ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO FICTION] ONE IPPON (KAISOO)

    ลำดับตอนที่ #5 : CHAP 5

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.31K
      26
      11 ม.ค. 56

     

    CHAPTER 5

     

     

    “เซฮุน ดึงมือซ้ายอีก ไม่ใช่อย่างนั้น ดึงมาทางนี้สิ ดึงตรงๆแบบนั้นจะทุ่มได้ยังไงล่ะ”

     

    จงอินพูดไปพลางจับมือเซฮุนแล้วออกแรงให้ดึงมาทางซ้ายตามที่ตัวเองพูดไปด้วย  ร่างของแพคฮยอนที่อยู่บนหลังเซฮุนขยับไหลตามมาจริงๆจนเกือบจะทิ่มไปด้านหน้า แต่จงอินก็หยุดไว้แค่นั้น ดันไหล่ของเซฮุนให้ยืดขึ้นทำให้แพคฮยอนกลับมายืนบนเบาะได้อีกครั้งโดยไม่ถูกทุ่มลงไป

     

    “เห็นมั้ย? ดึงมาได้มากว่าที่นายทำเองเมื่อกี้อีกใช่หรือเปล่า?”

    จงอินถามยิ้มๆ อีกฝ่ายพยักหน้าตอบ

     

    “เพราะฉะนั้นเวลาจะทุ่มอ่ะดึงมือซ้ายให้เยอะๆ หน้าก็หันมองตามมือไปด้วย เอาล่ะ เข้าท่าแค่ยกลอยธรรมดานะยังไม่ต้องทุ่ม ทำไป 10 ครั้งสัก 5 เซ็ต แล้วพี่จะมาดูว่าทำถูกมั้ย นายก็ด้วยนะแพคฮยอน”

     

    ประโยคแรกบอกกับคนทุ่ม ส่วนประโยคหลังพูดกับคนเป็นหุ่น** แพคฮยอนพยักหน้ารับพลางยกแขนเสื้อยูโดขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้า จงอินยิ้มนิดๆก่อนจะหันกลับมาหาไอ้เพื่อนตัวสูงที่ยืนหน้าระรื่นอยู่ด้านหลัง

     

    “ส่วนมึง! มาเล่นรันโดริ** กับกูเลย!! ไอ้ห่ายอล กูบอกให้มึงสอนนักกีฬากูให้ดีๆ มึงมัวแต่ทำอะไรอยู่ห๊ะ!? มือซ้ายนี่อ่อนเปลี้ยกันทั้งคู่เลย!!

     

    กัปตันทีมหันมาพูดเสียงดังพลางใช้มือขวาคว้าเข้าที่สาบเสื้อของอีกคนแล้วลากออกมาห่างจากคู่ตัวเล็กที่กำลังฝึกเข้าท่ากันอยู่ ชานยอลไหวไหล่ส่งๆอย่างไม่ยี่หระพร้อมกับปลดมือหนาที่จับสาบเสื้อยูโดของตัวเองอยู่ตามเทคนิคการปลดมือคู่ต่อสู้ที่ได้เรียนรู้มา

     

    “กูก็สอนแล้วนี่ไง เซฮุนน่ะไม่ค่อยยกเวทเลยไม่ค่อยมีแรง ส่วนแพคฮยอนเดี๋ยวกูหาอะไรให้ได้ออกแรงมือเองนะ ฮี่ๆ”

     

    “หน้ามึงนี่ส่อมากนะไอ้ชานยอล!

     

    จงอินเบ้หน้าแล้วเดินขยับให้ยืนประจันหน้าอยู่ห่างจากชานยอลประมาณ 1 เมตร เพื่อเตรียมทำความเคารพกันก่อนเริ่มต้นรันโดริ ชานยอลหัวเราะเสียงดัง

     

    “มึงอ่ะดิแม่งชอบคิดอะไรอกุศล กูหมายถึงว่าเดี๋ยวมีเวลาจะพาทั้งสองคนนั่นแหละไปยกเวท แต่แพคฮยอนอ่ะมือหนักอยู่แล้ว แรงดึงมือก็มากกว่าเซฮุน ตีกูทุกวันจนกล้ามแขนจะขึ้นแล้วมั้ง”

     

    “เออ ให้มันจริงอย่างมึงพูดเถอะ เอ้า! เริ่มกันได้แล้ว ฮาจิเมะ!**

     

    จงอินสั่งคำสั่งให้เริ่มต้นเล่นรันโดริในตอนท้ายประโยคเสียงดัง ก่อนที่ทั้งคู่จะก้มตัวเคารพกันและค่อยๆสืบเท้าเข้าไปหากันพร้อมกับตั้งมือขึ้นรอหาจังหวะชิงจับเสื้อของอีกฝ่ายเพื่อหาจังหวะเข้าท่าทุ่มอีกที เป็นการซ้อมที่เสมือนการแข่งจริง แต่ก็ไม่ได้จริงจังมากขนาดเวลาแข่ง เพียงแค่เล่นเพื่อหาจังหวะการเข้าท่าที่ได้ซ้อมมา

     

    คนตัวบางบนเก้าอี้ข้างเบาะนั่งมองพร้อมกับคำถามที่ว่า ทำไมตัวเองยังมานั่งอยู่ที่นี่ได้ทั้งๆที่เมื่อวานจงอินเป็นคนบอกเองว่าไม่ต้องมาก็ได้เพราะเจ็บอยู่คงจะซ้อมไม่ไหวและให้เขาพักได้ พอดีวันนี้เป็นวันศุกร์ ถัดไปก็เสาร์อาทิตย์จะได้พักยาวแล้วค่อยมาซ้อมต่อวันจันทร์ แต่รู้ตัวอีกทีคยองซูก็พาตัวเองเข้ามายังห้องชมรมในเวลาซ้อมปกติแล้ว

     

    ลองเหยียดแขนยืดออกไปดู อาการเจ็บที่ข้อศอกพอจะทุเลาลงไปแล้ว คิดว่าถ้าได้พักอีกก็คงจะเป็นปกติ ที่กังวลคือกลัวจะลืมท่าตบเบาะที่ได้ฝึกมา เพราะทุกครั้งที่ขึ้นไปซ้อมจงอินจะทวนตั้งแต่ท่าแรกให้ นี่จะไม่ได้ซ้อมตั้ง 3 วัน สงสัยต้องทบทวนใหม่ตั้งแต่ต้น

     

    ตากลมโตมองไปยังคู่คนตัวสูงที่กำลังหาจังหวะชิงกันเข้าท่าทุ่มเหมือนเวลาแข่ง คยองซูเคยเห็นอู๋ฟานรันโดริบ่อยๆ เขายังจำสไตล์การเล่นที่พลิ้วไหวแต่แข็งแกร่งเหมือนดั่งมังกรที่โบยบินอยู่เหนือฟากฟ้านั้นได้อยู่จนถึงตอนนี้ อู๋ฟานยามอยู่บนสนามแข่งช่างสง่างาม ราวกับภาพศิลป์ชั้นสูงที่ถูกขีดเขียนขึ้นจากปลายพู่กันชั้นยอด

     

    แต่คิมจงอินต่างออกไป เจ้าของผิวคมเข้มมีสไตล์การเล่นที่ค่อนข้างดุดันแต่สมบูรณ์แบบ ทุกท่าทุ่มที่กระทำต่อคู่ต่อสู้ราวกับหลุดออกมาจากตำรา การทุ่มเฉียบขาด กล้าได้กล้าเสีย หากมีจังหวะทุ่มคะแนนที่จงอินได้คืออิปป้งแทบจะทุกครั้ง แต่ที่น่าแปลกใจคือถึงแม้จะดูเป็นสไตล์ที่แข็งกร้าวแต่กลับอ่อนน้อมได้อย่างไม่น่าเชื่อในตอนหาจังหวะเข้าท่า ไหลไปเหมือนสายน้ำแผ่วๆ หากเมื่อเห็นจังหวะที่ได้โอกาสแล้วก็ประหนึ่งคลื่นซัดสาดรุนแรง

     

     คยองซูเฝ้าดูการซ้อมที่น่ามหัศจรรย์นั้นด้วยหัวใจที่เต้นเร็วไม่รู้ตัว ร่างกายเขาอาจจะเคยชินไปแล้วเวลาที่ดูการซ้อมแบบแข่งจริงหรือเวลาดูแข่งในสนาม มันมักจะตื่นเต้นและลุ้นตามไปด้วย ยิ่งเป็นคิมจงอินคนที่สอนเขาด้วยตัวเอง ผู้ชายคนนี้เก่งมากจริงๆ แม้คยองซูจะเป็นเพียงคนโง่ๆที่ไม่เคยเล่นกีฬาใดๆเลยแต่ก็ยังดูออก

     

    นี่เกิดจากพรสวรรค์หรือการฝึกฝนกันนะ?

