ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ exo ] 。 take me home ♡ { lubaek } ending

    ลำดับตอนที่ #20 : - take me home : chapters - 019 { 100% }

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 936
      1
      7 ก.ย. 57





     

    - Superman -


     

    chapters – 019


     

              

            

                รถออดี้สีดำคันเงาชะลอความเร็วเมื่อใกล้ถึงบ้านหลังสีขาวแสนอบอุ่น  วันนี้งานเสร็จเร็วแล้วนายจ้างก็ไม่มาดูบ้านเพราะติดธุระเลยกะจะชวนคนตัวเล็กไปทานข้าวเย็นนอกบ้านแล้วหาซื้อของมาทำอาหารพรุ่งนี้เลย  เมื่อจอดรถสนิทแล้วร่างสูงก็ก้าวฉับๆพร้อมสะพายกระเป๋าอุปกรณ์ควงกุญแจรถเข้ามาภายในบ้าน  หากเป็นปกติเขาจะสามารถเปิดเข้าไปได้เลยแต่วันนี้ประตูบ้านกลับล็อคจนเขาต้องไขมันด้วยตัวเอง 


     

                ภายในบ้านบรรยากาศเงียบเฉียบ  มีเพียงเสียงลมพัดหวิวกระทบแก้วหูอย่างอ้อยอิ่ง  สองขายาวหยุดลงตรงห้องรับแขก  คิ้วหนาขมวดเข้าหากันแน่นเลิกสูงเชิงสงสัยพลางสอดส่องสายตาหาคนตัวเล็กที่ปกติจะนั่งอยู่ตรงโต๊ะคอมฯใช้เวลากับการพร่ำเพ้อบ้าบอเป็นคนบ้าอยู่คนเดียว  หรือไม่ก็วิ่งดุ๊กดิ๊กออกมาหาเขา  แต่แปลกที่วันนี้หลับไม่เห็น  ยกแขนดูนาฬิกาเรือนสีดำของ Givenchy ก็พบว่ามันบ่ายโมงแล้ว 


     

                ไปไหนของเขา? 


     

                “แบคฮยอน  หลับอยู่เหรอ”  เดินขึ้นบ้านพร้อมตะโกนเรียก  มือหนาหมุนบิดลูกประตูห้องนอนสีขาวเข้าไปในห้องกลับพบว่ามันว่างเปล่า 


     

                ห้องน้ำและระเบียงบ้านชั้นบนหาจนทั่วก็ไม่อยู่  ลงมาตามหาที่ห้องเก็บของ  ในตู้เย็น  เอ๊ะ! แล้วจะไปหาทำไมวะในนั่น  เดินออกมาตามหาแถวหลังบ้านทะเลสาบก็ไม่เจอ


     

                หรือหนีออกจากบ้าน?


     

                จะบ้าเหรอวะก็เนี่ยบ้านเด็กนั่น  เออกูงงกับตัวเอง


     

                สรุปหาไม่เจอแม้กระทั่งโพสอิทที่ชอบแปะบอกแบบเด็กๆของคนตัวเล็กก็ว่างเปล่า  อีกทั้งแบคฮยอนยังไม่ค่อยชอบออกจากบ้านกลับหายตัวไปอย่างไร้รองรอย  ด้วยความใจร้อนเลยกดเบอร์โทรหาอีกคนแล้วพาร่างตัวเองไปหยิบแก้วมาใส่น้ำดื่มด้วยความกระหายจากสภาพอากาศของหน้าร้อน 


     

                  อยู่ไหนทำไมไม่รับวะ”  ร่างสูงวางแก้วน้ำลงกระแทกเสียงดังเล็กน้อยด้วยใจร้อนรน  มือขวายกโทรศัพท์ขึ้นมากดออกโทรซ้ำๆย้ำๆอยู่หลายครั้ง  หากแต่เจ้าของบ้านตัวเล็กก็ไม่รับสาย  “แม่ง...”  สบถออกมาด้วยอารมณ์คุกรุ่น


     

                หรือว่าไปหาไอ้ชานยอล? 


     

                เขาจำได้ว่าแบคฮยอนเคยบอกว่าชานยอลคือเพื่อนคนแรกของตัวเอง  ไม่มีใครให้ติดต่อเลย  พอคิดได้ก็โทรหาเพื่อนสนิทตัวเองทันทีและรอสายไม่นานนักชานยอลก็รับสาย


     

                “ชานยอล  แบคฮยอนอยู่กับแกมั้ยวะ”  พอทักทายกันตาประสาเพื่อนเสร็จอีกคนก็บอกเปล่า  น้ำเสียงอีกฝ่ายดูเป็นห่วงมากจนลู่หานต้องเบ้ปากทำหน้าตีเข้มแม้ไม่มีใครเห็นก็ตาม  “เออ  ถ้าไม่อยู่ก็แค่นี้แหละ”  กดสายทิ้งโดยไม่รอปลายสายล่ำลาหรือถามซอกแซกเป็นห่วงจนเกินพอดี


     

                หวง!


     

                หรืออยู่กับแม่เขารึเปล่า?


     

                ลู่หานง่วนกับการตามหาแบคฮยอนไม่เป็นอันทำอะไร  ขณะกำลังจะกดโทรออกหาบุพการีที่เคารพรักอีกคนก็โทรเข้ามาเสียก่อน  ยิ่งทำให้เขามั่นใจเกินครึ่งกับข้อสรุปก่อนหน้านี้


     

                “ม๊า  แบคฮยอนอยู่กับม๊ารึเปล่าครับ”  ลุกลีลุกลนแทบลืมตัว

     

                ลู่หานไม่ได้นึกเลยว่า...

     

                เสี่ยวลู่  น้องแบคอยู่ที่บ้านใหญ่นะลูก  เห็นบอกจะโทรบอกเองแต่ม๊าว่าตอนนี้น้องแบคคงไม่ว่างแล้วล่ะ’  มารดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกๆจนคนฟังอดห่วงไม่ได้  แสดงหน้าฉงนสงสัย  ยิ่งเสียงที่แทรกเข้ามาในสายเสียงดังจนฟังชัดถ้อยชัดคำ ...โอ๊ยยย  ปวดหัว  เด็กนี่มันยังกันฮะ!…ก็คุณย่าให้ผมบอก  ผมก็บอกหมดแล้วนี่ครับทำไมต้องตะคอกด้วยอ่ะ...เถียงคำไม่ตกฟาก!...


              หากวันหนึ่งต้องย้ายกลับบ้านตัวเอง...


