คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : CHAPTER 19 :: Sanguinity (100%)
CHAPTER 19
Sanguinity
“เราเหมือนคนโง่ที่ดื่มเหล้าไปหกสิบขวดแล้วยังนั่งยืดหลังตรงให้คนรอบข้างมองเล่น
ๆ”
“แต่อย่างน้อยฉันกับนายก็ผลัดกันไปเข้าห้องน้ำอยู่นะ”
“เมื่อกี้มีช่างภาพแอบถ่ายรูปพี่จากตรงนั้นด้วย”
“ข่าวฉันมันขายได้ ถึงจะเป็นคอลัมน์โง่
ๆ ชวนให้ตั้งคำถามเล่น ๆ ว่า ‘ซีอีโอบริษัทน้ำหอมนั่งดื่มเหล้าข้างทางแล้วมันน่าตื่นเต้นตรงไหน?’
ก็เถอะ”
“กลายเป็นเจ้าชายติดดินไปแล้ว
รู้สึกยังไงกับข่าวนี้ครับท่านประธาน?”
“รู้สึกว่าเราควรจะแกล้งเมากันบ้าง
สักนิดก็ยังดี ว่าไงล่ะคยองซู?”
เจ้าของชื่อหลุดขำหลังจากได้ยินพี่ชายพูดเรื่องตลกออกมาอย่างหน้าตาเฉย
ท่ามกลางความหนาวเหน็บยามค่ำคืนที่มนุษย์ยังคงเดินผ่าน รอบข้างมองอย่างประหลาดใจว่าทำไมชายหนุ่มทั้งสองถึงได้คอแข็งนัก
คยองซูเพียงยกยิ้มและชนแก้วกับพี่ชายอีกครั้ง ทั้งคู่เหมือนกำลังดื่มย้อมใจเพื่อเอาฤกษ์เอาชัยก่อนไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่จะตัดสินชะตาชีวิตวันพรุ่งนี้
แต่ดื่มไปเท่าไหร่ก็ไม่มีใครเมาเพราะหมาป่าฟื้นตัวได้เร็วกว่ามนุษย์หลายเท่าตัวนัก
“พ่อกับแม่ไม่ชอบใจเรื่องเซฮุน”
“ฉันรู้”
“ผมว่าพ่อยังพอเข้าใจได้
แต่กับแม่คงยากหน่อย เธอคลั่งตำแหน่งจ่าฝูงมากแค่ไหนพี่น่าจะเข้าใจดี” คยองซูย้ำให้พี่ชายนึกภาพออกว่าด่านอุปสรรคของคิมจงอินมันสูงติดฟ้าจนการปีนข้ามไปอีกฝั่งมันค่อนข้างยากแม้จะเป็นความสามารถระดับจ่าฝูง
“ผมรู้ว่าพี่ชอบเซฮุนมาก แต่อย่าให้เขากลายเป็นเหตุผลทุกข้อของพี่ไปล่ะ”
“มันแย่หรือไงถ้าหากฉันจะให้ใครสักคนกลายเป็นเหตุผลอันดับต้น
ๆ ที่ฉันอยากสนใจก่อน?”
“แน่นอนว่าดีถ้าพี่ไม่ต้องแบกรับภาระโลกแตกไว้อยู่” คยองซูยกจอกเหล้าขึ้นดื่มก่อนจะวางลง “ลำพังผมไม่กลัวตายอยู่แล้ว
แต่ฝูงของเราต้องการผู้นำ ถ้าเกิดพี่ไขว้เขวจนเลือกทางผิด พอถึงตอนนั้นคงเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่”
“นายคงไม่ได้หมายความว่าฉันจะตายเพราะหลงเซฮุนจนโงหัวไม่ขึ้นใช่ไหม?” จงอินหัวเราะ
“ใจคอก็จะมองแต่ในแง่ร้ายตลอดเลยหรือไง?” คยองซูเลิกคิ้วถามอย่างอ่อนใจ ทั้งที่วันนี้เขาเคลียร์งานทุกอย่างเพื่อตั้งใจมานั่งดื่มเป็นเพื่อน
แต่อีกฝ่ายกลับพูดจาไม่รื่นหูเสียอย่างนั้น
“ฉันแค่ยังมองหาแง่ดีจากคำพูดของนายไม่ได้”
“ก็หาจากตัวเองซะสิ
พี่ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องแบบนั้นจากผม”
“ถ้าเกิดฉันแพ้ รยูชินจะได้เป็นผู้นำจ่าฝูงคนต่อไป
คยองซู” จงอินดื่มอีกแก้ว “แต่นายไม่ควรวางใจง่าย
ๆ รู้ใช่ไหม?”
“เลิกพูดจาเลอะเทอะสักทีเถอะ
มันไม่ใช่พี่เลยสักนิด” คยองซูแย่งขวดโซจูจากมืออีกคน จ้องมองใบหน้าคมที่ซ่อนความกังวลได้ไม่เก่งเท่าที่ผ่านมา
“ผมจะไม่พูดในฐานะหมาป่าในฝูง แต่ผมจะพูดในฐานะน้องชายของพี่” คนฟังหัวเราะในลำคอเบา ๆ ขณะคยองซูเงียบไปครู่หนึ่ง “อย่าถอดใจ จงอิน”
อันที่จริงมันค่อนข้างกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อยที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
ทุกครั้งที่หันหน้าเข้าหากัน บทสนทนาเหล่านั้นมักจะเป็นการแก้ปัญหาตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงเรื่องโลกแตก
แต่คราวนี้มันต่างออกไป ตรงที่มีคำฝากฝังหลุดออกมาจากปากชายหนุ่มที่มักจะมีความมั่นใจเกินร้อยอยู่เสมอ
“คำทำนายทำให้พี่ไขว้เขวมันจะส่งผลเวลาต่อสู้
พอถึงตอนนั้นพี่จะแพ้เพราะสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไป”
คยองซูมองอีกคนที่ยึดสายตาอยู่กับจอกเหล้าในมือ “อย่าให้ใครเอาอนาคตมาตัดสินสิ่งที่พี่เป็น”
“สิ่งที่ผู้หยั่งรู้พูดมันเกิดขึ้นเสมอ
นายก็รู้”
“แล้วไงเหรอ? คำทำนายที่ว่ามันไม่ชัดเจนมากพอที่จะระบุได้ว่าใครที่จะเป็นฝ่ายแพ้ฝ่ายชนะ
ที่พี่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็โดดเดี่ยวไม่ต่างจากไคเหมือนกัน”
“นายกำลังหลอกตัวเอง คยองซู”
“...”
“เราต่างรู้คำตอบอยู่แล้ว อย่าฝืนมันเพียงเพราะว่าฉันเป็นพี่ชายของนายเลย” ทั้งคู่สบตากันอีกครั้ง แน่นอนว่าถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่น้องชายคนสนิท
เขาคงไม่มีวันพูดโง่ ๆ อย่างหมาขี้แพ้ออกมาอย่างนี้
“เพราะผมไม่อยากเสียพี่ไป”
“...”
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
อย่างน้อยผมก็อยากให้พี่สู้อย่างเต็มที่”
คยองซูเองก็คงอึดอัดใจเหมือนกัน กับชะตาชีวิตตระกูลคิมที่อาจพังไม่มีเหลือถ้าหากจ่าฝูงหมาป่าพ่ายแพ้แวมไพร์
และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ การสูญเสียพี่ชายคนนี้ไป คนที่เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก
“นึกถึงครอบครัวของเรา นึกถึงเซฮุนที่อยากใช้ชีวิตอยู่กับพี่
นึกถึงความสุขที่พี่ควรจะมีสักครั้งหนึ่งในชีวิต”
“...”
“ถ้าพี่เป็นอะไรไป เซฮุนจะอยู่ยังไง?”
‘ผมที่เป็นผู้ชาย
คนธรรมดาไม่มีพลังวิเศษ ผมอยู่กับคุณได้ใช่หรือเปล่า?’
“ไคคงไม่ปล่อยเซฮุนไปเฉย ๆ แน่”
ชายหนุ่มผิวแทนเผลอกำมือจนจอกเหล้าแตกคามือก่อนเลือดสีสดจะซึมออกมาจากซอกนิ้วกับภาพที่คิมจงสามารถจินตนาการได้เป็นฉาก
ๆ เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากเขาได้รับความพ่ายแพ้ เสียงตะโกนเรียก ‘เจ้านาย’ ขณะถูกฝั่งแวมไพร์เอาตัวไป
กับอาการบาดเจ็บเจียนตายแต่กลับทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนมองนิ่ง ๆ
ไม่มีทาง... คิมจงอินจะไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้นเด็ดขาด
*
คุณส่งข้อความถึง...
‘เจ้านาย’
[ ผมชงกาแฟสองแก้วเพราะคิดว่าคุณอยู่ตรงนี้ด้วย
ตลกจังครับ แค่คิดถึงคุณ ผมก็ทำเรื่องโง่ ๆ
ได้แล้ว ]
ป่านนี้เจ้านายอาจจะนอนหลับอยู่ หรือไม่ก็วิ่งด้วยสี่เท้าในป่าเพื่อเตรียมพร้อมรับมือไคในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
และสิ่งที่โอเซฮุนทำได้คือนั่งโง่ ๆ อยู่ที่บ้าน รอฟังผลจากทนายความอย่างโดคยองซูซึ่งไม่รู้ว่าจะมาให้คำตอบเมื่อไหร่
ใจหนึ่งอยากให้สู้กันไปให้มันจบ ๆ
แต่อีกใจก็กลัวผลลัพธ์ที่พระเจ้ามักจะไม่เข้าข้างคนคาดหวัง เหมือนตอนแม่จะจากไป
โอเซฮุนพร่ำวอนขอต่อพระเจ้าว่าอย่าพรากเธอไปแต่ท่านก็เพิกเฉยกับคำขอของเขา
ไม่มีกระจิตกระใจจะเปิดดูดวงรายวันอย่างที่ชอบ
ชายหนุ่มตัวผอมทำได้แค่ถือแก้วกาแฟร้อนในครัว และให้แขนเสื้อที่กินมือไปครึ่งหนึ่งช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายในวันเหน็บหนาว
เขาอยากไปยืนอยู่ตรงนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าโอเซฮุนสำคัญมากพอที่จะเป็นกำลังใจให้จ่าฝูงหมาป่าได้หรือเปล่า
ไม่อยากเข้าข้างตัวเองเกินไปกว่านี้
เขาเป็นแค่คนที่เจ้านายชอบ ไม่ได้สำคัญถึงขั้นมีผลต่อจิตใจและชีวิตถึงขนาดนั้น
บ้าเหลือเกิน แค่คิดก็น้อยใจขึ้นมาทั้งที่มันไม่ใช่เวลาเลยสักนิด โอเซฮุนควรกังวลว่าเจ้านายจะเจ็บตรงไหนมากกว่าจะคิดเรื่องโง่
ๆ
“รู้ไหมว่ากลิ่นความเศร้าของคุณมันคลุ้งไปจนถึงหน้าบ้าน”
“...”
