ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Seventeen] Vanilla Twilight #minwon #soonhoon

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.28K
      99
      9 ก.พ. 61


    Chapter 1

     

     

                มันเป็นเช้าที่สดใสของ คิม มินกยู

     

                เด็กหนุ่มออกจากบ้านมาพร้อมกับแสงแดดอ่อนๆที่ช่วยทำให้เขารู้สึกสดชื่น สายลมฤดูร้อนที่พัดมาก็ช่วยให้รู้สึกกระปี้กระเปร่า แม้กระทั่งกระเป๋าใบใหญ่ที่ต้องยกขึ้นบนที่เก็บกระเป๋าของรถไฟก็ไม่ได้รู้สึกหนักเท่าเมื่อคืนตอนที่จัดของ

     

                เพราะแบบนั้น... มินกยูเลยมั่นใจมากว่าวันนี้มันต้องเป็นวันที่ดีของเขาแน่ ๆ

     

                และความเชื่อนั้นก็ยังคงอยู่แม้ว่าจะมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ อันเป็นจุดหมายปลายทางในยามเย็นก็ตาม

     

                ดวงตาสีดำสนิทกวาดตามองไปรอบตัวอย่างตื่นเต้น แสงอาทิตย์ยามอัสดงทอประกายเหนือเนินเขา ทำให้บรรยากาศรอบตัวของเด็กหนุ่มช่างสวยงามราวกับว่ากำลังยินดีต้อนรับเขาอยู่ มินกยูลากกระเป๋าไปตามทางเดินอันคดเคี้ยว มีบ้างที่สวนทางกับคนในหมู่บ้านที่มองมาอย่างสนใจ หากเด็กหนุ่มก็ทำแค่ส่งยิ้มบาง ๆให้เท่านั้น

     

                จุดหมายของเขาคือหอพักที่คาดว่าคงอยู่ไม่ไกลนัก อาศัยจากแผนที่ที่แม่ของเขาส่งมาให้ ว่าหอพักของเขาน่าจะอยู่ใกล้กับโรงเรียนซึ่งตั้งอยู่ใจกลางของที่นี่

     

                ใช่แล้ว... มินกยูคือนักเรียนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาในภาคเรียนฤดูร้อนที่มีขึ้นเพื่อติวนักเรียนม.ปลายปีสุดท้ายสำหรับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีหน้า อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มคงอยู่แค่ช่วงปิดเทอมฤดูร้อนเท่านั้นแหละ ทั้งนี้เป็นเพราะพ่อและแม่ของเขา อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยโซลมีเหตุจำเป็นต้องไปทำงานที่ต่างประเทศ ดังนั้นลูกชายคนเดียวอย่างมินกยูจึงได้รับสิทธิพิเศษให้อยู่คนเดียวเป็นเวลาเกือบ 3 เดือน

     

                และมันคงจะเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่ใช่ว่าบ้านของเขาจำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซมกะทันหันจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่มีสาเหตุมาจากตัวเขาเอง ซึ่งจากเหตุผลทั้งหลายทั้งแหล่นั่น ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องกระเด็นออกจากบ้านมายังหอพักและโรงเรียนที่มีชื่อด้านกวดวิชาเป็นอันดับต้นๆของเกาหลีใต้ หากค่อนข้างอยู่ห่างไกลพอสมควร

     

                แต่มันก็คงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเท่าไรหรอก

     

                เด็กหนุ่มคิดอย่างคนมองโลกในแง่ดี มินกยูคงจะเดินตรงเข้าสู่หอพักของเขาไปแล้ว ถ้าดวงตาสีดำสนิทไม่บังเอิญกวาดตาไปเห็นบ้านหลังนั้นซะก่อน

     

                เขาสังเกตเห็นมันทันทีที่เลี้ยวเข้าสู่ถนนเส้นใหม่อันเป็นทางแยก ถนนเส้นซ้ายมือที่ปูด้วยหินตรงเข้าสู่ใจกลางของหมู่บ้านอันเป็นจุดหมายของเขา ส่วนทางขวา... ถนนเส้นเล็กนั้นทอดยาวไปยังเนินเขา

