ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    TEACH ME TO #ฟิคของทีมคุก SEASON 2 : PAINKILLER | CHANBAEK

    ลำดับตอนที่ #50 : Season 2 | Painkiller 24 : Painkillers (THE END)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 15.83K
      1.04K
      2 ก.ค. 61


    ? cactus

     

     

      

    Chapter 24

    Painkillers (END)

     



    ในทีแรกพฤติกรรมของชาร์ลีค่อนข้างแย่ ทั้งผลการเรียนและมนุษย์สัมพันธ์ และผมคิดว่าเป็นเพราะเขายังปรับตัวเข้ากับสังคมในเกาหลีไม่ได้ แต่พอเริ่มทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนไปสักระยะเขาก็เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ ครับ

    อาจารย์ คุณเป็นคนดี แต่ไม่ต้องปกป้องเด็กคนนี้ก็ได้ครับ

    ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับคุณอู๋ เท่าที่ผ่านมามันไม่ได้มีเรื่องหนักหนาสาหัสอย่างที่คุณกำลังกังวลอยู่เลย การเด็กนักเรียนชายหลายร้อยคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในหอเดียวกัน มันไม่แปลกสำหรับที่นี่ถ้าจะมีปัญหาเรื่องชกต่อยหรือโดดเรียน ผมไม่ได้หมายความว่าทางโรงเรียนเคยชินกับปัญหานี้นะครับ แต่มันเป็นเรื่องที่อาจารย์ทุกคนเข้าไปควบคุมนักเรียนรายคนไม่ได้ ดังนั้นทางเราจึงค่อย ๆ แก้ไขด้วยการกล่อมเกลาจิตใจเด็กให้รู้จักมีสามัญสำนึกแทน ซึ่งผมคิดว่าชาร์ลีได้รับการแก้ไขไปบ้างแล้ว

    เขาสร้างความเดือดร้อนให้โรงเรียนหรือคนรอบข้างหรือเปล่าครับ?

    อันที่จริงก็มีอยู่เรื่องนึงที่ทำให้ผอ.ไม่ค่อยพอใจครับ แต่ผมไม่คิดว่ามันเป็นความเดือดร้อน

    ครับ?

    อี้ฝานเลิกคิ้วระหว่างรอคำอธิบาย ส่วนลูกชายเพียงนั่งเอนหลังพิงกับเก้าอี้พร้อมมองมือตนเองที่ประสานอยู่บนหน้าขาเพราะมันคงดูดีมากกว่าอนาคตในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ชาร์ลกำลังทำใจยอมรับเรื่องราวที่จะออกมาจากปากอาจารย์ เพื่อให้พ่อรู้ว่าเด็กอย่างเขาไม่ได้ดีไปกว่าที่เคยเห็นเลย

    เรื่องที่ชาร์ลีกับเด็กในหอแรคคูนพากันถ่ายแบบเพื่อเอาเงินไปจ่ายค่าผ่าตัดให้เพื่อนครับ

    ...

    อี้ฝานหันไปมองคนข้างตัวที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ต่างจากเดิม ก่อนคำพูดของเพื่อนสนิทจะผุดเข้ามาในความคิด หลายครั้งที่ชานยอลพยายามบอกให้รู้ว่าเด็กคนนี้มีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีมากเท่าไหร่ แต่อู๋อี้ฝานก็ไม่อยากเชื่อเพราะจากที่ผ่านมาชาร์ลี ฮอปส์ไม่เคยมีท่าทีว่าจะทำดีเพื่อใครเลยสักคน

    อคติมันบังตางั้นเหรอ?

    ใช่ มันเป็นอย่างนั้น แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะเบื้องหลังของความรู้สึกไม่ชอบใจในสิ่งที่เด็กคนนี้เป็น เขาก็ซ่อนบางอย่างเอาไว้โดยที่ไม่กล้าหันไปเผชิญหน้ากับมัน

    การเรียนของเขาก็ดีขึ้นนะครับคุณอู๋ จากผลการสอบย่อยก็ไม่ได้อยู่รั้งท้ายเหมือนช่วงย้ายมาอยู่ใหม่ ๆ แล้ว ถึงชาร์ลีจะสื่อสารกับคนอื่นด้วยภาษาเกาหลีได้แต่เรื่องอ่านเขียนก็ยังช้ากว่าคนอื่นอยู่มากครับ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำได้ดีขึ้น ถึงจะเป็นแค่ห้าหรือสิบคะแนน แต่นั่นก็เป็นพัฒนาการที่ดีสำหรับเขา

    ...

    ตอนอยู่ไมอามี่ชาร์ลีอาจจะเคยทำให้คุณเป็นห่วงจนกังวลถึงปัจจุบันนี้ แต่ผมอยากให้คุณลองมองลูกชายใหม่อีกสักครั้งนะครับ ที่นี่มีนักเรียนหลายคนที่เคยเกเร ไม่เอาอะไรเลย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เขาคิดจะกลับตัวกลับใจ ผมก็บอกพวกเขาเสมอว่ามันไม่สายเกินไปหรอกครับที่จะเริ่มต้นใหม่กับเรื่องดี ๆ อาจารย์ที่ปรึกษายิ้มขณะสบตากับอู๋อี้ฝาน สีหน้าของผู้ชายคนนี้ยังคงเหมือนวันแรกที่เจอกัน เรียบเฉย เย็นชา ราวกับว่ามีเรื่องในใจฝังอยู่มากมาย

    เด็กคนนี้ถนัดเรื่องสร้างปัญหา เพราะฉะนั้นถ้าลงโทษได้ก็ทำเลยนะครับ อย่าเกรงใจผม

    นั่นคือคำพูดของคนเป็นพ่อที่ฝากฝังลูกชายไว้กับอาจารย์ที่ปรึกษาในวันแรก เขาเข้าใจว่าอู๋อี้ฝานคงเหน็ดเหนื่อยกับการเลี้ยงดูลูกชายที่อยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ ซึ่งเขาอยู่ตรงนี้เพื่อดูแลบ่มเพาะเด็กนักเรียนให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ดังนั้นการใช้ความรุนแรงทางคำพูดจึงไม่ใช่แนวทางของอาจารย์อย่างเขา

    ไม่ใช่แค่ชาร์ลี ฮอปส์ แต่ยังมีนักเรียนอีกมากมายนักที่เข้ากับครอบครัวไม่ได้ และคนเป็นอาจารย์ก็อยากให้ทั้งสองฝ่ายเริ่มปรับเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อกัน ซึ่งวันประชุมผู้ปกครองในแต่ละครั้งคือโอกาสดีที่เขาจะได้ทำหน้าที่นี้

    คุณอู๋จะมาร่วมงานกีฬาผู้ปกครองที่ใกล้จะมาถึงหรือเปล่าครับ?

    ...

    ชาร์ลรู้คำตอบตั้งแต่คำถามยังไม่จบ เขาไม่ได้คาดหวัง ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่อยากคาดหวังถึงจะถูก ตั้งแต่เกิดมา คงมีเพียงความทรงจำวัยเด็กอันเลือนรางเท่านั้นที่หลงเหลือไว้ให้ได้นึกถึง ตอนพ่อยืนติดขอบสนาม ถ่ายวิดีโอ มองเขาผ่านกล้องพร้อมส่งเสียงเชียร์ ขณะที่เด็กชายคนนั้นพยายามวิ่งไปให้ถึงสีแดงโง่ ๆ นั่นพร้อมบอกตัวเองว่าพ่อจะภูมิใจในตัวเขาถ้าหากวิ่งไปถึงเส้นชัยได้เป็นคนแรก

    พ่อไม่ว่างหรอกครับ

    ผมจะมา

    ... เด็กหนุ่มขมวดคิ้วพลางหันไปมองคนข้างตัวอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง แม้ว่าจะไม่ค่อยได้ยินภาษาเกาหลีจากปากพ่อ แต่ประโยคเมื่อครู่มันก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริงได้ พ่อน่ะหรือจะยอมเสียเวลามางานโรงเรียน ถ้าบอกว่าพรุ่งนี้โลกจะแตกคงน่าเป็นไปได้มากกว่า เวลาของพ่อมีค่าเกินกว่าจะมานั่งทำหน้าเซ็งกับกิจกรรมที่ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น

    เรื่องของลูกชายปลอม ๆ ไม่เคยสำคัญตั้งแต่ไหนแต่ไร และเขาคงไม่ดีใจถ้าหากว่าพ่อจะยอมมาเพราะเห็นแก่คำพูดอาจารย์

    สรุปคุณอู๋จะเข้าร่วมนะครับ?

    พ่ออาจจะพูดผิด เขาคงมาไม่ได้หรอก

    ฉันใช้ภาษาเกาหลีคล่องปากตั้งแต่แกยังไม่เกิด เวลาผู้ใหญ่คุยกันอย่าพูดแทรก หัดมีมารยาทซะบ้าง พ่อไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเหมือนทุกครั้ง ชาร์ลรู้สึกเหมือนกลายเป็นใบ้ขึ้นมาเพราะคำสั่งที่เคยพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ขัดใจอีกฝ่าย แต่ตอนนี้เขากลับได้แต่นั่งนิ่งเฉย

    เพียงเพราะเห็นว่าพ่อกำลังลงชื่อลงบนกิจกรรมโง่ ๆ ที่พ่อแม่เพื่อนคนอื่นก็คงทำเหมือนกัน

     

     

     

    *

     

     

     

    ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้

    พอเดินออกมาจากห้องพักครูชาร์ลจึงตะโกนไล่หลังคนที่กำลังเดินนำไปโดยไม่อธิบายสักคำว่าเพราะอะไรถึงยอมมายืนอยู่ตรงนี้ ทำไม? นั่นคือคำถามเดียวที่วิ่งวนอยู่ในความคิด ทำไมพ่อต้องสร้างความเปลี่ยนแปลงให้รู้สึกแปลกไปจากเดิม ทั้งที่ควรปล่อยทิ้งไว้ให้จมอยู่กับทุกเรื่องแย่ ๆ เหมือนที่เคย

    ช่วยบอกทีได้ไหมว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นเพราะความจงใจแต่ไม่ได้มีเหตุผลอื่นแฝงอยู่ พูดแรง ๆ ยังไงก็ได้

    ฉันทำอะไร?

    เด็กหนุ่มมองแผ่นหลังกว้างของคนที่เรียกว่าพ่อ มองจากมุมเดิม ๆ พร้อมน้ำตาที่มักจะไหลออกมาเมื่อฝีเท้าคู่นั้นก้าวจากไปเหมือนกับทุกครั้ง แต่ตอนนี้ชาร์ลี ฮอปส์ยังกลั้นน้ำตาไว้ได้ กลั้นความรู้สึกไว้หลังกำแพงที่สร้างขึ้นมาเพื่อปิดบังไม่ให้อีกฝ่ายมองเห็น แต่มือสองข้างกลับสั่นเทาไม่หยุดเพราะความอ่อนแอในใจซึ่งมันช่างกล้าดีเหลือเกินที่คาดหวังว่าจะได้ยินคำตอบดี ๆ จากผู้ชายคนนั้น

    เรื่องที่ฉันจะเข้าร่วมกิจกรรมกับโรงเรียน หรือที่ฉันรู้ว่าแกรู้เรื่องนั้นแล้ว?

