คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #28 : - take me home : chapters - 024 { 100% }
- Really -
chapters – 024
Seoul International Design
แบคฮยอนยืนจังก้าอยู่หน้าสถาบันแห่งหนึ่งในกรุงโซลที่สอนเน้นไปทางออกแบบโดยเฉพาะไม่ต้องไปนั่งเรียนวิชาบังคับเช่นภาษาเกาหลี สังคมบลาๆแบบมหาลัยแต่ไม่มีวุฒิปริญญาตรีเท่านั้นเอง เขารู้เพราะว่าพ่อเขาเองก็สอนที่นี่จะคุ้นเคยทิศทางแค่ส่วนของออกแบบอินทีเรียเท่านั้น อีกส่วนเป็นออกแบบดีไซน์เสื้อผ้าเครื่องประดับพวกแคทวอร์คแต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่แบคฮยอนต้องการ...เขาต้องการเจอใครสักคน...
โอ๊ะ!
นั่นมันพ่อของชานยอลนิ เขาจำได้...บางทีอะไรๆก็เล่นตลก
คนตัวเล็กเดินย่องสามขุมตามหลังชายร่างสูงเข้าไปในตัวตึกสถาปนิกออกแบบทรงทันสมัย แบคฮยอนชะงักตีนแมวพร้อมหาที่กำบังเมื่ออีกคนเดินแว้บเข้าไปในห้องพักครูซึ้งมีประตูเลื่อนปิดกั้นไว้อีกชั้น หลังจากพ้นเข้าไปสักพักแบคฮยอนก็หันสายหันขวาดูลาดเลาค่อยๆแง้มประตูออกพอให้มีช่องไว้ส่องสถานการณ์ด้านใน
“ไง” เสียงทุ้มสุขุมเอ่ยทักทายชายคนหนึ่งในห้องพักครูที่กำลังนั่งดูแบบสเก็ตของนักเรียนอยู่บนโต๊ะ เขาถอดเสื้อสูทสีเข้มออกวางพาดกับพนักเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามก่อนทิ้งตัวลงตามด้วยท่าทางสบายราวกับว่าสนิทกันระดับหนึ่ง คุณพ่อลู่หานหยิบแบบขึ้นมาดู
“อ้าว มาถึงแล้วเหรอครับ” ใครสักคนที่แบคฮยอนเดาเอาว่าน่าจะเป็นอาจารย์ของลู่หาน
“วันนี้ก็รบกวนด้วยนะครับ เป็นลูกค้ารายใหญ่อยู่เขามาปรึกษาว่าลูกชายจะทำผับแล้วอยากได้โมเดลๆหน่อย ผับยุโรปเดี๋ยวนี้ด้วยๆถ้าเปิดใหนเกาหลีน่าจะได้รับความสนใจมาก”
“โอเคเลยครับ เดี๋ยวผมจะติดต่อเขาเป็นสื่อกลางให้...แต่คุณลู่จะไม่บอกลู่หานจริงๆเหรอครับว่าอยู่เบื้องหลังคอยสนับสนุนเขาห่างๆ”
“เฮ้อ นี่แหละที่ฉันมาที่นี่ บางทีนายอาจจะรู้จักลูกชายฉันดีกว่าตัวฉันเองเป็นพ่อของเขาแท้ๆ คุยกันทีไรเป็นทะเลาะกันตลอด” น้ำเสียงดูอ่อนลงเมื่อพูดถึงลูกชายคนเล็กของตระกูล
“ไม่หรอกครับ มันมีวิธีการพูดเยอะแยะให้คนฟังรู้สึกดีบางทีเราไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดบังคับแต่ประนีประนอมกัน ฟังแล้วให้รู้สึกแบบเราเข้าใจเขาจากนั้นค่อยๆสอดแทรกความคิดเห็นแล้วถามเขาว่าดีมั้ย? เพราะความคิดของคนเราไม่เหมือนกันความชอบความอะไรมันก็ไม่ตรงกันจะให้มาเข้ากันหมดคงเป็นไปไม่ได้” อาจารย์หนุ่มละวางมือจากกองงานแล้วหันหน้าคุยกันอย่างจริงจังถึงปัญหาครอบครัวของอีกคน เขาเคยรับฟังตอนให้คำปรึกษาก่อนว่าจะจบแล้วไปทำงานที่ไหนจากลูกชายคนเล็กตระกูลลู่อยู่พักหนึ่ง ตอนนั้นเลยรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร พอมาเห็นคนพ่อเลยเข้าใจเข้าไปอีกว่ามันจูนไม่ตรงกันแน่ๆ
“ที่นายจะพูดคือ?”
“เราควรพูดคุยกันถึงปัญหาของครอบครัวตอนนี้ ยิ่งคนใกล้ตัวตัวเองอย่างลูก อย่าปล่อยให้สะสมจนเรื้อรังเพราะว่าหลังจากนั้นมันจะเข้าหน้ากันไม่ติดครับ ผมต้องขอโทษอย่างมากที่แสดงความคิดเห็นแบบนี้ครับ”
“ไม่เป็นไรๆ มันเป็นแบบนั้นจริงๆนั้นแหละ...เพราะฉันบ้านเลยร้อนไม่น่าอยู่เลยสักนิด พูดอะไรนิดหน่อยหรือรับฟังอะไรแย่ๆก็มาระบายลงกับเขา ดึงความคิดตัวเองที่หนึ่งของบ้านพอไม่ถูกใจก็ดุด่า...ฉันอยากแสดงออกเป็นบ้าง”
“...”