อ้อมกอดจากด้านหลังทำให้ใจหายและอบอุ่นในเวลาเดียวกัน
เซฮุนเอี้ยวหน้าหันไปมองเจ้าของรอยยิ้มที่เหมือนหลุดออกมาจากความคิดได้
หัวใจที่เคยเหี่ยวเฉา กระวนกระวาย
กำลังได้รับการเยียวยาจากริมฝีปากที่ประทับจูบลงมาปลอบประโลมคนคิดมาก
“น้ำตาคลอแล้ว ถ้าคุณจะร้องไห้
เหตุผลเดียวที่ผมจะอนุญาตก็คือคุณดีใจที่ได้เจอผมจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวนะ” จงอินมองจมูกสีระเรื่อกับริมฝีปากที่เม้มจนเป็นเส้นตรง
พร้อมกลิ่นความรู้สึกที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย และนั่นคือกลิ่นของความดีใจที่ทำให้เขารู้สึกดี
เซฮุนวางแก้วกาแฟลงแล้วโผเข้ากอดคนตรงหน้าแน่น ๆ ราวกับกลัวว่าจะหายไป
และการที่เจ้านายกอดตอบและจูบซอกคอเบา ๆ มันก็ทำให้เขาหลุดพ้นจากความกังวลไปได้บ้างไม่มากก็น้อย
“ได้นอนบ้างหรือเปล่า คุณต้องไปเจอไคกี่โมง
กินเนื้ออร่อย ๆ แล้วใช่ไหม คุณมาที่นี่ได้ยังไง ไม่ต้องเตรียมตัวเหรอครับ?”
“ผมควรตอบคำถามไหนก่อนดีล่ะ?” จงอินกระชับกอด ถ้าหากคุณยายจองหรือสองพี่สาวเดินมาเห็นเราคงต้องอธิบายกันยกใหญ่
ซึ่งเขามีเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ไว้อ้างแล้วว่า ‘ผมขึ้นเงินเดือนให้
เซฮุนก็เลยดีใจเกินไปหน่อยน่ะครับ’
“อันไหนก็ได้
ผมมีเวลาฟังคุณทั้งวัน”
“จริง ๆ เลยนะ...” ชายหนุ่มผิวแทนลูบศีรษะคนในอ้อมกอด กลิ่นของความกังวลยังคงอยู่
แต่ที่ทำให้คิมจงอินกลั้นยิ้มไม่ได้คือกลิ่นความคิดถึง โหยหา ที่มันฟุ้งกระจายไปทั่วห้องครัว
“ผมนอนแล้ว ส่วนเวลานัดเป็นช่วงสาย ผมยังไม่ได้กินอะไร
แต่ผมเริ่มสนใจกาแฟแก้วที่สองที่มีคนชงเผื่อไว้ซะแล้วสิ”
“มันคงเย็นแล้ว เดี๋ยวผมชงให้คุณใหม่นะ”
“ไม่เป็นไร ตัวผมร้อนเหมือนไฟตลอดเวลาแบบนี้ได้ดื่มอะไรเย็น
ๆ บ้างก็ดีเหมือนกัน”
“คุณมาหลังจากที่ผมส่งข้อความไปแค่ไม่กี่นาทีได้ยังไง
คงไม่ได้วิ่งสี่เท้าฝ่าไฟแดงหรอกใช่ไหม?” เซฮุนไม่ยอมผละตัวออก
เขารู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งเพราะถูกความกลัวเล่นงาน อยากจะเอาแต่ใจทั้งที่รู้ว่าไม่ควร
“อาจจะ”
“เจ้านาย...”
คนถูกเรียกหัวเราะในลำคอ ก่อนจะจับหัวไหล่ทั้งสองข้างของอีกฝ่ายแล้วสบตากัน
“ผมชอบเวลาคุณเรียกด้วยน้ำเสียงแบบนี้นะ
เหมือนจะอ้อนแต่ก็แอบดุในเวลาเดียวกัน”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”
“...”
“คุณน่ะ... มาอยู่แถวนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” คนตัวผอมมองอย่างคาดหวังคำตอบ เขาไม่ใช่แวมไพร์ที่จะอ่านใจใครออก
ไม่ใช่หมาป่าที่จะอ่านความรู้สึกได้ เขาไม่มีความสามารถพิเศษอะไรสักอย่าง
แต่ถึงอย่างนั้นโอเซฮุนก็ยังอยากคาดเดาอย่างเข้าข้างตัวเองว่าเจ้านายไม่ได้มาไกลจากบ้านเพราะข้อความเมื่อครู่แน่
ๆ
“ตีสาม”
“...”
“ผมคิดถึงคุณ แต่ก็ไม่อยากโผล่มาให้เห็นเพราะกลัวคุณจะคิดมากไปกว่าเดิม
แต่สุดท้ายผมก็แพ้กลิ่นกาแฟแก้วที่สองซะได้” ชายหนุ่มยิ้มขำ
“คุณไม่รู้หรอกว่าผมคิดมากได้แค่ไหน
ห้ามคิดแทนผม”
“แต่ผมทำไปแล้ว
จะมีบทลงโทษให้จ่าฝูงที่ทำผิดหรือเปล่าครับคุณเลขา?”
จงอินโอบแก้มเย็นเฉียบของคนตรงหน้าเอาไว้ และเซฮุนก็เอามือเย็น ๆ
ของตนทาบลงกับมือเขาอีกที
“รู้ไหมว่าตอนตีสามผมยังนอนไม่หลับเลย...” คนตัวผอมถูแก้มตนเองกับมือจ่าฝูงเบา ๆ อย่างใคร่รัก ถ้าจงอินมาหาตอนนั้น
โอเซฮุนสัญญาว่าจะอยู่นอนจ้องหน้าอีกฝ่ายจนกว่าจะหลับไป
เขาจะไม่ปล่อยให้จงอินต้องอยู่กับความกังวลในคืนก่อนวันตัดสินตามลำพังเด็ดขาด
“คิดถึงผมมากเกินไปก็เป็นแบบนี้แหละ
แต่ผมจะไม่บอกวิธีทำให้เลิกคิดถึงหรอกนะ”
“คุณนี่...”
เซฮุนถอนหายใจ “เวลาแบบนี้ยังจะพูดเล่นอีก”
“คุณไม่ใช่ผม คุณคงไม่เข้าใจ” จงอินเลื่อนมือลงบนเอวกอด ตวัดกอดพร้อมยิ้มบาง ๆ
ขณะสบตากับเจ้าของหัวใจของตน “อยู่กับคุณแล้วมีความสุขแบบนี้
ใครเครียดออกก็บ้าแล้ว”
“...”
“อา... ชักจะแสบจมูกเพราะกลิ่นเขินของคนแถวนี้ซะแล้วสิ”
“เจ้านาย...”
คนเป็นเลขากดเสียงต่ำ มองคาดโทษคนตรงหน้าที่ยังคงเอาแต่พูดเล่นไม่หยุด
ทั้งคู่สบตากันอยู่ครู่หนึ่ง
สุดท้ายเซฮุนก็ใช้ความกังวลของตนเองเอาชนะการกลบเกลื่อนของอีกฝ่ายได้ในที่สุด
เมื่อรอยยิ้มบนใบหน้าคมค่อย ๆ จางหายไป ก่อนจะแทนที่ด้วยเสียงถอนหายใจเบา ๆ
ซึ่งเจ้านายคงไม่รู้ตัว
“ผมให้” คนตัวผอมก้มลงมองล็อกเก็ตเก่า
ๆ ในมือแกร่ง จดจ้องอย่างประหลาดใจก่อนจะพบว่ามันคือล็อกเก็ตนาฬิกาโบราณซึ่งคงมีอายุนานมากกว่าเขาหลายรอบ
“ดูแลมันให้ดีนะ มันสำคัญสำหรับผมมาก”
“ถ้ามันสำคัญ... แล้วทำไมถึงฝากไว้กับผมล่ะครับ?”
“เพราะคุณสำคัญของผม เซฮุน”
“...”
“และของสำคัญก็ควรอยู่กับคนสำคัญ ผมคิดเรื่องนี้มาดีแล้ว”
จงอินคล้องล็อกเก็ตกับคอคนตรงหน้าพร้อมจัดแจงให้อยู่ตรงกลางอก เซฮุนกำลังก้มลงมองมันอย่างสนใจ
แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยคำถามและความแน่ใจว่าตนเองเหมาะสมกับของสำคัญชิ้นนั้นจริง ๆ
หรือ? “รู้ไหมว่ามันมีอำนาจมากกว่าจ่าฝูงเสียอีก”
“ยังไงครับ?”
“มันสั่งผมได้”
“สั่งคุณ?”
เซฮุนเลิกคิ้วมองอย่างสนใจ
ก่อนจะมองมือแกร่งที่กำลังประคองมือเขาให้บีบปุ่มสีทองเล็ก ๆ
ที่ซ่อนอยู่ข้างหลังล็อกเก็ต
“ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน แค่กดมันครั้งเดียว” ชายหนุ่มผิวแทนก้าวเข้าหาจนประชิดตัวกับอีกฝ่ายจนแทบไม่เหลือช่องว่างให้อากาศวิ่งผ่าน
ทั้งคู่สบตากัน และหัวใจของโอเซฮุนกำลังเต้นเร็วแรงเข้าไปทุกที “ผมจะมาหาคุณทันที”
“...”
“และต่อให้คุณจะอยู่อีกฝั่งของโลก
ผมก็จะตามหาคุณให้เจอ”
เจ้านายไม่ได้ให้คำสัญญาว่าจะไม่มีทางแพ้แวมไพร์อย่างไค
แต่ผู้ชายคนนี้กำลังทำให้โอเซฮุนเชื่อเรื่องของความรักมากกว่าเรื่องของชัยชนะที่บั่นทอนจิตใจมาตลอดทั้งคืน
หลังจากยืนมองอีกฝ่ายยิ้มมานาน สุดท้ายคนเป็นเลขาก็หลุดขำออกมาทั้งน้ำตากับสิ่งที่ตัวเองเป็น
ไม่ว่าจะความกังวล ความไม่แน่ใจ ความหวาดกลัวทั้งหมด
มันถูกทำลายด้วยคำพูดของเจ้านายไปในครั้งเดียว
50%
“แม่เชื่อในตัวลูก
ลูกคือจ่าฝูงผู้ยิ่งใหญ่ ส่วนมันก็แค่แวมไพร์เศษสวะที่ --”
“พอเถอะครับ”
“...”
