ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FanFic G Seed]Athrun&Kira : Lost Memery

    ลำดับตอนที่ #3 : Athrun Zala Part End

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 529
      3
      5 พ.ค. 50

    Athrun Zala Part End : Lament

    "เฮ้อ..."ผมเอนกายลงนอนบนพื้นแล้วถอนหายใจเบาๆกับความคิดที่แสนสับสนของตัวเองพลางหันไปมองร่างของคิระที่นอนกระสับกระส่ายเพราะพิษไข้แล้วลุกขึ้นเอามือวางบนหน้าผากวัดไข้

    ไข้ยังคงสูงเหมือนเดิม ดวงตาที่ปิดอยู่ก็ไม่ยอมเปิดเสียทีราวกับว่ากลัวการที่จะลืมตาตื่นมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่โหดร้าย สถานการณ์แบบนี้ทำให้ผมรู้สึกหนักใจไม่น้อยจะพากลับซาฟท์ก็คงไม่พ้นเป็นเชลยแน่ๆดีไม่ดีจะโดนยิงทิ้งอีกด้วย แต่ว่าถ้านำกลับไปที่กองทัพโลกคนที่จะเป็นอันตรายก็คือผม

    ตอนนี้ผมอยากให้ใครสักคนมาช่วยเหลือคิระแทนผม ใครก็ได้สักคน...

    ความหวังนั้นช่างริบหรี่เหลือเกิน แรงระเบิดหนักขนาดนั้นป่วยการที่จะผู้ช่วยเหลือพวกที่จะมากู้ซากยังไม่มีด้วยซ้ำในช่วงสงครามแบบนี้ หลักฐานก็คือเวลาที่ผ่านมาเกือบชั่วโมงนี้ยังไร้วี่แววของหน่วยช่วยเหลือ

    ราวกับว่าพวกผมคือคนที่หมดประโยชน์แล้วจึงถูกทิ้งไม่มีผิด....

    รอยยิ้มเยาะผุดขึ้นบนใบหน้าก่อนจะสั่งให้มือของตนเองโยนกิ่งไม้กองใหญ่ลงไปในกองไฟดังโครม กิ่งไม้เล็กค่อยๆไหม้ไฟไปทีละนิดจนกลายเป็นเถ้าในขณะที่กิ่งไม้ใหญ่ยังคงสภาพใกล้เคียงก่อนตอนโยนลงไป กองไฟลุกโชนแรงขึ้นเพิ่มความอบอุ่นให้รอบข้างแต่กลับไม่อาจทำให้หัวใจนั้นรู้สึกอบอุ่นขึ้นได้เลย

    ทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนไป....ต่อให้คิระหรือผมตายไปเสียตรงนี้ฝนก็ยังคงตกเหมือนเดิม การที่บอกว่าเมื่อมีคนตายก็ย่อมมีคนเสียใจนั้นก็เป็นแค่ความคิดในวงแคบๆเท่านั้นเอง

    สงครามที่เผชิญอยู่ก็ไม่ได้จบสิ้นมีแต่พวกผมที่อาจจบลงตรงนี้ มันทำให้ผมได้ฉุกคิดว่าที่ผ่านมาผมทำสงครามไปเพื่ออะไรกัน

    ปกป้องหรือว่าทำลายล้าง....

    หากเปรียบกำลังที่มีอยู่ในมือเป็นปืนกระบอกหนึ่ง อีกด้านหนึ่งของปากกระบอกปืนที่หันเข้าหาคืออะไร หนทางข้างหน้าที่หากก้าวต่อไปทั้งที่เลือดโทรมกายจะไปสิ้นสุดที่ไหนกันแน่ ตัวตนที่สับสนนี้จะถูกชักนำไปยังเส้นทางใด

    ทหารกล้าแห่งสมรภูมิเลือดเช่นผมจะมีทางเลือกอื่นไหม

    เป้าหมาย....สนามรบ....ศัตรู....ที่ตาย

    ทุกอย่างล้วนถูกกำหนดโดยผู้อื่นช่างน่าแปลกทั้งที่ชีวิตเป็นของตนเองแต่เมื่อเป็นทหารแล้วกลับไม่อาจเลือกได้ด้วยตนเอง คนที่เลือกควรจะเป็นตัวผมเองไม่ต้องทุกครั้งแต่อย่างน้อยขอแค่ครั้งนี้เท่านั้นที่จะขอเลือกด้วยตนเอง

