ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO FICTION] ONE IPPON (KAISOO)

    ลำดับตอนที่ #15 : CHAP 15

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.15K
      28
      25 มี.ค. 56

    CHAPTER 15

     

     

    คยองซูเพิ่งจะรู้สึกวันนี้ ตอนนี้ นาทีนี้นี่เองว่ายูโดมันเป็นกีฬาที่ใกล้ชิดกันขนาดนี้ เพิ่งจะมารู้ก็เพราะท่าเกี่ยวขาที่มันต้องทุ่มไปทางด้านหลังบวกกับความอ่อนด้อยในการเข้าท่าของเขาเองนี่แหละ

     

     

    ดูอย่างตอนนี้สิ...หน้าของเขาห่างจากปลายจมูกของจงอินได้ไม่ถึงคืบดีด้วยซ้ำ

     

     

    ร่างเล็กนอนคว่ำทับคนตัวโตในชุดยูโดสายดำที่เริ่มจะหลุดลุ่ยด้านล่างด้วยสภาพที่มือหนึ่งยังจับค้างอยู่ที่สาบเสื้อยูโดอีกฝ่ายอยู่ ดวงตากลมโตเบิกกว้างสบเข้ากับตาคมกริบซึ่งมองลงมาด้วยหน้านิ่งๆ ลมหายใจอุ่นๆ กับเสียงหอบหายใจน้อยๆ แว่วออกมาจากปากเรียวเป็นกระจับ

     

    ต่างคนต่างนิ่งค้างอยู่ในท่าสุ่มเสี่ยงแบบนั้นอยู่หลายวินาที หลังจากที่คยองซูซ้อมเกี่ยวโคยูจิการิแล้วขาเกิดล้าขึ้นมากะทันหัน พอผลักให้หุ่นเสียจังหวะไปข้างหลังได้ เกี่ยวขาได้ แต่กลายเป็นว่าล้มทับไปกับจงอินแทนที่จะยืนให้อยู่ไปเสียอย่างนั้น สุดท้ายก็เลยต้องมานอนทับนอนเกยกันอยู่อย่างนี้

     

    “ตกลงนี่จะไม่ซ้อมต่อกันแล้วใช่ป่ะ?”

     

    เป็นเสียงชานยอลที่พูดขึ้นมาทำลายความเงียบ เสียงหัวเราะเบาๆ ของเซฮุนนั่นก็ด้วย คยองซูสะดุ้งเล็กน้อยแล้วรีบผละตัวออกจากคนข้างล่าง รีบลุกขึ้นยืนแล้วดึงคนที่นอนหงายอยู่ให้ลุกขึ้นมาด้วย

     

    “ข...ขอโทษนะจงอิน จุกหรือเปล่า?”

     

    “ไม่เป็นไร ปกติเกี่ยวโคมันก็มีเทคนิคนี้ด้วย ล้มทับตามไปเลยอย่างนี้ แต่พอดีฉันยังไม่ได้สอน” จงอินตอบเสียงนิ่งเหมือนไม่มีอะไรผิดแปลกขัดกับก้อนเนื้อใต้อกซ้ายที่เต้นโครมครามจนจะน่ากลัวจะช็อคขึ้นมากะทันหัน

     

    “ขานายคงจะล้าแล้วสินะ ถ้าอย่างนั้นก็พักก่อนเถอะ ชานยอลกับเซฮุนด้วยนะ” หันไปพูดท้ายประโยคกับอีกสองคนบนเบาะ

     

    “แล้วที่ทำเป็นไงมั่งอ่ะ? ใช้ได้หรือยัง? ต้องแก้อะไรอีกมั้ย?”

     

    “ใช้ได้แล้ว ถือว่าโอเคเลยล่ะ เดี๋ยวพักเสร็จแล้วจะให้ทบทวนท่าทุ่มทั้งหมดที่สอนไปอีกชุดหนึ่งแล้วจะให้ลองชิงจับแล้วนะ”

     

    จงอินพูดไปปลดสายตัวเองเดินไปข้างเบาะพร้อมกับคยองซูที่เดินคู่กันมา ร่างบางยกปลายแขนเสื้อขึ้นซับเหงื่อบนใบหน้าพลางพยักหน้ารับ สมาชิกชมรมที่เหลืออยู่วันนี้นั่งพักดื่มน้ำกันริมเบาะ เพราะวันนี้อากาศค่อนข้างอบอ้าวเลยทำให้แต่ละคนเหงื่อออกมากกว่าปกติ แถมยังทำให้กระหายน้ำยิ่งขึ้นด้วย

     

    “อย่าดื่มน้ำเข้าไปเยอะมากนะ เดี๋ยวจุก”

     

    “แหม ห่วงจังเลยนะ ไม่เห็นห่วงกูมั่ง” ชานยอลเบ้หน้าพลางส่งเสียงล้อเลียน กัปตันทีมพ่นลมหายใจออกมาอย่างเอือมระอาแล้วเขวี้ยงขวดเปล่าไปทางเพื่อนปากมากแต่ฝ่ายนั้นก็หลบได้ทัน

     

    “มึงแม่งจ้องจะประทุษร้ายกูตลอด!

     

    “ก็ปากมึงอย่างนี้ไง! สมควรแล้วที่โดนแพคฮยอนทุบได้ทุกวัน กูจะยุให้แพคฮยอนฟาดมึงอีกเยอะๆ เลยคอยดู”

     

    “เชี่ยไค! กูบอกว่าอย่าเล่นของสูง”

     

    “เออ ถึงว่า สงสัยจะสูงมากจนมึงเกี่ยวมาเป็นแฟนไม่ได้สักที เฮ้ย! เชี่ยยอล!!