“ผมอยากอยู่เงียบ ๆ พักสมองหน่อย”
คุณหญิงมองหน้าลูกชายอย่างไม่สบอารมณ์นักหลังจากถูกขัดใจกับการว่าร้ายศัตรูคู่แค้นที่รายนี้มีส่วนเกี่ยวพันกันทางสายเลือด
แม้จะไม่ใช่โดยตรง แต่คุณหญิงก็ต้องทนหัวเสียกับความจริงอยู่ทุกวี่วันว่าแวมไพร์อย่างไคนั้นมีเลือดเนื้อของสามีเธออยู่ครึ่งหนึ่ง
“เอามันให้ตาย จำคำที่แม่พูดไว้” ทั้งเสียงและแววตา จงอินรู้สึกได้ดีทีเดียวว่าแม่คงห่วงเรื่องชัยชนะมากกว่าความเป็นความตายของลูกคนนี้
ชายหนุ่มไม่ได้ยิ้มและขอกอดเอากำลังใจอย่างที่พี่ชายคนโตทำเป็นประจำ จงอินเพียงสบตากับเธอเพื่อขอให้หยุดสั่งเขาเป็นหุ่นเชิดเสียที
คยองซูกับไอรีนรออยู่หน้าบ้าน
ในห้องโถงกว้างจึงเหลือเพียงอดีตจ่าฝูงกับลู่หานเท่านั้น ไม่ใช่ครั้งแรกที่จงอินจะออกไปสู้เพื่อครอบครัว
ได้ชัยชนะมาก็เพราะความสามารถทั้งนั้นไม่ใช่เพราะการขอกำลังใจจากใครที่ไหน
แต่คราวนี้มันต่างออกไป เมื่อสิ่งที่คิมจงอินควรทำไม่ใช่การเดินไปขึ้นรถ แต่เขากำลังหันหน้าเข้าหาพ่อตนเอง
“พ่ออยากพูดอะไรกับผมไหม?”
ทั้งคู่ต่างทิฐิกันมานาน
และจงอินไม่เคยคาดหวังว่าพ่อจะเป็นฝ่ายยอมก่อน ลู่หานมองสองพ่อลูกที่ไม่สนิทกันนัก
แอนิเมจัสหนุ่มลอบถอนหายใจอย่างเนือย ๆ
กับความสัมพันธ์ที่เขาเห็นมาตลอดเจ็ดสิบกว่าปี อาจเป็นเพราะคำทำนายจากผู้หยั่งรู้จงอินถึงได้ยอมถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างคนยอมจำนนกับดวงชะตา
และหันหน้าเข้าคนเป็นพ่อเพื่อวอนขอกำลังใจ
คิมแรวอนยังคงนิ่งจนเขาอยากตะโกนด่าว่า ‘ไอ้คนนิสัยเสีย’ เหมือนอย่างเช่นตอนอีกฝ่ายเป็นเด็กที่ยังไม่ประสีประสานัก
แต่เมื่อเวลาผ่านไปร้อยปี ความเจนโลก บาดแผล
และภาระหน้าที่จึงทำให้หัวใจที่เคยบอบบางแข็งกระด้างไปในบัดดล
ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ถ้าหากจงอินยังต้องแบกรับภาระใหญ่หลวงไว้อย่างนี้
ลู่หานเชื่อว่าสักวันหนึ่งหมอนี่คงกลายเป็นเหมือนพ่อของตัวเอง
เป็นจ่าฝูงที่ไร้ความรู้สึก เย็นชาต่อทุกสิ่ง
เพียงเพราะยึดติดอยู่กับความอยู่รอดและการฆ่าแวมไพร์
ลู่หานเริ่มไม่แน่ใจว่าเขาอยากให้จงอินรอดพ้นจากวันนี้จริง
ๆ หรือไม่... ถ้าหากต้องอยู่อย่างจ่าฝูงที่ต้องเก็บความทรมานไว้ในใจ บางทีการตาย...
ก็อาจจะเป็นการปลอบประโลมหมอนั่นได้ดีที่สุด
*
“ถ้ามาเพื่อโน้มน้าวไม่ให้ผมไปล่ะก็...
น้ากลับไปนั่งทำหน้าหล่อ ๆ ในหอสมุดเหมือนเดิมดีกว่า”
ไคสบตากับน้าชายที่ยืนอยู่หน้าประตู
ก่อนแวมไพร์อีกสามตนอย่างมินโฮ แทฮยอน และซอกจินจะลุกขึ้นโค้งศีรษะทำความเคารพแวมไพร์ที่สูงศักดิ์กว่า
“ออกมาคุยกับน้าหน่อย” คนผิวแทนกลอกตาพลางถอนหายใจแรง ๆ
เพราะรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากเขาเดินตามน้าอี้ชิงออกไป เขาจึงโยนรูปถ่ายประธานบริษัทมิดไนท์แกรนด์เพอร์ฟูมส์ที่ถูกแอบถ่ายตอนกำลังเดินอยู่ในสวนสาธารณะกับเลขาทิ้งลงบนโต๊ะ
“จริง ๆ เล้ย...” มินโฮยิ้มขำพลางส่ายศีรษะ
คงมีแค่จางอี้ชิงเท่านั้นที่ทำให้ไคกลายเป็นเด็กได้
และมันทำให้เขานึกถึงช่วงเวลาเก่า ๆ ขึ้นมา
“เอาไงพี่ ผมคันมือจะแย่แล้ว
อยากฆ่าหมา” แวมไพร์เด็กเห่อวิชาดูจะตื่นเต้นไปกว่าใคร
แทฮยอนจึงกดไหล่อีกฝ่ายให้นั่งลงกับที่
“มันไม่ใช่เรื่องของแก
อยู่ที่นี่ดีที่สุด”
“ได้ไงกัน พี่ไคก็ดูชอบผมออก”
“มันไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นหรอก
เชื่อฉัน”
มินโฮยีผมอีกฝ่ายที่หน้านิ่วคิ้วขมวดแสดงออกถึงความไม่พอใจ “มีอีกหลายวิธีที่เอาใจไอ้ไคได้
แกไม่ต้องรีบหรอก”
“แต่พวกพี่บอกว่ามันต้องหมาหมู่แน่
ๆ ไม่ใช่เหรอ ขาดผมไปคนนึงแล้วจะแย่นะ อย่างน้อยผมก็รับมือรับตีนแทนได้”
“นั่นคือเหตุผลที่ฉันไม่ให้แกไปด้วย พวกมันคงไม่ได้มีแค่นักรบ ระดับจ่าฝูงแค่ข่วนทีเดียวก็ส่งแกไปหาพ่อแม่ในยมโลกได้แล้ว หัดเจียมกะลาหัวบ้างเถอะ”
“พี่แทฮยอนก็พูดงี้ตลอด โด่” เด็กหนุ่มถอนหายใจ
พลางมองรูปถ่ายบนโต๊ะอย่างอาฆาตแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องของตนเอง “พี่ว่าเลขาไรนี่จะไปด้วยไหม?”
“ไม่น่ามั้ง
ปกป้องกันซะขนาดนั้นคงไม่ยอมให้ไปเสี่ยงขอบสนามหรอก”
อยากคิดว่าคงเป็นเพราะเลขาคนก่อน ๆ ถูกไคหลอกไปฆ่าหลายคน
คราวนี้คิมจงอินจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก แต่มันก็ผิดปกติเกินไปทั้งฝั่งนั้นและเพื่อนสนิทอย่างไค
ซงมินโฮจึงตามสืบเองจนได้เรื่องว่าแท้จริงแล้วทั้งสามคนมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน
ไคคิดว่าโอเซฮุนเป็นคู่ชีวิต
ส่วนคิมจงอินก็ตกหลุมรักเลขาของตนเอง และเขาเริ่มไม่แน่ใจว่าที่ไคอยากเอาชนะน้องชายมากขนาดนี้เป็นเพราะต้องการยืนยันตัวตนกับเหล่าแวมไพร์
หรือแค่ต้องการโอเซฮุนมาครอบครองกันแน่?
แต่ในฐานะเพื่อน
ซงมินโฮก็อยากให้ไคเป็นฝ่ายชนะแม้ต้องแลกกับอะไรก็ตาม
“ตัวปัญหาจริง ๆ” เขาพึมพำกับรูปถ่ายในมือซอกจิน
พลางทอดสายตาไปยังผนังไม้ระหว่างรอเพื่อนสนิทคุยธุระกับน้าชาย เด็กหนุ่มยังไม่ละสายตาจากภาพถ่าย
เขามองเจ้าของรอยยิ้มพร้อมนึกถึงคำพูดของไคและแวมไพร์รุ่นพี่อีกสองคน
‘ตัวปัญหาจริง ๆ’
‘ฆ่ามันให้หมดนั่นแหละ’
*
อยู่เฉย ๆ ไม่ได้หรอก... โอเซฮุนทำอย่างนั้นไม่ได้
คาดว่านักข่าวคงเคยมายืนอยู่หน้าบ้านประธานบริษัทน้ำหอมชื่อดังแล้วมากหลายสำนัก
และคงมีแค่วันแรกในการทำงานที่เซฮุนมีความคิดอยากมาที่นี่
ไม่จำเป็นต้องโลกสวยคิดว่าคนบ้านหลังนี้จะต้อนรับเป็นอย่างดี
หลังจากฟื้นตัวกลางห้องโถงกว้างในบ้านตระกูลคิมวันนั้น
โอเซฮุนก็รู้ตัวแล้วว่าฝูงหมาป่าของเจ้านายไม่ได้มีใครยินดียินร้ายกับการมีตัวตนของเลขาคนนี้
เว้นแต่ลู่หาน คยองซู จุนมยอนและไอรีน
แต่เขายืนอยู่ตรงหน้าประตูบ้านแล้ว
อีกแค่เมตรเดียวมือของโอเซฮุนก็สามารถยื่นไปกดกริ่งได้
แต่ตอนนี้ชายหนุ่มทำได้แค่ยืนบีบมือตนเองจนขึ้นข้อขาว
ใจหนึ่งบอกให้เดินไปขึ้นรถแล้วกลับบ้านไปเสีย แต่อีกใจก็อยากสู้เพื่อความรู้สึกของตนเอง
และเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่เกิดความชั่ววูบ
รู้ตัวอีกทีเสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังและมันเกิดขึ้นจากปลายนิ้วของเขา
ไม่รู้จะอ้างเหตุผลไหน อันที่จริงมีคำพูดดี ๆ
มากมายที่เตรียมมาด้วยแต่โอเซฮุนกลับลืมไปจนหมดสิ้นเพราะในหัวมีแต่ความกังวล
ชายหนุ่มตัวผอมยืนอยู่กับความหนาวเหน็บในช่วงฤดูหนาวแต่ภายใต้เสื้อกลับชุ่มฉ่ำไปด้วยเหงื่อ
ควรกดซ้ำดีไหมหรือว่าควรถอดใจ ตอนนี้จะมีใครอยู่บ้านอีก...