     

                “คุณย่ามาเหรอครับ”

     

                จะต้องเสียน้ำตากันไปเท่าไร...เพราะตอนนี้

     

                ใช่จ๊ะ  เย็นนี้อาจจะกินข้าวที่นี่เลยด้วยนะ  เสี่ยวลู่ก็…


     

              “ไปครับ  เดี๋ยวลู่จะไปทานด้วยเย็นนี้  ม๊าห้ามคุณย่าทำไรไอ้เด็กแสบนะ”  ยังไม่ทันอีกฝ่ายจะชวนร่วมโต๊ะเย็นนี้  ลู่หานก็รีบพูดแทรกขึ้นแล้วขอวางสายก่อนเลย

     

                ตัวเขาเองกำลังปล่อยให้ใจถลำลึกลงไปจนยากจะถอน

     

                ถ้าคุณย่ากับแบคฮยอนเจอละก็...งานงอกเลยงานนี้  มหกรรมบ้านแตกแน่




     

                คุณย่าของลู่หานเป็นชาวปักกิ่ง  แม่ของพ่อที่จัดว่าดุแสนดุกว่าแม่เขาจะได้มาเป็นลูกสะใภ้ตระกูลลู่ก็ลากเลือด  เสียน้ำตากันเป็นไห  แล้วลู่หานเองก็เป็นหลานโปรดเพราะว่าพอเกิดมาหุ้นบริษัทก็พุ่งกระฉูดหลังจากประสบปัญหาคู่แข่งในตลาดสายพานเครื่องจักรโรงงาน  กอบกู้จนใหญ่โต  แต่นั่นคงไม่ใช่เหตุผลหลักเพราะฝีมืองานบ้านงานเรือนของลู่หานต่างหาก


     

                หลังจากโต้วาทีกันกับแบคฮยอนทุกวันทำให้รู้ว่าอีกคนนั้นปากไวเก่งกาจเรื่องหลอกด่าจนลืมตัวขนาดไหน  ถ้าเอาไปใช้กับคุณย่ามีหวัง...  กูเพลีย

     














     

                แบคฮยอนอยู่ในห้องสไตล์เกาหลีแบบนั่งพื้นและมีโต๊ะเตี้ยๆวางตรงกลางห้องพร้อมเบาะรองนั่งรอบสี่ทิศ  แม้ไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศแต่ว่าเขารู้สึกเย็นยะเยือกทุกครั้งที่มีสายตาคมกริบปาดฉึบราวกับมีดบาดจนเกิดแผลบนใบหน้า  เขานั่งแบบนี้มาชั่วโมงกว่าแล้วและไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายที่เป็นคุณย่าของลู่หานจะหยุดถามซอกแซกไปมาเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวเขาสักที  ทำยังกับว่าเขาจะเป็นลูกสะใภ้ตระกูลงั้นแหละ  ก็แค่เจ้าของบ้านที่ให้แหล่งพักพิงหลานชายตัวเองก็แค่นั้น


     

                “พ่อแม่ล่ะทำงานอะไร”  เสียงทรงพลังเอ่ยถาม


     

                “เสียไปเมื่อสี่ปีที่แล้วครับ” 


     

                “แล้วตอนนี้ทำงานอะไร”


     

                “เป็นนักเขียนออนไลน์ครับ”


     

                “ไส้แห้ง...”  หญิงชราแต่ยังแข็งแรงคลี่พัดลายนกกระเรียนออกแล้วพัดคลายร้อนอีกครา  เชิดหน้าแล้วเหลือบมองคนตัวเล็กที่ก้มหน้าก้มตาตอบ  “มิน่าถึงได้จนขนาด  อาลู่ของฉันเลยต้องถูกหลอกไถ่เงินค่ากินค่าอยู่ ค่าน้ำค่าไฟสารพัดสารเพให้เด็กกะโปโลที่ไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่” 



     

                แล้วมันก็วนมาอีกครั้งกับคำดุด่าประโยคเดิมๆที่คงไม่พ้นฐานะของเขา  จากตอนแรกสะอึกนิดหน่อยจนชินชา  หน้าชาก็เริ่มเบาลงฟังหูซ้ายทะลุหูขวา


     

                “...” ร่างบางไปแต่นั่งนิ่งๆให้อีกคนว่า  ทั้งๆที่เขายังไม่รู้เหตุผลอะไรด้วยซ้ำ


     

                “เงียบทำไม  ผู้ใหญ่พูดก็เงยหน้าสิยะฉันล่ะเป็นห่วงจริงๆไปอยู่ต่างถิ่นจะสูบผอมไปขนาดไหนกันนะต้องทำงานตรากตรำ  ฉันอุตส่าห์เลี้ยงเองกับมือ  คอยดูนะพ่อมันกลับมาเมื่อไรฉันจะเฉ่งกะบาลให้!  คิดถึงตาลูกชายที่ไล่หลานสุดที่รักไปก็อยากจะตบให้หายแค้น  ติดที่ตอนนี้มันไม่อยู่...หน๊อยไอ้ลูกบ้า


     

                “คุณแม่...หนูโทรบอกลู่หานแล้วล่ะค่ะ  อีกประเดี๋ยวคงมา”  คุณแม่ของลู่หานเดินเข้ามาให้ห้องกว้างด้วยท่าทางแบบผู้ดีและเรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้ว  นั่งลงข้างๆกับแบคฮยอนไม่ห่างนัก  อีกคนพยักหน้ากระตือรือร้นยิ่งกว่าก่อนหน้านี้อีกที่ทำท่าจะเป็นลมเป็นแล้ง


     

                “ต่อไปนี้เธอต้องคอยดูแลหลานชายฉันให้ดี  จนกว่าอาลู่จะกลับบ้านใหญ่เข้าใจมั้ย”  หล่อนเอ่ยถามแกมบังคับยากปฏิเสธ


     

                กลับบ้านเหรอ...นั่นสินะ  ก็นี่บ้านเขานี่นา


     

                “แต่ว่า...”  แบคฮยอนที่รู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะเข้าไปทางตำแหน่งแปลกๆ  คนใช้ก็ไม่ปานทั้งที่เขาเป็นเจ้าของบ้านแท้ๆเนี่ยนะ?


     

                “หยุดไม่มีแต่  ต่อไปนี้เธอต้องรู้ว่าลู่หานชอบอะไรกินอะไร  เขาต้องทำงานหนักกลับมาบ้านทานอาหารอร่อยๆ  เธอก็มีหน้าที่ดูแลตรงจุดนั้น  อาลู่เป็นโรคกระเพาะดังนั้นเรื่องทานอาหารตรงต่อเวลาสำคัญที่สุด  พูดแล้วก็ตามมา...ไหนลองมาทำอาหารที่เธอบอกอาลู่คุยนักหนาว่าอร่อย”


     

                “ได้ครับ”  ก็ไม่รู้ทำไมแบคฮยอนไม่อาจจะปฏิเสธได้...คงทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาทำต่อไป  เอาวะ  อย่างน้อยเราก็มั่นใจซุปสาหร่ายที่สุด


     

                “เราจะฝึกหันหมูสามชั้นกัน  เพราะว่ามันต้องบางได้ที่เวลาย่างจะพอดีแล้วก็กรอบจนไม่เหลือไขมันก้อน  กินแล้วกรุบกรับพอดีแบบที่หลานฉันชอบ”


     

                “ไหนคุณย่าบอกให้ผมทำอาหาร?”


