不潔花朵 บุปผาเย้าหฤทัย [จบบริบูรณ์]
-
นิยาย-เรื่องยาว :
ฟรีสไตล์/ อดีต ปัจจุบัน อนาคต Tags : เสวี่ยมู่เหมียน, หยวนเฟยหลง, ดอกงิ้วแห่งวังหลัง, นางเอกเทพ, นางเอกสวย, เกิดใหม่, นางร้าย, ย้อนยุค, ความรัก, โรแมนติก
ผู้แต่ง : Miss Soraki/ นุสรฏิยา
My.iD :
https://my.dek-d.com/mintomin/writer/
ตอนที่ 65 : ภาค4 มิใช่นาง มิรับฟัง [3/3]
ภาค4: ความคลั่งไคล้ที่บ้าคลั่ง
มิใช่นาง มิรับฟัง [3/3]
นี่มันเรื่องบ้าบออันใดกัน!?
“เหตุใดท่านจึงยัง...” ไม่ตาย นางกลืนคำถามทำร้ายจิตใจผู้ฟังลงในลำคอ เมื่อระลึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมาบ้าง เรื่องที่นางเก็บงำไว้ในส่วนลึก เรื่องอดีตที่นางพบเห็นและจดจำความได้ ความทรงจำที่ถูกซ่อนไว้ เหตุใดคนผู้นี้จึงทราบถึงมันได้กัน
“หนึ่งชีวิตแลกหนึ่งความสามารถ” จู่ๆอีกฝ่ายก็พูดวลีหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย พร้อมกับเสียงเอะอะโวยวายจากกลุ่มขันทีด้านหลังที่กำลังกระวีกระวาดตะโกนตามหานางอย่างบ้าคลั่ง รอยยิ้มไร้ความหมายถูกส่งมาให้นางบางๆ ก่อนร่างสูงโปร่งกำยำใต้อาภรณ์สีดำสนิทจะเลือนหายไปจากสายตา ทิ้งให้ร่างสะโอดสะองจมดิ่งในความสับสนแต่เพียงลำพัง
หนึ่งชีวิตแลกหนึ่งความสามารถ...
มีเพียงเชื้อสายเสวี่ยโดยตรงเท่านั้นที่จะเข้าใจ มันคือวลีที่สลักไว้หลังบัลลังก์มังกรเหมันต์แห่งแดนต้าเสวี่ย ชาติที่แล้วนางจดจำได้ดีว่าตอนเยาว์วัยนางมักแอบหลบไปอ่านเนื้อหาหลังบัลลังก์ยามว่างจากการร่ำเรียนการปักและมารยาทสตรีชั้นสูงอยู่บ่อยครั้ง แล้วเหตุใดจู่ๆชายผู้นั้นจึงสามารถเอ่ยได้โดยไม่ผิดเพี้ยนเช่นนั้น
ราวกับเป็นวลีที่เห็นจนจดจำได้อย่างไรอย่างนั้น วลีที่มีเพียงจักรพรรดิและผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่ได้พบเห็น
แปลบ...
หัวใจดวงน้อยพลันปวดแปลบราวกับถูกบีบเคล้นเต็มแรงยามพยายามนึกถึงชื่อของบิดาเพื่อหวังอ่านนิมิต ไม่ว่าจะทำเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล อ่านไม่ได้ อ่านไม่ออก... ราวกับถูกปิดกั้นโดยสมบูรณ์
เรื่องนี้น่ากลัวขึ้นไปอีกแล้ว...
เรื่องอันตรายเหล่านี้คงไม่จบเพียงแค่การเข่นฆ่ากันของศึกสายเลือด แต่มันอาจจะหมายถึงศึกที่มีผู้ชักใยจากเบื้องหลังก็เป็นไปได้ หากเป็นเช่นนั้นจริง นางคงไม่อาจเปิดปากบอกเรื่องนี้กับคนๆนั้นได้เลย หากเรื่องคราวนี้จะเกิดจากการใช้ความสามารถอันลี้ลับมาชนกัน จะปล่อยให้เขาเอาตนเองมาเสี่ยงไปมากกว่านี้ไม่ได้เป็นอันขาด
ฟุ่บ!
