คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #45 : Season 2 | Painkiller 20 :: Ghost house. (100%)
? cactus
CHAPTER
20
Ghost House
(CUT)
จิง
ๆ หน้านี้มีตัวหนังสืออยู่ประมาณ 4
หมื่น 8พันคำ
แต่คนมีบาปกรรมเท่านั้นที่จะมองเหนแค่คำว่าคัท
50%
อาจารย์แต่ละท่านต่างให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีกับการที่แทอูขออัดวิดีโอการเรียนการสอนในแต่ละวันเพื่อเอาไปให้คนป่วยได้ศึกษา แม้ว่าจะอยู่ในช่วงพักฟื้นแต่จุนมยอนก็ไม่ยอมนั่ง ๆ นอน ๆ เหมือนคนป่วยทั่วไป หมอนั่นเอาแต่อ่านหนังสือเพียงเพราะผอ.จัดการเดินเรื่องให้สอบปลายภาคทีหลังคนอื่นได้ โดยไม่ต้องซ้ำชั้นอย่างที่ใคร ๆ เป็นกังวล
ทุก ๆ เรื่องกำลังดีขึ้นตามลำดับ ชาร์ลี
ฮอปส์เริ่มกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติได้ ไม่สิ... อันที่จริงต้องเรียกว่าใช้ชีวิตใหม่เสียมากกว่า
เขาเริ่มมองกว้างขึ้น โดยเริ่มต้นจากการเห็นคนรอบข้างเป็นเพื่อนอย่างสนิทใจ
โดยไม่ได้สร้างคำ ๆ นั้นไว้ให้แบคฮยอนกับจุนมยอนเพียงสองคน
สมุดภาพเล่มตัวอย่างถูกปล่อยออกมาล่อตาล่อใจ
เหล่าเด็กสาวที่โอนเงินช้าต่างถล่มเว็บบอร์ดเพื่อร้องขอให้ขายเซ็ตลิมิเต็ดเพิ่มเพียงเพราะอยากได้รูปเซ็ตลับที่มีทั้งเปลือยท่อนบน
กล้าม และการสกินชิปแบบที่สาววายชอบ
ลิตเติ้ลโมจิทำหน้าที่แทนจุนมยอนโดยไม่บ่นสักคำ
กระทั่งเขา คิมไค และแทอูยื่นมือเข้าไปช่วยนั่นแหละ การลบกระดาน
หอบสมุดการบ้านไปส่ง จึงกลายเป็นเรื่องที่เพื่อน ๆ
ในห้องเริ่มคิดกันได้ด้วยตัวเองว่าหน้าที่เหล่านั้นควรช่วยกันไม่ใช่โยนให้ใครคนไหนคนหนึ่งทำ
ทุกอย่างกำลังดีขึ้นจริง ๆ ดีจนชาร์ลี
ฮอปส์ไม่เคยคิดว่าชีวิตจะเดินมาในทางเส้นนี้ได้ เขาไม่เคยคิดจะอ่านหนังสือสอบ
กระทั่งถูกความนุ่มนิ่มอ้อนว่าถ้าได้เทอมนี้ได้คะแนนดีเจ้าตัวจะมีรางวัลให้
ซึ่งเอาเข้าจริงเด็กหนุ่มก็ไม่ได้คาดหวังรางวัลนั่นสักเท่าไหร่
แต่พอคิดว่าน้องน้อยจะเป็นคนให้ แรงบันดาลใจในการอ่านหนังสือจึงพุ่งพล่านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
การสอบปลายภาคสิ้นสุดลง บางคนเอาเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าเพื่อเตรียมกลับบ้านตั้งแต่เย็นวันนั้น แต่ก็ยังมีกลุ่มเด็กที่ยังอยากอยู่โรงเรียนประจำมากกว่าให้กลับไปอยู่กับความน่าเบื่อ แน่ล่ะ ก็ไอ้หลังคาสามเหลี่ยมที่เรียกว่าบ้านนั่นไม่ได้ให้ความสุขความสบายใจกับเด็กทุกคน บ้านบางหลังมีพ่อแม่คอยตามใจ เข้าใจ สนับสนุนทุกอย่าง แต่บ้านอีกหลังก็เลือกเชื่อความรู้สึกตัวเองมากกว่าและยัดเยียดสิ่งที่ตนเองต้องการให้กับเด็ก ดังนั้นการอยู่กับเพื่อนในหอตลอดช่วงปิดเทอมจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่เด็กหลายคนอยากทำ
หนึ่งในนั้นคือชาร์ลี ฮอปส์
“โมจิ”
“คับ!”
เจ้าของชื่อขานตอบแล้วรีบวิ่งไปหาคนที่ตะโกนออกมาจากห้องน้ำ
ก่อนจะพบแฟนหนุ่มในร่างเปลือยเปล่านอนแช่อยู่ในอ่าง พร้อมมองมาด้วยสายตาที่แบคฮยอนพอจะรู้ว่าไม่ได้มีความลามกแฝงอยู่
“ถูหลังให้หน่อยดิ”
“ได้”
น้องน้อยขานตอบอย่างว่าง่ายพร้อมยกเท้าขึ้นเหยียบขอบอ่างจนเขาผงะเล็กน้อย
“ทำบ้าไร”
“พับขากางเกงให้เรา”
“WHAT? ยูก็พับด้วยตัวเองมาทั้งชีวิตแล้วปะวะ
อย่ามา --”
“ไม่ทำใช่ไหม ได้ชาร์ลได้
เดี๋ยวเราไปเคาะประตูให้คิมไคออกมาพับขากุงเกงให้ก็ได้”
กวนตีนไม่พอยังตัดพ้อเก่งอีก
ชาร์ลกัดฟันกรอดพร้อมคว้าขาตัวแสบไว้ก่อนที่จะมีโอกาสยั่วโมโหเขาได้มากไปกว่านี้
“เดี๋ยวจะโดนนะโมจิ เตือนไว้ก่อน”
“เดี๋ยวจะโดนนะชาร์ล เตือนไว้ก่อน” ปากยื่น ๆ ตอนกำลังเลียนเสียงนี่ไม่อยากพูดเลยว่ากระตุกต่อมคนบ้ากามให้ชาร์ลี
ฮอปส์แค่ไหน เด็กหนุ่มมองค้อนน้องน้อยพลางพับขากางเกงให้
สุดท้ายคนที่เก่งไม่สุดก็คือคนขี้หึงเหรอวะ
“ไม่พ้งไม่พับแม่งละ”
“เป็นอะไรอีกอะ หูย เอาแต่ใจมาก ๆ”
“แก้ผ้าลงมาอาบด้วยกันเลยมา”
“นึกว่าจะไม่ชวนซะแล้ว ถอยคับถอย
ขอพื้นที่หน่อย ลิตเติ้ลโมจิจะลงอ่างแล้ว” อะไร ปาร์คแบคฮยอนกลายเป็นคนไม่เขินกับสิ่งไหนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ชาร์ลหรี่ตามองคนที่แทนตัวเองด้วยชื่อที่เขาตั้งให้ด้วยน้ำเสียงชวนบีบเป็นก้อนแล้วกลืนลงคอ
ภาพตอนน้องน้อยรีบแก้เสื้อผ้าลงอ่างโดยไม่มีท่าทีว่าจะกลัวโดนปล้ำเลยแม้แต่นิดเดียวนั่นน่ะ
หงุดหงิดแล้วว่ะ
แบคฮยอนกำลังทำให้เขาไม่อยากกลับไมอามี่
“หันหลังหน่อย”
“ถูดี ๆ นะ ห้ามเล่น” เขาชี้คาดโทษความนุ่มนิ่มที่หรี่ตาอมยิ้มเหมือนมีแผนอยู่ในใจ
“น้องจะถูให้อย่างตั้งใจเลยคับ”
“...”
