ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO FICTION] ONE IPPON (KAISOO)

    ลำดับตอนที่ #11 : CHAP 11

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.96K
      20
      4 มี.ค. 56



    CHAPTER 11

     

     

    “เฮ้ย เรื่องคยองซูอ่ะ”

     

    เสียงจากปลายสายโทรศัพท์เรียกให้คนที่กำลังเหม่อชั่วขณะกลับมามีสติอีกครั้ง จงอินสะบัดหัวตัวเองเบาๆ ไล่ความเหนื่อยล้าในรอบวันที่ทำให้เขาถึงขั้นจิตหลุดไปชั่วคราว คืนนี้คงจะต้องนอนเร็วหน่อยแล้ว ให้ร่างกายกับสมองได้พักผ่อนเยอะๆ บ้าง

     

    “อ่า ถึงไหนแล้วนะพี่ลู่?”

     

    “เออ เรื่องคยองซูตกลงเป็นไงมาไง แกยังไม่เล่าให้พี่ฟังเลยนะ”

     

    ลู่หานถามเร็วๆ เหมือนต้องการรู้คำตอบจากน้องชายตัวแสบที่ไม่ได้เจอกันมาพักใหญ่ ตอนที่คุยกันหลังซ้อมเสร็จจงอินบอกว่าเดี๋ยวกลับหอแล้วจะโทรกลับไป เพราะมีเรื่องคยองซูที่ลู่หานยังไม่รู้ ตอนนี้เลยทำให้ประธานชมรมฟุตบอลอยากจะรู้ใจจะขาดแต่ไอ้เด็กบ้านี่ก็ชักช้าร่ำไรจนน่าขัดใจ

     

    ได้ยินเสียงปลายสายพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ลู่หานนึกอยากจะให้โทรศัพท์มีระบบเชื่อมต่อให้เขาเอาเท้าไปยันไอ้เด็กนี่สักโครม จะพูดเรื่องคยองซูทีไรทำเป็นหนักอกหนักใจตลอด ทีเรื่องอื่นล่ะกล้านักนะ ปอดมันอยู่เรื่องเดียวนี่แหละตลอดๆ!

     

    “ก็อย่างที่บอกคร่าวๆ ไปก่อนหน้านี้นั่นแหละ เพราะอุบัติเหตุนั่นตอนนี้เขาก็เลยมาเป็นนักยูโดของมหาลัย”

     

    “นั่นแหละที่ไม่อยากจะเชื่อ อย่างคยองซูเนี่ยนะเป็นนักยูโด นี่แสดงว่ามั่นใจมากว่าจะปั้นเขาไหว?”

     

    “อืม...มันก็ต้องลองดูล่ะนะ”

     

    ยกยิ้มน้อยๆ พร้อมให้คำตอบ ก่อนจะพาร่างของตัวเองออกไปสูดอากาศที่ริมระเบียงด้วย เงยหน้ามองฟ้าตอนค่ำ ดาวก็ยังระยับเต็มผืนฟ้าอยู่เหมือนเคย หออยู่ห่างกันแค่นี้ไม่รู้ใครคนนั้นจะมองดาวด้วยเดียวกันไหมน้อ?

     

    อาจเพราะเงียบไปครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงกระแอมไอมาจากพี่ชายปลายสาย ตามมาด้วยเสียงบ่นเล็กน้อยว่ารู้สึกวันนี้จะเหม่อจนเกินควรไปสักนิด

     

    “แล้วยังไง? ได้ใกล้ชิดกันแบบนี้กะจะแก้ตัวจากเมื่อก่อน?”

     

    จงอินไม่ได้ตอบทันที เงียบหายไปสักพักก่อนจะหัวเราะแห้งๆ แล้วตอบกลับเสียงเบา “ผม...ยังไม่กล้าว่ะพี่”

     

    “โอ้ยยยย!! ไอ้น้องดำ!! ไอ้โง่นี่!!”  ลู่หานโวยวายลั่นจนจงอินต้องเผลอเขยิบโทรศัพท์ออกห่าง “ครั้งแรกถือว่าไม่มีบุญ แต่ครั้งนี้ถ้าพลาดอีกจะถือว่าโง่นะคิมจงอิน!