     

    “มาเต๊ะ!**

     

    เสียงคำสั่งให้หยุดดังออกจากปากจงอินอีกครั้ง ทั้งชานยอลและจงอินหยุดความเคลื่อนไหว ต่างฝ่ายต่างจัดเสื้อผ้ามัดสายตัวเองให้เรียบร้อยหลังจากถูกดึงกระชากออกจากการรันโดริเมื่อครู่จนหลุดลุ่ย ริมฝีปากเผยอได้รูปนิดๆเพื่อโกยอากาศเข้าปอดบอกได้ดีถึงความเหนื่อยของคนทั้งคู่ แต่งตัวให้สุภาพเสร็จเรียบร้อยก็หันหน้าเข้าหากันระยะห่างเท่าเดิมกับตอนเริ่มแล้วก้มโค้งทำความเคารพกัน

     

    ชานยอลเดินเข้ามาตบไหล่จงอินเบาๆสองสามครั้งพร้อมยิ้มบางๆเพื่อเป็นการขอบคุณ กัปตันทีมยิ้มกลับแม้จะหายใจถี่แล้วยกมือเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร ร่างสูงของชานยอลเดินไปยังริมหน้าต่างเพื่อสูดอากาศหายใจในขณะที่จงอินเดินมาทางเซฮุนกับแพคฮยอนที่กำลังเข้าท่าทุ่มกันอยู่

     

    “ไหน เข้าท่าให้ดูหน่อยซิ 5 ครั้งทุ่ม 1 ครั้งนะ”

     

    ออกปากบอกเสียงค่อยแล้วเซฮุนก็ทำตาม ร่างเล็กที่ดูบอบบางเข้าท่าได้ดีขึ้นกว่าครั้งแรก จังหวะที่ทุ่มลงไปแล้วก็ค่อนข้างสมบูรณ์ ถึงจะดูไม่ค่อยใช้แรงแต่ถ้าฝึกต่อไปเรื่อยๆคงพัฒนาได้มากกว่านี้อีกเยอะ เพราะลักษณะเซฮุนจะเป็นคนเรียนรู้ไว สอนแค่ครั้งเดียวก็จำและนำไปใช้ได้

     

    เมื่อทำครบก็สลับเป็นแพคฮยอนทำบ้าง รายนี้ทำเอาคยองซูต้องอ้าปากค้างด้วยความทึ่ง ร่างเล็กนั้นเข้าท่าได้ไม่สมบูรณ์นักถ้าเทียบกับเซฮุน แต่ด้วยแรงส่งทำให้ทุ่มลงไปได้สมบูรณ์แบบอย่างไม่น่าเชื่อ เรียกได้ว่าอาจไม่เห็นผลในจังหวะเข้ากระทำแต่เห็นผลจังๆก็ตอนถูกทุ่มลงไปแล้วนี่แหละ แพคฮยอนมีสไตล์การเข้าท่าที่ค่อนข้างดุจนเกือบคล้ายสไตล์ของจงอิน คยองซูไม่อยากจะคิดเลยว่าตอนเล่นรันโดริแพคฮยอนจะยิ่งดุมากกว่านี้อีกสักแค่ไหน

     

    จงอินดูการเข้าท่าทุ่มของแพคฮยอนกับเซฮุนอยู่อีกครู่ใหญ่แล้วจึงบอกให้ยืดคลายกล้ามเนื้อกันได้ คยองซูมองไปที่นาฬิกาบนผนังก็พบว่าได้เวลาเลิกซ้อมแล้ว นี่เขานั่งดูคนอื่นซ้อมยูโดเพลินจนลืมเวลาเชียวหรือ ยืดกล้ามเนื้อกันเสร็จสรรพก็พากันไปตั้งแถวเคารพเบาะเหมือนอย่างทุกครั้ง

     

    “วันนี้ก็ขอบคุณทุกคนมากนะ”

     

    “ขอบคุณคร้าบบบบ~

     

    สิ้นเสียงคำสั่งให้ยืนเคารพเบาะครั้งสุดท้ายจงอินก็ยิ้มพร้อมพูดขอบคุณทุกคนก่อนจะตามมาด้วยเสียงขอบคุณของคนอื่นๆดังครึกครื้น แพคฮยอนเคยบอกว่ามันเป็นธรรมเนียม เราต้องขอบคุณเพื่อนซ้อมของเราที่อุตส่าห์มาเหนื่อยซ้อมพร้อมกับเรา เพราะฉะนั้นจึงต้องขอบคุณกันทุกครั้งเมื่อซ้อมเสร็จ คยองซูนึกขึ้นได้ว่าหลังจากที่รันโดริเสร็จชานยอลกับจงอินก็แสดงความขอบคุณกันเองเหมือนกัน

     

    ดูเป็นกีฬาที่สุภาพ อ่อนโยน และอบอุ่นต่างจากที่เคยคิดไว้ก่อนหน้านี้

     

    “คยองซู วันนี้ไปกินข้าวด้วยกันนะ”

    แพคฮยอนพูดขึ้นมาทันทีที่เดินมาตรงข้างเบาะ คนตาโตย่นคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย

     

    “ปกติซ้อมเสร็จถ้าอีกวันไม่มีเรียนพวกเราก็จะไปกินข้าวพร้อมกันน่ะ กินไปนั่งคุยกันไปเพลินๆ ไปด้วยกันนะ”

     

    “อ่า...ฉันไปได้ด้วยเหรอ?”

     

    “พูดอะไรอย่างนั้นเล่า นายก็เป็นทีมเดียวกันกับเราแล้วนะ ทำยังกะเป็นคนอื่นไปได้”

     

    ชานยอลพูดพลางหัวเราะพร้อมกับปลดสายดำของตัวเองโยนลงบนเบาะแล้วถอดเสื้อยูโดออกอย่างที่ทำเป็นประจำ ปกตินักยูโดชายจะไม่ใส่เสื้อยืดข้างในไม่เหมือนผู้หญิง เป็นกติกาสากลในตอนแข่งขันด้วย แต่บางคนก็อาจจะใส่ตอนซ้อมบ้างเพราะไม่อยากให้ชุดยูโดเปียกเหงื่อมากๆก็ใส่เสื้อยืดเพื่อซับเหงื่อก่อนหนึ่งชั้น

     

    ชานยอลมีร่างกายที่สมกับการเป็นนักกีฬา มัดกล้ามเนื้อที่เกิดจากการฝึกซ้อมมานานปรากฏตามส่วนต่างๆของร่างกาย ชานยอลไม่ใช่คนที่มีกล้ามเยอะแต่มีอย่างพอดีเหมาะสมกับส่วนสูง ไม่ได้มีกล้ามเนื้อหน้าท้องขึ้นมาเป็นลอนชัดเจนแต่ก็มีอยู่ให้เห็น ผิวขาวพราวหยดเหงื่อหลังซ้อมกลับช่วยทำให้คนๆนี้ยิ่งน่ามอง เรียกได้ว่าหุ่นดีจนสามารถดึงไปเป็นนายแบบได้เลยทีเดียว

     

    “พยอนแพคอ่า...พับชุดให้ด้วยดิ”

    ส่งเสียงออดอ้อนพร้อมรอยยิ้มไปให้ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือตาเรียวเล็กที่เหวี่ยงใส่

     

    “เดี๋ยวต่อยคว่ำ”

     

     

    โอเค...หุบยิ้มแล้วกลืนทุกคำลงคอไปโดยสดุดี

     

     

    คยองซูอดกลั้นหัวเราะไปกับภาพที่เห็นไม่ได้ หน้าตาชานยอลตอนนี้ยังกับลูกหมาถูกทิ้งขณะที่แพคฮยอนก็ถอดเสื้อยูโดของตัวเองไว้บนเบาะแล้วเดินหายเข้าไปเปลี่ยนกางเกงในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่มีผ้าม่านกั้นไว้ วันนี้แพคฮยอนใส่เสื้อยืดด้านในซ้อมเพราะต้องคุมน้ำหนัก ส่วนเซฮุนใส่เพราะได้ยินมาว่าผิวของเจ้าตัวบอบบางมากจนเคยโดนเสื้อยูโดด้านในบาดมาแล้ว จงอินก็เลยให้ใส่เสื้อยืดซ้อมไปก่อน ชินเมื่อไหร่ค่อยถอด

     

    ในตอนนั้นเองที่ชานยอลเหมือนจะนึกอะไรออก คนตัวสูงตาเป็นประกายอีกครั้งแล้วหันควับกับไปหาน้องเล็กของทีม เซฮุนกำลังก้มหน้าก้มตาพับชุดยูโดของตัวเองอยู่

     

    “เซฮุนน่า...พับชุดให้พี่ชานยอลหน่อยนะครับ”

     

    ยังไม่ทันที่น้องนุชจะให้คำตอบกลับมา เพียงกำลังจะอ้าปากร่างของจงอินก็เข้ามาขวางพร้อมกับประทานฝ่ามือหนักๆลงกลางศีรษะชานยอลอย่างไม่นึกเกรงใจ คนที่เพิ่งถูกตบกบาลเคยหน้าขึ้นหมายจะด่าสักหน่อยแต่ก็ไม่ทันอีกฝ่ายที่โต้กลับมาไวกว่า

     

    “มึงหยุด! ไอ้นี่นิสัยเสียไม่เคยเปลี่ยน ชุดใครก็พับเองดิวะ!

