ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ exo ] 。 take me home ♡ { lubaek } ending

    ลำดับตอนที่ #34 : - take me home : special - { 100% } happy ending

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 930
      3
      10 ม.ค. 58





     

    Special 01

    - Love is fiction

    ending.
     

     
     

              แบคฮยอนนั่งอ่านบทอยู่บนโซฟาตัวยาว  สมาธิเพ่งไปยังตัวหนังสือมากมายบนกระดาษเอสีแนวนอน  เนื้อเรื่องถูกดัดแปลงเล็กน้อยเพื่อให้เข้ากับช่วงการแสดง  หากอ่านหนังสือจะมีความสลวยและอ่อนช้อยมากกว่าซีรี่ย์สิบหกตอน  ปากเรียวยู่ขึ้นเล็กน้อยอย่างขัดใจ  เสียงครางงึมในลำคอทำเอาผู้กำกับขมวดคิ้วชนกัน  เขาพอเข้าใจอยู่ว่าปรับนิยายหนึ่งเรื่องใหเป็นละครมันยาก  แต่ไม่คิดว่าจะถูกบีบจนเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป

     

                “เป็นไงบ้างครับ”  ผู้กำกับเอ่ยถามพลางวางถ้วยน้ำชาลงบนถาดลองแก้วใส  “บทกับนิยายจะไม่เหมือนกันเท่าไร  เราพยายามปรับให้มันพอดีกับสิบหกตอนสองชั่วโมงสองวันต่อสัปดาห์  อาจจะยังไม่กระชับเท่าที่ควรแต่ขึ้นอยู่กับนักแสดงว่าจะส่งอารมณ์ได้มากเท่าไรครับ”

     

                “ผมเข้าใจนะครับ  แต่ว่า...อื้ม  มันยังดูขาดอะไรไปสักอย่าง  เนื้อเรื่องที่ผู้กำกับเขียนมานี่ดีแล้วครับ...”  แบคฮยอนว่า  เขาบอกแล้วว่าเข้าใจ  แต่ไอ้อาการที่ว่ามันขาดๆไม่สมบูรณ์เนี่ย

     

                “เพราะว่าเป็นเรื่องแรกที่จะถูกนำเอาไปทำเป็นละครรึเปล่าครับ  ส่วนมากคนเขียนประพันธ์จะรู้สึกแบบนี้กันเยอะพอสมควร”

     

                “ไม่นะครับ...”  แบคฮยอนพลิกดูบทสลับกับพระเอกที่รับบทเป็นอนทีเรียจอมโวยวายขี้บ่นและจุกจิก 

     

                เหมือนขาดอะไรไปน้า

     

                “เอายังงี้มั้ยครับ  ถ้าคุณแบคฮยอนอยากจะเพิ่มเติมตรงไหนหรือแก้ไขตรงไหนให้โทรบอกผมอีกทีหนึ่ง” 

     

                “อ๋อ! รู้แล้วครับว่ามันขาดอะไรไป”  จู่ๆคนตัวเล็กที่หน้ามุ่ยอยู่นานก็พูดขึ้น 

     

                “ครับ?”

     

                “ผมว่ามันยังขาดความเป็นครอบครัวครับ”  แบคฮยอนตอบแบบฉะฉาน 

     

                “ครอบครัว?  ผมว่าเราเขียนเข้าถึงครอบครัวแล้วนะครับ  จุดนี้เราต้องสร้างจากมโนภาพเป็นภาพขึ้นมา  พระเอกกับนางเอกมาอยู่ด้วยกันใช้ชีวิตร่วมกันต้องมีตามที่เขียนไว้”

     

                “ที่ผมพูดถึงคือองค์ประกอบของคำว่าครอบครัวครับ  ผมอยากให้คนดูเข้าใจจุดประสงค์หลักไม่ใช่การใช้ชีวิตรักของพระเอกนางเอก  แต่เป็นครอบครัวมากกว่าครับ  อยากชี้ความหมายให้ชัดขึ้นมาอีกนิด  เพราะมันไม่ใช่แค่เนื้อเรื่องแต่มันคือสิ่งที่เรียกว่าโอฮาน่าครับ”

     

                “อ่า...ถ้าผมจะแก้ไขให้นะครับ”  ผู้กำกับชะงักเล็กน้อยก่อนจะหยุดคิดตาม  ความจริงแล้วถ้าไม่ได้มองลึกลงไปถึงเนื้อหาเขาคิดว่าตัวเองถอดเนื้อหาได้ดีแล้ว  ทว่ากลับผิดแปลกไปเสียหมด...มันไม่ใช่แค่คนสองคนอยู่ด้วยกันรักกัน  แต่มันมีอะไรมากกว่านั้นสินะ

     

                “ขอโทษนะครับที่ต้องให้แก้  แต่ผมอยากให้ออกมาดีที่สุดจริงๆ”

     

                “ไม่เป็นไรครับ  ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณถึงได้นิยายสีขาว”  พูดก่อนขอตัวกลับ 

     

                แบคฮยอนยืนถอนหายใจอยู่หน้าประตูบ้านตัวเอง  รู้สึกเหนื่อยตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา  ต้องเร่งเคลียงานทั้งหมดให้ทันก่อนวันบินสิบห้าวัน  รู้สึกผิดนิดหน่อยที่อยู่ดูตอนถ่ายละครด้วยไม่ได้  แต่ชานยอลก็บอกว่าไม่เป็นไรปกตินักเขียนก็ไม่ค่อยมาดูกันเท่าไร

     

                “เหนื่อยมั้ย”  เสียงทุ้มเอ่ยถาม 

     

                “ก็นิดหน่อยนะ  นี่ๆ  เมื่อกี้เราพูดแบบนั้นไปมันโอเคมั้ยอ่ะ”  คุณนักเขียนตัวจ๋อยยังคงไม่สบายใจ  ทว่าเพื่อนตัวโย่งกลับพยักหน้าบอกว่าดีแล้ว

     

                “แล้วมะรืนจะบินแล้วเตรียมตัวรึยัง”

     

                “อื้อ!  เตรียมพร้อมแล้วล่ะ  ไม่มีอะไรค้างคาแล้ว”









     

               

                สนามบินนานาชาติอินชอนพลุกพล่านไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา  การขึ้นเครื่องบินครั้งแรกนั้นทำเอาแบคฮยอนใจสั่นระริกทั้งกลัวทั้งกังวล  ยิ่งเมื่อคืนฟังข่าวว่าอาจจะมีฝนประปราย  ถึงจะเลิกกลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าป่าไปแล้วแต่คำว่าประปรายนี่มันยังตกอยู่ใช่มั้ย  เกิดพายุมาทำไงล่ะแบบในหนัง 

     

                แบคฮยอนเดินหน้าเหยเกเข้าไปด้านใน  เวลานี้สมองเบลอด้วยความตื่นเต้นไปเสียหมด  เขาไม่เคยอยู่ท่ามกลางคนเยอะเพียงลำพังเลย  คนตัวเล็กแทบอยากทึ้งหัวตัวเองจริงๆ  ให้ชานยอลมาส่งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง...

     

                ไปไหนต่อดี

     

                ร่างเล็กเดินต้วมเตี้ยมกระชับเป้ใบโตบนหลังเรียกขวัญกำลังใจ  การไปของเขาไม่ได้บอกใครไว้เลยนอกจากชานยอล  จะให้มีคนมาส่งมันคงไม่ใช่เรื่อง  หยุดคิดตรงนี้ก็หาที่นั่งเพื่อทวนว่าตัวเองไม่ได้ลืมอะไรสำคัญไปแน่ๆนะ

     

                ที่อยู่ของลู่หานอยู่ในกระเป๋าเสื้อติดกระดุมแน่นหนาอย่างดี

     

                โอเค...

     

                กระเป๋าสตางค์  ผ่าน

     

                หัวกลมพยักหน้าหงึกหงักกับตัวเอง  ยกนาฬิกาคาซิโอของขวัญจากคุณป้าและคุณย่าขึ้นมาดูเวลา
     

                โอเคแบคฮยอน  สู้เขาเพื่อคุณลู่หาน  พอไปถึงจะได้เจอกันแล้ว...

     

                พอลุกขึ้นจะเข้าไปโหลดกระเป๋า  ในหูแว่วๆเหมือนมีคนเรียกชื่อตัวเองอยู่ไม่ไกล  พอหันสายหันขวาไปสองมือที่เกาะสายกระเป๋าสะพายพาดก็ตกลงข้างลำตัว 

     

                “แบคฮยอนทางนี้!” 