     

    “ครับบบบ รู้แล้วครับพี่ลู่ ใจเย็นดิพี่ มันต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป”

     

    “แต่ถ้าช้าไประวังจะได้กินแห้วที่ปลูกเองแบบครั้งที่แล้วละกัน นี่เตือนด้วยความหวังดีจากใจ”

     

    “พี่พูดเหมือนไอ้ชานยอลเลย”

     

    “เออ! พูดกับไอ้เทพไคที่เขางอกจนจะทะลุเพดานมันก็ต้องแบบนี้แหละ!

     

    ประโยคห้าวๆ ที่ออกมาจากปากลู่หานทำเอาจงอินกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว ปลายสายก็หัวเราะออกมาพร้อมกันด้วย นานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้คุยกันแบบนี้ และมันก็นานแล้วเหมือนกันกับความทรงจำในครั้งนั้นที่เปลี่ยนคิมจงอินให้กลายเป็นเทพไคได้จนทุกวันนี้

     

    “จงอิน...ยังจำได้ใช่มั้ยว่าครั้งที่แล้วตัวเองเจ็บปวดมากแค่ไหน? สภาพแกเป็นยังไง?”

     

    หลังเสียงหัวเราะค่อยๆ เงียบหาย ลู่หานก็พูดออกมาด้วยเสียงเรียบที่จริงจังขึ้น คนฟังเพียงยิ้มเศร้าๆ ให้กับตัวเองแล้วพยักหน้าตอบรับแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็นก็ตาม

     

    “ครับ”

     

    “พี่ไม่อยากเห็นแกอยู่ในสภาพนั้นอีกนะจงอิน ถึงจะไม่ใช่พี่น้องกัน แต่แกก็เป็นน้องชายที่พี่เป็นห่วงอยู่เสมอนะ”

     

    “ผมรู้แล้วครับพี่ลู่หาน ขอบคุณมากนะ”

     

    จงอินยังคงยิ้มบางให้กับตัวเอง เขายังจำสภาพตัวเองในอดีตได้จนถึงตอนนี้ ไม่ว่าจะพยายามลบล้างมันด้วยปัจจุบันที่กลายเป็นเทพไคในวงการยูโดสักเท่าไร คิมจงอินคนในอดีตก็ไม่เคยหายไปสักที แต่นั่นก็ดีแล้ว อย่างน้อยก็ทำให้เขาได้รู้ว่าตัวเองเริ่มต้นจากอะไร ลำบากแค่ไหนกว่าจะเดินมาไกลจนถึงจุดนี้ และทั้งหมดนั่นมันเป็นเพราะใคร

     

    วันนั้น วันที่พี่ชายคนที่เพิ่งจะย้ำความห่วงใยที่มีให้เสมอหมดความอดทนกับน้องชายขี้ขลาด หลังจากจบงานกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียน กัปตันทีมฟุตบอลปลีกเวลาที่ต้องพบปะอาจารย์เพื่อรับคำชมที่คว้าเอาชัยชนะมาให้โรงเรียนเพื่อมาหาคิมจงอินที่รออยู่ใต้อัฒจันทร์

     

    “ยินดีด้วยนะพี่”

     

    “เออ ขอบใจมากเว้ย” ลู่หานยิ้มแล้วตบไหล่น้องชายตัวสูงเบาๆ สองสามครั้ง

     

    “วันนี้เอาไง? พี่จะกลับหอพร้อมผมได้มั้ยเนี่ย?”

     

    “ท่าจะยากแฮะ เพราะเดี๋ยวพวกอาจารย์คงพาทั้งทีมไปเลี้ยงข้าว แกกลับไปก่อนเลยแล้วกัน อ้อ! อย่าลืมหาข้าวกินก่อนด้วยล่ะ”

     

    จงอินพยักหน้าหงึกหงักรับคำก่อนที่ตั้งท่าจะหมุนตัวเดินจากมา ทว่าเสียงเรียกของพี่ชายตัวเล็กก็หยุดเท้าของเขาไว้เสียก่อน เมื่อหันกลับมาก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองเขาพลางยิ้มกรุ่มกริ่ม

     