     

    “โอ้ยยย กูรู้แล้ว! กูแค่อยากลองใจน้องดู”

     

    “ลองใจห่าไร!!? กูรู้หรอกว่ามึงกะใช้จริง ตอนเด็กๆถูกรุ่นพี่ใช้ให้พับชุดบ่อยเลยเก็บกดหรือไงห๊ะ!?

     

    “ไอ้เชี่ยไคคคคค มึงจะดุกูไปถึงไหนนนน!? กูรู้แล้วคร้าบบบ เลิกบ่นคร้าบบบบ กูกราบบบบ”

     

    เห็นชานยอลโวยวายเป็นเด็กถูกแกล้งแบบนั้นจงอินก็อดขำออกมาไม่ได้ ความจริงมันก็ไม่ได้เป็นคนนิสัยเสียชอบใช้คนอะไรหรอก ตรงกันข้าม ปาร์คชานยอลให้เกียรติเพื่อนร่วมทีมจะตายไป ก็แค่บางครั้งบางคราวที่มันอาจจะนึกอะไรสนุกๆทำขึ้นมาบ้าง และการที่ได้ขัดขวางมันนั่นแหละคือความสุขของจงอินล่ะ

     

    จงอินหัวเราะพลางปลดสายและถอดเสื้อยูโดของตัวเองออกมากองไว้บนเบาะเพื่อเตรียมพับชุดบ้าง ร่างเปลือยท่อนบนแอบทำให้ใครบางคนแถวนั้นเผลอสะดุดลมหายใจ จงอินมีร่างกายที่เพอร์เฟคซ์ กล้ามเนื้อที่ท่อนแขนเด่นชัดเป็นรูปร่างกว่าชานยอลนิดหน่อยซึ่งทำให้มันดูไม่น่าเกลียด แผงอกกว้างมีมัดกล้ามกระชับ และที่หน้าท้องนั้นปรากฏลอนกล้ามขึ้นชัดเจนกว่าชานยอล อาจด้วยผิวสีน้ำผึ้งนั้นยิ่งทำให้ร่างกายของคิมจงอินยิ่งสมบูรณ์แบบ หุ่นแบบนักกีฬาที่ดูแล้วไม่ขัดตาแบบนี้หาได้ยากจนคยองซูเผลอใจเต้นอย่างไร้สาเหตุ

     

    มือหนาคว้าเสื้อยืดบนกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาสวม หยุดชะงักเล็กน้อยก่อนตาคมจะหันไปมองยังคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ริมเบาะ จงอินหยุดนิ่งเพื่อใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงหยิบกางเกงของตัวเองขึ้นมาพาดบ่า เป็นจังหวะเดียวกันกับที่แพคฮยอนเดินออกมาจากม่านห้องแต่งตัว ร่างหนาจึงเดินสวนหายเข้าไปในห้องแต่งตัวแทน

     

    แพคฮยอนหันหลังเหลียวมองตามพลางขมวดคิ้วสงสัย มองมายังชานยอลที่กำลังปลดเชือกกางเกงยูโดของตัวเองเพื่อถามคำถาม ชานยอลยิ้มนิดๆแล้วส่ายหัว

     

    “แหม มันก็ต้องรักษาภาพกันหน่อย รู้ๆอยู่นี่นา”

     

    คำตอบของชานยอลไม่ต่างอะไรจากโค้ดลับที่เข้าใจกันหมดยกเว้นคยองซู แพคฮยอนพยักหน้าหงึกหงัก ก็ทุกทีจงอินไม่เคยจะหายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องแต่งตัว ก็ถอดเปลี่ยนกันโต้งๆบนเบาะนี่แหละเพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาของพวกนักกีฬาโดยเฉพาะถ้ามีคนน้อยๆอยู่กันเองแบบนี้ด้วย ที่เกิดเหนียมขึ้นมานี่คงเพราะมีบางคนนั่งมองตาแป๋วอยู่ข้างเบาะล่ะมั้ง

     

    คนหน้าสวยหันกลับมาบนเบาะ ร่างสูงที่ปลดเชือกกางเกงตัวเองอยู่เมื่อครู่ตอนนี้เปลือยท่อนล่างไปเรียบร้อยแล้ว ยังดีที่มันยังใส่เสื้อยาวๆพอจะปิดอะไรบางสิ่งที่ไม่น่ามองไว้บ้าง ก่อนจะคว้ากางเกงอีกตัวขึ้นมาสวมอย่างไม่เร่งรีบ แพคฮยอนถอนหายใจยาว ใครมันจะไปเหมือนไอ้บ้านี่ ไม่เคยมีล่ะภาพลงภาพลักษณ์ มาแรกๆเขาก็นึกเขินแทนนะ แต่พอนานเข้าก็ชักชิน ขนาดตัวมันเองยังไม่อายเลยแล้วทำไมเขาจะต้องมาอายแทนด้วยล่ะ ร่างกายตัวเองรึก็ไม่ใช่

     

    ถอนหายใจพลางทำหน้าเอือมอีกครั้งแล้วหันกลับมาทางคยองซูที่นั่งหน้าขึ้นสีอยู่ข้างเบาะ คือเขาก็พอจะเข้าใจนะ ถึงจะเป็นผู้ชายด้วยกันแต่ถ้าเพิ่งรู้จักกันไม่นานแล้วมาถอดให้เห็นกันต่อหน้าแบบนี้เป็นใครก็อดเขินไม่ได้ แต่เอาเถอะ ต่อให้มีคนน่ารักสักกี่คนมานั่งข้างเบาะก็คงไม่อาจเปลี่ยนแปลงความหน้าด้านของชานยอลได้อยู่ดี ขนาดคนที่มันชอบยืนอยู่ตรงนี้ยังไม่กระดากที่จะทำเลยคิดดู

     

    “เดี๋ยวก็ชินนะคยองซู แต่คืนนี้หาน้ำล้างตาหน่อยก็ดี เข้าใจว่าภาพติดตา”

     

    แพคฮยอนวางมือลงบนไหล่เล็กพลางตบเบาๆ คนตัวเล็กหันกลับมาหัวเราะแฮะๆให้อย่างเก้อๆ ชานยอลที่กำลังพับชุดอยู่เลยพูดสวนกลับมา

     

    “เห็นมังกรครั้งแรกไม่ต้องตกใจนะคยองซู”

     

    “ทะลึ่ง! มังกรบ้านนายน่ะสิ หนอนไม้ไผ่ล่ะไม่ว่า”

     

    แพคฮยอนสวนกลับทันควัน คำพูดคำจานี่ก็ด้านไม่ต่างกันเลยจริงๆ คนตัวโตไม่ได้สะทกสะท้าน ยังยิ้มระรื่นต่อปากต่อคำได้ด้วยหน้าตาเจ้าเล่ห์กวนอารมณ์

     

    “โหยยยย รู้ได้ไง มาลองพิสูจน์ดูมั้ยล่ะพยอนแพค?”

     

    “ต่อยกันมั้ยชานยอล?”

     

    “ขอโทษครับ”

     

     

    ...กลืนทุกคำลงคอไปตามระเบียบ...

     

     

    คยองซูหัวเราะคิกไม่ต่างจากเซฮุนที่นั่งขำเอิ๊กอ๊ากอยู่ใกล้ๆ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ประธานชมรมเดินออกมาจากห้องแต่งตัว ร่างหนานั่งลงบนเบาะพับชุดยูโดของตัวเองเรียบร้อยแล้วก็เอาชุดยูโดขึ้นพาดบ่าโดยจับปลายสายยูโดไว้ ทุกคนก็ทยอยกันลุกขึ้นตาม ต่างคนต่างหอบหิ้วชุดยูโดของตัวเอง เพราะวันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์เลยต้องเอาชุดยูโดไปซักไม่เหมือนทุกครั้งที่ผึ่งลมไว้ที่ราวข้างๆหน้าต่างห้องชมรม

     

    คยองซูลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามหลังจงอินไปพร้อมๆกับทุกคน กัปตันทีมไม่ได้พูดอะไรสักคำต่างจากคนอื่นๆที่ยังคุยเล่นกันอย่างครึกครื้น คงมีแต่เขากับจงอินที่ยังเดินลงบันไดไปเงียบๆ

     

    อันที่จริงแล้วทีมนี้รักใคร่สามัคคีกันดีอาจเพราะมีสมาชิกกันอยู่แค่นี้เลยทำให้รู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน คยองซูก็สัมผัสได้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาฝึก จงอินเห็นเงียบๆขรึมๆแบบนี้แต่เวลาอยู่บนเบาะสอนเซฮุนกับแพคฮยอนเมื่อกี้ก็ใจดีอย่างไม่น่าเชื่อ ผิดกับเวลาสอนเขาลิบลับ แต่คยองซูก็ไม่ได้ขัดเคืองอะไรจงอินหรอกนะ เพียงแค่สงสัยว่าจริงๆแล้วผู้ชายคนนี้เป็นคนยังไงกันแน่นะ เดี๋ยวก็ใจดีเดี๋ยวก็ดุ เดี๋ยวเย็นชาเดี๋ยวก็อ่อนโยน คาดเดาไม่ได้เลยจริงๆ

     

    ระหว่างที่คิดเพลินๆอยู่นั้น จู่ๆร่างหนาของคนที่เดินอยู่ข้างหน้าก็หยุดกึกเล่นเอาคยองซูเกือบหน้าทิ่มแผ่นหลังกว้างแล้วเชียว จงอินหันกลับมามองเขานิ่งๆครู่หนึ่งแล้วมองเลยไปถึงอีก 3 คนที่เดินตามมา

     

    “จะไปกันยังไง? เอามอไซค์มากันกี่คัน?”