ทุกคนน่าจะไปให้กำลังใจเจ้านายไม่ใช่หรือไง
โอเซฮุนช่างโง่เขลาเหลือเกิน
( ไงหนู? )
“...ลู่หาน?” คนตัวผอมมองหน้าจอวิดีโอกริ่งหน้าบ้าน
เพียงครู่เดียวประตูก็เปิดออกโดยเจ้าของชื่อ แอนิเมจัสในชุดเสื้อยืดแขนยาวสบาย ๆ
ขัดกับอากาศในช่วงสายวันนี้ที่มันหนาวจนมนุษย์อย่างเขาต้องสวมเสื้อถึงสองชั้น
“กะแล้วว่าต้องมีคนทนไม่ไหว”
“ผมทำให้คุณลำบากใจหรือเปล่า?”
“ตอนนี้ไม่ แต่อีกหกสิบวินาทีข้างหน้าก็ไม่แน่” ลู่หานเหมือนเข้ามานั่งในใจเขาอย่างไรอย่างนั้น
เซฮุนเม้มริมฝีปากพลางชะโงกหน้าเข้าไปในบ้านเล็กน้อย
แอนิเมจัสหนุ่มจึงเลียนแบบด้วยท่าเดียวกัน “ไม่มีใครอยู่หรอก
ยัยคุณหญิงออกไปงานสังคม ส่วนไอ้คุณผู้ชายฝังรากอยู่ในห้องเครื่องปั้น กลิ่นดินเปียก
ๆ คงกลบกลิ่นการมาของนายได้อยู่”
“แล้วเจ้านาย...
ออกไปนานหรือยังครับ?”
“ก่อนนายมาประมาณครึ่งชั่วโมง กับคยองซู
ไอรีน” เป็นอีกครั้งที่ลู่หานรวบคำตอบให้ในครั้งเดียวราวกับรู้ว่าจะเกิดคำถามถัดมาอีก
“ทำไมคุณไม่ไปกับเขาล่ะ” ถ้าเป็นแอนิเมจัสที่อยู่กับครอบครัวคิมมานาน
แล้วทำไมลู่หานถึงยังอยู่ที่นี่?
“มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีระหว่างจ่าฝูงตระกูลคิมกับไอ้หน้าหยวกที่ต้องการยืนยันจุดยืนของตัวเองว่ามันเลือกเลือดเนื้อฝั่งแวมไพร์มากกว่าฝั่งหมาป่า
ฉันก็เลยเข้าไปเผือกไม่ได้ไง”
“แต่คุณคอยดูแลครอบครัวนี้มานานเป็นร้อย
ๆ ปี... คุณยื่นมือเข้าไปช่วยไม่ได้เลยเหรอครับ?”
เขาไม่เคยคิดจะโกงใคร และมันเป็นครั้งแรกที่เซฮุนมีความคิดอยากให้ลู่หานเล่นตุกติก
“ได้ยินนายพูดแบบนี้แล้วเสียความรู้สึกแปลก
ๆ” แอนิเมจัสหนุ่มแค่นหัวเราะขณะมองหน้าอีกฝ่าย
เขาเท้าแขนกับขอบประตูบ้าน ถอนหายใจใส่แรง ๆ เพื่อให้มนุษย์ตรงหน้ารับรู้ “ถึงไคมันจะนิสัยเสีย
แต่มันก็ควรได้รับผลแพ้ชนะตามความสามารถของมันไม่ใช่หรือไง?”
“...”
“กลับบ้านเถอะ ถ้าผลออกมาแบบไหนเดี๋ยวคงมีคนไปบอกนายถึงที่เอง”
“เดี๋ยว!”
คนที่กำลังจะก้าวเข้าบ้านถูกรั้งเอาไว้ แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้นเซฮุนก็ค่อย ๆ
คลายมือออก ก่อนลู่หานจะหันไปมองด้วยแววตาเรียบเฉย “ผมขอโทษที่พูดจาเห็นแก่ตัวอย่างนั้น”
คนตัวผอมคุกเข่าลงบนพื้นซีเมนต์เย็นเฉียบ เซฮุนรู้สึกผิดกับไคจับใจแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทนแบกรับความรู้สึกนี้ไว้ไม่ไหวเหมือนกัน
แม้จะแสดงออกว่าไม่กลัวและให้กำลังใจเจ้านายไปอย่างเต็มที่
แต่โอเซฮุนรู้ตัวดีว่าเขาเชื่อเรื่องดวงมากกว่าใครที่ไหนในโลก
“ผมทนรอไม่ได้จริง ๆ
หนึ่งนาทีที่มีหกสิบวิ... ผมเอาแต่คิดว่าตอนนี้เจ้านายกำลังจะเป็นยังไง
ถูกกัดไปกี่แผลแล้ว เขาจะเจ็บมากแค่ไหน...”
“...”
“ถึงผมจะมั่นใจในตัวเจ้านาย... แต่ผมก็ข่มความกลัวไม่ได้เลย”
ลู่หานสัมผัสได้ถึงความกลัวของมนุษย์ผ่านน้ำเสียงซึ่งกำลังสั่นจนแทบจับใจความไม่ได้
“เพราะฉะนั้น... ผมขอร้องคุณอย่างนึงได้ไหมครับ?”
“ไม่เอาน่าเซฮุน นายกำลังทำฉันลำบากใจนะ” เขาพูดอย่างอ่อนใจ ทั้งที่รู้ว่าถ้าเปิดประตู เลขาโอก็คงมอบความหรรษาให้แต่ก็ยังเลือกที่จะเปิด
“บอกผมเถอะว่าตอนนี้เจ้านายอยู่ที่ไหน
ผมสัญญาว่าจะดูอยู่ห่าง ๆ ไม่เข้าไปสร้างความวุ่นวายให้เด็ดขาด”
‘อย่าให้เซฮุนเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้’
เสียงของจงอินยังคงก้องอยู่ในความคิด
แอนิเมจัสหนุ่มมองแววตาเว้าวอนของอีกฝ่ายก่อนจะเบือนหลบไปเพื่อหลีกหนีความเห็นใจ
ซีเมนต์นั้นเย็นแค่ไหน คงมีแค่มนุษย์ที่รู้สึกถึงมันได้มากกว่าแอนิเมจัสอย่างเขา
และเซฮุนยังคงคุกเข่าอยู่ตรงนั้นเพื่อวอนขอให้ผู้ชายคนนี้แหกกฎตนเอง
“มันคงเป็นความผิดของจงอินที่ทำให้มนุษย์อย่างนายต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”
“...”
“กลับไปเถอะเซฮุน
อย่าบังคับให้ฉันต้องพูดในสิ่งที่ฉันเองก็ไม่อยากฟังเลย”
ลู่หานตัดบทสนทนาด้วยประตูบ้านที่ถูกปิดลง
คนตัวผอมเงยหน้าขึ้นมองอย่างสิ้นหวัง
หัวใจชาวาบขึ้นมากับหนทางมืดมิดที่เขาไม่มีทางรู้เลยว่าจะต้องเดินไปทางไหน
ความกังวลไม่ได้คลายตัวจางหายไปเลยสักนิด
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าลู่หานแค่ทำสิ่งที่ถูกต้อง เพราะถ้าเขาโผล่หน้าไปที่นั่น
เจ้านายอาจจะพ่ายแพ้เพราะไขว้เขว แต่ถึงอย่างนั้น...
เซฮุนก็ยังดึงดันที่จะสร้างปัญหาอยู่ได้
*
ในโกดังร้างอบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นอับ
ฝ่ายหมาป่ามาถึงก่อนจึงมีโอกาสได้มองแวมไพร์ทั้งสามเดินลงจากรถ ไคไม่มีท่าทีตื่นกลัว
ตึงเครียด หรือกังวลใด ๆ กลับกันแล้วเขายังยิ้มอย่างสบายใจหลังจากรอวันนี้มานาน
สีหน้าจ่าฝูงตอนนี้เหมือนลูกหมาอมทุกข์
นึกขำจนกลั้นไว้ไม่ไหวแต่ก็อยากให้อีกฝ่ายรับรู้จึงหลุดยิ้มออกมาให้เห็นว่าตอนนี้เขาเอ็นดูฝั่งตรงข้ามมากแค่ไหน
คิมจงอินคงรู้ตัวแล้วว่าต่อให้ตายอย่างไรก็ไม่มีทางเอาชนะแวมไพร์อย่างไคได้
และมันคงไม่แย่นักถ้าหากเขาจะสละเวลาไปกับความสงสารสักสองสามวินาที
“โทษที
พอดีแวะหาของอร่อยกินก่อนก็เลยมาสายไปหน่อย”
“ไม่เป็นไร
ก่อนตายแกก็ควรได้กินให้อิ่มท้อง”
“อา... เป็นหมาก็เลยต้องพูดจาหมา ๆ
สินะ แกนี่มันจริง ๆ เลยจงอิน” แวมไพร์หนุ่มแค่นหัวเราะ
มองคนที่ไม่อยากยอมรับว่าเป็นน้องชายทุกฝีก้าว
จงอินกำลังพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นจนถึงข้อศอกพร้อมตรงมาทางนี้
ไคจึงถอดแจ็คเก็ตออกจนเหลือเพียงเสื้อยืดสีดำ
เผยให้เห็นมัดกล้ามและแผงอกแน่นไม่ต่างจากคนตรงหน้า
“อย่าแพ้ล่ะ
เพราะถ้าแกนอนจมกองเลือดเมื่อไหร่
น้องชายผู้เป็นที่รักกับเพื่อนจ่าฝูงของมันจะเป็นศพต่อไป...”