     

    ขยับปากล้อได้แค่ต้นประโยคแล้วก็ต้องว้ากขึ้นมาในตอนท้ายเมื่อไอ้เจ้าขวดน้ำที่ขว้างไปตอนแรกลอยละลิ่วกลับมาหาเจ้าของ ยังดีที่จงอินเอี้ยวตัวหลบทัน แถมยังมีน้ำใจคว้าไหล่คยองซูที่นั่งข้างๆ ให้หลบตามมาด้วย จนตอนนี้คนตัวเล็กนอนราบไปกับตักกว้างๆ ของท่านประธานไปเสียแล้ว แต่ไม่นานมือใหญ่นั้นก็ดึงให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมาตามเดิม

     

    เสียงทะเลาะอันได้ยินเป็นประจำระหว่างเพื่อนสนิทสองคนดังอยู่อย่างนั้นไปอีกพักหนึ่งกระทั่งมันจบลงเพราะสายเข้าจากแพคฮยอนที่โทรมาบอกชานยอลว่าวันนี้คงจะเข้ามาซ้อมด้วยไม่ทันจริงๆ แล้ว ไอ้เสียงทุ้มต่ำที่ส่งสารพัดสัตว์ออกมาจากปากก็กลายเป็นน้ำตาลหวานหยดย้อยขึ้นมาทันที

     

    คยองซูหัวเราะให้กับพฤติกรรมที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างกะทันหันพลางยกปลายแขนเสื้อขึ้นปาดเหงื่อตรงซอกคออีกหน แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อสายตาบังเอิญเหลือบไปเห็นบางอย่างที่ติดกับชุดของคนที่นั่งยกแขนพาดพนักพิงหัวเราะเพื่อนตัวเองเข้า

     

    ชุดยูโดจงอินเป็นสีขาว แถมตอนนี้เจ้าตัวก็ปลดสายออกสาบเสื้อเลยแยกออกจากกันเผยให้เห็นมัดกล้ามภายใต้เสื้อยูโดตัวหนาด้วย แต่สิ่งที่เด่นตัดกับสีขาวสะอาดของชุดกับผิวสีแทนของผู้สวมใส่คือด้ายสีแดงด้านในชุดยูโดชุดนี้ต่างหาก แต่มองแบบนี้แล้วเห็นไม่ถนัดเลย รู้แค่ว่าคงเป็นเส้นด้ายอะไรสักอย่าง

     

    “จงอิน” เพียงแค่เรียกเบาๆ เจ้าของชื่อก็หันกลับมาหาพร้อมรอยยิ้มที่ยังค้างอยู่บนใบหน้า คิ้วเข้มยกขึ้นเป็นเชิงถาม

     

    “ใต้สาบเสื้อนายน่ะ ด้ายอะไรเหรอ?”

     

    สิ้นเสียงเล็กที่เอ่ยถามใบหน้าหล่อเข้มนั้นก็เปลี่ยนไป จงอินนิ่งไปชั่ววินาทีก่อนจะขยับกระชับสาบเสื้อของตัวเองให้เรียบร้อยแล้วลุกขึ้นยืนมัดสาย คยองซูมองตามแผ่นหลังของคนที่ยืนอยู่ด้านหน้า ยังคงคาดหวังว่าจะได้รับคำตอบกลับมา

     

    “บางคนเคยให้ฉันมาเมื่อนานมาแล้ว”

     

    และคยองซูก็ได้คำตอบกลับมาจริงๆ แม้จะเป็นคำตอบให้ชวนขมวดคิ้วสงสัยต่อก็ตามที

     

    “บางคน? คนที่นายชอบน่ะเหรอ?” คยองซูถาม ดวงตากลมยังจับจ้องไปยังคนที่ยืนหันหลังมัดสาย

     

    ไม่มีคำตอบกลับมาทันที เมื่อคิดว่าคงหมดหวังจะได้คำตอบต่อแม้จะเชื่อว่าระยะหลังมาจงอินยินดีตอบเขาทุกคำถามก็ตาม คนตัวบางจึงลุกขึ้นยืนตั้งท่าจะจัดชุดของตัวเองบ้าง แต่ไม่นานจงอินก็หันกลับมา รอยยิ้มบางจุดที่ริมฝีปากหนาได้รูป

     

    “คนสำคัญของฉันให้มา”

     

    คยองซูยู่หน้าแล้วจัดชุดตัวเองก่อนจะเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างหน้าร่างสูงที่ยังระบายรอยยิ้มนั้นอยู่เหมือนเดิม แกล้งทำท่าเง้างอดแบบไม่จริงจังนัก

     

    “อะไร วันก่อนจงอินยังบอกว่าฉันเป็นคนสำคัญอยู่เลยนะ” อยากจะรู้จริงว่าแกล้งพูดไปอย่างนี้แล้วอีกฝ่ายจะทำหน้ายังไงนะ

     

    แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงสีหน้า รอยยิ้มนั้นยังคงเหมือนเดิม มือหนาวางแปะลงบนหัวทุยแล้วยีเบาๆ เรียกเสียงฮึดฮัดจากคนตัวเล็กที่พักหลังมักจะถูกเล่นอะไรแบบนี้ด้วยบ่อยๆ ริมฝีปากได้รูปยิ้มชวนสงสัยก่อนจะเอ่ยประโยคคลุมเครือออกมา