     

    ที่สุดสายของถนนเส้นนั้นมีบ้านสไตล์ยุโรป 2 หลังตั้งอยู่คู่กัน

     

    ตัวบ้านหลังแรกทำจากอิฐบล็อกสีขาวสะอาดตัดกับหลังคาสีน้ำเงินเข้ม ในขณะที่อีกหลังเป็นอิฐบล็อกสีน้ำตาลและหลังคาสีเทา ทั้งคู่มีสนามหญ้าหน้าบ้านสีเขียวขจีล้อมรอบโดยมีต้นไม้ใหญ่และเนินเขาเป็นฉากหลัง

     

    มินกยูเลือกถนนทางด้านขวาอย่างไม่ลังเล

     

    เด็กหนุ่มใฝ่ฝันอยากเป็นสถาปนิกมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นบ้านสไตล์ยุโรป 2 หลังที่ตั้งอยู่ในเมืองเล็ก ๆที่มีแต่บ้านทรงเกาหลีจึงเป็นอะไรที่ดึงดูดเขาได้เป็นอย่างมาก

     

    มาก... จนน่าประหลาด

     

    ท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงทำให้แสงไฟจากถนนค่อยๆสว่างขึ้นทีละนิด เช่นเดียวกับหน้าต่างของบ้านทั้ง 2 หลังที่เริ่มมีแสงสว่างอย่างอบอุ่นเช่นกัน

     

    มินกยูมองรั้วสีขาวเตี้ยๆที่กั้นระหว่างเขากับบ้านทั้ง 2 หลังนั่นอย่างลังเล

     

    จะถือว่าเป็นการบุกรุกรึเปล่านะ?

     

    ทว่ารู้ตัวอีกทีเด็กหนุ่มก็พบว่าตัวเองเปิดประตูรั้วเข้าไปซะแล้ว

     

    โดยไม่มีเหตุผล อยู่ ๆบรรยากาศรอบตัวของเขาก็เย็นเยือกขึ้นมาอย่างกะทันหัน มินกยูขมวดคิ้ว อะไรบางอย่างบอกว่าเขาควรจะหันหลังกลับไปซะ

     

    หากแรงดึงดูดนั้นมีมากกว่า...

     

    เขาก้าวเท้าเข้าหาบ้านหลังสีขาวช้า ๆ ดวงตาคมจับจ้องไปยังตัวบ้านราวกับต้องการเก็บทุกรายระเอียด เด็กหนุ่มไม่กล้าเสี่ยงที่จะเคาะประตู ดังนั้นจึงทำแค่เดินดูรอบ ๆบ้านเท่านั้น

     

    มือเรียวกำลังเอื้อมไปหยิบสมุดบันทึกในกระเป๋าเป้เมื่อเท้าของเขาเหยียบลงไปบนอะไรบางอย่าง

     

    ความเจ็บแปลบที่พุ่งเข้าอย่างรวดเร็วทำให้มินกยูต้องนิ่วหน้า ดวงตาคมค่อยๆเหลือบมองไปยังรองเท้าผ้าใบสีขาวที่บัดนี้กลายเป็นสีแดงจากเศษกระจกอันใหญ่ที่วางอยู่ใต้เท้าของเขาเอง

     

    กลิ่นคาวเลือดเริ่มทำให้เด็กหนุ่มเวียนหัว ก่อนทิ้งตัวลงกับพื้นหญ้าด้วยหวังบรรเทาอาการที่เกิดขึ้น รวมทั้งเพื่อรวบรวมสติของตัวเอง แม้ในใจจะกำลังสบถอย่างดุเดือด    

     

    ใครเอาของแบบนี้มาวางไว้แถวนี้กันนะ

     

    มินกยูนิ่วหน้ายามก้มลงมองรองเท้า และเพราะกำลังจดจ่ออยู่กับบาดแผลของตัวเองทำให้เด็กหนุ่มไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ามีใครบางคนกำลังยืนอยู่ด้านหลังเขา