     

                ทั้งคุณย่าคุณป้าต่างตะโกนเรียกดังก้อง  ยังมีพี่คริสพี่อี้ชิงพ่วงชานยอลเพื่อนเขามาอีกคน  ทุกคนใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสโบกมือเรียกไหวๆ

     

                “ทุกคน!”  คุณนักเขียนวิ่งหน้าตั้ง  ไหนจะกระเป๋าบนไหลหนักๆนั่นอีก

     

                “โอ๊ย  ฉันคิดว่าจะได้วิ่งตามหลานตัวเองแล้ว”  คุณย่ายังปากหนักเหมือนเดิม  ใจนี่เหงาทันทีเมื่อรู้ว่าแบคฮยอนหลานรักเขาจะไปไกลจากอก  เธอคิดเสมอว่าคนตัวเล็กนี่เปรียบเสมือนคนในครอบครัวด้วยเหตุผลหลายอย่างทำให้เธอรักและเอ็นดูเหมือนลูกหลาน

     

                “งื้อคุณย่า  ผมขอโทษ...แต่จะรีบกลับมาให้เร็วที่สุดเลย”  คนถูกงอนเดินเข้าไปสวมกอดแน่นๆ  ก่อนคลายออกแล้วกอดคุณป้ามารดาคนรัก  “ขอบคุณมากเลยนะครับ  สำหรับทุกอย่างที่ผ่านมาและการยอมรับ”

     

                “ขอบคุณที่ทำให้ครอบครัวเรามีมุมมองอีกแง่หนึ่งเหมือนกันจ้ะ”  คุณนายลู่กอดตอบเช่นกัน  “ไปพาลูกชายม๊ากลับมานะลูก  แล้วต่อไปนี้แบคฮยอนไม่ต้องเรียกป้าแล้วนะ  เรียกม๊าเถอะ”

     

                “คะ  คือ...ขอบคุณมากครับคุณม๊า...”  น้ำตาเม็ดใสอุตส่าห์กลั้นไว้แทบตาย  ไหลลงมาด้วยความปราบปลื้ม

     

                “จ้ะ  เฮ้อ...แต่ไปแบบนี้ม๊าไม่ไว้ใจเลยเกิดหลงทางขึ้นมา แน่ใจนะว่าจะไม่บอกเสี่ยวลู่ก่อน ”  เธอถามหลังถอดอ้อมกอดออก  คนตัวเล็กขานรับพร้อมชี้กระเปาเสื้อเป็นเชิงบอกว่าอยู่ในนี้  หันมาทางพี่ชายทั้งสองคนสีหน้าเป็นกังวลไม่ต่าง

     

                “ไม่เอาสิครับทุกคน  แบคไม่หลงอยู่แล้วเชื่อมือเลย  มีทั้งที่อยู่  โทรศัพท์ถ้าเกิดหลงก็โทรหากันได้”

     

                “เมืองจีนมันไม่เล็กนะ  เวลานั่งรถส่งที่อยู่ให้เขาเลยนะจะได้ไปถูกที่ห้ามแวะนะ”  พี่อี้ชิงกำชับ  เขาเป็นห่วงมากแต่ก็ไม่ว่างไปด้วยเลย

     

                “รับทราบครับป๋ม!

     

                “ถ้ามีอะไรโทรหาฉันเลยนะ  จะรีบไปหาเลย อ ถึงแล้วไลน์มาบอกสักนิด”  ชานยอลกลายร่างเป็นผู้ปกครองอีกครั้ง 

     

                “จ้า  งื้อเขาเรียกแล้วใช่มั้ย  เที่ยวบินปักกิ่ง”

     

                “ใช่  รีบไปเถอะ” 

     

                “ไปน้า”  แบคฮยอนฉีกยิ้มกว้างส่งให้ทุกคนเพื่อลดความตึงเครียด  ในใจดวงน้อยมันกำลังสั่นด้วยความกลัวไม่ต่าง  แต่คุณพ่อกับคุณแม่สอนว่าให้ยิ้มสู้อุปสรรค!

     

                ซะที่ไหน...กัน






     

                พอเครื่องลงแบคฮยอนแทบจะทรุด  เขานั่งเกรงตลอดการเดินทาง  พอมาถึงยื่นวีซ่าให้กับตม.  เขาก็ถามอะไรเยอะแยะไปหมดพอตอบไม่ได้ทำหน้าจะร้องไห้  เขาเลยปล่อยออกมาเพราะมีที่อยู่แน่ชัดไม่ได้เข้ายากเย็นอะไร  ขนาดมันไม่น่ากลัวแบบนั้นแบคฮยอนยังแทบบ้าคลายเด็กหลงทาง 

     

                ผู้คนเดินชนไหลกันเบียดเสียด  สนามบินใหญ่ของปักกิ่งบรรจุหลายเชื้อชาติมากหน้าหลายตาชวนเวียนหัว  คนตัวเล็กเดินสะเปะสะปะหลงทิศหวังหาทางออกไปจากตรงนี้เพื่อหาแท๊กซี่  ปากเล็กขบเม้มแน่นด้วยความกังวลและกลัว 

     

                ปั่ก!

     

                “อ่ะ  ขอโทษครับ”  ภาษาอังกฤษง่ายๆถูกเปล่งออกมาเสียงสั่น

     

                “No problem

     

                ...

     

                หัวเราะแห้งๆแล้วรีบปลีกตัวออกมา  การเดินชนคนต่างชาติมันไม่ใช่เรื่องตลกสักนิด  ชายร่างสูงคนนั้นพ่นภาษาอังกฤษที่เขาไม่รู้ออกมาอีกเพียบหลังจากนั่น  แบคฮยอนไม่ได้สนใจฟังกลับเดินหนีเพื่อหาทางออกต่อ 

     

                ดวงตาเรียวกวาดมองป้ายด้านบน  พยายามมองรูปภาพไม่สนใจภาษาจีนและอังกฤษจนกระทั่งเจอรูปรถบัสในกรอบป้ายสีน้ำเงิน

     

                “เจอแล้วววว” 

     

                ด้านนอกบรรยากาศอบอ้าว  คับคั่งไปด้วยผู้คนไม่ต่างจากด้านในแต่แบคฮยอนเหมือนกับรอดชีวิต  เมื่อพ้นประตูออกมาจะเจอกับแท็กซี่หลายคันจอดรอผู้โดยสารเต็มไปหมด  คุณนักเขียนเลือกแท็กซี่คันแรกด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ

     

                “เอ่อ...คือ”  ปากชมพูสวยสั่นงึกงัก  มือไม้เริ่มเหงื่อซึมเมื่อคนจีนตรงหน้ายังมีท่าทีงุนงง “ฟู่ว...คือ  ตามนี้ๆ”  แบคฮยอนหยิบกระดาษที่อยู่ส่งให้ชายขับรถดู  พร้อมชี้บอกว่าจะไปที่นี่ๆ  ชาวจีนพยักหน้าว่าโอเค  ทำให้แบคฮยอนสบายใจมากขึ้น

     

                เอาวะ!  อย่างน้อยภาษาใบ้มันก็ใช้ได้ผล

     

                พอขึ้นมาบนรถจัดวางกระเป๋าเรียบร้อย  รถออกไปได้สักพักจู่ๆคนขับรถก็หันมาพูดบางอย่างกับเขา  ก่อนจะจอดรถหยุดนิ่งอยู่หน้าตึกอะไรสักอย่าง

     

                “รถเสียเหลือครับ”  แบคฮยอนพูดเป็นภาษาเกาหลีพร้อมออกท่าทาง  ดูเหมือนจะเริ่มสื่อสารกันเข้าใจเมื่อคนขับพยักหน้าบอกว่าใช่

     

                “กำ...เอาไงดี”  แบคฮยอนไม่ได้เผื่อกับสถานการณ์อย่างนี้ไว้  “ไม่เป็นไรครับ”

     

                คนตัวเล็กหัวเราะแห้งๆจ่ายเงินสกุลหยวนไปตามตัวเลข  หอบหิ้วเอากระเป๋าเป้ออกมาพร้อมสะพายกระเป๋าพาดข้าง  โค้งศีรษะทุยๆขอบคุณก่อนที่เขาจะขับรถออกไปพร้อมควันหน้ารถโขมง 

     

                ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้ากับการเดินทาง  อีกอึดใจเดียวจะเจอคุณลู่หานแล้ว...

     

                ไม่รอช้าอีกคนโบกเรียกแท็กซี่คันใหม่สีเหลืองคาดส้ม  คันถูกเรียกชะลอความเร็วลงก่อนจอดนิ่งหน้าลูกค้าคนใหม่  กระจกถูกลดลงเผยให้เห็นใบหน้าหวานแสนน่ารัก  ริมฝีปากสีชมพูใสอิ่มเรียว  ดวงตาเล็กหยีจากการยิ้มกว้าง  ชายหนุ่มใบหน้าคมผิวเข้มถึงกับชะงัก

     

                “เชิญเลยครับ” 

     

                “ครับ”  แก้มยุ้ยยกยิ้มขึ้นอีกครั้ง ทำเอาคนขับรถชะงักกึก  ราวกับตกหลุมรักครั้งแรก

     

                “พูดเกาหลีได้เหรอครับ  หรือว่าคนเกาหลี” 

     

                แบคฮยอนเข้ามานั่งในรถจัดท่าทางเสร็จคนขับก็พูดขึ้น  แถมพูดภาษาบ้านเกิดเขาอีกด้วย คนตัวเล็กยิ้มกว้างแถมสดใสกว่าเดิม 

     

                “ครับ  ผมคนเกาหลี  ดีใจจังคุณพูดเกาหลีได้ด้วยอ่า” 

     

                “แน่นอน  ก็ผมลูกครึ่งเกาหลีเคยไปอยู่สิบสามปี   พอโตเลยมาอยู่จีนหาเงินง่ายดี”

     

                “อ๋อ  ดีใจจังเลย  ผมดีใจจริงๆเลยครับ  เหมือนเจอเพื่อนบ้านเดียวกัน”

     

                “ดีใจที่ได้เจอเหมือนกับครับ  ว่าแต่คุณชื่ออะไรเหรอ  มาเที่ยวใช่ป่ะ”  ชายหนุ่มคนขับเลี้ยวเข้าถนนหลัก  ไม่วายแอบถามชื่อแส่ลูกค้าน่ารักตัวกลมคนนี้  “ผมชื่อเทานะ  คิดซะว่าได้เพื่อนใหม่ในจีนก็ได้ครับคุณ”

     

                “โหชื่อเรียกง่ายดีจัง  ผมบยอนแบคฮยอนครับ   เรียกแบคเฉยๆก็ได้”

     

                “อ่าฮะ  โอเคเลย ว่าแต่จะไปไหนดีครับ  มาเที่ยวเหรอ”

     

                “ไม่ใช่ครับ...จริงๆมาหา  อื้อ...มาหาเพื่อน”  แบคฮยอนเสียงอ่อยลงทันที  ไม่รู้ว่าผ่านไปสองปีสถานะยังเหมือนเดิมหรือเปล่า

     

                “งั้นผมจะไปส่งให้ถึงที่เลย”

     

                “อ่า  งั้นรอแป๊บนึงนะครับ  ผมจดที่อยู่ไว้...เอ๋  ไปไหนหว่า”

     

                มือเรียวสวยลูบตามเสื้อผ้า  กระเป๋าเสื้อ  ค้นหาในกระเป๋าสะพายก็แล้ว

     

                ไม่มี...ที่อยู่หายไปไหน!