    อ่า...จะพูดให้ถูกคือมองมาที่บางอย่างบนข้อมือของเขาต่างหาก

     

    “ริบบิ้นนั่นน่ะ ไม่ให้ห่างตัวเลยนะ”

     

    เพียงแค่ประโยคแซวเล่นๆ ของพี่ชายต่างสัญชาติกลับทำให้ภาพใบหน้าของคนที่ฝากมาให้ผุดขึ้นมาแทนที่ จงอินหัวเราะแหะๆ แล้วยกมือขึ้นเกาหัวแกเก้อเขิน

     

    “ก็...ใครๆ เขาก็เอามาผูกข้อมือกันวันนี้ทั้งนั้นอ่ะ ไม่เห็นแปลกเลย”

     

    “เหรอออออออออออออออออ” ลากเสียงยาวพลางทำหน้าหมั่นไส้ไอ้เด็กจอมเฉไฉไปด้วย

     

    กัปตันทีมฟุตบอลหัวเราะพร้อมเดินเข้ามาใกล้ วางมือลงบนบ่าอีกฝ่ายแล้วถอนหายใจหนึ่งครั้ง ก่อนจะเริ่มต้นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

     

    “พี่ว่ามันถึงเวลาแล้วจงอิน แกสัญญากับพี่ไว้ จำได้มั้ย?”

     

    “อ่า...ครับ”

     

    จงอินไม่กล้าหลบตาคนอายุมากกว่าเมื่อถูกทวงสัญญา เขาจำได้แน่นอนอยู่แล้วว่าตัวเองเคยพูดอะไรไป แต่พอเอาเข้าจริงดูเหมือนอะไรๆ ก็ยังไม่พร้อมเหมือนเดิม

     

    จงอินสัญญากับลู่หานไว้ว่า เมื่อจบการแข่งขันกีฬาเขาจะไปสารภาพความในใจกับคยองซูเสียที

     

    “จำได้ก็ดีแล้ว รีบไปล่ะ เมื่อกี้รู้สึกจะเพิ่งกลับไปเพราะเห็นไปล่ำลาพวกอาจารย์อยู่ อย่ายื้อไปมากกว่านี้เลย พี่เชื่อนะว่าตอนนี้ยังทัน ยังไงก็ขอให้น้องชายของเสี่ยวลู่หานคนนี้โชคดีนะ”

     

    เด็กหนุ่มตัวสูงพยักหน้าแล้วยิ้มตอบรอยยิ้มที่แสนจริงใจของพี่ชายต่างสัญชาติ มือของคนเป็นพี่ตบไหล่อีกฝ่ายแน่นๆ อีกครั้งเพื่อให้กำลังใจก่อนจะเป็นฝ่ายเดินออกมาเอง ทิ้งให้จงอินต้องถอนหายใจหนึ่งครั้งแล้วสูดหายใจเข้าปอดแรงๆ ทดแทนและเรียกกำลังใจ

     

    ที่อยู่ของคยองซูไม่ใช่ปัญหาสำหรับจงอิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีลู่หานคอยช่วยสืบช่วยถามอยู่ตลอด ในที่สุดใช้เวลาไม่นานเขาก็มาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านโดคยองซูแล้ว ได้ยินมาว่าเจ้าตัวมักจะอยู่บ้านคนเดียวบ่อยๆ เพราะพ่อกับแม่ไปอยู่บ้านอีกหลังในเมือง เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ที่เจ้าของบ้านยังไม่กลับมา บ้านก็จะเงียบเชียบและทำให้รู้ได้ทันทีว่าไม่มีคนอยู่

     

    ตอนนี้ก็เช่นกัน จงอินแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นว่าแม้ฟ้าจะเริ่มมืดแล้วแต่ไฟในบ้านยังไม่เปิดสักดวง เขายืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าประตูรั้วสีขาวสักพักก่อนจะคิดได้ว่าไม่ควรจะทำตัวให้น่าสงสัยแบบนี้ เกรงว่าถ้าคนที่รอกลับมาจะนึกกลัวและเข้าใจผิดว่าเป็นขโมยขโจรไปแทน

     

