คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : - take me home : chapters - 019 { 100% }
- Superman -
chapters – 019
รถออดี้สีดำคันเงาชะลอความเร็วเมื่อใกล้ถึงบ้านหลังสีขาวแสนอบอุ่น วันนี้งานเสร็จเร็วแล้วนายจ้างก็ไม่มาดูบ้านเพราะติดธุระเลยกะจะชวนคนตัวเล็กไปทานข้าวเย็นนอกบ้านแล้วหาซื้อของมาทำอาหารพรุ่งนี้เลย เมื่อจอดรถสนิทแล้วร่างสูงก็ก้าวฉับๆพร้อมสะพายกระเป๋าอุปกรณ์ควงกุญแจรถเข้ามาภายในบ้าน หากเป็นปกติเขาจะสามารถเปิดเข้าไปได้เลยแต่วันนี้ประตูบ้านกลับล็อคจนเขาต้องไขมันด้วยตัวเอง
ภายในบ้านบรรยากาศเงียบเฉียบ มีเพียงเสียงลมพัดหวิวกระทบแก้วหูอย่างอ้อยอิ่ง สองขายาวหยุดลงตรงห้องรับแขก คิ้วหนาขมวดเข้าหากันแน่นเลิกสูงเชิงสงสัยพลางสอดส่องสายตาหาคนตัวเล็กที่ปกติจะนั่งอยู่ตรงโต๊ะคอมฯใช้เวลากับการพร่ำเพ้อบ้าบอเป็นคนบ้าอยู่คนเดียว หรือไม่ก็วิ่งดุ๊กดิ๊กออกมาหาเขา แต่แปลกที่วันนี้หลับไม่เห็น ยกแขนดูนาฬิกาเรือนสีดำของ Givenchy ก็พบว่ามันบ่ายโมงแล้ว
ไปไหนของเขา?
“แบคฮยอน หลับอยู่เหรอ” เดินขึ้นบ้านพร้อมตะโกนเรียก มือหนาหมุนบิดลูกประตูห้องนอนสีขาวเข้าไปในห้องกลับพบว่ามันว่างเปล่า
ห้องน้ำและระเบียงบ้านชั้นบนหาจนทั่วก็ไม่อยู่ ลงมาตามหาที่ห้องเก็บของ ในตู้เย็น เอ๊ะ! แล้วจะไปหาทำไมวะในนั่น เดินออกมาตามหาแถวหลังบ้านทะเลสาบก็ไม่เจอ
หรือหนีออกจากบ้าน?
จะบ้าเหรอวะก็เนี่ยบ้านเด็กนั่น เออกูงงกับตัวเอง
สรุปหาไม่เจอแม้กระทั่งโพสอิทที่ชอบแปะบอกแบบเด็กๆของคนตัวเล็กก็ว่างเปล่า อีกทั้งแบคฮยอนยังไม่ค่อยชอบออกจากบ้านกลับหายตัวไปอย่างไร้รองรอย ด้วยความใจร้อนเลยกดเบอร์โทรหาอีกคนแล้วพาร่างตัวเองไปหยิบแก้วมาใส่น้ำดื่มด้วยความกระหายจากสภาพอากาศของหน้าร้อน
“อยู่ไหนทำไมไม่รับวะ” ร่างสูงวางแก้วน้ำลงกระแทกเสียงดังเล็กน้อยด้วยใจร้อนรน มือขวายกโทรศัพท์ขึ้นมากดออกโทรซ้ำๆย้ำๆอยู่หลายครั้ง หากแต่เจ้าของบ้านตัวเล็กก็ไม่รับสาย “แม่ง...” สบถออกมาด้วยอารมณ์คุกรุ่น
หรือว่าไปหาไอ้ชานยอล?
เขาจำได้ว่าแบคฮยอนเคยบอกว่าชานยอลคือเพื่อนคนแรกของตัวเอง ไม่มีใครให้ติดต่อเลย พอคิดได้ก็โทรหาเพื่อนสนิทตัวเองทันทีและรอสายไม่นานนักชานยอลก็รับสาย
“ชานยอล แบคฮยอนอยู่กับแกมั้ยวะ” พอทักทายกันตาประสาเพื่อนเสร็จอีกคนก็บอกเปล่า น้ำเสียงอีกฝ่ายดูเป็นห่วงมากจนลู่หานต้องเบ้ปากทำหน้าตีเข้มแม้ไม่มีใครเห็นก็ตาม “เออ ถ้าไม่อยู่ก็แค่นี้แหละ” กดสายทิ้งโดยไม่รอปลายสายล่ำลาหรือถามซอกแซกเป็นห่วงจนเกินพอดี
หวง!
หรืออยู่กับแม่เขารึเปล่า?
ลู่หานง่วนกับการตามหาแบคฮยอนไม่เป็นอันทำอะไร ขณะกำลังจะกดโทรออกหาบุพการีที่เคารพรักอีกคนก็โทรเข้ามาเสียก่อน ยิ่งทำให้เขามั่นใจเกินครึ่งกับข้อสรุปก่อนหน้านี้
“ม๊า แบคฮยอนอยู่กับม๊ารึเปล่าครับ” ลุกลีลุกลนแทบลืมตัว
ลู่หานไม่ได้นึกเลยว่า...
‘เสี่ยวลู่ น้องแบคอยู่ที่บ้านใหญ่นะลูก เห็นบอกจะโทรบอกเองแต่ม๊าว่าตอนนี้น้องแบคคงไม่ว่างแล้วล่ะ’ มารดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกๆจนคนฟังอดห่วงไม่ได้ แสดงหน้าฉงนสงสัย ยิ่งเสียงที่แทรกเข้ามาในสายเสียงดังจนฟังชัดถ้อยชัดคำ ‘...โอ๊ยยย ปวดหัว เด็กนี่มันยังกันฮะ!…ก็คุณย่าให้ผมบอก ผมก็บอกหมดแล้วนี่ครับทำไมต้องตะคอกด้วยอ่ะ...เถียงคำไม่ตกฟาก!...’
หากวันหนึ่งต้องย้ายกลับบ้านตัวเอง...