     

    ก่อนที่อะไรบางอย่างซึ่งบางทีอาจจะเป็นสัญชาตญาณเขาเองจะทำงาน

     

    ใบหน้าคมเงยขึ้นอย่างช้า ๆ แล้วต้องชะงักงันไปคล้ายถูกสาปให้เป็นหิน

     

    ชั่วขณะหนึ่งที่ทำให้รู้สึกราวกับโลกหยุดหมุน เพียงเสี้ยววินาทีเดียวที่เขาสบกับดวงตาสีแดงเจิดจ้าคู่นั้น มินกยูรับรู้ได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่ปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรงในตัวของเขาเอง ก่อนที่ทุกอย่างจะกระจัดกระจายออกไปด้วยแรงกระชากจากคนตรงหน้า

     

    ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ต้นคอคือสิ่งเดียวที่ชัดเจนก่อนที่สติของเด็กหนุ่มจะหลุดลอยออกไป

     

    ทิ้งไว้เพียงดวงตาสีแดงคู่นั้นให้ประทับอยู่ในความทรงจำเท่านั้น...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “แล้วทีนี้จะทำยังไงดีล่ะ”

     

    “ยังไงก็ต้องรอให้ฟื้นก่อนล่ะน่า”

     

    “แน่ใจนะคะว่าเขาจะไม่เป็นอะไร?”

     

    ไม่รู้สิ”

     

    มินกยูรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นรายล้อมรอบตัวเขา หากร่างกายของเขาหนักอึ้งจนไม่สามารถขยับตัวได้ รู้สึกปวดร้าวตามต้นคอและไหล่ไปหมด รวมไปถึงยังคงมีความง่วงงุนและมึนงงที่ครอบงำสติของเด็กหนุ่มอยู่จนนึกอยากจะให้เสียงที่น่ารำคาญเหล่านี้หายไปได้แล้ว

     

    มินกยูขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด

     

    ทุกเสียงเงียบลงไปอย่างรวดเร็ว หากเด็กหนุ่มก็ยังไม่อยากลืมตาขึ้นมาแต่อย่างใด ทุกอย่างล้วนแต่พร่ามัว เขานึกไม่ออกเลยสักนิดว่าเขาอยู่ที่ไหน หรือไปทำอะไรมา มีแต่ความมึนงงและเจ็บปวดเต็มไปหมด 

     

    “มินกยู...” เสียงอ่อนโยนของใครคนหนึ่งเรียกชื่อเขา

     

    เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นในทันที

     

    เพดานสีขาวคือสิ่งแรกที่มองเห็น ก่อนจะตามมาด้วยใบหน้าของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชะโงกมองมาอย่างเป็นห่วง ดวงตาสีทองคู่นั้นเป็นประกายเจิดจ้า

     

    มินกยูสะดุ้งก่อนลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว เรียกให้คนที่ก้มมองอยู่ต้องถอยออกไปเล็กน้อย ความทรงจำทุกอย่างหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเขาราวกับสายน้ำ เด็กหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบตัวอย่างหวาดระแวง

     

    แล้วเขาก็ต้องอ้าปากค้าง

     

    เขากำลังนั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวในห้องนั่งเล่น แสงไฟสว่างอันอบอุ่นตัดกับความมืดมิดจากภายนอกหน้าต่างสาดส่องไปทั่วเผยให้เห็นคนแปลกหน้าหลากหลายที่กำลังจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียว โดยเฉพาะชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีทองที่อยู่ติดกับเขามากที่สุด ใบหน้าหล่อเหลานั่นมีร่องรอยความเป็นห่วงอยู่อย่างเห็นได้ชัด ถัดจากผู้ชายคนนั้นก็เป็นหญิงสาวร่างสูงโปร่ง เส้นผมสีน้ำตาลแกมเทายาวคลอเคลียใบหน้าสวยจัดได้รูปนั่น หากดวงตาสีสนิมที่มองมาด้วยสายตาแทงทะลุนั้นทำให้มินกยูอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ด้านข้างของผู้หญิงคนนั้นเป็นเด็กสาวอีกคนที่เห็นได้ชัดว่าอายุน้อยกว่า เธอกำลังมองมาที่เขาพร้อมกับพันผมที่ยาวจรดเอวของตัวเองเล่นไปมาอย่างเป็นกังวล ปีกบางใสทว่าสวยงามโผล่ออกมาจากด้านหลังของเด็กสาว (มินกยูอ้าปากค้างอีกครั้ง)