     

                “หื้อ  หาไม่เจอเหรอ”  เทาเอ่ยถาม

     

                “งื้อ...แย่แล้ว  ผมลืมที่อยู่ไว้ในรถแท็กซี่คันก่อนหน้าอ่ะ!

     

                “ห๊า!


     

              


    20%

    เสิร์ฟก่อนเรียกน้ำจิ้ม  เทาเทามาแล้วเง่อ
    สถานะฟิคตอนนี้กำลังพิมพ์อยู่นะเจ้าค่ะ ;-; ขอโทษที่ช้าแต่ไม่เกินสิ้นเดือนแน่นอน

    ประสบการหลงเกาหลีเอามามิกซ์ปักกิ่งเลย  5555+ แต่แท๊กซี่ไม่หล่องี้อะแก
    เทามาแล้วพี่หานทำไงงิ  น้องแบคหลงทางอีกต่างหาก!

     









     




                เขากำลังสติแตกเป็นบ้า  บ้าที่สุดในชีวิตเลยให้ตายสิ!

     

                “ไง  โทรไม่ติดเหรอ”  หนุ่มผิวเข้มเอ่ยถาม  แผ่นหลังแกร่งพิงรถแท็กซี่ของตัวเอง  ดวงตาดุมองคนตัวเล็กตรงหน้าที่กำลังง่วนเดินวนไปมาโทรหาใครสักคนเนี่ยแหละ

     

                “อื้อ...ทำไงดีอ่า”  พอเริ่มหมดหนทาง  การรอคอยดูเหมือนจะยืดเวลาออกไปอีก  คนตัวเล็กคิดแล้วท้อ  ทรุดร่างป้อมๆตัวเองลงกับพื้นปูน  ตอนนี้พระอาทิตย์ก็เริ่มจะตกดินมืดค่ำเริ่มมาเยือน...ไม่น่าเซอร์ไพรส์อะไรเลยเรา


     

                “มีเบอร์คนอื่นอีกมั้ยเดี๋ยวช่วยโทร  นี่มันจะค่ำแล้วนะ”  เทาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง  เพราะอีกคนดูไม่ประสีประสาเลยสักนิด  ทิ้งไว้คนเดียวอาจะถูกโจรลักขโมยหรือโดนทำร้ายได้  บ้านเมืองใหญ่คนพลุกพล่านมันไม่ได้น่าอยู่อย่างที่คิด

     

                ร่างสูงหยัดตัวขึ้นก่อนล้วงกระเป๋ากางเกงข้างหนึ่ง  มืออีกข้างก็เลื่อนสมาร์ทโฟนปลดล็อคหน้าจอเตรียมกดเบอร์  แบคฮยอนรีบบอกเบอร์ให้อีกคนช่วยโทรหาทันที  แม้เกรงใจแต่สถานการณ์แบบนี้มันหมดหวังจริงๆ

     

                “ไม่ติดแหะ  สงสัยมันโทรออกข้างนอกไม่ได้  นอกเสียจากนายจะไปซื้อซิมใหม่ที่ร้านตรงหัวมุมโน่นอ่ะ”  นิ้วชี้ไปยังร้านสะดวกซื้อเก่าๆแทบเขียวไม่ไกลจากตรงนี้นัก  แบคฮยอนทำตามแต่โดยดี  ทิ้งข้าวของไว้กับอีกคนด้วยความไว้ใจเต็มเปรี่ยม  ไม่ได้กังวลอะไรเลยทั้งนั้น

     

                ซื่อจริงๆด้วย...

     

                ไม่นานนักแบคฮยอนก็วิ่งมาพร้อมซิมใหม่  แต่เหมือนอุปสรรคจะยังไม่หมดเพียงเท่านั้น 

     

                “ไม่ติดอ่ะ...ทำไมไงดี” 

     

                คนหน้าหวานเริ่มเบะปากคล้ายจะร้องไห้ให้รู้แล้วรู้รอด  คิดถึงบ้านคิดถึงทุกคน...คิดถึงลู่หานมากที่สุด  ไม่น่าดื้อแพ่งเลยให้ตายเถอะ

     

                “แล้วทีนี้จะทำยังไงล่ะเนี่ย  เพื่อนนายอยู่ไหนพอจำได้บ้างมั้ย  ถนนหรือเส้นทางอะไรทำนองนี้”

     

                “หึ  จำไม่ได้เลย”  ตอบเสียงอ่อน  นั่งกอดเข่าปากค่ำหน้าจ๋อย  แหงนมองท้องฟ้าสีส้มใกล้ดับ 

     

                “ตกดึกอันตรายมากเลยนะ  ยิ่งนายดูซื่อๆ  ถ้าไม่ได้เจอฉันคงแย่แน่ๆ  ซุ่มซ่ามจ้นน่าตีจริงๆ”  เทาบ่นคล้ายตาแก่บนหลาน  เขาเพิ่งเคยพบเจอคนป้ำๆเป๋อๆแบบนี้ครั้งแรก  ไม่รู้อะไรเลยสักอย่างแถมดันไม่รอบคอบอีก

     

                “ขอโทษ... ฮึก  ไม่รู้ทำไงดีอ่ะ  คุณลู่หานหายไปไหนก็ไม่รู้ ฮือ  ฉันจะทำยังดี ฉันหาเขาไม่เจอฉันต้องตายแน่ๆ”  แบคฮยอนเริ่มร้องไห้งอแงพร่ำเพ้อความอึดอัดออกมา  “ฮึกฉันคิดถึงเขามากเลย คิดถึงแทบบ้าอยู่แล้ว”

     

                “เฮ้ย  อย่าร้องใจเย็นเว้ย”  เทาอุทานด้วยความตกใจ  เขายังไม่ทันทำอะไรเลยแค่บ่นนิดเดียวร้องไห้เสียแล้ว

     

                “ฮึก  ทำไมนายต้องพูดเหมือนเขาเลย  ฉันคิดถึงเขาหนักกว่าเดิมอีกแล้ว  ข้าวก็หิว  ฮือออ”

     

                “เอ้า เอ้อ  ร้องไห้เข้าไป  โตแล้วร้องไห้เป็นเด็กๆทำไมเนี่ย  เช็ดซะ”  คนหน้าดุพอขทมวดคิ้วก็ยิ่งดุ  คนตัวเล็กได้แต่สะอื้นหายในอกแล้วรับผ้าเช็ดหน้าสีชมพูมุ้งมิ้งมาซับน้ำตา  เทาอยากจะบ้าตาย...พอเห็นน้ำตาคนตรงหน้าแล้วตกใจทำไรไม่ถูกเลย

     

                “ขอบคุณนะ...ขอโทษด้วยที่ทำให้ลำบาก”  พอตั้งสติได้แบคฮยอนก็โล่งใจ  อย่างน้อยเจอคนดีๆแบบเทา


     

                “ไม่เป็นไร  ดีใจที่เจอนายไม่งั้นป่านนี้เป็นตายร้ายดียังไงบ้างก็ไม่รู้  บ๊องจริง”  ว่าแล้วก็ผลักหัวอีกคนเอนไปมา  ก่อนลุกไปหยิบน้ำในรถมาส่งให้อีกคนจะได้หายสะอื้นไวๆ  “เอางี้ดีป่าว  ไปพักกับฉันก่อนแล้วค่อยออกตามหากันพรุ่งนี้  ถ้าที่นายเล่ามาเป็นบริษัทสายพานตระกูลลู่ในปักกิ่งมีไม่มากหรอก  สิบยี่สิบช่วยๆกัน”

     

                “ขอบคุณมากเลยนะ...รบกวนนายมากเลย  นายต้องอดทำงานเลยดูสิ”  แบคฮยอนสีหน้าสลดลง  “งั้น  นายเปิดมิตเตอร์ตามหาด้วยดีมั้ย”

     

                “จะบ้าเหรอ  เพื่อนกันยามทุกข์ยากไม่คิดตังค์หรอก  ตอนนี้นายเป็นเพื่อนที่กำลังลำบากส่วนฉันคือเพื่อนช่วยเหลือเอง”

     

                “นายเป็นคนดีจัง  ดีใจที่มีเพื่อนแบบเทานะ” ดวงตาใสแจ๋วจองมองคนตรงหน้า  ความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณสื่ออกจากดวงตา  เทาทำหน้ารับส่งๆก่อนเบือนหน้าหนี...

