ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ exo ] 。 take me home ♡ { lubaek } ending

    ลำดับตอนที่ #32 : - take me home : chapters - 027 { 100% }

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 981
      4
      8 ม.ค. 58





     

    - Lost 365 -


     

    chapters – 027
    เปิดเพลงก่อนอ่าน

     

     

              




     

    “มีความทรงจำมากมายที่ฉันไม่อาจรักษาเอาไว้ได้

    ฉันเดินผ่านความทรงจำด้วยเท้าเปล่า

    เป็นเหตุผลว่าทำไมฉันจึงมองไปยังเส้นขอบฟ้าอีกครั้งในวันนี้







     

     

    ถ้าเกิดว่าคนเราเริ่มต้นจากการเปรียบเทียบแล้ว...ความสุขก็จะหมดลงทันที  ป๊าว่าอย่างนั้นมั้ยครับ’  ลู่หานพูดก่อนจากไป  เป็นคำพูดทีนายใหญ่แห่งตระกูลลู่...

     

    เขาผิดพลาดครั้งใหญ่ไปจริงๆ  คำพูดที่เราพลั้งปากออกไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ  จุดเล็กๆในคำพูดเขาสร้างรอยแผลใหญ่ให้กับลูกตัวเอง...ลู่หาน...ป๊าขอโทษ

     

    แกร๊ก 

     

    เสียงประตูห้องทำงานถูกเปิดออก  เผยร่างภรรยาสุดที่รักย่างก้าวเข้ามาใกล้ตัว  เธอจับแขนสามีให้หันหน้ามาหาพร้อมกับอ่านสายตาผู้เป็นสามี ชายร่างสูงวัยกลางคนจับมือเธอลูบเบาๆก่อนแย้มยิ้มเล็กน้อย

     

    “ถึงเวลาแล้วล่ะ...ให้ลูกตัดสินใจเองเถอะนะ  เรื่องสืบสกุลอะไรนั้นเราควรปล่อยไป  ตระกูลเราไม่ได้ใหญ่โตขนาดนั้นอีกอย่างตาคริสเองก็ลูกเราเหมือนกัน”

     

    “แต่ฉัน...”  เธอเม้มริมฝีปากแน่น  สะกดกลั้นน้ำตาของผู้เป็นแม่หน้าที่เต็มอก...

     

    “เธอไม่ผิดหรอก ไม่มีใครผิดทั้งนั้นเรื่องนี้...และความรักของเขาสองคนก็ไม่ใช่ความผิด”  นายใหญ่สวมกอดร่างภรรยาไว้พร้อมลูบหลังปลอบประโลม  “ลูกเราเป็นคนดีแค่นี้ก็หมดหน้าที่เราแล้ว”

     

    “ฮึก...ค่ะ  ฉันเข้าใจแล้ว...แต่ฉันก็ยังรู้สึกผิด”  คุณนายลู่รู้สึกผิดต่อแบคฮยอนเหลือเกิน  เธอขาดสติสัมปชัญญะทำให้พาลไร้เหตุผล  หากเมื่อมีเวลานั่งคิดทบทวนแล้วกลับไม่สมควรเลย

     

    “อย่าคิดมาก...ปล่อยวางและจิตใจผ่องแผ่ว  เราจะแก้ปัญหาได้เอง”






     

     

    ลู่หานถูกปล่อยตัวแล้วรีบเร่งมาหาคนตัวเล็ก  เขารู้สึกสดชื่นมากอย่างไม่มีมาก่อนและรู้สึกผิดด้วยหลังจากพูดมันออกไป  จุดบอดเดียวคือการถูกเปรียบเทียบและกดดัน  สายตาพลันเห็นรถแสนคุ้นตาจอดนิ่งอยู่หน้าบ้านปิดทางเข้า  เขาจอดรถต่อท้ายห่างออกไประยะหนึ่งก่อนก้าวลงจากรถ  ใจหวิวพอเห็นว่าเป็นใครที่ยืนอยู่ตรงหน้าบ้านนั่น  การกระทำที่ดูแล้วสนิทสนมแฝงไปด้วยความอบอุ่น  ภาพตรงหน้าทำเอาเขาไปไม่เป็น  จำว่าชานยอลคิดจะจีบแบคฮยอนแล้วมาขอให้เขาช่วย...
     

    ร่างสูงยืนนิ่งเฝ้ามองจนทั้งคู่กอดกัน  หัวใจบีบรัดกับสิ่งที่เห็นทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีอะไรมากเกินกว่าเพื่อนกันเลย 

     

    “งั้นไปนะ”  ชานยอลกล่าวลาโบกมือลา  ใบหน้าแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มก็จริง  หากแต่มันกลับเศร้าหมองจนสองขาชะงักกึก  เมื่อเห็นเพื่อนตัวเองยืนนิ่งอยู่หน้าบ้าน

     

    “เฮ้ย  แกมาทำอะไรตรงนี้วะ  ฉันกำลังคิดว่าจะแวะไปหาแกที่บ้านพอดี”  ร่างสูงโปร่งทักทายเพื่อนสนิท

     

    “เออ  พอดีถูกปล่อยตัวแล้ว” 

     

    “เจ๋งวะ  ทำไมอะแม่แกเข้าใจกันแล้ว?” ชานยอลเลิกคิ้วสงสัย 

     

    “ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น...แล้วนี่มาหาแบคฮยอนเหรอ”  ลู่หานถามเพื่อต้องการคลายปมในความคิดด้านลบ

     

    “เปล่า...เข้าไปหาแบคฮยอนสิ  เขารออยู่...” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นแบบเจ็บๆ  เขารู้ดีว่าตัวเองคงทำหน้าที่ดูแลแทนได้เพียงเท่านี้  วันพรุ่งนี้อาจไม่ต้องมาหาแล้ว  “เดี๋ยว”  อยู่ๆความคิดหนึ่งก็ฉุกขึ้นกะทันหัน  ร่างสูงหันไปหาเพื่อนตัวเองพร้อมยกยิ้มจางๆออกมา  ดวงตาสดใสตลอดเวลาบัดนี้มันเจือปนไปด้วยความเศร้า

     

    “...”  อินทีเรียหนุ่มหยุดฟัง

     

    “ดูแลเขาให้ดีล่ะ...ยินดีด้วย”  คำสุดท้ายที่เปล่งออกมาก่อนเดินจากไปพร้อมกับความยินดีจากใจจริงผ่านสายลม