    ...

    อี้ฝานหันมาสบตากับเด็กคนนั้นท่ามกลางความเงียบบนทางเดินยาว ชาร์ลไม่รู้ว่าน้ำตามันไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ กระทั่งเขารู้สึกได้ว่าภาพของพ่อกำลังพร่าเบลอจนแทบมองไม่เห็น หัวใจเต้นเร็วรัวและมันรู้สึกเจ็บเพราะประโยคเมื่อครู่ แววตาคู่นั้นไม่ได้อ่อนโยนไปกว่าเดิมแต่ก็ไม่ได้มองมาอย่างรังเกียจอย่างเช่นที่เคยทำให้เจ็บปวดมาตลอดหลายปี

    ถ้ารู้อย่างนั้นแล้วทำไมถึงยังมาอีก?

    ...

    ทำไมถึงยังส่งเสียผม ทำไมถึงปล่อยให้คนอื่นเข้าใจว่าเราเป็นพ่อลูกกันทั้ง ๆ ที่ตะโกนใส่หน้าผมแล้วไล่ไปให้พ้น ๆ ก็ได้? เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ ปล่อยให้ความเงียบกัดกร่อนหัวใจตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะฝืนพูดสิ่งที่บาดหัวใจได้ดีกว่ามีดออกไป ผมไม่ใช่ลูกคุณ อู๋อี้ฝาน

    มือที่กำลังสั่นเทายื่นออกไปข้างหน้า พร้อมน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาอย่างไม่อาจหักห้ามได้ หมดสิ้นแล้วความแข็งกระด้างที่จะพูดร้าย ๆ ออกไปเพื่อให้อีกฝ่ายเกลียด ความจริงอยู่ตรงหน้าทั้งคู่แล้ว ความจริงที่วิ่งวนอยู่ในร่างกายเขา

    ในนี้น่ะ

    ...

    มัน... ไม่มีเลือดของคุณอยู่เลยสักหยดเดียว

    เจ็บกว่าการรับรู้มาตลอดคือการต้องพูดออกไป ชาร์ลเสพติดความเจ็บปวดมาตลอดชีวิต จนเขาไม่กล้าคิดว่าจะได้รับสิ่งดี ๆ อีก แม้แต่รอยยิ้มจากผู้ชายคนนี้หรือการปลอบประโลมผ่านทางสายตา

    ครูครับ... ผมไม่เอาเลือดกรุ๊ปนี้ได้ไหม?

    ทำไมล่ะจ๊ะ?

    เพราะถ้ามันเป็นบีเนกาทีฟ พ่อจะไม่รักผมครับ ให้ผมเป็นเลือดกรุ๊ปเดียวกับพ่อได้ไหม ผมอยากให้พ่อรักผม

    พูดออกไปแล้วทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าทุกอย่างคงไม่เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น ผู้ชายคนนั้นไม่ได้อธิบายหรือบอกเล่าความอึดอัดใจที่สะสมมาหลายสิบปี เพราะคนที่อยากเรียกว่าพ่อกลับเลือกเดินไปจากตรงนี้ พร้อมประโยคสุดท้ายที่ทิ้งไว้กับน้ำตาเด็กผู้ชายคนนี้

    ฉันจะมา และกว่าจะถึงตอนนั้นก็ช่วยคงเส้นคงวาไว้แบบนี้ อย่าไปสร้างปัญหาให้ใครอีก

     

     

     

    *

     

     

    พอเห็นว่าชาร์ลไม่กลับห้องเรียนสักที แบคฮยอนจึงขอให้แม่โทรหาลุงอี้ฝาน ก่อนจะได้รู้ว่าทั้งคู่แยกทางกันไปตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว หากเป็นคนอื่นเขาคงไม่แปลกใจอะไรนัก แต่เพราะเป็นชาร์ล แบคฮยอนจึงกังวลว่าการหายไปโดยไม่กลับมาหลังจากเจอพ่อจะมีอะไรนอกเหนือจากนั้นหรือไม่ เขาจึงบอกลาแม่แล้วรีบวิ่งกลับหอ แต่วิ่งผ่านตึกมาสายตาก็พลันไปเห็นใครคนหนึ่งนั่งอยู่บนม้านั่งในสวนด้านหน้าหอพักตามลำพัง

    เด็กในชุดนักเรียนกับกระเป๋าเป้สองใบค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเจ้าของความเงียบนั้นก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงหน้า แบคฮยอนย่อตัวนั่งลงยอง ๆ พร้อมวางสองมือลงบนหน้าขาอีกฝ่าย ก่อนจะรู้สึกได้ถึงหยดน้ำอุ่น ๆ ที่ร่วงลงบนหลังมือตนเอง

    เสร็จแล้วเหรอ?

    อื้อ แบคฮยอนประคองมือใหญ่ไว้แล้วจูบเบา ๆ เป็นห่วงจัง จะช่วยอะไรชาร์ลได้บ้างไหม นั่นคือสิ่งที่เขาคิดในใจ แต่ยังไม่ทันได้คำตอบ หน้าอกข้างซ้ายรู้สึกชาวาบไปทันทีที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นจนเห็นดวงตาแดงก่ำและแก้มที่อาบไปด้วยน้ำตา

    ฉัน.... พูดแล้วนะ

    ...

    ฉันพูดไปแล้วว่าฉันไม่ใช่ลูกของเขา

    ทุกอย่างหยุดนิ่งไปชั่วขณะหลังจากสิ้นสุดประโยคเมื่อครู่ แบคฮยอนลุกขึ้นยืนพร้อมรั้งศีรษะคนรักเข้ามากอด ชาร์ลซบหน้าผากลงกับท้องคนตัวเล็กซึ่งเป็นจุดยึดเหนี่ยวจิตใจเดียวที่เขามีอยู่ตอนนี้ ยิ่งถูกลูบศีรษะปลอบใจอย่างอ่อนโยนเท่าไหร่ ก็เหมือนว่าน้ำตามันจะยิ่งไหลออกมาไม่หยุด

    แบคฮยอนลดตัวนั่งลงข้าง ๆ เขาพร้อมใช้มือนุ่มนิ่มไล้น้ำตาออกให้อย่างเบามือ แววตาคู่นี้เต็มไปด้วยความกังวล แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น ชาร์ลี ฮอปส์ก็ได้เห็นรอยยิ้มของคนรักที่เขารู้ดีว่าน้องน้อยคงพยายามฝืนมันออกมาเพื่อทำให้คนที่มีน้ำตาสบายใจขึ้น

    เราไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของชาร์ลได้ เพราะสิ่งที่เราเคยเจอมันไม่เหมือนกัน แต่เราอยู่กับชาร์ลนะ จะอยู่ตรงนี้เสมอเลย

    ...

    ความเจ็บปวดไม่อยู่กับเราทุกวันหรอก มันต้องมีวันที่แวะไปหาคนอื่นบ้าง และวันนั้นจะเป็นวันของเรานะ วันที่เราจะมีความสุขได้โดยไม่ต้องคิดอะไรอีก เพราะฉะนั้นชาร์ลอย่าเพิ่งท้อนะ น้องน้อยเอาแต่พูดทั้งที่ตัวเองก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ไหนจะก้มหน้ารูดซิปกระเป๋าเป้แล้วเอาลูกอมรสองุ่นออกมาแบ่งเขาคนละเม็ดเดี๋ยวเราแกะให้นะ

    ชาร์ลมองแฟนที่กำลังก้มหน้าก้มตาแกะซองลูกอมโง่ ๆ อย่างตั้งใจและป้อนให้เขาก่อนที่จะแกะให้ตัวเอง ทั้งคู่หันไปมองหอพักตอนหัวค่ำที่เปิดไฟให้ความสว่างทุกชั้น ขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในห้องเรียนระหว่างผู้ปกครองเข้าพบอาจารย์ที่ปรึกษา

    ที่ฉันเป็นแบบนี้มันไม่ได้หมายความว่าฉันไม่มีความสุขเลยเวลาอยู่กับนายหรือคนอื่น ๆ นายเข้าใจที่ฉันพูดไหม?

    ไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่ถ้าชาร์ลอธิบาย เราก็จะเข้าใจทันทีเลย เด็กตัวสูงเลียริมฝีปาก กระชับมือเล็กไว้มั่นก่อนจะเอนศีรษะซบกับไหล่แคบที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยจากโลกใบนี้

    นายคือความสุขของฉัน แต่ฉันกลับโลภมากอยากได้มันจากพ่ออีก

    ไม่หรอก เราก็อยากให้พ่อรักเรามาก ๆ เหมือนกัน

    งั้นเหรอ?

    อื้อ ความรักของชาร์ลที่มีต่อลุงอี้ฝานไม่ได้ทำร้ายใครเลย มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ นะ เราไม่โกหกชาร์ลอยู่แล้ว

    ติ๊งต๊อง ถ้าโกหกเมื่อไหร่จะฆ่าให้ตายเลย ทั้งคู่หัวเราะเบา ๆ แล้วใช้เวลาอยู่กับความเงียบด้วยกันสักพักใหญ่ ก่อนแบคฮยอนจะหงายมืออีกฝ่ายขึ้นแล้วแปะลงไปเบา ๆ

    เราเชื่อว่าสักวันลุงอี้ฝานจะเข้าใจ ตอนนี้มันอาจจะยากไปหมดเลย แต่เราสัญญาว่าจะไม่ปล่อยให้ชาร์ลกลัวอยู่คนเดียวเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

    ฉันไม่เชื่อคำพูดลอย ๆ หรอก นายต้องทำให้ฉันเห็นก่อน

    รอดูได้เลย เรารักษาสัญญาเก่งมากเลยนะ

    ถ้าปล่อยให้อยู่คนเดียวเมื่อไหร่ ฉันจะตามล่านายจนกว่าจะเจอ

    จะไม่ปล่อยเด็ดขาด

    ห้ามนะ

    คับ

    ม้านั่งในสวนหน้าหอแรคคูนมีเพียงเด็กสองคนเท่านั้น โลกใบนี้มันกว้างใหญ่แค่ไหนกัน มันคงใหญ่มากจนชาร์ลี ฮอปส์รู้สึกได้ว่าตัวเขามันเล็กแค่นิดเดียว เป็นเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งที่ไม่รู้เลยว่านอกจากปาร์คแบคฮยอนกับคิมจุนมยอนแล้ว... เขายังมีความสำคัญกับใครอีกไหม?

    ทั้งคู่ยังคงจับมือกันพร้อมรสหวานของลูกอมรสองุ่นที่เคล้าไปกับน้ำตาในใจ และคำถามต่อพระเจ้าว่าเด็กอย่างเขามีสิทธิ์ที่จะได้รับความรักจากพ่อหรือไม่

    มันมีทางเป็นไปได้ไหม... ชาร์ลี ฮอปส์คาดหวังเกินความเป็นจริงไปหรือเปล่า?

     

     

     

    *

     

     

     

    คิมไคลงวิ่งร้อยเมตร ส่วนพวกขายาวทั้งหลายลงวิ่งผลัดเป็นไง?