     

    เขาหันไปทางซ้ายมือของตัวเอง คราวนี้เขาสบตากับดวงตาสีดำสนิทราวกับคืนเดือนมืดของเด็กหนุ่มอีกคน ดวงหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลักมองมาที่เขาอย่างสนใจ และถัดจากคนคนนี้... ร่างโปร่งใสของผู้ชายคนหนึ่งก็กำลังจ้องมาที่มินกยูอีกเช่นกัน

     

    “นายเป็นไงบ้าง” ร่างโปร่งใสเอ่ยกับเขา

     

    มินกยูตัวแข็งทื่อ

     

    “ฉันว่าเขาช็อกไปแล้วนะคะ” จากด้านขวา เขาได้ยินเด็กสาวที่มีปีกว่า

     

    มือของใครคนหนึ่งปัดผ่านใบหน้าเขาไปมาราวกับต้องการเรียกสติ

     

    “ใจเย็นก่อนนะ ไม่มีใครทำอะไรนายหรอก” ผู้ชายที่นั่งติดกับเด็กหนุ่มนั่นเอง มินกยูมองตามมือนั่นอย่างงุนงง

     

    “ฉันชื่ออารอน... กวัก อารอน” ชายหนุ่มแนะนำตัว “ฉันเป็นคนทำแผลให้นายเอง” ว่าแล้วก็ชี้ไปทางด้านขวามือของตัวเอง

     

    “นี่ คัง เยบิน”

     

    “เบ ซองยอน” เด็กสาวมีปีกส่งยิ้มจืดๆให้เขา

     

    “ชเว เวอร์นอน” มือของชายหนุ่มชี้ไปยังเด็กหนุ่มด้านซ้ายมือ

     

    “ควอน ซูนยอง” ร่างโปร่งใสโบกมือให้มินกยู

     

    “และ...” คราวนี้อารอนชี้มือไปยังโซฟาฝั่งตรงข้ามของเด็กหนุ่ม “นั่น จอน วอนอู”

     

    ถ้าสิ่งที่ผ่านมาทำให้เด็กหนุ่มกำลังช็อกแล้วล่ะก็ คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็อาจทำให้เขาตกใจจนตายได้เลยทีเดียว

     

    เลือดในกายของมินกยูเย็นเฉียบเมื่อสบกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่เขามั่นใจว่ามันเคยเป็นสีแดงมาก่อน ผิวของผู้ชายคนนั้นขาวจนซีดตัดกับเส้นผมสีดำสนิทที่ปรกบนใบหน้าได้รูปที่เรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดใดออกมา

     

    ต้นคอของมินกยูเจ็บแปลบขึ้นมาอีกครั้ง

     

    อารอนกระแอมออกมาเบา ๆ

     

    “เอาล่ะ... เอ่อ ก่อนอื่นเลยพวกเราก็ต้องของโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับนายด้วย”

     

    “พวกคุณไม่ใช่คน” เด็กหนุ่มสวนขึ้นมาอย่างลืมตัวพร้อมกับขยับถอยหลังจนชิดพนักพิงของโซฟา

     

    “นั่นมันคำพูดที่เจ็บปวดมากเลยนะ” ผี... ที่ชื่อควอน ซูนยอง(?)พึมพำ

     

    “จะว่าไปก็คงใช่” อารอนดึงบทสนทนากลับมาอีกครั้ง “แต่ไม่ต้องห่วง พวกเราไม่ทำอะไรนายหรอก”