     

    ปาร์คชานยอล...ทำสำเร็จแล้ว  แสดงความยินดีกับเพื่อนจากใจจริง







     







     

    แบคฮยอนเก็บรองเท้าเข้าชั้นอย่างเป็นระเบียบ  สวมสลิปเปอร์เดินในบ้านตามปกติ...ตอนนี้อะไรในบ้านดูปกติไปเสียหมดทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังเป็นแค่เรื่องจุกจิกน่ารำคาญอยู่แท้ๆ  เขาไม่มีทางกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้แน่ ต่อให้จัดวางของหรือทำตัวซกมกเช่นเดิมมันก็กลายเป็นฝืนใจตัวเองอยู่ดี

     

    เหมือนพิษไข้ยังไม่ลดลงหรือหูเขาแว่วกันแน่  ได้ยินเหมือนเสียงคนคุยกันหน้าบ้านหนึ่งในเสียงนั้นเขาจำได้ว่าเป็นชานยอล...อีกเสียงหนึ่งที่เขาคิดว่าไม่น่าจะใช่

     

    “คุณลู่หาน!”  คิดได้ดังนั้นสองขาเรียวจึงรีบวิ่งออกไปด้านนอก...อีกนิดเดียว

     

    นิดเดียวจะได้เจอคนรักแล้ว

     

    แกร๊ง

     

    “ลู่...อะ  อ่าวชานยอล”  แบคฮยอนหายใจเข้าลึกๆ  กวาดตามองไปรอบบริเวณกลับพอแค่เพื่อนตัวสูงยืนอยู่คนเดียวด้วยสีหน้าสับสน  “นี่  เป็นอะไรรึเปล่า...ทำไมสีหน้าดูไม่ดีเลย”

     

    “ไม่เป็นไรหรอก  รีบเข้าบ้านเถอะ  อากาศหนาวเดี๋ยวจะไม่สบายเอา” ร่างสูงเอ่ยทั้งที่สภาพยังมึนกับเรื่องเมื่อครู่ไม่หาย

     

    “อื้อ  นี่...ชานยอลเมื่อกี้เหมือนฉันได้ยินนายคุยกับ...ลู่หาน?”

     

    “ไม่เห็น...ไม่เห็นหรอกเข้าบ้านเถอะ”  โกหกคำโตอาจจะไม่ช่วยอะไรมากเท่าไรนัก  ชานยอลรู้สึกว่าตัวเองกำลังแย่ที่กุมความลับบางอย่างเอาไว้  ถ้าเกิดถูกถามคงเป็นตราบาปผิดศีลจนกว่าความจริงจะถูกเปิดเผย

     


     

    แบคฮยอนกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้งหลังจากส่งเพื่อนตัวเองเสร็จ รองเท้าสลิปเปอร์ลากยาวไปตามพื้นกระเบื้องอย่างเชื่องช้า  กวาดสายตามองหาคุณย่าที่ควรนั่งดูโทรทัศน์อยู่ก่อนหน้าตรงโซฟา  เสียงปั๊มน้ำทำงานดังแว่วจากทางหลังบ้านทำให้รู้ว่าคุณย่าคนรักกำลังอาบน้ำอยู่ข้างบน  คนตัวเล็กทิ้งน้ำหนักตัวลงบนเก้าอี้หน้าคอมฯตัวเดิม นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนได้ยินเสียงก๊อกแก๊กอยู่แถวด้านนอกหน้าต่าง

     

    อ่า...ลมข้างนอกพัดแรงนี่เอง

     

    “คุณ...จะกลับมาเมื่อไรเหรอ”  เสียงหวานพึมพำกับตัวเอง  ยกขาสองข้างขึ้นกอดหันหน้าแนบแก้มลงกับหัวเข่าไปทางห้องครัว  “แค่วันเดียวผมก็เหงาจะแย่” 

     

    หื้อ?

     

    พลันดวงตาเรียวรี่หรี่ลงเพื่อโฟกัสภาพสามดีตรงหน้าให้ชัดขึ้น เรียวแรงอ่อนเพลียหมดแรงหายไปพริบตาเดียว  คนตัวเล็กวิ่งเข้าห้องครัวพร้อมคว้ากระดาษโพสอิทสีเหลืองที่แปะอยู่หน้าตู้เย็น  แผ่นเล็กๆของกระดาษข้อความแบคฮยอนจำได้ดีว่าเราเคยทะเลาะกันใหญ่โต  ตอนเขาเป็นคนบอกเองว่ามีอะไรให้แปะหน้าตู้เย็น

     

    ดูแลตัวเองด้วยไอ้เด็กดื้อ  ไว้สักวันเมื่อมั่นใจแล้วถึงตอนนั้นเราอาจจะได้พบกัน  นายไม่จำเป็นต้องรอฉันอีก ตอนนี้หัวใจนายเป็นอิสระแล้วเด็กโง่...

     

    อะไร?  นี่มันหมายความว่ายังไง

     

    ตาเบิกโพลง  แก้วตาใสสั่นไหวระริกพร้อมขมวดคิ้วสีหน้าปั่นยุ่งราวกับไม่เข้าใจข้อความนี้ไม่ว่าจะอ่านมันซ้ำเท่าไร  หัวสมองกับใบหน้าชาตื้อไปหมด  หัวใจเต้นรัวเสียวแปล๊บไปในทางที่ไม่ดี  ริมฝีปากคบเม้มจนห้อเลือดก่อนเบะปาก  มือไม้สั่นเทาเดินสะเปะสะปะไปทั่ว วิ่งพล่านไปทั่วบ้านกระทั่งเจอคุณย่าเดินออกมาจากห้องนอนของเขา

     

    “เกิดอะไรขึ้น”

     

    “คะ...คุณย่า  ฮึก...”  แบคฮยอนไม่พูดมาก  ส่งกระดาษแผ่นที่หลานชายสุดรักคุณย่าเขียนก่อนทรุดลงกับพื้นไม้ 

     

    มือย่นหยิบมาอ่านก่อนเธอจะเข้าใจทุกอย่าง

     

    “ผมจะไปตามหาเขา  เขาต้องอยู่ไม่ใกล้นี่แน่ๆ  นอกบ้าน...ใช่”  แบคฮยอนลุกพรวดพลาดออกไปนอกบ้าน

     

    สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็น...คือแสงไฟท้ายรถออดี้คันเดิม...

