ประจำเดือน (Menstruation) เป็นเลือดที่เกิดจากการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก มีฮอร์โมนสองชนิดคือ Estrogen และ Progesterrone ควบคุมการสร้างและหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งระดับฮอร์โมนทั้งสองจะมีความสัมพันธ์กับการตกไข่จากรังไข่ โดยแต่ละรอบเดือนจะมีช่วงเวลาประมาณ 26-30 วัน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ทำให้ประจำเดือน เกิดขึ้นเฉลี่ยเดือนละ 1 ครั้ง
วงจรของการมีประจำเดือน (Menstrual cycle)
ผู้หญิงมีประจำเดือนครั้งแรกในช่วงอายุประมาณ 9 –16 ปี ซึ่งในแต่ละคนอาจจะมีประจำเดือนครั้งแรกช้าหรือเร็วต่างกัน แต่ถ้าอยู่ในช่วงดังกล่าวก็ถือว่าปกติ ในขณะที่ช่วงวัยหมดประจำเดือนอยู่ระหว่าง 40-45 หรือ 55 ปี แม้ว่าผู้หญิงจะมีระยะเวลาการตกไข่หลายปีก็ตาม แต่เป็นที่ทราบกันดีว่า ช่วงเวลาที่ควรจะมีลูกนั้น ไม่ควรเกินอายุ 35 ปี เพราะจะทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนทางกาย และลูกที่เกิดมาอาจมีภาวะบกพร่องทางปัญญาหรือทางร่างกายได้
ระดู หรือ ประจำเดือนในแต่ละรอบจะใช้เวลาโดยปกติประมาณ 28 วัน แต่ในวัยรุ่นระยะเวลาอาจไม่สม่ำเสมอ บางคนอาจจะมีช่วงยาวถึง 31วันก็ได้
1. ระยะเตรียมก่อนไข่ตก (Preovulation preparation or folicular phase)
ในระยะแรกของการมีประจำเดือนจะมีสิ่งสำคัญ 2 อย่างเกิดขึ้น คือ มีการเจริญเติบโตของไข่รอบละ 1 ใบ และมีการเตรียมผนังมดลูกเพื่อพร้อมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อนในกรณีที่ไข่ได้รับการผสม การเจริญเติบโตนี้เกิดจากการกระตุ้นของฮอร์โมน Folicle-stimulating hormone (FSH) จากต่อมใต้สมองพิทุอิทารี เข้าสู่กระแสเลือด ฮอร์โมน FSH มีผลทำให้ไข่สุกและกระตุ้นให้รังไข่สร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อมดลูก โดยกระตุ้นให้ผนังชั้นในสุดของ มดลูก (endometrium) ค่อยๆหนาตัวขึ้นและมีการขยายตัวของต่อมเล็กๆและเส้นเลือด ฮอร์โมน เอสโตรเจนจะมีปฏิกิริยาสะท้อนกลับไปที่ต่อมใต้สมองพิทุอิทารี ถ้าระดับของเอสโตรเจนในเลือดเพิ่มขึ้น การผลิตฮอร์โมน FSH ก็จะลดลง
2. ระยะตกไข่ (Ovulation)
เมื่อความเข้มข้นของฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงขึ้น สมองส่วนไฮโปธาลามัสจะหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้มีการตกไข่ คือ Lutenizing hormone (LH) จากต่อมพิทุอิทารี ทำให้ไข่ที่สุกเต็มที่แล้วหลุดออกมาจากรังไข่ เรียกว่า การตกไข่ (ovulation) หลังจากไข่หลุดออกมาจากรังไข่แล้ว บริเวณที่ไข่หลุดออกมาจะประกอบด้วยเซลล์เล็ก ๆ จำนวนมาก เรียกว่า คอปัส ลูเทียม (corpus luteum) ซึ่งจะกลายเป็นต่อมเล็ก ๆ ทำหน้าที่ในการสร้างฮอร์โมน
3. ระยะการหลั่งฮอร์โมนหลังตกไข่ (Luteal secretion)
เมื่อถูกกระตุ้นจากฮอร์โมน LH แล้ว คอปัส ลูเทียมจะเริ่มหลั่งฮอร์โมนที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ โปรเจสเตอโรน (progesterone) ออกมาร่วมกับเอสโตรเจน (estrogen) ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้จะกระตุ้นให้ผนังมดลูกหนาตัวขึ้น เพื่อให้อาหารไปเลี้ยงตัวอ่อน ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะส่งผลสะท้อนกลับไปที่ไฮโปธาลามัสให้ยับยั้งการผลิตฮอร์โมน GnRH อันจะมีผลทำให้ปริมาณของ FSH และ LH ลดลง