“เจ้าอย่าหายมาแบบนี้สิเหมียนเอ๋อ” แรงกอดรัดจากด้านหลังทำให้นางหลุดออกจากภวังค์ “แล้วนี่เป็นอันใดไป หน้าเจ้าซีดเซียวมากเลยทีเดียว จิ่วกงกง!”
“จะมะคะฝ่าบาท”
“รีบตามแพทย์หลวงมาตรวจสนมรักของเจิ้นเดี๋ยวนี้” ไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยห้ามปรามอันใด ร่างเล็กของขันทีผู้นั้นก็เร่งร้อนถลาไปเสียก่อน ทิ้งให้มู่เหมียนมองตามไปด้วยสายตายากจะคาดเดา “เจ้าปวดหัวงั้นหรือ วิงเวียนศีรษะหรือไม่”
“เหมียนเอ๋อไม่เป็นอันใดเพคะท่านพี่ ขออย่าได้กังวล” นางเพียงยิ้มบางๆให้เขา แต่ฮ่องเต้หนุ่มก็ไม่นึกวางใจ มือนุ่มที่เขากอบกุมไว้ช่างเย็นเฉียบราวกับหิมะจนน่าหวาดหวั่น “เหมียนเอ๋อไม่เป็นอันใดจริงๆ”
“อย่าดื้อดึง...” เขาดุนางอย่างไม่จริงจัง ก่อนจะช้อนร่างอรชรมาไว้ในอ้อมแขน ไม่คิดปล่อยให้นางฝืนถ่อตนกลับตำหนักอีกต่อไป ยิ่งสัมผัสหัวใจของเขาก็ยิ่งบีบรัดแน่นขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นชืดของร่างงาม บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่านางอาจจะได้เป็นสิ่งน่าตื่นตกใจมาอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่ เขาคิดแล้วก็อดโทษตัวเองไม่ได้ หากไม่เป็นเพราะเขาดึงดันเอาแต่ใจ นางคงไม่ต้องรู้สึกแน่อย่างที่เป็น
เพราะเขา... นางจึงต้องเห็นภาพที่ไม่ควรเข้าเป็นแน่
“นี่ไม่ใช่ความผิดของท่านพี่หรอกเพคะ” นางบีบมือเขาตอบ ก่อนจะหลับตาลงข่มความคิดฟุ้งซ่านในอกที่กระหน่ำมาราวกับระลอกคลื่น จนกระทั่งตอนนี้นางยังหาคำตอบไม่ได้เลยว่าชายผู้นั้นที่มีใบหน้าเหมือนบิดาของนางราวกับพิมพ์เดียวกันนั้นเป็นใคร ไหนจะเรือนผมสีเงินที่เป็นเอกลักษณ์ของจักรพรรดิรุ่นก่อนเสียอีก “เหมียนเอ๋อคงรับลมเย็นมากไปหน่อย”
“ออกมารับลมเช่นนี้ เจิ้นเป็นห่วง... ห้ามออกมาโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้อีก” ใบหน้าหล่อเหลามีร่องรอยความเหนื่อยล้าและความตื่นตระหนกกระจัดกระจายเต็มใบหน้า บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาตกใจมากเพียงใดเมื่อต้องลืมตาตื่นมาพร้อมกับการไร้นางเคียงข้าง
“เหมียนเอ๋อขออภัยท่านพี่จริงๆ”
เขาวางร่างแสนเย้ายวนลงบนเตียงอย่างอ่อนโยนก่อนจะลูบใบหน้าหวานล่มเมืองนั้นด้วยมือไม้สั่นเทา หัวใจของเขาปวดร้าวจวนจะหยุดเต้นเมื่อพลิกกายแล้วไม่เจอนางนอนอิงข้างกาย มีเพียงความว่างเปล่าที่แสนเย็นเยียบ เขาแทบสติแตกเผลอสั่งคนเสียงดังลั่นตำหนักให้ตามหานางอย่างลืมตน
“บอกเจิ้นได้หรือไม่ว่าเจ้าไปเจอสิ่งใดมา” มู่เหมียนมองสบดวงตาคมเบื้องหน้าก่อนจะถอนหายใจเฮือก ใบหน้างามฉายความกังวล ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ
“เหมียนเอ๋อไม่แน่ใจ”
“...” เขานิ่งลงเพื่อรอให้นางเอื้อนเอ่ยให้จบ สีหน้างามที่ซีดเผือดนั้นทำให้เขาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ
“เหมียนเอ๋อกำลังคิดว่าท่านพ่ออาจจะยังไม่ตาย”
กึก...