    จงอินตัดสินใจพาตัวเองเดินออกห่างมาจากรั้วบ้าน ในหัวตอนนั้นก็พยายามคิดประโยคดีๆ ที่จะไว้ใช้สารภาพความในใจกับคนที่ยังไม่กลับมา แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งใจเต้น ในหัวก็มึนๆ คล้ายจะเป็นลมไปเสียอย่างนั้น ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนอย่างคิมจงอินจะมีอาการเหมือนสาวน้อยแรกรักอะไรแบบนี้กับเขาด้วย

     

    แต่แหม...การที่เราจะบอกรักใครสักคนมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ นี่

     

    ทว่าเสียงรถที่ขับมาทำให้จงอินสะบัดความคิดแล้วเผลอเข้าไปหลบอยู่ริมกำแพงตรงข้ามกับประตูรั้วบ้านของคยองซูโดยอัตโนมัติ แท็กซี่คันหนึ่งจอดที่หน้าบ้าน ตามมาด้วยคนที่เขากำลังรออยู่ก้าวลงมาจากรถ จากนั้นแท็กซี่คันเดิมก็ขับจากไป

     

    จงอินเอามือกุมหัวใจที่เต้นแรงอย่างควบคุมไม่อยู่ คยองซูมาแล้ว คนที่เขาจะเข้าไปสารภาพความในใจมาถึงแล้ว พอเจอหน้าจริงๆ แล้วตื่นเต้นกว่าที่คิดไว้มากมายนัก ทั้งที่กำลังประหม่าแต่ก็ไม่สามารถกลั้นยิ้มไว้ได้จริงๆ แต่ก็สังเกตเห็นบางสิ่งที่ทำให้ต้องเผลอขมวดคิ้วสงสัย

     

    คยองซูกำลังร้องไห้เหรอ?

     

    ในตอนนั้นเอง ยังไม่ทันจะตอบคำถามให้ตัวเอง รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ที่เขาจำได้ว่าเคยเห็นจอดอยู่หน้าโรงยิมโรงเรียนลู่หานอยู่ครั้งสองครั้งก็มาเบรกที่หน้าบ้านทันที ไม่ต้องรอให้สงสัยว่าเป็นใคร เจ้าของรถก็รีบโดดลงมาจากยานพาหนะแล้วแขนยาวก็รีบเอื้อมคว้าข้อมือเล็กของคนที่กำลังจะหลบหน้าเดินเข้าบ้านทันที

     

    “ปล่อย”

     

    “ไม่ปล่อย คยองซูต้องฟังพี่ก่อน”

     

    ผู้ชายคนนั้นนั่นเอง คนที่เจิดจรัสที่สุดในบรรดานักยูโดทุกคน คนที่คิมจงอินเพิ่งจะมารู้ทีหลังว่าชื่ออู๋อี้ฟานหรือคริส นักยูโดดาวรุ่งของโรงเรียนและมีดีกรีเป็นถึงแชมป์ระดับประเทศ ทั้งหน้าตาดี มีฝีมือ แถมบ้านยังรวยอีก ลู่หานที่เป็นคนบอกข้อมูลของท่านคริสคนนี้ไม่เห็นจะเคยบอกเขาเลยนี่ว่าเทพบุตรแห่งวงการคนนี้สนิทกับคยองซู

     

    คนตัวเล็กหันกลับมามองอีกฝ่ายทั้งใบหน้าเปื้อนน้ำตา ดวงตากลมโตที่เคยสดใสอยู่เสมอแดงก่ำ ข้อมือยังคงถูกมือแกร่งตรึงเอาไว้ไม่ให้ไปไหน

     

    คยองซูเริ่มดิ้นอีกครั้ง พยายามบิดข้อมือตัวเองให้พ้นจากการพันธนาการ ขณะที่ปากก็พร่ำพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดพร้อมทั้งน้ำตาที่กลับมาไหลรินอีกระลอก

     

    “จะให้ฟังอะไร? มันก็ถูกอย่างที่เขาว่ามาแล้วไม่ใช่เหรอ? พี่น่ะมีครบทุกอย่างขาดก็แต่คนควง พี่ก็ควรจะได้คู่กับคนเก่งคนดีๆ ไม่ใช่ผมคนนี้ที่ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง กีฬาอะไรก็ไม่เคยเล่น แล้วจะให้พี่เลือกน่ะ มันคงเป็นไปไม่ได้”

     

    “แต่พี่ไม่ได้ต้องการคนควง!