     

    ทำไมล่ะ...ทำไม



     

               40%










     

     

    ฟี้...

     

    เสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอดังต่อเนื่อง  บ่งบอกว่าใครคนหนึ่งกำลังหลับใหลอยู่ในห้วงนิทรา  แสงแดดด้านนอกทะลุผ่านผ้าม่านสีขาวตกลงบนใบหน้าขาวอมชมพู  ผมปรกหน้าปิดเปลือกตาที่สนิทแน่นถูกแว่นสายตากรอบดำสวมทับอีกที  ริมฝีปากหยักจิ้มลิ้มเผลอออกเล็กน้อย  น้ำลายเหนียวไหลย้อยพร้อมจังหวะการกร่นเบาๆ 

     

    เปลือกตาขยุกขยิกเพราะเริ่มแสบตาแม้หลับอยู่ก่อนจะลืมขึ้นพร้อมหรี่ตาสู้แสง  คิ้วบางขมวดแน่นก่อนดวงหน้าเบลอๆจะเหยเกเพราะอาการปวดต้นคอจากการฟุบหลับหน้าคอมพิวเตอร์  หัวกลมๆหมุนออกกำลังกายเล็กน้อยก่อนร่างป้อมๆจะหยัดตัวขึ้นบิดซ้ายขวาบริหารกาย  ปาดอ้ากว้างหาววอด  สองเท้าเดินต้วมเตี้ยมไปยังห้องครัวในชุดเสื้อยืดตัวโครงกับกางเกงเอวย้วยขายาวถึงตาตุ่ม  ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงชี้โด่เด่ไม่เป็นทาง สภาพน่าเวทนาของนักเขียนนิยายรักสีขาวมืออาชีพวัยยี่สิบสองปีที่กำลังโด่งดังในหมู่วัยรุ่นยันวัยกลางคน  ผู้ที่มีหนังสือแปลหกภาษาทั่วเอเชีย...

     

    นี่น่ะเหรอ?

     

    ติ๊ดดด

     

    เสียงเครื่องตอบรับอัตโนมัติดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยประโยคยาว  ทำเอาน้ำแดงมะนาวในแก้วแทบพุ่งพรวด

     

    “วันนี้นายมีงานแจกลายเซ็นในงานหนังสือแห่งชาติกับเปิดตัวหนังสือนิยายเวอร์ชั่นภาษาจีนนะ  ฉันกำลังจะไปถึงอีกสิบนาทีข้างหน้าเตรียมตัวให้พร้อมนะครับ  บาย”

     

    พรืดดด

     

    ฟังเสร็จของในมือถึงกับอ่อนแรงจนน้ำหก  แบคฮยอนยกดื่มอึกๆก่อนโยนแก้วเซรามิคใส่ซิงค์ล้างจานรวมกับกองจานอื่นๆที่ยังไม่ได้ล้าง  ยัดเหยือกใส่ตู้เย็นปิดดังปัง  คว้าผ้าเช็ดเค้าเตอร์ดำๆสกปรกโยนลงพื้นใช้เท้าเหยียบแล้วถูๆ  มือวางก็เซทผมให้เรียบพ่อไม่ดูน่าเกียจเกินไป  เท้าเรียวเกี่ยวผ้าโยนไปแอบๆข้างตู้เย็น  ออกตัววิ่งไปแต่งตัวในเวลาต่อมา

     

    ตึกๆๆ

     

    “บอกแล้วไงว่าอย่าวิ่ง”  เสียงทุ้มทักทายพร้อมใบหน้าเชิงดุใส่คนตัวเล็ก  จนคนถูกตำหนิก้มหน้าสำนึกผิดเล็กน้อย  ไม่นานก็ฉีกยิ้มส่งให้ชายร่างสูงตรงหน้า  “ไม่ต้องมายิ้มเลย  แล้วนี่ทานข้าวเช้ารึยัง”

     

    “ยังเลย  ชานยอลทานข้าวมายัง  ฉันมีซีเรียลอยู่นะกินทันป่ะ” คนป้อมของคุณนักเขียนเดินเตาะแตะไปยังห้องครัว  ทำเอาผู้จัดการส่วนตัวอย่างประธานสำนักพิมพ์ใหญ่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

     

    “จ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดให้เอามั้ย  ไม่อยากให้เหนื่อยทำทีเดียวตูมนะ”  ร่างสูงเอ่ยด้วยความเป็นห่วง  สภาพตรงหน้าคือห้องครัวคล้ายโดนระเบิดปรมาณู

     

    “ไม่เป็นไรหรอกแค่นี้สบายมาก” 

     

    “อื้อ  ไม่ต้องหาแล้วซื้อไว้ให้ในรถแล้วครับคุณนักเขียน” ชานยอลเดินไปลากอีกคนให้ไปรอในรถ  เขาจะปิดบ้านให้เอง

     

    “โอเคคุณประธาน...ไม่ดิ  ผู้จัดการส่วนตัว อิอิ”  แบคฮยอนเอ่ยแซวพร้อมวิ่งหายเข้าไปในรถคันหรู

     

    ทิ้งไว้เพียงร่างสูงโปร่งภายในบ้านหลังสีขาว...ที่เต็มไปด้วยความทรงจำของคนสองคน

     

    ชานยอลยังจำได้ดีถึงคำพูดของเพื่อนสนิทในวันนั้นเมื่อสองปีที่แล้ว  คำฝากฝังคนรักก่อนจากไปคล้ายเว้นช่องว่างให้เขาได้ทดสอบดู  ได้ลองเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตของคนตัวเล็กหรืออีกด้านหนึ่งคือให้แบคฮยอนได้เปิดใจให้เขาเข้าไปทดสอบดู...ทว่าผ่านมาสองปีแล้ว  หัวใจดวงน้อยกลับมีแต่อีกคนที่หายเงียบไปอัดแน่นจนไม่มีที่ว่างให้ชายหนุ่มประธานสำนักพิมพ์ใหญ่โตแห่งกรุงโซลได้แสดงความสามารถบ้างเลย

     