     

                น่ารักเกินไปแล้ว  เหมือนลูกหมาเลยขืนปล่อยเดินเป็นหมาหลงแย่แน่

     

                คิดได้ดังนั้นจึงลากอีกคนขึ้นรถแท็กซี่ของตนแล้วพาไปหาที่ปลอดภัย  รอจนกว่าจะเช้าวันใหม่แล้วออกตามหาเพื่อนตัวเล็กคนนี้  

     

                แม้จะแปลกใจนิดหน่อยกับตัวเอง  จู่ๆกระตือรือร้นยุ่งเรื่องคนอื่นผิดวิสัย

     

                “จะพาไปที่อุ่นๆ  ตรงนี้มันเริ่มดึกเริ่มหนาว”

     

                “อื้อ...ขอบคุณมากนะ”


















     

               

                “คุณลู่หานคะ  เอกสารการรับรองเสร็จแล้วค่ะ”  หญิงสาวในชุดเดรสสีชมพูพาสเทลยาวถึงเข่าดูเรียบร้อย  เดินเข้ามาในห้องทำงานขนาดไม่กว้างมากเล็กมากของหัวหน้าดูแลงานชั่วคราว 

     

                คิ้วหนาขมวดย่นเมื่อเช้าวันต่อมาแสนปกติ  คนทำงานถึงกับต้องชะงักเมื่อเพื่อนรักตัวสูงโปร่งส่งข้อความประหลาดมาให้เขาตอนราวๆเก้าโมงกว่าว่า  เซอไพรส์มั้ย  บอกว่าให้คิดต่อกลับบ้างอย่ามัวแต่อินเลิฟกัน สั้นๆได้ใจความ  พอส่งกลับไปอีกฝ่ายคงอีกนานกว่าจะตอบกลับพอเงยหน้าดูเวลา  เหมือนส่งมาแซวเขาแต่ว่าแซวเรื่องอะไรนี่ไม่แน่ใจ  พอจะทำงานแล้วละทิ้งเรื่องไร้สาระนี้ไป  อยู่ๆหัวใจเขาก็บีบรัดไม่มีสาเหตุ  มันให้ความรู้สึกตื่นเต้นก็ไม่ใช่แต่กังวลก็เข้าที

     

                “หัวหน้าเป็นอะไรรึเปล่าค่ะ  สีหน้าดูไม่ดีเลย”   หญิงสาวตำแหน่งเลขาของผู้เป็นพ่อเอ่ยถามเขาด้วยความเป็นห่วง  เพราะเธอถูกฝากฝังไว้จากนายใหญ่ว่าให้ดูแลลูกชายเขาให้ดีจนกว่าจะเสร็จสิ้นงานตรงนี้

     

                “ไม่ครับ...เออนี่คุณเจียงครับ  ผมอยากทราบว่าตอนนี้หุ้นบริษัทเราอยู่ในระดับไหนแล้ว  ผ่านมาสองปีมันยังไม่ทรงตัวเลยเหรอ”  ลู่หานเอ่ยถามด้วยความเคร่งเครียด  ใจเขาทุกวันมันไม่ได้อยู่กับงานเลยสักนิด

     

                “ค่ะ  ตอนนี้หุ้นอยู่ในระดับถือว่าดีแล้ว  ถ้าพรุ่งนี้มันคงไว้แบบนี้ดิฉันว่าหัวหน้าน่าจะผ่านโปรแล้วค่ะ”  เธอตอบ  หลังรู้มาว่าหัวหน้าดูแลงานชั่วคราวคนนี้มาช่วยพยุงบริษัทสาขาปักกิ่งให้คงทีแล้วจะกลับไปเมื่อเสร็จกิจ

     

                “อ่าครับ  แล้วช่วงนี้มีใครมาหาผมบ้างมั้ย  คนเกาหลีอะไรทำนองนั้น”  ไม่รู้อะไรดลใจให้ถาม  ทว่าเลขาสาวกลับตอบว่าไม่มี  ทำให้ความระแวงปะทุขึ้นอีก  “ถ้างั้นไปได้แล้วครับ  ตรวจเสร็จผมจะวางไว้ตรงโต๊ะ  กลางวันนี้อาจไม่อยู่ยังไงก็เข้ามาเอางานได้เลยครับ”

     

                “รับทราบค่ะ”
     

               

                ด้วยความร้อนใจอยู่ไม่สุข  ใบหน้าใครคนหนึ่งที่คิดถึงทุกวันก็รอยวนมาแวบหนึ่ง  จิตเริ่มกระวนกระวายคว้าหมับโทรศัพท์เครื่องหรูมาถือไว้ในมือ  กดโทรออกหาผู้เป็นแม่

     

                รอสายไม่นานนัก  ปลายสายรับด้วยความดีใจ  น้ำเสียงชวนน่าสงสัยทำให้ต้องถาม

     

                “ม๊ามีเรื่องอะไรรึเปล่า  ทำไมไอ้ชานกับม๊าทำตัวแปลกๆ”

     

                เอ้  ม๊ามีความสุขที่เสี่ยวลู่มีความสุขไง

     

              “ถ้าได้กลับเกาหลีไปหาแบคฮยอนจะมีความสุขมากกว่านี้...”

     

              แหนะ!  ก็ลูกเลือกทางนี้เองไม่ใช่เหรอ  ม๊าบอกแล้วว่าอย่าไปอย่าไป  ไม่เห็นต้องไปสนใจคำพูดป๊าเลย

     

              “ลู่เห็นให้ห้องนิม๊า  มันดูแย่มากถ้าไม่ช่วยคงอกตัญญูเกินไปรึเปล่า”

     

              จ้า  ว่าแต่ทำไมเสี่ยวลู่พูดเหมือนไม่ได้อยู่กับหนูแบคเลยล่ะ?’  ผู้เป็นแม่เอ่ยถามอย่างสงสัย  ไหนจะความเงียบไม่มีติดต่อกลับมานั่นอีก  นึกว่าอยู่ด้วยกันเลยลืมไม่ได้ใส่ใจอะไรในเมื่ออยู่กับลูกชายตัวเอง

     

              “เอ้าม๊า  แกล้งอำกันแบบนี้ไม่สนุกเลยนะ ถึงจะบอกให้เขารอเพื่อวัดใจแต่ห้ามไปคบใครนะ  ลู่ไม่ยอมจริงด้วย  ม๊าสัญญาว่าจะจับตาดูให้แล้วนะ”

     

              ม๊าก็ดูให้นะ...แต่ม๊าไม่ได้อำเรื่องหนูแบคนะ  เขาไปหาเราที่ปักกิ่งตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ถึงอีกเหรอ  ใจคออีกฝ่ายฝั่งเกาหลีเริ่มใจคอไม่ดี

     

              “พูดเป็นเล่น  ม๊าบอกแบคฮยอนมาหาผมที่ปักกิ่งเนี่ยนะ  เมื่อวานด้วย?!

     

              ใช่!  เขารู้ว่าลูกเข้าใจผิดเรื่องเขากับชานยอล  มันไม่มีอะไรอื่นเลยนอกจากคำว่าเพื่อน เลยจะไปหาลูก...กะว่าไปเซอร์ไพรส์...โอ๊ยตายแล้ว!  อกจะแตก  ลูกสะใภ้หายไปไหน!’

     

                “...

     

              โอ๊ยตายทำไงดีเนี่ย!’

     

              สายถูกตัดทันที  ลูกชายตัวดีชิงวางไปก่อน  ตอนนี้ใจมันร้อนรุมเป็นไฟ 

     

                แบคฮยอน  นายอยู่ไหนกันเนี่ย!



















     

                ความรู้สึกราวกับว่าจะได้เพื่อนดีๆเพิ่มอีกคนคงเป็นจริง  หลังจากค้างบ้านอาเทา (เขาบอกให้เรียกงี้เช้าวันต่อมาเราสองคนรีบออกหาบริษัทสายพานในปักกิ่งที่มีมากกว่าสิบที่ทันที  ฟังเหมือนง่ายในตอนแรกแบคฮยอนคิดอย่างนั้น  ทว่ามันกลับฉุกละหุกไปหมด  รถติด คนเยอะ  ประเทศกว้างขวางขนาดนี้จะไปตามหาเจอได้ที่ไหน

     

                “ที่นี่มีสมุดหน้าเหลืองบ้างมั้ย”  แบคฮยอนเอ่ยถาม

     

                “มีมั้งไม่รู้สิ  หรือจะไปถามตำรวจ”


     

                “นายคิดว่าไง  ฉันจะไม่ถูกส่งกลับประเทศใช่มั้ยถ้าหาคนไม่เจอ”

     

                “ไม่โหดขนาดนั้นหรอกน้า...หน้างออีกแล้ว”  เทาว่าพลางเอื้อมมือมาดึงแก้มยุ้ยๆนั้นอย่างหมั่นเขี้ยว  เขาไม่แน่ใจเรื่องนั้นสักเท่าไร...อีกอย่างไม่ถูกกับตำรวจด้วย

     

                และ...เหมือนคนเห็นแก่ตัว  เขาอยากให้อีกคนหาเพื่อนเจอช้าลงเพื่อยืดเวลาการอยู่ร่วมกัน

     

                “เฮ้อ  แย่จังเลยเราไม่รอบคอบเลยสักนิด”

     

                “ฮ่าๆ  เพิ่งรู้ตัวเหรอ  อย่าเครียดดิ  เดี๋ยวก็เจอแล้วปกติบริษัทเขาจะเอานามสกุลขึ้นป้ายด้วยนะ  อย่างเช่นร้านนั่น  จาง”  ร่างสูงก้มหัวลงแล้วมองป้ายต่างๆตรงหน้าระหว่างรอไฟแดง  ชี้นิ้วให้คนตัวเล็กดูป้ายอักษรจีนขีดเยอะๆ 

     

                “อ๋อ  แล้วตึกใหญ่ๆนั่นอ่านว่าอะไรเหรอ”  แบคฮยอนชี้ไปยังตึกสูงใกล้สายตาริมฝั่งขวา  ร่างสูงมองตามมืออีกคนก่อนอ่านออกเสียง

     

                “นั่นอ่านว่าบริษัท...”  ทว่าชะงัก

     

                ลงชื่อตระกูลลู่...




     

                “เทา  เทาๆ”  คนตัวเล็กตีหน้ายุ่งพออีกคนอยู่ๆก็เงียบ  ไฟแดงแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว  ฝูงรถยนต์ขับเคลื่อนต่อไป

     

                  บางทีในชีวิตที่มันไม่มีอะไรดี  มันคงดีตอนนี้นั้นแหละ

     

                “โทษที”

     

                “ข้างหลังบีบแตรใหญ่แล้วนะ  รีบออกรถเหอะ”

     

                มันคือโชคดีของเขาที่เจอบยอนแบคฮยอน 

     

                “อ่า...งั้นไปกันเถอะ  ไปหาต่อกัน”

     

                ราวกับรักแรกในฤดูหนาว....หัวใจเบิกบานภายใต้หิมะกองโตที่ทับถม

     

                “โอเค...”