“คุณย่ามาเหรอครับ”
จะต้องเสียน้ำตากันไปเท่าไร...เพราะตอนนี้
‘ใช่จ๊ะ เย็นนี้อาจจะกินข้าวที่นี่เลยด้วยนะ เสี่ยวลู่ก็…’
“ไปครับ เดี๋ยวลู่จะไปทานด้วยเย็นนี้ ม๊าห้ามคุณย่าทำไรไอ้เด็กแสบนะ” ยังไม่ทันอีกฝ่ายจะชวนร่วมโต๊ะเย็นนี้ ลู่หานก็รีบพูดแทรกขึ้นแล้วขอวางสายก่อนเลย
ตัวเขาเองกำลังปล่อยให้ใจถลำลึกลงไปจนยากจะถอน
ถ้าคุณย่ากับแบคฮยอนเจอละก็...งานงอกเลยงานนี้ มหกรรมบ้านแตกแน่
คุณย่าของลู่หานเป็นชาวปักกิ่ง แม่ของพ่อที่จัดว่าดุแสนดุกว่าแม่เขาจะได้มาเป็นลูกสะใภ้ตระกูลลู่ก็ลากเลือด เสียน้ำตากันเป็นไห แล้วลู่หานเองก็เป็นหลานโปรดเพราะว่าพอเกิดมาหุ้นบริษัทก็พุ่งกระฉูดหลังจากประสบปัญหาคู่แข่งในตลาดสายพานเครื่องจักรโรงงาน กอบกู้จนใหญ่โต แต่นั่นคงไม่ใช่เหตุผลหลักเพราะฝีมืองานบ้านงานเรือนของลู่หานต่างหาก
หลังจากโต้วาทีกันกับแบคฮยอนทุกวันทำให้รู้ว่าอีกคนนั้นปากไวเก่งกาจเรื่องหลอกด่าจนลืมตัวขนาดไหน ถ้าเอาไปใช้กับคุณย่ามีหวัง... กูเพลีย!
แบคฮยอนอยู่ในห้องสไตล์เกาหลีแบบนั่งพื้นและมีโต๊ะเตี้ยๆวางตรงกลางห้องพร้อมเบาะรองนั่งรอบสี่ทิศ แม้ไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศแต่ว่าเขารู้สึกเย็นยะเยือกทุกครั้งที่มีสายตาคมกริบปาดฉึบราวกับมีดบาดจนเกิดแผลบนใบหน้า เขานั่งแบบนี้มาชั่วโมงกว่าแล้วและไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายที่เป็นคุณย่าของลู่หานจะหยุดถามซอกแซกไปมาเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวเขาสักที ทำยังกับว่าเขาจะเป็นลูกสะใภ้ตระกูลงั้นแหละ ก็แค่เจ้าของบ้านที่ให้แหล่งพักพิงหลานชายตัวเองก็แค่นั้น
“พ่อแม่ล่ะทำงานอะไร” เสียงทรงพลังเอ่ยถาม
“เสียไปเมื่อสี่ปีที่แล้วครับ”
“แล้วตอนนี้ทำงานอะไร”
“เป็นนักเขียนออนไลน์ครับ”
“ไส้แห้ง...” หญิงชราแต่ยังแข็งแรงคลี่พัดลายนกกระเรียนออกแล้วพัดคลายร้อนอีกครา เชิดหน้าแล้วเหลือบมองคนตัวเล็กที่ก้มหน้าก้มตาตอบ “มิน่าถึงได้จนขนาด อาลู่ของฉันเลยต้องถูกหลอกไถ่เงินค่ากินค่าอยู่ ค่าน้ำค่าไฟสารพัดสารเพให้เด็กกะโปโลที่ไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่”
แล้วมันก็วนมาอีกครั้งกับคำดุด่าประโยคเดิมๆที่คงไม่พ้นฐานะของเขา จากตอนแรกสะอึกนิดหน่อยจนชินชา หน้าชาก็เริ่มเบาลงฟังหูซ้ายทะลุหูขวา
“...” ร่างบางไปแต่นั่งนิ่งๆให้อีกคนว่า ทั้งๆที่เขายังไม่รู้เหตุผลอะไรด้วยซ้ำ
“เงียบทำไม ผู้ใหญ่พูดก็เงยหน้าสิยะ! ฉันล่ะเป็นห่วงจริงๆไปอยู่ต่างถิ่นจะสูบผอมไปขนาดไหนกันนะต้องทำงานตรากตรำ ฉันอุตส่าห์เลี้ยงเองกับมือ คอยดูนะพ่อมันกลับมาเมื่อไรฉันจะเฉ่งกะบาลให้!” คิดถึงตาลูกชายที่ไล่หลานสุดที่รักไปก็อยากจะตบให้หายแค้น ติดที่ตอนนี้มันไม่อยู่...หน๊อยไอ้ลูกบ้า
“คุณแม่...หนูโทรบอกลู่หานแล้วล่ะค่ะ อีกประเดี๋ยวคงมา” คุณแม่ของลู่หานเดินเข้ามาให้ห้องกว้างด้วยท่าทางแบบผู้ดีและเรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้ว นั่งลงข้างๆกับแบคฮยอนไม่ห่างนัก อีกคนพยักหน้ากระตือรือร้นยิ่งกว่าก่อนหน้านี้อีกที่ทำท่าจะเป็นลมเป็นแล้ง
“ต่อไปนี้เธอต้องคอยดูแลหลานชายฉันให้ดี จนกว่าอาลู่จะกลับบ้านใหญ่เข้าใจมั้ย” หล่อนเอ่ยถามแกมบังคับยากปฏิเสธ
กลับบ้านเหรอ...นั่นสินะ ก็นี่บ้านเขานี่นา
“แต่ว่า...” แบคฮยอนที่รู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะเข้าไปทางตำแหน่งแปลกๆ คนใช้ก็ไม่ปานทั้งที่เขาเป็นเจ้าของบ้านแท้ๆเนี่ยนะ?