     

                “อาหารก็เริ่มจากวัตถุดิบเครื่องปรุงก่อนสิ  ต่อไปก็หมักกิมจิด้วยมีอีกหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้  ไป  รีบไปที่ครัวกันได้แล้ว”  พัดคู่ใจถูกรวบเก็บก่อนลุกเดินด้วยท่าทางมั่นคงและแข็งแรงเกินหญิงชราทั่วไป...


     

                อย่าบอกว่าหลอกให้เขาคิดว่าอ่อนแอแล้วไม่กล้าโต้กลับเหรอ?


     

                “มัวทำอะไรอยู่!  เดินตามมาเร็วๆ”


     

                “ครับ...”  ได้แต่ขานรับอย่างปลงๆ  ต้องพึ่งบารมีหลานเขาอีกเยอะเกิดลู่หานมาแล้วเห็นว่าเขาทำตัวไม่ดีกับย่าตัวเองคงโดนตัดค่าขนมค่ากินอยู่  ยังไงแบคฮยอนก็ขอย้ำว่าปัจจัยสี่สำคัญสุดกว่าศักดิ์ศรี





     

     

     

                 คุณจะมาแล้วอยู่ข้างผมใช่มั้ย...ผมกลัวย่าคุณจะแย่แล้ว  ฮื่อ  ช่วยด้วย




     

     


    40%

     


     

    หนึ่งชั่วโมงผ่านไป...    


     

                โอ๊ยตายนี่เขาเรียกว่าอาหารเหรอย่ะ  ทำไมรสชาติมันถึงดำดิ่งลงเหวขนาดนี้หรือคนเกาหลีเขาจะชอบกินแบบนี้กันฮะ!”  เสียงหญิงชราอายุหกสิบเจ็ดที่ยังคงความแข็งแรงและมั่นอกมั่นใจ  เอ่ยปากวิจารณ์ฉอดๆเมื่อหล่อนชิมอาหารตรงหน้าแล้วลมแทบจับ  แทบจะแร๊พพ่นไฟใส่เด็กผู้ชายตัวเล็กตรงหน้าที่ห่อไหล่ก้มหน้าก้มตาให้ดุด่า 


     

                “คุณแม่ค่ะ  น้องแบคแกทำไม่ได้แย่ขนาดนั้น  หนูว่าปรุงนิดหน่อยก็ทานได้แล้วค่ะ  อีกอย่างคุณแม่เองก็...”  คุณแม่ของลู่หานรีบเข้ามาเบรกเท่าที่จะทำได้  แต่ก่อนเธอจะหลุดพูดอะไรออกมาก็ถูกคนสูงอายุกว่าขัดไว้!

     

                “โอ๊ยยย  เข้าข้างกันเหรอย่ะ?”  เหมือนกับคุณย่าจะเปลี่ยนเป้าหมายใหม่แทน  นั่นทำให้คุณนายลู่ถึงกับยิ้มแหย  “สมัยก่อนเธอก็ฝีมือแย่พอๆกัน  ฉันเลยอนุโลมสอนเธอจนเป็น”


     

                “คุณย่าครับ  ว่าผมเถอะครับ  ความจริงผู้ชายเขาก็ไม่ค่อยถนัดงานบ้านเป็นเรื่องปกตินิครับ...เอ่อ”


     

                “เถียง!!

               

               

     


     

                นี่หลานสุดที่รักฉันกินน้ำล้างจานพวกนี้มานานเท่าไรแล้วเนี่ย! 




     

                “แต่คุณลู่หานเขายังบอกว่าอร่อยขึ้นเยอะเลยนี่นา  ยังพยายามแถจนสีข้างถลอกไปเรื่อย  ลองยกเอาหลานสุดที่รักคุณย่าขึ้นมาอ้างวอนขอความเห็นใจ   


     

    เถียงไม่รู้ล่ะเธอต้องมาเข้าครัวแล้วฝึกอาทิตย์ละครั้ง!  น้ำเสียงทรงพลังและอำนาจใหญ่ราวกับฮองเฮาก้องอยู่ในหูของร่างเล็กที่หน้าหงอคล้ายลูกหมาเปียกน้ำ  “พ่อแม่สอนมายังไงกัน  ถึงจะเป็นผู้ชายแต่ก็ต้องสั่งสอนเรื่องทำอาหารบ้างเถอะ  มาทำตัวเป็นลูกคุณหนูทั้งที่ไม่มีเงินเลยเนี่ยนะ  ไส้แห้ง


     

    คำพูดดูถูกดูแคลนนั้นแบคฮยอนสามารถอดทนได้  หากแต่ตอนนี้เหมือนบ่อน้ำตามันเอ่อล้นเมื่อพูดถึงคุณพ่อคุณแม่ที่ท่านเสียไปแล้ว


     

    ฮึก  ทำไมคุณย่าถึงเอาแต่ว่าผมนักละครับ  ทำไมต้องว่าถึงพ่อแม่ผมด้วย  ฮืออออ  ผมอุตส่าห์ให้คุณย่าดุด่าผมยังไงก็ได้แล้วแท้ๆ  ฮือออ  ทำไมต้องไปว่าคุณพ่อคุณแม่ผม  ฮึก  ใจร้ายที่สุด  ฮืออออ มือเรียวสวยยกขึ้นมาปาดน้ำตา  “ถ้าผมว่าคุณลู่หานบ้างคุณย่าจะโกรธมั้ยล่ะครับ 


     

    เอ่อ...


     

    “คุณแม่  เห็นมั้ยค่ะน้องแบคร้องไห้แล้ว”  คุณนายใหญ่ของตระกูลลู่ถึงกับทำอะไรไม่ถูก  ยืนเก้กังจนเผลอแสดงท่าทางเงอะงะออกมา

     

    ฉันพูดแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?