    ดวงตาเรียวปิดลงอีกครั้งหลังจากสารถีหนุ่มบอกให้หลับก่อนกว่าจะถึงอีกชั่วโมงหนึ่ง  เปลือกตาปิดลงอีกครั้งช้าๆ  พร้อมกับสมองที่พลันชวนนึกถึงคะนึงหาถึงใครอีกคน...ที่ไม่รู้ว่าไปอยู่ส่วนไหนของโลก  คนใจร้ายใจจืดใจดำ  คนโง่คนบ้าคนแก่ขี้บ่น...เขาไม่เคยไม่มีวันไหนไม่คิดถึงเลย 

     

    สองปีต่อมาหลังจากวันนั้นสุดทรมาน...หลังตั้งสติได้แบคฮยอนก็โหมแต่งนิยายจนเสร็จ  หวังเป็นจดหมายสื่อออกไปถึงใครคนหนึ่งผ่านตัวอักษรบนหนังสือเล่มหนึ่ง  ตัวแทนความหวังเดียวเท่านั้น 

     

    “คิดถึงตอนลุ้นว่างานจะผ่านใหม่ครั้งแรกเนอะ หัวใจแทบวายแหนะ”  อยู่ๆคนที่หลับตาก็พูดขึ้น  “จำได้ว่าส่งให้ชานยอลอ่านรวดเดียวจบ  นั่งรอจนปวดก้นเลย”

     

    “ฮ่าๆ  ขอโทษที  อ่านแล้วติดลมไปหน่อย...แต่ว่าเก่งมากเลยนะ”

     

    “ชมตลอด...เฮ้อ  จะว่าไปก็ผ่านมาสองปีแล้วเหรอเนี่ย  จะปีใหม่แล้วด้วย...มันจะนับเป็นปีที่สามแล้วใช่มั้ย”

     

    “อื้ม  กว่าจะมาถึงวันนี้นายคงลำบากน่าดู”

     

    “ขอบคุณนะชานยอล...ขอบคุณอีกครั้งจริงๆ”

     

                มหกรรมหนังสือถูกจัดขึ้นที่หอประชุมแห่งชาติกรุงโซลขนาดใหญ่  ภายในมีหนังสือมากกว่าหนึ่งแสนเล่มให้เรียกชมหรือซื้อกลับบ้าน  มีบูธมากกว่าหนึ่งพันบูธหลากหลายสำนักพิมพ์ทั้งในเกาหลีและต่างประเทศ 

     

                แบคฮยอนนั่งอยู่ท่ามกลางแฟลชกล้องของเหล่าแฟนคลับและทีมงานทั้งหลาย  ใบหน้าหวานยิ้มกว้างส่งให้ผู้คนตรงหน้าไม่รู้เบื่อ  เขารักงานนี้และรักคนที่อ่าน  เอ่ยถามชื่อแซ่ก่อนบรรจงเซ็นลงบนหน้าว่างบนกระดาษถนอมสายตา 

     

                “ชื่ออะไรครับ”  ร่างเล็กเอ่ยถาม  มือยังขยับปากกาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง

     

                “เสี่ยวลู่หาน

    !!

    “คุณย่า  คุณป้า!” 



     

    60%

     

     

    “เซอไพรส์!

     

    เสียงผู้สูงอายุทั้งสองท่านตะโกนขึ้นพร้อมกันท่ามกลางกลุ่มแฟนคลับนับสิบ  แบคฮยอนรู้สึกปราบปลื้มใจมากจนน้ำตาปริ่ม  มือเล็กรับช่อดอกไม้คาเนชั่นมาไว้ก่อนส่งให้ทีมงานข้างหลัง  คนตัวเล็กถูกจู่โจมด้วยอ้อมกอดแน่นอีกรอบ

     

    “แอร๊ก  มากันได้ไงครับเนี่ย”

     

    “ฉันก็นั่งรถมาสิย่ะ  โอ๊ยแม่นี่เขาจะมาแสดงความยินดีกับหนังสือเรื่องใหม่เธอฉันเลยมาเป็นเพื่อน”  คุณย่าโบยให้กับคุณนายลู่ที่ยืนหน้ายิ้มแป้นด้วยความภาคภูมิใจในตัวคนตัวเล็ก

     

    “แหมคุณแม่ก็...ยินดีด้วยนะจ๊ะ”

     

    “ขอบคุณมากเลยครับ”

     

    เมื่อพูดคุยรับหนังสือเสร็จแล้ว  ผู้เป็นแม่คนรักกับคุณย่าขอตัวออกไปเดินดูในงานหนังสือก่อน จบงานจะมาหาอีกที  คนตัวเล็กหันกลับมาทักทายแฟนคลับต่อพร้อมลายเซ็นบนหนังสือ 

     

    ชีวิตของผมก็ไม่มีอะไรมาก  ตื่นเช้ามาทำงานวันไหนไม่มีงานนอกบ้านจะพิมพ์หนังสือไปเรื่อยๆจนจบแล้วเสนอบก.  ส่งเรื่องย่อให้อ่านถ้าผ่านจะส่งต้นฉบับให้ต่ออีกทีหนึ่งเป็นทอด หรือทำงานบ้านปัดกวาดเช็ดถูไปเรื่อยไม่ปล่อยให้ตัวเองว่าง  ง่วงก็นอนเหนื่อยก็พัก ไม่ปล่อยเวลาให้ว่างจนฟุ้งซ่าน...เพราะเวลาว่างพาลคิดถึงใครอีกคนหนึ่งล่ำไป

     

    ตอนนั้นหลังจากไม่กี่วันต่อมาแบคฮยอนถูกคุณนายลู่เรียกตัวไปพบพร้อมกับคำขอโทษมากมายก่ายกอง  พร้อมทั้งข่าวร้ายให้เวลาต่อมา

     

    “ลู่หานน่ะ...เขาไปปักกิ่งแล้วล่ะจ้ะ”

     

     

    ใจร้ายชะมัด...คนโกหก

     

    นับว่าเป็นเวลาแห่งการทรมาน  ไม่ว่าจะเหยียบย่างไปทิศทางใดก็จะมีภาพความทรงจำลอยวนอยู่เต็มไปหมด  บางครั้งยังหูแว่วว่าใครอีกคนกำลังพูดคุยหรือส่งเสียงเชียร์บอลทีมโปรด  ทั้งบ่นทั้งดุไปทั่ว พอตั้งสติได้ภาพเหล่านั้นมันจางหายไปราวกีบหมอกควัน...และรู้ว่าโลกแห่งความจริงนั้นไม่มีเขา  ต่อไปต้องอยู่ตัวคนเดียว