ทั้งคู่มองหน้ากันนิ่งราวกับต้องการค้นหาความคิดของอีกฝ่าย เนิ่นนานนับเค่อที่เอาแต่จ้องตากันเพื่อสืบหาความในใจจนกระทั่งหมอหลวงมาถึงจึงได้ละสายตาไปจากกัน ไม่มีการกล่าวโทษว่าสิ่งที่นางเอื้อนเอ่ยไปนั้นไร้สาระ ไม่มีการกล่าวว่าร้ายว่าสิ่งที่นางกลัวนั้นเป็นข่าวโคมลอยไร้แก่นสาร มีเพียงสายตาครุ่นคิดเพื่อหาหนทางพิสูจน์หาตัวตนคนๆนั้น บ่งบอกถึงความเชื่อใจในคนข้างกายเป็นอย่างดี
“พระสนม...” นางเหลือบสายตาไปมองหมอหลวงแล้วต้องส่ายหน้าเบาๆ
“ขออภัยที่ต้องรบกวนท่านหมอในยามดึกดื่นเช่นนี้ แต่ไม่มีสิ่งใดน่ากังวลหรอก ฝ่าบาทเพียงตื่นตระหนกมากไปก็เท่านั้น” นางโยนความผิดให้ชายสูงศักดิ์ข้างกายอย่างไม่เกรงอาญา จนผู้ได้รับฟังหน้าเปลี่ยนสีเผลอเหลือบสายตาไปมองอย่างหวาดระแวงด้วยเกรงว่ามังกรหนุ่มอาจเผลอระบายโทสะ
“ไหนๆท่านหมอก็มาแล้ว ให้ตรวจหน่อยเถิดสนมรัก”
“แต่เหมียนเอ๋อไม่เป็นอันใด...”
“พรุ่งนี้เจิ้นจะพาเจ้าไปเยี่ยมเยียนราษฎร...” เขาเอ่ยขัดขึ้นมาอย่างรู้ใจ “ยามนี้มีคนอพยพเข้ามาจำนวนหนึ่งทำให้ขาดแคลนอาหารและเครื่องนุ่งห่ม หากยอมให้หมอหลวงตรวจแต่โดยดี เจิ้นจะพาเจ้าไปเยี่ยมเยียนราษฎรพร้อมกับพาเจ้าไปร่วมการช่วยเหลือคนพลัดพรากถิ่นด้วยดีหรือไม่”
“...” นางเหลือบมองคนตรงหน้า ก่อนจะเบือนหน้าหนีพร้อมแก้มนวลขึ้นสีระเรื่อเมื่อสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่แผ่ซ่านมาจากนัยน์ตาคม
“ตรวจนะ... เหมียนเอ๋อ”
“เอาเช่นนั้นก็ได้เพคะ” ทุกคนที่อยู่ในห้องหันมาอมยิ้มให้กันอย่างนึกเอ็นดูหญิงงามผู้เป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิที่พูดเสียงอ่อยไม่ต่างจากเด็กน้อยยามถูกลวงด้วยขนม “แต่เหมียนเอ๋อต้องได้ไปช่วยเหลือกลุ่มผู้อพยพจริงๆนะเพคะ”
“อืม...”