     

     











     

    ผ่านไปสิบนาที  ทั้งคุณย่าและแบคฮยอนกำลังยืนจ้องวัตถุดิบเครื่องปรุงอยู่ในห้องครัวที่จะจัดเตรียมเป็นมื้อเย็นของวันนี้เพื่อต้อนรับลู่หานหลานสุดที่รัก  ลูกมือแบคฮยอนใบหน้าหวานดวงตาบอบช้ำและนัยน์ตาฉ่ำหยาดน้ำ  ปากเบ้และเสียงสะอึกยังคงเบาหวิวให้ได้ยิน  ต้นเหตุของงานได้แต่ยืนส่งกระดาษทิชชู่ให้เป็นพัก


     

    “นี่  เลิกร้องไห้ได้แล้วย่ะ”  คนแก่เผยสีหน้ารู้สึกผิดทำให้ร่างเล็กสูดซืดน้ำมูกครั้งสุดท้าย  “แล้วนี่จะเริ่มทำอะไรก่อนดี  ลู่หานชอบไก่วุ้นเส้นผัดซอสใช่มั้ยโอเคเราจะทำอันนี้กัน”  คุณย่าตกลงพูดเองเออเองเสร็จสรรพ  ก่อนจะยืนจ้องตากันอีกครั้ง...



     

    “คุณย่า...จะไม่ทำเหรอครับ”  แบคฮยอนเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย  เพราะคุณย่าน่าจะเก่งกว่าเขาเสียอีก


     

    “แน่นอน  แต่ฉันเป็นคนสอนเธอดังนั้นเธอก็ต้องเป็นคนทำไงล่ะ  ติดตรงไหนก็ค่อยถาม”


     

    คนตัวเล็กก้มหน้าชิดอกลอกหัวหอมไปเรื่อย 


     

    “ช้าจริงกะอีแค่ลอกหัวหอม  เสร็จแล้วก็ล้างผักด้วยนะ”


     

    “ครับ...คุณย่าคงทำอาหารเก่งหน้าดู  เหมือนกับคุณลู่หานเลย”  เสียงหวานเอ่ยถามหวังให้สนิทกันมากขึ้น 


     

    “แน่นอนย่ะ  ฉันเนี่ยเพียบพร้อมที่สุดในบรรดาคุณนายลู่แล้ว  หลานฉันก็ด้วย” พูดไปก็คลี่พัดขึ้นมาพัดอีก


     

    “เหรอครับ  ว้าวสุดยอดเลย  ผมอยากทำอาหารเก่งๆบ้างจัง”  คนตัวเล็กพูดจากใจจริง  พร้อมยิ้มละมุน  เขาก็อยากทำอาหารให้ลู่หานทานหลากหลายเมนูแล้วก็อร่อยลงตัว  เขาจะต้องชอบแน่ๆถ้าแบคฮยอนเป็นอย่างนั้น 


     

    ลู่หานน่ะชอบบ่นว่าเขาทำอะไรซ้ำๆ  ตัวเองมาทำเองสิ


     

    “นิเธอ...”  คุณย่าหยุดพัดทันที่ที่ได้ยินว่าคนตัวเล็กอยากจะทำอาหาร  ดวงตาภายใต้กรอบแว่นจดจ้องเจ้าของบ้านที่หลานไปอาศัยกำลังง่วนกับการหั่นผักล้างผักเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงเรียก  “ถ้าอยากเรียนทำอาหารก็มาที่บ้านสิ  ฉันจะสอนเองจะได้ไม่ต้องไปหาที่เรียน”


     

    “เอ๋?” 


     

    “ยังมาทำหน้าเอ๋ออีกบอกให้มาก็ต้องมาเข้าใจมั้ย  ทำต่อได้แล้ว”  แสร้งเอ็ดไปอย่างนั้น  ทั้งที่ในใจก็โลดแล่นเมื่อจะได้เพื่อนเล่นบ่อยๆ


     

    ตัวเขากลับมาจากเที่ยวคนเดียวแล้วเพิ่งรู้สึกได้ว่าการอยู่ในบ้านแคบๆมันอึดอัดจนเบื่อ  แต่สภาพตอนนี้ก็ไม่แข็งแรงที่จะไปไหนไกลๆแล้ว  ถ้าได้เจ้าเด็กนี่มาคุยเล่นเป็นเพื่อนแก้เหงาก็คงดี...ส่วนเรื่องทำอาหาร...เขาก็พูดไปงั้นๆ  ความจริงตัวเองก็ทำไม่เป็นเหมือนกัน


     

    “คุณย่าครับ  วุ้นเส้นนี่ต้องใช้เท่าไรครับสำหรับทานสี่คน”  แบคฮยอนกำลังแกะห่อวุ้นเส้นเพื่อนำมาแช่ทิ้งไว้เอ่ยถาม


     

    “เอ่อ...แหม  แค่นี้ก็กะเอาสิยะ  ประมาณเนี่ย”  คว้าหมับที่วุ้นเส้นจับมาหยิบกำมือ  กะเอามั่วๆไร้แกน


     

    “มันไม่น้อยไปเหรอครับ  เรากินกันสี่คน” 


     

    “อู้ยยย  เดี๋ยวใส่ไก่ใส่ผักลงไปก็เยอะแล้ว”


     

    แบคฮยอนได้แต่ทำหน้างงๆแต่มันก็ทำให้เขากับคุณย่าสนิทกันมากขึ้นตลอดระยะเวลาการทำอาหาร  และแล้วไก่ผัดซอสใส่วุ้นเส้นหน้าตาหน้าทานก็สำเร็จเสร็จสิ้นอย่างทุลักทุเลโดยที่แบคฮยอนทำเองหมดทุกอย่าง 


     

    “ลองชิมดูมั้ยครับ?”  มือเรียวสวยส่งตะเกียบให้ผู้สูงอายุทานก่อนเป็นมารยาท  หากแต่คุณย่ากลับทำหน้าบ่ายเบี่ยงให้คนตัวเล็กชิมก่อน


     

    “เป็นไง  อร่อยใช่มั้ย”  แบคฮยอนตักวุ้นเส้นในชามใหญ่แล้วเคี้ยวตุ้ยๆจนแก้มพองเหมือนกระรอก  ขมวดคิ้วเรียวงามเล็กน้อยก่อนเอียงคอคล้ายหาสาเหตุ  “ทำไม รสชาติมันแย่เหรอ”


     

    “ครับ  มันเหนียวแล้วเส้นก็เละ  น่าจะใส่น้ำมากเกินไปตอนผัด” ทั้งคู่เลยนั่งหน้าจ๋อยอยู่ในห้องครัว  จนกระทั่งเจ้าหมาน้อยแบคฮยอนหูดีได้ยินเสียงใครคนหนึ่งกำลังสวัสดีแม่ตัวเอง  “คุณลู่หานครับ”


     

    “ฮะ!  หลานฉันมาแล้วเหรอ”


     

    “แบคฮยอน!”  เสียงตะโกนเรียกหาเจ้าตัวเล็กจอมวุ่นก้องบ้าน  พร้อมร่างอุ้ยอ้ายพุ่งเข้ามายังร่างสูงแสนคิดถึง