    แล้วบาสเก็ตบอลล่ะ นั่นก็งานหยาบเหมือนกันนะ ถ้าเอาพวกตัวสูง ๆ ไปวิ่งผลัดหมดใครจะกระโดดรีบาวด์?

    เออจริง คละ ๆ กันหน่อย นี่ยังเหลือว่ายน้ำอีกนะ หรือให้คิมไคลงทุกอย่างไปเลย เอาความหล่อจัดการปัญหาทุกอย่าง

    ไอ้เวร เหรียญทองไม่ได้ชิงจากความหล่อนะโว้ย สงสารมันบ้าง ให้ลงทุกอย่างได้ตายพอดีสิ

    ฮ่า ๆ

    งั้นเอางี้ไหม ถีบพวกเตี้ย ๆ ไปลงวิ่งผลัดด้วย ส่วนพวกขี้โรคก็รอเสิร์ฟน้ำกับประเคนผ้าขนหนูให้เพื่อนแล้วก็แห้งตายไป

    เข้าท่าอยู่ จุนมยอน ผมเริ่มยาวแล้วนี่ แทอูยิ้มพลางยักคิ้ว คนถูกทักจึงยิ้มอย่างขลาดอายพร้อมลูบศีรษะตนเองขณะที่มืออีกข้างกำลังจดทุกอย่างใส่ไว้ในสมุด

    เด็กหนุ่มมากมายนั่งเรียงกันบนพื้นห้องโถงกว้างกำลังทำหน้างงโลกว่าเพราะเหตุใดเด็กกาก ๆ อย่างหอแรคคูนถึงต้องไปแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับหออื่นด้วย พวกเขาแค่ต้องการหายใจทิ้งไปจนกว่าจะจบงานแล้วก็หาของอร่อย ๆ กิน

    คราวนี้กีฬาบางประเภทพ่อแม่บางคนก็จะเข้ามาแจมด้วย ชราสปอร์ตที่แท้

    ฉันขอบายแล้วกัน แม่ฉันถนัดเรื่องหมักกิมจิมากกว่าจะให้วิ่งสามขาว่ะ

    ถ้าวิ่งแบบไม่ซีเรียสพ่อฉันก็ลงวิ่งผลัดได้นะ แต่จะชนะได้คู่แข่งต้องเป็นเต่าเท่านั้น

    ให้พ่อเราลงแข่งบาสด้วย พ่อเราเป็นครูพละ!”

    ... ทุกคนหันไปทางแบคฮยอนอย่างไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่หลุดออกมาจากปากนั่นจะเป็นเรื่องจริง คนตัวเล็กยิ้มเก้อพร้อมแขนที่ยืดขึ้นจนสุด ก่อนจะพยักหน้ารัว ๆ เพื่อบอกว่าพ่อของแบคฮยอนน่ะเก่งที่สุดในโลกเลย

    พ่อเราเอง พ่อเรา!”

    พ่อนายก็จะเตี้ย ๆ แบบนี้ปะนะ?หนึ่งในหอแรคคูนหรี่ตามอง

    น่าจะเป็นลุงลงพุงที่ชอบมองก้นนักเรียนหญิงตอนวิ่ง

    โห ดูพูด พ่อเราตัวสูงมากเลยนะ หุ่นดีด้วย สาว ๆ เคยกรี๊ดจนต้องย้ายไปสอนชายล้วนเลยอะ ถึงพ่อจะมีอายุแล้วแต่ก็ยังเตะปี๊บดังป้าบ ๆ อย่างงี้เลย ชาร์ลยิ้มขำกับความไม่ยอมคนของน้องน้อย พอได้ยินคนว่าพ่อจ๋าในแง่ร้ายก็ถึงกะลุกขึ้นยืนทำท่าเตะปี๊บโชว์เลยว่ะ

    ตอแหลละ อย่าไปเชื่อมัน

    แจวอนไม่เชื่อเพราะพ่อแจวอนไม่เท่เหมือนพ่อเรา

    อ้าว ต่อยกันปะล่ะ?

    มาสิ มาเลย เราสู้ แทนที่จะห้าม แต่เด็กหอแรคคูนกลับระเบิดหัวเราะอย่างไม่กลัวโดนดุเพราะเสียงดังหลังฟ้ามืด เหล่าเด็กหนุ่มต่างส่งเสียงฮือฮาตอนแจวอนยื่นขาแทรกเพื่อนมาสู้กับขาสั้น ๆ ของลิตเติ้ลโมจิ

    ฉันกับแบคฮยอนจะลงวิ่งผลัด เสียงของชาร์ลี ฮอปส์เรียกความสนใจจากทุกคนให้กลับเข้าเรื่อง แทอูสบตากับเพื่อนลูกครึ่งก่อนจะหันไปพยักหน้าบอกให้จุนมยอนลงชื่อสองคนนั้นเพื่อให้เรื่องมันจบ ๆ ไป

    เอาด้วยดิ จีซูยกมือ เดี๋ยวให้พ่อฉันเป็นไม้แรกก็ได้ เพราะหออื่นก็คงให้ผู้ปกครองถือไม้แรกเหมือนกัน

    โอเค มีใครอยากเสนอตัวเองกับพ่อแม่ลงกีฬาประเภทอื่นอีกไหม?

    กริบ... ไม่มีใครยกมือขึ้นเพื่อแสดงความสมัครใจ แทอูปล่อยให้เข็มวินาทีเดินผ่านไปอย่างมีความหวังแต่ก็เหมือนทุกครั้งที่เด็กหอแรคคูนมักจะปล่อยให้เป็นไปตามเวรตามกรรมมากกว่าจะช่วยทำให้เรื่องมันง่ายขึ้น

    ฟังนะ ตัวฉันก็ไม่ได้คาดหวังว่าหอเราจะต้องเอาเหรียญให้ได้หรอกว่ะ แต่อย่างน้อยระหว่างทำกิจกรรมด้วยกันเราควรทำให้มันเป็นเรื่องสนุกมากกว่าจะนั่งทำหน้าเซ็งไปจนจบงานเปล่าวะ?

    ประธานหอกล่าวหลังจากสถานการณ์กลับเข้าสู่ความเงียบ เขารู้ดีว่าเด็กหอแรคคูนไม่ใช่พวกชอบชิงดีชิงเด่น ยิ่งพอเป็นกิจกรรมที่มีผู้ปกครองเข้าร่วมด้วย เด็กวัยรุ่นที่เคยวิ่งเล่นกับพ่อแม่แค่ตอนเป็นเด็กจึงรู้สึกเบื่อหน่าย

     ฟังนะพวกปีสาม เรื่องมันไม่ได้จบทันทีที่พวกแกย้ายก้นออกไปจากที่นี่ มันต้องมีการสอบเข้ามหาลัยต่ออีก พอจบจากที่นั่นก็ต้องหางานทำแล้วเป็นทหารอีกสองปี พอถึงตอนนั้นอายุก็เริ่มเยอะขึ้นมากแล้ว พวกแกลองคำนวณดู เราอยู่ที่นี่ตั้งแต่อายุเท่าไหร่ นับกันหน่อยดีไหมว่าปีนึงพวกแกได้เจอพ่อแม่กี่วัน?

    ...

    ประธานหอนั่งบนพนักโซฟาพลางกวาดตามอง ตั้งแต่รับตำแหน่งนี้มา แทอูพยายามสังเกตเพื่อนและน้อง ๆ ที่อยู่ร่วมกัน บางคนเป็นเด็กติดบ้าน โหยหาวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่บางคนก็หาเรื่องอยู่หอเพื่อหลีกเลี่ยงการกลับไปอยู่กับพ่อแม่

    ดังนั้นเขาจึงอยากสะกิดใจไอ้พวกนี้สักหน่อย อย่างน้อยก็อยากให้พวกมันสำเหนียกได้ว่าการร่วมกิจกรรมครั้งนี้เป็นสวนหนึ่งในการใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่ในช่วงวัยรุ่น ก่อนที่จะแยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเองเมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้ว

    นี่ไม่ใช่การสั่งสอน แต่ฉันอยากให้พวกแกลองคิดไปไกลกว่าพรุ่งนี้หน่อยว่ะ ไม่ต้องกลับบ้านทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ได้ แต่งานนี้ช่วยให้ความร่วมมือหน่อยได้ไหมวะ ถ้าไม่ทำเพื่อหอ ก็คิดซะว่าทำเพื่อพ่อแม่ที่ยอมลางานมาหนึ่งวันเพื่อกิจกรรมโง่ ๆ ที่ไม่มีค่าตอบแทนอะไรให้พวกเขาเลย

    วันนี้ประธานแม่งดุโว้ย

    ชาร์ลไม่ได้ออกความเห็น เขาพยายามเข้าใจเจตนาของแทอูซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องยากนัก หมอนั่นและใครหลาย ๆ คนคงเป็นห่วงพ่อแม่เพราะงานบ้านี่ไม่ได้ให้อะไรจริง ๆ ครอบครัวไหนเข้าใจกันอยู่แล้วก็ดีไป แต่ชาร์ลคิดว่าคงมีหลายคนที่ประสบปัญหาเดียวกับเขาคือเรื่องเข้ากับพ่อแม่ไม่ได้ และงานกีฬามันไม่ได้ช่วยสานความสัมพันธ์อย่างที่คาดหวังไว้

    วิ่งด้วยกันนะ ลิตเติ้ลโมจิหันมากระซิบพร้อมรอยยิ้ม เหมือนรู้ว่าชาร์ลี ฮอปส์กำลังจมอยู่กับความคิดแย่ ๆ และอีกฝ่ายพร้อมจะฉุดเขาออกไปจากหลุมมืดนี้

    จะไหวหรือไง ขาก็สั้นแค่นี้

    ไหวอยู่แล้ว เดี๋ยวจะซ้อมวิ่งรอบสนามทุกวันเลย ชาร์ลอยากซ้อมกับเราไหม? คำถามมาพร้อมตาใส ๆ และคนถูกอ้อนก็ทนไม่ได้จึงอมยิ้มแล้วพยักหน้าตกลง

    ฉันจะอยู่ไม้สุดท้าย เพราะงั้นวิ่งให้ไวล่ะ

    เราจะวิ่งให้เร็วเหมือนเดอะแฟลชเลย

    เด็กลูกครึ่งอมยิ้มพลางยีผมคนข้างตัว ชาร์ลยังคงรู้สึกแย่ที่บอกเรื่องนั้นกับพ่อแทนที่จะเก็บไว้ในใจไปจนตาย หากทำอย่างนั้นอย่างน้อยเขาก็คงแสร้งทำเป็นเด็กเลวในวันงานกีฬาที่ใกล้จะมาถึงได้ แต่ความย้อนแย้งก็แทรกเข้ามาให้คิดไม่หยุด ว่าที่เลือกพูดออกไปอย่างนั้นเป็นเพราะอยากทำให้เรื่องมันชัดเจนหรือแค่อยากได้ความเห็นใจจากพ่อกันแน่?