     

                เขากำลังทำผิด...แต่ขอร้องล่ะ  ขอรั้งเอาไว้หน่อยได้มั้ยความสุข

             


    45%
    อ่าวพี่เทา...ทำไมทำแบบนี้...เดี๋ยวเจอคุณลู่หาน!



     

               “ฮัลโหล  ชานยอลนี่ฉันเอง  ติดต่อแบคฮยอนได้มั้ย”  ลู่หานถามเสียงเครียด  เขาละงานทุกอย่างแล้วออกจากตึก  อากาศร้อนๆเทียบกับด้านใจอกไม่ได้เลยสักนิด  ราวกับลาวากำลังปะทุเดือดดาล 

     

                ฉันคิดต่อไม่ได้เลยวะ  ชานยอลตอบกลับ  นึกโทษตัวเองว่าทำไมไม่ซื้อโทรศัพท์ใหม่ให้อีกคน  อย่างน้อยถ้าติดต่อโดยการโทรไม่ได้ก็ยังมีโซเชี่ยล 

     

                “โธ่เว้ย!  ได้เรื่องแล้วโทรกลับมาด้วย  ฉันจะออกไปตามหา  อย่างน้อยถ้าหลงคงระแวกนี้แน่”

     

                ไม่รอล่ำลาล่ำไรใดๆทั้งนั้น  สองขาเรียวยาวก้าวฉับขึ้นรถคันหรูไม่ใช่ออดี้คันเดิม  สตาร์ทรถแล้วบ่งเครื่องไปหาทันที  สายตาสอดส่องตามทางเดินหาผู้ชายตัวเล็กๆสวมเสื้อยืดลายทางสีน้ำเงินขาว  ผมซอยสั้นๆสีดำนุ่มแบกเป้ใบใหญ่สีดำ  ดวงหน้าจิ้มลิ้มที่เขาไม่มีทางลืมแน่...

     

                ปึ่ง!

     

                เพราะมัวแต่ร้อนรนเลยไม่ทันสังเกตรถเลี้ยวมาอีกเลน  ทำให้เกิดการชนกันขึ้น  อารมณืที่เดือดอยู่แล้วยิ่งเดือดไปมากกว่าเดิม  การจารจรหยุดชะงักลงพร้อมคู่กรณีอีกคัน   ลู่หานประสาทเสียหนักกว่าเดิม  คนยิ่งรีบๆอยู่

     

                “ขอโทษนะครับ  คือว่าผมรีบมากถ้ายังไงรอสักครู่ได้มั้ยครับ จะให้เลขามาจัดการให้  ผมรีบจริงๆ”  ลู่หานพูดพร้อมยื่นนามบัตร  ขืนยืนรอประกันแบคฮยอนคงรอเขานานกว่าเดิมแน่ๆ

     

                อีกฝ่ายรับนามบัตรมาถือไว้ไม่ได้คิดจะอ่าน  ใบหน้าโครงเข้มมองรอยชนถลอกเล็กน้อย  ยกมือลูบๆคลำๆรถแท๊กซี่ของตัวเอง

     

                “ช่างเถอะครับ  ยังไงคันนี้รถผมเองเฉี่ยวชนนิดหน่อยไม่ต้องถึงประกันก็ได้”  ชายผิวเข้มเอ่ยอย่างสุภาพ   เขาไม่อยากให้วุ่นวายมากเรื่อง

     

                “งั้นขอคุณมากนะครับ  แต่ค่าทำสียังไงก็ติดต่อกลับมาได้  ผมผิดเองไม่ได้ดูทางเลยว่าคุณจะเลี้ยวมา  รับนามบัตรไว้ติดต่อผมโดยตรงเรื่องค่าเสียหาย  ขอโทษจริงๆนะครับ”

     

                “เอางั้นก็ได้ครับ” 

     

                “ทราบชื่อคุณหน่อยได้มั้ยครับ”  ลู่หานเอ่ยถามชื่ออีกฝ่าย  เกิดเบอร์แปลกโทรมาเขากลัวตัดสายทิ้ง

     

                “อ๋อ  ผมหวงจื่อเทาครับ  เรียกเทาเฉยๆก็ได้ครับ”

     

                “โอเคครับ  ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”  ลู่หานพูดจบ  ร่างสูงรีบวิ่งขึ้นรถทันทีไม่ทันได้สังเกต

     

                หลังฟิล์มกระจกสีชามีใบหน้าหวานเบ้ปากนั่งหน้ามู่ทู่อยู่ด้านใน

     

                ทว่า...

     

                เพียงเสี่ยวหนึ่งเขาเห็นด้านหลังของรถนั่งข้างคนขับแท็กซี่




     

                “แบคฮยอน!

     

                ปริ๊นๆๆ

     

                ไม่รอช้า  อินทีเรียหนุ่มบีบแตรเสียงดัง  หวงจื่อเทาถึงกับสะดุ้งเฮือกพร้อมๆกับคนตัวเล็กข้างๆ  เสียงบีบแตรดังไล่หลังไม่หยุดจนเขาต้องแวะลงข้างทางอีกครั้ง 

     

                “รถคันเดิมนี่นา  เขาอาจจะมีอะไรก็ได้นะ”

     

                “คงงั้น”

     

                พอรถจอดเท่านั้นแหละ  เสียงเคาะกระจกก็ดังต่อมา

     

                “แบคฮยอน!  เปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้นะ!

     

                “ลู่หาน!!

     




    50%
    เท่านี้ไปก่อนงิงุงิ  ขอปั่นสเปยาววววจน 100% ถึงลงนะรอบนี้




     

    ตอนนี้ทั้งสามคนนั่งอยู่ในห้องรับรองแขกของบริษัทตระกูลลู่  แบคฮยอนก้มหนางุดสำนึกผิด  มือขาวสวยกุมแก้วชาไว้แน่น  ปากหยักนิดน่ารักจิบน้ำเข้าไปเล็กน้อยเหมือนลูกเจี๊ยบ  เหลือกตาเรียวรีมองผู้ชายตรงหน้า

                “ตกลงเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ฮะ  นายลืมกระดาษที่อยู่แล้วไปเจอหมอนี่?”  ลู่หานบุ้ยหน้าไปทางจื่อเทา  หวงจื่อเทาคนขับแท็กซี่หน้าหล่อคมในจีน

                “งื้อ...คุณอย่าโกรธกันสิ”  แบคฮยอนหน้าง้ำงอคางชิดอก  ริมฝีปากบางชมพูยู่เล็กน้อยพลอยให้อีกคนเห็นแล้วใจอ่อนดุด่าไม่ลง  เขารู้สึกว่ารอบนี้ตัวเองเซ่อซ่าทำผิดจริงๆ  “ขอโทษน้า”

                ตอนแรกกะเจอลู่หานแบบวิ่งมากอดกันเหมือนในหนังรักโรแมนติก  แต่ไหงกลับออกมาอีหรอบนี้ได้กัน  นั่งสำนึกผิดได้ไม่นานเหมือนจื่อเทาจะทำหน้าหน่ายๆ

                “นี่คุณ  เขาก็ขอโทษแล้วไง?  เป็นเพื่อนหรือพ่อเขาเนี่ยบ่นจัง”  บางทีแบคฮยอนคิดว่าเทาควรเงียบ...

                “เป็นแฟนพ่อบ่นได้มั้ยล่ะ?”

                แบคฮยอนเหมือนลูกหมาที่เงยหน้ามาหูตั้งเมื่อเจออะไรดีๆ  คำพูดนั้นเหมือนประโยคที่อยากได้ยินมานานแล้ว...

                “คุณว่าไงนะ”  แบคฮยอนกับจื่อเทาพูดพร้อมกัน

                “เป็นแฟนนี่พอจะบ่นได้มั้ย”  ลู่หานทวนอีกรอบ  คราวนี้หันไปทางแบคฮยอนตัวน้อย  ดูเหมือนห่างกันนานตัวเล็กของเขาดูอ้วนขึ้น  “เด็กดื้อเอ่ย  ทำไมต้องให้พูดซ้ำ...อย่าบอกนะว่ามีแฟนใหม่ไปแล้ว!

                “จะบ้าเหรอ  ผมไม่ใช่คนใจง่ายแบบคุณนะ”  แบคฮยอนแห้วใส่

                “ปากดีจริงๆ”  ดึงปากเล็กๆเรียวๆนั่นสักที  ส่งสายตาให้จื่อเทาทำนองว่าหมดธุระแล้วกลับไปสินั่งทำอะไรอยู่

                “เห้...นี่พอเจอกันแล้วฉันหมดประโยชน์งั้นสิ”  ราวกับว่าเขาอกหัก...

                “เออรีบไปเลย  ขอบใจมากที่ดูแลเขาตอนนี้จบแล้ว”

                คนตัวเล็กรู้สึกผิดกับเพื่อนตัวสูงตรงหน้าเหลือเกิน  เทาดีกับเขามากไม่รู้จะตอบแทนอะไรได้บ้าง  มือเล็กยกขึ้นโบกลาคนตาคม...