     

    “วันนี้ฉันไม่ได้เอามาด้วยสิ”

     

    แพคฮยอนพูดขึ้นเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีสมาชิกมาเพิ่ม ไม่เหมือนทุกครั้งที่เวลาไปกินข้าวด้วยกันจะพอดีมอเตอร์ไซค์สองคันซ้อนคันละสองคน แต่ร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านหลังก็พูดแทรกขึ้นมาต่อ

     

    “กูเอามา เดี๋ยวกูไปกับแพคฮยอนเอง มึงพ่วงคยองซูกับเซฮุนไป”

     

    “หยุด! เอาเซฮุนมาคันเรา ให้คยองซูไปกับจงอิน จะให้คนเจ็บมานั่งเบียดด้วยทำไมห๊ะ!?

     

    คนตัวบางหัวไปแหวใส่พร้อมกับฟาดเข้าอย่างจังบนไหล่กว้าง วันนี้เห็นว่าสอนท่าทุ่มให้เลยไม่ได้ลงไม้ลงมือ แต่รู้สึกว่าจะได้ใจถึงได้กวนใหญ่โต แพคฮยอนเลยจัดให้ซะหนึ่งดอก

     

    เมื่อเป็นอันตกลงกันตามนั้นทั้งหมดก็พากันเดินลงไปขึ้นรถของแต่ละคนที่จอดเอาไว้หน้าโรงยิม ชานยอลสตาร์ทรถแล้วแพคฮยอนก็ขึ้นซ้อนก่อนจะตามมาด้วยเซฮุน ขณะที่คันของจงอินเจ้าของรถยื่นชุดยูโดให้คยองซูถือไว้ส่วนตัวเองกำลังใส่หมวกกันน็อค

     

    “เจอกันร้านเดิมนะฮะพี่จงอิน เอ้อ เซฮุนฝากซื้อชาไข่มุกหน้าประตูม.ให้ด้วยนะ พี่ชานยอลไม่เคยแวะจอดให้เซฮุนซื้อเลยอ่ะ” พูดแล้วก็ยู่หน้าแต่ไอ้คนที่ถูกกล่าวหาก็ไม่ได้สะดุ้งสะเทือน ชานยอลปิดหน้ากากหมวกกันน็อคแล้วออกรถ

     

    ทางด้านจงอินที่สวมหมวกกันน็อคและสตาร์ทรถเรียบร้อยก็ดึงชุดยูโดในมือเล็กมาก่อนจะยื่นหมวกกันน็อคอีกใบให้ไปแทน คยองซูรับมือแล้วสวมก่อนจะขึ้นไปซ้อนท้ายอย่างว่าง่าย จงอินยื่นชุดยูโดมาให้คยองซูถือไว้อีกครั้งในตอนที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลังแล้ว

     

    เมื่อรถเคลื่อนตัวออกไป ลมหายใจของประธานชมรมยูโดก็แทบขาดช่วงเมื่อมือเล็กของคนข้างหลังจับยึดชายเสื้อของเขาเอาไว้แน่น จงอินไม่ได้คาดหวังถึงขั้นให้คยองซูมากอดเอวเหมือนอย่างในหนัง แต่ก็ไม่คิดว่าคนน่ารักจะกำเสื้อของเขาไว้แน่นขนาดนี้

     

    พยายามควบคุมสติของตัวเองจนมาถึงร้านชายชาไข่มุกของเซฮุน ให้มีช่วงเวลาได้พักหายใจตอนที่คยองซูเดินลงไปซื้อชาไข่มุกมาให้ มือหนาทาบลงบนแผ่นอกตัวเอง นี่มันเต้นแรงกว่าตอนรันโดริเมื่อกี้อีกนะเนี่ย

     

    หลังจากซื้อได้เ สร็จสรรพเรียบร้อยก็พากันไปจนถึงร้านประจำที่นัดกันไว้ แต่ทันทีที่รถคันงามจอดเทียบที่หน้าร้าน บุคคลทั้ง 3 ที่นั่งรออยู่แล้วบนโต๊ะก็หันมามองทางคนมาใหม่เป็นตาเดียว

     

    “โอ้โห~ ให้ใส่หมวกกันน็อคด้วยแฮะ ทีไปส่งฉันกลับหอล่ะไม่เคยอ่ะ ถ้ารถคว่ำฉันหัวกระแทกพื้นขึ้นมาทำไงวะ สองมาตรฐานสุดๆ”

     

    แพคฮยอนพูดไปขำไปอย่างไม่จริงจังกับคำพูดนั้น มองคยองซูที่ถอดหมวกกันน็อคยื่นมาให้จงอินพร้อมกับส่งชุดยูโดไปให้ คนขี้เก๊กยังคงวางมาดขรึมอยู่เช่นเดิมเล่นเอาเซฮุนเผลอหลุดหัวเราะ ยิ่งนึกหน้ากัปตันทีมเวลาแอบมาฟินเองทีหลังยิ่งกลั้นขำเอาไว้แทบไม่ไหว

     

    อาหารมื้อนั้นเป็นไปอย่างครื้นเครงเหมือนกับทุกครั้งที่ได้รวมตัวกินข้าวด้วยกัน ทุกคนต่างพูดคุยกันสัพเพเหระและยังชวนคยองซูมาร่วมบทสนทนาได้อย่างสนุกสนาน ทุกครั้งที่บทสนทนาโยงเข้าคยองซูจงอินไม่ค่อยได้พูดแสดงความเห็นอะไรแต่ก็ยังแอบคลี่ยิ้มเรื่อยๆแม้จะแกล้งเบือนสายตาออกไปมองนอกร้านบ้างอะไรบ้าง

     

    จากการพูดคุยกันวันนี้ทำให้คยองซูได้รู้จักสมาชิกในทีมมากขึ้น เขาก็เพิ่งรู้ว่าแพคฮยอนที่เรียนเภสัชนั้นเป็นเพื่อนที่อยู่หอเดียวกันกับจงอิน ห้องก็อยู่ใกล้ๆกันเลยทำให้รู้จักกัน จงอินลองชวนมาเล่นยูโดโดยที่เป็นคนสอนให้เองแล้วเห็นว่าแพคฮยอนดูมีแววเลยหมายมั่นปั้นให้เป็นนักกีฬาเสียเลย แรกๆคนที่สอนตบเบาะเป็นชานยอลเลยเลยเป็นช่วงเวลาที่ได้อยู่ใกล้ชิดสนิทสนม แต่พอถึงช่วงสอนเข้าท่าทุ่มจงอินก็ชิงสอนแพคฮยอนแทน ทั้งเทคนิคต่างๆก็ด้วย โดยให้เหตุผลว่าถ้าให้ชานยอลสอนคงไม่เป็นอันสอนกันพอดี

     

    ผลที่ตามมาก็คือ แพคฮยอนกลายเป็นคนเล่นสไตล์ดุดันเหมือนๆกับจงอิน ด้วยนิสัยปกติของเจ้าตัวก็ไม่ค่อยจะยอมใครอยู่แล้วเลยยิ่งเหมาะเจาะพอดิบพอดี เพราะของอย่างนี้ต่อให้คนสอนเป็นยังไงแต่ถ้าคนถูกสอนไม่ได้เป็นสไตล์เดียวกันก็คงไปคนละทาง และนั่นทำให้ในการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยปีที่ผ่านมาแพคฮยอนได้ชนะจนเข้าไปถึงรอบตัดเชือก เป็นม้ามืดที่ใครๆก็ต่างทึ่ง แต่น่าเสียดายที่แพ้ตัวเต็งของรุ่นในรอบชิงเหรียญทองแดงเสียก่อนเลยพลาดไป

     

    ส่วนโอเซฮุนเป็นน้องเฟรชชี่ที่เป็นน้องรหัสของแพคฮยอน เห็นตัวบางๆน่ารักๆแบบนี้ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเจ้าตัวจะตกปากรับคำชวนไปลองฝึกซ้อมของแพคฮยอนง่ายขนาดนี้ แถมยังอึดอย่างไม่น่าเชื่อ ว่าไปแล้วเซฮุนก็เพิ่งจะมาฝึกก่อนคยองซูแค่เทอมเดียวแต่เพราะเด็กคนนี้เรียนรู้ไวเลยทำให้ได้ฝึกเข้าท่าจนตอนนี้ถึงขั้นฝึกหาจังหวะการเข้าแบบแข่งแล้ว

     

    “เดือนนี้ยังให้กินได้อยู่นะแพคฮยอน แต่เดือนหน้าต้องเริ่มคุมน้ำหนักได้แล้ว เข้าใจมั้ย?”