    "คิระ..ชั้นจะไม่ยอมให้นายต้องตายเด็ดขาด"แม้จะหลงทางหรืออ้อมไปมากในที่สุดก็ตัดสินใจได้ รู้แล้วว่าแท้จริงนั้นตนเองต้องการอะไร

    ร่างที่บาดเจ็บถูกบังคับลุกขึ้นแล้วโอบอุ้มร่างของคนที่ไม่ได้สติให้ไปด้วยกัน ทางข้างหน้าที่มืดมิดนั้นจะเชื่อ..ไม่สิ อยากจะเชื่อว่ายังคงมีแสงสว่างที่เรียกว่าความหวังอยู่ หลายครั้งที่เดินไปก็ต้องล้มลงเศษโคลนบนพื้นเปรอะเปื้อนใบหน้าและร่างกายของเราสองคนเพิ่มความบอบช้ำให้แก่ร่างกายแม้กระนั้นก็ยังฝืนลุกขึ้นและเดินต่อไปข้างหน้า

    เดินต่อไปจนกว่าทางข้างหน้าจะไร้ซึ่งหนทาง...

    สายฝนที่ซัดซาดรุนแรงเข้าหาร่างกายที่บาดเจ็บบั่นทอนทั้งกำลังกายและกำลังใจ รู้สึกได้ว่าเสียงหายใจของคนที่อุ้มอยู่เริ่มติดขัดทำให้ผมเริ่มเป็นห่วงแล้วก็หัวเราะเบาๆกับตนเองที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ยังคิดที่จะฆ่าคิระอยู่แท้ๆ

    เมื่อใดที่สับสนก็จะเป็นผู้แพ้ จงตัดสิ้นความสับสนนั้นแล้วปลิดชีพศัตรูให้ได้

    คำสอนที่ผมเคยได้ยินเมื่อครั้งเป็นนักเรียนทหาร อาจจะจริงดังที่ว่าแต่ถ้าหากเป็นผู้ชนะแล้วต้องสูญเสียคนสำคัญละก็..ผมก็ขอเป็นผู้แพ้ไปตลอดดีกว่า

    มือทั้งสองกระชับร่างที่หมดสติแนบแน่นก่อนจะพยายามปาดเศษดินโคลนบนใบหน้าของคิระออกอย่างลำบากเพราะต้องอุ้มไปด้วย ผมแย้มรอยยิ้มบางๆเมื่อมองใบหน้าที่แสนสงบของคิระแล้วเริ่มพูดออกไป

    "นี่คิระยังจำได้มั้ยว่าเมื่อก่อนชั้นเองก็เคยอุ้มนายบ่อยๆแม้จะแบกไว้บนหลังก็เถอะ"ความทรงจำอันงดงามเมื่อครั้งอดีตกำลังไหลย้อนกลับมาเรื่อยๆ ภาพของเด็กตัวเล็กสองคนที่วิ่งเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน เพื่อนที่ไม่เป็นเพียงแค่เพื่อนเป็นดั่งพี่น้องที่คลานตามกันมา เพื่อนที่คอยให้เป็นห่วงเหมือนกับน้องชายที่ต้องคอยดูแล

    รอยยิ้มร่าเริงที่หายไปยามเมื่อคนขี้แยหกล้มหัวเข่าแตกเป็นแผลเลือดออกซิบๆส่งเสียงร้องไห้จ้าจนเขาต้องเข้าไปปลอบและให้ขึ้นขี่หลังกลับบ้าน ระหว่างทางคนขี้แยก็กลับหลับไปเสียดื้อๆปล่อยให้คนเข้มแข็งต้องเดินกลับบ้านโดยมีเจ้าตัวดีที่พอถึงบ้านเมื่อไหร่ก็ตื่นขึ้นมาแล้ววิ่งไปอ้อนแม่ได้แบบไม่รู้สึกเจ็บ สุดท้ายก็จะหันมาโบกมือให้เขาทุกครั้งไป