“หยุดไม่มีแต่ ต่อไปนี้เธอต้องรู้ว่าลู่หานชอบอะไรกินอะไร เขาต้องทำงานหนักกลับมาบ้านทานอาหารอร่อยๆ เธอก็มีหน้าที่ดูแลตรงจุดนั้น อาลู่เป็นโรคกระเพาะดังนั้นเรื่องทานอาหารตรงต่อเวลาสำคัญที่สุด พูดแล้วก็ตามมา...ไหนลองมาทำอาหารที่เธอบอกอาลู่คุยนักหนาว่าอร่อย”
“ได้ครับ” ก็ไม่รู้ทำไมแบคฮยอนไม่อาจจะปฏิเสธได้...คงทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาทำต่อไป เอาวะ อย่างน้อยเราก็มั่นใจซุปสาหร่ายที่สุด
“เราจะฝึกหันหมูสามชั้นกัน เพราะว่ามันต้องบางได้ที่เวลาย่างจะพอดีแล้วก็กรอบจนไม่เหลือไขมันก้อน กินแล้วกรุบกรับพอดีแบบที่หลานฉันชอบ”
“ไหนคุณย่าบอกให้ผมทำอาหาร?”
“อาหารก็เริ่มจากวัตถุดิบเครื่องปรุงก่อนสิ ต่อไปก็หมักกิมจิด้วยมีอีกหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้ ไป รีบไปที่ครัวกันได้แล้ว” พัดคู่ใจถูกรวบเก็บก่อนลุกเดินด้วยท่าทางมั่นคงและแข็งแรงเกินหญิงชราทั่วไป...
อย่าบอกว่าหลอกให้เขาคิดว่าอ่อนแอแล้วไม่กล้าโต้กลับเหรอ?
“มัวทำอะไรอยู่! เดินตามมาเร็วๆ”
“ครับ...” ได้แต่ขานรับอย่างปลงๆ ต้องพึ่งบารมีหลานเขาอีกเยอะเกิดลู่หานมาแล้วเห็นว่าเขาทำตัวไม่ดีกับย่าตัวเองคงโดนตัดค่าขนมค่ากินอยู่ ยังไงแบคฮยอนก็ขอย้ำว่าปัจจัยสี่สำคัญสุดกว่าศักดิ์ศรี
คุณจะมาแล้วอยู่ข้างผมใช่มั้ย...ผมกลัวย่าคุณจะแย่แล้ว ฮื่อ ช่วยด้วย
40%
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป...
“โอ๊ยตาย! นี่เขาเรียกว่าอาหารเหรอย่ะ ทำไมรสชาติมันถึงดำดิ่งลงเหวขนาดนี้หรือคนเกาหลีเขาจะชอบกินแบบนี้กันฮะ!” เสียงหญิงชราอายุหกสิบเจ็ดที่ยังคงความแข็งแรงและมั่นอกมั่นใจ เอ่ยปากวิจารณ์ฉอดๆเมื่อหล่อนชิมอาหารตรงหน้าแล้วลมแทบจับ แทบจะแร๊พพ่นไฟใส่เด็กผู้ชายตัวเล็กตรงหน้าที่ห่อไหล่ก้มหน้าก้มตาให้ดุด่า
“คุณแม่ค่ะ น้องแบคแกทำไม่ได้แย่ขนาดนั้น หนูว่าปรุงนิดหน่อยก็ทานได้แล้วค่ะ อีกอย่างคุณแม่เองก็...” คุณแม่ของลู่หานรีบเข้ามาเบรกเท่าที่จะทำได้ แต่ก่อนเธอจะหลุดพูดอะไรออกมาก็ถูกคนสูงอายุกว่าขัดไว้!
“โอ๊ยยย เข้าข้างกันเหรอย่ะ?” เหมือนกับคุณย่าจะเปลี่ยนเป้าหมายใหม่แทน นั่นทำให้คุณนายลู่ถึงกับยิ้มแหย “สมัยก่อนเธอก็ฝีมือแย่พอๆกัน ฉันเลยอนุโลมสอนเธอจนเป็น”
“คุณย่าครับ ว่าผมเถอะครับ ความจริงผู้ชายเขาก็ไม่ค่อยถนัดงานบ้านเป็นเรื่องปกตินิครับ...เอ่อ”
“เถียง!!”
นี่หลานสุดที่รักฉันกินน้ำล้างจานพวกนี้มานานเท่าไรแล้วเนี่ย!
“แต่คุณลู่หานเขายังบอกว่าอร่อยขึ้นเยอะเลยนี่นา” ยังพยายามแถจนสีข้างถลอกไปเรื่อย ลองยกเอาหลานสุดที่รักคุณย่าขึ้นมาอ้างวอนขอความเห็นใจ
“เถียง! ไม่รู้ล่ะเธอต้องมาเข้าครัวแล้วฝึกอาทิตย์ละครั้ง!” น้ำเสียงทรงพลังและอำนาจใหญ่ราวกับฮองเฮาก้องอยู่ในหูของร่างเล็กที่หน้าหงอคล้ายลูกหมาเปียกน้ำ “พ่อแม่สอนมายังไงกัน ถึงจะเป็นผู้ชายแต่ก็ต้องสั่งสอนเรื่องทำอาหารบ้างเถอะ มาทำตัวเป็นลูกคุณหนูทั้งที่ไม่มีเงินเลยเนี่ยนะ ไส้แห้ง”
คำพูดดูถูกดูแคลนนั้นแบคฮยอนสามารถอดทนได้ หากแต่ตอนนี้เหมือนบ่อน้ำตามันเอ่อล้นเมื่อพูดถึงคุณพ่อคุณแม่ที่ท่านเสียไปแล้ว
“ฮึก ทำไมคุณย่าถึงเอาแต่ว่าผมนักละครับ ทำไมต้องว่าถึงพ่อแม่ผมด้วย ฮืออออ ผมอุตส่าห์ให้คุณย่าดุด่าผมยังไงก็ได้แล้วแท้ๆ ฮือออ ทำไมต้องไปว่าคุณพ่อคุณแม่ผม ฮึก ใจร้ายที่สุด ฮืออออ” มือเรียวสวยยกขึ้นมาปาดน้ำตา “ถ้าผมว่าคุณลู่หานบ้างคุณย่าจะโกรธมั้ยล่ะครับ
“เอ่อ...”
“คุณแม่ เห็นมั้ยค่ะน้องแบคร้องไห้แล้ว” คุณนายใหญ่ของตระกูลลู่ถึงกับทำอะไรไม่ถูก ยืนเก้กังจนเผลอแสดงท่าทางเงอะงะออกมา
ฉันพูดแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?