“ให้เขาได้รู้ว่าฉันก็รักเขาไม่น้อยไปกว่าเจ้าคริสเลย”
แบคฮยอนกลับบ้านมาด้วยสภาพอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเขาไม่คิดเลยว่าการหลงในกรุงโซลจะแย่และลำบากมากถึงขนาดนี้ หลังจากรับรู้เรื่องราวความจริงจากคุณพ่อของลู่หานแล้วเขาอยากคุยกับคนแก่หัวรั้นเรื่องนี้ดูเผื่อพวกเขาพ่อลูกจะเข้าใจกันมากขึ้น ทว่าพอกลับมาถึงบ้านแล้วเงียบเชียบก่อนจะนึกได้ว่า อ๋อวันนี้เขาไปทำงานกลับค่ำนี้นา
“เฮ้อ....” ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า เขาไม่ชินกับการออกนอกบ้านจริงๆสินะ ถ้าไม่มีลู่หาน...
บ้านมันก็เงียบเหมือนเมื่อก่อนนี่เอง...แต่ไม่ชินเลยแฮะ บ่อยครั้งที่คิดว่าถ้าไม่มีคงไม่เป็นไรแต่พอเอาเข้าจริงกลับเหงา...
วันนี้ดูเหมือนเขาไร้สาระไปซะส่วนใหญ่กับการหลงทางในเมือง หมดแรงจะนั่งพิมพ์นิยายหรือคิดเมนูของอาหารกลางวันสำหรับคนเดียว เขาเลือกจะนอนเหยียดแข้งเหยียดขากับโซฟาแล้วเหม่อมองฝุ่นละอองในอากาศอย่างไร้จุดมุ่งหมาย เฝ้ารอผู้อาศัยในนามกลับบ้านแต่สำหรับเรื่องหัวใจลู่หานได้เป็นเจ้าของบ้านอย่างเต็มตัว
เสียงเพลงเบาๆจากแผ่นเพลงของอินทีเรียหนุ่มที่เขายกออกมาจากรถให้บางส่วนเพราะแบคฮยอนบอกว่าชอบมันกำลังบรรเลงไปเรื่อยๆ ไม่มีเนื้อร้องแต่สัมผัสทางอารมณ์และความรู้สึกเอา
ครืด ครืด
เสียงโทรศัพท์แผดเสียงสั่นครืดอยู่บนโต๊ะกระจกเตี้ย คนตัวเล็กเอี้ยวตัวไปหยิบขึ้นมากดด้วยความเคยชินเลยไม่ทันอ่านชื่อคนโทรเข้า ในใจก็คิดว่าลู่หานคงโทรมาเตือนเรื่องมื้อเย็นเช่นทุกครั้งเพราะกลัวว่าทำงานเพลินลืมทำข้าวเย็น
คิดแล้วโมโห เห็นเขาเป็นหม้อหุงข้าวรึไง
“ไงคุณ เลิกงานแล้วเหรอ”
‘หื้อ? นี่ชานยอลเองนะ’
อ้าวเวร...
“ชานยอล ขอโทษทีๆพอดีเรานึกว่าลู่หานอ่า”
‘อ๋อ...ไม่เป็นไร’ ปลายสายน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย แต่ชานยอลก็ยังหัวเราะเบาๆ
“ง่า...แล้วชานยอลอยู่ไหนเหรอ เมื่อวานขอโทษน้าออกมาไม่เจอชานยอลแล้วอ่ะ” พูดถึงเรื่องเมื่อวานแบคฮยอนพาลนึกถึงเรื่องของอีกคนเสียได้ “จริงสิ ชานยอลเรามีอะไรอยากถามเกี่ยวกับลู่หานกับพ่อของเขา”
‘หื้อ ทำไมเหรอ?’
“คือวันนี้เราไปรู้เรื่องบางอย่างมาอ่ะ...แบบว่า”
‘เดี๋ยวนะฉันใกล้ถึงบ้านนายแล้วไว้คุยกัน ว่าแต่อยากรู้ไปทำไมล่ะ’
“เอ๋ ชานยอลจะหามาเหรอ ทำไมไม่บอกล่วงหน้าเนี่ยเกือบอดเจอกันแล้วเชียว”
‘อ้าวเห็นลู่หานไปทำงานนึกว่านายจะอยู่บ้าน ออกไปข้างนอกมาเหรอ’
“อื้อใช่เลย...ชานยอลเป็นเพื่อนเราใช่มั้ย? เพื่อนสนิทอะไรแบบนี้”
‘นะ...แน่นอนสิ ใช่เพื่อนกัน’
“งั้นเราจะเล่าให้ฟัง...”
ชานยอลใช้เวลาในการขับรถมาถึงตัวบ้านหลังสีขาวติดแถบทะเลสาบไม่นานนัก เขาจอดหน้าบ้านพอดิบพอดีพร้อมก้าวลงจากรถรวดเร็ว ร่างสูงโปร่งก้าวขายาวสง่าเข้ามาภายในบ้านแสนอบอุ่น แบคฮยอนกำลังนอนเอกเขนกทอดกายยาวพาดขาบนพนักกับเสียงเพลงดังลั่น ดวงตาหลับพริ้มไม่ได้รับรู้การว่าของเขาเลยสักนิด แตงโมลูกใหญ่เหมาะสำหรับหน้าร้อนเป็นของฝากอย่างดีเยี่ยมถูกวางลงบนโต๊ะอาหารให้โซนของห้องครัว ชานยอลทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นพรม...นั่งมองหน้าคนตัวเล็กที่นับจากวันแรกตอนเจอกันยังแก้มตอบอยู่เลย ตอนนี้กับกลมยุ้ยหน้าหยิกแล้ว
อยากกอดปลายจมูกหอมแก้มเปล่งปลั่งนั่นดูสักครั้งแต่เขาตระหนักเสมอว่าไม่ใช่ที่ของเขา...แค่อยากดูแลคนตรงหน้าสักครั้งหนึ่งในชีวิต
“แบคฮยอน...ฉัน” ราวกับถูกต้องมนต์ให้เอื้อมมือไปปัดผมที่ปรกลงบดบังขนตางอน...