4. ระยะการมีประจำเดือน (Menstruation)
ถ้าไข่ไม่ถูกผสมกับอสุจิ คอปัส ลูเทียม (corpus luteum) จะฝ่อและหยุดการผลิตฮอร์โมน โปรเจสเตอโรน และระดับของเอสโตรเจนในกระแสเลือดจะลดต่ำลง ทำให้ผนังมดลูกด้านในที่หนาขึ้นจะหลุดลอกซึ่งมีทั้งเซลล์เนื้อเยื่อ ของเหลว และเลือด จะไหลออกมาทางช่องคลอดประมาณ 3 –7 วัน ซึ่งเรียกว่า ประจำเดือน หรือ ระดู ในช่วงนี้ระดับของ เอสโตรเจนจะยังคงลดลงเรื่อย ๆ และต่ำมากพอที่ต่อม พิทุอิทารี จะผลิต FSH และรอบของการมีประจำเดือนก็จะเริ่มต้น ขึ้นใหม่
กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (premenstrual syndrome)
เป็นอาการที่เกิดขึ้นเป็นประจำก่อนมีประจำเดือน 1-2สัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงหลังไข่ตก
อาการที่พบบ่อย ได้แก่
อาการทางกาย เช่น ปวดท้อง ปวดเมื่อยหลัง ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย น้ำหนักขึ้น เต้านมโตขึ้น รู้สึกตึง เจ็บ ความรู้สึกอยากรับประทานอาหารเพิ่มขึ้น ท้องอืด ถ่ายเหลว มีสิว
การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรม จิต อารมณ์ เช่น หงุดหงิด โกรธง่าย อารมณ์ตึงเครียด วิตกกังวล หลงลืม ขาดความสนใจไม่มีสมาธิ รู้สึกโศกเศร้า นอนไม่หลับ
อาการต่างๆ เหล่านี้จะลดลง และหายไปหลังมีประจำเดือนวันที่ 1-4 สาเหตุที่แน่ชัดยังอธิบายได้ยาก แต่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง และความไม่สมดุลของฮอร์โมนต่างๆ ในรอบประจำเดือน โดยเฉพาะโปรเจสเตอโรน ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นในระยะหลังไข่ตก นอกจากนี้ยังเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับไทรอยด์ฮอร์โมน prostaglandin norepinephrine estradiol gonadotropin และ serotonin สารเคมีในสมอง ความเครียด รวมถึงการได้รับสารอาหาร แร่ธาตุ หรือวิตามินบางอย่างไม่เพียงพอ สตรีวัยเจริญพันธ์ประมาณร้อยละ 75-80 มีอาการก่อนมี ประจำเดือนอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างร่วมกัน ความรุนแรงอาจเป็นเล็กน้อย ปานกลาง หรือรุนแรง จนมีผลกระทบต่อสุขภาพและชีวิตประจำวันได้ เช่น ปวดท้องรุนแรงเป็นประจำ ปวดศีรษะปวดเมื่อยหลังประสิทธิภาพในการทำงานลดลงต้องหยุดงาน
อาการปวดประจำเดือน (dysmenorrhea)
วิธีการบรรเทาอาการปวดประจำเดือน
การปฏิบัติในการบรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน และ อาการปวดประจำเดือน สตรีส่วนใหญ่ ใช้ยาในการบรรเทาอาการปวดท้องก่อนมีประจำเดือน หรือระหว่างมีประจำเดือนซึ่งเป็นการใช้ยาเอง การปฏิบัติในการบรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน และวิธีการบรรเทาอาการปวดประจำเดือน โดยใช้วิธีอื่นๆ ได้แก่ การประคบกระเป๋าน้ำร้อน การดื่มน้ำอุ่น การนวดด้วยตนเอง การออกกำลังกายแบบแอโรบิค โยคะ หรือ นอนพัก ซึ่งเป็นวิธีที่สตรีส่วนใหญ่นิยมใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดประจำเดือน โดยสตรีร้อยละ 84 ใช้วิธีนอนพักหรือนอนหลับ ร้อยละ 75 อาบน้ำอุ่น ร้อยละ 50 ประคบร้อน ร้อยละ 47 ดูโทรทัศน์ และร้อยละ 30 ออกกำลังกาย
ตัวอย่างขนาดยาที่ใช้บรรเทาอาการปวดประจำเดือน
· Diclofenac 25,50 มิลลิกรัม วันละ3 ครั้ง เมื่อมีอาการ