ผ่านไปสิบนาที ทั้งคุณย่าและแบคฮยอนกำลังยืนจ้องวัตถุดิบเครื่องปรุงอยู่ในห้องครัวที่จะจัดเตรียมเป็นมื้อเย็นของวันนี้เพื่อต้อนรับลู่หานหลานสุดที่รัก ลูกมือแบคฮยอนใบหน้าหวานดวงตาบอบช้ำและนัยน์ตาฉ่ำหยาดน้ำ ปากเบ้และเสียงสะอึกยังคงเบาหวิวให้ได้ยิน ต้นเหตุของงานได้แต่ยืนส่งกระดาษทิชชู่ให้เป็นพัก
“นี่ เลิกร้องไห้ได้แล้วย่ะ” คนแก่เผยสีหน้ารู้สึกผิดทำให้ร่างเล็กสูดซืดน้ำมูกครั้งสุดท้าย “แล้วนี่จะเริ่มทำอะไรก่อนดี ลู่หานชอบไก่วุ้นเส้นผัดซอสใช่มั้ยโอเคเราจะทำอันนี้กัน” คุณย่าตกลงพูดเองเออเองเสร็จสรรพ ก่อนจะยืนจ้องตากันอีกครั้ง...
“คุณย่า...จะไม่ทำเหรอครับ” แบคฮยอนเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะคุณย่าน่าจะเก่งกว่าเขาเสียอีก
“แน่นอน แต่ฉันเป็นคนสอนเธอดังนั้นเธอก็ต้องเป็นคนทำไงล่ะ ติดตรงไหนก็ค่อยถาม”
คนตัวเล็กก้มหน้าชิดอกลอกหัวหอมไปเรื่อย
“ช้าจริงกะอีแค่ลอกหัวหอม เสร็จแล้วก็ล้างผักด้วยนะ”
“ครับ...คุณย่าคงทำอาหารเก่งหน้าดู เหมือนกับคุณลู่หานเลย” เสียงหวานเอ่ยถามหวังให้สนิทกันมากขึ้น
“แน่นอนย่ะ ฉันเนี่ยเพียบพร้อมที่สุดในบรรดาคุณนายลู่แล้ว หลานฉันก็ด้วย” พูดไปก็คลี่พัดขึ้นมาพัดอีก
“เหรอครับ ว้าวสุดยอดเลย ผมอยากทำอาหารเก่งๆบ้างจัง” คนตัวเล็กพูดจากใจจริง พร้อมยิ้มละมุน เขาก็อยากทำอาหารให้ลู่หานทานหลากหลายเมนูแล้วก็อร่อยลงตัว เขาจะต้องชอบแน่ๆถ้าแบคฮยอนเป็นอย่างนั้น
ลู่หานน่ะชอบบ่นว่าเขาทำอะไรซ้ำๆ ตัวเองมาทำเองสิ
“นิเธอ...” คุณย่าหยุดพัดทันที่ที่ได้ยินว่าคนตัวเล็กอยากจะทำอาหาร ดวงตาภายใต้กรอบแว่นจดจ้องเจ้าของบ้านที่หลานไปอาศัยกำลังง่วนกับการหั่นผักล้างผักเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงเรียก “ถ้าอยากเรียนทำอาหารก็มาที่บ้านสิ ฉันจะสอนเองจะได้ไม่ต้องไปหาที่เรียน”
“เอ๋?”
“ยังมาทำหน้าเอ๋ออีก! บอกให้มาก็ต้องมาเข้าใจมั้ย ทำต่อได้แล้ว” แสร้งเอ็ดไปอย่างนั้น ทั้งที่ในใจก็โลดแล่นเมื่อจะได้เพื่อนเล่นบ่อยๆ
ตัวเขากลับมาจากเที่ยวคนเดียวแล้วเพิ่งรู้สึกได้ว่าการอยู่ในบ้านแคบๆมันอึดอัดจนเบื่อ แต่สภาพตอนนี้ก็ไม่แข็งแรงที่จะไปไหนไกลๆแล้ว ถ้าได้เจ้าเด็กนี่มาคุยเล่นเป็นเพื่อนแก้เหงาก็คงดี...ส่วนเรื่องทำอาหาร...เขาก็พูดไปงั้นๆ ความจริงตัวเองก็ทำไม่เป็นเหมือนกัน
“คุณย่าครับ วุ้นเส้นนี่ต้องใช้เท่าไรครับสำหรับทานสี่คน” แบคฮยอนกำลังแกะห่อวุ้นเส้นเพื่อนำมาแช่ทิ้งไว้เอ่ยถาม
“เอ่อ...แหม แค่นี้ก็กะเอาสิยะ ประมาณเนี่ย” คว้าหมับที่วุ้นเส้นจับมาหยิบกำมือ กะเอามั่วๆไร้แกน
“มันไม่น้อยไปเหรอครับ เรากินกันสี่คน”
“อู้ยยย เดี๋ยวใส่ไก่ใส่ผักลงไปก็เยอะแล้ว”
แบคฮยอนได้แต่ทำหน้างงๆแต่มันก็ทำให้เขากับคุณย่าสนิทกันมากขึ้นตลอดระยะเวลาการทำอาหาร และแล้วไก่ผัดซอสใส่วุ้นเส้นหน้าตาหน้าทานก็สำเร็จเสร็จสิ้นอย่างทุลักทุเลโดยที่แบคฮยอนทำเองหมดทุกอย่าง
“ลองชิมดูมั้ยครับ?” มือเรียวสวยส่งตะเกียบให้ผู้สูงอายุทานก่อนเป็นมารยาท หากแต่คุณย่ากลับทำหน้าบ่ายเบี่ยงให้คนตัวเล็กชิมก่อน
“เป็นไง อร่อยใช่มั้ย” แบคฮยอนตักวุ้นเส้นในชามใหญ่แล้วเคี้ยวตุ้ยๆจนแก้มพองเหมือนกระรอก ขมวดคิ้วเรียวงามเล็กน้อยก่อนเอียงคอคล้ายหาสาเหตุ “ทำไม รสชาติมันแย่เหรอ”
“ครับ มันเหนียวแล้วเส้นก็เละ น่าจะใส่น้ำมากเกินไปตอนผัด” ทั้งคู่เลยนั่งหน้าจ๋อยอยู่ในห้องครัว จนกระทั่งเจ้าหมาน้อยแบคฮยอนหูดีได้ยินเสียงใครคนหนึ่งกำลังสวัสดีแม่ตัวเอง “คุณลู่หานครับ”