     

    “อืม ก็คนสำคัญไง นายคือคนสำคัญของฉัน ไม่ว่ายังไงก็ยังเป็นนายอยู่ดีนั่นแหละ”

     

     

    วูบหนึ่งคยองซูรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นผิดจังหวะ ไม่รู้เพราะความอบอุ่นที่ส่งผ่านรอยยิ้มและสัมผัสเอาแต่ใจของมือใหญ่ด้วยหรือเปล่า และอากาศคงอบอ้าวเกินไปจนรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า เขาไม่คุ้นชินเลยจริงๆ ที่เห็นจงอินทำหน้าตาอ่อนโยนแบบนี้ตอนอยู่ในชุดยูโด

     

    “เลอะเทอะละ จ...จงอินพูดไม่รู้เรื่อง ฉันไม่คุยกับนายแล้ว! ซ้อมต่อดีกว่า” ผลักมือที่อยู่บนหัวตัวเองออกแล้วหันหลังเดินกลับขึ้นเบาะไป

     

    มีเพียงเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ดังไล่หลังมา จงอินส่ายหัวเล็กน้อย แล้วยิ้มตามร่างเล็กที่ไปรวมกลุ่มกับชานยอลและเซฮุน ลองเอามือตัวเองวางทับไปบนปกเสื้อที่ข้างใต้มีของที่ได้จาก คนสำคัญก็ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นชัด มันไม่ใช่ความตื่นเต้นเหมือนอย่างทุกครั้ง แต่มันคือความสุขที่ทำให้หัวใจพองโตออกมาได้อย่างมหัศจรรย์

     

    ...ความรู้สึกที่ได้รักใครแล้วค่อยๆ เผยออกไปให้เขารู้มันเป็นอย่างนี้นี่เอง...

     

     

     

    หลังจากพักเรียบร้อยจงอินก็ให้คยองซูทบทวนท่าทุ่มทั้งหมดรวมถึงท่าเกี่ยวด้วย โดยทั้งให้เข้าท่ายกลอยธรรมดาและทุ่มท่าละ 20 ครั้ง ให้เซฮุนเป็นหุ่นเพราะน้องจะได้ฝึกตบเบาะให้แน่นขึ้นทั้งท่าทุ่มข้ามไหล่และทุ่มหงายไปข้างหลัง

     

    คนเราเมื่อถูกทุ่มมากๆ ร่างกายจะจดจำแล้วจะจับได้ว่าหากถูกทุ่มด้วยท่านี้ควรจะหลบแบบไหน อาศัยทิศทางแรงอย่างไรจะทำให้ตนเป็นฝ่ายได้เปรียบแทน ซึ่งเซฮุนเรียนรู้ด้วยตัวเองได้เร็วโดยที่ไม่ต้องให้พวกพี่ๆ มาแนะอะไรมากนัก

     

    “ก่อนจะให้นายไปฝึกรันโดริ ฉันอยากจะย้ำเตือนนายเรื่องจังหวะการเข้าท่า เอาแค่ท่าที่สอนไปให้ชัวร์ก่อน มันไม่ยากเท่าไหร่ถ้านายจับจุดมันได้ถูก” จงอินพูดก่อนจะดึงตัวคยองซูที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ มาประจันหน้ากับเซฮุนเหมือนเดิม

     

    น้องเล็กของทีมยิ้มแย้มเหมือนทุกที เซฮุนไม่เคยหยุดยิ้มเลยกระทั่งตอนซ้อม มีบ้างเวลาเหนื่อยที่ใบหน้าน่ารักนั้นจะไร้ขีดเส้นโค้งบนริมฝีปาก แต่ก็ไม่ได้เครียดขึงอะไรอย่างที่นักกีฬาทั่วไปควรจะเป็น ทั้งสองคนก้มหัวเคารพกันและกัน

     

    “อย่างจังหวะการเข้าเกี่ยวฉันก็สอนนายไปแล้วเมื่อกี้ ถ้าจะเกี่ยวขาขวาของเขาก็ใช้เกี่ยวโค รอจังหวะที่เขาก้าวขานั้นมาแล้วบังคับมือพร้อมกับเกี่ยวลากมาทางปลายเท้า จริงๆเกี่ยวโคสามารถใช้ในจังหวะที่เท้าขวาเขาถอยได้เหมือนกันแต่ฉันไม่แนะนำ เพราะถ้าเขาเกิดหมุนตัวพลิกนายขึ้นมาตัวนายเองจะเสียคะแนน” คยองซูพยักหน้าตาม

     

    “ส่วนจะเกี่ยวโอก็เหมือนกัน เพราะเราจ้องจะเกี่ยวขาซ้ายเพราะฉะนั้นก็ต้องรอให้เขาก้าวซ้ายมาก่อน อย่าลืมองศามือขวาที่ต้องดึงกว้างกว่าเกี่ยวโคด้วย และถึงแม้ฉันจะให้นายฝึกไปแบบนี้ แต่จำไว้ว่าในการแข่งขันหากจับจังหวะได้ว่าน้ำหนักเขามาทางไหนแล้วควรใช้ท่าอะไรก็ใช้ไปเลย อย่าลังเล”

     