     

    มือของมินกยูยกขึ้นจับที่ต้นคอของตัวเองอัตโนมัติ มันมีผ้าก๊อซขนาดใหญ่แปะอยู่

     

    “นั่นมันเป็นเหตุสุดวิสัยค่ะ” ซองยอนรีบอธิบาย “คือการที่คุณโผล่เข้ามาในบ้านพร้อมกับเลือดชุ่มขนาดนั้นมันทำให้พี่วอนอูที่ไม่ได้กินอะไรมาเกือบอาทิตย์ขาดสติ...”

     

    เด็กหนุ่มหันไปมองฝั่งตรงข้ามของตัวเองอีกครั้ง

     

    “แวมไพร์...” เสียงของเขาสั่นจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขายหน้าเบาๆ ก่อนที่ดวงตาสีดำสนิทจะเบิกกว้างขึ้น “แล้วนี่ผมจะกลายเป็นแวมไพร์ใช่ไหม?

     

    “ไม่ ไม่ครับ” เด็กหนุ่มด้านข้างเขาว่า (เวอร์นอน...?) ก่อนที่มินกยูจะสติแตกไปมากกว่านี้ “นายจะกลายเป็นแวมไพร์ก็ต่อเมื่อถูกดูดเลือดจนหมดตัวแล้วได้รับเลือดจากแวมไพร์ที่ดื่มเลือดของนายเข้าไป”

     

    มินกยูตบหน้าตัวเอง เขาต้องกำลังฝันอยู่แน่ ๆ

     

    “นายไม่ได้ฝันอยู่หรอกนะ” อารอนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ “แต่ฉันขอรับรองอีกครั้งว่ามันจะไม่เป็นไร”

     

    “งั้น... งั้นพวกคุณต้องการอะไร ทำไมไม่ปล่อยผมไปเฉยๆก็ได้นี่”

     

    “จริง ๆไม่ใช่พวกเราทุกคนหรอกที่ต้องการอะไรจากนาย” ซูนยองเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งเรียกให้เด็กหนุ่มต้องสะดุ้ง คราวนี้ดวงตาชี้ๆเหล่ไปยังเพื่อนร่วมบ้านอีกคนราวกับต้องการให้เจ้าตัวเป็นคนพูด ซึ่งคนถูกมองก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนยอมปริปากออกมา

     

    “แต่ฉันต้องการนาย” น้ำเสียงนุ่มทุ้มนั้นว่า

     

    มินกยูมองวอนอูด้วยสายตามึนงง

     

    “เพราะว่าตอนนี้นายกลายเป็นโดเนอร์(Donor)ของฉัน”

     

    “โดเนอร์...” เด็กหนุ่มพึมพำตามด้วยน้ำเสียงกระซิบ

     

    “คืออย่างนี้นะ...” อารอนเริ่มต้นอธิบายอีกครั้ง “มันเป็นกฎ... ถ้านายเป็นแวมไพร์แล้วต้องการดื่มเลือดของมนุษย์ คนที่ถูกนายกัดคนนั้นต้องตายหรือไม่ก็ต้องถูกเปลี่ยนให้เป็นแวมไพร์ ไม่อย่างนั้นแล้วนายจะไม่สามารถดื่มเลือดของมนุษย์หรืออมนุษย์คนอื่นได้อีก”

     

    “...”

     

    “นอกจากมนุษย์คนนั้นเพียงคนเดียวเท่านั้น”

     

    มินกยูคิดว่าตัวเองกำลังช็อกอีกครั้ง

     

    “แผลที่คอของนาย มันเป็นแผลต้องคำสาปที่ฉันรักษาไม่ได้เหมือนแผลที่เท้าของนาย เพราะอย่างนั้นมินกยู... วอนอูเลยต้องการนายยังไงล่ะ”

     

    “...”