“ฮะ! หลานฉันมาแล้วเหรอ”
“แบคฮยอน!” เสียงตะโกนเรียกหาเจ้าตัวเล็กจอมวุ่นก้องบ้าน พร้อมร่างอุ้ยอ้ายพุ่งเข้ามายังร่างสูงแสนคิดถึง
ผมไม่รู้เลยว่ามาทำอะไรตรงนี้
“คุณ...คิดถึง!” วิ่งมาราวกับเป็นบ้านของตัวเอง โผลเข้าใส่อ้อมกอดของอีกคนไม่เกรงกลัวสายตาใครหรือคุณย่าจะตะโกนว่าวิ่งในบ้าน
แต่เพราะมีคุณยืนข้างกัน
“ว่าไงเด็กแสบ มาทำอะไรที่นี่ฮะรู้มั้ยตามหาทั้งวัน”
ราวกับมีซุปเปอร์แมน เพื่อไว้ปกป้องผมโดยเฉพาะ
ในที่สุดมื้อเย็นกับครอบครัวตระกูลใหญ่อย่างลู่ก็จบลง แบคฮยอนนั่งนิ่งเงียบมาตลอดทางกลับบ้าน วันทั้งวันคนตัวเล็กได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวของร่างสูง มันทำให้เขารู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด ได้สัมผัสคำว่าครอบครัวอีกครั้งตั้งแต่รู้จักลู่หานมา ถึงแม้จะมีปากเสียงกันบ้างกับหลานสุดที่รักของคุณย่า แล้วก็โดนคุณย่าดุด่าแต่ท่านก็ใจดีแล้วก็อบอุ่นมากพอๆกับคุณแม่ของลู่หาน
“ยิ้มอะไรวะ” เสียงแหบห้าวเอ่ยถามหลังสังเกตเห็นตั้งแต่ออกมาจากบ้านเขาแล้ว ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนคนอารมณ์ดี ต่างจากครั้งแรกที่เจอสภาพงี้โทรมเพราะโดนคุณย่าดุเอา
“หื้อ ผมแค่คิดว่าวันนี้มีความสุขที่สุดเลย” ยิ้มตาหยีส่งให้อีกคนแล้วร้องฮู่วเลอะไรแบบเด็กๆ
“ฮะๆ นั้นสิฉันก็มีความสุขเหมือนกัน ไม่ได้เจอคุณย่านานมาก”
“อื้อ! คุณย่าท่านใจดีแล้วก็น่ารัก แข็งแรงมากๆด้วยล่ะ” ระบายยิ้มออกเปรอะบนใบหน้าหวาน ดวงตาทอประกายแม้ยังคงรอยช้ำไว้ก็ตาม
“โดนดุแล้วงอแงนะเราน่ะ”
“ก็ผมงงนิคุณ อยู่ๆก็มีคนโทรเข้ามาแล้วก็ให้ผมไปหาแล้วว่าฉอดๆ ใครๆก็งงทั้งนั้นแหละ แต่ผมรู้แล้วว่าคุณทำอาหารเก่งเหมือนใคร” ขยับตัวแล้วนั่งขัดสมาธิหันมาทางสารถีหนุ่ม อีกคนก็ขับรถแล้วอืออออย่างตั้งใจฟัง
“...”
“คุณย่าใช่มั้ยล้า”
ฮะ? คุณอย่าเนี่ยนะ
คนตัวโตได้แต่เลิกคิ้วสงสัย คนที่สอนเขาคือแม่ต่างหาก...คุณย่าน่ะทำอาหารไม่เป็นนี่หว่า...
“ดีจังน้า พรุ่งนี้เราก็มีอาหารสำหรับต้อนรับแขกแล้ว เย้ดีใจจังเลย”
“นั่นดิ ไม่งั้นก็กว่าจะกลับถึงบ้าน” เอออออย่างเห็นด้วยก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขาเตรียมตัวจะมาดุอีกคน “จริงสิ ต่อไปนี้ออกไปไหนหรือด่วนขนาดไหนนายต้องโทรหาฉันเข้าใจมั้ยแบคฮยอน ฉันก็ห่วงแทบแย่นึกว่านายหายไปไหน”
“ง่ะ คุณ...เป็นห่วงผมอ๋อ?” แบคฮยอนหันขวับแล้วทำสายตาซาบซึ้งใส่อีกคนทันที
“เออสิ เดี๋ยวไปแย่งของกินคนอื่นเขา ยิ่งกินไม่เลือกหน้า” กระตุกยิ้มมุมปากหยักก่อนเอื้อมไปลูบหัวทุยๆแล้วหยิกแก้มกลมกลิ้งแสนนุ่มนิ่มน่าหมั่นเขี้ยว
“ชิ...” จิ๊ปาก คนตัวเล็กเอี้ยวหัวหลบแล้วปัดมือหนาออก อีกคนได้แกล้งได้แซวหัวเราะในลำคอหึๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองซื้อของมาฝากคนตัวเล็กด้วยเต็มถุงใหญ่ วันนี้เขาขับผ่านร้านประจำของคยองซูพอดีเห็นว่าอร่อยนักหนาเลยซื้อมาให้แบคฮยอน แต่ถึงอย่างนั้นสายตาแบคฮยอนเหลือบไปปะทะพอดี “อะไรอ่ะ...ถุงอะไรเหรอ”
“ขนม...”
“จริงอ่อ...ไหนว่าอ้วนแล้วซื้อชีสเค้กมาให้เนี่ยนะ”
“กินเหอะน้า อ้วนแล้วก็...อุ่นดี”
แปร๊ดดดด
“อุ่นอะไร ไอ้บ้า!”
“หยาบคายเหรอ”
แล้ววันที่วุ่นวายของแฟมิลี่ก็ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งวัน คนตัวเล็กเพียงหวังว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันดีๆอีกหนึ่งวันที่แสนคุ้มค่า
“ขอบคุณน้า...”