                “โชคดีนะ  ถ้ามีโอกาสอยากเจอนายอีก”  เทาเอ่ยออกมา  แผ่นหลังกว้างหยุดชะงักเมื่อสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างรั้งไว้อยู่

                “นี่  เป็นเพื่อนกันต้องมีเบอร์กันสิ”  คนตัวเล็กยิ้มกว้าง  สิ่งโทรศัพท์เจ้าปัญหาให้คนตรงหน้ากดเบอร์ตัวเอง  ภาษาจีนสักคำพึมพำเปรยๆ  เหมือนบ่นงุงิอะไรสักอย่างแต่ก็ยอมรับมันไปกด  เมมชื่อว่าเพื่อนเบอร์หนึ่งเสร็จก็เดินจากไป  ก่อนกลับเขาไม่ลืมลูบหัวทุยๆนั้นเป็นค่าตอบแทนเรื่องเมื่อวาน  อยากจะแกล้งเจ้าหน้าอ่อนตรงหน้าด้วย 

                “เฮ้ย  มาจับหัวแฟนคนอื่นได้ไง”  คำว่าแฟนเต็มปากเต็มคำทำให้แบคฮยอนฉงนนึกขึ้นได้  ตอนแรกบอกเทาไปว่ามาหาเพื่อน

                “เทาขอโทษแล้วก็ขอบคุณมากนะ”

    ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงบ  ห้องกว้างมีเพียงเสียงแอร์ฮึมฮัมเบาบาง  คนสองคนยังคงนิ่งไม่มีใครพูดอะไรออกมาเหมือนก่อนหน้า  กรอบตาเรียวรีเริ่มกระตุกเพราะเกร็งขาเป็นเวลานานคล้ายเหน็บจะกิน  เขาไม่กล้าพูดออกไปก่อนกลัวอีกคนสวนคำดุมาจะหงอเอา  ทั้งๆที่ในใจอยากกระโจนกอดจะตายชัก  แต่ทำไมเขากลับรู้สึกแปลกๆ...

    บางทีสองปีอาจจะนานไป

    นานจนอะไรๆก็เปลี่ยน

    “คิดอะไรอยู่”  ลู่หานเอ่ยขึ้นหลังเรียบเรียงคำพูดในหัวเสร็จ

    คนตัวโตกำลังใช้ความคิดว่าควรทำยังไงดี  เขาตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก  เมื่อกี้ดูหลุดๆไปเสียหมด  อยากจับเด็กป่วนมากอดหอมฟัดให้จมอกแต่ไม่รู้ว่าใช่เวลามั่ย  เขาควรขอโทษเป็นอย่างแรกดีรึเปล่า  ควรพูดว่าคิดถึงมากจนแทบบ้า หวงมากตอนอยู่กับคนอื่น... ทั้งหมดทั้งมวลมันตีกันจนวุ่นวายไปหมด  เขาอยากบอกให้อีกคนฟังความอัดอั้นนี้

    "เปล่าครับ..."  เหมือนแฟรชแบคย้อนไปตอนแรกที่เรารู้จักกัน  แบคฮยอนพูดจาสุภาพด้วยภาษาทางการ

    "แบคฮยอน ทำไมพูดแบบนั้น"  ลู่หานดีหน้ายุ่งไปหทดแล้ว  เขารู้สึกแย่ตอนได้ยิน

                เราห่างเหินกันขนาดนี้เลยเหรอเขาเองใช่มั้ยที่ทำมันพัง


    แววตาเยิ้มตัดพ้อ  น้ำเจิ่งนองขอบตาแสนร้อนผ่าว  ปากคว่ำสั่นระริกเกิดจากการสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้  คางมนถูกเชยขึ้นก่อนสัมผัสอุ่นๆจะประทับลงบนผิวเนียนนุ่มอมชมพูด้วยริมฝีปากของเจ้าของหัวใจ  ซับน้ำตาหยดใสไล่ลงมาเรื่อยๆ... สองดวงตาจดจ้องลึกเข้าไปคล้ายหากุญแจมาเปิดไข...ร่างสูงเอียงศีรษะให้ได้องศา  เคลื่อนใบหน้ารูปงามหวังความหอมหวาน...






     

    ก๊อกๆ  ก๊อกๆ

    “คุณลู่หานค่ะ  จากท่านประธานใหญ่โทรมาบอกมีเรื่องด้วยค่ะ  ให้ฉันรีบมาต่อสาย”  เสียงเลขาสาวเอ่ยขึ้นขัดจังหวะอยู่ด้านนอกประตูไม้บ้านยาว  ทั้งสองผละห่างออกจากกันก่อนแบคฮยอนจะสูดอากาศเข้าปอดเฮือกสองเฮือกเรียกขวัญกลับมา ลู่หานขยี้ผมนุ่มสีเข้มอย่างหัวเสีย

    “ผมเข้าใจแล้ว”  เขาพูดเสียงห้วน  ชักสีหน้าไม่พอใจคนด้านนอกพาลไปถึงบิดาของตนด้วย  “เดี๋ยวมาต่อนะ  อยู่เฉยๆเลย”  เลียริมฝีปากตัวเองก่อนเดินไปรับสายใน

    “จะบ้ารึไง!”  แบคฮยอนแว้ดใส่ก่อนลุกออกจากห้องไป

    ปัง!

    เสียงปิดประตูดังสนั่นไปทั่วห้องรับรอง  ลู่หานกระตุกยิ้มมุมปากก่อนเปลี่ยนเป็นกว้าง อยากจะรีบคุยให้เสร็จๆแล้วไปแกล้งเจ้าจอมยุ่งต่อ  ไม่รู้ป่านนี้เดินหายไปไหนแล้ว

    “ว่าไงป๊า”  น้ำเสียงสบายๆส่งผ่านไปยังปลายสาย  ตระกูลลู่แทบลมจับ

    วะ!  เวลานี้ยังเริงร่าอีกเหรอฮะ  น้องหายไปแล้วทำไมไม่ออกไปตามหา

    “ป๊า ผมลืมโทรบอกไปเลยว่าเจอแบคฮยอนแล้ว” 

    จริงเหรอ’  หลายเสียงรุมกันถาม  แย่งโทรศัพท์กันจนสั่นไปมา  หลักเป็นเสียงของคุณย่ากับม๊านั้นแหละ  ‘แล้วเป็นไงบ้าง  เจอหนูแบคที่ไหนอะไรยังไง เป็นอะไรมากรึเปล่า  เมื่อวานพักที่ไหน  โถ่...รู้งี้ม๊าน่าจะไปด้วยผู้เป็นแม่เอ่ย

    “ไม่ครับไม่เป็นอะไรเลย  สบายดีอยู่เนี่ย”  ว่าแล้วก็เหมือนนึกอะไรออก  ลู่หานไม่ได้อธิบายอะไรให้มากความ  “ม๊า...ลู่ขอคุยกับป๊าหน่อยสิ”










     

    แบคฮยอนเดินเงอะงะออกจากห้องรับรองด้วยสภาพหน้าแดงเทือก  ร้อนระอุผ่าวๆวูบวาบ  เรียกง่ายๆว่าเขาเขินจะแย่  ไปไหนได้ไม่ไกลเพราะที่นี่กว้างขวางมากกลัวจะหลงอีกเลยทิ้งตัวลงตรงเก้าอี้หน้าห้อง  สงบสติก่อนสักพักค่อยเจอหน้ากันดีกว่า...

    ก็เมื่อกี้เราเกือบจะ...จุ๊บกันป่ะ?  งื้อออ

    ยังไม่ทันตั้งสมาธิให้มั่นคนแก่บ้าบอโผล่หน้าออกมาจากห้อง  หันซ้ายขวาเหมือนหาว่าคนตัวเล็กอยู่ไหน  พอเห็นเป้าหมายร่างสูงก็รีบสาวเท้าออกมาจากห้องด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่งอารมณ์ดี  พนักงานเดินผ่านไปมาเลี้ยวหลังกันเป็นแถบ  ปกติลู่หานหล่ออยู่แล้วพอยิ้มเท่านั้นแหละ...โลกสว่างเลยทีเดียว

    “มานั่งเป็นหมาหงอยอะไรตรงนี้”  ร่างสูงทิ้งตัวนั่งยองๆตรงหน้า  ช้อนตามองอีกคนที่ก้มหน้างุดปากยู่จนน่าหมั่นไส้ 

    “...”

    “เลิกเขินได้แล้ว  เดี๋ยวไปกันเลยดีกว่าวันนี้เลิกงานเร็ว” พูดเสร็จคนตัวโตกว่าก็หยัดตัวขึ้นตรงพร้อมส่งมือให้อีกคนจับ  “กลับบ้านชั่วคราวของเรากันดีกว่า”



     

    “โห...บ้านสวยจัง”  แบคฮยอนพูดคำนี้หลายรอบหลังลงจากรถ 

    บ้านชั้นเดียวสีขาวไม่เล็กไม่ใหญ่มาก  มีจำนวนสี่ห้องนอนกับห้องน้ำในตัวสองห้อง  ห้องน้ำรวมหนึ่งห้อง  ครัวถูกตกแต่งโทรสีครีมละมุน  มีเค้าเตอร์กว้างสะดวกแก้การทำอาหารทำขนม  มือเล็กเปิดปิดประตูห้องนั้นห้องนี้อย่างมีความสุข  เขาชอบมันมากจริงๆน่ารักเหมาะสำหรับครอบครัวหนึ่งในจีน  ถ้าเทียบกับบ้านลู่หานที่เกาหลีเขาชอบหลังนี้เสียมากกว่า

    “อย่าวิ่งดิวะ  มาช่วยกันยกของก่อน”  อินทีเรียหนุ่มตะโกนลั่น  สองแขนเต็มไปด้วยกระเป๋าเอกสารกับกระเป๋าเสื้อผ้าเป็นเป้

    “แง้ว  คุณขอโทษ”  สิ้นเสียงร่างเล็กวิ่งตรงมาคว้ากระเป๋าของตัวเองไปถือ  สองขายาวก้าวฉับวางของทั้งหมดลงบนโซฟา  เหลือบเห็นข้าวของเครื่องใช้ที่แบคฮยอนพกพามาแล้วอดสงสัยไม่ได้

    “ทำไมเอาเสื้อมาน้อยจังวะ”

    “ผมกะเจอคุณแล้วลากกลับเกาหลีเลย”  พูดไปยิ้มไป  เขาคิดอย่างนั้นจริงๆ 

    “ตลกมั้ย...มานั่งนี้เลยเร็ว  เรามีเรื่องต้องคุยกันยาวเลย”  ลู่หานยกแขนขึ้นกอดอกวางมาด  อดเบ้ปากใส่ไม่ได้  คนตัวเล็กเดินต้วมเตี้ยมมานั่งลงตามคำสั่ง

    “ผมพูดก่อนได้มั้ย”  แบคฮยอนพูดขึ้น เขาต้องการอธิบายความเข้าใจผิดให้ลู่หานเข้าใจจริงๆ

    “ว่ามาสิฉันรอฟังอยู่”  ใบหน้าหล่อคมกับดวงตาโตจดจ้องมาทางเขา...

