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เข้าท่านัก
“เขาอยากให้ฉันเป็นบ้าตายจริง ๆ ใช่ไหม เหอะ!”
คุณหญิงปาร์คจุนกึมที่ใคร ๆ ต่างก็บอกว่ามีจิตใจที่โอบอ้อมอารีเพราะเป็นผู้ก่อตั้งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าพร้อมส่งเสียเด็กเหล่านั้นเรียนจนสามารถตั้งหลักปักฐานชีวิตได้ สังคมมอบโล่เกียรติยศและเหรียญผู้หญิงดีเด่นให้เป็นหน้าเป็นตา แต่ตอนนี้ผู้หญิงที่ฉาบหน้าด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนต่อหน้าสังคม กำลังกราดเกรี้ยวจนไม่สามารถนั่งอยู่เฉย ๆ บนโซฟากำมะหยี่สีขาวสะอาดได้
คยองซูเดินเข้ามาด้านในพร้อมกลอกตามองความวุ่นวายภายในบ้านที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ปาร์คจุนกึมเป็นหมาป่าตัวเมียที่อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่เสมอ แม้ว่าเธอจะเป็นหมาป่าในตำแหน่งผู้ถูกปกป้อง ซึ่งถ้าหากอยู่ในครอบครัวอื่น ตำแหน่งนี้คงกลายเป็นแค่ซากขยะที่ใคร ๆ ต่างก็ดูแคลน
ลู่หานนั่งทำหน้าเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ฝั่งตรงข้ามคุณหญิงขี้วีน ส่วนสามีของเธอเลือกที่จะนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยว มากกว่าการนั่งอยู่ข้าง ๆ ผู้เป็นภรรยาเพื่อฟังเสียงแหลม ๆ น่าปวดหัว
รยูชินผู้เป็นพี่ชายคนโตก็คงเพิ่งมาถึงได้ไม่นานนัก เนื่องจากต้องคอยดูแลลูกชายทั้งสามคนที่เพิ่งผ่านพ้นคืนวันพระจันทร์เต็มดวงไปได้อีกครั้ง คยองซูหวังว่าหลานชายของเขาจะเติบโตและควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น เพราะถ้าหากเจ้าเด็กพวกนั้นเข้ากับสังคมมนุษย์ได้เร็วเท่าไหร่ การไปโรงเรียนมอปลายเพื่อกอบโกยความรู้ใส่สมองกลวง ๆ ก็เป็นเรื่องดีกว่าการเรียนหนังสือที่บ้านอย่างที่ทำอยู่
สองพี่น้องสบตากันเพื่อให้รับรู้การมา ก่อนคยองซูจะตรงเข้าไปนั่งบนโซฟาข้าง ๆ ลู่หาน และเขาก็ได้สบตากับแม่เป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน
“หายไปไหนมา?”
“เมื่อคืนเกิดปัญหานิดหน่อย ผมเลยค้างบ้านไอรีนครับ”
“อ้อ... หนูไอรีน” ทุกครั้งที่มีชื่อนี้ขึ้นมาในบทสนทนา คุณหญิงขี้วีนประจำบ้านก็จะยิ้มออกมาได้อย่างง่ายดายราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเรื่องน่าหงุดหงิดหัวเสียใด ๆ เกิดขึ้น
“ผมไม่ได้ทำเรื่องที่แม่คาดหวังหรอกครับ ลืมมันไปเถอะ”
นอกจากคิมจงอินแล้ว ก็คงเป็นลูกชายอย่างโดคยองซูที่คิดจะแหกอกเธออยู่ตลอดเวลา รอยยิ้มบนใบหน้าคุณหญิงจางหายไปและแทนที่ด้วยความหงุดหงิด ซึ่งคนเป็นสามีก็มองทั้งภรรยาและลูกชายคนเล็กที่ยืนยันให้พ่อแม่รู้อีกครั้งว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ยังคงสถานะเพื่อนเอาไว้ไม่เปลี่ยนแปลง
เพราะผู้เป็นแม่จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ลูกสะใภ้เป็นจ่าฝูง
“แกมาก็ดีแล้ว”
“ครับ” ลู่หานมักจะเคยชินกับคำ ๆ นี้ของโดคยองซู ซึ่งต่างจากพี่ชายคนโตที่มักจะอธิบายยืดยาวเพื่อให้คนเป็นแม่เข้าใจ
“ติดต่อพี่ชายของแกได้บ้างหรือยัง?”