     

    “คนเริ่มเข้างานเยอะขึ้นทุกที  นายอยากกินอะไรก่อนมั้ย”  หลังจากส่งสาวสองคนในตระกูลลู่กลับแล้วเขาก็เดินตรงมาหานักเขียนในสังกัดและเพื่อนรักกันเขา

     

    “ไม่เป็นไร  ชานยอลไปหาอะไรกินก่อนเลย  เราขอจดอะไรนิดหน่อย”

     

    “อ่าฮะ  จริงด้วยเสาร์นี้เรามีนัดทานข้าวกลางวันกันนะอย่าลืม”  ชานยอลย้ำอีกคนกับมื้อเที่ยงที่เขานัดจะโชว์ฝีมือทำสปาเก็ตตี้ให้คนตัวเล็กได้ลองทานดู
     

                มีปาร์คชานยอลเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเลย...





     




     

                 

     


     

                “ร้องไห้เป็นเด็กขี้แยจริงๆด้วย”  เสียงเสน่ห์แหบพร่าทุ้มดังมาจากด้วยหลัง  รั้งให้หนุ่มน้อยหน้ากลมเอี้ยวตามไปดู  เผยร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายโปร่งเบาสีฟ้าอ่อนกำลังกางแขนยาวในแบบฉบับเดิมเพื่อรอร่างอวบๆของอีกคนโผเข้าใส่  แบคฮยอนเผยอริมฝีปากสีอ่อนสั่นระริกขึ้นเล็กน้อย  เสียงสะอื้นไห้เริ่มเบาลงก่อนจะเป็นเสียงงอแงดังออกมาแทน

     

                “คุณ  ฮือออ”  แบคฮยอนไม่ได้สนใจหญิงชราหรือสนใจว่าอีกคนที่กางแขนรอรับเขาจะมีแรงพยุงตัวหนักๆของตนมั้ย 

     

                เหมือนกับฟองอากาศกลับมาโอบอุ้มเขาจากใต้น้ำ

     

                “เด็กโง่  ดูสิคุณย่าเขาก็อยู่นายยังร้องไห้เป็นเด็กไปอีก” ปากบ่นแต่กลับกระชับกอดให้แน่นมากขึ้นไปอีก  โครงหน้าหล่อหลานรักคุณย่าก้มหัวขอโทษกับสิ่งที่ทำให้คนแก่หัวใจจะวายตามไปอีกคน 

     

                “ย่ะ  ฉันไปนอนก่อนดีกว่า  ให้ตายสิเด็กสมัยนี้ทำอะไรไม่เกรงใจคนอื่นเล้ย”

     

                “ง่ะ  คุณย่า...”  เสียงงุงิก้มหน้างุดบนไหล่กว้างอีกคน

     

                พ้นสายตาของผู้เป็นย่า  ลู่หานกึ่งเดินกึ่งอุ้มอีกคนเข้ามาให้ห้องนอนอุ่นๆของตัวเอง  ความละมุมถาถมเข้ามาให้สัมผัสให้รู้ว่าเครื่องทำความร้อนถูกเปิดใช้งานตลอดเวลาช่วงหน้าหนาวที่กำลังคืบคลานมาถึง  ผ้าห่มผืนหนาถูกคลุมตัวอีกคนไว้ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆยกนิ้วมือเกลี่ยน้ำตาแห้งๆออกให้หมด

     

                “ทำไมชอบทำให้เป็นห่วงเรื่อยเลยวะ”  คำพูดขวานผ่าซากเจือความห่วงใยส่งมาให้คนตัวเล็กที่กำลังเบ้ปากขัดใจกับการกระทำ

     

                “คุณนั้นแหละ!  มาดีๆไม่ได้เหรอ ทำไมต้องให้ตกใจ  รู้มั้ยผมเหมือนหัวใจจะวายตอนคุณเขียนแปะมันไว้แบบนั้น  ฮึก...ตอนนั้นนึกว่าจะไม่ได้เจอคุณอีกแล้วเชียว  นึกว่ามันเป็ฯครั้งสุดท้ายที่จะได้ยินเสียงคุณ”

     

                ใช่...ลู่หานเคยคิดว่ามันจะเป็นแบบไหนนิยาย  เราจากกันแล้วพบเจอกันอีกครั้ง
     

                “ก็กลับมาแล้วนี่ไง  ข่าวดีออก”

     

                “ก็คุณอ่ะ!  ฮึก  ใจร้ายที่สุดเลย”

     

                และเราไม่รู้อะหรอกว่าตอนไหน  จังหวะไหนของชีวิต

     

                “เอ้า  เดี๋ยวเล่าให้ฟังๆ  ตอนนี้นอนกันเถอะ  ขับรถมาเหนื่อยมากกก”

     

                “โอเค...ถ้าผมรับอย่าหายไปไหนนะ”

     

                “กินยารึยังได้ข่าวว่าป่วยนิ”

     

                “กินแล้ว...”

     

                มันจะเป็นครั้งสุดท้ายของเราทั้งคู่ 

     

               

                หื้อ...ฝันงั้นเหรอ?



     

                ฝันแบบนี้อีกแล้ว  เขาฝันแบบนี้หลายครั้งติดต่อกัน  วันนั้นเขาหวังว่าตื่นขึ้นมาจะเป็นแค่ฝันร้าย  ฝัน  ฝัน ฝัน...เขาเกลียดความฝันแบบนี้ที่สุด

     

                เพราะมันทำให้เขาเหงามากขึ้นกว่าเดิม...

               

                เสียงสั่นครืดตรงหัวเตียงต้นเหตุทำเขาตื่น  ย้ำเตือนว่าตัวเองไม่ได้ฝันซ้อนฝัน  ดวงตาเรียวเม็ดข้าวตั้งสติกวาดตามองรอบๆห้องนอนที่ข้าวขอยังคงวางไว้ที่เดิม  มียกขึ้นมาทำความสะอาดอยู่บ่อยๆ  ผ้าปูที่นอนสองปีกยังเป็นลายเดิมแบบนี้...