     

    น้ำเสียงเด็ดขาดสามารถหยุดคนที่พร่ำพูดทั้งน้ำตาให้หยุดนิ่งได้ ใบหน้าหล่อจัดจริงจังเสียจนคยองซูแทบหยุดหายใจ ดวงตาคมที่เหมือนผู้ใหญ่ดุเด็กค่อยๆ อ่อนลง

     

    “พี่ต้องการคนอยู่เคียงข้าง คนที่คอยเป็นกำลังใจ คนที่คอยมอบความรักให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ และคนๆ นั้นจะเป็นใครไม่ได้นอกจากนาย โดคยองซู”

     

    คำพูดที่ออกมาจากปากคนตัวสูงทำให้คยองซูนิ่งงันราวถูกดวงตาคู่นั้นสะกดให้กลายเป็นรูปปั้นไปแล้ว ในช่วงเวลาที่กำลังทำอะไรไม่ถูก อู๋ฟานก็ปล่อยมืออีกฝ่ายให้เป็นอิสระ ก่อนจะโถมตัวเข้าหาแล้วดึงร่างบอบบางนั้นเข้ามากอดเต็มอ้อมแขน

     

    มือหนากดหัวทุยลงกับไหล่ตัวเอง ฝังปลายจมูกลงที่ข้างขมับ ก่อนจะเลื่อนมาพูดเบาๆ ที่ข้างหู

     

    “คบกันนะคยองซู”

     

    ไม่รู้ว่าช่วงเวลานี้คนที่เอาแต่นิ่งงันจะรู้สึกอย่างไร มีเพียงน้ำตาที่ไหลออกมาหากแต่ต่างความรู้สึกจากครั้งแรก พร้อมกับรอยยิ้มแห่งความยินดีและแขนเล็กที่ยกกอดร่างหนาของอีกคนกลับไป แล้วคนที่ถูกกอดเอาไว้จนแทบจมหายไปกับอกกว้างก็พยักหน้าช้าๆ

     

     

    ไม่รับรู้อะไร... ไม่รับรู้อะไรสักอย่าง...

     

     

    ใครบางคนที่เห็นทุกเหตุการณ์ทรุดตัวลงกับพื้นเย็นเยียบในมุมที่คนทั้งคู่มองไม่เห็น เขาไม่ได้ยินอะไรเลยกระทั่งเสียงหัวใจตัวเองจนเกือบนึกไปแล้วว่านี่เขาตายไปแล้วใช่หรือไม่

     

    คิมจงอินไม่รับรู้ถึงสิ่งต่างๆ รอบกาย แม้ทั้งคยองซูและอู๋ฟานจะหายไปจากบริเวณหน้าบ้านแล้วเขาก็ยังไม่รับรู้ คล้ายกลายเป็นตุ๊กตาไร้วิญญาณ มีเพียงร่างเปล่าๆ กับสมองกลวงๆ ที่นั่งจมจ่อมอยู่กับที่ไม่ไหวติง

     

    ใกล้แค่นี้ แค่ปลายจมูกแท้ๆ เขาควรจะคิดได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบคยองซูว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้อยู่ข้างเบาะยูโดด้วยสีหน้าและแววตาเป็นประกาย ควรจะเอะใจว่าทำไมถึงได้พบคยองซูที่ตรงนั้นทุกวัน เพราะเอาแต่เฝ้ามอง เอาแต่แอบรักอยู่ในมุมเล็กๆ ความสุขที่สร้างขึ้นบดบังทุกสิ่งทุกอย่างจนไม่ทันได้คิด กลายเป็นคนโง่ที่โทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเอง

     

    แกมันโง่จริงๆ คิมจงอิน

     