    ทุกอย่างที่จงอินกำลังพูดอยู่ คยองซูได้รับการฝึกไปหมดแล้ว อีกฝ่ายย้ำกับเค้าเรื่อยๆ ทุกครั้งเวลามาเฝ้าดูเขาเข้าท่าทุ่ม จากที่แค่วนขาเข้าอยู่กับที่ต้องเริ่มพาหุ่นเดินเพื่อหาจังหวะวนขาเข้าท่า ไม่เฉพาะท่าเกี่ยว ท่าทุ่มก็เช่นกัน จงอินฝึกให้เขาดึงหุ่นเดินถอยหลังสามก้าวแล้ววนขาเข้าท่าทุ่ม ทำแบบนี้กับทุกท่าจนเริ่มจะคุ้นชิน

     

    จงอินบอกว่าการหาจังหวะเป็นเรื่องสำคัญ เพราะในเวลาแข่งขันจังหวะของคู่แข่งแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน และแตกต่างกับหุ่นเวลาซ้อมอย่างสิ้นเชิง ถ้าเราอ่านจังหวะเขาออกเราจะรู้ว่าควรจะเข้าท่ายังไง จังหวะไหน และยังสามารถป้องกันไม่ให้เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบเองได้ด้วย

     

    “เวลาชิงจับกันก็เหมือนกัน จับได้เปรียบก่อนก็มีชัยไปกว่าครึ่ง แต่ถ้าจับเสียเปรียบจะสะบัดให้หลุดมันก็ยาก เพราะฉะนั้นจังหวะจับต้องเล็งให้ดี นายไม่ได้เล่นท่าสูง เวลาจับอย่าคว้า” ไม่พูดเปล่าจงอินสาธิตให้คนฟังดูด้วย

     

    การคว้าที่จงอินพูดถึงคือการเอื้อมมือออกไปดื้อๆ ซึ่งมักพบได้มากในคนเพิ่งเล่นและถนัดขวา เพราะทุกคนเชื่อว่าคว้าสาบเสื้อก่อนได้จะได้เปรียบ แต่การทำแบบนี้จะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างตัวเรากับคู่แข่งอยู่หลายวินาทีกว่ามือของเราจะคว้าถึงสาบเสื้อ หากฝ่ายนั้นเห็นจังหวะนี้และไวพอล่ะก็โอกาสที่เขาจะจับแขนเสื้อข้างนั้นของเราก่อนแล้วสวนเข้าท่ามาเป็นไปได้สูงมาก และมักจะไม่เคยพลาดเพราะน้ำหนักของเราโถมไปหาเขาเต็มๆ

     

    “นักยูโดมากมายไม่เฉพาะพวกเล่นใหม่เสียอิปป้งให้กับจังหวะแรกง่ายๆ แบบนี้เยอะมาก ในทางตรงกันข้าม มีคนจำนวนไม่น้อยที่ชนะภายในเวลาไม่กี่วินาทีด้วยจังหวะนี้ เพราะฉะนั้นต้องจำไว้ให้ดี เจอพุ่งเข้ามาหาแบบนี้เมื่อไหล่ คว้าแขนซ้ายมันได้ก็รีบหมุนตัวเข้าอิปป้งขวาซะเพราะถึงยังไงก็ไม่ต้องใช้มือขวาจับสาบอยู่แล้ว เข้าแล้วดึงให้สุด รับรองร้อยทั้งร้อยยังไงก็เสร็จ”

     

    หลังจากอธิบายจงอินก็ลองให้เซฮุนเอื้อมมือคว้าอย่างที่บอกแล้วให้คยองซูลองหมุนตัวสวนจังหวะเข้าท่าดู คนตัวบางแทบร้องเหวอเมื่อร่างของเซฮุนลอยละลิ่วติดแผ่นหลังมาได้ดีเกินคาด แถมยังเบาหวิวเสียจนเหมือนไม่ได้ออกแรงเท่าไหร่ด้วย

     

    ผลจากการใช้แรงของเขาที่โถมมาใส่แล้วสวนจังหวะของเราเองกลับไปให้พอดีเป็นการเอาแรงของคู่ต่อสู้มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนี่ก็เป็นหัวใจของกีฬายูโด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากคนตัวเล็กอย่างคาโน จิโกโร ปรมาจารย์ผู้ริเริ่มกีฬายูโดจะสามารถทุ่มคนตัวใหญ่กว่าได้

     

    ยิ่งอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาหาเราแรงเท่าไหร่ ให้อาศัยแรงทั้งหมดนั้นทำให้เราได้เปรียบ หากจับจังหวะได้แล้วว่าควรถ่ายแรงเทน้ำหนักไปทางด้านไหนไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยหากจะทุ่มคนๆ หนึ่งได้โดยแทบไม่ต้องใช้แรง

     

    แม้จะทำได้ไม่เลวแต่คยองซูก็ยังโดนติเรื่องย่ออยู่ จงอินบอกเขาว่ายิ่งย่อเยอะเท่าไหร่ยิ่งดี แต่ก็มีนักยูโดหลายคนเลยเหมือนกันที่ย่อลงไปจนเข่าติดพื้นโดยเฉพาะกับพวกรุ่นเล็กๆ แต่ที่แย่คือย่อลงไปแล้วไม่สามารถดีดตัวขึ้นมาได้ หลายคนจึงเลือกวิธีม้วนตัวไปข้างหน้าโดยยังดึงคู่ต่อสู้ให้ติดอยู่กับตัวเองแล้วม้วนไปพร้อมๆ กันหรือไม่ก็สะบัดคู่ต่อสู้ออกในจังหวะที่ดึงให้อีกฝ่ายไปข้างหน้าแล้ว หลังคู่ต่อสู้จะถึงพื้นก่อนและหากลงเต็มหลังนั่นเท่ากับเสียคะแนนอิปป้งและแพ้ทันที