     

                แบคฮยอนยิ้มจางก่อนหันมาสนใจเบอร์โทรเข้าแล้วต้องแปลกใจ  เขาคิดไว้ว่าวันนี้จะไปหาพี่อี้ชิงเสียหน่อย  แต่อีกคนกลับโทรมาหามันชวนน่าสงสัย

     

                “ฮัลโหล  สวัสดีครับ”  แบคฮยอนถีบผ้าห่มออกจากตัว  สวมสลิปเปอร์ลงจากเตียงนอนในห้องเล็กๆ  เสียงดังก๊อกแก๊กๆ  ก่อนจะกดตัดสายไปเสียเฉยๆทำเอาคนเป็นน้องหน้ายู่

     

                “แบคฮยอน!!” 

     

                ยังไม่ทันจะหายงงตาก็สว่างทันที  เมื่อเสียงตะโกนเรียกชื่อดังระงมก้องไปทั่วบ้าน  ลมหายใจสะดุดโครมวิ่งมาดูข้างล่างแทบไม่ทัน 

     

    ใบหน้าสวยใสที่ปกติจะอมลักยิ้มไว้น่ารักๆข้างแก้มปุ๋มบัดนี้กลับไม่มีเหลือเลย  แววตาฉายความกังวลเต็มเปรี่ยม  พอเห็นน้องชายตัวเองเดินตัวกลมลงมาพ้นชานบันไดก็โผเข้ากอดแน่น 

     

    จริงๆแล้วถ้าไม่ว่างจนสมองโล่ง  ผมก็จะไม่คิดถึงเขามากเท่าไร

     

    “พี่เกิดอะไรขึ้น”  ถึงยังสับสนอยู่แต่ก็ยกมือขึ้นมาลูบหลังตบเบาๆ  หวังให้คลาย

     

    “แย่แล้ว...คุณป้ารู้เรื่องพี่กับคริสแล้วแบค...ทำไงดี”

     

    ถ้ามีเรื่องให้คิดมาก  พื้นที่ในสมองจะถูกกลบไปด้วยสิ่งเหล่านั้น

     

    “เล่ามาคร่าวๆก่อนได้มั้ยครับ  ทำไมเขาถึงรู้ล่ะ”  แบคฮยอนถามเสียงสั่น  มือน้อยกุมมือสวยของพี่ชายเอาไว้  สองคนพอมานั่งรวมกันดูแล้วไม่เหมือนผู้ชายเลยสักนิด

     

    “คือว่านะ  พี่ไปรอคริสที่บ้าน...แล้วเอ่อ...คือพอคริสมาก็มีมอนิ่งคิสกันนิดหน่อย...ไม่รู้ว่าคุณป้าจะกลับบ้านตอนเช้า  ปกติเขาไม่ออกไปไหนเลยนินา...”  เล่าไปตะกุกตะกักไป  “ตะ  แต่พี่จะทำไงดี  บางทีอาจโดนไล่ออกจากงาน”

     

    “ไม่  ไม่ต้องห่วงนะพี่  ผมว่าเรื่องของผมตอนนั้น... คุณป้าต้องเข้าใจแน่ๆ  แล้วพอคุณป้ามาเจอได้พูดอะไรมั้ยครับ” 

     

    “มะ  ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ  พี่วิ่งออกมาก่อน”

     

    “แล้วพี่คริสล่ะ?”  แบคฮยอนเลิกคิ้วถาม

     

    “เออ!  พี่ลืมอ่ะ  โอ๊ยตายแล้วคริส”  พูดจบก็คว้ากุญแจรถออกจากบ้านไป  เสียงปึงปังทำเอาใจหายใจคว่ำ 

     

    เฮ้อ...
     

    แล้วพอบ้านกลับมาเงียบอีกครั้ง  ความคิดถึงมันหวนกลับมาอีกเป็นวัฏจักร






     

     

    ลมหนาวพัดเข้าฝั่งทะเลสาบยามเช้า  แบคฮยอนอยู่ในชุดเสื้อกันหนาว KOLON SPORT สีแดงตัวพองทับเสื้อกันหนาวขนเป็ดสีดำ  เขาเป็นคนขี้หนาวพอฤดูเปลี่ยนเลยรู้ทันที 

     

    เรื่องของพี่ชายผ่านไปด้วยดี  ดูเหมือนว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  คุณนายลู่รู้สึกผิดและเหมือนตัวกระตุ้นให้ลู่หานหนีไปปักกิ่งโดยไม่มีกำหนดจะกลับมา  ตัวเขาเองไม่ทราบเหตุผลของการไปครั้งนี้  การจากไปโดยทิ้งไว้เพียงช็อตโน้ตสั้นๆในแบบที่ทำ 

     

    แบคฮยอนเปิดสมุดบัญชีออกมานับดูเงินเก็บจำนวนหนึ่ง  หลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆแล้วมันพอสำหรับค่าเครื่อง  ตลอดสองปีเขาทำงานเก็บเงินด้วยอาชีพที่รัก  หวังเพียงเก็บค่าตั๋วและค่าเดินทางกินอยู่ได้ครบ  เขาจะออกตามหาคนรักด้วยตัวเอง  แต่จนแล้วจนรอดแม้ตีพิมพ์ได้มากแค่ไหนมันก็ไม่พอ...อาจจะสักหนึ่งปี

     

    แต่ทุกครั้งความคิดหนึ่งแทรกเข้ามาในหัวตลอดเวลา...ไม่หรอก  บางทีลู่หานอาจจะต้องการเวลา...วัดดูว่าต้องการเขารึเปล่า? 

     

    เหมือนถูกทิ้งอีกแล้ว  ความรู้สึกนี้...

     

    มือเรียวเก็บสมุดบัญชีเข้าลิ้นชักก่อนคว้ากระเป๋าเงินแล้วปลีกตัวออกจากบ้าน  วันนี้เขาว่าจะซื้อของเข้าบ้านเพราะต้องเก็บตัวลุยงานยาวตลอดฤดูหนาวเหมือนพวกจำศีล  บ้านถูกทำความสะอาดพร้อมเสื้อผ้าถูกผึ่งกางลมในแสงแดดร้อนสุดท้าย 

     

    “โอ๊ะ”  พอหันตัวเท้าเหมือนเหยียบอะไรบางอย่าง 

     

    รูปถ่าย...