“ไอ้ชานยอล...มึงทำอะไรวะ” น้ำเสียงเย็นวาบดังขึ้นจากทางด้านหลัง ชานยอลหันไปดูพบกับร่างของเพื่อนสนิทกำลังทำหน้าบึ้งตึงก้าวขามาหาเขาฉับๆ “กูถามว่ามึงจะทำอะไร?”
“เปล่า” ชานยอลยันตัวขึ้นประชันหน้ากับเพื่อนปฏิเสธเสียงสูงพร้อมไหวไหล่ “แล้วนี่มาได้ไง ไม่ทำงานเหรอวะ”
“ทำแต่พอดีพักกลางวันเลยจะชวนไปทานข้าว”
“อ่าฮะ นายกับแบคฮยอนสนิทกันดีนะแบคที่คยองซูบอก” ชานยอลยิ้มกว้าง แม้ในตาจะหม่นหมอง
“อื้อ คยองซูกับแกมีอะไรรึเปล่า รู้อะไรงั้นสิ”
“ฉันว่าจะคุยกับแกเรื่องนี้ พอดีจะมาชวนแบคฮยอนไปทานข้าวเหมือนกัน”
“อ๋อ...งั้นไปทานด้วยกันมั้ยล่ะ” ลู่หานหมาหวงก้างถามหยั่งเชิง ซึ้งชานยอลก็ได้แต่หัวเราะในลำคอกับกระทำของเพื่อนที่เพิ่งเคยคบเจอตลอดระยะเวลายี่สิบปี
“ฮะๆ ก็เอาสิ” แกล้งตอบตกลงไปงั้น ความจริงเขาคิดอยู่แล้วว่าว่าไม่เหมาะที่จะเป็นก้าง “เออจริงด้วย นายระวังหน่อยก็ดีนะตอนอยู่กับแบคฮยอนต่อหน้าแม่ของแก”
“อื้อ ขอบใจมากที่บอก แกคงรู้เรื่องคยองซูใช่มั้ย”
“ก็ไม่มากเท่าไร...เขารู้ว่าฉันชอบแบคฮยอน”
“แล้ว?”
“คยองซูชอบฉัน บางทีอะไรอาจจะแย่แล้วถ้าถึงตอนนั้นฉันจะช่วยแกเอง...เราไม่รู้ความคิดใครหรอก”
นั่นคือเรื่องที่ลู่หานถึงกับงง...
“ว่าไงนะ เดี๋ยวๆคยองซูชอบแก?”
“อ่าฮะ”
ลู่หานทรุดลงกับโซฟาเมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวทุกอย่างเข้าด้วยกันได้ใจความว่าคยองซูไม่ชอบแบคฮยอนจึงเป็นสาเหตุทำให้เพื่อนตาโตทำลายความฝันคนรักของเขา ซึ่งเขากำลังจะถูกเพื่อนตัวเองแฉความสัมพันธ์อย่างนั้นใช่มั้ย
“คยองซูแต่ไหนแต่ไรก็เอาแต่ใจตัวเองมาโดยตลอด ทำอะไรไม่เคยคิดสักแต่จะต้องได้มา ตอนนี้มันเลยตาลปัตรกันไปหมด...เมื่อวานไปทานข้าวเหมือนเขาจะพูดอะไรเพราะเขารู้ว่าแกสองคนเป็นมากก่าลูกบ้านกับเจ้าบ้าน แม่แกรับไม่ได้แน่เรื่องนี้”
“เขาไม่น่าทำอย่างนั้น...” ใช่เขาไม่คิดว่าคยองซูจะทำอะไร
“อื้อฉันก็คิดแบบนั้น ช่างเถอะเดี๋ยวจะกลับแล้วแหละพอดีแวะเอาแตงมาให้เฉยๆเห็นแกไม่วางเลยกลัวแบคฮยอนเขาเหงา” ประโยคสุดท้ายถึงกับทำอินทีเรียหนุ่มชะงักกึก เจ้าแห่งอารมณ์ดีตั้งใจแหยไม่คิดว่าอีกคนจะตอกกลับ
“ต่อไปไม่ต้องกลัวเหงาแล้ว ฉันจะเอาไปทำงานด้วยทุกวันเลย” ขมวดคิ้วเป็นปม ลู่หานพอรู้ว่าเพื่อนขี้เล่นแต่ถ้ากับเรื่องคนตัวเล็กไม่มีเล่นแน่ๆ
“ฮ่าๆ เสี่ยวลู่หานนี่เปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไรกัน ฉันไปแล้วอย่าลืมระวังเรื่องที่บอกล่ะ...”
พูดจบคนที่ทำเพียงเอาของฝากมาให้ ยังไม่ทันสนทนากับแบคฮยอนก็ต้องรีบกลับออกไป...เพราะเขากำลังเจ็บ
ใช่ ชานยอลกำลังเจ็บและรู้สึกแย่ที่อิจฉาเพื่อนรักตัวเอง ซึ่งเขาจะไม่ทำร้ายหรือทำลายจิตใจสองคนนี้ด้วยคำว่ารักของเขา
อ่า...ฉันแย่จริงๆ....ปาร์คชานยอลคนขี้อิจฉา
เสียงช้อนกระทบถ้วยใส่ข้าวสแตนเลสดังแกร๊งเป็นระยะสลับกันตามโต๊ะต่างๆในช่วงบ่ายแก่ๆของวันหนึ่ง แบคฮยอนถูกปลุกให้ลุกขึ้นมาด้วยสภาพผมยุ่งเหยิงกระเจิงไม่เป็นทรงด้วยฝาเท้าหนาเพื่อมาทานข้าวกลางวัน ไม่รู้ทำไมต้องหงุดหงิดใส่เขาด้วยก็ไม่รู้ แค่แอบหลับนิดเดียวเองพอถามถึงชานยอลว่าเขามาถึงรึยัง คำตอบคือไม่ต้องไปรอแล้วกินข้าว! สุดท้ายทั้งคู่เลยหยุดอยู่ในร้านไก่ทอดคุณแม่ที่ลู่หานเอ่ยปากชมว่าแซ่บมาก คำว่าแซ่บมากคือมันอร่อยมาก มากจริงๆ
ร้านอาหารที่เกาหลีจะเห็นเฉพาะๆไป อย่างร้านนี้ขายไก่ทอดเป็นหลักเขาจะเน้นรสชาติไก่ทอดหลากหลาย มีเครื่องเคียงเป็นสลัดกับของทานเล่นอย่างเฟรนฟรายที่เขาถูกร่างสูงแยกเขี้ยวใส่ตอนสั่งเพราะกลัวอ้วน
ทั้งคู่สั่งไก่ทอดน้ำผึ้งกับไก่ทอดพริกเกาหลีอย่างละแปดชิ้นเสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆสองชาม มีของทานเล่นเป็นเฟรนฟรายกับสลัดผักชุดใหญ่สุด พออาหารถูกทยอยมาเสิร์ฟแบคฮยอนก็เริ่มสวาปามอย่างมัวเมา
เขาใช้สมองเยอะเดินไป ต้องกินเพิ่มพลัง!