    "คิระนายน่ะช่างอ่อนแอจริงๆเลยนะ นอกจากซนแล้วยังขี้แยชอบทำเรื่องให้ชั้นปวดหัวอยู่เรื่อย โดยเฉพาะตอนที่บอกว่าจะทำหุ่นยนต์นกส่งอาจารย์น่ะชั้นโมโหมากเลยนะเพราะว่านายน่ะไม่รู้จักประมาณกำลังตนเองรู้ทั้งรู้ว่าด้านไมโครยูนิตน่ะเรียนได้แย่ขนาดไหน เก่งแต่เขียนโปรแกรม ซุ่มซ่ามอีกด้วยจนชั้นต้องคอยดูแลเป็นประจำ"ผมพูดพลางหัวเราะเบาๆเมื่อนึกถึงวีรกรรมทั้งหลายที่คิระก่อขึ้นโดยในบางครั้งก็มีผมร่วมด้วย

    เรื่องต่างๆที่พบมาด้วยกันนั้นช่างมากมายเหลือเกินมากซะจนไม่อาจจะอธิบายออกมาได้หมด

    "เรื่องของนายน่ะชั้นรู้ทั้งหมดแหละ ไม่ว่าจะอาหารที่เกลียด สิ่งที่ชอบ สิ่งที่กลัวหรือแม้แต่เรื่องที่แม่นายก็ไม่รู้..."คำพูดทั้งหลายหยุดลงเหมือนคำพูดนั้นมันจุกอยู่ที่ลำคอ ขอบตาปริ่มไปด้วยน้ำอุ่นๆที่เอ่อล้นออกมาพร้อมกับความเศร้าที่เก็บซ่อนเอาไว้ในหัวใจจนไม่อาจจะหยุดมันได้อีกแล้ว

    "..แล้วทำไมกัน..ทำไมเราสองคนถึงต้องมาเป็นแบบนี้ด้วย...ถ้าตอนนั้นคนที่อยู่ตรงนั้นไม่ใช่นายก็คงจะดี นายอาจจะเจ็บปวดแต่ชั้นเองก็เหมือนกัน!"เสียงตะโกนดังกึกก้องไปทั่วป่าราวกับเสียงฟ้าร้อง

    "เวลาที่ชั้นต้องหันปากกระบอกปืนเข้าหานายน่ะ ชั้นกลัวมากกลัวมาตลอด กลัวว่าถ้านายบาดเจ็บหรือตายไปชั้นจะทำยังไงจริงที่ชั้นเคยบอกว่านายเป็นศัตรูของชั้นแต่ว่าจริงๆแล้วชั้นน่ะ..ไม่อยากจะทำร้ายหรือฆ่านายสักนิดเดียว"

    ตอนนี้รู้แล้วแล้วว่าตนเองรู้สึกยังไง ที่เคยบอกว่าจะฆ่าคิระนั้นมันเป็นอารมณ์ชั่ววูบที่เกิดจากความโรธและเคียดแค้นจนกระทั่งผมเองก็ทำแบบเดียวกัน เสียงกรีดร้องของคิระในตอนนั้นเหมือนกับผมยามเมื่อนิโคลตาย ไม่ว่าจะพูดอย่างไรความตายก็ไม่อาจทนแทนด้วยความตายได้เหมือนกับที่ไม่มีใครแทนที่ใครได้ ต่อให้ผมฆ่าเนเฌอรอลทั้งหมดคนที่ผมสูญเสียไปก็ไม่อาจฟื้นคืนไม่ว่าจะคุณแม่ มิเกลหรือนิโคล

    เพราะงั้นผมจะไม่ยอมให้คิระต้องตายแน่นอน เขาเป็นเพื่อนของผมเป็นเพื่อนรักที่สุดของผมเหตุผลแค่นั้นมันก็เพียงพอแล้ว

    หนทางข้างหน้าที่เคยมืดมิดผมกลับมองเห็นแสงสว่าง อดแปลกใจไม่ได้ที่เกาะเล็กๆนี้จะมีบ้านคนแต่อย่างน้อยก็คงพอเบาใจได้ รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าเมื่อผมได้คิดอย่างน้อยคิระก็ไม่ต้องกลับไปที่กองทัพและบางทีอาจจะไม่ต้องต่อสู้อีก แล้วเมื่อสงครามจบลงเราสองคนก็จะ..ได้เป็นเพื่อนกันอีกครั้ง