80%
ผมเคยคิดว่าตัวเองคงอยู่บนโลกใบนี้ด้วยความเงียบเหงา หลังจากที่ความสุขของผมหายไป
“วันนี้คุยอะไรกับย่าบ้างล่ะ” ละสายตาจากถนนแล้วหันหน้ามาถามอีกคนที่นั่งหม่ำชีสเค้กเป็นระลอก
“คุยอ๋อ ก็บอกว่าให้ดูแลคุณให้ดี ต้องไปเรียนทำอาหารกับคุณย่าอาทิตย์ละครั้งจะได้ทำอาหารอร่อยๆต้อนรับคุณกลับบ้านหลังจากทำงานเหนื่อยๆทุกวัน ทำตัวดีๆอย่าเถียงคุณ” คนที่ถูกอบรมมาอย่างดีพูดจ่อจนไม่ทันได้มองเห็นใบหน้าแดงระเรื่อของร่างสูง เพราะความไม่ใส่ใจของแบคฮยอนมันถือเป็นโชคดีของเขารึเปล่า ความจริงเขาก็คิดเรื่องนี้มาสักพักว่าทุกวันที่ทำอยู่มันเหมือน... “คุณว่ามันแปลกๆป่ะ ผมว่ามันเหมือนผู้หญิงเลยอะที่คุณย่าบอก”
ไม่ประสีประสาหรือแกล้งอะไรยังไงกันแน่!
“อะ...เอ่อ ก็งี้แหละย่าคงบอกให้นายดูแลคนดูแลนายดีๆ”
“อ๋อเหรอ...แต่มันคุ้นๆเนอะว่ามั้ย?” เขาทำหน้าฉงนสงสัยแต่ก็เท่านั้นเพราะ “เฮ้ คุณวันหลังซื้อซอสราดมาอีกชุดดิคุณ มันไม่พอดีกับเครปเค้กเลยง่ะ”
ให้ตายเหอะ...เขาไม่ควรคิดมากเลยเวลาอยู่กับไอ้เด็กอ้วนเนี่ย
ความจริงแล้วที่ลู่หานชวนชานยอลมาเพราะรู้ว่าคนตัวเล็กพยายามหาโอกาสจะไปเลี้ยงข้าวตอบแทนอะไรสักอย่างที่สองคนนั้นสัญญากันไว้ เลยรีบชิ่งชวนตัดหน้าไปก่อน เอาวะอย่างน้อยก็อยู่ในสายตา แต่!ถ้ารู้ว่ามันจะมาสารภาพว่าชอบแบคฮยอนหลังจากนั้นเขาจะไม่คิดชวนมันมาเลย แค่คิดว่ามันจะเต๊าะไอ้เด็กหมูฉุฉึกๆหัวกลมๆที่กำลังวิ่งไถไม้ถูพื้นบ้านอย่างขะมักเขม้นนี่ก็แทบบ้า หงุดหงิด
ลู่หานงิด!
“เฮ้ย ถึงขนาดแต่งตัวปะแป้งซะหอมฟุ้งไว้รอต้อนรับมันเลยเหรอวะ” เอ่ยปากแสร้งว่าแซวแท้จริงละอยากจับเปลี่ยนเสื้อผ้าซะให้หมด หมั่นไส้
ตอนนี้แบคฮยอนอยู่ในชุดเสื้อยืดลายกราฟฟิคดีไซน์เก๋ๆตัวนั้นที่ลู่หานเคยซื้อให้กับกางเกงยีนส์สีซีดตัวหลวมเข่าขาดพับข้อขึ้นมาเกือบคืบ ผมที่หวีจนเรียบแปร๋ก่อนหน้านี้ถูกเจ้าตัวสะบัดหัวไปมาตอนทำงานบ้านแล้วฟูฟ่องพองนิดๆ...ทุกอย่างในสายตาของเขาดูแล้วมันแตกต่าง!จากทุกวันเลยนะ
น่ารักเกินไปแล้ว...ทีกับเขาแต่งเสื้อเก่าๆเหมือนอาจุมม่าไม่มีผิด
ดูเหมือนร่างบางจะอารมณ์ดี ฮัมเพลงฮึมฮัม...เหอะ! ทีทำงานบ้านละบ่นจังวันนี้กลับไม่บ่นคืออะไร?
“อะแฮ่ม!” อินทีเรียหนุ่มกอดอกยืนเต๊ะท่าขว้างทางถูบ้านของคนตัวเล็กจนต้องชะงักแล้วเงยหน้ายืนเต็มความสูงน้อยๆของตัวเองก่อนเอ่ยถามอย่างสงสัย
“อะไรคุณ หลบไปสิเดี๋ยวก็ไปทำอาหารไม่ทันอ่ะ” ชักสีหน้าขัดใจเล็กน้อยที่อีกคนทำลีลา ไม่คิดจะช่วยกันอีก
“อ๋อเหรอ อาหารอุ่นเอาก็เสร็จแล้วแป๊บเดียวจะไปเตรียมอะไร อีกอย่างเรานัดเขาเที่ยง”
“ใช่”
“แล้วนี่มันเพิ่งจะเจ็ดโมงจะกระตือรือร้นอะไรนักหนาวะ” คนแก่ถึงกับฉุนกึกแบบไม่มีเหตุผล ที่มาที่ไป
“เฮ้อ ผมทำเพื่อคุณอยู่นะเจ้านาย คิดดูสิเพื่อนมาบ้านเราก็ต้องเพอร์เฟ็คเงาปรืดวับแวบอะไรก็ว่าไป จะได้ไม่ขายหน้าไง” อธิบายเหตุผลที่เขาตื่นขึ้นมาทำงานบ้านขยันขันแข็งขนาดนี้
“อ๋อ....เหรอครับคุณแบคฮยอน คุณเมด” ปากหาเรื่องเอ่ยแซวจนอีกคนเบะปากเรียวสวยใส่ สะบัดก้นงอนสะโพกผายหายเข้าไปในห้องซักผ้าแล้วออกมาพร้อมตะกร้า
“เมดอะไร ไปแล้ว!ซักผ้าไว้เชอะ” พูดเสร็ตก็เดินออกไปนอกระเบียงมีราวตากผ้า
เด็กหนอเด็ก
เวลาเกือบเที่ยงใกล้เวลานัดแล้ว ทั้งคู่วางอาหารที่ตระเตรียมจานสุดท้ายลงบนโต๊ะ ก่อนที่แบคฮยอนจะเปิดหน้าต่างบานยาวของบ้านหลังสีขาวให้กว้างออกไปรับลมทะเลสาบกับแสงแดดอ่อนๆ ระหว่างจัดโต๊ะจัดเก้าอี้เสียงเครื่องยนต์ก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบและหูดีๆของแบคฮยอนก็พึ่ง
“คุณเขามากันแล้วอ่ะ ตื่นเต้นจัง” คนตัวเล็กถูมือไปมาแก้เคอะเขิน พอเอาเข้าจริงๆเจอเพื่อนเยอะแยะไปหมดมันทำให้รู้สึกเกร็งแปลกๆ อีกอย่างเพื่อนมาหาที่บ้านเป็นทางการครั้งแรกด้วย
อินทีเรียหนุ่มได้แต่ขบขันเบาๆเมื่ออีกคนกำลังหัดทำหน้าตาต้อนรับแขกไม่พอยังหันมาถามอีกว่าหน้าแบบนี้ดีมั้ย
เสียงกดออดหน้าบ้านดังขึ้นสองสามครั้งก่อนที่คนตัวเล็กจะวิ่งดุ๊กดิ๊กไปเปิด อดหมั่นไส้ไม่ได้แม้เขาจะทำเพื่อลู่หานเองก็เถอะ
ยังกับแม่บ้านเลย...