    แม้ว่าความสงสารหรือความเห็นใจ จะเคยเป็นเรื่องที่ชาร์ลี ฮอปส์ไม่อยากยอมรับและเกลียดเสียยิ่งกว่าอะไร แต่พอเป็นพ่อ ลึก ๆ เขาก็อยากให้มันเกิดขึ้นสักครั้ง เพื่อเยียวยาความเจ็บปวดที่เด็กคนนี้พร้อมยอมคุกเข่ารับความสงสารหากว่าพ่อจะมอบให้ได้

    แต่อีกใจก็กลัวอีกฝ่ายจะลำบากใจ ชาร์ลี ฮอปส์ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้พ่อรู้สึกแย่กับตนเองมากไปกว่านี้ ในขณะที่เขาเองก็ต้องการความรักจากพ่ออีกสักครั้งในชีวิต

     

     

     

    *

     

     

    ในที่สุดก็ถึงวันงานกีฬาผู้ปกครอง ไม่ใช่แค่เด็กหอแรคคูนแต่เด็กหออื่นก็แทบไม่มีเวลาซ้อมเพราะงานค่อนข้างกระชั้นชิด แต่มันก็ไม่แย่นัก เพราะจุดประสงค์ของกิจกรรมนี้ก็คือการสานความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครองมากกว่าจะเอาความสามารถเด็ด ๆ มาวัดกัน

    รอบเช้าเป็นศึกของบาสเก็ตบอลกับว่ายน้ำ และปาร์คชานยอลก็ทำให้เด็กหอแรคคูนได้เห็นว่าปาร์คแบคฮยอนไม่ได้โม้เกินไปกว่าที่พูดไว้ เพราะแต้มส่วนใหญ่ล้วนมาจากคุณพ่อสุดหล่อที่มีภรรยากับลูกสาวคนเล็กมาให้กำลังใจถึงขอบสนามพร้อมอัดวิดีโอไว้เป็นที่ระลึก เด็กหอสิงโตจึงต้องยอมรับความพ่ายแพ้ไปตั้งแต่รอบแรก

    แต่พอย้อนมองตัวเอง ชาร์ลไม่เห็นแม้แต่เงาของชายคนหนึ่งที่บอกว่าจะมา ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนักถ้าหากพ่อจะเปลี่ยนใจกลางคัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคาดหวังเพราะท่านเป็นคนรับปากกับอาจารย์แล้วว่าจะมา

    ไม่ไปหาครอบครัวหรือไง? เด็กหนุ่มวางมือลงบนศีรษะคนตัวเล็กพร้อมโคลงเบา ๆ แต่น้องน้อยก็ส่ายหน้าปฏิเสธ เขาจึงเลิกคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ

    ไว้ค่อยไปหาทีเดียวตอนเอาเหรียญไปอวด

    มั่นใจขนาดนั้นเลยว่าจะชนะ? จากที่รู้สึกแย่ก็รู้สึกดีได้เพราะรอยยิ้มของลิตเติ้ลโมจิ พอเห็นอย่างนี้ชาร์ลี ฮอปส์จึงบอกตัวเองว่าควรโฟกัสคนตรงหน้ามากกว่าจะจมอยู่กับความคาดหวัง เขาไม่อยากให้น้องน้อยต้องรู้สึกแย่ไปด้วย

    ต้องชนะสิ ถึงเราจะวิ่งไม่เก่งแต่ชาร์ลน่ะวิ่งเร็วมาก โดยเฉพาะตอนไล่เตะก้นเพื่อน

    เดี๋ยวจะเตะคนแถวนี้ด้วย

    เตะลงเหรอ ใจดีกับเราหน่อยสิ เราเป็นแฟนชาร์ลนะ ตัวนุ่มนิ่มซบศีรษะลงกับอกเขาพร้อมถูเบา ๆ อย่างออดอ้อน ชาร์ลยิ้มขำ หันซ้ายขวาเพื่อเช็กดูว่ามีคนอยู่แถวนี้หรือไม่ก่อนจะตวัดแขนรั้งอีกฝ่ายเข้ามากอด

    ขอบคุณนะ

    อื้อ

    อื้ออะไร ไม่ถามเหรอว่าทำไมฉันถึงพูด?

    เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าชาร์ลจะอธิบายให้ฟัง เราก็เลยรับคำขอบคุณไว้ก่อน พอลิตเติ้ลโมจิกอดตอบ หัวใจที่เคยเหี่ยวเฉาก็เริ่มกลับมาพองโตอีกครั้ง  

    ขอบคุณที่รักฉัน ขอบคุณนะ

    เขินจัง แต่เราจะรับเอาไว้ก็ได้

    คนกำลังทำซึ้ง ทำไมไม่บอกว่ารักเหมือนกันล่ะหื้อ? เขาผละออกมาสบตากับน้องน้อยที่กำลังยิ้มตาหยี เพิ่มความสดใสให้วันนี้มีแสงสว่างมากกว่าความมืดในใจชาร์ลี ฮอปส์

    เราจะพูดก็ต่อเมื่อวิ่งแข่งชนะแล้วเท่านั้น

    เดี๋ยวนี้หัดมีข้อแม้ใช่ไหม เดี๋ยวเถอะ เขาชี้หน้าคาดโทษ ก่อนทั้งคู่จะชะงักไปเพราะรู้สึกเหมือนกำลังถูกใครมองอยู่ แต่โชคดีที่เป็นคิมจุนมยอนมากกว่าจะเป็นพวกปากโป้งประจำหอที่เข้ามาเห็นว่าทั้งคู่กอดกันจนเอาไปเขียนเป็นข่าวลือแปลก ๆ เช่นชาร์ลีกับคิมไคมีมือที่สามเข้ามาแทรกแล้ว

    พอดีฉันมีเรื่องอยากขอแรงแบคฮยอนหน่อยน่ะ แต่ถ้ายังไม่สะดวกก็...

    สะดวกสิ เราสะดวกมาก ๆ เลยอะ น้องน้อยรีบสวนกลับพร้อมคลายอ้อมกอดออก มาถึงขั้นนี้แล้วยังจะกลัวอะไรอีก ไอ้หมอนั่นก็รู้อยู่แล้ว

    มีอะไร เดี๋ยวฉันช่วย

    คงไม่ได้หรอกชาร์ลี เพราะนายต้องไปเจออาจารย์ที่ปรึกษาตรงหลังตึกตอนนี้เลย จุนมยอนชี้ไปทางขวามือ เด็กหนุ่มที่อยู่ในชุดกีฬาประจำหอแรคคูนจึงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

    อาจารย์ที่ปรึกษางั้นเหรอ?

    อืม ฉันไม่รู้นะว่าเขาอยากเจอนายเพราะอะไร แต่รีบไปดีกว่า เขารออยู่ หลังจากพูดจบ จุนมยอนก็พยักหน้าเรียกแบคฮยอนให้ไปด้วยกัน

    ชาร์ลได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของสองเตี้ย มองความสนิทสนมที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เป็นส่วนหนึ่งในนั้น มันคงดีถ้าหากว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันยืดยาวไปจนถึงตอนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เขาอยากเห็นลิตเติ้ลโมจิเป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้าแฟชั่นที่สืบกิจการต่อจากพ่อแม่ อยากเห็นคิมจุนมยอนทำอาชีพที่รักและเลี้ยงครอบครัวได้อย่างที่หมอนั่นเคยตั้งใจไว้ อยากเห็นเราสามคนใช้เวลาด้วยกันในวันหยุดที่กว่าจะหาเวลาตรงกันได้

    ประหลาดดีที่ความคิดของชาร์ลี ฮอปส์มาไกลถึงขนาดนี้ได้ นึกแล้วก็ขำกับพัฒนาการของตนเองที่เริ่มต้นจากความสวยงามจนกลายเป็นความต่ำตม ก่อนจะค่อย ๆ ถูกขัดเกลาให้ดีขึ้นเหมือนวันนี้ ชาร์ลลี ฮอปส์อาจจะไม่ใช่เด็กนิสัยดีนัก แต่เขาก็เดินออกมาจากคำว่าเลวไกลพอสมควรแล้ว

    ขายาวเดินไปตามจุดหมายที่เพื่อนบอก บางทีอาจารย์ที่ปรึกษาอาจจะเรียกไปคุยเรื่องแข่งวิ่งผลัดซึ่งมันเป็นเรื่องยากเล็กน้อยถึงปานกลางเพราะมีผู้ปกครองร่วมวิ่งด้วย คนถือไม้สุดท้ายอย่างเขาจึงต้องพยายามเป็นอย่างมากถ้าหากหออื่นวิ่งแซงไปก่อน

    แต่ทุกอย่างก็ผิดคาดไปเพราะคนที่ยืนอยู่ข้างม้านั่งกลับเป็นพ่อของเขา เด็กหนุ่มที่ถอดใจกับความหวังไปแล้วจึงยืนนิ่งอยู่กับที่คล้ายว่าเวลาได้หยุดหมุนไป

    ไง?

    ...

    “Someone kicked the bucket and spilled the water all over the place, so your teacher has to take care of it.” (มีเด็กเดินชนถังน้ำจนหกเลอะเทอะ อาจารย์ของแกก็เลยต้องไปดูสักหน่อย)

    ชาร์ลมองกล้องในมืออีกคน พร้อมสายห้อยคอแบบที่เคยเห็นแค่ตอนพ่อไปถ่ายงานเท่านั้น หัวใจอ่อนยวบเพราะเริ่มคิดเข้าข้างตัวเอง แต่อีกใจก็พยายามต่อต้านให้คิดว่าบางทีพ่ออาจจะเอามาถ่ายอาชานยอลหรือลิตเติ้ลโมจิมากกว่าจะเป็นลูกนอกไส้คนนี้

    “I think that you won't come.” (ผมนึกว่าพ่อจะไม่มาแล้ว)

    “At first I thought the same as you.” (ตอนแรกก็คงอย่างนั้น) เจ้าของเสียงเรียบเฉยว่าพลางนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ข้างสวน “You still have forty minutes until the competition. Sit down. Let's have a talk.” (อีกสี่สิบนาทีกว่าแกจะลงวิ่ง มานั่งคุยกันก่อนสิ)

    หากเป็นก่อนหน้านี้ปากหมา ๆ คงพ่นออกไปโดยไม่ทันคิด เช่นพายุคงพัดเข้าเกาหลีใต้เพราะพ่อคิดอยากคุยกับผม แต่คราวนี้ชาร์ลี ฮอปส์ทำได้ดีที่สามารถยับยั้งคำพูดแย่ ๆ เหล่านั้นไว้ในความคิดได้แล้วยอมไปนั่งตรงนั้น แต่เขาก็ยังสร้างระยะห่างไว้เพื่อให้พ่อมีที่วางกล้อง

    เป็นยังไงบ้าง?พ่อถามเป็นภาษาเกาหลี และเป็นคำถามที่ไม่น่าหลุดออกจากปากพ่อ แต่ชาร์ลก็ได้แต่นั่งนิ่งแล้วคิดคำตอบโง่ ๆ แบบที่เขาไม่ถนัดนัก

    หมายถึงเรียนที่นี่เหรอ อืม ดี ผมชอบที่นี่

    ฉันรู้ว่ามันแปลกกับสถานการณ์แบบนี้ แต่มันก็คงต้องมีสักวันที่เราต้องคุยกัน

    มีอะไรก็พูดมาเถอะ

    เวลาพูดกับครูบาอาจารย์หรืออาชานยอล แกก็ไม่มีหางเสียงแบบนี้เหรอ? อี้ฝานมองเด็กหนุ่มข้างตัวที่ไม่ได้สบตาเขา แต่เด็กคนนี้เลือกที่จะมองไปยังด้านหลังของอาคารเรียนที่เงียบสงบ

    “Which answer would you like to hear? From my mouth? or what you believe I am?” (พ่ออยากได้คำตอบแบบไหน แบบที่ออกจากปากผม หรือว่าแบบที่พ่อเชื่อว่าต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว)

    ...