คนถูกยั่วโมโหเพียงยืนนิ่ง ไม่แสดงท่าทีอย่างที่อีกฝ่ายต้องการเห็น
“ฉันก็หวังว่าเพื่อนซากศพที่อยู่ข้างหลังจะไม่วิ่งหนีกลับไปนอนตัวสั่นในโลงเพราะเห็นแกตายเหมือนกัน”
“อ๊า ให้ตายเถอะว่ะ
ลับฝีปากกับหมานี่เสียเวลาชะมัด”
ไคแค่นหัวเราะก่อนจะเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม
หลังจากต่อปากต่อคำกับคนหน้าเหมือนแล้วปรากฏว่าเขาเป็นฝ่ายแพ้เพราะหัวร้อนกับคำพูดของมัน
“ปัญหาทุกอย่างมันไม่ได้จบแค่วันนี้หรอก”
“แหงล่ะ เพราะฉันจะตามเชือดคอครอบครัวแกทีละคนแล้วตัดหัวออกไปเสียบประจานก่อนจะจุดไฟเผาให้เหลือแค่กะโหลกไหม้
ๆ”
“ต่อให้พยายามแค่ไหน
แกก็ไม่มีวันหลอกตัวเองได้” จ่าฝูงหมาป่ากดเสียงลงต่ำ
“ว่าส่วนหนึ่งของแกมีเลือดหมาป่าอยู่”
“หุบปาก!!!” ไคกระชากคอเสื้ออีกฝ่าย
เป็นจังหวะเดียวกับที่กรงเล็บของคนตรงหน้ากางออก
แวมไพร์หนุ่มกัดฟันกรอดก่อนจะโชว์คมเขี้ยวที่คร่าชีวิตใครมานักต่อนัก และหมาป่าโง่
ๆ อย่างคิมจงอินจะเป็นรายต่อไป
“สักวันแกจะต้องเสียใจ”
“ไม่มีอะไรทำให้ฉันรู้สึกแบบนั้นได้
อย่ามาทำเป็นรู้มากไปหน่อยเลย แกมันก็แค่ลูกหมาเพิ่งหัดเดิน เห่าไปวัน ๆ
โดยที่ยังไม่รู้จักโลกดี” ทันทีที่พูดจบ
จงอินก็แค่นหัวเราะแล้วปัดมืออีกคนออกจากคอเสื้อตนเอง
“แกแพ้ตั้งแต่ไม่ยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็น
ต่อให้ฆ่าทุกคนบนโลกแกก็ยังต้องสู้กับคืนวันพระจันทร์เต็มดวงไปจนตาย” ไม่มีรอยยิ้มขี้เล่นอย่างตอนลงจากรถอีก เจตนาของจงอินไม่ใช่การยั่วโมโห
แต่เป็นการเตือนสติแม้จะรู้ดีว่าไคคงไม่อยากทำความเข้าใจ
แวมไพร์หนุ่มขบกรามแน่นขณะสบตากับน้องชายต่างเผ่าพันธุ์
เขาไม่อยากยอมแพ้หมาป่าไม่ว่าจะด้วยทางกายหรือคำพูด
ดังนั้นไคจึงต้องใช้เวลาตั้งสติเกือบครึ่งนาทีก่อนจะเรียกรอยยิ้มกลับมาได้
“ใช่
ฉันอาจจะต้องทนทรมานกับคืนพระจันทร์เต็มดวง แต่มันก็เป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ
ที่ไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน อีกอย่าง... ตอนนั้นฉันคงเสพสุขกับเซฮุนจนแทบลืมไปแล้วว่าต้องทนอยู่กับความรู้สึกแบบนั้น” ชายหนุ่มเว้นจังหวะเพื่อให้จงอินคิดตามสิ่งที่เขาพูด “อ่า ฉันจะลืมเรื่องนี้ไปไม่ได้”
ไคเดินวนรอบตัวน้องชายพลางยกยิ้มอย่างพอใจ
ก่อนจะหยุดยืนอยู่ข้างหลังอีกฝ่ายแล้วกระซิบข้างหู
“เมื่อคืนเซฮุนมาหาฉันถึงบ้าน
เรากอดจูบกันบนโซฟา เขาครางเรียกชื่อฉันจนแทบทนไม่ไหว ถ้าไม่เห็นแก่หน้าแกฉันคงใส่เข้าไปแล้ว...
พนันได้เลยว่าข้างในมันคงฟิตแล้วก็รัดแน่นจนแทบเสร็จทั้งที่ยังไม่ได้ขยับ...
ใช่ไหมจงอิน?”
“กรรรรรรรรรรรรรรรรรรซ์!!!!”
เชิ้ตสีเทาฉีกขาดเป็นริ้วทันทีที่จ่าฝูงกลายร่างเป็นครึ่งคนครึ่งหมาป่า
ไคถอยหลังออกจากจุดนั้นด้วยความเร็วจนคยองซูและไอรีนแทบมองไม่ทัน แวมไพร์หนุ่มมองดวงตาสีแดงของจ่าฝูงกับกรงเล็บแหลมคมที่เคยสร้างบาดแผลให้เขา
“ฮ่า ๆ มันต้องอย่างนี้สิ”
สองพี่น้องที่ฟาดฟันกันด้วยคำพูดกำลังจะเริ่มต้นการต่อสู้ที่แท้จริงแล้ว
*
“...!!!”
“อย่า... อย่าทำหลานฉัน... โอ๊ย”
เจ็บ... เจ็บจนแทบขยับตัวไม่ได้
เซฮุนไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะปกป้องยายจากคนแปลกหน้าซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก
เขากำลังนั่งปอกเปลือกผลไม้ให้ยายกินอยู่ในห้องนั่งเล่นแล้วอยู่ ๆ
ก็มีคนมาเคาะประตู เป็นชายคนหนึ่งอายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันหรืออาจจะน้อยกว่าเขา
โจรงั้นเหรอ? เซฮุนถามตัวเองในใจ... ขนาดมือของอีกฝ่ายไม่ได้ใหญ่ไปกว่าเขาเลยสักนิด
แต่แรงบีบที่คอกลับให้ความรู้สึกมากกว่าขนาดตัวเสียอีก เซฮุนหายใจไม่ออก
ได้แต่ดิ้นทุรนทุรายพร้อมขาทั้งสองข้างที่กำลังลอยขึ้นเหนือพื้น ก่อนจะเขวี้ยงเขาอัดกำแพงอย่างแรง
พอยายจะเข้าไปห้าม
ผู้ชายคนนั้นก็ผลักเธอชนกับขอบโต๊ะ ร่างของหญิงชราจุกจนทรุดลงไปกับพื้นและนั่นทำให้เซฮุนแทบบ้า
ชายหนุ่มตัวผอมรีบประคองร่างตนเองลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล
ตรงดิ่งไปยังแผ่นหลังของคนส่วนสูงพอ ๆ
กันก่อนจะคว้าไหล่ให้หันมาพร้อมซัดหมัดใส่หน้าไปแรง ๆ หนึ่งที
ไม่ได้ผล...
เซฮุนเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
เมื่อคนตรงหน้ายังคงยิ้มเยาะอย่างผู้ชนะไร้ความเจ็บปวดใด ๆ จากหมัดของเขา
“กล้าดีนี่ ฉันชอบว่ะ” คนแปลกหน้ามองมาราวกับว่าเห็นของเล่นชิ้นใหม่
เซฮุนลอบมองไปยังหญิงชราที่กำลังคลานบนพื้นอย่างน่าสงสาร
ก่อนภาพเหล่านั้นจะพร่ามัวเมื่อเขาถูกชกหน้าแล้วเซไปชนกับชั้นไม้จนกระจกแตกกระจายไปกับพื้น
“อ... อา...”
เซฮุนนอนขดตัวบนพื้น
สำหรับคนที่ไม่ชอบเรื่องชกต่อยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตอนนี้โอเซฮุนกำลังสัมผัสเพื่อรับรู้ว่ามันเป็นอย่างไร
เขาทั้งเจ็บและชาในเวลาเดียวกัน ใบหน้าขาวเกิดรอยขีดข่วนจากเศษกระจกจนเลือดออก
สายตาของหลานชายทอดมองไปยังหญิงชราซึ่งน่าเป็นห่วงยิ่งกว่าตัวเขาเสียอีก
“...”
เสียงชัตเตอร์จากกล้องมือถือดังขึ้นราว ๆ
ห้า-หกครั้ง เซฮุนปรือตามองก่อนจะถูกกระชากคอเสื้อขึ้น
ร่างกายของเขาในเวลานี้ไม่ต่างจากตุ๊กตาเลยสักนิด
มันขยับและเคลื่อนไหวไปตามแรงที่อีกฝ่ายชักนำ ทั้งโดนชกหน้าซ้ำ กระชากให้ลุกขึ้นแล้วต่อยท้องจนตัวงอ
“อย่า... อย่าทำหลานฉัน...
ได้โปรด...”
น้ำลายเคล้าเลือดหยดลงบนพื้นบ้าน...
เสียงร้องไห้ปนคำขอร้องของยายไม่ได้ช่วยทำให้ผู้ชายคนนี้หยุดทำร้ายเขา
คนแปลกหน้ายังคงเตะท้องคนเจ็บอย่างนึกสนุก จนเจตนาไปไกลมากเกินกว่าโจรอย่างที่คาดเดาไว้
‘เจ้านาย...
คุณอยู่ไหน...’
เซฮุนได้แต่พร่ำเรียกหาคน ๆ หนึ่งในความคิด
และพอรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพบเจอกับอะไร กำลังลำบากมากกว่านี้แค่ไหน น้ำตามันก็พาลไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“ร้องไห้เหรอ อย่าสำออยสิวะ
แบบนี้มันจะทำให้ฉันเบื่อแก”
“คุณ... คุณต้องการ... อะไร...” เสียงแหบพร่าเอ่ยถามพร้อมกำเศษกระจกไว้ในมือ
“บอกดีไหมนะ...” ชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงมาใกล้ ล้อเล่นกับเหยื่อไปจนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้ายนั่นคือสิ่งที่คิด
ต่อให้ไม่ได้ไปแสดงฝีมือให้เห็น แต่เขาก็ทำให้พี่ไคพอใจได้ด้วยการตัดตัวปัญหาทิ้งไป
พี่ไคฆ่าคิมจงอิน ส่วนเขาฆ่าคนของมัน คิดอย่างนั้นก็สะใจฉิบหาย
“อ๊า!!!!”
เซฮุนผลักร่างอีกฝ่ายออกหลังจากแทงเศษกระจกเข้าตรงซอกคออย่างแรง
เขารีบลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลเพื่อตรงไปประคองร่างของหญิงชรา
ยายคงเจ็บมากเธอถึงทำท่าว่าจะทรุดอยู่ทุกขณะ ระหว่างนั้นก็หันไปมองคนร้ายเป็นระยะ ร่างที่ถูกแทงคอกำลังพยายามดึงเศษกระจกออกพร้อมตะโกนอย่างหัวเสีย
“ไอ้เวรเอ๊ย!!!!!!!!!!!”
“ยายโทรหาตำรวจนะ...
แล้วก็อย่าออกมาเด็ดขาด”
“เข้ามากับยายสิลูก
อย่าไปสู้กับเขาเลย...” สองยายหลานร้องไห้
หัวใจของจองแฮบาแทบแหลกสลายตอนเห็นใบหน้าที่เธอทะนุถนอมมาตลอดยี่สิบกว่าปีเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ
“เซฮุน! อย่าทำแบบนี้ลูก! เซฮุน!”