สัมผัสอ่อนโยนที่สัมผัสตามข้อมือเรียวเล็กประหนึ่งกิ่งหลิวไม่ได้ทำให้มู่เหมียนนึกกังวล ต่างจากมังกรหนุ่มที่ดูวิตกอย่างออกนอกหน้า
“นางเป็นอันใดมากหรือไม่”
“พระสนมแข็งแรงดีพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่อาจจะเจอเรื่องน่าตกใจมากเกินไปหน่อยจึงทำให้ร่างกายเย็นเฉียบเช่นนี้ ให้พักผ่อนให้เต็มอิ่ม และสงบจิตใจเสียหน่อย คาดว่าร่างกายคงจะอบอุ่นขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นหรือ” สีหน้าหล่อเหลาฉายแววโล่งใจ “ขอบใจพวกเจ้ามาก เจิ้นจะให้คนส่งรางวัลตอบแทนไปให้หลังจากนี้ ดึกมากแล้วไปพักผ่อนกันเถิด”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ส่วนเจ้า... เรื่องผู้ที่มีหน้าตาคล้ายท่านอา เจิ้นจะพยายามสืบหาด้วยอีกแรงก็แล้วกัน”
หมับ...
“อย่าเสี่ยงเลยเพคะท่านพี่” มู่เหมียนคว้าแขนเสื้ออีกฝ่ายไว้ แล้วส่งสายตาอ้อนวอนไปให้ “ครั้งนี้เรื่องราวคงจะอันตรายกว่าที่คาดคิดนัก เหมียนเอ๋อกำลังคิดว่าชายผู้นั้นอาจจะมีความสามารถเหมือนกับเหมียนเอ๋อ”
ความสามารถด้านการอ่านนิมิตที่อาจจะเกี่ยวข้องกับอักษรหลังบัลลังก์นั่น...
“งั้นหรือ” เขารั้งร่างงามมากอดไว้แน่น แผ่ความอบอุ่นไปให้คนเบื้องหน้า “หากไม่ไหว สิ่งใดที่เจิ้นช่วยเจ้าได้ ขอ เพียงให้ได้บอกกล่าว เข้าใจหรือไม่”
“ทางท่านพี่เองก็เช่นกัน... เหมียนเอ๋อจะปกป้องหยินเอ๋อและจินเอ๋อให้สุดความสามารถเพคะ”
ค่ำคืนนั้นหญิงงามผู้เป็นเอกแห่งสตรีทั้งหลายในเขตแดนฉินก็หลับตาลงได้อย่างสงบกว่าที่ผ่านมาข้างกายมังกรหนุ่มผู้แข็งแกร่งแห่งซินตี่ มือผสาน ใจผสานรวมกันเป็นหนึ่งพร้อมกับรากแห่งความเชื่อใจที่หยั่งลึกเกินกว่าจะคณาถึง ความผูกพันเกี่ยวกระหวัดลึกล้ำถึงห้วงลึกของจิตใจ
หากมิใช่นางเป็นผู้เอ่ยปาก เขาไม่มีทางรับฟัง
หากเขามิใช่ผู้เอ่ยเสนอ นางไม่มีทางทำตาม
นี่คือเรื่องราวของดอกงิ้วผู้งดงามข้างกายมังกรอหังการแห่งแคว้นซินตี่
ทางตอนใต้ของแคว้นซินตี่
กลิ่นหญ้าและกิ่งไม้เผาฟืนส่งกลิ่นอันแสนคุ้นเคยอบอวลให้ความรู้สึกสงบ ร่างงามที่นั่งเคียงข้างชายในชุดเกราะเอนกายพิงอกหนาอย่างนึกกังวล ใบหน้างามจิ้มจิ้มให้ความรู้สึกสบายตายามที่ได้พบพานนั้นฉายแววประหม่ากับข่าวสารที่ได้ยินเมื่อไม่นานมานี้ นัยน์ตาเรียวดั่งเมล็ดซิ่งหม่นแสงลงยามคิดว่าต้องพรากจากถิ่นบ้านเกิดไป
กระโจมเรียงรายกันนับสามสิบกระโจม ยิ่งมองยิ่งให้ความรู้สึกอ้างว้างยิ่งนัก เมื่อตอนนี้นางกำลังถูกผลักไสให้ออกห่างจากถิ่นบ้านเกิดเมืองนอนของตน อีกไม่นานนางก็กำลังจะถูกส่งไปเป็นเครื่องบรรณาการแก่ฮ่องเต้ผู้แสนเย็นชาและไร้ใจ
“ทำอันใดอยู่งั้นหรือจื่อหยา”
“พี่ชาย...”