    คนอายุมากกว่าชะงักไป ก่อนจะเบือนสายตาหลบแล้วถอนหายใจกับเรื่องที่คาดไว้อยู่แล้วว่าต้องออกมาเป็นแบบนี้ อู๋อี้ฝานกับชาร์ลี ฮอปส์ไม่เคยคุยกันได้นาน มันช่างเป็นเรื่องบ้าบอคอแตกเหลือเกินที่เขาเชื่อคำพูดของเพื่อนสนิทอย่างปาร์คชานยอลจนทำให้ขาพามาตรงนี้

    บรรยากาศไม่เคยดีไปกว่านี้ กลับกันแล้วมันแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำเพราะเมื่อก่อนเขาและเด็กคนนี้ยังตอบโต้กันด้วยความใจร้ายได้ แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้วหลังจากเฉลยความจริงที่ต่างฝ่ายต่างก็รู้อยู่แก่ใจมาตลอด ซึ่งอู๋อี้ฝานปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ชาร์ลี ฮอปส์มีชีวิตแบบนี้

    เขาเอาแต่คิดว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกทำร้ายและต้องอยู่กับความเจ็บปวดเพราะถูกหลอก หลอกให้รักเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นลูกใครก็ไม่รู้ อู๋อี้ฝานจมอยู่กับความโกรธนั้นหลายปี กว่าจะนึกได้ว่าขณะที่คิดว่าตัวเองถูกทำร้าย เขาก็ได้ทำร้ายชีวิตเด็กคนหนึ่งไปพร้อม ๆ กัน จนผลลัพธ์ที่ออกมามันร้ายแรงเกินกว่าความเจ็บปวดในใจนัก

    แน่นอนว่าอู๋อี้ฝานยังคงเจ็บจากเรื่องนั้น แต่หลังจากคุยกับชานยอลและเริ่มสังเกตความเปลี่ยนแปลงของชาร์ลี ฮอปส์อยู่ห่าง ๆ พ่อที่เคยใจร้ายก็เริ่มกลับมามีหัวใจอีกครั้ง

     

    กูขออย่างเดียว มึงให้โอกาสชาร์ลีหน่อยได้ไหม เด็กมันไม่ผิดที่เกิดมา มึงก็ไม่ผิด และกูก็ไม่อยากให้มึงตามหาคนผิดอีกแล้ว ในสายตาชาร์ลี มึงคือพ่อ พ่อคนเดียวของเขา ต่อให้มึงเย็นชา หรือจะปฏิเสธสักแค่ไหน เด็กมันก็รักมึงอยู่ดี ถามตัวเองสิอี้ฝาน ทำไมถึงปล่อยให้ทิฐิพามึงมาไกลถึงขนาดนี้?

    มึงไม่ใช่พ่อเขาก็จริง แต่การที่ตัวชาร์ลีไม่มีเลือดมึงอยู่เลย มันทำให้เด็กไม่มีสิทธิ์ได้รับความรักจากมึงเลยเหรอวะ?

    คนที่มีลูกไม่ได้ เขาไปรับเด็กมาเลี้ยง ทำไมเขาถึงรักเด็กคนนั้นเหมือนเป็นเลือดเนื้อตัวเองได้?

    ลองเปิดใจสักครั้งไหมอี้ฝาน สักครั้งนึง เพื่อตัวเองแล้วก็คนที่อยากเรียกมึงว่าพ่อโดยไม่ต้องกังวลอะไรอีก

     

      

    “I’m sorry” (ผมขอโทษ)

    แต่คนที่พูดคำว่าขอโทษ... กลับเป็นเด็กคนนี้

    “I didn't mean it. In fact, I'm just afraid that you won't believe me.” (ผมไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้น ความจริงผมแค่กลัวว่าพ่อจะไม่เชื่อสิ่งที่ผมพูด)

    ...

    “I know that everyone sees me as a troublemaker. If you just come to tell me to accept some truths, then speak. It's fine. I got used to it.” (ผมรู้ว่าในสายตาทุกคนผมคือตัวปัญหา ถ้าวันนี้พ่อมาเพื่อบอกให้ผมทำใจกับเรื่องบางเรื่อง พ่อก็พูดมาเถอะ มันไม่ใช่เรื่องยาก ผมชินแล้ว)

    ชาร์ลพูดโดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย มันคงดีกว่าถ้าเขาจะพูดออกไปให้หมดในครั้งเดียว แทนที่จะหยุดไปขณะหนึ่งเพราะความปอดแหกตอนมองหน้าพ่อ

    “You won't financially support me through University or you won't let me stay at grandpa's house after my grad. It's all fine. You can tell me right now.  Don't waste more time. I have to be at the track soon.” (จะเป็นเรื่องไม่ส่งเสียผมเรียนมหาลัย หรือจะไม่ให้ผมไปอยู่บ้านปู่หลังจากเรียนจบ พ่อพูดมันออกมาได้เลย ถ้าปล่อยนานกว่านี้ผมกลัวว่าจะไม่ทันเวลา ผมต้องไปวิ่งแล้ว)

    ...

    “My friends are waiting for me.” (เพื่อนรอผมอยู่) หัวใจเต้นช้าลง และเขารู้สึกได้ว่ามันเจ็บ จนถึงตอนนี้ชาร์ลก็ไม่ได้หันไปมองหน้าคนข้าง ๆ เพราะกลัวว่าจะต้องเจอกับสายตาแบบที่เคยเห็นมาตลอดชีวิต “Those guys. They are so good to me that I don't ever think I would receive such kindness from strangers.” (คนพวกนั้นดีกับผมมาก ดีแบบที่ผมไม่คิดว่าจะได้รับจากคนแปลกหน้า)

    ทั้งคู่ปล่อยให้บรรยากาศกลับเข้าสู่ความเงียบ ชาร์ลรู้สึกว่ากำลังสูญเสียความเป็นตัวเองไปจนกู่ไม่กลับ แต่มันคงไม่สำคัญแล้วเพราะเด็กอย่างเขาคงไม่มีอะไรที่จะเสียได้อีก ยิ่งเป็นเรื่องของความรู้สึกยิ่งไม่เห็นต้องกลัว

    “I don't want to let those who love me wait for me.” (ผมไม่อยากให้คนที่รักผมต้องรอ)

    เขาเตรียมใจให้พร้อมกับความเปลี่ยนแปลงที่ควรเกิดขึ้นตั้งนานแล้วว่าหลังจากนี้อาจจะไม่ได้เจอพ่ออีก ชาร์ลี ฮอปส์ยืดเวลามานานเกินไป เขาควรปล่อยให้พ่อมีอิสระทางความรู้สึกโดยไม่ต้องพะวงถึงหนามที่คอยทิ่มแทงใจ ไม่ต้องรู้สึกแย่ทุกครั้งที่เห็นหน้าเขาอีก

    ส่วนเรื่องความหวังโง่ ๆ นั่น เขาจะเลิกโหยหามันตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป 

    “You... (แก)

    มือที่วางลงบนไหล่ทำเด็กหนุ่มสะดุ้งไปเล็กน้อยกับสัมผัสที่ไม่คุ้นชิน ชาร์ลเผลอกำมือแน่นและเขารู้สึกได้ถึงเหงื่อที่กำลังออกตามฝ่ามือ หากบอกว่าคนเราสามารถตายได้ทั้งที่ยังหายใจอยู่เขาก็คงเชื่อ เพราะช่วงเวลาที่พ่อปล่อยให้เด็กคนนี้จมอยู่กับความเงียบนั้นมันช่างยาวนานเหลือเกินจนรู้สึกหายใจไม่ออก

    “You have hurt so much. Right?” (เจ็บมากเลยใช่ไหม?)

    ...

    ปลายนิ้วที่เคาะลงบนไหล่นั้นเบาและเต็มไปด้วยความประหม่า เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ และพอกระพริบตา หยดน้ำที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดก็ไหลลงบนกางเกงพละขาสั้น ชาร์ลี

    ฮอปส์เคยเข้มแข็งเก่งกว่านี้ แต่นั่นก็ก่อนที่จะได้รู้สึกได้ถึงฝ่ามืออุ่น ๆ ของพ่อ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรทำอย่างไรดีในตอนนี้ ร่างกายมันไม่กล้าแม้แต่จะขยับ วูบหนึ่งคิดไปว่าถ้าหากเมื่อก่อนยอมอ่อนน้อมจนกลายเป็นคนน่าสงสาร พ่อจะมองเขาดีขึ้นมากกว่าที่เคยหรือไม่

    “I don't know what to speak. I'm not sure that I want to say sorry or not, but Charlie --” (ฉันไม่รู้ว่าจะพูดยังไง ฉันไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าอยากพูดคำว่าขอโทษไหม แต่ชาร์ลี --)

    ...

    “I -- I'm not your father... (ฉัน... ไม่ใช่คนที่ให้แกเกิดมา) เด็กหนุ่มค่อย ๆ หันไปสบตากับคนข้างตัว เสียงของพ่อกำลังสั่นและดวงตาคู่นั้นก็เช่นกัน “You knew that, but why do you still call me 'Dad'?” (แกเองก็รู้ แต่ทำไมถึงยังเรียกฉันว่าพ่ออยู่อีก?)

    ชาร์ลี ฮอปส์เป็นคนโง่ เขาจึงให้คำตอบอีกฝ่ายไม่ได้ เด็กหนุ่มหายใจเข้าลึก ๆ พยายามเรียกความเข้มแข็งกลับคืนมา แต่น้ำตาก็ไม่ให้ความร่วมมือเสียเลย

    “Don't you want to know who is your real father?” (ไม่อยากรู้เหรอว่าพ่อแท้ ๆ ของแกเป็นใคร?) ชาร์ลนิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ

    “I thought of finding him when I had realized that I'm not your son.” (ผมเคยคิดจะตามหาเขา ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าไม่ใช่ลูกพ่อ)

    ...

    “I thought that if I could find him, I wouldn't suffer anymore. I wouldn't have to wait for your love or your mercy. It wouldn't hurt as much as it is now or maybe it would hurt less. But no matter how hard I tried to find him, it came to my mind that I don't want to be with him.” (ผมคิดว่าถ้าตามหาเขาเจอ ผมคงหลุดพ้นจากความทรมานได้ ผมจะได้ไม่ต้องรอความรักความเห็นใจจากพ่ออีก มันคงไม่เจ็บเท่าที่เป็น หรืออาจจะเจ็บน้อยกว่า แต่ยิ่งพยายามตามหา ผมก็ได้คำตอบว่าผมไม่ได้ต้องการอยู่กับเขา)

    ...