อันตรายเกินไปแล้ว ชาร์ลี ฮอปส์รู้สึกเหมือนจะเป็นบ้ากับความน่ารักน่าหยิกของแฟนตัวน้อยที่เอาแต่อ้อนไม่หยุดจนไม่อยากเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแล้ว
เขาต้องห่างจากความนุ่มนิ่มเป็นเดือน และทำได้แค่ฟังเสียงกับเปิดกล้องคุยซึ่งแน่นอนว่ามันไม่พอเยียวยาความคิดถึง
“เมื่อกี้ทำอะไรอยู่ นั่งรอตั้งนาน”
“ก็ชาร์ลไม่ชวนเรานี่”
“ความผิดฉันหรือไง
หัดเดาใจแฟนบ้างสิ โง่จริง” ชาร์ลหันไปแยกเขี้ยวใส่คนที่นั่งทำหน้ามุ่งมั่นถูหลังให้อย่างตั้งใจ
“งั้นวันหลังเราจะพังประตูเข้ามาเลย”
“แรงเยอะมากมั้ง ตัวก็แค่นี้”
บ่นอุบอิบพร้อมจีบมือขึ้นเป็นท่าประกอบ
แค่คิดสภาพปาร์คแบคฮยอนตอนวิ่งชนประตูก็อยากขำให้ก้องโลกแล้ว
ไม่วายคงกระเด็นล้มลงไปกองกับพื้น
“ตัวก็แค่นิ”
“ล้อเลียนเหรอ เดี๋ยวเจ็บ”
“ทำไมวันนี้ป่าเถื่อนจังอะ
คีพลุคคนนิสัยแย่อยู่เหรอหะชาร์ลี ฮอปส์!”
ความนุ่มนิ่มขยับเข้ามากอดเขาจากด้านหลังพร้อมเอาคางเกยไหล่อย่างออดอ้อน
“โหดปะล่ะ”
“โหดที่สุด”
ลูกหมาตัวน้อยขมวดคิ้วงับไหล่กว้าง และฟันคม ๆ นั่นก็เรียกรอยยิ้มจากเด็กหนุ่มลูกครึ่งได้มากกว่าจะหันไปแยกเขี้ยวใส่
“จุ๊บ”
“อย่าทำ เดี๋ยวก็ของขึ้นหรอก”
“ทำสิ เราก็ของขึ้นแล้ว”
“ว่าไงนะ?”
ชาร์ลี ฮอปส์หูฝาดไปหรือเปล่า
วูบหนึ่งเลยทีเดียวที่เขารู้สึกอยากหยิบไม้เรียวขึ้นมาฟาดความนุ่มนิ่มเหมือนที่พ่อแม่หัวโบราณลงโทษลูกเวลาพูดจาไม่น่ารัก
เออ!!! รู้น่าว่าทั้งหมดทั้งมวลที่บ่มเพาะให้น้องน้อยเป็นเด็กแก่แดดแบบนี้ก็เพราะเขา
แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้ดิ
“ฮึบ!”
“โมจิ?!”
เด็กหนุ่มเบิกตากว้างรีบหันไปทั้งตัวเพื่อคาดโทษอีกฝ่าย หลังจากคนที่เป็นรับมาตลอดอย่างน้องน้อยมีความพิเรนทร์ทำท่ากระแทกตุ้งติ้งเล็ก
ๆ นั่นใส่ก้นเขาไม่หยุด!!!!!
“คับ!”
“ยังจะคับอีก!!!!”
“ชาร์ลเขินสินะ หน้าแดงมากเลย”
“แบบนี้ไม่ใช่เขินโว้ย!!! หัวร้อนอะหัวร้อน!!!”
เด็กหนุ่มจับข้อมือคนตัวเล็กที่นั่งหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างนึกสนุก
ก่อนจะก้มศีรษะลงเพื่อช้อนตัวความดื้อขึ้นพาดไหล่จนน้ำกระเซ็นออกจากอ่าง
“โอ๊ะ เลือดเรากำลังไหลลงหัว”
“แล้วตายยัง?!”
“ยัง แต่ถ้าเป็นผีเมื่อไหร่เราจะมาหลอกชาร์ลเป็นคนแรกเลย”
“มาดิ จะปล้ำ จะจูบจนปากเจ่อเลย” เด็กหนุ่มตัวสูงวางร่างเปลือยเปล่าลงบนซิงค์อ่างล้างหน้า
ก่อนความนุ่มนิ่มจะสะดุ้ง
“เย็นก้นอะ”
“โมจิ”
จะเกินไปละนะ เป็นอะไร ทำไมวันนี้ต้องน่ารัก น่ามันเขี้ยว
แม้แต่ตอนยกก้นขึ้นแล้วเงยหน้าทำปากยื่นฟ้องว่าไอ้หินขัดโง่ ๆ นี่มันเย็นมากแค่ไหน
“อย่าทำแบบนี้ดิ เดี๋ยวก็ทิ้งตั๋วเครื่องบินซะหรอก”
“ไม่ได้นะ แม่รอชาร์ลอยู่”
“รอเพราะอยากได้เงินจากพ่ออะดิ” เขาปล่อยให้มือนุ่ม ๆ ลูบแก้มเบา ๆ ขณะสบตากัน
แค่นึกถึงผู้หญิงที่ให้ชาร์ลี
ฮอปส์เกิดมาเป็นภาระสังคมก็เหนื่อยขึ้นมาเสียอย่างนั้นทั้งที่แค่ยืนเฉย ๆ “ตั้งเดือนนึงเลยนะโมจิ”
เด็กหนุ่มก้มลงหอมแก้มคนรักฟอดใหญ่
ก่อนจะจูบไล่ไปตั้งแต่หน้าผาก ปลายจมูก จนเลื่อนมาจุ๊บปากเหมือนอยากจดจำรายละเอียดแฟนไว้ช่วยตัวเองตอนอยู่ไมอามี่
“ห้ามพูดย้ำ เดี๋ยวเราจะงี่เง่า”
“ก็เอาสิ
ความจริงนายน่าจะขอเรื่องนี้กับพ่อแม่
ฉันเชื่อว่าอาชานยอลต้องยอมจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินให้แน่”
“อื้อ เรารู้
เราอยากอยู่กับชาร์ลนะ แต่อีกใจเราก็อยากให้ชาร์ลใช้เวลากับที่นั่นให้เต็มที่ อยู่กับเพื่อนกับบรรยากาศเก่า
ๆ เพราะถ้าเราไปด้วยชาร์ลก็คงสนใจเราแค่คนเดียว”
“ไปหัดเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหน?” เด็กหนุ่มหรี่ตามองคนตัวเล็กที่อยู่ ๆ ก็เอามือจับแก้มตัวเองอย่างขลาดอาย
“นั่นสิ เราหลงตัวเองมากเลยอะ
ทั้งที่ความจริงชาร์ลอาจจะทิ้งให้เรานั่งอยู่กับแพนเค้กแห้ง ๆ
ตอนออกไปแฮงค์เอาท์กับเพื่อนก็ได้”
“ใครจะทำอย่างนั้นล่ะ บ้าว่ะ” เด็กหนุ่มเอาสบู่มาถูตัวให้คนตรงหน้า
ก่อนสองมือจะชะงักไปเพราะศีรษะทุยเอนลงมาซบกับแผงอกของเขา
“หนึ่งเดือนที่ไม่ได้เจอกันชาร์ลจะได้คิดถึงเรามาก
ๆ ไง...”