    ผมกอดร่างของคิระแน่นก่อนจะค่อยๆว่างร่างนั้นลงที่หน้าบันไดแล้วลูบผมสีน้ำตาลนั้นอยู่หลายทีด้วยความเอ็นดูก่อนจะลุกขึ้นแต่แล้วมือที่เคยนิ่งกลับมาจับแขนผมเอาไว้ ผมลำบากใจเล็กน้อยก่อนจะแกะมือนั้นออก

    "ชั้นไปก่อนนะแล้วหวังว่าเราคงไม่ต้องต่อสู้กันอีกที่ผ่านมา..ขอโทษนะ"ถ้อยคำแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบจางหายไปกับสายฝนเมื่อเดินออกมาได้เล็กน้อยผมก็หลบซ่อนอยู่หลังต้นไม้แล้วปาก้อนหินไปที่ประตูบ้านหลังนั้น ไม่นานประตูก็เปิดออกเด็กๆทั้งหญิงและชายอายุราว6-7ปีวิ่งกรูออกมารุมล้อมร่างของคิระก่อนจะมีชายคนหนึ่งที่ผมมองไม่เห็นหน้าตาเดินออกมา เขาก้มลงมองคิระเล็กน้อยแล้วหันกลับไปเรียกคนที่ผมสีส้มในบ้านมาช่วบแบกคิระเข้าไป

    ผมยิ้มอย่างดีใจและหันหลังกลับไปยังทางเดิม ผ่านไปยังใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ตอนนี้กองไฟได้ถูกดับไปแล้วไปจนถึงหาดทรายที่ตอนนี้ไร้หมอกควันอย่างทีแรกเก็บหมวกนักบินที่เคยทิ้งไว้ตรงนั้นขึ้นมาสวมแล้วมองไปมาก็เห็นหน้าผาไม่สูงนักที่ส่วนปลายยื่นออกไปในทะเล เมื่อเดินไปถึงตรงนั้นผมก็หักเครื่องส่งสัญญาณขอความเหลือทันที

    "อีกไม่นานทางคาเพนธาเรียก็คงจะมาถึง..."

    คิระชั้นกำลังจะกลับสู่สนามรบอีกครั้ง แน่นอนว่าจะต้องฆ่าคนอีกมากแน่ๆนายจะโกรธชั้นมั้ยนะที่ยังคงเลือกเส้นทางเดิมแบบนี้ ถึงจะเป็นอย่างงั้นชั้นก็จะต้องกลับไปเพื่อคนที่รอชั้นอยู่ ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ฝนยังไม่ซาลงแม้แต่น้อย รู้สึกว่าท้องฟ้านั้นช่างหมองมัวเหลือเกิน.... ริมฝีปากเริ่มขยับและพูดในสิ่งที่ตนเองคิด

    "ถ้าหากทางที่ผมเลือกนั้นผิดละก็ขอให้ลงโทษผมด้วยนามของเทพแห่งความยุติธรรมด้วยเถอะ"และในวินาทีนั้นเองแสงสีทองก็ถูกฟาดฟันลงมาจากผืนฟ้าและได้ตรงลงมาบนหน้าผาที่ผมยืนอยู่ สายฟ้าสีทอง...ดาบแห่งความยุติธรรมของเทพผู้ยิ่งใหญ่ตามตำนานเก่าแก่....ราวกับเป็นการลงโทษ

    หรือจะเป็นการชี้ทางกันแน่...

    ร่างกายที่บาดเจ็บร่วงหล่นลงสู่ผืนทะเล ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะสู้กับคลื่นที่ถาโถมเข้าใส่ราวกับจะกลืนกินตัวผมให้ลงไปสู่ภายใต้ผืนน้ำ สุดท้ายร่างกายของผมก็ถูกฉุดกระชากให้จมลึกลงไปในท้องทะเลและก่อนที่สติทั้งหมดและร่างกายของผมจะจมหายไปในทะเล ตอนนั้นทุกสิ่งทุกอย่างดูว่างเปล่าไปหมดแต่กลับมีเพียงชื่อของคนๆนั้นคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงวนเวียนไปมาในหัวของผม

    คิระ...

    ######################
    คุณคนอ่านเจ้าขาเข้ามาอ่านแล้วเม้นต์กันสักนิดด้วยสิไม่งั้นไม่ลงต่อด้วย
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×