    “The world is so big that I can't even find my own place. Should I go to my real father who I don't even sure that he will be happy for having me or not or should i stay with you and pretend to be your son?” (โลกมันกว้างเกินไป กว้างจนผมไม่คิดไม่ออกว่าควรยืนอยู่ตรงไหน ระหว่างไปหาพ่อแท้ ๆ ที่ไม่รู้ว่าเขาจะยินดียินร้ายกับการมีผมไหม หรือว่าอยู่เป็นลูกปลอม ๆ ของพ่อต่อไปดี?)

    ...

    “Though I know you do regret what had happened after all this time, I still don't know where to fix this shit. I'm actually the destructive one. You knew it.” (ผมรู้ว่าพ่อเสียใจกับเรื่องนี้ แต่ผมไม่รู้ว่าต้องเริ่มแก้ไขจากตรงไหน อันที่จริงผมเป็นคนถนัดเรื่องทำลาย เรื่องนี้พ่อก็รู้ดี) เด็กหนุ่มทอดสายตาไปยังเบื้องหน้า หัวเราะเบา ๆ ขณะมองย้อนกลับไปหาวันเก่า ๆ “My mind is filled with so many thought right now. You may surprise because a bastard like me shouldn't sit here doing some nonsensical talk. But you know what? I don't want you to hurt anymore.” (ตอนนี้ในหัวผมมีอะไรอัดแน่นอยู่เต็มไปหมด พ่ออาจจะประหลาดใจ เพราะเด็กอย่างผมไม่น่ามานั่งอยู่ตรงนี้แล้วก็พล่ามอะไรก็ไม่รู้ แต่พ่อเชื่อไหม ว่าตอนนี้ผมไม่อยากให้พ่อเจ็บแล้ว)

    บางทีสิ่งที่ปาร์คชานยอลพูดอาจจะถูกทั้งหมด เพราะตอนนี้หัวใจของอู๋อี้ฝานมันเจ็บปวดหนักขึ้นทุกขณะเพราะเห็นน้ำตาของคนที่ปฏิเสธมาตลอดว่าไม่ใช่ลูกชาย ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของชาร์ลี ฮอปส์ตอนนี้ไม่หลงเหลือคราบเด็กเกเรที่พร้อมจะสร้างเรื่องให้ปวดหัว

    ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เด็กคนนี้โตขึ้นจนกล้าเผชิญหน้ากับเขาอย่างนี้

    “I'm okay to be just someone in your life who you took for granted, but can I ask you for two things?” (ผมจะเป็นคนอื่นในชีวิตพ่อก็ได้ แต่ผมขอแค่สองอย่างได้ไหม?) อู๋อี้ฝานไม่ได้แย้งในสิ่งที่เด็กคนนี้อยากพูดเพราะเขาเลือกให้คนข้างตัวอธิบายสิ่งที่ร้องขอ “I beg you to be happy. Please don't hurt your own heart with my existence, and the other thing is that...” (ขอให้พ่อมีความสุข อย่าเจ็บเพราะการมีอยู่ของผมอีก และอีกอย่างที่ผมอยากขอ)

    อู๋อี้ฝานคิดว่าชาร์ลี ฮอปส์สามารถตัดสินใจทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องขอเขา แต่ถึงอย่างนั้นเด็กคนนี้ก็เลือกที่จะพูดมันออกมาอย่างนั้นหรือ?

    “Can I love Baekhyun?” (ให้ผมรักแบคฮยอนได้ไหม?)

    ...

    “Eventhough I'm not your real son, I think I can know how you feel. You might feel sorry for Uncle Chanyeol and Aunt Baekhee right? If I were you, I would also get stressed since that child is a son of your bestfriend. Also, I still have no guarantee that I will be nice to Baekhyun for the rest of my life. I don't know what lies ahead, but now he's the only one i see.” (ถึงผมจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ แต่ผมคิดว่าผมพอจะเดาใจพ่อออกอยู่บ้าง ผมรู้ว่าพ่อคงรู้สึกผิดกับอาชานยอล อาแบคฮี ถ้าผมเป็นพ่อผมก็คงเครียดเหมือนกันเพราะนั่นก็ลูกเพื่อนสนิท แล้วผมก็ไม่มีอะไรมายืนยันด้วยว่าจะดีกับแบคฮยอนไปจนวันสุดท้ายของชีวิต ผมไม่รู้อนาคตเลย แต่ตอนนี้ผมมองเห็นแค่เขา)

    ...

    “I want to take care of him.” (ผมอยากดูแลแบคฮยอน)

    “How can you take care of other people if I'm not support you? Financially support as you've said.” (แกจะดูแลคนอื่นได้ยังไง ถ้าไม่มีฉันคอยดูแลส่งเสียอย่างที่แกเพิ่งพูดไป?)

    “I'll try everything I can. Maybe I have to be a truckdriver or look for other jobs that can earn a living. But Baekhyun hate drugs and I surely won't earn money that way.” (ผมจะพยายามทำทุกอย่าง อาจจะต้องไปขับรถบรรทุก หรือทำงานอะไรก็ได้ที่เขาตอบแทนผมด้วยเงิน แบคฮยอนไม่ชอบยาเสพติด และผมจะไม่หาเงินด้วยวิธีนั้น)

    “You're not putting in enough effort. You know?” (แต่ความพยายามของแกมันยังไม่มากพอ)

    “I know.” (ผมรู้)

    “Love is not enough to make you survive. There are a lot of other factors. So what you should do first is to get into the university. Try your best to fill your brain with knowledges. Graduate. Having knowledge is way better than to just go for it and risk yourself like a fool. Don't use your love as an excuse to drag Baekhyun down.” (แค่รักกันมันทำให้ใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้ มันยังมีองค์ประกอบรอบข้างอีกมากมาย เพราะฉะนั้นสิ่งที่แกควรทำเป็นอันดับแรกก็คือเข้ามหาลัยให้ได้ก่อน พยายามหาความรู้ใส่หัว เรียนให้มันจบ การมีความรู้ติดตัวมันต้องดีกว่าการไปตายเอาดาบหน้าอยู่แล้ว อย่าเอาคำว่ารักฉุดแบคฮยอนลงมาลำบากกับแก)

    ... สีหน้าของชาร์ลแย่ลง บอกตามตรงว่าจนถึงตอนนี้อู๋อี้ฝานก็ยังไม่ชินกับสิ่งที่อีกฝ่ายเป็น

    “If you love each other, you have to try harder. It's not only about proving yourself to Uncle Chanyeol and Aunt Baekhee, but it's also about your future.” (ถ้าจะรักกันก็ต้องพยายามให้มากกว่านี้ ไม่ใช่แค่พิสูจน์ให้อาชานยอลกับอาแบคฮีเห็น แต่มันเป็นเรื่องที่จะบอกถึงอนาคตของแกสองคนด้วย)

    ประโยคเมื่อครู่ทำให้เขาได้เห็นแววตาของเด็กเก้าขวบคนนั้นอีกครั้ง แววตาที่อู๋อี้ฝานคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้เห็นอีกเพราะทิฐิของตนเอง แต่มีเด็กคนหนึ่งที่ยืนยันหัวชนฝา ว่าถ้าหากเขายอมอ่อนลงเสียหน่อย ชาร์ลี ฮอปส์คนแข็งกระด้างก็จะหายไป

    เด็กคนนั้น...

     

    ผมเป็นเด็ก ผมจะไม่พูดเพื่อเปลี่ยนมุมมองของลุงอี้ฝานที่มีต่อชาร์ลนะครับ ผมจะพูดแค่สิ่งที่ผมเห็น และสิ่งที่รู้สึกเท่านั้น

    ตอนแรกชาร์ลนิสัยไม่ดีมาก ๆ เย็นชา เกือบต่อยกับเพื่อนด้วย แล้วก็เอาแต่ใจสุด ๆ เลย ตอนนั้นผมเลยคิดว่าจะไม่ยอมให้ชาร์ลเป็นแบบนั้นไปเรื่อย ๆ เด็ดขาด ผมเลยสัญญากับตัวเองว่าจะทำให้ชาร์ลเข้ากับเพื่อน ๆ ให้ได้ ชาร์ลจะต้องมีเพื่อนมากกว่าผม

    จนตอนนี้ใคร ๆ ก็รักชาร์ลแล้ว ไม่มีใครคิดจะต่อยกันอีก มีแต่คนที่คิดจะช่วยกันตอนเกิดปัญหา

     

    เขาจำได้ว่านั่งคุยกับแบคฮยอนอยู่นานก่อนจะบอกให้หลานกลับไปเรียนต่อเพราะไม่อยากรบกวนเวลามากไปกว่านั้น อีกอย่าง เวลาว่างของช่างภาพอย่างอู๋อี้ฝานก็ไม่ได้มีมากนัก และการเข้าไปทักทายชาร์ลี ฮอปส์ก็ไม่ใช่เรื่องปกติเสียด้วย

     

    ก่อนหน้านี้มีเรื่องน่าปวดใจเกิดขึ้น มันคือเรื่องผ่าตัดของจุนมยอนครับ พ่อคงเล่าให้ลุงอี้ฝานฟังแล้ว แต่ผมอยากยืนยันอีกเสียงว่าถ้าไม่นับผม จุนมยอนก็เป็นเพื่อนสนิทอีกคนที่เข้ามาเป็นโลกใบเล็ก ๆ ของชาร์ล เขาคือคนที่เปลี่ยนมุมมองความคิด เป็นเพื่อนที่ดีจนไม่มีใครอยากเสียไป

    แต่ผมเข้าใจที่ลุงอี้ฝานปฏิเสธการขอความช่วยเหลือจากชาร์ลนะครับ ลุงอี้ฝานไม่ผิดเลย ก็ชาร์ลเคยทำตัวไม่น่าไว้ใจนี่นา แต่ระหว่างที่กำลังกลัวก็มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นเหมือนกันนะครับ มันทำให้เด็กหอแรคคูนมีความสามัคคีกันเพื่อหาเงินมาช่วยเพื่อน

    ชาร์ลเก่งมาก ๆ เลยครับ ไม่บ่น ไม่โวยวายเลย แถมถ่ายรูปออกมาดูดีมาก ๆ ด้วย ตอนนั้นผมภูมิใจในตัวเขาจนอยากโทรหาลุงอี้ฝาน อยากบอกให้ลุงรู้ว่าความพยายามของเขาสำเร็จแล้วนะ ชาร์ลเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้จุนมยอนหายดี

    ลุงพอจะนึกภาพออกไหมครับว่าเรื่องผ่าตัดครั้งนั้นมันไม่ได้เปลี่ยนแค่ชีวิตจุนมยอน แต่เปลี่ยนโลกของชาร์ลไปด้วย

    โลกที่ทำให้รู้ว่าความจริงแล้วชาร์ลเป็นคนอ่อนโยนแล้วก็จิตใจดีมากแค่ไหน

    ผมชอบโลกของชาร์ลมากเลย อยากจะอยู่ด้วยไปนาน ๆ แล้วลุงอี้ฝานล่ะครับ?

    คิดถึงโลกของลูกชายคนนั้นไหม?