     

    จงอินพูดหลังจากที่จ่ายเงินกันเรียบร้อยแล้ว แพคฮยอนหยักหน้าอย่างว่าง่ายก่อนจะพากันเดินออกนอกร้าน มาหยุดยืนออกันอยู่ที่ลานจอดรถอีกครั้งเพื่อตกลงกันว่าใครจะไปกับใคร

     

    เพราะพวกเราต่างคนต่างอยู่กันคนละหอยกเว้นจงอินกับแพคฮยอน ถ้าเป็นเหมือนทุกครั้งแพคฮยอนจะกลับกับจงอิน ส่วนเซฮุนชานยอลจะเป็นคนไปส่งเอง ทีนี้มีคยองซูเพิ่มเข้ามาอีกคนเลยต้องตกลงกันใหม่

     

    “หอคยองซูอยู่ทางเดียวกันกับหอของชานยอลพอดีเลยนี่นา งั้นคยองซูกลับกับชานยอลแล้วกัน ฉันกับจงอินจะไปส่งเซฮุนก่อนเอง”

     

    แพคฮยอนพูดขึ้นหลังจากถามไถ่เรียบร้อยแล้ว ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยแล้วเริ่มแยกย้ายกันขึ้นรถ แต่ในตอนที่คยองซูกำลังขึ้นไปซ้อนท้ายชานยอล แรงสะกิดเบาๆที่ต้นแขนก็เรียกให้เขาต้องหันกลับไป

     

    คิมจงอินกำลังยืนหน้านิ่งพร้อมยื่นหมวกกันน็อคใบเดิมมาให้

     

    “ใส่ด้วย”

     

    เสียงทุ้มพูดเรียบๆ แต่ทำเอาแพคฮยอนที่ยืนรออยู่ข้างหลังต้องเบ้หน้า ดูมันทำ แล้วจะไม่ให้หาว่าสองมาตรฐาน ทุกทีล่ะไม่เคยจะมาเคร่งครัดกฎจราจร หอก็อยู่แค่นี้แหละ แถมคันนี้มีกันตั้งสามคน ลำเอียงสุดๆเลยพ่อคุณ

     

    คยองซูมองหมวกกันน็อคในมือหนา เงยหน้ามองคนให้อีกทีแล้วพยักหน้าพร้อมกับรับหมวกกันน็อคมาสวม ชานยอลหันมามองพลางทำหน้าเอือมใส่เล็กน้อย อะไรจะห่วงขนาดนั้นครับไอ้กัปตัน

     

    “ถ้าชานยอลมันพาเข้าที่มืดหรือไปทางแปลกๆ ให้นายจิ้มลูกตามันก่อนเลยนะ แล้วก็วิ่งหนีมาให้เร็วๆ ตามันใหญ่ รับรองเจ็บจนตามนายไม่ทันแน่”

     

    “โอ้โหหหหหห ไอ้ไคครับบบ นี่กูเพื่อนมึงนะครับไม่ใช่คนโรคจิต พูดซะกูเสียเลยสัด!

     

    จงอินหัวเราะให้กับหน้าเพลียโลกของชานยอลก่อนจะหันกลับมาทางรถตัวเอง คนตัวเล็กแอบกลั้วหัวเราะเล็กน้อย จัดท่าทางการนั่งให้ดีในจังหวะที่ชานยอลสตาร์ทเครื่อง แต่เมื่อรถกำลังจะออกตัว แรงสะกิดเบาๆที่ข้างแขนก็มาอีกโดยคนเดิม จงอินยืนหน้าเรียบขึงพลางแบมือมาทางเขา

     

    “เอาโทรศัพท์มาหน่อย”

     

    คยองซูยื่นไปให้ มือหนากดอะไรยุกยิกอยู่กับโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่งกลับมา

     

    “นี่เบอร์ฉัน ถ้าวิ่งหนีมันมาพ้นแล้วให้โทรหาทันที จะรีบไปช่วย”

     

    “ไอ้ห่าไคคคคคคคคคคค!!!

     



    ++++++++++++++++++++++++

    30% NOW
     

     

    เย็นวันจันทร์อันเป็นวันเริ่มต้นของสัปดาห์มาถึง ทุกคนก็ยังดูคึกคักพร้อมลงสนามซ้อม คยองซูบังเอิญเจอเซฮุนที่หน้าโรงยิมพอดีเลยถูกน้องชายตัวบางกุมมือพาเดินขึ้นมาบนห้องชมรมด้วยกัน แพคฮยอน ชานยอลและจงอินมารออยู่ก่อนแล้ว ซ้ำยังเริ่มแยกย้ายกันไปเปลี่ยนชุดเตรียมซ้อมแล้วด้วย

     

    ร่างสูงของกัปตันทีมสวมกางเกงยูโดสีขาวเรียบร้อยแล้วแต่ยังเปลือยท่อนบนอยู่ ดวงตาคมกริบมองมายังคนตัวบางที่เพิ่งมาให้นิ่งๆครู่หนึ่งก่อนจะสืบเท้าเดินเข้ามาหา คยองซูเงยหน้าขึ้นมาพบเจ้าของมัดกล้ามเนื้อสีน้ำผึ้งก็ต้องชะงักและเผลอถอยหลังไปนิดหน่อย จงอินหยุดลงตรงหน้าคยองซู

     

    “ศอกดีขึ้นหรือยัง?”

     

    เสียงทุ้มต่ำถามเรียบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์ความเป็นห่วงเป็นใยที่ควรจะมีอยู่ในคำถามนั้น คยองซูค่อยๆพยักหน้า ดวงตากลมไหวระริกไม่กล้าหลบตา หรือต่อให้หลบตาก็คงไม่กล้ามองต่ำลงไปกว่าช่วงคอแน่ๆ

     

    “วันนี้จะทบทวนท่าตบเบาะทั้งหมดและจะสอนท่าตบเบาะซ้ายขวาเพิ่มด้วย พร้อมหรือเปล่า?”

     

    “...อือ พร้อม”

     

    “ทำเสียงให้มั่นใจหน่อย!

     

    “พร้อม!

     

    คยองซูพูดเสียงดังหลังถูกตะคอกใส่ในตอนแรก อยากจะหันหลังแล้วเดินกลับหอเสียเดียวนี้เลย คนอะไรดุชะมัด ทีกับคนอื่นไม่เห็นจะดุเป็นเสืออย่างนี้บ้าง ภาพประธานชมรมขี้เล่นนิดๆ ใจดี เป็นที่พึ่งของทุกคนได้เมื่อ 3 วันก่อนหายวับและถูกแทนที่ด้วยกัปตันทีมจอมโหดคนเดิม

     

    ร่างสูงหมุนตัวกลับไปขึ้นเบาะพร้อมกับหยิบเสื้อยูโดของตัวเองมาสวม มัดสาย และบอกให้ทุกคนรีบเปลี่ยนชุดขึ้นมาเคารพเบาะ คยองซูที่ไม่ต้องเปลี่ยนชุดเหมือนคนอื่นเลยได้นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเบาะตาปริบๆรอคนอื่นๆไปด้วย

     

    จงอินแอบชำเลืองมองคนตัวเล็กแว้บหนึ่ง เมื่อเห็นว่าคยองซูไม่ได้สนใจที่จะมองมาที่เขา ขายาวก็แสร้งเดินสูดอากาศไปทั่วเบาะ สองมือยกขึ้นกอดอก ริมฝีปากคมหยักยกยิ้มอย่างสุดจะห้าม

     

    หน้าตาตื่นตระหนกจนตาโตๆนั้นยิ่งเบิกกว้างของคยองซูเป็นภาพที่ไม่เคยได้เห็นเลยตลอดการแอบมองในอดีตของเขา ปกติคยองซูจะมีแต่รอยยิ้ม อาจมีบ้างเวลาที่ตกใจคนตัวเล็กหน้าตาจะเปลี่ยนไปอย่างน่ารักน่าชัง แต่คงเพราะช่วงมัธยมไม่เคยมีใครมาเบ่งอำนาจกับคยองซูเหมือนอย่างที่เขาทำตอนนี้ เลยไม่เคยมีโอกาสได้เห็นหน้าตาแบบเมื่อกี้ของคยองซูเลยสักครั้ง นี่นับว่าเป็นประสบการณ์ใหม่เลยนะเนี่ย

     

    แต่มันก็สมควรล่ะนะ น่ารักขนาดนั้นใครเขาจะไปตะคอกใส่ได้ลง ต่อให้มีอำนาจบาทใหญ่อยู่ในมือยังไม่กล้าจะใช้เลย คยองซูเลยไม่เคยถูกใครข่มเหงเหมือนเด็กนักเรียนซื่อๆดูไม่สู้คนแบบคนอื่นๆ ยิ่งตอนที่คบกับพี่คริสยิ่งไม่มีใครกล้าทำอะไรเข้าไปใหญ่...

     

    ...ตอนที่คบกับพี่คริส...