“ค่อยๆกิน เดี๋ยวติดคอตายกลางร้านฉันอายเขาแย่” ลู่หานทักพร้อมเริ่มลงมือทานของตัวเองบ้าง ทั้งวันเขาต้องใช้พลังงานกับการเดินดูงานไปไม่ได้พักเลยสักนิด “แบคฮยอนวันหลังอย่าสั่งอีกนะไอ้เฟรนฟรายเนี่ย” เขาเอ็ดเมื่อเห็นอีกคนหยิบมันฝรั่งทอดมาจิ้มซอสมะเขือเทศ
คนตัวเล็กได้แต่พยักหน้าหงึกๆ ทำตามรึเปล่านี่อีกเรื่อง
“จริงด้วย ตกลงคุณเจอชานยอลป่ะ ผมเห็นมีแตงโมวางบนโต๊ะทำไมมาแล้วไม่บอก”
“เจอ” ตอบสั้นๆเพราะอยากหยุดเรื่องสนทนา ทว่าแบคฮยอนกลับยิ่งถามมากขึ้นด้วยใบหน้ากวนโอ๊ยสุดๆ
“ทำไมไม่บอกผมล่ะว่าเจอฮะ แล้วนี่ทำไมไม่ชวนเขามาทานข้าวด้วยกันอ่ะ”
“ถ้าเลิกสงสัยจะให้สั่งเฟรนฟรายไม่ห้ามแล้ว” เท่านั้นแหละ...โต๊ะมุมในของร้านก็กลับมาเงียบสงบ
แบคฮยอนทานข้าวไปเรื่อยๆจนรู้สึกอิ่มถึงนึกเรื่องที่อยากคุยกับลู่หานออกมาได้ เขาคิดว่าลองคุยดูก่อนดีมั้ย คนตัวเล็กคิดอยู่เสมอว่าคนเราไม่ควรโกรธกันหรือทะเลาะกันไปนานๆ ควรทำดีพูดดีแล้วเก็บเกี่ยวความสุขในช่วงมีชีวิตร่วมกันไว้...ถ้าหากว่าวันหนึ่งไม่มีเขาให้เราคุยเราอาจจะเสียใจที่มานั่งทะเลาะกัน
“คุณ...ลู่หาน...”
“ฮะ อะไรจะขอสั่งเพิ่มเหรอ” เบิกดวงตาสวยขึ้นพร้อมเอื้อมไปหยิบเมนูจะส่งให้
ลู่หานก็เงี่ย ปากบ่นว่าแบคฮยอนอ้วนแล้วกลมแล้ว เอ่ยขัดตลอดการกินแต่ก็สั่งให้ตลอดอะ
“นี่เห็นผมกินจุขนาดนั้นเลยเหรอไก่สิบชิ้นมันอิ่มลงพุงแล้วเนี่ย ไม่ช่วยผมกินเฟรนฟรายเลยชิ สลัดอีก!”
“อ้าว ก็เห็นกินเยอะนิหว่ากลัวไม่อิ่ม กว่าจะมือเย็นเดี๋ยวเป็นลมพอดี”
“งื้อ...เอ่อมีเรื่องอยากบอก...แค่กๆๆ”
คุณเจ้าของบ้านน้ำแทบพุ่งยังไม่ทันได้เล่าอะไร พลันสายตาเหลือบเห็นชายร่างสูงใบหน้าหล่อเหลาได้รูปทองคำผลักประตูเข้ามาในร้านบรรยากาศเรียบๆกับหนุ่มหน้าสวยใบหน้าแต้มยิ้ม ทั้งคู่จับมือกันเดินเข้ามาในชุดเสื้อผ้าทำงาน แบคฮยอนแทบน้ำลายฟูมปาก
คุณพระ...สงสัยวันนี้จะไม่ได้เล่า
และแน่นอนว่าร้านมันไม่ได้กว้างขนาดมองกันไม่เห็นแบบในหนัง ลู่หานหันไปตามสายตาของคนตัวเล็กแล้วปะทะเข้ากับดวงตาคมกริบแบบมังกรดุดันและน่าเกรงขามเข้าจังๆ อี้ชิงเองก็ตกใจไม่น้อยที่มาเจอน้องชายของแฟน เป็นอันรู้ว่าคงไม่ได้ทานข้าวเงียบๆอีกแล้วสิ
“ไงน้องรัก...หึดูสบายดีนิ”
ประโยคทักทายแสนจืดชืด เย็นชาและกดดันถูกยิงใส่หน้าทันทีแบบไม่ทันตั้งตัว แบคฮยอนรีบคว้าหมับมือหนาแสนหยาบกร้านไว้ บรรยากาศร้านเริ่มมาคุแต่ยังไม่เป็นจุดสนใจนัก
“คริส...อี้ขอเถอะ ไปกินร้านอื่นกันนะ” อี้ชิงแฟนหนุ่มหน้าหวานสะกิดแขนคนรักพร้อมกระซิบเบาๆให้ได้ยินกันสองคน เขาไม่อยากเห็นพี่น้องทะเลาะกันเลยนะ...แถมกลัวตัวเองพลั้งปากออกไป
“หึ พี่เองก็สบายดีนิ...แล้วเพื่อนร่วมงานกับผู้บริหารมากินข้าวด้วยกันดูเหมือนมากกว่าเพื่อนเลยเนอะ” ลู่หานยินเต็มความสูงโต้กลับแบบไม่ยอมกันจนอี้ชิงรู้สึกหน้าชาว้าบ
“คุณ! ทำไมพูดจาแบบนั้นล่ะ” แบคฮยอนรู้สึกไม่ดีด้วยเช่นกัน คำพูดเมื่อกี้กับสายตาแบบนั้นมันไม่เหมาะสมเลยสักนิด “ขอโทษด้วยนะครับ” คนตัวเล็กโค้งศีรษะกล่าวขอโทษขอโพยพี่ชายคนรักกับอีกคนที่เขาไม่คุ้นหน้า ฉุดดึงแขนร่างสูงให้ออกไปรอข้างนอก เขาจะคิดเงินก่อน...