“นายไม่รู้หรอกว่า ‘คิดถึงมาก ๆ’ ในแบบของฉันมันเป็นยังไง” จูงมือน้องน้อยให้เข้ามายืนอยู่ใต้ฝักบัว ก่อนจะเปิดน้ำล้างตัวให้
“เป็นยังไงเหรอ เล่าให้เราฟังหน่อย” แบคฮยอนช้อนตามอง
สบตากับคนตัวโตก่อนที่เราต้องแยกกันในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
ชาร์ลจะไปขึ้นเครื่องกลับไมอามี่แล้ว
และเขาก็จะกลับไปเป็นลูกชายคนโตที่ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านกับครอบครัวเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอด
“ไว้ถึงตอนนั้นนายก็จะรู้เอง”
คนตัวเล็กหลับตาลงรับจูบอุ่น ๆ ตรงหน้าผาก
ต้องคิดถึงมากแน่เลย ชาร์ลก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าความคิดของของปาร์คแบคฮยอนมันเป็นยังไงและมากแค่ไหน
แต่ถ้าพูดไปตอนนี้คงไม่ดีแน่ เขาอยากให้อีกฝ่ายกลับไปใช้เวลาอยู่ที่บ้านเกิด
ถึงแม้ว่ามันจะน่าอึดอัด แต่อีกใจก็คิดว่าบางทีปาฏิหาริย์อาจจะเกิดขึ้นก็ได้
ในเมื่อชาร์ลเป็นคนที่ดีขึ้นแล้ว มันจะเป็นไปได้เหรอที่ลุงอี้ฝานจะมองไม่เห็น
“ยังไม่ได้ไปขอบคุณพ่อกับแม่นายเรื่องที่ช่วยจุนมยอนเลย
รอก่อนนะ ฉันจะกลับมาพร้อมของฝากกับมารยาทที่ทำให้พ่อแม่นายไม่อึดอัด”
แค่เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าน้องน้อย
หัวใจที่คิดว่าต้องเหนื่อยเมื่อเท้าเหยียบถึงไมอามี่ก็มีเรี่ยวแรงขึ้นมา
ชาร์ลก้มลงจุ๊บเหม่งความน่ารักอีกครั้ง
ก่อนทั้งคู่จะสวมกอดกันเพื่อกักตุนความคิดถึงไว้ตั้งแต่ตอนนี้
*
“จริง ๆ นะพ่อจ๋า น้องไม่ได้โกหก”
“ครับ พ่อเชื่อ”
“พ่อไม่ได้เชื่อ
พ่อกำลังมองว่าน้องเป็นคนบ้าเพราะอกหักจากพี่จุนมยอน”
เด็กสาวเบะปากสะอื้นน้ำตาแห้งเรียกร้องความเห็นใจจากพ่อแม่และพี่ชายอีกสองคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร
โบยอนทาบมือลงบนหน้าอกข้างซ้ายที่แหลกละเอียดเป็นเศษแก้วโดนรถบดเหยียบจนแทบไม่เหลือชิ้นดีหลังจากพบเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันในวันที่เด็กหญิงคนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในโรงพยาบาลด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี
เพื่อให้กำลังใจผู้ชายที่แอบชอบหวังจะให้หายป่วยไว ๆ
แต่สิ่งที่ปาร์คโบยอนได้รับกลับเป็นภาพพี่จุนมยอนกำลังจับมือผู้หญิงคนหนึ่ง
แถมไม่สวยด้วย ผมก็สั้นกว่า ตัวก็ไม่ได้สูง หน้าอกก็เล็ก
ตอนนั้นโบยอนรู้สึกเหมือนโลกกำลังจะพังเพราะพ่ายแพ้ผู้หญิงที่ด้อยกว่าเธอทุกอย่าง
ทำไมล่ะ เพราะปาร์คโบยอนอายุสิบสองน่ะเหรอ เหตุผลมันฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย
เธอสบตากับพี่จุนมยอนหวังให้รู้ว่ากำลังรู้สึกอย่างไร
ก่อนจะรีบวิ่งออกไปพร้อมเสียงสะอื้นนิด ๆ เพื่อจงใจทิ้งสารให้รู้ว่ากำลังร้องไห้อยู่
แต่สิ่งที่โบยอนได้รับกลับเป็นความว่างเปล่า ไม่มีใครวิ่งตามง้อเพื่ออธิบายเหมือนในนิยายที่ชอบอ่าน
พี่จุนมยอนคงนอนอยู่บนเตียงและจับมือยัยไม่สวยคนนั้นต่อไป ทำไมโลกนี้ถึงไม่ยุติธรรม
“น้องอกหัก นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้น้องเห็นผี
มันเป็นเรื่องของเซนส์” โบยอนกล่าวตาลอย
“ผีมีจริงที่ไหน
มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะเชื่อ”
เด็กหนุ่มในชุดวอร์มเตรียมพร้อมไปเข้าค่ายส่ายศีรษะมองน้องสาวอย่างเอือมระอา
“ตัวเองไม่เคยเห็นก็เลยคิดว่าไม่มีไง
ระวังตัวไว้เหอะ ค่ายที่ตัวเองกำลังจะไปอะ ได้ข่าวว่าเฮี้ยนมาก ๆ”
โบยอนแค่นยิ้ม สบตากับพี่ชายคนกลางหวังจะขู่ให้กลัว
แต่คนขวางโลกอย่างพี่ชานอีกลับทำท่าบีบคอตัวเองแถมปั้นหน้าปั้นตาเหมือนจะขาดใจตายใส่จนน่าหมั่นไส้
“พอเลยทั้งพี่ทั้งน้อง” สุดท้ายศึกก็หยุดลงได้เพราะแม่เหมือนกับทุกครั้ง แบคฮยอนยิ้มขำกับบรรยากาศเดิม
ๆ ที่คุ้นเคย ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้านก็ไม่เคยมีวันไหนเลยที่โต๊ะอาหารจะเงียบ
“ว่าแต่จุนมยอนเป็นยังไงบ้าง
แบคฮยอน?”
“พอออกจากโรงพยาบาลก็ทำเรื่องขอสอบย้อนหลังครับพ่อ
พอทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยจุนมยอนก็กลับบ้านไปเมื่อวันก่อน”
“แล้วที่บ้านเขาว่ายังไงกับเรื่องผ่าตัด?” พ่อยังคงถามด้วยความเป็นห่วง อันที่จริงท่านมักจะถามอยู่ตลอด
เพราะตั้งแต่พาโบยอนไปเยี่ยมแล้วเจอภาพบาดตา พ่อกับแม่ก็ไม่ได้ไปเยี่ยมจุนมยอนอีกเลยเพราะน้องงอแง
“ผมยังไม่ได้ถามเพื่อนเลย
กะว่าจะโทรหาวันนี้ครับ แต่เห็นจุนมยอนบอกว่าจะเล่าให้พ่อกับแม่ฟังตอนถึงบ้านแล้ว
เขาบอกว่าถ้าได้คุยกันต่อหน้าคงดีกว่าบอกผ่านโทรศัพท์”
แบคฮยอนเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “จุนมยอนบอกว่าคนเราโกหกกันได้ด้วยเสียงแต่โกหกทางสายตาไม่ได้
เขาไม่อยากโกหกพ่อแม่ว่ากำลังอยู่อย่างสบายตอนที่มีผ้าพันแผลพันรอบหัวอย่างนั้นน่ะ”
“วิธีนั้นอาจจะดีสำหรับจุนมยอน
แต่เราสามคนอย่าทำแบบนั้นนะ ถ้ามีปัญหาอะไรก็อย่ากลัวที่จะเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง
เพราะถ้าแม่ไปรู้เองทีหลังว่าลูกผ่านมันไปด้วยตัวเองอย่างยากลำบากแม่คงเสียใจมาก”
“จ้าคุณนายแบคฮี”
“ปาร์คชานอี
เวลาแม่พูดช่วยใส่ใจสักยี่สิบวิได้ไหม?”
“ให้ยี่บห้าเลย”
“แม่ตีพี่ชานอีเลย เอาให้สมองสั่นจนเป็นเด็กเอ๋อ!!!”
“ขี้เสี้ยมนักนะยัยเด็กขี้มโน” เด็กหนุ่มยิ้มเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม ส่งสายตาก่อสงครามกับน้องสาวก่อนจะสะดุ้งทั้งคู่เพราะเสียงของแม่อีกครั้ง
“เดี๋ยวจะโดนทั้งคู่นะ”
“งั้นจุนมยอนก็มีเวลาอยู่กับครอบครัวได้แค่อาทิตย์กว่า
ๆ เองสิ” พ่อเริ่มกลับเข้าเรื่องอีกครั้ง
และแบคฮยอนก็พยักหน้ารับกับช่วงเวลาปิดเทอมที่ใกล้จะสิ้นสุดลง
“ช่างพี่จุนมยอนสิ สนใจพี่จ๋าดีกว่า
พี่แบคฮยอนจะกลับไปอยู่หออีกแล้ว น้องจะกลายเป็นซินเดอเรลล่าที่ถูกหมีป่ารังแก...” โบยอนซบหน้าลงกับไหล่พี่ชายคนโต
“เรียกใครหมีป่า?”
“ไม่รู้ ใครอยากรับก็รับไปสิ”
“น้องอย่ายั่วโมโหพี่นักสิลูก” ชานยอลลูบศีรษะเด็กสาว ที่เบะปากส่งสายตาแป๋ว ๆ
มาเหมือนอยากจะบอกว่าเพราะโลกใบนี้มีปีศาจอย่างปาร์คชานอี เด็กนิสัยดีอย่างโบยอนถึงได้เป็นคนแบบนี้
“เดี๋ยวพี่ก็กลับมาอีกวันเสาร์อาทิตย์ไง”
“แล้ววันจันทร์ถึงศุกร์ล่ะ
วันที่น้องได้ยินเสียงผี ใครจะปกป้องน้อง”
คนเป็นแม่กุมขมับกับลูกสาวคนเล็กที่สุดท้ายก็ดึงกลับมาเรื่องผีอีกจนได้
“บางทีเธออาจจะหูฝาดไปเอง”
“บ้านเรามีผีจริง ๆ ทำไมแม่ไม่เชื่อ!”