     

    เอาน้าๆ  คุณใส่วิกด้วยสิ  อะนี่คฑาด้วยฮ่าๆ

    โอ๊ยคุณ  นั่นฮ่าๆๆ...ทำไมทำหน้าหาบานแม่แบบนั้นกร๊าก

     

    อยากย้อนเวลากลับไป










     

     

    ครืด  ครืด

     

    “ว่าไงชานยอล”  แบคฮยอนกดรับสาย  เขาจำได้ว่าวันนี้นัดร่างสูงมาทานมื้อเที่ยงที่บ้าน  หลังจากชานยอลคะยั้นคะยอขออยู่นานสองนาน  บ้านรกๆแบคฮยอนไม่อยากโชว์ให้เห็นบ่อยเลยทำความสะอาดให้เอี่ยม 

     

    ฉันออกจากบริษัทแล้วนะ  เตรียมตัวรึยังครับตัวเล็ก’ 

     

    “ย๊า  บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าเรียกแบบนั้นอ่ะ  มันฟังดูตลกแปลกๆ”

     

    ฮ่าๆ  เพิ่งกลับมาเหนื่อยชะมัดเลย

     

    “ก็บอกแล้วว่าให้เลื่อนไปเป็นวันอื่น  นายนั่งเครื่องไปประชุมต่างประเทศนานๆมันเหนื่อยนะ  กินวันอื่นก็ได้ฉันมีเวลาว่างอีกเยอะ”

     

    ‘…’

     

    นี่  ชานยอล  สายหลุดเหรอ?”  แบคฮยอนละมือจากรถเข็นดูหน้าจอโทรศัพท์ยังโชว์ว่าพูดสายกันอยู่

     

    เปล่า  กินวันนี้แหละดีแล้ว...

     

    “อ่า  นายไม่ได้เป็นอะไรแน่นะ”  เสียงหวานหยิบเส้นสปาเก็ตตี้ใส่รถเข็นหนึ่งห่อ  รอปลายสายพูดตอบ

     

    แน่นอน  ฉันแข็งแรงอยู่แล้ว

     

    “จ้าพ่อคนเก่ง  อื้ม...น้ำมันทานมะกอกอยู่ไหนหว่า”

     

    นี่แบคฮยอน...

     

    “ว่าไง?  โอ๊ะ  ใส่เห็ดเยอะๆด้วยนะ  มีเห็ดมาสดๆเลย”

     

    รักนะ

     

    “อื้อ  เราก็รักชานยอลเหมือนกัน”

     

    ...นั้นสิ  เพื่อนรัก

     

    “แน่นอนอยู่แล้ว  นี่เลือกมีปลาลดราคาอยู่ด้วยล่ะ  วางสายก่อนนะแล้วเจอกัน  ขับรถดีๆน้า”




     

     

    วางสายไปแล้ว...แบคฮยอนวางสายไปแล้ว 

     

    “ชานยอล...นายจะบอกเรื่องนี้กับแบคฮยอนดีรึเปล่า”  ร่างสูงโปร่งพิงหลังตรงกับพนักเก้าอี้  แม้ท่านั่งจะผ่อนคลายแต่ใจเขากลับปวดหนึบแบบไม่มีสาเหตุ  พึมพำกับตัวเองว่าจะทำยังไงดี 

     

    บอกความจริงไปดีมั้ย...

     

    ว่าเขาเพิ่งกลับมาจากปักกิ่ง...และเพิ่งรู้ว่า...








     

     

                เสียงล้อรถเบียดลงกับพื้นปูนหยุดนิ่งลง  แบคฮยอนเปิดประตูบ้านสีขาวออกไปต้อนรับด้วยความเคยชิน  เขายื่นหน้าออกไปยิ้มแฉ่งตามฉบับส่งให้ประธานใหญ่พ่วงผู้จัดการส่วนตัว  นักเขียนจอมบ๊องเดินควงแขนอีกคนเข้าตัวบ้านพร้อมอวดโฉมบ้านแสนสะอาดตามที่คุยไว้

     

                “นี่เป็นไงล่ะ  บอกแล้วว่าทำคนเดียวได้สบายนายไม่เชื่อ  ฉันอยู่คนเดียวได้น้าต่อไปไม่ต้องห่วงแล้วนะ” 

     

                เขารู้ว่าชานยอลเป็นห่วงที่เขาต้องอยู่คนเดียว  บางครั้งคุณย่าก็มาเที่ยวบ้านเขานอนค้างคุยกันเล่นๆก่อนนอน  ตานั่นยังไม่ทำให้อีกคนอดเป็นห่วงได้
     

                “ไม่ต้องเลย  ฉันบอกว่าจะมาอยู่ด้วยก็ไม่เอา”  แขนเสื้อขาวถูกถกขึ้น  มือหนาล้างมือก่อนลงมือต้มเส้นสปาเก็ตตี้

     

                “จะบ้าเหรอ  จากตรงนี้ถึงที่ทำงานนายไกลจะตายไป”

     

                “หรือว่าไม่อยากให้มาอยู่  เพราะลู่หานรึเปล่า?”  เอ่ยถามแบบไม่มองหน้า  เขากำลังมุ่งมั่นตั้งสมาธิกับการทำอาหาร  ถ้าเกิดสบตาเข้าละก็...เขาอาจจะใจอ่อนบอกแบคฮยอนไป

     

                “...จะไปพูดถึงคนใจร้ายที่หายหน้าหายตาไปแบบนั้นทำไมกัน  ไม่จำเป็นต้องคิดถึงเลยสักนิด”  แสร้งทำหน้าโหมดโหด  เบ้ปากไม่แคร์

     

                “คุณย่าบอกว่านายเก็บเงินค่าเครื่องเหรอ”

     

                แต่แล้วดวงตาหน้าต่างของหัวใจ  ก็ไม่อาจจะกลบเกลื่อนความสั่นไหวนี่ได้

     

                “คุณย่านี่...อื้อ”

     

                “ถ้าไม่คิดถึงแล้วจะไปหาทำไม  นายรู้เหรอว่าเขาอยู่ที่ไหน?”

     

                “เปล่า  ถึงฉันจะทำงานเก็บเงิน  ฉันก็ต้องจ่ายค่าอื่นๆอีก  นายก็รู้ว่านักเขียนไส้แห้งจะตาย  ยิ่งฉันแต่งปีนึงหนึ่งเรื่อง”

     

                “นั้นสินะ  ดีแล้วล่ะ  อยู่กับฉันนะแบคฮยอน...”