    ประสาทสัมผัสกลับมารับรู้ได้อีกครั้งเมื่อหยดน้ำตกกระทบฝ่ามือที่ปล่อยทิ้งไว้บนตัก ดวงตาเหม่อลอยกวาดตามองรอบกายก็พบกว่าทั่วทั้งบริเวณถูกปกคลุมไปด้วยความมืดหมดแล้ว ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เขาค่อยๆ ยกมือตัวเองขึ้นแตะที่ข้างแก้ม ถึงได้รู้ตอนนั้นว่าน้ำตากำลังไหล

     

     

    คิมจงอินกำลังร้องไห้

    หัวใจของเขาก็กำลังร้องไห้

     

     

    เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าเรียกให้คนที่ไร้สภาพหยิบมันขึ้นมาและใช้สายตาเลื่อนลอยนั้นมองไปที่หน้าจอ มือกดรับสาย ไม่ทันได้ยินว่าอีกฝ่ายพูดอะไรแต่จงอินก็กรอกคำพูดพร้อมเสียงสะอื้นไห้กลับไปแทน

     

    “พี่ลู่หาน มันสายไปแล้วล่ะ”

     

     

    จงอินจำไม่ได้ว่าตัวเองกลับมาถึงหอได้อย่างไร รู้เพียงแต่ว่ากรอกเสียงใส่โทรศัพท์ไปแค่นั้นก็ทิ้งมันลงข้างตัวทันที รู้ตัวอีกทีพี่ชายตัวเล็กก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีสุดๆ หลังจากนั้นก็พบว่าตัวเองมานั่งทิ้งร่างดูไม่ได้อยู่ที่หอแล้ว

     

    ลู่หานหยุดยืนตรงหน้าน้องชายตัวสูงที่กำลังจมอยู่ในทะเลน้ำตา ดวงตาคู่นั้นที่เคยฉายแววขี้เล่นเป็นประจำบัดนี้กลับเลื่อนลอย ไร้แวว จงอินนั่งอยู่บนพื้นพิงหลังกับโซฟาแบบนี้มาหลายชั่วโมงแล้ว ข้าวต้มที่ยกมาตั้งให้ก็เย็นชืดไปหมด

     

    เขาถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน รู้สึกสงสารน้องชายร่วมหอขึ้นมาจับใจ และคิดถูกที่พาคิมจงอินมาอยู่ที่ห้องของตัวเองก่อน เพราะลู่หานไม่อาจรู้ได้เลยว่าถ้าปล่อยให้จงอินอยู่คนเดียวในสภาพนี้แล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหรือไม่

     

    “จงอินนะจงอิน ทำไมถึงได้โคตรซวยแบบนี้วะ”

     

    คนหน้าหวานกล่าวพลางทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาที่จงอินใช้พิงอยู่ เขามองเด็กตัวสูงที่เหมือนจะไม่รับรู้สิ่งที่พูดไป ดวงตาคู่นั้นยังปล่อยให้น้ำใสรินไหลและเหม่อลอยเฉกเช่นเดิม

     

    เด็กนี่ก็เหลือเกิน ชอบเขามาตั้งนานไม่รู้จักจะบอก แต่พอไอ้วันที่จะบอกก็ดันอกหักทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มเลยด้วยซ้ำ นี่เขาไม่รู้จะโทษอะไรดีระหว่างพระเจ้าที่ไม่รักน้องชายเขากับตัวมันเองที่มัวแต่ขี้ขลาดจนอะไรๆ มันสายไปแบบนี้

     

    “เอาน่ะ! อกหักครั้งเดียวไม่ตายหรอก”

     

    “...ผมเจ็บจัง พี่ลู่”

     

    เป็นครั้งแรกในรอบหลายชั่วโมงที่ลู่หานได้ยินจงอินขยับปากพูด หากแต่มันก็เป็นถ้อยคำที่แม้แต่คนฟังยังรู้สึกเจ็บปวดแทน ลู่หานถอนหายใจแล้วยกมือยีกลุ่มผมสีเข้มของคนที่นั่งอยู่เบาๆ

     

    “เออ จะได้รู้ว่าความรักมันไม่ได้มีแต่ด้านสวยงามหวานหยดให้แกคอยเฝ้ามองอย่างเดียว เจ็บคราวนี้เก็บไว้เป็นบทเรียนซะ และแกก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้”

     

    “...ผมจะอยู่ได้ยังไง...?”