     

    รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้าหล่อเหลาฉับพลันเมื่อความคิดย้อนกลับไปในวันวานมากเกินไป หัวใจที่คิดว่าด้านชาเมื่อเหมือนเวลาฟาดแขนลงตบเบาะกลับมาเจ็บๆคันๆขึ้นมาอีกครั้ง หันกลับไปมองคนตัวเล็กที่ยังนั่งอยู่ข้างเบาะ หัวเราะเบาๆกับแพคฮยอนที่กำลังใส่ชุดยูโดอยู่

     

     

    คนที่ทำให้เขาต้องรู้สึกแบบนั้นก็อยู่ที่นี่แล้วนี่นะ

    อย่าคิดว่าฉันจะยอมนายง่ายๆหน่อยเลย นายยังต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำไว้อีกเยอะ

     

    ริมฝีปากคมกระตุกยิ้ม

     

    ...หนทางต่อจากนี้มันยังไกลนัก โดคยองซู

     

     

    “เอ้า! ขี้นเบาะกันได้แล้ว”

     

    คำสั่งเสียงเข้มเด็ดขาดดังขึ้นอีกครั้งและนั่นทำให้ชานยอลจับได้ว่ามีบางอย่างไม่ปกติ สงสัยไอ้เพื่อนตัวดีมันอยู่ในอารมณ์ที่ไม่เข้าร่องเข้ารอยเท่าไหร่นัก นอกจากเสียงห้วนๆติดจะวางอำนาจนิดๆยังแอบเห็นรอยยิ้มร้ายบนริมฝีปากคมหยัก นึกสงสารคยองซูเหมือนกันแฮะ ไม่รู้ทนให้ไอ้หมาบ้านี่สอนอยู่ได้ยังไง เป็นแพคฮยอนหน่อยไม่ได้คงจะถีบจงอินคว่ำไปแล้วแน่ๆ

     

    หลังจากทุกคนเคารพเบาะและกระจายเป็นวงกลมเพื่อวอร์มอัพพร้อมกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็แยกกันไปเป็น 2 กลุ่มเหมือนอย่างเดิม ชานยอลแยกไปสอนเทคนิคให้คู่พี่น้องตัวเล็ก ส่วนจงอินมาสอนท่าตบเบาะให้คยองซูต่อ

     

    “ทบทวนตั้งแต่ท่าแรก ตบไปท่าละ 20 ครั้ง”

     

    สิ้นคำสั่งคยองซูหันมามองร่างหนาพลางเบิกตาโต ใบหน้าหล่อจัดยังคงเรียบนิ่ง และมันดูจะเย็นชามากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาด้วย จากที่ตอนแรกกะจะถามว่าทำไมวันนี้ถึงให้ตบเบาะเยอะนัก แต่พอเห็นสายตาคมกริบที่ตวัดมองมาเขาก็ต้องกลืนคำพูดทุกอย่าลงคอ

     

    วันนี้จงอินดูน่ากลัวกว่าทุกวัน

     

    คยองซูค่อยๆลงนอนกับเบาะแล้วเริ่มตบเบาะตั้งแต่ท่าแรกจนถึงท่าที่ 5 ซึ่งค้างคาไว้ตั้งแต่ครั้งที่แล้วเพราะเขาเจ็บศอกเสียก่อน ตลอดการทบทวน จงอินไม่พูดอะไรออกมาสักคำเดียว ทำเพียงแค่ยืนกอดอกนิ่งๆ มองเขาด้วยสายตาเรียบนิ่งชวนขนลุก มีแค่บางครั้งบางคราวเท่านั้นที่เขาแอบเห็นรอยยิ้มร้ายบนเรียวปากได้รูป

     

    “วันนี้ฉันจะไม่จัดท่าให้นายแล้ว ทำไปจนกว่ามันจะถูกนั่นแหละ”

     

    เป็นอีกครั้งที่ทำให้คยองซูต้องหันมองพร้อมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อเริ่มเข้าสู่การตบเบาะท่าที่ 5 คือตบเบาะซ้ายขวาสลับกันจงอินก็รีบชิงพูดประโยคเมื่อครู่นี้ออกมา ทั้งๆที่ก็น่าจะรู้ว่าเป็นท่าที่คยองซูยังไม่แม่นที่สุด

     

    แต่เมื่อได้รับคำขาดแบบนั้นเขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจำต้องลงไปนอนตะแคงช้างซ้ายแล้วจัดท่าให้ถูก แรกเริ่มคยองซูยังเก้ๆกังๆ พยายามนึกคิดทบทวนความทรงจำว่าต้องวางอะไรไว้ตรงไหน แต่เพราะเป็นท่าที่ได้รับการทบทวนน้อยที่สุดในบรรดาทุกท่าทำให้ร่างกายไม่จดจำท่านี้เอาเสียเลย ร่างเล็กนอนนิ่งอยู่บนเบาะพยายามเรียกความจำกลับมาอย่างเคร่งเครียด

     

    “ว่ายังไง? จำไม่ได้? ลืมง่ายซะจริงนะ แต่ก็ไม่แปลกใจนักหรอก เพราะนายยังเคยลืมอะไรที่มันมากกว่าการตบเบาะด้วยซ้ำนี่นะ”

     

    สิ่งที่จงอินพูดทำให้คยองซูนึกแปลกใจ จงอินหมายถึงอะไร เขาลืมอะไรไปอย่างนั้นเหรอ อะไรที่มากกว่าการตบเบาะ คิ้วเรียวขมวดมุ่น ความคิดต่างๆในหัวตีกันจนวุ่น ทั้งคำพูดของจงอินที่ส่งมากดดันและพยายามเค้นความทรงจำของท่าตบเบาะ

     

    “แต่ก็แปลกดี กับคนบางคนไม่ยักลืมได้ง่ายๆแบบนี้เนอะ สงสัยจะอยู่ในทุกห้วงความคิดซะล่ะมั้ง?”

     

    แม้จะไม่อยู่ในภาวะที่พร้อมจะตีความใดๆ แต่คยองซูกลับรู้สึกได้ว่าจงอินกำลังพูดถึงอู๋อี้ฟานอยู่ ถึงจะติดใจสงสัยอยู่สักหน่อยว่าทำไมจงอินถึงพูดเรื่องแฟนเก่าของเขาเหมือนรู้เรื่องราวทั้งหมด แต่เพราะคำพูดบางอย่างที่แล่นปราดเข้าในห้วงความคิดนั้นเรียกร้องให้คยองซูสนใจมากกว่า

     

     

    “จะตบเบาะข้างขวาก็ให้เอาขาขวาลงแนบกับเบาะ ใช้แขนขวาตบเบาะ ไอ้ข้างที่ไม่ใช้ก็เก็บไป”

     

     

    ใช่...คำพูดของจงอินที่เคยบอกเขา

     

    ภาพของกัปตันทีมจอมดุย่อตัวลงนั่งข้างๆแล้วจัดท่าทางการตบเบาะของเขาให้ถูกต้องลอยขึ้นเป็นฉากๆในสมอง น่าแปลกเหมือนกันที่ร่างกายของเขาแท้ๆกลับไม่จดจำ แต่คำพูดของคนที่เอาแต่เย็นชา บึ้งตึง ตะคอก และเอาแต่ดุเขากลับตรึงในสมองได้ชัดขนาดนี้

     

    คยองซูค่อยๆจัดท่าทางของตัวเองให้ถูกต้อง ตบเบาะข้างซ้าย ไม่ใช้มือขวาก็เอาวางไว้บนท้อง ขาซ้ายแนบกับพื้น ขาขวาตั้งเข่าขึ้น เก็บคอ เมื่อคิดว่าเรียบร้อยแล้วคยองซูก็ตบเบาะข้างซ้ายไป 20 ครั้ง ระหว่างนั้นเขาไม่รู้หรอกว่าจงอินกำลังทำหน้าตาแบบไหนอยู่ แต่ที่แน่ๆยังคงไม่มีคำพูดใดออกจากปากคู่นั้น  จงอินยังคงยืนเงียบมองเขาตบเบาะจนครบ

     

    เมื่อครบ 20 ครั้งแล้ว คยองซูผงกหัวมองคนที่ยืนคุมอยู่ที่ปลายเท้า แต่ก็เห็นเพียงแค่สายตาเรียบนิ่งและริมฝีปากที่ปิดสนิท คิดจะอ้าปากถามก็ไม่กล้า สุดท้ายเลยตัดสินใจนอนตะแคงขวาแล้วจัดท่าทางตบเบาะของตัวเองให้ถูกต้อง มือซ้ายไม่ใช่ก็เก็บไว้กับท้อง ขาขวาวางแนบเบาะ ขาซ้ายตั้งเข่า เก็บคอ แล้วตบเบาะไปอีก 20 ครั้ง

     

    พอครบทั้งซ้ายและขวา ลองมองไปที่คนตัวสูงในชุดยูโดสายดำอีกทีก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบกลับมา คยองซูใจเต้นแรงด้วยความเหนื่อยและความตื่นเต้นระคนกลัว ยิ่งจงอินเงียบแบบนี้เขาก็ยิ่งกลัว ในเมื่อไม่พูดอะไรคยองซูจึงตัดสินใจนอนลงกับเบาะอีกครั้ง จัดท่าตบเบาะทางซ้าย แล้วลงมือตบเบาะซ้ายและขวาสลับกันข้างละ 1 ครั้ง จนครบ 20 ครั้ง

     