     

    “I come here today to ask you for a second chance to fix our mistakes and begin again.” (ฉันมาวันนี้เพื่อขอให้เราสองคนกลับไปเริ่มต้นกันใหม่)

    ...

    พอได้ยินสิ่งที่วอนขอกับพระเจ้า ชาร์ลี ฮอปส์ก็รู้สึกเหมือนความหนักอึ้งที่แบกมาตลอดหลายปีได้หายไป มันว่างเปล่าเพราะความทุกข์เหล่านั้นถูกปลดล็อกให้โบยบินออกไปแล้ว เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงอิสระจากความกลัวและความเจ็บปวด มันมาจากดวงตาคู่นี้และรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมานานเป็นสิบปีแล้ว

    “I'm going to be a father who comes to Korea more often. And you're going to be a son who looks forward to the weekends. We're going to clean grandpa's house together, refurbish it the way you like. Moreover, It will be great if we manage to find some free time and go fishing together. We'll sit beside each other and share some stupid stories. Sounds good? Would you like to do it with me, Charles?” (ฉันจะเป็นพ่อที่หาเวลามาเกาหลีให้บ่อยขึ้น ส่วนแกก็เป็นลูกที่ตั้งตารอวันหยุดสุดสัปดาห์ ช่วยกันทำความสะอาดบ้านปู่ ตกแต่งห้องให้แกใหม่ แบบที่แกชอบ อีกอย่าง... มันคงดีถ้าหากเราสองคนหาเวลาว่างไปตกปลาด้วยกัน แล้วก็แชร์เรื่องโง่ ๆ ให้อีกฝ่ายฟัง แกอยากทำแบบนั้นหรือเปล่าชาร์ล?)

    พ่อก็คงต้องใช้ความกล้ามากมายเหมือนกันถึงจะพูดประโยคเหล่านั้นออกมาได้ เด็กหนุ่มตั้งใจฟังและย้ำกับตนเองว่านี่ไม่ใช่ความฝัน ซึ่งชาร์ลี ฮอปส์มีสิทธิ์ที่จะพยักหน้า... และยิ้มทั้งน้ำตาไปกับความสุขที่โหยหามาตลอด

    “I won't talk about the past anymore, and I want you to forget it too.” (ฉันจะไม่พูดเรื่องเก่า ๆ อีก และฉันก็อยากให้แกลืมมันไป)

    “You won't hurt anymore?” (พ่อจะไม่เจ็บอีกแล้วใช่ไหม?)

    “It depends on whether you're going to be a pain in my ass or not.” (มันก็ขึ้นอยู่กับว่าหลังจากนี้ แกจะทำตัวเป็นลูกที่ใช้ไม่ได้อีกหรือเปล่า?)

    ทั้งคู่สบตากัน ก่อนจะหัวเราะกับเรื่องตลกโง่ ๆ ที่ไม่คิดว่าจะทำให้บรรยากาศอึดอัดเมื่อครู่จางหายไปได้ ไม่ใช่แค่ตัวเขาที่รู้สึกสบายใจ จากรอยยิ้มและการบอกเล่าถึงเรื่องโรงเรียนจนลืมว่าจะมีแข่งในอีกไม่ช้า มันก็บ่งบอกได้อย่างง่ายดายว่าเด็กคนนี้ได้รับสิ่งเดียวกับที่เขาได้รับแล้วเช่นกัน

    ซึ่งนั่นคือโอกาสที่จะมีความสุขกับการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

     

     

     

    *

     

     

    อัฒจันทร์เต็มไปด้วยผู้ปกครองและคนนอกที่ให้ความสนใจงานกีฬาโรงเรียนชายล้วน บูธขนมและเครื่องดื่มต่างชุลมุนวุ่นวายเพราะงานปีนี้คึกคักเป็นพิเศษ แบคฮยอนคิดว่าส่วนหนึ่งคงเป็นผลพวงจากเรื่องผ่าตัดจุนมยอนที่ทุกคนทุ่มเทกันจนเป็นกระแสข่าว

    วันนี้พ่อกับแม่ไม่ได้พาโบยอนมาแค่คนเดียวแต่ยังมีน้ามินซอกมาด้วย แบคฮยอนโบกมือให้ครอบครัว ยิ้มร่าอย่างมีความสุขโดยไม่แคร์ว่าคนอื่นจะมองเป็นลูกแหง่สักแค่ไหน แต่อยู่ ๆ เรื่องน่าประหลาดใจก็เกิดขึ้น เมื่อสายตาพลันไปเห็นปาร์คชานอีเดินเบียดเข้าไปหาพ่อพร้อมขวดน้ำดื่มและขนม

    เด็กคนนั้นทำหน้าไม่สบอารมณ์นัก ชานอีคงถูกแม่บังคับมา แต่ก็สมน้ำหน้าแล้วล่ะ แบคฮยอนอยากเห็นน้องหงุดหงิดเพราะไม่ได้ดั่งใจบ้าง ชานอีถูกตามใจจนเคยตัว ทนอยู่กับอะไรนาน ๆ ไม่เคยได้ เพราะงั้นก็อึดอัดตายไปเลย

    ชาร์ลียังไม่มาอีก จุนมยอนชะเง้อมองหาเพื่อนสนิทด้วยความเป็นห่วง จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่เห็นเงาของหมอนั่น ไม่รู้ว่าเรื่องราวไปถึงไหนแล้ว

    รออีกนิดนึงนะ ยังเหลือเวลาอีกตั้งห้านาที

    นายใช้คำว่าตั้ง งั้นเหรอ? เด็กหนุ่มผิวขาวมองคนข้าง ๆ ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่สีหน้าแบคฮยอนก็ไม่ได้ดูสบายใจไปกว่าเขาเลยสักนิด

    ลุงอี้ฝานไม่ปล่อยให้ชาร์ลพลาดวิ่งแข่งแน่ เราเชื่ออย่างนั้นอะ คราวนี้เป็นทีของคนตัวเล็กที่ชะเง้อมองหาคนรัก จะเป็นยังไงบ้างนะ พอเดินกลับไปแล้วเห็นว่าคุยกับลุงอี้ฝานอยู่ก็รู้สึกสบายใจและไม่สบายใจไปพร้อม ๆ กัน

    ส่วนหนึ่งคิดว่าเป็นเรื่องดีที่ทั้งคู่ได้มีโอกาสนั่งคุยกันอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพราะความจำเป็นเพราะถูกอาจารย์ที่ปรึกษาเรียก แบคฮยอนไม่รู้ว่าลุงอี้ฝานคุยกับชาร์ลเรื่องอะไร แต่เขาก็มีความหวังว่าอีกฝ่ายจะยอมโอนอ่อนให้ลูกชายบ้าง คนตัวเล็กหวังว่าชาร์ลจะยอมคุยดี ๆ ไม่พูดจาไม่น่ารักกับพ่อ แบคฮยอนอยากให้ชาร์ลอดทนสักอึดใจ

    นักกีฬาวิ่งผลัดเตรียมเข้าลู่ได้

    นั่นไง ห้านาทีของนาย

    แย่แล้ว ทำไงดีจุนมยอน เราวิ่งไปตามชาร์ลดีไหม แต่เราก็อยากให้ชาร์ลคุยกับลุงอี้ฝานเยอะ ๆ อะ

    แล้วไม้สุดท้ายใครจะวิ่งแทนเขา ฉันหรือไง? จุนมยอนชี้หน้าตนเอง ตั้งแต่ผ่าตัดเสร็จเขาก็ไม่ได้วิ่งเลย และคิมจุนมยอนก็พอนึกภาพตัวเองออกว่าหลังจากคว้าไม้ต่อจากเพื่อนก็คงวิ่งได้ไม่ถึงห้าก้าว ขาคงพันกันล้มกลิ้งขลุก ๆ จนได้อายคนทั้งสนาม

    งั้นเราวิ่งคนเดียวจนถึงเส้นชัยเลยได้ไหม ยังไงเราก็ต้องส่งไม้ต่อให้ชาร์ล

    นายจะบ้าเหรอ แบบนั้นใครเขาเรียกวิ่งผลัด

    งั้นเรียกจีซูมาแทนตำแหน่งชาร์ล พอจีซูส่งไม้ให้เราเสร็จแล้วก็วิ่งไปดักหน้าเรา อย่างงี้ แบคฮยอนวาดนิ้วบนอากาศ พยายามอธิบายให้เขาเห็นภาพ

    แบคฮยอนจุนมยอนมองเพื่อนพลางถอนหายใจ ถึงจะเอ็นดูความคิดที่อยากพาไม้ไปถึงเส้นชัยแต่ถ้าทำแบบนั้นคงเป็นภาพที่ตลกน่าดู

    เราคิดอะไรโง่ ๆ ใช่ไหมอะ

    ฉันไม่ได้อยากพูดแบบนี้ แต่ใช่แบคฮยอน ถ้าจะมีคนปล่อยให้นายกับจีซูทำแบบนั้น นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องการเสียงหัวเราะลั่นทั้งสนาม

    เลอะเทอะ

    เด็กหนุ่มทั้งสองหันไปตามเสียงปริศนาซึ่งมาพร้อมมือแกร่งที่วางลงบนศีรษะแบคฮยอน คนตัวเล็กช้อนตามองพลางอ้าปากหวอ ก่อนจะยิ้มออกมาได้อย่างง่าย ๆ เพียงเพราะเห็นหน้าคนรัก

    ชาร์ล!”

    นักกีฬาหอแรคคูนที่เหลืออยู่ไหน?

    กำลังจะไปครับอาจารย์!!!” น้องน้อยตะโกนพลางโค้งศีรษะขอโทษ ก่อนจะหันมาทำตาแป๋วให้เขารู้ว่าควรตามคนอื่น ๆ ไปได้แล้ว

    ขอโทษที่ให้รอ เด็กหนุ่มตัวสูงหันไปสบตากับเพื่อนสนิทที่พยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร ซึ่งเขารู้ดีว่าต่อให้มาช้ากว่านี้ ทั้งสองคนที่รออยู่ก็พร้อมจะเข้าใจโดยไม่ต่อว่าอะไร แต่ชาร์ลี ฮอปส์จะไม่ทำอย่างนั้น ไปเอาเหรียญให้หอแรคคูนกันเถอะ

    ชาร์ลไม่ได้อธิบายว่าเพราะอะไรถึงมาช้า คนตัวโตเพียงยิ้มบาง ๆ พลางยีผมเกรียน ๆ ของจุนมยอน ก่อนจะกอดคอคนรักเดินเข้าไปในสนามด้วยกัน

    สนุกให้เต็มที่นะ!” เสียงตะโกนไล่หลังของเพื่อนตัวขาวเรียกรอยยิ้มจากพวกเขาได้ง่าย ๆ ...มันไม่ใช่เพราะจุนมยอนส่งเสียงเชียร์ แต่เป็นเพราะหมอนั่นยืนหายใจอยู่ตรงนั้นโดยไม่เจ็บป่วย

    วันนี้ก็เป็นอีกวัน ที่ทำให้ชาร์ลี ฮอปส์รู้ว่าการมีชีวิตอยู่มันดีแค่ไหน

    เดินอ้อยอิ่งจริงโว้ย จะแข่งพรุ่งนี้หรือไง? เด็กหอสิงโตแว๊ดใส่เด็กทั้งสองที่กำลังเดินไปประจำลู่วิ่งอย่างไม่เร่งรีบ

    ให้เร็วกว่านี้ได้ไหม?!เพ

    ครับอาจารย์!” มีแค่แบคฮยอนที่เร่งฝีเท้า แต่เขาก็ไปได้เร็วกว่านี้ไม่ได้เพราะชาร์ลกอดคอเอาไว้แถมยังเดินทอดน่องไม่สนใจแรงกดดันจากสายตาคนรอบข้าง

    ชักช้า

    ไม่รู้ว่าจะรีบไปทำไม เพราะยังไงหอนายก็ไม่ชนะอยู่ดี

    ไอ้ฝรั่งนี่มันปากดีจังว่ะ

    เจอได้นะ จีซูยิ้มกวนใส่ลู่ข้าง ๆ สร้างสงครามประสาทตั้งแต่เนิ่น ๆ

    ชาร์ลโอเคไหม?