     

    “อยู่ได้” ลู่หานกดเสียงให้เข้มขึ้น “เมื่อก่อนแกก็อยู่ได้เถอะคิมจงอิน อย่าทำตัวอ่อนแอให้เขาสมเพชสิ ยิ่งแกทรมานมากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องเข้มแข็งขึ้น อย่าให้ไอ้ความเจ็บปวด ความรู้สึกบ้าๆ แบบนี้มาทำให้แกตกอยู่ในสภาพนี้ไปเปล่าๆ เอามันมาสร้างตัวเองใหม่ อย่ายอมแพ้ให้กับความเจ็บปวดเด็ดขาด จงอิน”

     

    ใบหน้าหล่อคมเปื้อนคราบน้ำตาค่อยๆ หันมองคนพูด ริมฝีปากแห้งผากขยับพูดออกมาค่อยๆ

     

    “...ผมจะทำได้จริงๆ เหรอ?”

     

    “ทำได้ มันอาจจะใช้เวลาสักหน่อยแต่พี่เชื่อว่าแกทำได้แน่นอน แต่สิ่งที่ต้องทำก่อนเป็นอันดับแรกในตอนนี้คือเช็ดน้ำตาแล้วกินข้าวกินปลาซะ ห้ามตายก่อนจะทำได้ เข้าใจมั้ย?”

     

    ลู่หานคลี่ยิ้มแล้วยีผมน้องชายอีกครั้ง จงอินไม่ได้ให้คำตอบอะไรกลับมา แต่เขาก็หวังว่าสิ่งที่พูดไปอาจจะเข้าไปในสมองเบลอๆ ที่ตอนนี้ยังประมวลผลได้ไม่ดีนักบ้างสักนิดก็ยังดี

     

    คนเป็นพี่ถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะหันไปเอื้อมหยิบกล่องทิชชูแล้ววางไว้บนโต๊ะหน้าจงอิน ข้างๆ กับชามข้าวต้มที่เย็นชืดและน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว

     

    “พี่ให้จะให้เวลาแกร้องไห้ ให้เวลาแกเสียใจ แต่อย่านาน และหลังจากนั้นจะต้องไม่มีน้ำตาอีก”

     

    พูดจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วยกถาดข้าวต้มหายเข้าครัวไป ไม่กี่นาทีก็กลับมาพร้อมกับข้าวต้มที่มีควันกรุ่นลอยอยู่เหนือชาม ในถาดข้างๆ กันมียาแก้ปวดสองเม็ดเตรียมไว้สำหรับคนที่คงจะร้องไห้จนปวดหัวแต่เก็บอาการ

     

    ลู่หานวางถาดลงบนโต๊ะเหมือนเดิมพร้อมยัดช้อนใส่มือไอ้เด็กที่ยังซึมกระทืออยู่เพื่อเป็นการบังคับให้กินข้าว

     

    “ถ้าแกมาตายในห้องพี่ล่ะน่าดู คิมจงอิน”

     

     

    หลังจากวันนั้นใช้เวลานานหลายเดือนเลยทีเดียวกว่าที่คิมจงอินจะค่อยๆ ฟื้นฟูสภาพจิตใจและสภาพชีวิตของตัวเองให้กลับมาเป็นผู้เป็นคนได้อีกครั้ง ใช้เวลานานพอกันที่เด็กตัวสูงไม่เฉียดกายเข้าใกล้โรงเรียนของลู่หาน ยิ่งชื่อของใครคนนั้นยิ่งเป็นสิ่งต้องห้ามที่ลู่หานรู้ดีและไม่เคยปริปากพูดออกมาอีกเลย

     

    จงอินทำได้ดีอย่างที่เขาหวังไว้ เด็กตัวสูงเก็บความเจ็บปวด ความทรมาน ความเศร้า ความเหงา ความรู้สึกทุกอย่างที่ส่งผลมาจากความรักที่ล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มมาทำให้ตัวเองเข้มแข็งขึ้น แม้กระนั้นจงอินก็ไม่ได้กลายเป็นคนเย็นชา น้องชายร่วมหอของลู่หานยังเป็นคิมจงอินคนนั้น หากเพียงแต่รอยแผลที่เกิดขึ้นในใจก็ได้เปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในตัวคิมจงอินไปแล้วเช่นกัน