“ยังครับ” แอนิเมจัสหน้าตี๋ยกมือป้องปากพลางเบือนหน้าหลบไปอีกทาง เพราะมันคงไม่ดีแน่ถ้าหากเขาจะหลุดขำพรืดออกมาตอนนี้เพราะคำตอบของโดคยองซูที่พูดออกมาทั้ง ๆ ที่คงไม่ได้ลองติดต่อหาพี่มันเลยด้วยซ้ำ
“รยูชิน ออกรถ พาแม่ไปช็อลลาใต้เดี๋ยวนี้”
“ไม่เอาน่าปาร์คจุนกึม ลูกเธอโตจนแมวส้มเลียก้นไม่ถึงแล้วนะ ปล่อย ๆ มันไปบ้างเถอะ” ลู่หานพูดด้วยท่าทีสบาย ๆ แม้ว่าคุณหญิงของบ้านจะส่งสายตาไม่พอใจมายังเขา
“แต่นั่นมันลูกฉัน ฉันมีสิทธิ์ที่จะรับรู้และจัดการชีวิตลูกเพื่อไม่ให้เขาเดินออกนอกลู่นอกทาง”
“โธ่ คิดว่าฉันไม่รู้หรือไง? ตั้งแต่เธอตั้งท้องแล้วคลอดลูกออกมาเป็นครอกฉันก็ยืนให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ ตอนเธอยิ้มปากไม่หุบเพราะคลอดจ่าฝูงออกมาเอาใจผัวได้ตั้งสองตัวฉันก็ยืนปรบมือยินดีให้อย่างนี้” ลู่หานเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยพร้อมปรบมือประกอบสองครั้งอย่างกวนประสาท “จนถึงตอนที่ลูกรักจ่าฝูงทั้งสองต้องสู้กันเพื่อชิงตำแหน่งผู้นำจ่าฝูงต่อจากผัวเธอฉันก็ยืนจิบชาอู่หลงอยู่แถวนั้น นี่บอกไว้เผื่อจำไม่ได้”
“...”
รยูชินเผลอกำมือแน่นกับความน่าอับอายที่ย้อนกลับมาทำร้ายเขาอีกครั้ง หมาป่าหนุ่มที่เป็นลูกชายคนโตเพราะขนาดตัวที่ใหญ่กว่าหมาป่าในครอกที่เกิดมาพร้อมกัน ซึ่งเขาเคยเชิดหน้าชูตาได้เพราะความเป็นจ่าฝูงที่มีมาตั้งแต่แรกเกิด แต่พอเติบโตขึ้นจนถึงเวลาที่ต้องรับตำแหน่งต่อจากผู้เป็นพ่อ เขากับจงอินจึงต้องต่อสู้กันแม้ว่าจะไม่เต็มใจนัก
และโดยสัญชาติญาณหมาป่า ใครเล่าจะไม่อยากเป็นที่ยอมรับ?
จะไม่อยากเป็นผู้นำเพื่อให้หมาป่าทั้งในฝูงและผู้อื่นเคารพเยินยอ?
“ลูกเธอไม่ใช่เด็กแล้ว ถ้าจงอินมันคิดจะจริงจังกับใคร เธอก็ควรทำความเข้าใจแล้วปล่อยให้มันมีชีวิตเป็นของตัวเองบ้าง” ลู่หานยังคงสั่งสอนคุณหญิงที่ภายนอกแก่กว่าเขา และการที่ปาร์คจุนกึมยอมเก็บปากเงียบแต่กลับชักสีหน้าไม่พอใจใส่อย่างที่เห็น มันก็เป็นการให้เกียรติแอนิเมจัสที่อยู่กับครอบครัวตระกูลคิมมานานเป็นร้อย ๆ ปี ซึ่งแค่นี้ลู่หานก็พอใจเหลือทน
“ฉันให้เขาทุกอย่าง” คุณหญิงสบตากับชายหนุ่มหน้าตี๋ ที่ยังคงมองมาอย่างอวดดีและคิดว่าตนเองฉลาดกว่าหมาป่าเสียเต็มประดา “แต่ถ้าจงอินไม่ได้เป็นจ่าฝูงของตระกูลเรา ฉันจะพูดมากขนาดนี้ไหม?”