เจ้าของชื่อล็อกกลอนแล้วยืนพิงประตู
ร่างกายสั่นเทายืนตั้งสติอยู่ตรงนั้นขณะเดียวกันที่คนร้ายลุกขึ้นยืนพร้อมบิดคอจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น
เลือดสีสดยังคงไหลอาบแจ็คเก็ตยีนส์สีอ่อน แต่ชายคนนั้นก็ไม่มีท่าทีว่าจะเจ็บปวดกับมันแม้แต่นิด
“ฉันว่าฉันเริ่มจะรำคาญแกแล้วว่ะ”
“คุณ... ไม่ใช่คน” คนแปลกหน้ายกยิ้มพอใจกับประโยคเมื่อครู่ก่อนจะหันมาสบตากัน
รองเท้าผ้าใบเยิน ๆ ก้าวเข้าหาเหยื่ออย่างใจเย็นก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าของกลิ่นเลือดหอม
ๆ ที่ทำให้หิวขึ้นมา “คุณ... เป็น”
“แวมไพร์ไง
แวมไพร์ที่พวกแกจงเกลียดจงชังนักหนา”
“...”
“ตกใจเลยล่ะสิ” เขาหัวเราะ “ฉันอยากให้พี่ไคเห็นหน้าแกตอนนี้จริง ๆ”
“ไค...?”
“ใช่ ฉันเป็นน้องของพี่ไค” คนฟังรู้สึกเหมือนถูกชกหน้าอีกครั้ง
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหัวใจข้างซ้ายมันวูบไปเพียงเพราะรู้ว่าคนที่กำลังทำร้ายตนเป็นคนของไค
คนที่พร่ำบอกว่าต้องการความรักจากเขา
“ไค... สั่งให้คุณมาฆ่าผมเหรอ?” อีกฝ่ายไม่ได้ให้คำตอบ แต่มันก็ไม่ได้ยากถึงขนาดนั้น
ไคคงโมโหเรื่องเมื่อคืนที่เขาไปขอให้เปลี่ยนใจถึงบ้าน ดังนั้นมันคงไม่แปลกถ้าหากผู้ชายคนนั้นอยากฆ่าเขา
“มีอะไรอยากพูดก่อนตายไหม?” แวมไพร์หนุ่มมองอีกฝ่ายพร้อมบีบคอไว้เพื่อตรึงให้เหยื่อยืนอยู่กับที่
“มี...”
เซฮุนกลืนน้ำลายพลางหลับตาลง เพียงเสี้ยววินาทีสั้น ๆ ที่เขาอยู่ในความมืด
รอยยิ้มเล็ก ๆ ของใครคนหนึ่งก็ลอยเข้ามา
คนที่เข้ามาช่วยเขาจากหมาป่าสามตัวในป่า
คนที่กระโดดรับลูกบอลด้วยปากเหมือนลูกหมาตัวเล็ก ๆ
คนที่ให้ความอบอุ่นแก่เขาในค่ำคืนหนาวเหน็บ
คน ๆ นั้นคือเจ้านายที่โอเซฮุนรัก
“เศษสวะอย่างคุณจะต้องตายอย่างน่าสมเพชด้วยกรงเล็บของคิมจงอิน...”
คนถูกยั่วโมโหออกแรงบีบคออีกฝ่ายแน่นก่อนฟางเส้นสุดท้ายจะขาดไป
คนเป็นแวมไพร์อ้าปากฝังคมเขี้ยวลงบนซอกคอเหยื่อตรงหน้าจนเลือดไหลอาบเสื้อแขนยาวสีขาวแล้วดื่มเลือดอย่างใจเย็น
ภาพความทรงจำตั้งแต่วัยเด็กฉายขึ้นมาราวกับม้วนหนัง
รอยยิ้มของแม่ ความใจดีของยาย เสียงหัวเราะของพี่สาวทั้งสองคน และช่วงเวลาดี ๆ
จากผู้ชายที่ชื่อคิมจงอิน มันพรั่งพรูไหลออกมาเหมือนกับเลือดของเขาในตอนนี้
“...!!!”
ร่างกายแข็งเกร็งจนเหมือนจะขาดใจ เซฮุนกุมล็อกเก็ตแทนใจเอาไว้ก่อนจะรวบรวมเรี่ยวแรงสุดท้ายกดปุ่มลงไป
*
เลือดสีเข้มหยดจากคมเขี้ยวลงพื้นเป็นดวง
สองพี่น้องยังคงต่อสู้กันอย่างไม่มีใครยอมใครแม้ว่าพิษจากบาดแผลจะสร้างความเจ็บปวดให้จนกระอักออกมาเป็นเลือด
ไคเช็ดปากด้วยนิ้วหัวแม่มือ หอบหายใจอย่างหนักขณะที่จงอินก็มีสภาพไม่ต่างกัน
เชิ้ตสีอ่อนของอีกฝ่ายถูกกระชากจนขาดวิ่นเผยให้เห็นรอยคมเขี้ยวกับเลือดที่ไหลอาบมัดกล้ามสีแทน
เราต่างกำลังจะตายเพราะพิษของกันและกัน
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครออกปากยอมแพ้เมื่อความตายคือสิ่งสุดท้ายที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องได้รับ
“กรรรรรรรรรรซ์!!!”
หมาป่าและแวมไพร์พุ่งเข้าหากันด้วยความเร็ว
แลกหมัดกันก่อนคนน้องจะถูกล็อกคอเมื่อไคได้เปรียบเรื่องความรวดเร็วมากกว่า
แต่จ่าฝูงก็ม้วนตัวตีลังกากลับหลังได้จนแวมไพร์เกือบพลาดท่าจึงต้องถอยไปตั้งหลัก
แต่ยังไม่ทันได้พุ่งเข้าหากันอีกครั้ง
ทั้งหมาป่าและแวมไพร์จำต้องหยุดชะงักเมื่อมีบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวเอง
จงอินล้วงเอานาฬิกาข้อมือในกระเป๋ากางเกงที่กำลังส่งเสียงดังไม่หยุดเนื่องจากมันเชื่อมต่อกับล็อกเก็ตของเซฮุน
แต่ชายหนุ่มไม่มีเวลาคิดกับมันมากนักในช่วงเวลาที่พลาดท่าโดนฆ่าได้ทุกวินาที
ไม่อยากคิดว่าเซฮุนกำลังกลัวจนเผลอกดมันเพื่อเรียกหาเขา
เพราะตอนนี้คิมจงอินก็พยายามเป็นอย่างหนักเพื่อเอาชนะไคให้ได้
จ่าฝูงชะงักไปเมื่อพบว่าพี่ชายต่างสายพันธุ์กำลังมีท่าทีแปลก
ๆ ทั้งคนฝั่งหมาป่าและแวมไพร์ต่างหันไปมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจเมื่ออยู่ ๆ
ไคก็ทรุดตัวลงไปคุกเข่ากับพื้นพร้อมกุมศีรษะตนเอง
แต่จงอินก็ไม่ได้ใช้จังหวะนั้นจัดการกับไค
“เซ...”
“...”
“เซฮุน...”
“...”
ทุกคนมองแวมไพร์หนุ่มที่รีบลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
ไคกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอพลางเสยผมขึ้นค้างไว้กลางศีรษะ
เดินวนไปวนมาอยู่กับที่ราวกับคิดไม่ตกก่อนจะหันไปทางจงอิน
“ไค?”
“เซฮุน... เซฮุนกำลังจะตายงั้นเหรอ? ไม่...
มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ”
ไคส่ายศีรษะพลางเดินถอยหลังอย่างคนสติหลุดไปแล้วหลังจากเหตุการณ์ในอนาคตฉายเข้ามาในความคิดอย่างที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย
ๆ ภาพเซฮุนตอนนอนอยู่บนพื้นเต็มไปด้วยเศษแก้ว... ภาพตอนถูกกัดคอจนเลือดโชก
หัวใจเขากำลังชาวาบไปกับภาพเหล่านั้น
“เซฮุนเป็นอะไร?!” จงอินกระโดดข้ามศีรษะอีกฝ่ายพร้อมยืนขวางไว้จนกว่าจะได้คำตอบ
และไคไม่มีเวลามากพอที่จะเสียเวลามากไปกับเรื่องเหล่านั้น
การต่อสู้สิ้นสุดลง
คยองซูกับไอรีนรีบวิ่งมาหาจ่าฝูงที่กลายร่างกลับไปเป็นมนุษย์แล้วหลังจากเห็นไควิ่งด้วยเท้าไปอย่างรวดเร็วโดยทิ้งรถและเพื่อนแวมไพร์อีกสองตนไว้ที่นี่
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ฉันไม่รู้ แต่...” จงอินมองนาฬิกาที่ยังคงส่งเสียงพร้อมบอกพิกัดว่าตอนนี้เจ้าของล็อกเก็ตอยู่ที่ไหน
ผ่านหน้าปัดซึ่งเปลี่ยนไปเป็นระบบแผนที่โลก เขานึกถึงใครอีกคนที่เป็นฝ่ายกดมัน
ใครอีกคนที่เป็นเจ้าของชื่อซึ่งหลุดออกมาจากปากไคเมื่อครู่นี้
‘เซฮุนกำลังจะตาย’
“โทรหาลู่หาน บอกให้เขาพาจุนมยอนไปบ้านเซฮุนเดี๋ยวนี้”
*
“รอตรงนี้ก่อน มีแวมไพร์อยู่ที่นี่”
ลู่หานหันไปบอกคนที่มาด้วยกัน
ซึ่งจุนมยอนก็พยักหน้าแล้วกวาดสายตาไปรอบ ๆ บ้านหลังเล็ก
แอนิเมจัสหนุ่มหลุบสายตามองเศษกระจกกับคราบเลือดที่กระจายอยู่บนพื้น
ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบทันทีที่มีบางสิ่งกระโดดเข้ามา
ชายหนุ่มหน้าตี๋ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ
สบตากับเจ้าของคมเขี้ยวที่ปากเลอะไปด้วยเลือดพร้อมถลกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยก่อนแวมไพร์กระจอกจะถูกมีดเงินเล่มเล็กแทงเข้ากลางคอจนร่างสลายไปเป็นเถ้าธุลีในวินาทีถัดมา
“เวรแล้วไง... จุนมยอน!!!”
ลู่หานตะโกนเรียกคนที่อยู่ด้านนอกหลังจากเห็นร่างขาวซีดราวกับไม่มีเลือดไหลเวียนในร่างกายนอนสะอึกอยู่บนพื้น
เซฮุนปรือตามองเจ้าของเสียง
ริมฝีปากแห้งผากพยายามจะขยับพูดแต่เสียงทั้งหมดเหมือนถูกกลืนหายไปกับเลือดที่แวมไพร์ดื่มด่ำไป
“หายใจเข้าลึก ๆ มองหน้าผมเอาไว้
ลู่หาน ประคองศีรษะเขา อย่าปล่อยให้เซฮุนหลับเด็ดขาด”
มนุษย์ที่โลกเหนือธรรมชาติเรียกว่าผู้รักษากำลังคิดหนักขณะมองกล่องปฐมพยาบาล “ผมไม่คิดว่าจะได้ใช้มัน ให้ตายสิ”
สำหรับคนถูกโทรเรียกให้มาบ้านหลังนี้ในกรณีเผื่อไว้
เพียงเพราะโดคยองซูกังวลว่าอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นกับโอเซฮุน และมันก็ดันเกิดขึ้นจริงเสียอย่างนั้น
“บ้าเอ๊ย ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้?” แอนิเมจัสหนุ่มมองคนในอ้อมกอดอย่างรู้สึกผิด
เขาไม่ได้ไล่โอเซฮุนกลับบ้านมาเพื่อเจอเรื่องแบบนี้ “อย่าหลับเซฮุน
อยู่กับเราก่อน จุนมยอน เร่งมือหน่อยได้ไหม?”