     

    การใช้วิธีเข้าท่าทุ่มแต่ย่อลงต่ำจนเข่าติดพื้นเช่นนี้จะเรียกกันในวงการว่า ท่ามุดจะเป็นโมโรเต้มุด อิปป้อนมุด ก็ว่ากันไป จงอินให้ความเห็นว่าเป็นเทคนิคที่ไม่เลวแต่ก็ไม่ควรทำ เพราะมันจะทำให้เข่าเสียได้ง่ายๆ เพราะต้องกระแทกเบาะบ่อยๆ ที่สำคัญอยากจะเสียโทษได้ง่ายๆ หากกรรมการเห็นว่าเป็นแค่การทรุดลงไปกับพื้นแต่ไม่ได้กระทำคู่ต่อสู้ในกรณีที่เรามุดไปแล้วแต่ดึงเขาไม่มาหรือเขาสะบัดตัวออกก่อน ทำให้มีแค่เราที่ทรุดเข่าลงไปกับพื้น หลายคนพลาดเสียโทษกับเรื่องแบบนี้จนแพ้มาแล้ว

     

    “เมื่อเข้าใจแล้วว่าไม่ควรทำยังไง คราวนี้ฉันจะบอกวิธีที่ควรทำเวลาชิงจับ นายถนัดขวา แน่นอนว่ามือขวาต้องจับสาบส่วนมือซ้ายต้องจับแขนเสื้อ จะเลือกจับแขนหรือสาบก่อนก็ได้แต่ไม่ควรรีบร้อน ค่อยๆ ไล่ ค่อยๆ หามุมหาช่องกันไป อย่างเช่นแบบนี้” จงอินหันมาเคารพชานยอลแล้วเริ่มสาธิตการหาจังหวะจับให้ดู

     

    ทันทีที่เคารพเสร็จ ต่างฝ่ายต่างย่อตัวลงเล็กน้อย เพราะจงอินเคยบอกเขาว่าจะทำให้เรามีฟุตเวิร์คตลอดเวลา แต่ห้ามเดินแบบเขย่งบนสนามเด็ดขาดไม่อย่างนั้นจะโดนเกี่ยวขาได้ง่าย ให้เดินลากปลายเท้ากับเบาะ เปิดส้นเท้าแล้วย่อเข่าไม่ต้องมากแต่ให้รู้สึกว่ามั่นคง สองมือยกขึ้นคล้ายเวลานักมวยต้องการ์ดแต่ให้มือพร้อมจับอีกฝ่ายเสมอ

     

    เวลาเล่นกีฬาต้องมีขานำขาตาม ห้ามยืนสองขาคู่เพราะจะทำให้ขาตาย จงอินเลือกจะใช้เท้าขวานำ ดวงตาคมจับจ้องไปที่ช่วงลำตัวของอีกฝ่าย แล้วมือซ้ายก็เริ่มต้นคว้าแขนเสื้อของคู่ต่อสู้

     

    “ถ้าจะคว้าซ้ายก่อนก็ให้คว้าต่ำๆ อย่าคว้าสูง เพราะมันจะทำให้เกิดช่องว่างเหมือนกัน อย่าคว้าปลายเสื้อนักเพราะถ้าเกิดพลาดนิ้วลอดเข้าไปในแขนเสื้อเขาแล้วกรรมการเห็นจะโดนโทษ ถ้าเข้าโมโรเต้จับลงมาปลายๆ หน่อยก็จะทำให้เข้าได้ง่าย แต่ถ้าเป็นอิปป้อนต้องจับสูงขึ้นมาถึงประมาณข้อศอกไม่อย่างนั้นเวลาเข้าท่าจะไม่แน่น”

     

    จงอินลองจับแล้วเข้าท่าตามที่ปากพูดให้ดู เป็นอย่างที่บอก ถ้าจับปลายแขนเสื้อจะเข้าโมโรเต้ได้ง่ายกว่าเพราะเป็นท่าที่อีกมือต้องจับสาบเสื้อแล้วบัดเอาศอกเข้าไปใต้รักแร้อีกฝ่ายซึ่งต้องใช้ช่องว่างค่อนข้างมาก การจับปลายๆ จะทำให้สามารถยกแขนอีกฝ่ายขึ้นเพื่อสร้างช่องว่างให้หมุนตัวได้มากกว่า

     

    ตรงกันข้ามกับอิปป้อน ยิ่งจับลึกขึ้นไปมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเข้าท่าได้แน่นขึ้น เพราะเป็นท่าที่ต้องใช้แขนล็อคแขนอีกฝ่ายไว้เฉยๆ โดยไม่ได้จับยึดอะไร อีกอย่าง ถ้ายิ่งจับสูงขึ้นไปก็ไม่ต้องใช้แรงเหวี่ยงมากเกินความจำเป็นด้วย

     

    “ทีนี้มือขวาจะจับสาบเสื้ออีกฝ่ายยังไง จริงๆ มันมีหลายวิธี อย่างเช่นเมื่อนายใช้มือซ้ายจับแขนเสื้อได้แล้วก็ค่อยๆ ไต่ไปโดยใช้มือขวาจับแขนเสื้อข้างเดียวกันนั่นก่อนแล้วค่อยปล่อยมาจับสาบเสื้อตอนที่ดึงเขาเข้ามาอยู่แล้ว ที่สำคัญห้ามจับพร้อมกันสองมือหรือเปล่าพร้อมกันสองมือ ให้มือหนึ่งจับอีกมือหนึ่งปล่อย สลับกันได้”