“เอ้า ก็มีคำตอบอยู่ในใจแล้วนี่ ถามฉันทำไม?” ลู่หานพูดกลั้วหัวเราะ “ถ้าอยากได้ลูกที่เป็นหุ่นเชิด เอาอกเอาใจแม่เก่ง ๆ ทำไมไม่ยอมทำตามที่จงอินบอกตั้งแต่ตอนนั้นล่ะ?”
“...” ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก แม้แต่อดีตผู้นำจ่าฝูงอย่างคิมแรวอนผู้ซึ่งเป็นพ่อของชายหนุ่มที่ถูกกล่าวถึง
รยูชินกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ กับคำพูดของลู่หานดึงเรื่องน่าอับอายของเขากลับเข้าสู่บทสนทนานี้อีกครั้ง
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อวันที่เขาและน้องชายต้องต่อสู้กัน และอีกฝ่ายบอกให้เขาเล่นละครเพื่อสร้างสถานการณ์ให้ทุกคนเข้าใจว่าจงอินแพ้ แต่รยูชินรู้ดีว่าพ่อคงไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น ท่านอยากให้ลูกชายทั้งสองงัดฝีมือที่มีอยู่ออกมาสู้กัน เพื่อให้คนที่แข็งแกร่งที่สุดได้สืบต่อตำแหน่งผู้นำจ่าฝูงคนต่อไป
รยูชินปฏิเสธข้อตกลงของน้องชาย พร้อมท้าทายด้วยคำพูดยั่วโทสะ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ทำให้ดวงตาของจงอินกลายเป็นสีแดงทั้ง ๆ ที่ยังไม่ขึ้นเวทีประลอง
เขาไม่เคยเล่าให้ใครฟังว่าตอนนั้นมั่นใจมากแค่ไหนว่าจะเอาชนะจงอินได้ ความหลงตัวเอง เย่อยิ่งจองหองอย่างเงียบ ๆ นั้นเป็นภัยต่อตนเองแค่ไหนรยูชินซาบซึ้งแล้วในวันนั้น เพราะจงอินแข็งแกร่งและรวดเร็วอย่างไม่คาดคิด พร้อมพูดประโยคปิดท้ายก่อนกัดซอกคอเขาเพื่อยึดชัยชนะว่า ‘ผมจะเป็นจ่าฝูงให้พี่เอง’ และชายหนุ่มก็ได้สูญเสียความเป็นจ่าฝูงที่มีมาตั้งแต่กำเนิดไปในที่สุด
รยูชินจำต้องเงยหน้ารับการเป็นเบต้าหรือนักรบเอาไว้อย่างไม่เต็มใจ...
เขาไม่เคยยอมรับเรื่องนี้ได้ ไม่เคยเลยสักครั้งเดียว
“เธอเป็นแม่ ไม่ใช่เจ้าชีวิตของหมอนั่นนะ อา... ให้ตายเถอะ ที่ฉันพูดไปทั้งหมดนี่มันหน้าที่ผัวเธอทั้งนั้น พูดอะไรบ้างสิแรวอนเพื่อนยาก” ลู่หานหันไปทางอดีตจ่าฝูงที่มีสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก
“ฉันกำลังปกป้องครอบครัวของเรา นายเป็นแค่แอนิเมจัส จะเข้าใจศักดิ์ศรีของหมาป่าได้ยังไง?” คุณหญิงกดเสียงลงต่ำ มองอีกฝ่ายด้วยสายตาหยามเหยียด ซึ่งลู่หานก็ไม่ได้รู้สึกหัวร้อนไปกับคำพูดของหมาป่าตำแหน่งผู้ถูกปกป้องที่ห้าวเป้งพยายามทำตัวเป็นจ่าฝูงโดยไม่รู้ตัว
“ระวังคำพูดหน่อยแม่สาวน้อย” น้ำเสียงติดทะเล้นนั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าลู่หานไม่ได้เจ็บปวดกับคำพูดของเธอเลยสักนิด ปาร์คจุนกึมนั่งยืดหลังตรง เพ่งสายตามองไปยังแอนิเมจัสที่เกิดมาเพ่นพ่านบนโลกใบนี้นานกว่าเธอเป็นร้อย ๆ ปี และถือว่ายังเกรงใจสามีอยู่ ไม่อย่างนั้นเธอคงพูดแรงกว่านี้
“ถ้าฝูงเราอยู่แค่ในป่า ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมมนุษย์ที่เดินไปไหนต่อไหนก็มีคนจำหน้าได้และพร้อมถ่ายรูปไปลงหน้าหนังสือพิมพ์ ฉันคงไม่ทำแบบนี้”
“จงอินไม่ได้เปิดเผยชัดเจนขนาดนั้น ผมว่าเรายังแก้ไขอะไรได้นะครับแม่” รยูชินพยายามปราม แม้จะรู้ดีว่ามันไม่ได้ผล
“แก้ไขงั้นเหรอ? แม่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกมาเป็นร้อยปีแล้ว คิดว่าแม่ดูไม่ออกหรือไงว่าจงอินเปลี่ยนไปตั้งแต่รู้จักเลขาคนนั้น?”