     

    ทุกอย่างไหลตามเวลาที่เดินอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุด กระทั่งวันสุดท้ายของการเรียนก่อนจะปิดเทอมเพื่อเลื่อนชั้น จู่ๆ คิมจงอินก็พูดบางอย่างกับลู่หาน ทำเอาพี่ชายหน้าหวานนิสัยห้าวอ้าปากค้างและพูดอะไรไม่ออก จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้คิมจงอินกลายเป็นไค เพียงความคิดง่ายๆ ว่าอยากจะไปอัดไอ้คนที่ทำให้เจ็บปวดหนักหนาโดยที่ไม่ผิดกติกาของสังคมสักครั้ง และนั่นทำให้จงอินตัดสินใจพูดประโยคนั้นออกมา

     

    “พี่ลู่หาน ผมจะเล่นยูโด”

     


    TBC.


     

    Mirror* Talk: บอกแล้วว่าจะมาอย่างรวดเร็ว 5555 เพราะจริงๆสองตอนนี้มันคือตอนเดียวกันค่ะ เว้นไว้นานเดี๋ยวจะไม่ต่อเนื่อง ตอนต่อไปจะได้อัดคยองซู เอ๊ย อันวิชาให้คยองซูได้เต็มที่ ให้ทุกคนได้ผ่อนคลายสมองด้วยการอ่านดราม่าไปสองตอนเต็มๆ 5555* แต่ไม่แน่ใจว่าตอนหน้าจะมาเมื่อไหร่นะคะ ขอให้ผ่านพ้นช่วงสอบไปก่อนนะทุกคน TvT

    สำหรับผู้โชคดีที่ตอบคำถามถูก 2 คนแรก คือ คุณPea-nutty และ คุณlookkaew_11 ค่ะ ขอแสดงความยินดีด้วยยย ถ้ามีโอกาสได้รวมเล่มก็เอาไปเลยคนละเล่มนะคะ ขอให้มันมีโอกาสได้รวมเหอะ TvT ขอบคุณคนอื่นๆที่ร่วมสนุกตอบคำถามกันเข้ามาด้วยนะคะ สัญญาว่าถ้ามีของจะแจกอีกจะมีคำถามมาให้เล่นเรื่อยๆจ้า

    คำตอบที่ถูกต้องคือ กระจกอยู่สายน้ำตาลปลายดำค่ะ

    ให้ว่ากันตามจริงแล้วก็ไม่คิดว่าจะมาถึงขั้นนี้นะ 55555 เพราะงั้นเวลามีคนถามว่าอยากไปถึงสายดำมั้ยเลยตอบได้ทันทีว่า “ไม่” 55555 บางทียิ่งสูงมันก็ยิ่งหนาวเนอะ ความกดดันมีเยอะ เรามาถึงขั้นนี้ได้ก็เรียกว่าเกินความคาดหมายแล้วค่ะ จริงๆมันเกินความคาดหมายมาตั้งแต่ได้สายน้ำตาลตอน ม.1 ตอนนั้นอาจารย์(โค้ช)จะให้ไปคัดทีมชาติ แต่ต้องได้สายน้ำตาลขึ้นไปถึงจะคัดได้ เราเลยต้องไปคัดสายน้ำตาลตอนนั้นแหละ TvT ทุกทีได้เลื่อนขั้นสายเพราะได้เหรียญทอง ฮือออ แต่เอาเถอะเนอะ ตอนนี้ก็คงไม่ได้เลื่อนขั้นอีกละ เข่าพังละ 5555 ก็คงจะหยุดไว้แค่ขั้นนี้ แค่นี้ก็มีความสุขมากแล้วค่ะ ^^

    ไหนๆก็ไหนๆ มีรูปมายืนยัน(?) ขอปิดบังหน้าไว้สักนิดนะ กระดากอาย 555555 ถ่ายกับเพื่อนประธานชุมนุมมวยค่ะ

     

     

    ขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกกำลังใจ ทุกสายตาที่กวาดทุกตัวอักษรค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×