     

    นอกจากเทคนิคการจับสาบเสื้อแบบไต่ขึ้นไปเช่นนี้แล้ว จงอินยังสอนเทคนิคที่พุ่งเข้าไปจับตรงๆ ด้วย แต่จะไม่เหมือนกับแบบที่บอกให้เขาระวัง พุ่งเข้าไปจับแบบนี้คือให้เอื้อมแขนไปจับแบบต่ำๆ ไม่ใช่ยกมือคว้าไปดื้อๆ ให้เหมือนเวลานักมวยต่อยหมัดเสยแต่เราเปลี่ยนมาจับสาบเสื้ออีกฝ่ายแทน

     

    สอนไปสอนมา ฝึกไปฝึกมา สุดท้ายจากที่ตั้งใจว่าจะได้รันโดริกันวันนี้เลยต้องกลายเป็นฝึกชิงจับกันไปก่อน เพราะเมื่อลองทำจริงๆ แล้วพบว่าคยองซูยังมีจุดบกพร่องที่ต้องแก้อยู่อีกค่อนข้างมาก หากปล่อยไปแล้วการรันโดริจะทำได้ยาก เพราะพลาดตั้งแต่จังหวะแรก

     

    การซ้อมวันนี้จึงไม่เหนื่อยหนักเท่าทุกวัน แต่ต้องใช้สมองเยอะกว่าทุกวันมาก คยองซูต้องคิดตลอดเวลาว่าจะเอื้อมมือเข้าไปยังไงไม่ให้เสียเปรียบและตัวเองก็จับได้เปรียบด้วย ยิ่งจงอินให้โจทย์ยากขึ้นด้วยการให้เซฮุนขยับหลีกหลีรวมถึงบุกในบางจังหวะก็ยิ่งทำให้คยองซูลนลานสับสน

     

    หลายครั้งพอมือได้ขาก็ยืนคู่กันอีก ในขณะที่บางจังหวะขานำขาตามถูกต้อง ย่อตัวได้ถูกแต่กลับถูกเซฮุนคว้าจับก่อนจนตัวเองเสียเปรียบ เพราะทันทีที่จงอินเห็นแล้วว่ามีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจับได้เปรียบจะสั่งให้ปล่อยออกจากกันแล้วจับใหม่ นี่ขนาดยังไม่ได้เริ่มจับแล้วลากกันแบบที่พวกแพคฮยอนฝึกยังล้าสมองขนาดนี้

     

     

    “ชิงจับไม่ง่ายเลยใช่ไหมล่ะ?”

     

    จงอินถามขณะยื่นหมวกกันน็อคให้อีกฝ่าย ร่างบางพยักหน้าเนือยๆ ด้วยใบหน้าที่เหนื่อยอ่อนกว่าทุกวัน ถอนหายใจล้าๆ แล้วก้าวขึ้นซ้อนท้ายคนที่นั่งยิ้มบางรออยู่ก่อนแล้ว

     

    พอขึ้นรถได้ก็ไม่พูดไม่จา ใบหน้าหวานซบลงกับแผ่นหลังกว้างแล้วถอนหายใจออกมาอีกครั้งเสียงดังๆ เอาให้รู้กันว่าเหนื่อยเกินกว่าจะตอบ จงอินเลยไม่พูดอะไรต่อ เพียงแค่ยิ้มกว้างแล้วสตาร์ทเครื่องก่อนจะบิดออกไป

     

    ไม่มีบทสนทนาใดๆ ต่อจากนั้น ไม่มีกระทั่งคำถามว่าทำไมวันนี้หลังเลิกซ้อมจู่ๆ คยองซูก็บอกว่าจะกลับด้วยทั้งๆ ที่ไม่ใช่วันศุกร์ เพราะใบหน้าอิดโรยและท่าทางเหนื่อยล้าทำให้จงอินไม่อยากจะซักไซ้ รู้แต่ว่าข้างในใจของตัวเองมันกระโดดโลดเต้นเสียจนน่าเกลียด

     

    ใช้เวลาไม่นานมอเตอร์ไซค์คันงามของจงอินก็จอดเทียบร้านข้าวแห่งหนึ่งก่อนจะถึงหอคยองซู คนที่พูดน้อยกว่าทุกวันบอกว่าทุกทีก็แวะซื้อข้าวก่อนกลับหอ ไหนๆ วันนี้ก็ไม่ได้รีบกันทั้งคู่ คยองซูเลยชวนจงอินนั่งกินเป็นเพื่อนกันเสียเลย เพราะตัวเองก็เหนื่อยจะต้องไปเก็บล้างที่หออีกรอบแล้วเหมือนกัน

     

    “หายไปไหนมา?” เสียงเล็กเอ่ยถามเมื่อคนตัวโตเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ ร้านข้าวในมือ

     

    จงอินไม่ได้ตอบทันทีแต่หยิบเอาบางอย่างจากในถุงออกมาตั้งไว้บนโต๊ะ ขวดแก้วบรรจุน้ำสีขุ่นที่ยังเย็นจนมีหยดน้ำเกาะพราวอยู่ข้างขวด ตัวหนังสือที่เขียนแปะอยู่บนฉลากทำให้รู้ทันทีว่ามันคือน้ำอะไร