     

    “ตอนนี้วอนอูไม่สามารถดื่มเลือดของคนอื่นได้อีกแล้ว”

     

    “นั่นมันไม่เกี่ยวกับผมเลยนะ” เด็กหนุ่มหาเสียงของตัวเองเจอได้ในที่สุด มินกยูสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามไม่แสดงความกราดเกรี้ยวออกไปในน้ำเสียง “ที่ผมเลือดออกเยอะขนาดนั้นก็เพราะเศษกระจกบ้าๆในบ้านของพวกคุณไง”

     

    นี่มันเรื่องบ้าบอที่สุดที่เขาเคยได้ยินมาทีเดียว

     

    “กระจกนั่นมันเป็นของฉันเองค่ะ”ซองยอนเอ่ยขึ้นมาเบาๆ เด็กสาวมองมาที่เขาคล้ายกับกำลังจะร้องไห้เต็มที “ฉันกำลังทำงานศิลปะ...”

     

    “แต่เอาจริง ๆแล้ว นายก็เป็นฝ่ายบุกรุกเข้ามาในบ้านหลังนี้เองนะ” วอนอูพึมพำ

     

    และคราวนี้คนฟังก็เถียงไม่ออก

     

    “เอ่อ... เอาเป็นว่าวันนี้นายนอนพักที่นี่ก่อน แล้วพรุ่งนี้เราจะมาคุยเรื่องนี้กันอีกครั้งนะ” อารอนพูดพร้อมกับมองนาฬิกาไปด้วย

     

    “จริงสิ... ผมต้องเข้าหอพัก” มินกยูลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มเพิ่งนึกออกว่าใกล้จะเลยเวลาที่หอพักของเขาปิดเต็มที่แล้ว

     

    “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ฉันโทรไปบอกแล้วว่านายปลอดภัยดีและจะยังไม่เข้าหอพัก” น้ำเสียงของหญิงสาวที่นั่งเงียบมาตลอดดังขึ้น ทำเอาคนฟังสะดุ้งเล็กน้อย

     

    “พวกเขาไม่เชื่อคุณหรอก”

     

    “ทำไมจะไม่เชื่อล่ะ ก็ฉันเป็นครูที่นั่นนะ” น้ำเสียงราบเรียบนั่นทำเอาคนฟังพูดไม่ออก อารอนกดตัวเขาให้นั่งลงบนโซฟาอีกครั้ง

     

    “งั้นก็ไม่มีปัญหาแล้วนะ ฉันเตรียมห้องให้นายแล้วล่ะ”

     

    สมาชิกทุกคนขยับตัวเพื่อกลับไปยังห้องตัวเองเมื่อเห็นว่าเรื่องทุกอย่างน่าจะจบลงด้วยดี หากคนเป็นแขกยังคงนั่งนิ่ง

     

    “คุณเป็นครูที่โรงเรียน...” มินกยูคราง

     

    “แปลกใจตรงไหนล่ะ อารอนก็เป็นหมอของที่นี่ วอนอูเป็นบรรณารักษ์ของห้องสมุดประจำเมือง เวอร์นอนกับซองยอนก็เป็นนักเรียนที่เดียวกับนายนั่นแหละ”

     

    ดวงตาคมกระพริบอย่างอับจนคำพูด

     

    เขายังคงคิดอะไรไม่ออกอยู่เมื่อร่างโปร่งใสของซูนยองลอยมาหาพร้อมกับน้ำเสียงขบขันเล็กน้อยยามกล่าวกับเด็กหนุ่ม

     

     

     

     

    “ยินดีต้อนรับสู่ vanilla twilight นะ คิม มินกยู”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    TBC.

     

     

      


    คิม มินกยู

    >> มนุษย์

    >> นักเรียนมัธยมปลายปีสุดท้าย

     

     

     

     ปล. ในที่สุดเราก็เล่นทวิตเตอร์เป็นแล้ว >< เพราะแบบนั้น นิยายเรื่องนี้เลยมีแทคแล้วนะคะ แวะไปพูดคุยกันได้ที่ #MianamiFanfic ค่ะ

     

    Matcha
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×