“อย่าขึ้นเสียงกับแม่สิลูก”
“จริง ๆ นะพี่แบคฮยอน อาทิตย์ก่อนน้องได้ยินเสียงผู้หญิงร้อง
เสียงเหมือนจะขาดใจเลย มันดังออกมาจากห้องน้ำตอนดึก ๆ เมื่อคืนก่อนก็เหมือนกัน
น้องลุกมาฉี่... แล้วน้องก็ได้ยิน”
ลูกสาวคนเล็กของบ้านถลึงตาพูดอย่างจริงจัง
พยายามอธิบายให้ทุกคนบนโต๊ะอาหารเห็นภาพว่าสิ่งที่เธอสัมผัสได้มันน่ากลัวแค่ไหน
“อะแฮ่ม”
ชานยอลกระแอมไอพลางชำเลืองมองลูกชายคนกลางซึ่งทำหน้าไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวกับต้นเหตุที่ทำให้ลูกสาวคนเล็กเชื่ออย่างสนิทใจว่าบ้านนี้มันมีผี
สองพ่อลูกสบตากัน ปาร์คชานอีรู้สึกได้ถึงใบเหลืองใบที่สองที่พ่อกำลังบอกให้เขารู้ว่า
‘อย่าพาผู้หญิงมาทำเรื่องอย่างว่าให้น้องได้ยินอีก’
พ่อกับแม่ไม่ได้ห้ามเรื่องมีเซ็กส์
แต่ขออย่างเดียวแค่ให้รู้จักป้องกัน แต่ถ้าพูดถึงเรื่องได้ยินเขาทำเรื่องอย่างว่ากับเพื่อนกลางดึกนั้นก็ต้องโทษยัยตัวแสบที่ออกมาเพ่นพ่านตอนกลางคืนเองไม่ใช่หรือไง
เวลาเสียวคนมันก็ต้องร้องเป็นธรรมดา ยัดนิ้วเข้าปากให้อมก็แล้วแต่มันก็ช่วยกักเสียงทั้งหมดไม่ได้อยู่ดี
อีกอย่าง... การทำในห้องนอนอย่างเดียวมันก็น่าเบื่อ
“คราวนี้เสียงผู้หญิงหรือผู้ชายอะ” แบคฮยอนคงเป็นคนเดียวที่ตั้งใจฟังโบยอนมากที่สุด น้องจึงทำตาเป็นประกายก่อนจะหันหน้าเข้าหาพี่จ๋าเต็มตัว
“ไม่รู้อะ แต่น้องได้ยินจริง ๆ นะ เหมือนจะร้องว่า
‘ไม่ไหว ช้าหน่อย จะตายแล้ว’ เสียงหอบ
ๆ เหมือนจะขาดใจเลย น้องฟันธงว่าคงโดนเอาเชือกรัดคอจนตายแน่
วิญญาณเลยกลับมาตายด้วยวิธีเดิมซ้ำ ๆ อะ”
“แม่อยู่ที่นี่มาตั้งแต่ยังเรียนมอปลายอยู่
ไม่เห็นจะเจอผีสักตัว”
“มีแต่ผีผ้าห่มไรงี้ปะแม่ -- อ๊ากกกก
ยอมแล้ว ๆ” ชานอีนั่งหดคอห่อไหล่หลังจากถูกคนเป็นแม่เดินไปหยุดอยู่ข้างหลังพร้อมคว้าต้นคอไว้ด้วยมือเดียว
แบคฮยอนมองทั้งคู่ตาปริบ ๆ ส่วนพ่อกางหนังสือพิมพ์อ่านแล้วยกกาแฟขึ้นดื่มเหมือนว่าไม่อยากรับรู้เหตุการณ์ต่อไปที่กำลังจะเกิดขึ้น
“ดูเหมือนว่าวันนี้เรามีเรื่องต้องคุยกันหน่อยแล้วล่ะชานอี”
“ไว้คุยกันวันหลังดิแม่
วันนี้ผมรีบ เข้าค่ายอะเข้าค่าย”
“เดี๋ยวแม่ไปส่งที่โรงเรียนเอง ถึงไวกว่ารถไฟใต้ดินขบวนไหนในโลกอีก”
“ไม่!!! อั่ก!!”
“สมน้ำหน้า!!! 55555555”
“ฝากไว้ก่อนเถอะยัยเตี้ย -- อั่ก!! แม่จ๋า -- แม่ -- ยอมแล้ว!!!”
แบคฮยอนมองสภาพน้องชายที่กำลังโดนแม่ลากออกไปจากโต๊ะอาหาร
ก่อนจะหลุดขำออกมาตอนได้ยินเสียงเด็กตัวแสบแหกปากลั่นสวนหน้าบ้านพร้อมวิ่งหลบฝ่ามือแม่
ส่วนโบยอนดูจะมีความสุขกว่าใครหลังจากที่พี่ชายคนกลางถูกทำโทษ
เธอยังคงเชื่อเรื่องผี และนั่นทำให้แบคฮยอนนึกถึงใครอีกคนที่ตอนนี้อยู่อีกฝั่งหนึ่งของโลก
“เชื่อน้องสิ... ว่าบ้านเรามีผีจริง
ๆ”
70%
“ทำไมครูผู้ชายถึงต้องมีเวรเฝ้าโรงเรียนด้วย
น้องไม่เข้าใจ ดึกดื่นแบบนี้คนเป็นครูอย่างพ่อจ๋าควรอยู่บ้านเพื่อปกป้องลูกจากผีร้าย
ไม่ใช่โรงเรียนที่ไม่มีชีวิต”
“ไม่ใช่แค่พ่อเราสักหน่อย
ครูคนอื่น ๆ ก็ต้องทำเหมือนกัน แล้วพ่อก็ไม่ได้เข้าเวรทุกวันด้วย”
“พ่อจะไปวันไหนก็ได้
แต่ก็ไม่ควรเป็นวันที่ไฟดับทั้งซอยแบบนี้”
มีแค่แสงจากโคมไฟอวกาศเท่านั้นที่ฉายความสว่างให้กับห้องนั่งเล่นมืด
ๆ ในเวลาสามทุ่มครึ่ง
สองพี่น้องนั่งเอาผ้าห่มคลุมหัวตัวเองแล้วมองหน้ากันหลังจากไฟดับไปเมื่อสิบห้านาทีที่แล้ว
และลวดลายความสวยงามของโคมไฟอวกาศก็ไม่ได้สร้างความบันเทิงใจให้คนที่มีความหวาดกลัวอยู่ในใจอย่างลูกสาวคนเล็ก
“พี่แบคฮยอนคิดดูสิ อยู่ดี ๆ แม่ก็ต้องไปดูร้านที่ปูซาน
หมีป่าอย่างพี่ชานอีก็ไปเข้าค่ายกีฬาอะไรนั่นอีก ทุกอย่างเป็นแผนของผี
มันถูกวางไว้เป็นอย่างดีแล้ว เหมือนในหนังที่เพื่อนเปิดให้น้องดู”
“น้องคิดมากเกินไปแล้ว
ถ้าผีมีจริงก็คงไม่มาหลอกเราบ้านเดียวหรอก”
“ผีต้องหลอกบ้านหลังแรกก่อนใช่ไหม...”
“อื้อ”
“กว่าจะมาถึงบ้านเราก็หลังที่ห้า
ถ้าหลอกบ้านละยี่สิบนาทีกว่าจะมาถึงเราก็ดึกเลยสิ...
พี่แบคฮยอนเคยได้ยินหรือเปล่าว่ายิ่งดึกผีก็ยิ่งเฮี้ยน...”