     

    “ซื้อเกลือแร่มาให้ จะได้ฟื้นแรงไวๆ “ ตอบแล้วนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

     

    “ขอบคุณนะ”

     

    คยองซูมองขวดเกลือแร่ตรงหน้าแล้วย้ายไปมองผู้ที่อุตส่าห์เดินไปซื้อมาให้ กล่าวคำขอบคุณพร้อมรอยยิ้มสดใสที่กลับมาได้อีกครั้งหลังจากหมดพลังไปกับการซ้อม มือเล็กตั้งท่าจะหยิบขวดมาเปิดแต่ก็ถูกมือของอีกคนแย่งไปเสียก่อน มือหนาบิดเปิดฝาเกลียวแล้วจึงส่งให้คนตัวบางที่นั่งมองทุกการกระทำเงียบๆ

     

    คยองซูรับขวดแก้วนั้นมาแล้วดื่มพลางมองหน้าคนที่กำลังเบนสายตาออกไปมองทัศนียภาพอื่นๆ นอกร้านด้วยหน้านิ่งๆ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ อย่างเคย ทั้งๆ ที่การกระทำทุกอย่างมันบอกอยู่ชัดๆ ว่าจงอินเอาใจใส่เขามากแค่ไหน ถึงปากจะไม่พูดแต่คยองซูก็รับรู้มันได้โดยเฉพาะในระยะหลังมานี้

     

    “นี่จงอิน”

     

    “อือ?” ครางรับในลำคอเหมือนไม่ได้ใส่ใจ ยังไม่ละสายตาจากดินฟ้าอากาศ

     

    “ถามจริง เคยมีแฟนมาก่อนป่ะ?”

     

    จบคำถามเท่านั้นแหละ ไอ้คนที่แสร้งทำเป็นมองธาตุอากาศและพยายามกลั้นยิ้มจนปวดแก้มถึงกับหันหน้ากลับมามองคนถาม คยองซูนั่งมองเขาตาใส แต่จงอินรู้ดีว่าอิแบบนี้มันคือรอจะให้เขาตอบอยู่

     

    ...แต่ทำไมจู่ๆ ต้องมาถามอะไรแบบนี้วะเนี่ย?

     

    “ไม่เคย”

     

    “โห จริงดิ ไม่น่าเชื่อเลยเนอะ” คำพูดดูแปลกใจแต่น้ำเสียงนิ่งกว่าที่คิด ไม่รู้เพราะเหนื่อยเกินจะแสดงอารมณ์ร่วมหรือเปล่า คยองซูยกขวดเกลือแร่ขึ้นดื่มต่อขณะที่จงอินเหล่มองนิ่งๆ ก่อนจะหันไปมองทางอื่นอีก

     

    “ฉันไม่หล่อ ไม่ดูดีนี่ ยิ่งเมื่อก่อนทั้งเชย ทั้งซื่อบื้อ ใครเขาจะมาสนใจ” ขนาดนายยังไม่คิดจะใส่ใจจำเลยด้วยซ้ำ เจอกันครั้งแรกครั้งเดียวก็ลืมผิดกับเขาที่เฝ้ามองอยู่ตลอด

     

    “ไม่เห็นเกี่ยวเลย จงอินดูเป็นคนอบอุ่นจะตาย เอาใจใส่คนรอบข้าง แถมยังใจดีอีกด้วยนะ”

     

    “หา? ฉันเนี่ยนะใจดี?” หนกลับมาเบ้หน้าถามพร้อมชี้หน้าตัวเอง คยองซูพยักหน้าเร็วๆ

     

    “อื้ม! ใช่สิ ถึงนายจะทำเป็นดุ ทำเป็นเข้ม เป็นกัปตันใจหินจอมระเบียบยังไง แต่นายก็ไม่เคยพูดจาหรือทำให้เพื่อนร่วมทีมรู้สึกแย่เลยไม่ใช่เหรอ? อย่างน้อยก็กับฉัน ฉันไม่เคยรู้สึกอึดอัดใจเวลาซ้อมเลยสักครั้งนะ”

     

    พูดออกมาเรียบเรื่อยแล้วดื่มเกลือแร่ก้นขวดจนหมด จงอินชำเลืองตามองคนน่ารักที่ชักจะทำให้เขาอยากดึงเข้ามาฟัดมากขึ้นทุกวันๆ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แค่กล้าพูดกล้าคุยกับเขามากขึ้น แต่คยองซูยังช่างสงสัยแถมสงสัยแต่ละเรื่องที่ลำบากเขาต้องควบคุมการเต้นของหัวใจตัวเองตลอด

     

    แล้วนี่อีก จู่ๆ ก็มาชมกันซึ่งๆ หน้า ถามหน่อยว่าคิดบ้างหรือเปล่าว่าคนฟังเขาจะแย่เพราะไม่รู้ต้องทำหน้ายังไง คนพูดรึก็พูดไปเถอะ วันไหนได้เป็นแฟนกันแล้วจะประกบปิดปากซนๆ นั้นเอาให้บวมเจ่อเสียให้เข็ดเชียว

     

    “จงอิน”

     

    “อือออ ว่าไงอีก?” แกล้งทำเสียงรำคาญไปอย่างนั้น ซึ่งอีกฝ่ายก็คงจะจับได้ถึงนั่งหัวเราะคิกไม่เกรงใจเขาอยู่นี่ เกลือแร่มันได้ผลเร็วไปไหม ทำไมจะฟื้นแรงให้คนน่ารักมาพูดเจื้อยแจ้วได้ชวนแบกกลับไปนอนด้วยแบบนี้

     

    “คำถามสุดท้ายละ แล้วเดี๋ยวกลับหอกัน”

     

    จงอินพยักหน้าส่งๆ มือหนายังรองอยู่ที่คางเท้าศอกลงกับโต๊ะ มองออกไปด้านนอกเหมือนไม่ได้ตั้งใจฟัง ทั้งที่โสตประสาทรับรู้ทุกส่วนในร่างกายพร้อมทำงานเต็มที่

     

    “มีเหตุผลอะไรที่คนเราจะหัวใจเต้นแรงเวลาอยู่ใกล้คนอื่นเหรอ?”