     

    ผมไม่รู้เลยว่ามาทำอะไรตรงนี้


     

    “คุณ...คิดถึง!  วิ่งมาราวกับเป็นบ้านของตัวเอง  โผลเข้าใส่อ้อมกอดของอีกคนไม่เกรงกลัวสายตาใครหรือคุณย่าจะตะโกนว่าวิ่งในบ้าน


     

    แต่เพราะมีคุณยืนข้างกัน



     

    “ว่าไงเด็กแสบ  มาทำอะไรที่นี่ฮะรู้มั้ยตามหาทั้งวัน”


     

    ราวกับมีซุปเปอร์แมน เพื่อไว้ปกป้องผมโดยเฉพาะ

     

     





     

    ในที่สุดมื้อเย็นกับครอบครัวตระกูลใหญ่อย่างลู่ก็จบลง  แบคฮยอนนั่งนิ่งเงียบมาตลอดทางกลับบ้าน  วันทั้งวันคนตัวเล็กได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวของร่างสูง  มันทำให้เขารู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด  ได้สัมผัสคำว่าครอบครัวอีกครั้งตั้งแต่รู้จักลู่หานมา  ถึงแม้จะมีปากเสียงกันบ้างกับหลานสุดที่รักของคุณย่า  แล้วก็โดนคุณย่าดุด่าแต่ท่านก็ใจดีแล้วก็อบอุ่นมากพอๆกับคุณแม่ของลู่หาน 


     

              ตกเย็นวันนั้นเราใช้เวลาทำอาหารเย็นด้วยกันสี่คน  เขา คุณย่า  คุณแม่ลู่หาน  แล้วก็เจ้าภาพงาน  เพราะว่าอาหารจานพิเศษเละเทะไม่เป็นท่าเลยต้องทำใหม่หมดเลย  ช่วงเวลานั้นเขามีความสุขมากที่สุดตั้งแต่เสียพ่อกับแม่ไปเลยก็ว่าได้  ทานอาหารด้วยกันแล้วก็หัวเราะไปด้วยกันกบเรื่องราวของลู่หานตอนเด็กๆ  นั่งดูคุณย่าอวดรูปไปเที่ยวรอบโลกตอนแก่มา  แล้วทุกคนก็ชวนแบคฮยอนมาเที่ยวที่บ้านอีก




    “ยิ้มอะไรวะ”  เสียงแหบห้าวเอ่ยถามหลังสังเกตเห็นตั้งแต่ออกมาจากบ้านเขาแล้ว  ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนคนอารมณ์ดี  ต่างจากครั้งแรกที่เจอสภาพงี้โทรมเพราะโดนคุณย่าดุเอา


     

    “หื้อ  ผมแค่คิดว่าวันนี้มีความสุขที่สุดเลย”  ยิ้มตาหยีส่งให้อีกคนแล้วร้องฮู่วเลอะไรแบบเด็กๆ 


     

    “ฮะๆ  นั้นสิฉันก็มีความสุขเหมือนกัน  ไม่ได้เจอคุณย่านานมาก”


     

    “อื้อ!  คุณย่าท่านใจดีแล้วก็น่ารัก  แข็งแรงมากๆด้วยล่ะ”  ระบายยิ้มออกเปรอะบนใบหน้าหวาน  ดวงตาทอประกายแม้ยังคงรอยช้ำไว้ก็ตาม


     

    “โดนดุแล้วงอแงนะเราน่ะ”


     

    “ก็ผมงงนิคุณ  อยู่ๆก็มีคนโทรเข้ามาแล้วก็ให้ผมไปหาแล้วว่าฉอดๆ  ใครๆก็งงทั้งนั้นแหละ  แต่ผมรู้แล้วว่าคุณทำอาหารเก่งเหมือนใคร”  ขยับตัวแล้วนั่งขัดสมาธิหันมาทางสารถีหนุ่ม  อีกคนก็ขับรถแล้วอืออออย่างตั้งใจฟัง


     

    “...”


     

    “คุณย่าใช่มั้ยล้า” 


     

    ฮะ?  คุณอย่าเนี่ยนะ


     

    คนตัวโตได้แต่เลิกคิ้วสงสัย  คนที่สอนเขาคือแม่ต่างหาก...คุณย่าน่ะทำอาหารไม่เป็นนี่หว่า...


     

    “ดีจังน้า  พรุ่งนี้เราก็มีอาหารสำหรับต้อนรับแขกแล้ว  เย้ดีใจจังเลย”


     

    “นั่นดิ  ไม่งั้นก็กว่าจะกลับถึงบ้าน”  เอออออย่างเห็นด้วยก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขาเตรียมตัวจะมาดุอีกคน  “จริงสิ  ต่อไปนี้ออกไปไหนหรือด่วนขนาดไหนนายต้องโทรหาฉันเข้าใจมั้ยแบคฮยอน  ฉันก็ห่วงแทบแย่นึกว่านายหายไปไหน”


     

    “ง่ะ  คุณ...เป็นห่วงผมอ๋อ?”  แบคฮยอนหันขวับแล้วทำสายตาซาบซึ้งใส่อีกคนทันที 


     

    “เออสิ  เดี๋ยวไปแย่งของกินคนอื่นเขา  ยิ่งกินไม่เลือกหน้า”  กระตุกยิ้มมุมปากหยักก่อนเอื้อมไปลูบหัวทุยๆแล้วหยิกแก้มกลมกลิ้งแสนนุ่มนิ่มน่าหมั่นเขี้ยว


     

    “ชิ...”  จิ๊ปาก  คนตัวเล็กเอี้ยวหัวหลบแล้วปัดมือหนาออก  อีกคนได้แกล้งได้แซวหัวเราะในลำคอหึๆ  ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองซื้อของมาฝากคนตัวเล็กด้วยเต็มถุงใหญ่  วันนี้เขาขับผ่านร้านประจำของคยองซูพอดีเห็นว่าอร่อยนักหนาเลยซื้อมาให้แบคฮยอน  แต่ถึงอย่างนั้นสายตาแบคฮยอนเหลือบไปปะทะพอดี  “อะไรอ่ะ...ถุงอะไรเหรอ”


     

    “ขนม...”


     

    “จริงอ่อ...ไหนว่าอ้วนแล้วซื้อชีสเค้กมาให้เนี่ยนะ”


     

    “กินเหอะน้า  อ้วนแล้วก็...อุ่นดี”





     

    แปร๊ดดดด




     

    “อุ่นอะไร  ไอ้บ้า!

     

    “หยาบคายเหรอ”

     

    แล้ววันที่วุ่นวายของแฟมิลี่ก็ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งวัน  คนตัวเล็กเพียงหวังว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันดีๆอีกหนึ่งวันที่แสนคุ้มค่า




     

    “ขอบคุณน้า...”