ลู่หานมองเข็มฉีดยาที่กำลังไล่น้ำสีฟ้าเข้าสู่กระแสเลือดคนในอ้อมกอด
เซฮุนยังไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นหลังจากได้ยาต้านพิษแวมไพร์
จุนมยอนจึงฉีดยาอีกตัวที่เข้าไปทดแทนเลือดที่สูญเสียไปได้ แต่เป็นเพราะทั้งคู่มาช้าเกินกว่าที่ควร
สถานการณ์ตอนนี้จึงแขวนอยู่บนเส้นด้าย โอเซฮุนยืนอยู่ตรงกลางความเป็นกับความตาย
ซึ่งลู่หานกับจุนมยอนกำลังพยายามอย่างเต็มที่
“เซฮุน!!!”
“...”
ลู่หานประคองร่างไร้เรี่ยวแรงให้นอนลงพร้อมดันเก้าอี้ไม้บังจุนมยอนไว้หลังจากได้ยินเสียงผู้มาใหม่
แอนิเมจัสหนุ่มกลายร่างเป็นหมาดำตัวใหญ่
โชว์คมเขี้ยวขู่แวมไพร์ตรงหน้าผู้ซึ่งประกาศกร้าวว่าจะโค่นหมาป่าตระกูลคิมให้สิ้นซาก
“ถอยออกไป
ฉันไม่มีเวลามาเล่นกับแกตอนนี้”
“ก็ว่ามา”
เสียงทุ้มซ้อนสองเสียงของหมาดำกล่าวอย่างหนักแน่น
แวมไพร์หนุ่มที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลแยกคมเขี้ยวตอบโต้
ตั้งท่าจะฆ่าแอนิเมจัสประจำตระกูลคิมเพียงเพราะถูกขวางทางไม่ให้เข้าไปเจอเซฮุน
“กลับไปก่อนเถอะไค” เจ้าของชื่อเบนสายตาไปทางใครอีกคนที่ลุกขึ้นยืน “ต่อให้คุณเข้ามาตอนนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้
เซฮุนโดนพิษจากเขี้ยวแวมไพร์ ถูกดูดเลือดจนเกือบหมดตัว ไม่มีทางไหนเลยที่คุณจะช่วยเขาได้”
“ฉันเปลี่ยนเขาได้”
“มันเสี่ยง คุณเองก็รู้” ไคนิ่งไปขณะสบตากับผู้รักษา มันเป็นเรื่องที่เขารู้ดีแก่ใจว่าการเปลี่ยนขณะอยู่ในอาการโคม่านั้นเสี่ยงตายมากแค่ไหน
ดังนั้นคำพูดของอีกฝ่ายจึงทำให้เขาลังเล “ถ้ายังปล่อยไว้แบบนี้เซฮุนต้องตายแน่
ได้โปรด ปล่อยให้ผมรักษาเขา”
ไคยืนหอบหายใจพลางมองเท้าซีดเผือดของคนตัวผอมที่โผล่พ้นออกมาให้เห็นเพียงเท่านั้น
หัวใจของเขากำลังบอบช้ำเหมือนจะแหลกสลายไป
ก่อนจะหันไปเห็นซากเถ้าธุลีของแวมไพร์บนพื้น
“ดูสิว่าคนของแกสร้างเรื่องอะไรเอาไว้?”
ไอ้เด็กเวรนั่น...
“ได้โปรด”
จุนมยอนขับไล่แวมไพร์ออกไปจากตรงนี้ไม่ได้ด้วยพลังวิเศษ
ดังนั้นเขาจึงดึงจุดอ่อนของอีกฝ่ายออกมาใช้เพื่อเกลี้ยกล่อม ซึ่งมันได้ผล...
เมื่อคนผิวแทนค่อย ๆ เดินถอยหลังออกไป
แม้ว่าแววตาคู่นั้นจะมองหาเซฮุนจนวินาทีสุดท้ายก็ตาม
*
ร่างเต็มไปด้วยบาดแผลวิ่งเข้าไปในบ้านหลังเล็กทันทีที่น้องชายจอดรถ
คยองซูและไอรีนต่างมองตามจ่าฝูงด้วยความเป็นห่วงหลังจากได้รับโทรศัพท์ลู่หานเมื่อไม่กี่นาทีก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นกับเซฮุน
ทนายหนุ่มหยุดสายตาอยู่กับแวมไพร์ซึ่งนั่งพิงอยู่กับกำแพงอย่างคนสิ้นหวัง
กระอักเลือดซึ่งเกิดจากพิษของกรงเล็บหมาป่าออกมาจนเลอะเสื้อ หากแต่สายตายังคงเหม่อลอย
ทอดมองไปอย่างไร้จุดหมาย
“ไอ้ลูกหมาเข้าไปได้
แต่ฉันกลับถูกไล่ออกมาแบบนี้”
ทั้งแค้นและเจ็บใจในเวลาเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นห่วงความปลอดภัยของเซฮุนจนไม่มีเรี่ยวแรงพาลใส่ใครที่ไหน
“ฉันจะส่งคนไปบอก ถ้าเขาปลอดภัย”
“ขอบใจ
แต่ฉันจะรอดูผลอยู่ตรงนี้จนกว่าจะเห็นว่าเซฮุนเดินได้”
“แกควรกลับไปรักษาตัว” คยองซูมองพี่ชายต่างสายพันธุ์ที่กำลังแค่นหัวเราะ “มีอะไรค่อยว่ากันทีหลัง”
“ไม่ต้องมาแสดงความหวังดีทั้ง ๆ
ที่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนแกยังยืนลุ้นให้จ่าฝูงเชือดคอฉัน”
“สุดแต่แกจะเข้าใจเองแล้วกัน
ไม่มีใครห้ามความคิดแกได้อยู่แล้ว”
“หึ”
เสียงหวอรถตำรวจดังมาจากระยะไกล
ไคจึงลุกขึ้นหลบหลังเสาพร้อมชะโงกมองไปยังตำรวจที่ก้าวลงจากรถไปหาสองคนนั้น
“มีผู้หญิงแก่โทรแจ้งมาว่ามีคนร้ายเข้าบ้าน
คุณเกี่ยวข้องกับคนบ้านหลังนี้หรือเปล่าครับ?”
“ครับ
ผมเป็นเพื่อนร่วมงานของหลานชายของเธอเอง ตอนนี้ทุกอย่างปกติดีแล้วครับ
ขอบคุณคุณตำรวจที่เป็นธุระให้”
“อ่า อย่างนั้นเหรอครับ?” ตำรวจชะโงกหน้าเข้าไปด้านใน
แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากประตูที่เปิดออกเพียงเล็กน้อยกับดอกทานตะวันซึ่งปลูกประดับหน้าบ้าน
ไอรีนคว้าแขนเพื่อนสนิทให้เดินเข้าไปด้วยกันหลังจากคุยกับตำรวจเรียบร้อยแล้ว
ทั้งคู่หยุดยืนมองซากข้าวของที่กระจัดกระจายเละเทะไม่เหลือชิ้นดีก่อนจะหยุดสายตาอยู่กับจ่าฝูงซึ่งคงถูกห้ามไม่ให้เข้าไปเช่นกัน
“ไอ้เด็กเวรนี่ หัดฟังกันหน่อยได้ไหมวะ?” ลู่หานเริ่มหัวเสีย เขาพยายามให้ยาสมานแผลพิษแวมไพร์กับไอ้จ่าฝูงหน้าโง่
แต่อีกฝ่ายกลับยื้อดึงจะเข้าไปดูอาการเซฮุนให้ได้
“ใครทำแบบนี้... มันเป็นใคร?” คยองซูมองพี่ชายที่ดวงตากลายเป็นสีแดงเพราะโทสะ และตอนนี้จงอินคงเจ็บใจที่มาช้ากว่าไค
แวมไพร์ที่มีความสามารถเด่นชัดมากกว่าหมาป่าอย่างหนึ่งคือเรื่องความเร็ว
“อยู่กับพวกเราก่อนเซฮุน” จุนมยอนพยายามประคองลมหายใจอีกฝ่ายเอาไว้ แต่ชีพจรคนตัวผอมก็แผ่วลงเรื่อย
ๆ ไปพร้อมอัตราการเต้นของหัวใจ
“เร่งมือหน่อยจุนมยอน”
“ผมกำลังพยายามอยู่”
สิ้นสุดความอดทนแล้ว จงอินสะบัดแขนลู่หานออกก่อนจะตรงเข้าไปประคองร่างไร้เรี่ยวแรงของคนรักขึ้นแนบอก
แม้ว่าตนเองจะเจ็บสาหัสมากเพียงใด แต่วินาทีนี้เซฮุนสำคัญมากกว่าสิ่งไหนและจงอินจะไม่ยอมปล่อยมือออกจากอีกฝ่ายเด็ดขาด
ไม่มีใครห้ามอีกเมื่อจ่าฝูงกำลังช่วยเซฮุนด้วยการแบ่งความเจ็บมาไว้กับตน
ชายหนุ่มผิวแทนหลับตาลงพลางขบกรามแน่น มือข้างหนึ่งโอบศีรษะคนรักไว้
ส่วนอีกข้างกำลังไร้ความรู้สึกไปเพราะพิษเดิมจากคมเขี้ยวแวมไพร์และพิษใหม่ที่ดูดมาจากร่างกายเซฮุน
คยองซูกับไอรีนตามมาสมทบ
ทั้งสามคนช่วยกันแบ่งความเจ็บปวดจนเส้นเลือดขึ้นเป็นสีดำแต่ก็ช่วยอะไรได้ไม่มากนัก
เมื่อเหตุผลหลักที่ทำให้เซฮุนกำลังจะตายคือการเสียเลือด
“จุนมยอน... เขาเป็นยังไงบ้าง”
“...”
“บอกผม” เสียงของจงอินแหบพร่า
เขาสบตาผ่านเลนส์แว่นของผู้รักษาซึ่งดูเหมือนว่าจะให้คำตอบที่ไม่ต้องการ
“เรา... คงยื้อเขาไม่ได้แล้วจงอิน”
“...”
“เซฮุนเสียเลือดมากเกินไป
และการให้เลือดทางการแพทย์ก็คงช่วยเขาไม่ได้ ผม...”