“อ้าว...คยองซูสวัสดี” ทักทายแบบเป็นกันเองตามที่คนดวงตากลมโตแสนน่ารักบอกก่อนหน้านี้ เชิญเข้ามาในบ้านหลังที่เคยมาครั้งก่อนแต่ครั้งนี้เป็นตอนสว่างทำให้เห็นว่าสวยแค่ไหน คยองซูพยักหน้าน้อยๆทักทายกลับ “ทำตัวตามสบายเลยนะ” เสียงสดใสบอก
เมื่อสองเพื่อนสนิทเจอกันก็ทักทายกันตามปกติ มีกอดแล้วก็หอมแก้ม หื้ม! หอมแก้ม
แบคฮยอนยืนจ้องแบบอึ้งๆ ดวงตาเรียวรีเบิกกว้างอีกครั้งเมื่อลู่หานก็หอมกลับ!
ออมอ...อะไรกัน เพื่อนกันหอมแก้มเหรอ?
“อ่า สงสัยชานยอลจะมาแล้วล่ะ คุณพาคยองซูไปเดินดูบ้านก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมไปเปิดประตูเอง” แบคฮยอนสรุปเออเองเสร็จสรรพไม่รอฟังคำตอบ ในใจก็สับสนจนตีกันวุ่น พอเห็นภาพแบบนั้นมันก็จี๊ดเจ็บแปล๊บ รู้ตัวอีกทีก็วิ่งหนีมาหน้าประตูแล้ว
แอ๊ดดด
“เซอไพรส์!” เสียงทุ้มแสนขี้เล่นดังเป็นจังหวะเดียวกับอะไรบางอย่างถูกยื่นส่งมาตรงหน้า ลูกแตงโมกลมดิ๊กราคาแสนแพงที่คิดว่าคงไม่มีโอกาสจะได้ลิ้มรสกำลังอยู่ตรงหน้า ดวงตาเบิกกว้างและระยิบระยับ
“แตงโม!”
“ไง ว่าแล้วเชียวว่าต้องชอบ ของฝากน่ะไว้กินกันหลังทานข้าว” ร่างสูงโปร่งในชุดสูทเรียบร้อยและดูดีกำลังฉีกยิ้มกว้าง ใบหน้าไร้กรอบแว่นเช่นเวลาทำงานทำให้เห็นดวงตากลมโตสวยทอประกายวิบวับ
ชานยอลรู้สึกรักรอยยิ้มของคนตัวเล็กมากๆ
“เข้ามาก่อนเลยๆ คนอื่นๆมากันแล้วละ” สวมสลิปเปอร์แบกแตงโมเข้ามาในตัวบ้าน พอกวาดตามองไปรอบๆก็ไม่พบอีกสองคน ชานยอลเห็นแบคฮยอนมองซ้ายมองขวาเหมือนหาอะไรสักอย่างจึงเอ่ยถาม
“ลู่หานยังไม่ตื่นเหรอ?”
“ตื่นแล้วล่ะ กำลังพา...” ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากบอก
“คยองซู...” ชานยอลถึงกับชะงักและหุบรอยยิ้มหันควัน
“ไง...ชานยอล ไม่เจอกันนานเลยนะ...คิดถึงจัง”
ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คยองซูวิ่งไปเกาะแขนชานยอลแน่นดั่งเช่นเคยทำตลอด หากแต่ความรู้สึกนั้นกลับด้านลบ...คนตัวเล็กผิวขาวเห็นสายตาของชานยอล...เขาเห็นว่ามันเป็นแบบไหนเวลายิ้มให้แบคฮยอน...สายตาที่เขาอยากได้มากที่สุด
“เฮ้ มาแล้วเหรอ งั้นทานข้าวกันเลยเหอะหิวละ” ขัดจังหวะการอยู่ใกล้กันเกนร้อยเมตรของชานยอลกับคุณเจ้าของบ้าน โดยไม่ทันสังเกตความผิดปกติของเพื่อนทั้งสอง...
เวลาอยู่กับแบคฮยอน...ลู่หานก็มองแค่นั้นแหละ
“โห อาหารหน้าตาน่าทานจัง” คยองซูเอ่ยออกมาอย่างร่าเริง ถึงชานยอลจะทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็ตามที “นายสองคนทำกันเองเหรอ”
เจ้าบ้านทั้งสองพยักหน้าขึ้นลงหงึกหงักราวกับนัดกันมาก่อนแล้ว ใช่เลย...ก่อนหน้านั้นลู่หานกำชับนักหนาว่าให้พยักหน้าเออออไปหากมีใครถาม ไม่ลืมด้วยที่จะให้พูดว่า...
“เราสองคนเข้าครัวช่วยกันทำให้เลยนะเนี่ย”
เหรอ?