ให้ตายสิ กำลังจะคุยอีกเรื่องกลับต้องมาเจอคนพี่
“ไปไหนครับ...แหมนายก็ใช่ย่อยนะน้องรักออกไปไหนมาไหนกันตลอดเชียว เดทเหรอ?”
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม” ให้ตายสิ ลู่หานเกลียดนักไอ้หน้าคนเป็นพี่
“พอเถอะคุณ...ไปรอข้างนอกนะผมคิดเงินก่อนนะ” แบคฮยอนอยากจะบ้าตาย
“ก็ไม่ทำไม ปกติก็ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังอยู่แล้วนิ”
“จะพูดอะไร...” อินทีเรียหนุ่มกดเสียงต่ำลง ดวงตากลมจ้องเขม็งพี่ชายบังเกิดเกล้าแบบไม่หลบสายตา
“หึ...”
“พอเถอะคริส!”
“จะพอได้ยังไงล่ะ ทำอะไรเอาไว้ก็รู้ตัวดีอยู่แล้ว...” คริสยิ้มเย้ย ใบหน้าคมปรับมานิ่งพร้อมประโยคที่คนฟังคุมอารมณ์ไม่อยู่ “ไอ้ลูกนอกคอก”
ผัวะ!
“เฮ้ย!!” คนตัวเล็กร้องเสียงหลงเมื่อคนข้างกายสลัดมือเขาออกแล้วตรงไปปล่อยหมัดใส่คนเป็นพี่ชายจนหน้าหัน
“คริส!!” อี้ชิงเองก็รีบประคองคนรักทันควัน เขาตกใจมากจริงๆ
“ใช่ซี่ ไอ้ลูกพ่อแม่รักไอ้ลูกพ่อแม่หลง เขาไม่รู้ไงว่าความจริงแล้วมันเน่าเฟะแค่ไหน!”
“ฮึก...พอเถอะนะลู่หานพี่ขอร้อง” คนที่พยุงคริสอยู่เอ่ยน้ำเสียงสั่น ปกติเขาค่อนข้างอ่อนไหวง่ายอยู่แล้วยิ่งเรื่องของครอบครัวแฟนตัวเองยิ่งต่อมน้ำตาแตก
“ทำไมมึงทำห่าอะไรเขาก็เข้าข้างมึงกันหมด ไปรุมสนใจมึงแล้วทิ้งกูเป็นหัวหลักหัวตอของบ้านโดนเป่าหูเข้าก็มาด่ากูหาว่ากูทำตัวนอกคอก เออใช่! เขารักมึงนิเขาคิดว่าตัวเองมีลูกคนเดียวลำเอียงกันชิบหาย มึงไม่เคยเห็นกูเป็นน้องเลยด้วย!” แบคฮยอนอ้าปากค้างกับเหตุการณ์ตรงหน้า มันตาลปัตรไปหมดทั้งคำพูดฟังได้ศัพท์ไม่ได้ศัพท์สมองมันตื้อไปหมด
“พอสักที!! คริสเขาไม่เคยไม่รักนายเลยนะลู่หานไม่เคยเลยสักนิด เขาทำไปทั้งหมดก็เพื่อนายนะ!” ดวงตาสวยแดงก่ำจ้องใบหน้าเขียวปั๊ดของลู่หานขมึง
“อี้ชิง...อย่าพูด” คริสหันมาห้ามแฟนตัวเองก่อนกระชับมือเรียวสวยหวังเดินออกจากร้าน เพราะอี้ชิงเริ่มพูดอะไรที่ไม่ควรออกมาแล้ว
“คุณ...กลับบ้านกันนะ” เสียงหวานเอ่ยสั่นๆ เขาหันไปทางเคาเตอร์จ่ายค่าอาหารพร้อมกล่าวขอโทษเจ้าของร้านและลูกค้าโต๊ะอื่นก่อนกระชับมือใหญ่ให้เดินตามมา พลันสายตาสะดุดกับเครื่องมือสื่อสารเครื่องหรูรุ่นใหม่ล่าสุดนอนแอ้งแม้งตรงจุดที่พี่ชายลู่หานยืนพอดี...