    เมื่อทำเสร็จเรียบร้อยคนตัวบางก็ลุกขึ้นนั่ง แผ่นอกเล็กกระเพื่อมขึ้นลงด้วยความเหนื่อยแต่ก็ดูจะลดทอนลงไปบ้างหากเปรียบเทียบกับวันแรกๆ จงอินยังยืนกอดออกมองเขาอยู่นิ่งๆ เรียวปากได้รูปปิดสนิท ตอนนั้นเองที่คยองซูนึกอยากจะร้องไห้ออกมาให้ได้

     

     

    อย่างน้อยพูดอะไรออกมาบ้างก็ยังดีกว่าเงียบไปแบบนี้

    มันทำให้เขารู้สึกเหมือนไม่มีใครอยู่ด้วยบนโลกใบนี้อย่างแท้จริง

     

    ...แม้กระทั่งคนที่บอกให้เขาพยายามและสอนเขามากับมือ

     

     

    “ต่อไปเป็นท่าตบเบาะท่าที่ 6 นั่งเหยียดขาเหมือนท่าที่ 2

     

    ราวกับได้ยินคำร่ำร้องในใจ จงอินลอบถอนหายใจเบาๆออกมาหนึ่งครั้งก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้คยองซูยิ้มได้ หัวใจกลับมาสูบฉีดอีกครั้ง เขาไม่อาจห้ามรั้งริมฝีปากตัวเองให้ระบายยิ้มออกมาได้เลย นี่อาจเป็นครั้งแรกที่เขายิ้มให้คิมจงอินที่กำลังยืนหน้านิ่งเหมือนคนอารมณ์ไม่ดีอยู่แบบนี้

     

    คยองซูทำตามที่จงอินบอก นั่งเหยียดขาออกไปตรงๆ แต่คราวนี้จงอินให้เก็บมือขวาไว้กับท้องแล้วยื่นแขนซ้ายที่จะใช้ตบเบาะออกไปข้างหน้า เก็บคอ แล้วพอจังหวะที่จะตบเบาะก็ให้เบี่ยงลำตัวท่อนล่างไปทางด้านขวาแล้วล้มตัวตบเบาะข้างซ้าย พูดง่ายๆก็คือเท้าจะหันไปคนละข้างกับมือที่ใช้ตบเบาะ

     

    จงอินให้คยองซูทำทั้งซ้ายและขวาสลับกัน คือทำข้างซ้ายที่หนึ่งก็ให้เปลี่ยนไปตบข้างขวาเลย การจัดท่าข้างขวาก็ไม่ต่างกัน คือให้หันลำตัวท่อนล่างไปทางซ้ายแล้วตบเบาะข้างขวา จะว่าไปแล้วก็ไม่ยากถ้าหากตบเบาะซ้ายและขวาคล่องแล้ว ส่วนลำตัวท่อนล่างก็ทำเหมือนท่าตบเบาะท่าแรกๆที่ฝึกมาก่อนหน้านี้

     

    “ต้องให้บอกอีกกี่ล้านครั้งว่าให้เก็บคอ!!

     

    เสียงเข้มตะคอกเสียงดังจนคยองซูสะดุ้ง ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าการเก็บคอนั้นสำคัญมาก แต่บางครั้งมันเมื่อยก็มีเผลอไปบ้าง ทั้งๆที่คิดว่าแอบทำตอนจงอินไม่เห็นแน่ๆแต่ไม่รู้ทำไมทุกครั้งจงอินถึงเห็นมันได้ เหมือนกับว่าไม่ได้ละสายตาจากคยองซูเลยแม้วินาทีเดียว

     

    ทำท่าที่ 6 อยู่พักใหญ่จงอินก็ยอมให้ฝึกท่าที่ 7 ต่อได้ และเป็นอย่างที่คิด ลักษณะของท่าไม่ค่อยต่างจากตบเบาะท่าที่ 3 คือให้นั่งบนส้นเท้า แต่เปลี่ยนจากยืนแขนออกไปทั้ง 2 ข้าง เป็นยืดไปเฉพาะข้างที่ใช้ตบเบาะ ส่วนข้างที่ไม่ใช้ก็เก็บไว้ที่ท้อง เวลาตบเบาะก็เหมือนเดิม คือให้หันตัวไปทางข้างที่ไม่ได้ตบ ถ้าตบข้างซ้ายเราก็หันไปทางขวา ถ้าตบขวาก็ให้หันมาทางซ้าย แต่สำคัญคือต้องจัดท่าทางให้ถูกต้องก่อนจะลุกกลับมานั่งบนส้นเท้าอีกครั้ง

     

    “ทำให้มันแข็งแรงหน่อยได้มั้ย!? อ่อนปวกเปียกแบบนี้จะสู้ใครได้!

     

    คยองซูรู้สึกว่าวันนี้จงอินดุกว่าทุกวัน แม้กับเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างเช่นการทรงตัวบนส้นเท้าตัวเองไม่ได้ที่จงอินก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าคยองซูเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกก็ยังเอามาบ่นได้ หลายครั้งที่รู้สึกว่าแค่ขยับตัวก็ถูกสายตาคมกริบนั้นตวัดมองพร้อมต่อว่าทางสายตา

     

    คยองซูไม่ได้โกรธ คยองซูไม่เคยโกรธจงอินมาแต่แรกแล้ว แต่เขากลับรู้สึกสงสัยมากกว่า

     

     

    “พักได้ กลับมาอีกทีคราวนี้ฉันจะให้นายทบทวนตั้งแต่ท่าแรกใหม่ ถ้าพอใจฉันจะสอนท่าที่ 8 ให้วันนี้เลย”

     

    คนตัวหนาพูดก่อนจะหันไปบอกให้คนอื่นๆพักได้ด้วยเช่นกัน เซฮุนรีบปรี่เข้ามาหาขวดน้ำที่วางเตรียมไว้ข้างเบาะขณะที่แพคฮยอนเดินหายใจเข้าลึกๆเป็นจังหวะเพื่อให้หายเหนื่อยตามเซฮุนมา ชานยอลเดินไปหาจงอินแล้วยืนคุยกันอยู่บนเบาะ

     

    คยองซูยื่นขวดน้ำให้แพคฮยอน ร่างบางยิ้มแล้วพยักหน้าขอบคุณพร้อมกับนั่งลงบนที่ว่างข้างเซฮุน คยองซูจึงทิ้งตัวลงนั่งข้างๆแพคฮยอนด้วย ต่างคนต่างยกขวดน้ำในมือตัวเองดื่มดับกระหาย

     

    “นี่ แพคฮยอน”

     

    หลังจากดื่มน้ำจนพอแล้วคยองซูก็พูดเบาๆกับคนข้างๆ แพคฮยอนหันมามองเขาพร้อมๆกับเซฮุนพลางส่งเสียงครางอือเพื่อตอบรับและถามว่ามีอะไร

     

    “ปกติแล้วจงอินเขาเป็นคนดุแบบนี้ตลอดเลยเหรอ?”

     

    “อืม...ก็ไม่นะ มันดุก็จริงแต่คำพูดคำจาอะไรมันก็โอเคดีนะ ไม่ได้ดุแบบวางอำนาจหรือใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งอะไรแบบนั้น เอาจริงๆเห็นอย่างนี้จงอินมันโคตรเป็นคนมีเหตุผลเลยล่ะ”

     

    “อืม...เหรอ”

     

    คยองซูพยักหน้าหงึกหงักอยู่กับตัวเองเมื่อได้ยินแพคฮยอนพูดแบบนั้น

     

    “ตอนสอนเซฮุนพี่จงอินก็ไม่เคยดุเลยนะฮะ ใจดีออกด้วยซ้ำ สอนเข้าใจง่าย ใช้วิธีให้ทวนของเก่าทุกครั้งมันก็เลยจำไปได้เอง ไม่ต้องมาบังคับหรือใช้ทฤษฎีอะไรให้ยุ่งยากด้วย”

     

    เซฮุนช่วยเสริมอีกแรงพร้อมส่งยิ้มหวานมาให้ คยองซูพยักหน้าเบาๆอีกครั้ง คนตัวบางที่นั่งข้างๆเลิกคิ้วพลางยกยิ้มมุมปาก

     

    “หรือว่ามีอะไรผิดปกติเหรอคยองซู?”

     

    “ก็ไม่เชิงหรอก ทุกทีจงอินเขาก็ดุแหละแต่ก็ดุแบบมีเหตุผล วันนี้ฉันแค่รู้สึกว่า...เอ่อ...”

     

    “มันงี่เง่า?”

     

    สิ้นคำแพคฮยอนคยองซูก็ต้องอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าแพคฮยอนจะกล้าด่าจงอินให้ได้ยิน เขาเข้าใจว่านอกจากชานยอลที่เป็นเพื่อนกันจงอินจะเป็นคนที่คนอื่นๆเชื่อฟังและให้ความเคารพมากกว่านี้เสียอีก

     

     แต่จะว่าไปแพคฮยอนก็เคยเล่าให้เขาฟังเหมือนกันนี่นะ ที่บอกว่าจริงๆพวกเขาก็อยู่กันเหมือนเพื่อนพี่น้อง ถึงบนเบาะจะดูให้เกียรติจงอินมันบ้างในฐานะกัปตันทีมและประธานชมรม แต่ถึงยังไงแล้วมันก็คือคิมจงอินคนที่พวกเขารู้จักอยู่วันยังค่ำ จงอินเองก็ไม่เคยถือตัวว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่น มีสิทธิมีเสียงมากกว่าคนอื่น มันก็เป็นของมันอย่างนั้น

     

    “ไง? ตกลงคือวันนี้มันดูจะงี่เง่ากว่าทุกวันใช่มั้ย?”