โบยอนกำผ้าห่มปลายคางพลางกลอกตามองไปรอบ ๆ ตัวอย่างหวาดระแวง ทำไงดี
ตอนนี้เริ่มหิวแล้วด้วย... ถ้าไปเปิดแก๊สชงโกโก้ดื่มตอนนี้น่าจะทันก่อนผีมาหลอก
ไม่ได้เด็ดขาด ความหิวก็คงเป็นแผนของผีอีกเช่นกัน
มันจงใจจะแยกเธอออกจากพี่จ๋าเพื่อที่จะหลอกรายบุคคล
“พี่จ๋าก็อยู่นี่แล้วไงเล่า!” แบคฮยอนทำปากยื่น
นึกน้อยใจตอนเห็นสีหน้าของน้องสาวที่เหมือนกำลังบอกให้รู้โดยไม่ต้องพูดว่า
‘พี่ไม่ได้ทำให้น้องรู้สึกปลอดภัยจากผีเลยแม้แต่นิดเดียว’ เขาเป็นพี่ชายคนโตนะ ปีนี้สูงขึ้นตั้งสองเซนต์ด้วยอะ คนพี่มั่นใจว่าต้องปกป้องโบยอนได้ในค่ำคืนนี้ที่มีเรากันแค่สองคน
“พี่แบคฮยอนอยู่ข้างล่าง”
“อื้อ”
“แต่น้องอยู่ข้างบน
ถ้าโดนผีหลอกพี่จะวิ่งขึ้นมาทันเหรอ”
“ทัน พี่วิ่งเร็ว”
“โม้
พี่ชานอีบอกว่าพี่จ๋าวิ่งช้ายิ่งกว่าเต่าอีก ถ้าให้ไปวิ่งแข่งกับหอยทากเป็นอัมพาตก็พนันได้เลยว่าใครจะชนะ”
“พี่ชนะแน่นอน!” คนด้อยเรื่องกีฬารีบตอบอย่างมั่นใจ
เขาจะไม่ยอมเสียหน้าน้องสาวคนเล็กเด็ดขาดแม้ว่าการวิ่งรอบสนามโรงเรียนก็ยังคงเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสสำหรับปาร์คแบคฮยอน
“ไม่ ยังไงก็ต้องหอยทากเป็นอัมพาต ความจริงน้องก็ไม่อยากเชื่อพี่ชานอีหรอกนะ
แต่... อือออ” โบยอนมองพี่ชายตั้งแต่หน้าผากจนถึงหัวเข่าแล้วทำปากยื่น
น้องเชื่อมั่นในตัวพี่จ๋านะ แต่ความเป็นไปได้ว่าหอยทากเป็นอัมพาตน่าจะถึงเส้นชัยก่อนมันก็มีอยู่สูง
“หูย ดูถูก!”
แบคฮยอนตบเข่าดังฉาด โบยอนหรี่ตามองขาพี่ชาย แม้ตรงนี้จะมืดจนมองเห็นแค่แสงสีส้มยิบยับจากโคมไฟอวกาศแต่ก็พอทำให้เห็นริ้วแดง
ๆ บนขาที่เกิดจากแรงฟาดเมื่อครู่ได้
“เอาเถอะ
น้องไม่อยากทำให้ผีเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต” เด็กน้อยไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“อีกอย่าง น้องก็เป็นสาวแล้ว
เพราะงั้นน้องจะไม่ขอให้พี่จ๋าขึ้นไปนอนด้วย”
“เก่งมาก ๆ
นี่สินางฟ้าฟันน้ำนมของพี่แบคฮยอน” คนพี่ปรบมือแปะ ๆ
“แต่ถ้าน้องเจอผีแล้ว --”
กึ่ก!!!
สองพี่น้องสะดุ้งสุดตัวพลางหันไปทางประตูห้องนอนของลูกชายคนโตซึ่งมันยังคงปิดสนิท
ได้ยินพร้อมกันขนาดนี้คาดว่าต้นเหตุของเสียงปริศนาเมื่อครู่มันต้องดังมาจากข้างในแน่
เขาไม่ได้คิดไปเอง โบยอนรีบขยับเข้าไปเกาะแขนพี่ชายทั้งที่อยู่ในสภาพคลุมโปง
หวาดกลัวถึงสิ่งลี้ลับซึ่งเพื่อนมักจะเล่าให้ฟังในชั่วโมงเรียนที่น่าเบื่อ
“ไหนบอกว่าผีจะแวะบ้านหลังแรกก่อนไง
ทำไมมาถึงมาบ้านเราเร็วจังเลยล่ะ...”
แบคฮยอนไม่ได้ให้ความสบายใจกับน้องสาว
เพราะเสียงเมื่อครู่นั้นไม่ได้ทำให้เขานึกถึงผีแต่อย่างใด สิ่งแรกที่ผุดเข้ามาในหัวคือเสียงของตกแต่พอคิดอีกทีคงไม่ใช่
มันน่าจะเป็นเสียงจากความจงใจซึ่งถ้าไม่คิดแง่ร้ายเกินไป...
ก็คงเกิดจากการงัดหน้าต่าง
โจรเหรอ?
“น้องขึ้นไปข้างบน แล้วอย่าลงมาเด็ดขาด”
“ไหงงั้น
พี่จ๋าจะสู้กับผีคนเดียวเหรอ” โบยอนเบิกตาโพลงพร้อมกอดแขนพี่ชายแน่น
“น้องฟังนะ”
แบคฮยอนโอบแก้มนุ่มนิ่มของเด็กสาวอายุสิบสองเอาไว้พร้อมจ้องตาเพื่อบอกให้รู้ว่าเขากำลังจริงจังมากแค่ไหน
“น้องเอาโทรศัพท์ไว้กับตัว ล็อกห้องทั้งสามกลอน ถ้าพี่ตะโกน
‘ช่วยด้วย’ เมื่อไหร่ น้องรีบโทรหาตำรวจทันทีเลย
โอเคไหม?”
“ผีไม่กลัวตำรวจนะพี่แบคฮยอน” เด็กน้อยหรี่ตามองอย่างผิดหวัง สองมือกำสมาร์ทโฟนลายโพนี่ไว้แนบอกแน่นตามที่พี่จ๋าบอก
“เชื่อกันหน่อยได้ไหมเล่า!”
“แล้วถ้าพี่จ๋าไม่ร้องน้องต้องทำไง?”
“หมายความว่าพี่ไล่ผีไปบ้านอื่นได้แล้ว”
“อะไร
พี่แบคฮยอนไม่ได้เก่งขนาดนั้นสักหน่อย อย่าทำเป็นเข้มสิ”
อีกครั้งที่โบยอนมองพี่ชายด้วยแววตาผิดหวัง แต่จะให้ทำอย่างไรได้
ก็เขาไม่อยากให้น้องกลัวถ้าต้องบอกว่า ‘เสียงนั่นต้องเป็นโจร! ไม่ใช่ผีอย่างที่คิดเลยสักนิด!’
มนุษย์ที่จับอาวุธมีคมได้ย่อมน่ากลัวกว่าสิ่งที่เป็นพลังงาน
ถ้าต้องเกิดอะไรขึ้นคนเป็นพี่ชายจะต้องปกป้องน้อง นั่นคือความถูกต้อง
“เบา ๆ นะ ห้ามวิ่ง” แบคฮยอนรีบเปิดไฟฉายมือถือแล้ววิ่งไปคว้าไม้แขวนเสื้อมาถือไว้เป็นอาวุธ
พร้อมสบตากับเด็กวัยสิบสองขวบที่ยืนคลุมโปงอยู่ปลายบันไดทางขึ้น
“น้องรักพี่นะ”
“รักน้องเหมือนกัน”
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
พี่จ๋าจะอยู่ในนี้ตลอดไป”
“เดี๋ยว” คนพี่ขมวดคิ้วกับประโยคแปลก
ๆ โบยอนทาบมือขวาลงบนอกข้างซ้ายพร้อมมองมาทางเขาราวกับว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของเราที่จะได้พูดคุยกัน
กึ่ก ๆ
“ไป...”
แบคฮยอนเบาเสียงที่สุดเท่าที่จะเบาได้หลังจากเสียงงัดหน้าต่างดังขึ้นอีกครั้งราวกับเป็นสัญญาณบอกว่าทั้งคู่ต้องรีบ
โบยอนคลุมโปงขึ้นบันได ก้าวขาทีละสองขั้นเพื่อเร่งความเร็วแต่ขาสั้น
ๆ ของเธอก็ช่างเป็นอุปสรรคต่อการหนีผีเหลือเกิน
แบคฮยอนรอจนกว่าจะสบายใจว่าน้องเข้าห้องนอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้นจึงปิดไฟฉายมือถือแล้วค่อย ๆ หมุนลูกบิดเข้าไป
มือขวากำไม้แขวนเสื้อไว้แน่น
เขามั่นใจเลยว่าถ้าเป็นฝ่ายได้เปิดการต่อสู้ก่อน โจรที่ฉวยโอกาสปล้นบ้านคนอื่นตอนไฟดับคงมีเสียหลักบ้าง
เพราะไม้แขวนเสื้อที่สั่งทำเป็นพิเศษของแบรนด์ร้านแม่มันแข็งแรงและทนทาน
โจรหน้าไหนก็ต้องล้มทั้งยืนแน่ ๆ
แต่ยังไม่ทันได้ง้างมือขึ้นเตรียมฟาดก็ต้องค้างอยู่ท่านั้น
เมื่อผู้บุกรุกสาดแสงไฟฉายมาทางนี้จนต้องหรี่ตาลง วูบหนึ่งแบคฮยอนคิดว่าคงพลาดท่าโดนโจมตีก่อนแน่
ๆ แต่ผ่านไปไม่กี่วินาทีก็พบว่าไม่ใช่ พี่ชายที่พยายามปกป้องบ้านด้วยไม้แขวนเสื้อจึงค่อย
ๆ ลืมตาขึ้นเมื่อแสงไฟฉายลดลงต่ำ ก่อนปาร์คแบคฮยอนจะได้เห็นโฉมหน้าคนงัดหน้าต่างได้ชัด
ๆ ว่าเป็นใคร
“ชาร์ล?”