“ไม่...” เขาไม่ได้ออกไปสู้กับไคเพื่อเจอเรื่องแบบนี้
จงอินรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังแหลกเป็นผุยผงกับคำตอบที่แม้แต่พระเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์พูดแบบนี้กับเขา
“ผมพยายามแล้ว แต่มันสายเกิน --”
“ไม่... มันจะไม่มีคำว่าสายเกินไปเด็ดขาด”
ทุกสายตาหยุดที่ชายหนุ่มผิวแทน
จงอินเงียบไปครู่หนึ่งพลางก้มลงมองร่างไร้เรี่ยวแรงของเลขาที่มักจะพูดให้เขายิ้มได้เสมอ
คนที่ทำให้โลกของหมาป่าโง่ ๆ มีสีสันขึ้นมาหลังจากจมอยู่ในความมืดมานานเกินเจ็ดสิบปี...
ดังนั้น... คิมจงอินจะไม่ยอมสูญเสียโอเซฮุนไปโดยเด็ดขาด
“...!!!”
ทุกคนเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อตัวเองกับทางเลือกสุดท้ายที่คิมจงอินใช้กับโอเซฮุน
โดยการฝังคมเขี้ยวลงบนข้อมือขาวซีด ลู่หานกำมือขึ้นป้องปาก
สบถคำหยาบออกมาอย่างคนรู้ชะตากรรมในอีกไม่ช้าว่าจะต้องเกิดหายนะขึ้นอย่างเป็นแน่แท้
ชายหนุ่มผละออกมาทั้งที่ริมฝีปากยังเปรอะไปด้วยเลือดคนรัก
เขาหอบหายใจหนักกับพิษบาดแผลที่เริ่มหนักขึ้นเพราะไม่ได้รับการรักษา
แต่ถึงอย่างนั้นจงอินก็ยังตระกองกอดร่างเซฮุนไว้แนบอกและจูบลงบนศีรษะอย่างใคร่รัก
“โอเคจงอิน”
จุนมยอนเลียริมฝีปากพลางถอนหายใจหนัก ๆ เขาเลือกเข็มฉีดยาที่เตรียมไว้ทุกสถานการณ์เพื่อหมาป่าตระกูลคิม
ก่อนจะมองไปทางจ่าฝูงที่นั่งพิงศีรษะกับผนังอย่างหมดแรง “ผมจะฉีดยาให้
เพราะฉะนั้นคุณนั่งอยู่เฉย ๆ แล้วหายใจลึก ๆ นะ ตกลงไหม?”
“...”
“ดี...
คุณจะกลับมาแข็งแรงอีกครั้งเพื่อนั่งเฝ้าดูการอาการเซฮุน”
ผู้รักษาพยายามเกลี้ยกล่อมจ่าฝูงหมาป่าที่กำลังถูกความกลัวการสูญเสียเล่นงานจนเสียความเป็นตัวเองไป
จงอินปรือตาช้า ๆ ทั้งที่ยังกอดคนรักเอาไว้
และมือที่เซฮุนเคยบอกว่าอบอุ่นจับใจ...
ยังคงแบ่งรับความเจ็บเข้าสู่ร่างกายจนถึงวินาทีนี้
*
“แกคิดจะทำบ้าอะไรฮะคิมจงอิน?” เรียกว่าคลั่งไปแล้วก็คงได้สำหรับสิ่งที่ลู่หานเป็นตอนนี้
เขานึกสีหน้ายัยคุณหญิงบ้านั่นออกเลยว่าหล่อนจะเป็นอย่างไรหลังจากรู้ว่าคิมจงอินช่วยชีวิตโอเซฮุนด้วยการพยายามเปลี่ยนให้เป็นหมาป่า
“ใจเย็นก่อนได้ไหม
เรายังไม่รู้เลยว่าจะได้ผลหรือเปล่า”
ไอรีนมองสีหน้าซีดเผือดของคนตัวผอมโดยไม่หันไปต่อล้อต่อเถียงกับแอนิเมจัสประจำตระกูลคิม
“ก่อนหน้านี้ยายแก่ ๆ ก็เดินออกมาจากห้องแล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ฉันเลยโปรยผงผีเสื้อใส่เพื่อให้หล่อนหลับไปสักสาม-สี่ชั่วโมง ลองจินตนาการตอนหล่อนตื่นขึ้นมาแล้วเห็นว่าหลานชายนอนตายตัวซีดอยู่ตรงนั้น
หรือไม่ก็กลายเป็นหมาป่า ไม่สิ -- ถ้าเขาเปลี่ยน
เขาจะกลายร่างในวันพระจันทร์เต็มดวงไม่ใช่ตอนนี้ แล้วคืนแบบนั้นใครจะเอาอยู่ เซฮุนไม่ได้เป็นหมาป่ามาตั้งแต่เกิดเหมือนพวกแกสามคน
เขาต้องคลั่งจนได้ลงข่าวหน้าหนึ่งแน่ว่ามีสัตว์ประหลาดบุกใจกลางกรุงโซล”
“ฉันไม่มีทางเลือกแล้วนายก็รู้” จงอินถอนหายใจพลางมองร่างที่ถูกพามานอนบนเตียง ผ่านไปแล้วสี่ชั่วโมงแต่เซฮุนก็ยังไม่ได้สติ เขายังไม่ได้รับข่าวดี แต่ข่าวร้ายก็ยังไม่มาถึงเช่นกันเมื่ออัตราการเต้นของหัวใจอีกฝ่ายยังคงอยู่
“แล้วเรื่องสู้กับไคว่าไง?”
“ฉันไม่รู้”
“ไม่รู้?
ดูเป็นคำตอบที่โง่ดีนะแกว่าไงวะเพื่อนยาก?” ลู่หานแค่นหัวเราะ
แต่จงอินก็ยังเลือกนั่งก้มหน้าอมทุกข์เหมือนสี่ชั่วโมงที่ผ่านมา “ไอ้หมอนั่นก็ดูจะเป็นจะตายตอนมาถึง
แต่คนที่ทำให้เซฮุนเป็นคนแบบนี้ก็พวกเดียวกับมัน โทษทีนะ เป็นบ้าอะไรกันไปหมด?”
“เรื่องนั้นไว้ค่อยว่ากันทีหลัง
ตอนนี้เราควรห่วงว่าเซฮุนจะรอด --”
“...!!!”
คำพูดทุกอย่างถูกกลืนลงคอไปหมดเมื่ออยู่ ๆ
ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงก็ดีดตัวลุกขึ้นมากลางวงสนทนา
ลู่หานกำมือป้องปากอีกครั้งเมื่อคนที่มีทีท่าว่าจะตายเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนกำลังกำคอเสื้อซึ่งเลอะไปด้วยคราบเลือดพร้อมหอบหายใจเสียงดังจนจงอินต้องเข้าไปประคองด้วยความเป็นห่วง
“ขอน้ำหน่อย” คยองซูรีบรินน้ำใส่แก้วแล้วยื่นให้พี่ชาย ซึ่งเซฮุนก็รับไปดื่มอย่างกระหายก่อนจะเข้าสู่สภาพปกติในเวลาถัดมา
“ยาย!”
“เธอปลอดภัย”
ทนายหนุ่มเป็นฝ่ายให้ความสบายใจ เซฮุนถึงได้สงบลง
“พวกคุณ...”
ผิวที่เคยซีดเผือดเริ่มมีสีสันตามส่วนที่ควรมี คนตัวผอมกวาดสายตามองครอบครัวตระกูลคิมซึ่งอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันก่อนจะหยุดสายตากับคนผิวแทน
“เจ้านาย...”
ทั้งคู่สวมกอดกันโดยไม่รู้ว่าใครเริ่มก่อน
จงอินจูบขมับชื้นพร้อมลูบศีรษะปลอบประโลมคนรักที่เพิ่งผ่านเรื่องโหดร้ายมาได้
เซฮุนซบหน้าลงกับไหล่ซึ่งเต็มไปด้วยคราบเลือด กระชับกอดแน่นราวกับว่าเป็นวินาทีสุดท้ายของชีวิตหลังจากรอดพ้นจากความตายมาได้อย่างหวุดหวิด
“ผมขอโทษเซฮุน ผมขอโทษ” เจ้าของชื่อส่ายศีรษะพรืด มันไม่ใช่ความผิดของเจ้านายเลยสักนิดที่เขาต้องเจอเรื่องแบบนี้
“ผมจะไปดูอาการคุณยายหน่อย” ผู้รักษาพูดทำลายความเงียบพร้อมหยิบกล่องอุปกรณ์
“คุณจุนมยอน”
เจ้าของชื่อหยุดฝีเท้าหน้าประตู ก่อนจะหันไปสบตากับคนบนเตียงที่กำลังยิ้มให้เขา “ขอบคุณที่ช่วยผมนะครับ”
ความกระอักกระอ่วนเกิดขึ้นจนแทบสำลัก จุนมยอนเลียริมฝีปากและเลือกที่จะฝืนยิ้มก่อนจะหันไปสบตากับจงอิน
“ไม่ใช่ผมคนเดียวหรอก”
“ขอบคุณทุกคนเลย
ขอบคุณที่มาช่วยผมนะครับ” คยองซูกับไอรีนมองหน้ากัน
และคงมีเพียงจ่าฝูงสาวเท่านั้นที่ยิ้มตามมารยาทอย่างเช่นที่จุนมยอนทำเมื่อครู่
“ช่วยงั้นเหรอ...
ถ้าเซฮุนรู้ว่าที่รอดมาได้เป็นเพราะถูกจงอินเปลี่ยน... เขาจะรู้สึกยังไง?” ไอรีนกระซิบเพื่อนสนิท และคยองซูก็ปรามเธอด้วยการส่ายศีรษะ
“ไว้ค่อยคุยกันข้างนอก”
จงอินเกลี่ยปอยผมออกจากดวงหน้าขาวที่ยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เซฮุนคงคิดว่าเขาชนะถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ได้ ทั้งที่ความจริงแล้วเขาพ่ายแพ้อย่างยับเยิน
คิมจงอินโกรธตัวเองเหลือเกิน โกรธที่มาถึงที่นี่ได้ช้ากว่าแวมไพร์
โกรธที่ปกป้องเซฮุนไว้ไม่ได้ โกรธที่ไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะทำอะไร ๆ
ให้มันเป็นเรื่องง่ายกว่านี้
โกรธตัวเองที่สุดท้ายเขาก็เปลี่ยนให้เซฮุนเป็นหมาป่าเหมือนกัน
TBC
ผ่ามมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
ไปตามท่านไคก่อนนะคะ เสื้อผ้าขาด ๆ
เปื้อนเลือดอยู่หน้าบ้านแบบนั้น
เด่วโดนตำรวจซิวเพราะคิดว่าเปนคนร้ายที่บุกขึ้นบ้านคุณยายจอง
ความคิดเห็น