     

    80%
     

    ผมเคยคิดว่าตัวเองคงอยู่บนโลกใบนี้ด้วยความเงียบเหงา  หลังจากที่ความสุขของผมหายไป


     

    “วันนี้คุยอะไรกับย่าบ้างล่ะ”  ละสายตาจากถนนแล้วหันหน้ามาถามอีกคนที่นั่งหม่ำชีสเค้กเป็นระลอก

     

    “คุยอ๋อ  ก็บอกว่าให้ดูแลคุณให้ดี  ต้องไปเรียนทำอาหารกับคุณย่าอาทิตย์ละครั้งจะได้ทำอาหารอร่อยๆต้อนรับคุณกลับบ้านหลังจากทำงานเหนื่อยๆทุกวัน  ทำตัวดีๆอย่าเถียงคุณ”  คนที่ถูกอบรมมาอย่างดีพูดจ่อจนไม่ทันได้มองเห็นใบหน้าแดงระเรื่อของร่างสูง  เพราะความไม่ใส่ใจของแบคฮยอนมันถือเป็นโชคดีของเขารึเปล่า  ความจริงเขาก็คิดเรื่องนี้มาสักพักว่าทุกวันที่ทำอยู่มันเหมือน...  “คุณว่ามันแปลกๆป่ะ  ผมว่ามันเหมือนผู้หญิงเลยอะที่คุณย่าบอก”


     

    ไม่ประสีประสาหรือแกล้งอะไรยังไงกันแน่!

     

    “อะ...เอ่อ  ก็งี้แหละย่าคงบอกให้นายดูแลคนดูแลนายดีๆ”

     

    “อ๋อเหรอ...แต่มันคุ้นๆเนอะว่ามั้ย?”  เขาทำหน้าฉงนสงสัยแต่ก็เท่านั้นเพราะ  “เฮ้  คุณวันหลังซื้อซอสราดมาอีกชุดดิคุณ  มันไม่พอดีกับเครปเค้กเลยง่ะ”

     

    ให้ตายเหอะ...เขาไม่ควรคิดมากเลยเวลาอยู่กับไอ้เด็กอ้วนเนี่ย
     







     

    ความจริงแล้วที่ลู่หานชวนชานยอลมาเพราะรู้ว่าคนตัวเล็กพยายามหาโอกาสจะไปเลี้ยงข้าวตอบแทนอะไรสักอย่างที่สองคนนั้นสัญญากันไว้  เลยรีบชิ่งชวนตัดหน้าไปก่อน  เอาวะอย่างน้อยก็อยู่ในสายตา  แต่!ถ้ารู้ว่ามันจะมาสารภาพว่าชอบแบคฮยอนหลังจากนั้นเขาจะไม่คิดชวนมันมาเลย  แค่คิดว่ามันจะเต๊าะไอ้เด็กหมูฉุฉึกๆหัวกลมๆที่กำลังวิ่งไถไม้ถูพื้นบ้านอย่างขะมักเขม้นนี่ก็แทบบ้า  หงุดหงิด

     

    ลู่หานงิด!

     

    “เฮ้ย  ถึงขนาดแต่งตัวปะแป้งซะหอมฟุ้งไว้รอต้อนรับมันเลยเหรอวะ”  เอ่ยปากแสร้งว่าแซวแท้จริงละอยากจับเปลี่ยนเสื้อผ้าซะให้หมด  หมั่นไส้ 

     

    ตอนนี้แบคฮยอนอยู่ในชุดเสื้อยืดลายกราฟฟิคดีไซน์เก๋ๆตัวนั้นที่ลู่หานเคยซื้อให้กับกางเกงยีนส์สีซีดตัวหลวมเข่าขาดพับข้อขึ้นมาเกือบคืบ  ผมที่หวีจนเรียบแปร๋ก่อนหน้านี้ถูกเจ้าตัวสะบัดหัวไปมาตอนทำงานบ้านแล้วฟูฟ่องพองนิดๆ...ทุกอย่างในสายตาของเขาดูแล้วมันแตกต่าง!จากทุกวันเลยนะ

     

    น่ารักเกินไปแล้ว...ทีกับเขาแต่งเสื้อเก่าๆเหมือนอาจุมม่าไม่มีผิด


     

    ดูเหมือนร่างบางจะอารมณ์ดี  ฮัมเพลงฮึมฮัม...เหอะ!  ทีทำงานบ้านละบ่นจังวันนี้กลับไม่บ่นคืออะไร?

     

    “อะแฮ่ม!”  อินทีเรียหนุ่มกอดอกยืนเต๊ะท่าขว้างทางถูบ้านของคนตัวเล็กจนต้องชะงักแล้วเงยหน้ายืนเต็มความสูงน้อยๆของตัวเองก่อนเอ่ยถามอย่างสงสัย

     

    “อะไรคุณ  หลบไปสิเดี๋ยวก็ไปทำอาหารไม่ทันอ่ะ” ชักสีหน้าขัดใจเล็กน้อยที่อีกคนทำลีลา  ไม่คิดจะช่วยกันอีก


     

    “อ๋อเหรอ  อาหารอุ่นเอาก็เสร็จแล้วแป๊บเดียวจะไปเตรียมอะไร  อีกอย่างเรานัดเขาเที่ยง”

     

    “ใช่”

     

    “แล้วนี่มันเพิ่งจะเจ็ดโมงจะกระตือรือร้นอะไรนักหนาวะ”  คนแก่ถึงกับฉุนกึกแบบไม่มีเหตุผล  ที่มาที่ไป

     

    “เฮ้อ  ผมทำเพื่อคุณอยู่นะเจ้านาย  คิดดูสิเพื่อนมาบ้านเราก็ต้องเพอร์เฟ็คเงาปรืดวับแวบอะไรก็ว่าไป  จะได้ไม่ขายหน้าไง” อธิบายเหตุผลที่เขาตื่นขึ้นมาทำงานบ้านขยันขันแข็งขนาดนี้ 

     

    “อ๋อ....เหรอครับคุณแบคฮยอน  คุณเมด”  ปากหาเรื่องเอ่ยแซวจนอีกคนเบะปากเรียวสวยใส่  สะบัดก้นงอนสะโพกผายหายเข้าไปในห้องซักผ้าแล้วออกมาพร้อมตะกร้า

     

    “เมดอะไร  ไปแล้ว!ซักผ้าไว้เชอะ”  พูดเสร็ตก็เดินออกไปนอกระเบียงมีราวตากผ้า

     

    เด็กหนอเด็ก









     

     