· Mefanamic acid 500 มิลลิกรัมรับประทานวันละ 3 ครั้ง หลังอาหารทันที
· Ibuprofen 400 มิลลิกรัม รับประทานวันละ 3 ครั้ง หลังอาหารทันที
· Paracetamol 500 มิลลิกรัม ครั้งละ 2 เม็ด เมื่อมีอาการ ไม่เกิน 8 เม็ดต่อ 1 วัน
ปริมาณของประจำเดือน
ประจำเดือนมามาก (menorrhagia)
ประจำเดือน คือน้ำเลือดที่ไหลออกมาจากโพรงมดลูก ซึ่งประกอบด้วยเลือดและเศษเนื้อเยื่อที่ไหลออกเป็นรอบๆ ตามสรีรภาวะ มีระยะห่างแต่ละรอบ (interval) 21-35 วัน และมีระยะเวลาช่วงที่มีระดู ไม่เกิน 7 วัน ดังนั้นภาวะที่มีเลือดออกเป็นรอบปกติแต่ออกนานเกิน 7 วัน ซึ่งมาสาเหตุหลายประการ มักเกิดจากความผิดปกติที่ตัวมดลูกหรือระบบเส้นเลือดที่มาเลี้ยงมดลูก สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ เนื้องอกมดลูก (myoma uteri) เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่โดยแทรกเข้าไปเจริญอยู่ในกล้ามเนื้อมดลูก (adenomyosis) ภาวะเลือดออกผิดปกติจากมดลูกที่เกิดจากความผิดปกติในระบบฮอร์โมน (dysfunctional uterine bleeding ; DUB) นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่พบได้ เช่น การใช้ยาคุมกำเนิด การใช้ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด ภาวะที่มีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ติ่งเนื้อเยื่อบุมดลูก (endometrial polyp) มะเร็งเยื่อบุมดลูก (endometrial carcinoma) เนื้องอกรังไข่ที่สร้างฮอร์โมน การติดเชื้อ การใส่ห่วงคุมกำเนิด การตั้งครรภ์ที่ผิดปกติ โรคของต่อมธัยรอยด์ โรคถุงน้ำหลายอันในรังไข่ (polycystic ovarian disease)
ประจำเดือนมาน้อย
เกิดจากภาวะที่มีระดับฮอร์โมน progestogen มากเกินไปหรือมีฮอร์โมน estrogen น้อย ทำให้ประจำเดือนมาน้อย
ยาเลื่อนประจำเดือน
ประจำเดือนเป็นกลไกที่เกิดขึ้นเองทางธรรมชาติ แต่หลายๆ ครั้งก็ทำความยุ่งยากให้กับผู้หญิง โดยเฉพาะในการเดินทาง ท่องเที่ยว หรือทำกิจกรรมต่างๆ จึงมีการใช้ Norethisteroneซึ่งเป็น ฮอร์โมน progesterone และมีการนำฮอร์โมนชนิดนี้มาใช้กำหนดวันมีประจำเดือน โดยกลไกการออกฤทธิ์ของยา คือ norethisterone เป็นอนุพันธ์ของ progesterone ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการหนาตัวของเยื่อบุมดลูกระหว่าง luteal phase ของรอบเดือน เพื่อรองรับไข่ที่ถูกผสม ระดับฮอร์โมน progesterone จะสูงใน luteal phase แต่ถ้าไข่ไม่ถูกผสม ระดับ progesterone จึงลดต่ำลง เยื่อบุมดลูกที่หนาตัวจะสลายไปเป็นประจำเดือน
ดังนั้นการรับประทานยาเลื่อนประจำเดือนจึงส่งผลให้ ระดับ progesterone สูง ในขณะที่รับประทานยาจึงทำให้ไม่มีรอบเดือนและทำให้มดลูกหนาตัวขึ้น เมื่อไข่ไม่ได้รับการผสม และหยุดรับประทานยาเลื่อนประเดือนจำเดือนให้ progesterone ลดต่ำลง เป็นผลให้เยื่อบุมดลูกที่หนาตัวหลุดลอกสลายไปเป็นประจำเดือน เข้าสู่ภาวะของรอบเดือน แต่การหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูกนี้ ไม่สามารถนับรอบเดือนตามปรกติได้แน่นอน จึงไม่ควรใช้วิธีนับวันสำหรับเดือนต่อไป
วิธีรับประทานยาเลื่อนประจำเดือน
วิธีการรับประทานยาเลื่อนประจำเดือนที่ถูกต้องคือ รับประทาน 1 เม็ด วันละ 2-3 ครั้ง ตามน้ำหนักตัว
· หากน้ำหนักตัวต่ำกว่า 60 กิโลกรัม จะรับประทาน 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง
· หากน้ำหนักตัวมากกว่า 60 กิโลกรัม จะรับประทาน 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง
สำหรับในผู้หญิงที่ทานยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวมอยู่แล้วต้องการเลื่อนประจำเดือน จะแบ่งออกได้เป็น 2 กรณี
· กรณีที่ 1 ทานยาคุมกำเนิดแบบแผงละ 21 เม็ด เมื่อทานยาคุมจนหมดแผงสามารถทานแผงต่อไปได้เลยไม่ต้องหยุดยาจะทำให้สามารถเลื่อนประจำเดือนได้
· กรณีที่ 2 ทานยาคุมกำเนิดแบบแผงละ 28 เม็ด เมื่อทานยาคุมไป 21 เม็ดแล้ว จะเหลือยาอยู่ 7 เม็ด ให้เริ่มทานยาคุมกำเนิดแผงใหม่ได้เลยโดยไม่ต้องรับประทาน 7 เม็ดที่เหลือในแผงเดิม เนื่องจากยา 7 เม็ดที่เหลือไม่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนและในผู้หญิงที่ทานยาคุมกำเนิดอยู่แล้วและใช้ยังทานยาคุมกำเนิดเพื่อเลื่อนประจำเดือนสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ และเมื่อหยุดทานยาปะจำเดือนจะมาตามปกติในอีกประมาณ 2-3 วัน

โปรดติดตามตอนต่อไปจ้าาาาาาาาาาาา 


อ้างอิง
1. ประจำเดือน.(2556).สืบค้นเมื่อ กันยายน 2556, จาก http:// th.wikipedia.org/wiki/ประจำเดือน
2. วงจรของการมีประจำเดือน.(2549).สืบค้นเมื่อ กันยายน 2556,จาก
http://www.elearning.msu.ac.th/opencourse/0709451/page03_01_04.html
ความคิดเห็น
การที่ผู้หญิงมักจะมีอาการหงุดหงิดในช่วงก่อนประจำเดือนมา หรือช่วงใกล้มีประจำเดือนนั้น เกิดขึ้นเพราะมีอาการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิงในช่วงเวลานี้นั่นเอง จนเกิดความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย อันเป็นเหตุให้ผู้หญิงบางคนต้องพบกับความผิดปกติต่าง ๆ ของร่างกายได้ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นอาการทางกาย หรืออาการทางใจก็ตาม
อาการทางกาย เช่น มีสิวขึ้น ตัวบวม ปวดท้อง ปวดหลัง ปวดเอว ปวดศีรษะ เจ็บคัดตึงหน้าอก หรือเต้านม มีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ซึมเศร้า กระวนกระวาย ไม่มีสมาธิ เดี๋ยวอารมณ์ดีเดี๋ยวไม่ดี เป็นต้น หากมีอาการในช่วงก่อนมีเมนส์มา 1 สัปดาห์ และพอรอบเดือนมาได้ 2-3 วัน อาการเหล่านี้ก็จะหายไปนั้น ก็ขอให้ฟันธงได้เลยว่า อาการเหล่านี้ก็คืออาการอันไม่พึงประสงค์ก่อนที่จะมีประจำเดือนนั่นเอง ค่ะ
จึงแนะนำอาหารพวกแงกานีส ได้แก่ พวก ธัญพืช ถั่ว เช่น ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวไรน์ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ อัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน รวมทั้งผักผลไม้อย่าง อโวคาโด สับปะรด คะน้า กะหล่ำปลี กล้วย องุ่น ฯลฯ แต่ถ้าให้มั่นใจควรจะปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัดน่ะค่ะ
กินยาแก้ปวดประจำเดือนบ่อยๆ จะมีผลเสียต่อร่างกายมั้ยคะ
คือจากการสอบถามจากเภสัชกรท่านหนึ่งนะคะ ได้บอกว่า การรับประทานยาแก้ปวดท้องประจำเดือนบ่อยๆนั้น ไม่ส่งผลอันตรายใดๆต่อร่างกายนะคะ ถึงแม้ว่าจะรับประทานทุกเดือน เนื่องจาก ในแต่ละรอบเดือน มีระยะเวลาที่เว้นห่างพอสมควรกว่าที่รอบเดือนครั้งต่อไปจะมาถึง ช่วงระยะเวลารับประทานยาก็ห่างไปด้วยเช่นกัน จึงไม่เป็นผลใดๆค่ะ
**แต่ก็ควรตรวจดูก่อนนะคะ ว่าอาการปวดของคุณ kuntida เป็นอาการปวดที่ผิดปกติหรือไม่
ถ้าเป็นเช่นนี้ ...