“เจ็บมั้ยคริส...ไหนให้อี้ดูหน่อยสิ นิ!อย่าหันหน้าหนีนะ” อี้ชิงตีแขนแกร่งอีกหนึ่งที ค่อยๆประคองใบหน้าคนรักให้หันมาหา “ดูสิ...ช้ำหมดหล่อเลย หมัดน้องคริสหนักจริงๆพรุ่งนี้มีประชุมด้วย”
“คริสไม่อยากให้อี้เห็นตอนไม่หล่อ”
“ยังมาตลกอีก น้องชายต่อยเลยนะแถมขึ้นมึงกูอีกอี้จะเป็นบ้า” ร่างบางยู่ปากแบบขัดใจ มือสวยน่าทะนุถนอมบรรจงแต้มยาแดงยาเหลืองจากร้านขายยาก่อนผละออกจากอีกคน
“อื้อ...” วันนี้คริสเพิ่งเคยเห็นโหมดรุนแรงของน้องชายที่ปกติชอบทำหน้าเนือยใส่แล้วปากก็บอกครับๆไปเรื่อย “น้องโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ...”
“โธ่เอ่ยคนบ้า! สมควรให้ลู่หานต่อยอีกสักหมัดนะจะได้เลิกทำตัวงี่เง่าสักที”
คนตัวเล็กแว้ดใส่คนรักด้วยความหมั่นไส้อยากจะหยิกให้เนื้อเขียวเลยเชียว คนบ้าอะไรไม่รู้กับความคิดตื้นๆ ทำเรื่องให้ยากจนพันกันยุงไม่หมด อีกหน่อยแค่หน้าน้องชายตัวเองก็คงไม่ต้องเห็นกันแล้ว...พี่กับน้องมองดีๆนิสัยเหมือนกันจริงๆ
อี้ชิงละลายตาจากใบหน้าและแผลเขียวช้ำมาสนใจโทรศัพท์มือถือที่มีข้อความเด้งโชว์อยู่หน้าจอ
‘สวัสดีครับ ผมแบคฮยอนคนเมื่อครู่สะดวกคุยกันมั้ยครับ’
แบคฮยอนกดส่งข้อความจากเครื่องฝาพับของตัวเองแล้วปิดลงเมื่อลู่หานเดินทอดน่องมาหาเขาพร้อมเบียร์สองกระป๋อง คนตัวเล็กไม่เข้าใจเลยว่าไอ้น้ำขมๆสีแปล่งๆกับกลิ่นเหม็นๆมันอร่อยตรงไหนทำไมใครๆก็ดื่มเป็นว่าเล่น
“มองไรวะ อยากลองอ๋อ” ลู่หานเหมือนตาลุงขี้เหล้าถามกวนประสาท
“ใครจะอยากกินอะไรขมๆกัน” พูดจบก็คว้าแก้วน้ำแดงเฮลบลูบอยใส่มะนาวสุดอร่อยของอินทีเรียหนุ่มมาดื่มประชันอึกใหญ่
“ตามสบายเด็กน้อย...จริงสิตอนทานข้าวจะบอกอะไรฉันเหรอ”
“อ๋อไม่มีอะไรหรอก” แบคฮยอนยิ้มจางๆ เขากำลังคิดถ้าบอกไปมันอาจจะแย่กว่าเดิมคือตอนนี้ลู่หานรู้สึกว่าข้างกายมันเคว้ง “จริงสิ พรุ่งนี้คุณว่ามั้ยสักบ่ายโมงครึ่ง”
“ว่างนะไม่ได้ทำอะไร”
การให้เขารับรู้ได้ด้วยตัวเองมันคงเป็นวิธีดีที่สุด
บ่ายโมงครึ่งตรงตามเวลานัด ชายร่างสูงสวมเสื้อเชิ้ตพับแขนลวกๆดูเท่แปลกตาไปอีกแบบ ผมสีดำถูกแทนที่สีเก่ากำลังยื่นไล่สายตาหาคุณแฟนอ้วนกลม ไม่นานนักก็เจอเป้าหมาย แบคฮยอนหันมาส่งยิ้มกว้างก่อนลากแขนให้อีกคนเดินตามโดยเร็ว
“มาเร็วจังเลยยย” เกาะแขนพร้อมหัวกลมทุยถูส่ายไปมาอย่างออดอ้อน
“นัดใครก็ต้องตรงเวลาสิ แล้วนี่ลากมามุมนี้ทำไมวะ”
70%
คนตัวเล็กจัดแจงส่งหูฟังกับหยิบทีศัพท์ลู่หานออกจากกระเป๋าเสื้อทำงานอย่างถือวิสาสะแล้วบอกไว้แค่ว่าห้ามลุกออกจากโต๊ะเด็ดขาดไม่ว่าเรื่องมันจะเป็นยังไง ร่างสูงขมวดคิ้วฉงนหนักกว่าเดิมเขาพยายามเอ่ยถามแล้วแต่กลับได้รับคำตอบเพียงแค่ว่า ‘เดี๋ยวก็รู้...’
เข็มนาฬิกาเดินต๊อกแต๊กตามไม่มีตกหล่น ไม่นานบ่ายสองโมงตรงนิดๆเสียงประตูร้านยามบ่ายแก่ก็ถูกผลักเข้ามาพร้อมใครคนนั้นที่แบคฮยอนนัดเอาไว้ คนตัวเล็กไม่ได้หันไปตามเสียงเพียงแค่นั่งแล้วรอคนตรงหน้าเดินมาหลังจากนัดแนะว่าแบคฮยอนจะนั่งชิดโต๊ะแรก นั่งหวังให้อีกคนอย่าหลุดจนแผนเสีย
ครืด
เก้าอี้ไม้ขัดสีสวยถูกลากออก คนตรงหน้าทิ้งตัวลงไม่เอ่ยทักทายใดๆจนแบคฮยอนเริ่มกังวล จากก้มหน้างุดก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นจนพบกับ กับ...