     

    แพคฮยอนถามซ้ำอีกครั้งพลางกระตุกยิ้ม คยองซูหัวเราะแห้งๆอยู่ไม่กี่ทีก็ยอมพยักหน้ารับ เรียกเสียงหัวเราะเบาๆให้กับคนถามและเด็กอีกคนที่นั่งข้างๆได้เป็นอย่างดี

     

    ก็ว่าอยู่แล้ว ตอนที่ฝึกเข้าท่าอยู่กับชานยอล เพื่อนสนิทของจงอินคนนั้นก็พูดอยู่ว่าสงสัยวันนี้เทพไคจะองค์ลง ดูหงุดหงิดงุ่นง่านยังไงพิกล ไม่พ้นคงกลับไปคิดถึงเรื่องเก่าๆที่เกี่ยวกับคนตัวเล็กที่กำลังสอนอยู่ให้ประสาทเสียเล่น มันน่ะเป็นอย่างนี้ประจำ เหมือนคนบ้าที่ฟินด้วยตัวเองก็ได้ ทำตัวเองให้อารมณ์เสียเองก็ได้ โคตรบ้าเลยจริงๆ

     

    “จริงๆแล้วมันไม่มีอะไรหรอกจงอินน่ะ แต่มันเป็นพวกชอบย้ำคิดย้ำทำ เรื่องบางเรื่องก็คิดถึงอยู่นั่นแหละ”

     

    “นายหมายถึงอะไร?”

     

    “เอาน่ะ นายไม่ต้องสนใจหรอก”

     

    แพคฮยอนหัวเราะคิกพร้อมกับตบเบาๆบนไหล่เล็กของเพื่อนใหม่ที่กำลังจะกลายเป็นเพื่อนสนิทอีกคน เซฮุนแอบยกมือปิดปากกลั้นขำด้วยอีกคน ทิ้งคนบางคนมองด้วยความงุนงงอยู่เพียงลำพัง

     

    “เป็นอันว่าถ้ามันโหดกับนายมากนัก นายก็ลองอ้อนมันดูสิ”

     

    “หา? อ้อนเนี่ยนะ?”

     

    คยองซูถามกลับมาเสียงสูงอย่างไม่เชื่อ แพคฮยอนพยักหน้าถี่รัวพร้อมๆกับเซฮุนโดยไม่ได้นัดหมาย รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากเรียวสวย

     

    “ใช่ เชื่อฉันสิคยองซู ถ้านายอ้อนมันนะรับรองมันยอมอ่อนให้นายแน่”

     

    แพคฮยอนย้ำอีกครั้งแต่นั่งยิ่งทำให้คยองซูหนักใจยิ่งกว่าเก่า

     

     

    ให้อ้อน...

    อ้อนไอ้คนที่มันทั้งดุทั้งโหดใส่เขาขนาดนี้เนี่ยนะ?

     

    แล้วจะอ้อนยังไงล่ะทีนี้...

     

    TBC.

     

     

     

    **หุ่น ปกติแล้วเวลาเล่นยูโดจะมีศัพท์เฉพาะสั้นๆไว้เรียกคนทุ่มและคนถูกทุ่มค่ะ ถ้าเป็นคนถูกทุ่มเราจะเรียกว่าคนเป็นหุ่น ส่วนคนทุ่มก็เรียกว่าคนทุ่มค่ะ ที่น่าตลกคือในภาษาญี่ปุ่นคนทุ่มคือ โทริ ส่วนคนถูกทุ่มหรือหุ่นจะเรียกว่า อุเคะ/อุเกะ ค่ะ ตรงตัวเลยใช่มั้ย ผู้ถูกกระทำ 55555*

    **รันโดริ หมายถึง การซ้อมที่เหมือนแข่งจริงค่ะ คือเหมือนสมมติว่านี่เรากำลังอยู่ในสนามแข่ง จะต้องใช้เทคนิคทั้งหมดที่ฝึกมาในการรันโดริค่ะ ปกติจะเรียกสั้นๆกันว่า เล่นรัน ก็เป็นอันเข้าใจตรงกันค่ะ รันโดริจะเป็นการหาจังหวะเพื่อเข้ากระทำอีกฝ่าย พยายามทุ่มอีกฝ่ายให้ได้เหมือนเวลาแข่ง ซึ่งมันก็จะเหนื่อยพอๆกับเวลาแข่งเลยค่ะ แต่ไม่ได้จริงจังเอาเป็นเอาตายกันแบบแข่งนะคะ

    **ฮาจิเมะ เป็นหนึ่งในคำสั่งที่สำคัญของการเล่นยูโด ฮาจิเมะหมายถึง เริ่มต้น จะใช้ในเวลาเริ่มต้นการแข่งค่ะ แต่เวลาอยู่เบาะเดิมของเราก็ใช้เป็นคำสั่งเริ่มต้นได้ทุกอย่างนะ เช่น จะสั่งให้เข้าท่าทุ่ม 10 ครั้งต่อเนื่อง แทนที่จะพูดว่าเริ่มก็สั่งฮาจิเมะแทนค่ะ

    **มาเต๊ะ เป็นคำสั่งคู่กับ ฮาจิเมะ เลยค่ะ มาเต๊ะหมายถึงหยุด ใช้ในเวลาหยุดการแข่งขันเหมือนกัน แต่ปกติแล้วมาเตะจะเป็นหยุดชั่วคราว ถ้าเป็นคำสั่งหยุดการแข่งขัน หรือหยุดแบบ พอ จบ เลิก อะไรแบบนี้จะเป็น มาเต๊ะโซเรมาเดะ ซึ่งจะได้ยินบ่อยในการแข่งขันจริงค่ะ ให้จำเป็นคู่ไปว่าถ้ามี ฮาจิเมะ (เริ่ม) ก็จะมี มาเต๊ะ (หยุด)

     

     

     

    Mirror* Talk : ไปๆมาๆเราว่าที่มาเสริมให้นี่มันจะเกิน 30% เอาแล้วนะ 555555* ไม่เป็นไรเนอะ ถือว่าแถมๆกันไป เพราะมาลงรอบนี้เพื่อจะบอกว่าอาจจะไม่ได้ลงอีกสัก 3-4 วันนะคะ เหตุผลเพราะกระจกจะไปหาจงอินที่สนามแข่งจริงๆ เย้ยยยย ไม่ใช่จริงๆแล้วช่วงนี้เป็นช่วงของการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยค่ะ ปีนี้จัดที่ชลบุรีโดยมีสถาบันพลศึกษาเป็นเจ้าภาพ เราไม่ได้ลงแข่งเองเพราะได้รับบาดเจ็บค่ะ (เผื่อใครไม่ได้ฟอลทวิตเราจะไม่รู้ เราเอ็นเข่าขวาขาด เส้นค่ะ ทำให้เข่าค่อนข้างหลวมและทุกวันนี้ก็ยังเจ็บๆอยู่บ้าง ต้องไปทำกายภาพอยู่เรื่อยๆ หมอเลยไม่อนุญาตให้ลงแข่งและคาดว่าจะไม่สามารถเล่นยูโดต่อไปได้อีกแล้วแม้จะได้รับการผ่าตัดค่ะ T T) ที่ไปนี่ไปคุมทีมน้องๆแข่ง เพราะเราเป็นประธานชุมนุมยูโดของมธ.อยู่จ้า ใครที่สนใจอยากจะไปดูการแข่งขันจริงๆก็มาได้เลยนะคะ ทวิตมาที่ @MirrorJK ก็ได้ เดี๋ยวลงไปรับมาดูแข่งด้วยกันเลย ฮา

    เอาล่ะ สิ่งที่เราอยากบอกต่อจากนี้คือ เราขอบคุณมากๆสำหรับทุกคอมเม้นที่มีให้ฟิคเรื่องนี้ บอกตรงๆว่าเราประทับใจมาก กลับมาอ่านอีกกี่ครั้งก็น้ำตาจะไหล TvT ถ้าทุกคนรู้ว่าก่อนหน้านี้เราตัดสินใจยากและนานแค่ไหนกว่าจะลงฟิคเรื่องนี้ได้จะเข้าใจว่าทำไมเราถึงซึ้งกับคอมเม้นที่ทุนคนมีให้ขนาดนี้ เราไม่เคยมั่นใจกับฟิคเรื่องนี้เลย และไม่คิดด้วยว่าจะมีคนอ่านมากขนาดนี้ ขอบคุณมากจริงๆนะคะ TTvTT ฮือออออ สู้ไปพร้อมกับคยองซูนะทุกคน!!

    ขอบคุณทุกคนอีกครั้งนะคะ ขอบคุณทุกสายตาที่กวาดผ่านตัวหนังสือของเราด้วย

     

    จบจากกีฬามหาลัยมาเจอกันค่ะ!!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×