“Jesus... นายทำฉันตกใจแทบแย่” คนตัวเล็กเลิกคิ้วมองอย่างไม่อยากเชื่อสายตาขณะมองแฟนหนุ่มที่ยกมือขึ้นทาบอกอย่างโล่งใจราวกับว่าการมาของเขามันน่ากลัว
“เราต่างหากที่ต้องตกใจ
มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?”
มองดูความเปลี่ยนแปลงทางการแต่งตัวที่ดูเป็นผู้ใหญ่และดูดีขึ้นกว่าเดิมของอีกคนแล้วก็ใจเต้นเฉยเลย
วันนี้ชาร์ลหล่อจัง ตัดผมใหม่มาแน่ ๆ เมื่อวานยังเห็นยาวกว่านี้
“เมื่อกี้”
เด็กหนุ่มตัวสูงเว้นจังหวะไป แบคฮยอนจึงลดระดับสายตามองตุ๊กตาหมีที่อีกคนกอดไว้ด้วยแขนซ้าย
และแน่นอนว่ามันไม่ใช่ตุ๊กตาในห้องของเขา “นึกว่าจะโดนผีหลอกซะแล้ว”
คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นโจรงัดบ้านวางสมาร์ทโฟนลงบนเตียงเพื่อให้ความสว่างกับห้องมืด
มือซ้ายยังคงทาบอกตนเองจากความหวาดกลัวในใจที่ยังคงไม่หายไปไหน
“บ้านเราไม่มีผีสักหน่อย”
“นายอยู่ในนี้จะไปรู้อะไร ข้างนอกไฟดับทั้งซอยรู้ไหมว่าคนเดินเข้ามาตอนมืด
ๆ มันหลอนแค่ไหน ดูสิ... ไม่ต่างอะไรจากหมู่บ้านผีสิง” ชาร์ลกวาดสายตาไปโดยรอบก่อนจะหยุดตรงหน้าต่าง
เรื่องหลอนในหนังผีมากมายต่างพร้อมใจกันมาย้ำเตือนความสยอง
แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นผู้ชายตัวใหญ่ใจโพนี่ก็รีบหันกลับมาเพราะในมโนความคิดมันจินตนาการไปแล้วว่ามีเงาดำยืนอยู่ข้างนอก
“ไฟดับไปครึ่งชั่วโมงแล้ว
ว่าแต่ทำไมชาร์ลไม่โทรมาเล่า”
แบคฮยอนทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงข้าง ๆ แฟนจ๋า “เรานึกว่าโจรงัดบ้าน
ตกใจแทบแย่”
“อะไร
อย่าบอกนะว่าที่ถือไม้แขวนเสื้อมาเพราะคิดจะสู้กับโจร”
“ก็ใช่น่ะสิ มันแข็งแรงนะ” น้องน้อยยื่นอาวุธโง่ ๆ ให้ เขาจึงแย่งมาโยนทิ้งลงพื้นอย่างไม่ใยดี
ตัวนุ่มนิ่มถึงได้เลิกคิ้วมองอย่างเอาเรื่อง “ชาร์ลอะ
ไม่อ่อนโยนกับไม้แขวนเสื้อแม่เราเลย”
“เป็นบ้าเหรอถึงคิดจะสู้กับโจรในที่มืด
ๆ แบบนี้ เกิดมันเอามีดแทงโดนจุดตายขึ้นมาจะทำยังไง?” โดนดุจนได้
แบคฮยอนรู้สึกเหมือนตัวเล็กลงเท่าฝ่ามือเพียงเพราะสายตาคาดโทษของแฟนจ๋า
รู้สึกผิดขึ้นมาเพราะมันคงน่ากลัวอย่างที่อีกคนว่าจริง ๆ
“ตอนนั้นเราคิดอะไรไม่ออก
กลัวโจรเข้ามาข้างในได้ก่อนที่โบยอนจะขึ้นบ้าน... พี่จ๋าอย่าโกรธนะ”
“ไม่ต้องมาอ้อนเลย
คราวนี้ฉันไม่ใจอ่อนง่าย ๆ หรอกนะโมจิ”
“หูย ดุมาก”
ในเมื่ออ้อนด้วยคำพูดไม่ได้ก็ต้องใช้ร่างกายเข้าช่วย แบคฮยอนพุ่งเข้ากอดคนตัวโตจนเซ
แต่แฟนหนุ่มในโหมดดุก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายโกรธ “ความผิดชาร์ลนั่นแหละที่งัดห้องเราอะ”
“ก็ฉันเรียกเท่าไหร่นายก็ไม่ตอบ แถมหน้าบ้านก็ไม่มีรถจอดอยู่เลยคิดว่านายคงออกไปข้างนอกกับครอบครัวไง
ถามหน่อยว่าฉันผิดเหรอที่อยากหาทางหลบภัยในห้องนายถ้าข้างนอกจะหลอนขนาดนี้”
“หน้าต่างเราจะพังเพราะชาร์ลกลัวผีเนี่ย” ถึงจะพูดอย่างนั้น
แต่เขาก็ไม่สามารถกลั้นยิ้มเอาไว้ได้กับการได้ยินเสียงชาร์ลบ่นอุบอิบ
และได้มองหน้าในระยะใกล้โดยไม่มีจอโทรศัพท์มากั้นเอาไว้เหมือนกับทุกวัน
“เออ มีเงินจ่ายแล้วกัน”
“อี๋ มาถึงก็อวดรวยเลย” แบคฮยอนทำปากยื่น
ก่อนจะลดระดับสายตาลงมองน้องหมีขนปุยที่อยู่ในอ้อมแขนซ้ายของคนข้าง ๆ อีกครั้ง “อันนี้ของเราใช่ไหมอะ”
“อะไร”
“เอามานะ”
ถึงในห้องจะมีแค่แสงสว่างจากไฟมือถือ แต่ชาร์ลี
ฮอปส์ก็รู้สึกได้ถึงความน่ารักน่าหยิกของความนุ่มนิ่มที่นั่งอยู่ข้างตัว
ยิ่งตอนอมยิ้มพร้อมแบมือออกมา ส่งเสียงบังคับกึ่งออดอ้อนนั่นก็ทำให้เขาลืมโกรธ ลืมกลัวผีไปได้ในพริบตาเดียว
“อะไรที่ทำให้คิดเข้าข้างตัวเองว่ามันเป็นของนาย”
“ก็ชาร์ลเอามันมาหาเราที่บ้าน
เรารู้ เราโตแล้ว มันต้องเป็นของฝากจากไมอามี่แน่ ๆ”
เด็กหนุ่มตัวสูงชำเลืองมองอีกคนพลางเบ้ปาก
ก่อนจะยัดตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลเข้มให้ด้วยท่าทีไม่เต็มใจ “ผิดแล้ว ฉันเก็บมันได้จากถังขยะก็เลยหยิบติดมือมาให้ต่างหาก”
“ขยะมีกลิ่นบราวด์นี่ด้วย
น่ากินจัง” พยายามเก๊กหน้าขรึม แต่ปากมันก็พาลจะยกยิ้มออกมาให้ได้ตอนเห็นว่าน้องน้อยกอดหมีโง่ตัวเล็กเอาไว้แนบอกพร้อมกดจมูกหอมไม่หยุด
“เก็บได้จากปากซอยนี่เอง”
“Made in China ด้วย” แบคฮยอนพลิกตัวน้องหมีพลางเลิกคิ้วมอง
“เลอะเทอะน่า ตอนเลือกฉันยังเห็นอยู่เลยว่าป้ายมัน
Made in Ameri --” ใช่ ชาร์ลี
ฮอปส์ไม่ได้ตาลายจนอ่านผิดหรอก เพราะป้ายสีขาวที่เย็บติดข้างตัวไอ้หมีโง่มันเป็นอย่างที่เขาพูดจริง
ๆ แต่ในวินาทีนี้ดูเหมือนว่าเรื่องใครผิดใครถูกจะไม่ใช่ประเด็น
เมื่อเด็กหนุ่มเพิ่งรู้ตัวว่าประโยคเมื่อครู่มันคือกับดักของความนุ่มนิ่มที่แกล้งให้เขายอมรับ
“หูย อเมริกาจริงด้วย”
“...”