แบคฮยอนทิ้งตัวนั่งลงตรงข้างลู่หาน ตามที่คนแก่ได้บอกก่อนหน้านี้หลังจากเอาแตงโมไปเก็บ ตรงข้ามของอินทีเรียหนุ่มคือชานยอลร่างเล็กเลยได้นั่งตรงข้ามกับคยองซูเพื่อนใหม่อีกคน
“ลู่หานดูสนิทกับแบคฮยอนจังเลยนะ” อยู่ๆคยองซูก็พูดขึ้นมา
“ก็...เอ่อคือ” ลู่หานกับแบคฮยอนพอกัหน้าแดงหูแดง อ้ำอึ้งจนน่าเอ็นดู
ระหว่างทานอาหารเสียงสองเสียงที่เถียงกันไปมาตรงหน้าทำใบบรรยากาศดูดีมากยิ่งขึ้น ดีกับความรู้สึกของคยองซูเพียงคนเดียว...ส่วนชานยอลได้แต่มอง มองหาช่องว่างระหว่างสองคนนั้น ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเพื่อนตัวเองก็ชอบแบคฮยอน เพียงแต่ยังไม่รู้ตัวเท่านั้น
“นี่หมู กินดีๆดิวะเลอะหมดแล้ว” ดึงกระดาษมาเช็ดคราบซอสมุมปากของคนมูมมาม
“อร่อยอ่ะคุณ”
“แบคฮยอน กินนี่ด้วยสิเห็นแขนสั้นกลัวไม่ถึง” เสียงทุ้มข้างคยองซูดังขึ้นพร้อมประโยคหยอกล้อเรียกคะแนนจนคนถูกกล่าวถึงยู่ปากอย่างลืมตัว ตักอาหารที่อีกฝ่ายส่งให้เข้าปากตุ้ยๆไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ทุกการกระทำอยู่ในสายตาคยองซูและลู่หาน
“นี่กินอันนี้ จะได้โตไวๆ” ตักผักใบเขียวใส่ช้อนแกมบังคับว่าต้องทาทน แบคฮยอนก็พยักหน้าหงึกๆ
สองหนุ่มตักนั่นนี้จนเริ่มพูนจาน แต่คนตัวเล็กกลับกินไปเรื่อยๆมมีทีท่าว่าจะอิ่มเลยด้วยซ้ำ คนตัวเล็กใช้ดวงตากลมโตเสมองเพื่อนสองคนสลับกันไปมา ไอ้สายตาแบบนั้นทำไมเขาจะไม่รู้...อาการของคนที่ชอบน่ะ
ในที่สุดมื้อเที่ยงก็ผ่านพ้นไปจนมาถึงช่วงของของหวาน และดูเหมือนคนที่กินเกลี้ยงโต๊ะก็คงหนีไม่พ้นหมูเตี้ยแบคฮยอน เขาพยายามจะควบคุมน้ำหนักอีกคนแต่กลับช่วยขุนให้อ้วนหนักกว่าเดิมอีก คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเดินไปช่วยอีกคนหันแตงโมของหวานล้างปาก ทิ้งสองเพื่อนสนิทไว้ บรรยากาศเลยกลับเขาสู่ความเงียบ กระทั่งเสียงทะเลาะเหน็บแนมกันทำให้ต้องละสายตาอ้างว่างไปทางห้องครัว
“สองคนนั้นน่ารักดีเนอะ เหมือนเขาจะชอบกัน...” พูดตรงจุดและจี้ใจดำร่างสูงโปร่งที่นั่งอยู่ตรงโซฟาอีกฝั่งสุดๆ
“คยองซู...” ชานยอลอยากจะบอกเหลือเกินว่าอย่าประชดอะไรกันเลย มันกลับทำให้ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนยิ่งแย่ลง
“หึ นายก็ชอบเขาใช่มั้ยชานยอล แบคฮยอนน่ะนายชอบเขาใช่มั้ย” หันมาประชันหน้ากับอีกคนด้วยใจกล้าๆกลัวๆ กลัวคำตอบ กลัวคำว่าชอบจะตกไปเป็นของคนอื่น...
“อื้ม...”
“แต่ลู่หานชอบแบคฮยอนนะ นายคงไม่แย่ง...”
“ไม่เลย...ของแบบนี้แล้วแต่เจ้าตัว ฉันเองก็แค่อยากจะชอบเขาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ” ชานยอลพูดออกมาจากใจจริง ตัวเขาเพิ่งจะรู้สึกว่าชอบใครสักคนพร้อมอยากดูแลอยู่ห่างๆหากตัวเลือกในใจอีกคนจะไม่ใช่เขาก็ตาม
“เฮ้ พวกนายรอแป๊บนึงนะ” ลู่หานตะโกนขัดขึ้นมาทำลายความเงียบ
เข้าใจแล้ว...ว่าคนเรามันเปลี่ยนแปลงกันได้ จากที่เขาเคยมีเพื่อนสองคนยืนข้างกาย คอยปลอบคอยช่วยเหลือกัน คยองซูรู้สึกว่าตัวเองเหมือนกำลังจะเสียเพื่อนไป...ทั้งเพื่อนและคนที่รัก ตอนนี้อะไรมันก็แย่ไปหมด...
“แบคฮยอนล้างมือก่อน” ลู่หานเอ่ยปรามคนตัวเล็กที่จะเอื้อมมือมาชิมผลไม้ให้จานสวยที่เขาจัดไว้ “หยิบซ่อมมาด้วยเลยไปๆ” คยองซูถอดสายตามอง เวลาเดี๋ยวกับที่ชานยอลลุกเข้าไปช่วยในครัว
“เดี๋ยวช่วยถือนะ”
“ขอบคุณมาก...” เสียงหวานพร้อมยิ้มหยีจนตาปิดทำให้ลู่หานแทบพุ่งเข้าไปแทรกกลาง
รู้ว่าทุกคนชอบ...แต่เขาไม่อยากให้ชอบ!
ข้างกายเขาตอนนี้...มันไปอยู่กับแบคฮยอนหมดเลย...
และคยองซูก็จะแย่งมันมาให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม...คอยดู
ผมไม่รู้เลยว่ามาทำอะไรตรงนี้
แต่เพราะมีคุณยืนข้างกัน
ราวกับมีซุปเปอร์แมน
----------------------------------
คำใบ้...จงรักคุณย่า
ถ้าชอบก็เม้นและแท๊ก #ฟิคกลับบ้าน
พูดคุยกันนอกจากติดแท๊กก็ @peepanggy
ความคิดเห็น