     

     

    นั่นไง...แต่ละคำถามมันน่าจับตีก้นมั้ยล่ะ?

     

    จงอินอยากตะโกนบอกหัวใจตัวเองให้หยุดคำรามสักที ทำยังกับร้อนตัวที่ถูกจับได้ จริงๆ อาจไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย มันก็แค่คำถามไม่ได้หมายความว่าเขาแสดงออกชัดเกินไปใช่ไหม คยองซูก็คงไม่ได้ว่างขนาดมาจับผิดคอยฟังหัวใจเขาสั่นตลอดเวลาหรอก

     

    เจ้าของใบหน้าเข้มชำเลืองปลายหางตามามอง คนที่รอคำตอบจดจ้องตาไม่กะพริบแถมยังส่งยิ้มน่าเอ็นดูมากดดันอีก จงอินเห็นแล้วก็ถอนหายใจ หันกลับมามองหน้าคนไม่รู้อะไรชัดๆ ให้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

     

    คยองซูเห็นแบบนั้นก็กำลังจะอ้าปากท้วงทวงคำตอบ แต่อีกฝ่ายก็หันกลับมาเสียก่อนเหมือนรู้ทันความคิด คนหน้าไร้อารมณ์ที่สร้างขึ้นมาแม้จะรู้ว่าใช้ไม่ได้ผลแล้วเอ่ยปากบอกคำตอบก่อนที่จะเดินฉับๆ ออกไปที่รถโดยที่ไม่ได้รอคนที่ต้องพากลับด้วย

     

    “ก็เพราะชอบคนๆ นั้นอยู่น่ะสิ แค่นี้ยังต้องถามอีกหรือไง?”

     

     

    คยองซูยิ้มอยู่คนเดียวหลังได้รับคำตอบเพราะไอ้คนตอบชิ่งเดินหนีไปก่อนแล้ว ไม่รู้ด้วยความเขินหรือไม่รู้จะทำหน้ายังไง แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ คำตอบที่ได้มาไม่อาจทำให้เขาหยุดยิ้มได้เลย แม้จะรู้สึกแปลกๆ ในใจไปบ้างก็ตามที

     

    ถ้าอย่างนั้นฉันก็รู้แล้วล่ะจงอิน...รู้แล้วว่าทำไมนายถึงหัวใจเต้นแรง...


     

     

    TBC.

     

    Mirror* Talk: อ่ามมม จากที่สัญญากันว่าตอนนี้จะแข่งแน่ ก็ไม่ได้แข่ง สัญญาว่าจะได้รันโดริแน่ ก็ยังไมได้รันโดริ TvT แง้วววววว ใจเย็นๆ นะคะทุกคน คยองต้องการเวลา แม้คยองจะถูกเทพจีบ(?)แต่คยองไม่ได้เป็นเทพนะ คยองต้องฝึกฝนกันอีกสักนิด แต่รับรองว่าไม่เกินตอน 20 ต้องได้เห็นคยองแข่งจริงๆ แน่นอน คราวนี้ไม่กล้ารับปากแล้วว่าจะแข่งตอนไหน แต่ยังไงก็ต้องได้แข่งนะ เดี๋ยวพี่ลู่ไม่ได้เจอน้องฮุน(?) 55555*

    สำหรับตอนนี้เนื้อหามาเต็มอีกเช่นเคย #ไหนแกว่าจะลด เราพยายามจะข้ามๆ ไปละนะ TvT แต่บางเรื่องมันจำเป็นต้องให้คนอ่านรู้เพราะเดี๋ยวพอรันโดริจนถึงแข่งศัพท์เฉพาะจะออกมาจากปากอิประธานเยอะมาก คยองและสมาชิกทุกคนในเรื่องจะเข้าใจ แต่ถ้าคนอ่านไม่เข้าใจนี่ยุ่งเลยนะ 5555*

    เป็นอันว่ามาลงดึกอีกแล้ว TvT และช่วงนี้เราจิตตกมาก เพราะวันอังคารนี้ถูกเรียกสัมภาษณ์งานแรก ฮือออออ ควรทำไงอ่ะ นี่เป็นผญ.ที่ไม่เคยฝึกงาน ไม่เคยถูกสัมภาษณ์มานานมากแล้ว งื้ออออ นี่ประหม่าและตื่นเต้นมาก เครียดจนจะอ้วกหลายทีแล้วง่ะ ต้องแต่งฟิคคลายเครียด #วิธีคลรายเครียดมันช่าง...

    ขอบคุณทุกคนที่ยังตามอ่านจนถึงตอนนี้นะคะ ขอบอกว่าซึ้งใจมาก ขอบคุณทุกสายตาที่กวาดทุกตัวอักษรค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×