“หมีจากถังขยะนี่หอมจังเลยน้า” แบคฮยอนเอนศีรษะซบไหล่คนรักที่ไม่ได้เจอกันเกือบหนึ่งเดือนขณะที่สองมือยังคงกอดหมีกลิ่นบราวด์นี่ไว้แนบอก
ชาร์ลอมยิ้มพลางยกมือขึ้นลูบศีรษะคนขี้อ้อน ท่ามกลางความเงียบที่มีเพียงเราสองคน
“ก่อนหน้านี้ทำอะไรอยู่?”
“ดูซีรี่ส์โรแมนติกเป็นเพื่อนโบยอนอะ
ชาร์ลมาถึงตั้งแต่กี่โมงเนี่ย กินข้าวหรือยัง?”
น้องน้อยช้อนตามอง เขาจึงพยักหน้าทั้งที่ความจริงยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่บ่าย
“มาถึงตั้งแต่หกโมง แต่ฉันแวะเอาของไปเก็บที่บ้านปู่ก่อนเพราะกะจะมาเซอร์ไพรส์คนแถวนี้”
“คิดถึงเราล่ะสิ”
“อืม มากด้วย พอใจยัง?” คนถูกแทงใจดำตอบอย่างไม่กลัวเขิน
ทั้งคู่สบตากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนแบคฮยอนจะหลับตาลงเมื่ออีกคนเลื่อนมาจุ๊บหน้าผาก “แชมพูหอม”
“ตัวชาร์ลก็หอม”
“งั้นเหรอ”
“อือ”
แก้มร้อนผ่าวเพียงเพราะเห็นรอยยิ้มบาง ๆ
บนใบหน้าหล่อของแฟนหนุ่ม
เมื่อการทักทายแบบฟอร์มจัดสิ้นสุดลงความคิดถึงจึงทำงานอย่างหนัก ชาร์ลรั้งร่างน้องน้อยเข้ามาในอ้อมกอดพร้อมหอมกลุ่มผมสีเข้มเสียฟอดใหญ่ก่อนจะหลับตาลงโคลงตัวช้า
ๆ เหมือนโอ๋เด็ก ซึ่งความน่ารักก็บดเบียดเข้าหาและกอดตอบแน่น ๆ ไม่แพ้กัน
“คิดถึง”
“มาก ๆ เลย”
“รู้สึกเหมือนสามอาทิตย์มันนานกว่าสิบปีที่เราไม่ได้เจอกันอีก” เขาทั้งจูบ ทั้งหอมเพื่อชดเชยความคิดถึงที่สะสมมานานเกินความจำเป็น แม้ว่าจะเปิดกล้องคุยกันทุกวันแต่มันก็ไม่เหมือนการกอดความนุ่มนิ่มไว้แนบอกอย่างนี้
มันค่อนข้างน่าตลกที่ความคิดถึงไม่ได้ลดหายไปแม้แต่นิด กลับกันแล้วยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก
“คราวหน้าเราจะไม่ให้ชาร์ลกลับแล้วนะ...”
“จะงอแงหรือไง?” เขาอมยิ้มพลางถอนหายใจอย่างโล่งอกโดยไม่เข้าใจว่าทำไม ทั้งที่รู้ว่าอีกคนต้องปลอดภัย
อยู่ดีกินดีเมื่ออยู่กับครอบครัวปาร์ค แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นห่วงจนนอนไม่หลับ
“เราจะขอไปไมอามี่ด้วย...”
“รำคาญคนขี้อ้อนว่ะ”
“รำคาญเหมือนกันอะ” แบคฮยอนซบเหม่งกับแผงอกแฟนจ๋า
อมยิ้มเขินกับสิ่งที่ตัวเองแสดงออกไปก่อนเราทั้งคู่จะเอนตัวลงนอนบนเตียงข้าง ๆ กัน
“แม่ชาร์ลดีขึ้นหรือยัง?”
จากที่เปิดกล้องคุยกัน
คนตัวเล็กจำได้ว่าหลายวันก่อนคุณแม่ไม่สบาย
ทรุดตัวจนต้องนอนอยู่บนโซฟาจนชาร์ลต้องปิดกล้องซึ่งแบคฮยอนได้แต่หวังว่าชาร์ลจะดูแลท่าน
แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องยากสำหรับแฟนหนุ่มที่ปากมักจะพูดอยู่เสมอว่า
‘เบื่อ กินเหล้ากลับบ้านดึก’
‘เมื่อไหร่จะไล่ไอ้แมงดานั่นออกไป’
‘มันต่อยหน้าฉัน
แล้วแม่ก็เลือกที่จะห้ามฉันทั้งที่มันเป็นคนเริ่ม’
‘ที่นี่ไม่ใช่บ้านของฉัน
อันที่จริง มันไม่มีที่ไหนเลยที่เรียกว่าบ้านได้ นอกจากหอแรคคูน’
‘แม่เมา
อาละวาดใหญ่เลยที่ฉันขอเงินจากพ่อไม่ได้ ตลกดีนะ
ที่ฉันยอมโดนพ่อด่าตลอดเพื่อให้เขาเข้าใจว่าฉันเป็นคนใช้เงินเหล่านั้นเองทั้งหมด’
‘อยากกลับเกาหลีแล้ว’
“แม่ออกไปเล่นการพนันตั้งแต่ฉันยังไม่ตื่น
แบบนั้นคงเรียกว่าดีขึ้นได้แล้วใช่ไหม?” ถึงชาร์ลจะยิ้ม
แต่แบคฮยอนก็รู้สึกเจ็บหัวใจแทนเหลือเกิน
คนตัวเล็กขยับเข้าไปกอดก่ายเพื่อให้ความอบอุ่น เพื่อให้รู้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้
“เรายังไม่ง่วง
ถ้าชาร์ลอยากระบายเราก็นั่งฟังได้จนเช้าเลย”
“เก่งขนาดนั้นเลยเหรอแฟนฉันน่ะ?” เด็กหนุ่มหลุบสายตามองศีรษะทุยที่นอนซบไหล่ของเขาพร้อมพยักหน้า “ไม่ได้อยากระบาย แต่มีเรื่องอยากเล่าให้ฟังอย่างนั้นได้ไหม?”
“เราอยากฟังทุกเรื่องเลย” น้องน้อยช้อนตามองจึงอดไม่ได้ที่จะก้มไปจุ๊บเหม่งอีกสักที
“ถ้าฉันบอกว่าเพิ่งเคยเช็ดตัวให้แม่เป็นครั้งแรกตอนอายุสิบเก้า...