    เวลาเกือบเที่ยงใกล้เวลานัดแล้ว ทั้งคู่วางอาหารที่ตระเตรียมจานสุดท้ายลงบนโต๊ะ  ก่อนที่แบคฮยอนจะเปิดหน้าต่างบานยาวของบ้านหลังสีขาวให้กว้างออกไปรับลมทะเลสาบกับแสงแดดอ่อนๆ  ระหว่างจัดโต๊ะจัดเก้าอี้เสียงเครื่องยนต์ก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบและหูดีๆของแบคฮยอนก็พึ่ง

     

    “คุณเขามากันแล้วอ่ะ  ตื่นเต้นจัง”  คนตัวเล็กถูมือไปมาแก้เคอะเขิน  พอเอาเข้าจริงๆเจอเพื่อนเยอะแยะไปหมดมันทำให้รู้สึกเกร็งแปลกๆ  อีกอย่างเพื่อนมาหาที่บ้านเป็นทางการครั้งแรกด้วย

     

    อินทีเรียหนุ่มได้แต่ขบขันเบาๆเมื่ออีกคนกำลังหัดทำหน้าตาต้อนรับแขกไม่พอยังหันมาถามอีกว่าหน้าแบบนี้ดีมั้ย

     

    เสียงกดออดหน้าบ้านดังขึ้นสองสามครั้งก่อนที่คนตัวเล็กจะวิ่งดุ๊กดิ๊กไปเปิด  อดหมั่นไส้ไม่ได้แม้เขาจะทำเพื่อลู่หานเองก็เถอะ

     

    ยังกับแม่บ้านเลย...

     

    “อ้าว...คยองซูสวัสดี”  ทักทายแบบเป็นกันเองตามที่คนดวงตากลมโตแสนน่ารักบอกก่อนหน้านี้  เชิญเข้ามาในบ้านหลังที่เคยมาครั้งก่อนแต่ครั้งนี้เป็นตอนสว่างทำให้เห็นว่าสวยแค่ไหน  คยองซูพยักหน้าน้อยๆทักทายกลับ  “ทำตัวตามสบายเลยนะ”  เสียงสดใสบอก

     

    เมื่อสองเพื่อนสนิทเจอกันก็ทักทายกันตามปกติ  มีกอดแล้วก็หอมแก้ม  หื้ม!  หอมแก้ม

     

    แบคฮยอนยืนจ้องแบบอึ้งๆ  ดวงตาเรียวรีเบิกกว้างอีกครั้งเมื่อลู่หานก็หอมกลับ!

     

    ออมอ...อะไรกัน  เพื่อนกันหอมแก้มเหรอ?

     

    “อ่า  สงสัยชานยอลจะมาแล้วล่ะ  คุณพาคยองซูไปเดินดูบ้านก่อนก็ได้  เดี๋ยวผมไปเปิดประตูเอง”  แบคฮยอนสรุปเออเองเสร็จสรรพไม่รอฟังคำตอบ  ในใจก็สับสนจนตีกันวุ่น  พอเห็นภาพแบบนั้นมันก็จี๊ดเจ็บแปล๊บ  รู้ตัวอีกทีก็วิ่งหนีมาหน้าประตูแล้ว













     

    แอ๊ดดด

     

    “เซอไพรส์!”  เสียงทุ้มแสนขี้เล่นดังเป็นจังหวะเดียวกับอะไรบางอย่างถูกยื่นส่งมาตรงหน้า  ลูกแตงโมกลมดิ๊กราคาแสนแพงที่คิดว่าคงไม่มีโอกาสจะได้ลิ้มรสกำลังอยู่ตรงหน้า  ดวงตาเบิกกว้างและระยิบระยับ

     

    “แตงโม!

     

    “ไง  ว่าแล้วเชียวว่าต้องชอบ  ของฝากน่ะไว้กินกันหลังทานข้าว”  ร่างสูงโปร่งในชุดสูทเรียบร้อยและดูดีกำลังฉีกยิ้มกว้าง  ใบหน้าไร้กรอบแว่นเช่นเวลาทำงานทำให้เห็นดวงตากลมโตสวยทอประกายวิบวับ 

     

    ชานยอลรู้สึกรักรอยยิ้มของคนตัวเล็กมากๆ

     

    “เข้ามาก่อนเลยๆ  คนอื่นๆมากันแล้วละ”  สวมสลิปเปอร์แบกแตงโมเข้ามาในตัวบ้าน  พอกวาดตามองไปรอบๆก็ไม่พบอีกสองคน  ชานยอลเห็นแบคฮยอนมองซ้ายมองขวาเหมือนหาอะไรสักอย่างจึงเอ่ยถาม

     

    “ลู่หานยังไม่ตื่นเหรอ?” 

     

    “ตื่นแล้วล่ะ กำลังพา...”  ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากบอก 

     

    “คยองซู...”  ชานยอลถึงกับชะงักและหุบรอยยิ้มหันควัน

     

    “ไง...ชานยอล  ไม่เจอกันนานเลยนะ...คิดถึงจัง” 

     

    ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น  คยองซูวิ่งไปเกาะแขนชานยอลแน่นดั่งเช่นเคยทำตลอด  หากแต่ความรู้สึกนั้นกลับด้านลบ...คนตัวเล็กผิวขาวเห็นสายตาของชานยอล...เขาเห็นว่ามันเป็นแบบไหนเวลายิ้มให้แบคฮยอน...สายตาที่เขาอยากได้มากที่สุด

     

    “เฮ้  มาแล้วเหรอ  งั้นทานข้าวกันเลยเหอะหิวละ”  ขัดจังหวะการอยู่ใกล้กันเกนร้อยเมตรของชานยอลกับคุณเจ้าของบ้าน  โดยไม่ทันสังเกตความผิดปกติของเพื่อนทั้งสอง...

     

    เวลาอยู่กับแบคฮยอน...ลู่หานก็มองแค่นั้นแหละ








     

    “โห  อาหารหน้าตาน่าทานจัง”  คยองซูเอ่ยออกมาอย่างร่าเริง  ถึงชานยอลจะทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็ตามที “นายสองคนทำกันเองเหรอ”


     

    เจ้าบ้านทั้งสองพยักหน้าขึ้นลงหงึกหงักราวกับนัดกันมาก่อนแล้ว  ใช่เลย...ก่อนหน้านั้นลู่หานกำชับนักหนาว่าให้พยักหน้าเออออไปหากมีใครถาม  ไม่ลืมด้วยที่จะให้พูดว่า...

     

    “เราสองคนเข้าครัวช่วยกันทำให้เลยนะเนี่ย”

     

    เหรอ? 