    “คือว่าที่จริงแล้วผมกับชานยอลเราไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนะ  ผมไม่ได้รักชานยอลแบบนั้น...คุณอย่าเข้าใจผิดแล้วหนีมาแบบนี้ซี่...”  เขาไม่รู้จะพูดยังไงให้ดูจริงใจและจริงที่สุด  เขาแค่อยากให้เชื่อใจกัน  ปากเริ่มง้ำงอเล็กน้อย  “ตอนไม่มีคุณอยู่มันแย่กว่าตอนอยู่คนเดียวซะอีก  เดินไปตรงไหนมันก็คิดถึงคุณ  นอนไม่หลับเพราะคุณทั้งนั้นเลย ผมร้องไห้จนทุกคนเขาบอกว่าให้รอเดี๋ยวคุณก็มา...รอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นจะมาสักที รู้ทั้งรู้ว่ารักใครไม่ได้ยังผลักไสไล่ส่งไปหาคนอื่นอีก  ตัวเองหนีมาไกลขนาดนี้แท้ๆ  รู้มั้ยว่าผมเก็บเงินเท่าไรกว่าจะได้ค่าเครื่อง ถ้าชานยอลไม่มาหาคุณผมคงไม่รู้ว่าเข้าใจผิดกันอยู่แบบนี้หรอก”

    “...” 

    คนตัวสูงไม่ได้พูดอะไรมากกว่านี้  เขาเงียบแล้วสำนึกผิดอยู่ในใจที่เต็มไปด้วยคำขอโทกับความโง่เง่าทำอะไรไม่คิด  สมควรถูกต่อว่า

    “แต่...พอเวลาผ่านไปผมก็รู้ว่ามันดีสำหรับเราแล้ว  ถ้าเกิดห่างกันแล้วยังคิดเหมือนกัน  รู้สึกเหมือนกันเหมือนเดิมแสดงว่ารัก ซึ่งผมคิดว่าได้คำตอบแล้วว่าคุณไม่เชื่อใจกัน  ดังนั้นอยู่ห่างกันแบบนี้แหละดีแล้ว”

    “อ้าวเฮ้ย  เดี๋ยวสิวะ!”  อะไรคืออยู่ๆก็เปลี่ยน 

    “ผมคิดดีแล้วล่ะ  คุณมันงี่เง่าเกินไปทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่” ปากบางเอื่อนเอยออกมาแจ้วๆ  น่าตีนัก!

    ลู่หานคว้าหมับที่มือสวยไว้ไม่ให้เดินหนีไปไหน 

    “ใจเย็นดิวะฟังกันก่อน  อย่าเดินหนีด้วย” 

    “ไม่! ผมคิดดูแล้วว่าพิสูจน์ใจกันคุณไม่เชื่อใจผมแถมทำอะไรไม่คิด  เห็นแก่ตัวด้วยแงะ”

    “หึ ดื้อจับจูบจริงด้วย  เอาให้อายถึงพรุ่งนี้เลย” 

    “...”

    “ฟังก่อนเลยหยุดคิดเองได้แล้ว  ยอมรับก็ได้ว่าตอนแรกเห็นแบบนั้นแล้วมันฟุ้งซ่านไปเองพอจะกลับไปแก้อีกทีมันไม่ทันแล้วว่ะ ตอนเกิดเรื่องสับสนด้วยซ้ำไม่รู้เลือกอะไรก่อนดี  เลยคิดว่าเออก็ดีเหมือนกันนายอาจจะอยากเลือกหรือพบเจอคนใหม่ๆ  ยังไงกลับมาฉันคิดไว้แล้วถ้านายมีคนใหม่ฉันจะไปแย่งคืน”

    “คุณนั้นแหละตลกมั้ย  ไปนั่งเล่นตรงนั้นป่ะ”  แบคฮยอนเอ็ด  คนบ้าอะไรวะคิดเองเออเองคือตัวเองนั้นแหละ ชิ!

    “ปากเนี่ยดีจัง”  บีบปากเป็ดเสียงเจื้อยแจ้วบ่นต่อว่าเขาไม่หยุด  “มีเหตุผลอยู่หรอก ตอนนั้นฉันกลับบ้านไปเจอเอกสารสำคัญของป๊าเขา  สายพานสาขาปีกกิ่งกำลังแย่  มีคู่แข่งเยอะมากแล้วเฮียเขาดูสาขาที่เกาหลีอยู่ ป๊าอาการไม่ค่อยดี  หมอเขียนใบสั่งมาให้พักผ่อนป๊าก็ไมม่พักโหมงานหนักกว่าเดิมอีก...เลยนั้นแหละ”

    “แล้วทำไมคุณไม่บอกผมอ่ะ  อยู่ๆหนีมาแบบนี้...ไหนว่าเป็นครอบครัวกันไง” 

    ใช่เลย...แบบนี้เขาเรียกทิ้งคนในครอบครัวรึเปล่า

    “อ่าฮะ  ขอโทษแต่...มันน่าน้อยใจมั้ยวะ  อุตส่าห์ไปหาดันเจอยืนกอดกับคนอื่น”

    “...ใคร?”

    “ชานยอลไง  นายกอดกับมันหน้าบานเลยไง”

    “นี่คุณยังสงสัยความสัมพันธ์ของผมกับชานยอลอีกเหรอ”

    ตลก  คนบ้าอะไรทำตัวเหมือนเด็กไปได้  เขาบอกจนปากเปียกปากแฉะแล้วว่าไม่มีอะไรกันมากกว่าคำว่าเพื่อน  ต้องพูดกี่ครั้งถึงเข้าใจเนี่ย

    “ไม่ได้สงสัยแต่ว่าไงดีวะ  เชื่อใจนะเว้ยแต่มัน...มันหวงอ่ะ”

    “แล้วทำไงถึงเลิกคิดมากเนี่ย”  แบคฮยอนเหมือนตัวเองเป็นคนแก่แทน

    “แต่งงานกัน...แต่งงานกันเลยเถอะจะได้ไม่ต้องมีใครมายุ่มย่ามกับเรา” 

    พูดจบทั่วทั้งห้องที่เคยอึมครึมก็ปกคลุมรอบบริเวณด้วยแสงสว่างสีส้มอมเหลืองจากห้องมืดครึ้ม  เรามองเห็นหน้ากันและกันมากขึ้น

    แบคฮยอนขมวดปมคิ้วพันยุ่ง ลอบมองเสียงฝนตกเปาะแปะลงมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย  ฟ้าร้องด้านนอกทำเอาเขาสะดุ้งโหยง  ลู่หานรีบเขยิบเข้ามานั่งใกล้ๆพร้อมดึงตัวเขาไปซุกอกอุ่นๆอีกคน  ร่างสูงยิ้มเบาบางกับท่าทีที่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน 

    ความจริงแล้วไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด...ทั้งเขาทั้งผมและความรักของเรา

    “อุ่นจัง” เสียงหวานกระซิบแผ่วเบาหวังให้สายฝนนั้นกลบไป

    “ถ้างั้นแต่งงานกัน...”

    “งื้อ...ไม่แต่งได้มั้ย  คือ...แบบ”

    “ไม่เอาต้องแต่ง  แต่งงานกัน”  ลู่หานดื้อแพ่งเถียงไม่หยุด เสียงในด้านนอกเริ่มตกหนักขึ้นดังกลบเสียงพูดคุยเราเลื่อยๆ  จากเบาๆกลายเป็นตะโกนแข่งฝน

    “จะไม่มีการแต่งงานอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น”  แบคฮยอนตะโกนใส่อีกคนท่ามกลางสายฝน

    “เอ้า  จะอะไรอีกวะ  ทุกอย่างก็ลงตัวแล้วนี่”  ลู่หานแทบหน้าแตกถลาลงพื้น  อะไรคือการที่เขาจัดบรรยากาศโรแมนติกนี้ขึ้นมาเพื่อขอแต่งงานกลับถูกปฏิเสธ  “นิ...เดี๋ยว  นายนอกใจฉันตอนไม่อยู่ใช่มั้ยฮะเลยไม่ยอมแต่งงาน ใครไอ้หมอนั่นมันเป็นใคร  ถึงฉันจะบอกไปว่าให้ลองเปิดใจดูก็ใช่จะทำแบบนั้นสิ”  ถูกดุยาวเหยียดจนคนตัวเล็กหน้างำ้หงอ

    แบคฮยอนเบ้ปากคว่ำลงจนหน้าดึงปากเสียจริง  สุดท้ายไม่พ้นวกกลับเรื่องเดิม 

    “ไม่ใช่...ก็แหม....คือว่า”  คำพูดตะกุกตะกัก  ทำให้คนฟังยืดอกฟังอีกครั้ง  รอลุ้นคำตอบ

    “ว่า?”