มันจะฟังดูตลกไหม?” คนฟังทำตาโตอ้าปากหวอ กระพริบตาปริบ ๆ
ก่อนจะพลิกตัวนอนคว่ำพร้อมจ้องหน้าแฟนหนุ่มเพื่อยืนยันว่าเรื่องที่ได้ยินเป็นเรื่องจริงหรือไม่
“ถึงสมองจะสั่งการมาตลอดชีวิตว่าไม่ควรรักแม่เพราะความผิดที่เธอทำ
แต่หัวใจของฉันมันกลับทำสวนทางกัน”
ชาร์ลหัวเราะในลำคอเมื่อนึกถึงตัวเองตอนยืนอยู่ในห้องน้ำพร้อมถังและผ้าขนหนูผืนเล็กเก่า
ๆ สีซีด
เขาเงยหน้ามองตัวเองในกระจกระหว่างชกต่อยกับความคิดว่าระหว่างอีโก้หรือความเป็นลูกในไส้จะเป็นผู้ชนะไป
ตั้งแต่เกิดมา... หลายครั้งที่แม่ป่วยออด ๆ แอด ๆ และชาร์ลี
ฮอปส์ก็เลือกที่จะใส่แจ็คเก็ตกับหมวกออกไปหาเพื่อน ปล่อยให้เธอฝืนดื่มเหล้าเคล้ากลิ่นบุหรี่ที่อบอวลไปทั่วห้องกับสามีคนใหม่ซึ่งเปลี่ยนสองปีครั้ง
แต่วันนั้นไม่มีใครอยู่กับแม่
ไม่มีคนคอยให้ความรักปลอม ๆ กับผู้หญิงเหลวแหลกที่ใช้ชีวิตในแบบที่พ่อไม่ต้องการ
ชาร์ลไม่ได้ถามตัวเองว่าสิ่งไหนหรืออะไรที่เปลี่ยนความคิดเขาไปได้ถึงขนาดนี้
ตอนนั้นเด็กหนุ่มคิดเพียงว่าต้องทำให้ไข้ลดลง แม้ว่าการพูด
การเดินเหินของแม่จะเป็นเรื่องที่สร้างความหงุดหงิดให้กับเขา
การกลับไมอามี่ครั้งนี้ไม่ได้เจอหน้าพ่อเลยสักครั้งเดียว
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก เพราะตั้งแต่แยกกันอยู่เขาก็มีโอกาสได้เจอพ่อแค่เดือนละครั้งหรือสองเดือนครั้ง
ชาร์ลไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องได้เจอหรือพูดคุยกัน
เพราะพ่อคงไม่อยากสนใจเรื่องส่วนตัวของลูกนอกไส้ และเรื่องอาการป่วยออด ๆ แอด ๆ
ของอดีตภรรยาที่ใช้ชีวิตอย่างเละเทะ
“ฉันลูบหัวตัวเองเหมือนที่ลุงของนายสอนแล้วนะ” ชาร์ลทำท่าประกอบขณะสบตากับคนตัวเล็ก ก่อนจะจับเจ้าหมีกลิ่นบราวด์นี่ขึ้นมาระดับใบหน้า
“แล้วนี่ก็คือหมีถือดาบล่องหน”
“...”
“นายคือหมีถือดาบของฉัน โมจิ” คนฟังหัวใจพองโต
มองเจ้าของคำพูดพร้อมอมยิ้มก่อนจะขยับเข้าไปจุ๊บปากหมีถือดาบพร้อมพึมพำเบา ๆ ว่า
‘เก่งจังเลยน้าลิตเติ้ลโมจิ’
“เราจะนอนกอดน้องทุกคืนเลย”
“ได้ไง แล้วฉันล่ะ?” คนกำลังจะถูกเมินเลิกคิ้วมองอย่างคาดหวังคำตอบ
และความนุ่มนิ่มก็เม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรงราวกับว่ากำลังใช้ความคิด
“พี่จ๋าก็กอดลิตเติ้ลโมจิอีกทีไง...”
คำตอบแสนน่ารักมาพร้อมตาแป๋ว ๆ ที่ช้อนมอง
ราวกับว่าอยากออดอ้อนเอาจูบหวาน ๆ
เป็นรางวัลให้กับความน่ารักที่ต้องใช้ความกล้าในการพูด ชาร์ลี
ฮอปส์ไม่ใช่คนเข้าใจความรักดีไปกว่าใคร แต่เขารู้ว่าต้องทำอย่างไรกับแฟนอย่างปาร์คแบคฮยอนในเวลาแบบนี้
“งั้นขยับเข้ามาให้พี่จ๋ากอดหน่อย”
น้องน้อยหลุบสายตาลงอย่างขลาดอายขณะที่เขายันตัวลุกขึ้นพิงกับหัวเตียง
ทิ้งจังหวะให้ความเงียบทำงานอยู่แค่ครู่เดียวคนขี้อ้อนก็ขยับเข้ามาใกล้
ทั้งคู่สบตากันเพื่อบอกให้รู้โดยไม่ต้องพูดว่าคิดถึงมากแค่ไหน
ผ่านทางแววตาแบบนี้ซึ่งมีแค่คนตรงหน้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้ไป
จูบแรกในรอบสามอาทิตย์เกิดขึ้นอย่างเนิบนาบ
อบอุ่น อ่อนโยนขัดกับสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมที่ชวนให้นึกถึงเรื่องสยองขวัญ
มือนุ่มนิ่มเอื้อมขึ้นโอบแก้มคนตัวโตกว่า คลึงนิ้วหัวแม่มือเบา ๆ
ก่อนจะเลื่อนลงถึงสันกรามและปลายคาง รู้สึกได้ถึงตอหนวดตอนเอียงใบหน้าปรับองศา
แฟนหนุ่มคงเตรียมหล่อมาอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นผมเผ้าที่เซ็ทขึ้นและเสื้อผ้าในลุคใหม่
“ทำไมยิ่งจูบก็ยิ่งคิดถึงล่ะ
ทั้งที่ชาร์ลก็อยู่ตรงนี้”
“อ้าว เรื่องใหญ่แล้วไงโมจิ” ในใจนึกขำปนเอ็นดู
แต่เด็กหนุ่มกลับปั้นหน้านิ่งสบตากับน้องน้อยที่ทำปากยื่นพร้อมดึงแก้มทั้งสองข้างของเขาเบา
ๆ
“เราไม่ได้อยากหายคิดถึงชาร์ลหรอกนะ
มันแปลก ๆ อะ เรารู้สึกว่ามันไม่พอ -- คือ
เราไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำมากกว่านี้นะห้ามหาว่าเราลามก
เราไม่รู้จะอธิบายยังไง... งี่เง่าแล้วอะ...”
แบคฮยอนเลื่อนเข้าไปจุ๊บปากแฟนจ๋าอีกทีแล้วผละออกมาสบตากัน ทำไมอะ
ทำไมถึงยังรู้สึกหนุบหนับอยู่ในใจเหมือนเดิม เขาควรจะโล่งอกที่ได้อยู่ด้วยกันสิ
“ยังไม่ได้พูดอะไรเลย
รีบแก้ตัวแบบนี้แสดงว่านั่นคือสิ่งที่นายคิดอยู่ลึก ๆ”
“เราเปล่าเลยอะ”
“ไหนสารภาพมาซิ
ตอนฉันไม่อยู่ช่วยตัวเองไปกี่ครั้ง”
ชาร์ลชี้หน้าความนุ่มนิ่มเพื่อคาดคั้นเอาความจริง
“เราไม่ได้ทำ” น้องจ้องตาเขม็งเพื่อยืนยันว่าไม่ได้โกหก
“Sure?”
“ที่สุดอะ เราจะทำแบบนั้นทำไมเล่า” แบคฮยอนฟาดแผงอกแกร่งเบา ๆ แก้เขิน
แค่คิดว่าต้องทำเพราะคิดถึงชาร์ลก็เขินจะแย่แล้ว “เราอดทนมาตลอดอะ...”
“ตอบน่ารักว่ะ” เด็กหนุ่มยิ้มขำพลางคว้าข้อมือเล็กที่ทำท่าจะฟาดเขาอีกครั้งเอาไว้ “แต่ฉันอดทนไม่ไหวหรอก ช่วยตัวเองไปก็หลายรอบตอนมองนายหลับ”
ชาร์ลี ฮอปส์ไม่อยากโกหก
และเขาอยากให้ลิตเติ้ลโมจิเขินจนหน้าแดงเพราะประโยคนี้ เด็กหนุ่มลูกครึ่งจ้องหน้าความนุ่มนิ่มพร้อมอมยิ้มอย่างมีความหมาย
แบคฮยอนจะอดทนเก่งแค่ไหนก็ได้แต่ไม่ใช่เขาคนนี้ เราเปิดกล้องคุยกันเมื่อเกาหลีอยู่ในช่วงกลางคืน
คนที่อยู่โซนกลางวันจึงเป็นฝ่ายนั่งดูแฟนหลับ
“น่าน้อยใจจัง นายอดทนเก่งหรือว่าไม่คิดถึงฉันกันแน่โมจิ?”
“เราคิดถึงนะ คิดถึงมากด้วย!”
“คงมีแค่ฉันที่ --”
“คิดถึงจริง ๆ นะ” แบคฮยอนรีบเอามือนุ่มนิ่มปิดปากเขาเพื่อไม่ให้พูดอะไรแบบนั้นอีก ดูสีหน้าน้องตอนนี้สิ
กระวนกระวายเสียจนเหมือนว่าอยากจะพ่นคำแก้ตัวเองออกมาให้หมด “แต่เราแค่ไม่ชอบทำด้วยตัวเอง...”
CUT 2
(WELCOME TO MALINWORLD)
หรั่งแม่งเกือบได้ทิปเปิ้นคาว
TBC
ความคิดเห็น