“มารดาให้ข้ามาเรียกเจ้าไปเตรียมตัวเป็นสตรีบรรณาการแก่ฮ่องเต้แคว้นซินตี่ ไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้าได้ยินว่าฮ่องเต้มีนางในใจที่รักใคร่อยู่แล้ว มิมีสิ่งใดที่น่ากังวล... เว้นเสียแต่เจ้าหมายมาดสิ่งที่สูงเกินตนอยู่เท่านั้นแหละที่ควรหวั่นเกรง”
“สตรีในใจจักรพรรดิแห่งซินตี่หรือเจ้าคะ”
“นางเป็นสาวงามล่มแคว้น สาวงามอันดับหนึ่งแห่งวังบุปผา” ไม่พูดปล่า ผู้พูดถึงยังมีสีหน้าเคลิบเคลิ้มหลงใหลจนสตรีนามจื่อหยานึกสะท้อนใจนัก แต่ลึกๆในใจกลับร้อนรุ่มอย่างบอกไม่ถูก “เสวี่ย มู่เหมียน อดีตองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวแห่งแคว้นเสวี่ย”
แม้จะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวังหลวงของชนชั้นสูง แต่ลึกๆในใจเมื่อได้ยินนามนั้นแล้วหัวใจกลับร้องตะโกนมาไม่อยากยอมแพ้ ไม่อยากเป็นรองแม้แต่เสี้ยวเดียว
ไม่อยากอยู่ต่ำกว่าสตรีที่ชื่อว่าเสวี่ย มู่เหมียน!
-MISS SORAKI-
ตอนนี้มีแค่สองปมคือใครคือคนที่หน้าเหมือนท่านพ่อราวกับแกะ ส่วนปมที่สองคือใครเป็นกบฏกันแน่ ตอนนี้ท่านเฟยหลงระแวงแค่คนเดียวคืออ๋องสี่ แล้วอ๋องหกล่ะ?
*ส่วนเรื่องสตรีบรรณาการ ช่างนางเถอะค่ะ อันนี้ตัวประกอบฉาก แค่กๆ
เหมียนเอ๋อ ศึกในครั้งนี้เจิ้นได้ที่หลบให้เจ้ากับลูกแล้ว ลองลงมาดูเถิด!
ขดตัวกลม...
-หยวนเฟยหลง-
ต่อไปคือใครเป็นกบฏฟะ ระหว่างอ๋องสี่กับอ๋องหกหรือเป็นทั้งคู่ ระแวงน้องเหมียนมาก
เชือว่านางต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง
เพราะครั้งหนึ่งในภาคสองนางเคยกล่าวว่าจะไม่หยุดแค่สนมมมมม
-ชอบในความรักของทั้งสองค่ะ ต่างฝ่ายก็ต่างอยากทำเพื่อปกป้องกันและกัน ชอบที่ไรท์เขียนให้น้องเหมียนไม่เป็นนางเอกงี่เง่า เก็บปัญหาไว้กับตัว ถึงจะอ้างว่าไม่อยากรบกวนก็เถอะ แต่ตัวเองกำลังไม่ถึง เป็นอะไรไปจะไม่มีใครรู้เลย น้องเหมียนทำดีแล้วที่บอกไป มีอะไรต้องบอกกันช่วยกันแก้ปัญหา
-อ๋องสี่กับอ๋องหกน่าจะกบฏคู่เลยนะคะ ดูน่าระแวงทั้งคู่ 55555
-จื่อหยาจะออกได้กี่บทคะ? 55555555555555 น้องเหมียนไม่ได้สวยอย่างเดียวนา
ส่วนรูปล่างนั้น...ตัวท่านคนเดียวก็เต็มแล้วพี่เฟยหลงในถ้วยนั่นน่ะ! เหมียนเอ๋อร์จะไปหลบตรงไหน555