     

     

                หลังอาหารมื้อเที่ยงผ่านไป  ชานยอลเดินออกมานั่งรับลมอยู่ด้านนอกตัวบ้าน  เก้าอี้ริมทะเลสาบถูกจับจองด้วยคนตัวโต  ดวงตากลมโตสวยกำลังทอดมองไปไกลสุดลูกหูลูกตา  แม้นมันเป็นเพียงทะเลสาบ  แต่สุดตาเขาก็ยังมองได้แค่กรอบตาที่มี  ไม่สามารถมองไปไกลกว่านั้นได้เลย

     

                ใจของแบคฮยอน...ชานยอลก็มองไม่เห็นว่าภายใต้ใบหน้านั้น  เขาเห็นถึงใจอีกคนด้วย

     

                “มาแล้ว  นายไปนอนหลับก่อนได้นะ  ถ้าเย็นแล้วเดี๋ยวปลุก”  คนตัวเล็กนั่งลงข้างกันก่อนบอก 

     

                “แบคฮยอน”

     

                “หื้อ?”

     

                “ฟังนะ...”

     

                “อื้อ”

     

                “ฉันไปเจอลู่หานมา”  โครงหน้าคมสันขบกรามแน่น  เปลือกตาปิดสนิทพร้อมสุดลมหายใจลึกๆ 

     

                แท้จริงแล้วเขาก็แค่ชานยอลคนขี้ขลาด  ซึ่งยังละทิ้งไม่ได้เสียที...

     

                “ว่าอะไรนะ”

     

                “ฉันเจอลู่หานมา  แล้วรู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงไป...ไปปักกิ่ง”

     

                “หมายความว่าไง  นายไปเจอเขาที่ไหนชานยอล”  เสียงหวานเริ่มอ่อนแรงลง  เหมือนกับความมีอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ที่คอกับก้อนเนื้อในอกซ้าย  มันติดขัดและทรมาน

     

                “ฟังนะแบคฮยอน  ลู่หานเขารักนายมาก เรื่องทั้งหมดแค่เรื่องเข้าใจผิดระหว่างฉันกับลู่หาน  เขาคิดว่าฉันรักนาย  เขาหลีกทางให้ฉันเพื่อเข้าสู่เวทีนี้เพื่อให้นายได้มีสิทธิ์เลือกคู่ครองเอง  เขาไม่อยากให้นายคิดว่าเขาคือที่สุดแล้ว...อยากให้นายลองเปิดใจ  แต่ฉันคิดว่าสองปีคงพิสูจน์ได้แล้วว่าหัวใจของนาย...มันไม่มีที่ว่างให้ใครเลย”  ชานยอลหยุดไว้เพียงแค่นี้  เขาจะไม่พลั้งปากออกไปว่ารักแบคฮยอนอีก...ไม่เลย

     

                “ฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น”

     

                ยอมรับว่าเรื่องที่ได้ยินมันทำเอาหนักอึ้ง  สมองประมวลภาพช้าตามเป็นลำดับ 

     

                “ไปบอกเขาสิ...ไปบอกเขาด้วยตัวเอง  ใครพูดมันก็ไม่ฟังนอกจากนายหรอก”

     

                “แล้วฉันจะไปยังไง? ฉันไม่ได้มีเงิน  เดี๋ยว...”  แบคฮยอนหยุดพูดทันทีเมื่ออีกคนส่งแฟ้มบางๆคล้ายซองมาให้   “นี่คือ?  ถ้าตั๋วเครื่องบินเราไม่รับนะชานยอลก็รู้”

     

                “ไม่ใช่...มันคือสัญญาฉบับร่าง  ของจริงนายต้องเซ็นในที่ประชุม”  ชานยอลเอ่ยขึ้นเสียงทุ้มนุ่มหู

     

                ใกล้แล้วล่ะ

     

                “เอ๋?”

     

                “ยินดีด้วยนะนิยายเรื่อง  ‘Take me home’ นายได้รับการตอบรับให้ทำเป็นซีรี่ย์ช่อง SBS แล้วล่ะ  รายละเอียดในที่ประชุมเพราะผู้คนต่างให้ความสนใจจนหนังสือติดท็อปสามของหนังสือสีขาวทั่วเกาหลี  อีกอย่างดูเหมือนว่ารัฐบาลกำลังปลูกฝังจิตใต้สำนึกเด็กให้รู้จักคำว่าครอบครัวมากยิ่งขึ้นในยุคที่อะไรๆมันก็พึ่งพาสิ่งของไปเสียหมด”

     

                “ชานยอลอ่า...ฮึก  ขอบคุณนะ  ขอบคุณจริงๆ”

     

                อีกนิดชานยอลจะเป็นเพื่อนแบคฮยอนโดยสมบูรณ์แบบ

     

                “เรื่องรายรับฉันจัดการโอนให้ล่วงหน้าสำหรับค่าลิขสิทธิ์  นายคงตีตั๋วเครื่องบินได้เลย”

     

                “นี่ไม่ได้ช่วยใช่มั้ย”

     

                “เงินนายเองนะ  ฉันไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเลย  ทุกอย่างมันตามขั้น”

     

                “โอเค...ขอบคุณมากเลยนะ  นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดจริงๆ”

     

                อ้อมกอดมิตรภาพของเพื่อน

     

                จะคงอยู่นิรันดร์
     

                รอหน่อยนะคุณ...ผมกำลังจะไปหาแล้ว

     


    THE END

    ยังไม่จบ มีสเปเชี่ยลต่อหนึ่งตอนก่อนจบ
    อิอิ

     

     

     

     

             


    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    มันคือตอนจบ...ของตอนจบแล้ว
    คือไม่คิดว่ามันจะออกมาเป็นแบบนี้
    จริงๆคือเกินความคาดหมายมาก  ขอบคุณอีกครั้งค่ะ 
    สเปอีกหนึ่งตอน <3

    <3 หนังสือเปิดจองแล้วน้า 
    จิ้มรูป

     



    ผมคิดว่าความทรงจำมาพร้อมน้ำตา
    เปล่าเลย...ในนั้นมีสิ่งดีๆ
    ความทรงจำเกี่ยวกับคุณ...




    ถ้าชอบก็เม้นและแท๊ก  #ฟิคกลับบ้าน
    พูดคุยกันนอกจากติดแท๊กก็  @peepanggy
    thank you:)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×