“นายนี่เองที่นัดแฟนฉันออกมาใช่มั้ย ไอ้หนุ่มหน้าอ่อนเด็กน้องชายฉัน” คำพูดไม่น่าฟังทะลักออกมาประโยคยาวไม่เว้น
“เอ่อ...คือ” ยังคงตกอยู่ในภวังค์
“มีอะไรก็รีบพูดมา ผมไม่มีเวลามาคุยกับใครก็ไม่รู้หรอกนะ” ร่างสูงพูดเย็นชาและเรียบนิ่ง เขานั่งกอดอกมองท่าทางเหมือนหนูติดจั่นด้วยความรำคาญ “เอ้า ถ้าไม่มีก็หยุดไร้สาระสักที ไปล่ะ”
“เดี๋ยวครับ!” แบคฮยอนรีบคว้ามือเอาไว้ทัน ภาพนั้นทำเอาลู่หานแทบพุ่งปรี๊ด
ไอ้หมู! กล้าดียังไงจับมือคนอื่น
“อะไรเนี่ย”
“ผมแค่อยากถาม ว่าวันนั้น...วันนั้นที่พี่อีกคนพูดว่าทำเพื่อคุณลู่หานจริงรึเปล่าครับ” และอาจเพราะคำพูดแบคฮยอนมันดูตรงๆซื่อๆเกินไป ลู่หานหยุดชะงักส่วนคริสเลือกสะบัดมืออกกระชับสูทราคาแพงตัวเองพร้อมยกยิ้มอย่างเย้ยหยัน
“หึ ที่นัดอี้ชิงออกมาเพราะเรื่องนี้ใช่มั้ย นายอยากจะรู้ไปทำไมมิทราบเรื่องตัวเองรึก็เปล่า...หรือน้องชายฉันใช้ให้มาถามล่ะ”
คำถามของแบคฮยอนทำเอาร่างสูงสง่าแทบหลุดขำก๊ากออกมากขันกลางความตึงเครียด ใบหน้าหวานๆหงอเหมือนหมาหงอยสมกับลู่หานน้องชายเขาดี คริสเลือกพูดแทงใจดำออกไปเพื่อฆ่าเวลารอ รอ...
“คริส! ทำไมพูดแบบนั้น” อี้ชิงเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วเห็นแฟนตัวสูงทำตัวข่มเด็กน่าโมโหจริงๆ ดีนะคนไม่เยอะไม่อย่างนั้นคงได้อายแทบแทรกแผ่นดินหนี “ขอโทษนะครับ น้องแบคฮยอนใช่มั้ย?”
“ครับ...คือ”
“พี่อี้ชิงนะครับ ที่เราส่งข้อความมาหา” ร่างบางยกมือขึ้นหวังเช็คแฮนด์แบบปกติ แบคฮยอนยื่นไปจับแบบสร้างไมตรี “ยินดีที่ได้รู้จักนะน้องแบคฮยอน เราน่าจะสนิทกันไว้นะพี่ว่า...คริส! แนะนำตัวสิ” เสียงหวานแห้วใส่
“เออๆ หวัดดี”
“ดีมาก...นั่งกันก่อนสิ สั่งอาหารแล้วค่อยๆคุยกัน” ชายหนุ่มลักยิ้มบุ๋มเอ่ยก่อนหันไปหาแฟนหนุ่ม “พี่คริสไม่ต้องห่วง อี้ไม่พูดเรื่องนั้นหรอก”
“งั้นพี่ไปดูสายพานให้ป๊าก่อนนะ เดี๋ยวเสร็จแล้วโทรมาจะให้
“รู้แล้วน้า ขับรถดีๆนะคริส” ใบหน้าสวยที่ดูรู้ว่าเรียบร้อยหันขวับมาทางแบคฮยอนก่อนฉีกยิ้มหวานแล้วหันมาถามว่าทานอะไรดีพลางเปิดเมนูไปด้วย “เอ๋ ร้านนี้มีอะไรแนะนำมั้ยเอ่ย พี่ไม่เคยทานเลยอ่ะ”
“ครับ? อ่าจริงด้วยงั้นสั่งเมนูแนะนำกัน”
ทั้งคู่แนะนำตัวกันอีกครั้งอย่างเป็นทางการ คนตัวเล็กลดอาการเกร็งออกไปหมดเมื่อละลายพฤติกรรมของอี้ชิงสร้างความกันเองบวกกับรอยยิ้มแสนจริงใจนั่นทำให้อบอุ่นแบบบอกไม่ถูก
“ไว้พี่อยากลองอ่านบ้างจังเลย ถ้าเรื่องนี้แต่งจบแล้วต้องให้พี่อ่านคนแรกนะ”
“ได้เลยครับ เอ่อ...คือ” ท่าทางยึกยักทำให้อี้ชิงรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงอยากรู้เรื่องเต็มแก่ ติดที่คำพูดของลูกชายคนโตแห่งตระกูลลู่ก็เท่านั้น
“ถามมาได้เลยแบคฮยอน ไม่ต้องสนใจคำพูดคริสหรอก”
“จะดีเหรอครับ พี่อี้คงโดนว่า...”
“ดีมากของมากของมากเลยล่ะ เก็บอะไรเอาไว้คนเดียวแล้วมันอึดอัดแปลกๆถ้าได้น้องชายน่ารักแบบแบคฮยอนมาแบ่งไปฟังด้วยอีกคนคงดี”
“น้องชาย?”
“ใช่เลย...แบคฮยอนเป็นน้องชายพี่แล้วนะจากนี้ ก้าวเช้ามาให้เรื่องครอบครัวแล้วไม่ใช่คนนอก...แถมเป็นแฟนลู่หานอีกคนนอกที่ไหนกัน” พูดแซวจนแก้มสุกแดงปลั่งขึ้นสีข้างแก้มของคนตัวเล็ก
“พี่อี้ชิงก็...” อีกคนรึจะปฏิเสธเดียวคนฟังอยู่ก็น้อยใจอีก
“ฮิๆ จะเริ่มเล่าเรื่องจากตรงไหนดีล่ะ ฟังแล้วอาจจะตลกด้วยซ้ำกับความคิดงี่เง่าของคริส...ความจริงแล้วนะ คริสไม่ใช่ลูกแท้ๆของตระกูลลู่หรอก เขานามสกุลอู๋ต่างหาก”
“ห๊า!”