     

    แบคฮยอนทิ้งตัวนั่งลงตรงข้างลู่หาน  ตามที่คนแก่ได้บอกก่อนหน้านี้หลังจากเอาแตงโมไปเก็บ  ตรงข้ามของอินทีเรียหนุ่มคือชานยอลร่างเล็กเลยได้นั่งตรงข้ามกับคยองซูเพื่อนใหม่อีกคน 

     

    “ลู่หานดูสนิทกับแบคฮยอนจังเลยนะ”  อยู่ๆคยองซูก็พูดขึ้นมา

     

    “ก็...เอ่อคือ”  ลู่หานกับแบคฮยอนพอกัหน้าแดงหูแดง  อ้ำอึ้งจนน่าเอ็นดู

     

    ระหว่างทานอาหารเสียงสองเสียงที่เถียงกันไปมาตรงหน้าทำใบบรรยากาศดูดีมากยิ่งขึ้น  ดีกับความรู้สึกของคยองซูเพียงคนเดียว...ส่วนชานยอลได้แต่มอง  มองหาช่องว่างระหว่างสองคนนั้น  ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเพื่อนตัวเองก็ชอบแบคฮยอน  เพียงแต่ยังไม่รู้ตัวเท่านั้น

     

    “นี่หมู  กินดีๆดิวะเลอะหมดแล้ว”  ดึงกระดาษมาเช็ดคราบซอสมุมปากของคนมูมมาม

     

    “อร่อยอ่ะคุณ”

     

    “แบคฮยอน  กินนี่ด้วยสิเห็นแขนสั้นกลัวไม่ถึง”  เสียงทุ้มข้างคยองซูดังขึ้นพร้อมประโยคหยอกล้อเรียกคะแนนจนคนถูกกล่าวถึงยู่ปากอย่างลืมตัว  ตักอาหารที่อีกฝ่ายส่งให้เข้าปากตุ้ยๆไม่ได้คิดอะไรมาก  แต่ทุกการกระทำอยู่ในสายตาคยองซูและลู่หาน

     

    “นี่กินอันนี้  จะได้โตไวๆ”  ตักผักใบเขียวใส่ช้อนแกมบังคับว่าต้องทาทน  แบคฮยอนก็พยักหน้าหงึกๆ

     

    สองหนุ่มตักนั่นนี้จนเริ่มพูนจาน  แต่คนตัวเล็กกลับกินไปเรื่อยๆมมีทีท่าว่าจะอิ่มเลยด้วยซ้ำ  คนตัวเล็กใช้ดวงตากลมโตเสมองเพื่อนสองคนสลับกันไปมา  ไอ้สายตาแบบนั้นทำไมเขาจะไม่รู้...อาการของคนที่ชอบน่ะ

     

    ในที่สุดมื้อเที่ยงก็ผ่านพ้นไปจนมาถึงช่วงของของหวาน  และดูเหมือนคนที่กินเกลี้ยงโต๊ะก็คงหนีไม่พ้นหมูเตี้ยแบคฮยอน  เขาพยายามจะควบคุมน้ำหนักอีกคนแต่กลับช่วยขุนให้อ้วนหนักกว่าเดิมอีก  คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเดินไปช่วยอีกคนหันแตงโมของหวานล้างปาก  ทิ้งสองเพื่อนสนิทไว้  บรรยากาศเลยกลับเขาสู่ความเงียบ  กระทั่งเสียงทะเลาะเหน็บแนมกันทำให้ต้องละสายตาอ้างว่างไปทางห้องครัว

     

    “สองคนนั้นน่ารักดีเนอะ  เหมือนเขาจะชอบกัน...”  พูดตรงจุดและจี้ใจดำร่างสูงโปร่งที่นั่งอยู่ตรงโซฟาอีกฝั่งสุดๆ

     

    “คยองซู...”  ชานยอลอยากจะบอกเหลือเกินว่าอย่าประชดอะไรกันเลย  มันกลับทำให้ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนยิ่งแย่ลง

     

    “หึ  นายก็ชอบเขาใช่มั้ยชานยอล  แบคฮยอนน่ะนายชอบเขาใช่มั้ย”  หันมาประชันหน้ากับอีกคนด้วยใจกล้าๆกลัวๆ  กลัวคำตอบ  กลัวคำว่าชอบจะตกไปเป็นของคนอื่น...

     

    “อื้ม...”

     

    “แต่ลู่หานชอบแบคฮยอนนะ  นายคงไม่แย่ง...”

     

    “ไม่เลย...ของแบบนี้แล้วแต่เจ้าตัว  ฉันเองก็แค่อยากจะชอบเขาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ”  ชานยอลพูดออกมาจากใจจริง  ตัวเขาเพิ่งจะรู้สึกว่าชอบใครสักคนพร้อมอยากดูแลอยู่ห่างๆหากตัวเลือกในใจอีกคนจะไม่ใช่เขาก็ตาม

     

     “เฮ้  พวกนายรอแป๊บนึงนะ”  ลู่หานตะโกนขัดขึ้นมาทำลายความเงียบ

     

    เข้าใจแล้ว...ว่าคนเรามันเปลี่ยนแปลงกันได้  จากที่เขาเคยมีเพื่อนสองคนยืนข้างกาย  คอยปลอบคอยช่วยเหลือกัน  คยองซูรู้สึกว่าตัวเองเหมือนกำลังจะเสียเพื่อนไป...ทั้งเพื่อนและคนที่รัก  ตอนนี้อะไรมันก็แย่ไปหมด...

     

    “แบคฮยอนล้างมือก่อน”  ลู่หานเอ่ยปรามคนตัวเล็กที่จะเอื้อมมือมาชิมผลไม้ให้จานสวยที่เขาจัดไว้  “หยิบซ่อมมาด้วยเลยไปๆ”  คยองซูถอดสายตามอง  เวลาเดี๋ยวกับที่ชานยอลลุกเข้าไปช่วยในครัว

     

    “เดี๋ยวช่วยถือนะ”

     

    “ขอบคุณมาก...”  เสียงหวานพร้อมยิ้มหยีจนตาปิดทำให้ลู่หานแทบพุ่งเข้าไปแทรกกลาง








     

    รู้ว่าทุกคนชอบ...แต่เขาไม่อยากให้ชอบ!

     

    ข้างกายเขาตอนนี้...มันไปอยู่กับแบคฮยอนหมดเลย...

     

    และคยองซูก็จะแย่งมันมาให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม...คอยดู

     




     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


    ผมไม่รู้เลยว่ามาทำอะไรตรงนี้
    แต่เพราะมีคุณยืนข้างกัน
    ราวกับมีซุปเปอร์แมน

    ----------------------------------

    คำใบ้...จงรักคุณย่า



    ถ้าชอบก็เม้นและแท๊ก  #ฟิคกลับบ้าน
    พูดคุยกันนอกจากติดแท๊กก็  @peepanggy


     

     
    thank you:)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×