    หมายถึงเรื่องพ่อหรือเรื่องที่เรากำลังจะได้วิ่งด้วยกันล่ะ? เด็กหนุ่มยิ้มบาง ๆ พลางเดินไปข้างหน้าสองก้าวเมื่อถึงจุดประจำที่ของน้องน้อยแล้ว คนตัวเล็กคงรู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรกว่าพ่อมาที่นี่ หรือไม่ก็เพิ่งรู้จากปากใครสักคน แต่ไม่ว่าอย่างไร ปาร์คแบคฮยอนก็เป็นแฟนที่น่ารักที่แสดงความเป็นห่วงในวินาทีนี้

    ขอโทษที่ชวนคุยนะ เราต้องวิ่งกันแล้วล่ะ พอวิ่งเสร็จแล้วเราจะไปรอชาร์ลตรงนู้น คนตัวเล็กชี้ไปหลังเส้นชัย มันคงดีกว่าถ้าเขากับชาร์ลจะรีบประจำที่เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ แบคฮยอนจะเก็บความสงสัยเอาไว้ก่อน

    เร็วโว้ยยยย!!!”

    ชาร์ลไปเร็ว!” เห็นหน้าหงอ ๆ ของน้องน้อยแล้วก็เอ็นดู ชาร์ลอมยิ้มเล็ก ๆ พลางกวาดสายตาไปรอบตัวพร้อมโค้งศีรษะขอโทษที่เป็นต้นเหตุของความล่าช้า

    รีบมานะ

    อื้อ!”

    เด็กหนุ่มตัวสูงยิ้มทิ้งท้าย ก่อนจะหมุนตัววิ่งไปประจำที่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดนี้มากนัก เพียงชั่วอึดใจเดียวเสียงปืนก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงเชียร์บนอัฒจันทร์ที่ประสานกันจนจับใจความไม่ได้ว่าหอไหนมีมากกว่า ผู้ปกครองที่ลงแข่งแสดงความน่ารักออกมาตั้งแต่เริ่ม ความเร็วของแต่ละคนไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัย บางคนดูแก่เหมือนจะไม่ไหว แต่กลับวิ่งปร๋อแซงหน้าผู้ปกครองหออื่น และแน่นอนว่านั่นไม่ใช่พ่อของเด็กหอแรคคูน

    ชาร์ลหันไปมองด้านหลัง มองคนรักและเพื่อนที่อยู่ตรงนั้นเสมอ เสี้ยววินาทีสั้น ๆ เขาได้ตั้งคำถามให้ตัวเองอีกแล้ว มันเป็นคำถามเดิม ๆ ที่ถามเพื่อย้ำให้ตนเองแน่ใจว่าเพื่อนที่อยู่รอบตัวทุกวันนี้คือความจริงหรือเป็นเพียงความฝันของเด็กผู้ชายที่ใช้ชีวิตอย่างสิ้นหวังมาตลอด

    และเป็นอีกครั้งที่ชาร์ลี ฮอปส์ได้ความมั่นใจมา เพราะหอแรคคูน คิมจุนมยอน และปาร์คแบคฮยอนล้วนแต่เป็นความจริงที่จับต้องได้

    รวมถึงใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างสนามพร้อมกล้องที่พร้อมถ่ายวิดีโอตอนเขาวิ่ง ใบหน้าของผู้ชายคนนั้นไม่ได้อัดแน่นไปด้วยความอึดอัดลำบากใจอีกแล้ว เขารู้สึกดีเหลือเกินตอนพ่อยกมือขึ้นอย่างเก้ ๆ กัง ๆ เพื่อโบกมือเป็นกำลังใจให้ และเขาก็ชอบตัวเองตอนทำแบบนั้นตอบทั้งที่รู้สึกประดักประเดิดไม่แพ้กัน

    เด็กเก้าขวบในวันนั้นโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถึงจะไม่มากนัก แต่เด็กหนุ่มรู้ดีว่าเขายังโตได้มากกว่านี้ ชาร์ลี ฮอปส์อยากเป็นคนดีเพื่อคนที่รักเขา และพยายามช่วยให้เด็กผู้ชายพัง ๆ คนนี้มีชีวิตที่ดีขึ้น

    แน่นอนว่าชาร์ลจะไม่มีทางได้รับทุก ๆ อย่างถ้าขาดคน ๆ นั้น คนที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็พร้อมที่ยืนอยู่ข้างหลัง คอยส่งแรงผลักดัน ปลอบใจในวันที่ชาร์ลี ฮอปส์รู้สึกว่าโลกนี้มันไม่น่าอยู่อีกต่อไปแล้ว

    ปาร์คแบคฮยอนทำได้อย่างไร?

    นั่นคือสิ่งที่เด็กหนุ่มย้ำถามตัวเอง ทั้งที่เป็นแค่เด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ แท้ ๆ แต่ทำไมถึงประคองคนอย่างเขาเอาไว้ได้โดยไม่กลัวอะไร ทำไมถึงยังอยู่ตรงนั้นเสมอเวลาที่ชาร์ลี ฮอปส์หันไป ทั้งที่ปาร์คแบคฮยอนจะเดินหนีไปก็ได้ แต่ก็ไม่ทำ

    จีซูวิ่งด้วยความเร็วทั้งหมดที่มีเพื่อให้ไปถึงน้องน้อยโดยเร็วที่สุด แข่งกับเด็กหอสิงโตที่ตีคู่มาอย่างไม่มีใครยอมใคร ผ่านไปไม่กี่วินาทีคนตัวเล็กก็รับไม้ไว้ได้ ความสดใสในโลกมืดมนของชาร์ลี ฮอปส์กำลังก้าวขาวิ่งพร้อมมองมายังเขาด้วยรอยยิ้มแบบที่ทำให้หัวใจผู้ชายคนนี้พองโตยิ่งกว่าเดิม

    สายตาและรอยยิ้มที่พร้อมจะบอกว่าต่อให้จะเกิดอะไรขึ้น ลิตเติ้ลโมจิที่แสนน่ารักก็จะอยู่ตรงนี้เสมอ

    สำหรับคนไม่ถนัดเรื่องกีฬาเหมือนพ่อกับน้องชายแล้ว ยอมรับเลยว่าแบคฮยอนรู้สึกเหมือนจะตายกับการวิ่งแข่งครั้งนี้ แต่เขาก็ไม่อยากยอมแพ้ง่าย ๆ คนตัวเล็กอยากทำให้ทุกคนได้เห็นว่าหอแรคคูนเองก็มีดีไม่แพ้หออื่น ๆ เช่นกัน

    ชาร์ล!”

    ไม้ถูกส่งต่อไปแล้ว แต่ยังไม่ทันหยุดพักหายใจแบคฮยอนก็ต้องเบิกตากว้างเพราะชาร์ลไม่ได้คว้าไม้แล้ววิ่งไปข้างหน้า แต่อีกฝ่ายกลับจับข้อมือเขาให้วิ่งไปด้วยกัน

    ...!!!”

    บนอัฒจันทร์ส่งเสียงฮือฮา ทุกสายตาต่างให้ความสนใจกับไม้สุดท้ายของหอแรคคูนซึ่งมีถึงสองคนที่กำลังวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่สนใจเสียงรอบข้าง

    ชาร์ล? คนตัวเล็กฉายแววตาสงสัย หากแต่อีกฝ่ายกลับหันมาส่งยิ้มให้ราวกับว่าการวิ่งไปด้วยกันคือสิ่งที่ควรเกิดขึ้นมากที่สุดในเวลานี้ ไม้สุดท้ายของหออื่นที่วิ่งนำอยู่ต่างหันมาให้ความสนใจจนเสียสมาธิ แบคฮยอนไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ที่ทำให้เขากับชาร์ลแซงได้จนนำเป็นอันดับหนึ่ง

    การวิ่งคู่ไปด้วยกันอย่างนี้คงถูกปรับแพ้แน่ ๆ แบคฮยอนอยากได้เหรียญทองนะ แต่อยู่ ๆ ความตั้งใจเหล่านั้นก็หายไปหมดเพียงเพราะสายตาของชาร์ลที่มองมาเหมือนอยากบอกว่าต่อให้จะไม่ได้เหรียญ ยังไงเราก็ยังวิ่งไปด้วยกัน

    ท่ามกลางเสียงโหวกเหวกโวยวายของประธานและผองเพื่อนหอแรคคูน น้องน้อยเปลี่ยนเป็นถือไม้ด้วยมือซ้าย และเขาก็รู้งานมากพอที่จะปล่อยข้อมืออีกฝ่ายออกเพื่อเปลี่ยนเป็นสอดประสานเรียวนิ้วให้แนบแน่นจนไม่เหลือช่องว่างให้อากาศวิ่งผ่าน

    ชาร์ลี ฮอปส์กับปาร์คแบคฮยอนจะวิ่งไปด้วยกัน และถ้าหากหกล้มระหว่างทาง ทั้งคู่จะเป็นยาแก้ปวดให้กันและกันจนกว่าอีกฝ่ายจะหายดี

     

     

    THE END

     

     

     ตอนแรกกะว่าจะเอาตอนจบมาลงหลังจากส่งเล่มแล้ว แต่เห็นมีคนพูดถึงในแท็กฟิคชานแบคเก่า ๆ เลยเอามาลงซะเลยงับ ขอโทษทุกคนมาก ๆ ที่มาลงช้า แล้วก็ส่งเล่มช้าด้วย หนูผิดเองคร้า หนูผิดไปแน้ว ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการพิมพ์หนังสือ เดี๋ยวพอได้หนังสือแล้วจะรีบส่ง น่าจะได้กันก่อนวันที่ 15 หรือไม่เกิน 18 นะคะ <3

    ขอบคุณทุกคนที่อยู่กันมาจนถึงตอนจบ แม้ว่าจะปล่อยให้ค้างนานมาก หรือบางคนอาจจะจำไม่ได้แล้ว แต่ไม่เป็นไร หนูมีวิธีแนะนำ ออนนี่กลับไปย้อนอ่านใหม่เรยเชื่อหนู 


    #คุกเนเว่อดาย

     

     

     ตัวอย่างสเปในเล่ม



     

     

     

     ไม่พูดเยอะ เจ่บคอ

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×