    “ก็แหม  จู่ๆก็มาขอแต่งงานมันแปลกๆนี่นา”

    “มันแปลกตรงไหนวะ  คนรักกันก็ขอแต่งงานให้เป็นกิจจะลักษณะให้เกียรติอีกฝ่าย  ครอบครัวไง”  ลู่หานว่าเขากำลังจะสติแตก  “ไม่รู้แหละยังไงนายก็ต้องแต่งกับฉัน  หรือจะคบแบบนี้ไปเรื่อยๆก็ได้”

    “คนบ้าเอ้ย  ตัวเองเป็นคนเขียนจดหมายฝากฝังแฟนให้กับชานยอล  ไล่ให้ไปเปิดใจให้เพื่อนตัวเองแท้ๆแล้วจากนั้นก็หายไปไม่ติดต่อกันเหมือนตัดขาดกันแท้ๆ พอผมมาตามคุณ  พอเราเจอกัน...คุณก็มาขอแต่งงาน  ออกแนวบังคับขู่เข็ญอีกด้วย  ตีหน้าอย่างกับยักษ์ทั้งที่ตัวเองนั่งรอเฉยๆเขาก็มาหาแท้ๆ  มันไม่แปลกไปหน่อยรึไงเล่า”  คนตัวเล็กอธิบายความรู้สึกมากมายที่บอกยังไงก็ยังไม่หมดนี้ออกมาให้คนตรงหน้าได้รับรู้  ถึงเขาจะเคืองเรื่องที่ทิ้งกันไปอยู่ก็ตาม  “พูดคิดถึงสักคำก็ไม่มี...”

    ลู่หานถอนหายใจเฮือกใหญ่ยาวๆสองสามที  ใบหน้าหล่อคมคายมากขึ้นกว่าแต่ก่อนส่ายศีรษะเอียงคอช้าๆ  สีหน้าเหยเกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับความสลับจ้องมองใบหน้าแฟนตัวเล็กตัวป่วน

    “เฮ้อ...”

    “อะไร! ถอนหายใจทำไมมิทราบ”  แบคฮยอนฉุนกึ่กเมื่ออีกคนทำตัวไม่สมกับคนเพิ่งขอแต่งงานเลยสักนิด

    “เปล่าเว้ย  อย่าคิดมากได้มั้ยฮะ  รู้นะว่าคิดไรอยู่อ่ะ”  ลู่หานดักคอทันความคิดอีกคน

    “ทำไมต้องผีเข้าผีออกด้วยอ่ะ”

    “ดูเข้ากันได้ดีออก  ถ้าไม่แต่งไม่หลับเกาหลีดีมั้ย”

    “ไม่!  จริงๆนะเว้ย  ไม่ต้องกลับมันแล้วอยู่นี้แหละ”

    “ไม่เอา  แต่งก็ได้ สวมแหวานพอมั้ย...แบบผมไม่อยากให้ใครรู้เยอะ” ร่างสูงหัวเราะหึหึให้ลำคอ  เขาคลายอ้อมกอดออกเพราะเสียงฟ้าเริ่มลดลงแล้วผละออกไปหยิบของบางอย่าง

    แบคฮยอนนั่งรอไม่นานแสงไฟในบ้านทั้งหลังสว่างพรึ่บ  เทียนปลอมดับลงพร้อมๆกับความโรแมนติกมลายหายไปในเวลาอันสั้น  เขากวาดตามองห้องรับแขกสะอาดเป็นระเบียบพลางใช้สายตาหาเจ้าของบ้านหลังนี้  ลู่หานหายเงียบไปสิบนาทีกว่าๆก่อนออกมาพร้อมอะไรบางอย่างลังใหญ่

    “อะไรอ่ะ”  ใจนึกถึงกล่องแหวนอะไรเทือกๆนั้น สีหน้าฉงนถูกทำให้กระจางชัดขึ้น ไม่ใช่แหวนเพชรในกล่องหรู  ไม่ใช่สร้อยหรือเครื่องประดับอะไร

    “ฉันคิดไว้ว่าถ้าเจอกันฉันจะให้นายเซ็นให้”  ลู่หานเอ่ย 

    มันคือหนังสือนิยายของเขาที่แต่ก่อนถูกว่าสารพัดว่าห่วยอย่างนั้นแย่อย่างนี้ แล้วลู่หานเอามันมารวมเล่มให้...มีบอกวันทีเวลาด้านในพร้อม

    “ฮึก...”

    “เล่มนี้ตอนเราแต่งด้วยกัน  ฉันชอบเรื่องนี้นะเพราะส่วนหนึ่งเป็นของฉันเอง แต่ถ้ารักคงเรื่องนี้”  รอยยิ้มละมุนจุดเล็กๆฉายขึ้น  เขาหยิบบางอย่างออกมาส่งให้แบคฮยอนดู  หนังเรื่อง take me home “ฉันบอกนายทุกครั้งว่ารอหน่อยแบคฮยอน  ฉันกำลังกลับไป...”

    “ผม...ผมรักคุณนะ”  เด็กขี้แยกระโจนกอดอีกคนเต็มเหนียวแบบที่ชอบทำแต่ก่อน

    “กลับบ้านกันนะ”

    “อื้อ!  ผมมารับคุณ  ฮึก  กลับบ้านแล้ว”





    ผมเคยสงสัยอยู่ว่าระหว่าง House กับ Home มันต่างกันยังไง  ตอนนั้นเขาถอดรหัสคำเหลานั้นด้วยความคิดกร่างเต็มไปด้วยอคติกับมันและโหยหาความอบอุ่นเติมลงในคำเหล่านั้น  แต่ตอนนี้ลู่หานรับรู้แล้วล่ะว่ามันมีความหมายต่างกันตรงไหน  แบบไหนคือสิ่งที่เขาต้องการมาตลอด  ไม่ใช่ House บ้านที่เป็นวัตถุภายนอกดูโอฬารมีรั้วเป็นป้อมปราการ  ห้อมล้อมไปด้วยของนอกกาย  ทว่ากับคำว่า Home  มันมีอะไรที่มากกว่านั้นคือครอบครัว...หากปราศจาก การใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมันจะเรียกว่าบ้านอย่างสมบูรณ์แบบได้อย่างไร

    ตลอดการใช้ชีวิตในบ้านหลังสีขาว  เขาเพิ่งเข้าใจว่าไม่ใช่แค่พ่อแม่ลูกก็สมบูรณ์ได้  คำว่าครอบครัวไม่ใช่แค่คนมาอยู่ร่วมกันหากแต่ต้องมีความรักที่เกิดจากการเข้าใจ  การดูแลเอาใจใส่กันและกัน  ความเป็นห่วงใย เรียนรู้เปิดใจที่จะรู้จักอีกคนให้มากขึ้นถึงจะเป็นความรักที่แท้จริงได้


    เวลาทะเลาะกันความรุนแรงจะทวีมากขึ้นแต่ถ้ามีความเข้าใจค่อยๆพูดคุยกันปัญหาก็จะไม่ยืดยาวจนสิ้นสุดอยู่ที่ความอดทนขาดสะบั่น  ข้อดีข้อเสียของฝ่ายตรงข้ามหากเราไม่ชอบมันก็ช่วยกันแก้ไขทีละเปราะ  ปัญหาไม่ได้มีไว้แก้เพียงคนเดียวเสมอไปหากเกิดขึ้นเราต้องช่วยกัน  เพราะเรามีคนอยู่รอบข้างที่เรียกว่าครอบครัว...

    โอฮาน่าที่แปลว่าครอบครัว  ครอบครัวหมายถึง  เราจะไม่ทิ้งกัน






    Let me go home
    I’ve had my run
    Baby, I’m done
    I gotta go home
    Let me go home
    It will all right
    I’ll be home tonight
    I’m coming back home


    กำลังกลับบ้านแล้วนะ รักโอฮาน่า






    HAPPY ENDIND
     



     

    จบแล้วววว  จบบริบูรณ์แล้วจริงๆค่า   คอมเม้นยาวๆกันได้เลยวิจารณ์แหลกไรงี้

    จุดพลุฉลองเลยเย้ๆ  แต่ความสุขยังมีสเปเชี่ยวต่อให้เล่มสามตอนจ้า

    ขอบคุณที่ติดตามกันมาถึงจนจบนะคะ  ทั้งโอฮาน่าเก่าๆกับโอฮาน่าใหม่ๆทุกคนเลย

    ขอบคุณแท๊กในทวิตแล้วก็คอมเม้นแรงเชียร์เป็นกำลังใจแสนยิ่งใหญ่นี้

    ขอบคุณยอดวิวและอีกหกร้อยกว่าคนในแฟบนั่น!!  เรามีเซอไพรส์ให้อิอิ

    ขอบคุณพ่อกับแม่ก่อนอย่าแรกเลยจริงๆเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องนี้

    ขอบคุณทุกคนอีกครั้ง  ขอบคุณลู่หาน  ขอบคุณแบคฮยอน

    อยากบอกอีกครั้งพีแต่งขึ้นเพราะอยากให้มออีกมุมหนึ่งของครอบครัว อยากให้คนอ่านคิดถึงครอบครัวกันหลังจากอ่านจบ  แต่เราคิดถึงพระเอกในฟิคใช่มั้ย!  5555+

    โอฮาน่าของเรา  จากนี้ขอฝากตัวและหัวใจด้วยนะคะ ชวิ้งงง  ทอร์คได้น่าเบื่อมากอ่ะคือไม่เก่งเลยจีๆเธอว ;-; เราจะพยายามให้มันมีสาระมากกว่านี้

    จริงๆอยากพิมพ์เล่มแจกทุกคนฟรีให้ไปนอนอ่านกันเลยทีเดียว  สำหรับคนที่หลังไมค์มาว่าไม่มีตังค์  ;__; พีอยากให้อ่านทุกครัวเรือนเช่นกันค่าแต่มันเกินกำลังงุงิ หยอดกระปุกรอเปิดพรีรอบสองละกันเนอะ!! จุ๊บบบบบบ

    ปล. หนังสือรอกันสักนิดนะคะ ;-; เราไม่เบี้ยว

     

    สปอยสเปเชี่ยล นิดนึง..

    คยองซูปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง!! 

    การไม่ลงตัวของคู่ชีวิต ลู่แบค

     


    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     



    ในที่สุดคำตอบผมก็กระจ่าง
    ความรักคือนิยาย
    นิยายของคุณและผม...




    ถ้าชอบก็เม้นและแท๊ก  #ฟิคกลับบ้าน
    พูดคุยกันนอกจากติดแท๊กก็  @peepanggy
    thank you:)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×