ไม่มีใครเถียงกับเรื่องที่ทุกคนต่างรู้ดีว่าคิมจงอินเคยเป็นอย่างไรและเปลี่ยนไปอย่างไร แต่ถ้าถามในมุมมองน้องชายอย่างโดคยองซู เขาก็ไม่คิดว่ามันจะเสียหาย ถ้าหากพี่ชายของตนจะจริงจังกับความรักสักครั้ง
จ่าฝูงที่แบกรับภาระมากมายไว้บนบ่า ก็สมควรมีความสุขทางใจบ้าง เขาคิดอย่างนั้น
“รอพี่กลับมาก่อนเถอะครับแม่” คยองซูปรามขึ้นมาอีกคน และผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิมคือไม่ได้ผล
“คุณคิดยังไงกับเรื่องนี้คะ?” ในเมื่อลูกชายทั้งสองคนไม่คล้อยตาม เธอจึงหันไปขอความเห็นจากสามีที่ดีแต่นั่งเงียบ ๆ
นี่ก็น่าหงุดหงิดอีกคน ตั้งแต่ยกตำแหน่งให้ลูกผู้ชายคนนี้ก็หมดความน่าเชื่อถือของจ่าฝูงไปโดยปริยาย ปาร์คจุนกึมถอนหายใจแรง ๆ จงใจให้ทุกคนได้รับรู้ว่าเธอกำลังหัวเสียแค่ไหน และมันจะไม่จบง่าย ๆ จนกว่าจงอินจะกลับมาขอโทษ
“ต้องให้ฉันอกแตกตายก่อนใช่ไหมถึงจะเลิกยุ่งกับโอเซฮุน”
สิ้นคำตัดพ้อของคุณหญิงขี้วีน ทุกคนก็หันไปทางอดีตจ่าฝูงที่ลุกขึ้นเดินออกไปจากตรงนั้น และท่าทางไม่สบอารมณ์ของคนเป็นสามีก็ทำให้เธอยิ้มออกมาได้ อย่างน้อยวันนี้คิมแรวอนก็เลือกทำหน้าที่สามีที่ดีโดยการเข้าข้างภรรยาอย่างเธอ
“ถ้าจงอินกลับมาถึงเมื่อไหร่ ให้ขึ้นไปพบฉันที่ห้องทำงานด้วย”
คยองซูถอนหายใจแผ่ว เขาเข้าใจดีว่าเรื่องคู่รักนั้นเป็นเรื่องใหญ่สำหรับหมาป่าสักแค่ไหน ที่แม่จริงจังกับเรื่องคู่ชีวิตของจงอินขนาดนี้ก็เพราะอีกฝ่ายเป็นจ่าฝูง ในขณะที่เขาและรยูชินเชิดหน้าชูตาในสังคมหมาป่าไม่ได้เพราะเป็นแค่นักรบ
แม้ว่าคยองซูจะช่วยปิดเรื่องพี่ชายและเลขา แต่ดูเหมือนว่าจะพ่ายแพ้กับสายของแม่ที่ไม่รู้ว่าไปสืบมาอย่างไรถึงรู้ว่าทั้งคู่ไปไหน และยิ่งอยู่ด้วยกันสองต่อสองในช็อลลาใต้ ก็คงไม่ต้องคิดอย่างโลกสวยเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
TBC
คุณหญิงนี่เปรี้ยวว่ะ คิดจะบวกกับเจ้าหญิงน้อยเหรอ เร็วไปร้อยปี๊!
#ทำไมคำสุดท้ายมันแปลกๆวะ
ตัดจบฉากนี้ละกาน เขียนยาวเกิน ตัดไปตอนหน้านะคะ
“CHAPTER 17 :: Sanguinity (งานนองเลือดต้องมา)” /จุฟ
ความคิดเห็น