“มันฟังแล้วเหลือเชื่อใช่มั้ยละ ลู่หานเขาไม่รู้เรื่องนี้หรอกนะแล้วที่คริสต้องทำแบบนี้เพราะตัวเขาเองบอกว่าอยากให้ลู่หานทำสิ่งที่ตัวเองชอบ ส่วนเขาจะยอมทำตาที่พ่อบอกทุกอย่างเองขอแค่น้องชายเขาได้สร้างฝันแล้วประสมความสำเร็จอย่างมีความสุขก็พอ ตัวเขาจะทำอะไรก็ได้แค่นั้น แต่เรื่องมันกลับตารปัตรเพราะคริสเองไม่ยอมบอกความจริง เขาคิดว่าปล่อยไว้แบบนี้ก็ดีแล้ว...ก่อนหน้าที่ลู่หานจะออกจากบ้าน คุณพ่อบอกว่าจะบีบบังคับจนลู่หานมาทำงานของที่บ้านให้ได้” อี้ชิงยิ้มเศร้า
“ทำไมอยู่ๆถึงจะทำแบบนั้นล่ะครับ ในเมื่อมีคุณคริสดูแลอยู่”
“เพราะว่าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ไม่ใช่สายเลือดน่ะสิ...แล้วพี่ขอยืนยันเลยว่าคริสไม่คิดจะฮุบบริษัทอะไรพวกนั้นเลยด้วยซ้ำ ถ้าลู่หานอยากได้มันคืนเขาก็ยินดีแต่เพราะว่าไม่ คริสเลยจะรับช่วงนั้นต่อเองแล้วให้ลู่หานสานฝันของตัวเองต่อไป เรื่องมันก็เป็นประมาณนี้แหละ”
แบคฮยอนไม่รู้มาก่อนเลยว่าคนที่ดูหยิ่งทางสายตาจะจิตใจงามถึงเพียงนี้ ถึงฟังแล้วจะดูงี่เง่าอย่างที่พี่อี้ชิงบอกก็ตามที
“แล้วทำไมคุณคริสเขามาก่อนที่คุณลู่หานจะเกิดเหรอครับ”
“ใช่เลย คืองี้พ่อแม่คริสเป็นเพื่อนสนิทกับพ่อแม่ของลู่หาน วันนั้นเกิดอุบัติเหตุขึ้นมีโจรลอบเข้ามาให้บ้านปล้นชิงทรัพย์ พวกท่านโดนโจรเจอตัวแล้วถูกยิ่งตายทันทีพอพวกมันได้ของก็หนีไป คริสที่หลับอยู่อีกห้องหนึ่งร้องไห้โยเยเสียงดัง เลยถูกพบในเวลาต่อมา...จะเล่ายังไงดีล่ะง่ายๆคือเอาลูกเพื่อนมาเลี้ยงจนโต พระคุณท่วมท้นเขาเลยรักตระกูลนี่มากเหมือนครอบครัวตัวเอง”
“ทำไมมันเศร้าอย่างนี้ล่ะครับ...” คนตัวเล็กสีหน้าสลดลงเห็นได้ชัด เขาสังเกตว่าคนรักตัวเองกำลังสั่น....สั่นเพราะกลั้นน้ำตาเอาไว้
“นั้นแหละที่พี่อยากบอกลู่หาน แต่คริสก็ห้ามว่าถ้าลู่หานรู้ต้องทิ้งสิ่งที่ตัวเองชอบแน่ๆ บ้าบอเนอะ แบคฮยอนไม่ต้องเศร้าไปหรอก”
“ครับ...จริงด้วยสิครับ พี่อี้ชิงรู้เรื่องคุณพ่อของคุณลู่หานมั้ยครับ”
“อ่า...อ๋อ! จริงสิ เรื่องนี้คริสเขาเพิ่งสืบเจอมา รู้เมื่อไม่กี่วันก่อนว่าที่จริงแล้ว คุณพ่อคอยช่วยเหลือลู่หานอยู่ห่างๆ ถึงปากจะว่าไม่รักแต่แท้จริงแล้วเป็นห่วงมากนะว่าจะเป็นอยู่ยังไง สบายดีมั้ย งานที่ได้มาส่วนใหญ่พ่อลู่หานก็หาลูกค้าแล้วฝากอาจารย์ไปบ้าง ให้เพื่อนตัวเองแนะนำบ้าง”
“...”
“พ่อแม่ก็แบบนี้เนี่ย ปากบอกไม่รักแต่จริงๆแล้วรักเราตลอดเวลาอ่ะแหละ” อี้ชิงหยุดเล่าถึงตรงนี้ เขาเห็นว่าแววตาอีกคนเริ่ใคลอด้วยหยดน้ำ...มือสวยเอื้อมมาจับมือของคนตัวเล็กพร้อมยิ้มละมุน “พี่เชื่อนะว่าถ้าลู่หานอยู่กับแบคฮยอนน้องของพี่...เขาจะมีความสุขมาก”
“ฮึก...ทำไมบ้านคุณลู่หานปากแข็งกันจัง คุณลู่หานต้องเสียใจร้องไห้เพราะคิดว่าพ่อกับพี่ไม่รัก บ้านไม่อบอุ่น”
มีคนเคยบอกว่า
ความลับไม่มีในโลกใบนี้
พ่อแม่รักลูกทุกคนนั้นแหละ
ถ้าชอบก็เม้นและแท๊ก #ฟิคกลับบ้าน
พูดคุยกันนอกจากติดแท๊กก็ @peepanggy
ความคิดเห็น