อายุ 30 ปีขึ้นไป ปวดประจำเดือนตลอดระยะเวลาของการมีประจำเดือน และอาการปวดทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกเดือน ให้ปรึกษาแพทย์ทันที
แต่ถ้าอายุไม่เกิน 30 ปีหรืออายุยังน้อย มีอาการปวดเฉพาะวันแรกให้รับประทานยาแก้ปวดได้
อยากจะฝากถึงอาการข้างเคียงของตัวยาด้วยนะคะ คือ ยาแก้ปวดประจำเดือนเหนี่ย ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มยา NSAIDs ซึ่งเป็นกลุ่มยาลดอาการอักเสบ ปวด ลดไข้ แล้วกลุ่มยานี้เหนี่ย อาจจะมีผลข้างเคียงคือ ท้องอืด ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องผูก หากไม่ได้รับประทานยาหลังอาหารทันที
วิธีแก้ .. รับประทานยาหลังอาหารทันที และดื่มน้ำตามให้มากๆค่ะ ^^
ก็คือว่า มันเป็นเรื่องปกตินะคะ ที่ช่วงมาประจำเดือนเหนี่ยจะมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ไม่ว่าจะเป็น กลิ่นปาก กลิ่นตัวว หรือแม้แต่บริเวณจุดสงวน ซึ่งเป็นบริเวณที่อาจทำให้ผู้หญิงอย่างเรา อาจเกิดความวิตกกังวล หรือเสียความมั่นใจได้นะคะ
***วิธีแก้ง่ายยๆเลยค่ะ คือ ...
1.การลดน้ำหนัก ; ต่อมเหงื่อและต่อมสร้างกลิ่นในคนที่น้ำหนักมากนะคะ จะทำงานหนักกว่าคนที่น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกตินะคะ การลดน้ำหนักให้ใกล้เคียงกับน้ำหนักปกติ จะทำให้ลดการทำงานของต่อมทั้งสองนี้ได้ค่ะ
2.การทำความสะอาดเพิ่ม ; ถ้ารู้สึกว่ามีกลิ่นแรง ควรจะอาบน้ำเพิ่มหรือทำความสะอาดเฉพาะบริเวณที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ค่ะ
3.ไม่สวมเสื้อผ้ารัดรูป ; เพราะทำให้อากาศไม่ถ่ายเท และอาจเกิดกลิ่นอับชื้นส่งผลให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์มากยิ่งขึ้นนะคะ
4.งดใช้น้ำหอม ; การใช้น้ำหอมกลบกลิ่นตัวหรือกลิ่นที่จุดสงวน จะทำให้กลิ่นผสมปนเปกัน ทำให้มีกลิ่นที่แรงกว่าเดิมค่ะ 5.กินอาหารย่อยง่าย ; บางคนมักท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือห้องผูก ขณะที่มีประจำเดือนอาจจะส่งผลต่อกลิ่นในช่องปากได้นะคะ ดังนั้น ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ผัก ผลไม้ จะช่วยลดปัญหาในระบบการย่อยและลดปัญหากลิ่นไม่พึงประสงได้ดียิ่งขึ้นค่ะ
ลองปฎิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้ดูก่อนนะคะ ผลลัพธ์เป็นอย่างไร ? สามารถแชร์ความเห็นและสอบถามได้ที่นี้ค่ะ ขอบคุณค่ะ ;D