ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My Fable -Chanbaek-

    ลำดับตอนที่ #29 : someone like you 1

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.54K
      552
      10 เม.ย. 62












    B
    E
    R
    L
    I
    N
     











    “ชานยอลนี่พี่แบคฮยอนไง คนที่บอก”


    “นี่ชานยอล น้องชายฉันไง”


    “ยินดีที่ได้รู้จักชานยอล”


    เจ้าของรูปร่างโปร่งที่ถูกแนะนำตัวว่าเป็นแฟนของพี่สาวยื่นมือออกไปแสดงมิตรภาพกับเด็กหนุ่มตรงหน้า ทว่าอีกฝ่ายกลับเอาแต่ซุกมือไว้ในกางเกง สีหน้าเย็นชากับสายตาไร้อารมณ์ของเขามองมาอย่างดื้อรั้น รูปร่างสูงใหญ่อีกทั้งบเครื่องหน้าที่ดูไม่ต่างจากพี่สาว เด็กหนุ่มที่ถูกแนะนำว่าคือชานยอลไม่แม้แต่จะแสดงสีหน้ายิ้มแย้ม


    “หรอ”


    “ชานยอล” คนเป็นพี่สาวนิ่วหน้าเอ็ดเสียงเข้มแต่เจ้าตัวน้องชายก็หาได้สนใจ ชานยอลเพียงแค่เดินผ่านว่าที่พี่เขยของเขาไปอย่างไม่ใส่ใจ ปล่อยให้ทั้งคู่ได้แต่ยืนเก้อกับการพบกันครั้งแรกของว่าที่สามีและน้องชายที่ไม่ราบรื่นเอาซะเลย


    “ไม่เป็นไร”


    คนถูกเมินระบายยิ้มจางๆ ก่อนจะหันไปมองแผ่นหลังกว้างของเด็กหนุ่มที่เดินห่างออกไป... กลิ่นน้ำหอมแบบผู้ชายของเขายังลอยติดอยู่ใต้จมูกคล้ายกับความประทับใจแสนแย่ที่ติดตรึงในใจ... ผมสีเข้มไม่เป็นทรง ใบหน้าคมไร้อารมณ์ ดวงตากลมโต ถึงจะดูไม่น่าคบหาแต่กลับสัมผัสได้ถึงเสน่ห์อย่างประหลาด 


    เหมือนกับพี่ของเขาไม่มีผิด...

     

     

     .

     

     .

     

     .


     

     

     

    เกร๊ง...

     

    เสียงระฆังดังกังวานภายในโบสถ์เงียบสงบ แขกเหรื่อในงานหน้าชื่นตาบานไปด้วยรอยยิ้มเมื่อบาทหลวงชักนำให้กล่าวคำสาบาน ภายใต้บรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ หญิงสาวในชุดสีขาวทอดชายยาวไปถึงทางเดินฉีกยิ้มด้วยหัวใจที่แสนเอิบอิ่มเมื่อได้จ้องมองเข้าไปยังนัยน์ตาของชายคนรัก

     

    “พยอน แบคฮยอน คุณจะยอมรับ พัค ยูราเป็นเจ้าสาวไหม”

     

    “รับครับ” รอยยิ้มจางระบายขึ้นบนใบหน้าชายหนุ่ม ก่อนเขาจะก้มลงจูบลงบนหลังมือหญิงสาว ผู้คนในงานตบมือเกรียวแสดงความยินดีให้กับคู่รักของลูกสาวท่านอาจารย์ใหญ่ของมหาวิทยาลัย ยูราโผร่างเข้าสวมกอดแฟนหนุ่มที่กลายเป็นสามีของเธออย่างถูกต้องตามพิธีแน่น

     

    ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความรักภายใต้กลิ่นอายลมทะเล มันช่างเป็นวันที่แสนสุข...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ในช่วงบ่ายแก่ๆ บรรยากาศงานเลี้ยงท่ามกลางลมทะเลเต็มไปด้วยความครึกครื้นจากเหล่าญาติและแขกเหรื่อ คู่รักบ่าวสาวเปลี่ยนเครื่องแต่งกายไปใส่ชุดลำลองที่สะดวกและสบายขึ้น

     

    สายลมอ่อนพัดโชยหอบเอากลิ่นไอทะเลขึ้นมาบนบก ซุ้มไม้เล็กๆ บนหาดถูกประดับด้วยไฟดวงเล็กๆ กับม่านผ้าบาง โต๊ะของเจ้าภาพถูกแยกเอาไว้เป็นมุมใหญ่ บนโต๊ะไม้ตัวยาวเรียงรายด้วยเครื่องดื่มหลากหลาย อาจารย์มหาวิทยาลัยหนุ่มนั่งทำตัวเงียบๆ อยู่ข้างภรรยาบนซุ้มชิงช้าสีขาวขณะที่เครื่องดื่มสีอำพันยังคงถูกเติมลงในแก้วอย่างต่อเนื่อง

     

    “โชคดีจังนะที่ได้เจอคนอย่างแบคฮยอนเนี่ย” หญิงวัยกลางคนกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มกับความภาคภูมิใจในวันแต่งงานของลูกสาว โดยมีคนเป็นพ่อคอยรับส่งลูกชมไม่ห่าง

     

    “เดี๋ยวนี้หาไม่ได้ง่ายๆ หรอกผู้ชายแบบพ่อแกน่ะ”

     

    “พ่อก็อย่าชมเกินไปสิ พี่เค้าเขินหมดแล้ว”

     

    เจ้าของใบหน้าแต้มเลือดฝาดเพียงแค่ระบายยิ้มรับคำพูดของครอบครัวแฟนสาวตามนิสัย ลำคอของแบคฮยอนขึ้นผื่นเลือดเล็กๆ เต็มไปหมดจากฤทธิ์เครื่องดื่มแอลกอฮอร์หลังจากที่ต้องเดินรับแก้วจากแขกไปไม่ต่ำกว่าสิบโต๊ะ

     

    “แล้วนี่จะย้ายเข้าไปอยู่บ้านทันทีเลยไหม”

     

    “อื้อ ขนของไปตั้งแต่วันศุกร์แล้ว”

     

    “เฮ้อ... ยังไงแม่ก็ฝากดูแลชานยอลด้วยนะ เอามันไปอยู่ด้วยจะได้มีคนคุม แล้วนี่มันหายหัวไปไหน ยังไม่เห็นมาตั้งแต่เช้าเลย”

     

    “ก็คงอยู่แถวนี้แหละ นี่ พ่อหยุดเติมได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ขับรถกลับบ้านไม่ได้หรอก” หญิงสาวปรามผู้เป็นพ่อที่ยังเอาแต่เติมเหล้าไม่หยุด เสียงหัวเราะเล็กๆ ทำให้บรรยากาศดูอบอุ่นสมเป็นครอบครัวสุขสันต์ เว้นแต่เจ้าบ่าวที่ยังคงสงวนท่าทีขี้อาย

     

    อาการร้อนวูบตามตัวจากฤทธิ์เครื่องดื่มทำแบคฮยอนอึดอัดไปหมด รวมถึงการที่เขาเป็นคนเดียวที่ไม่ได้มีครอบครัวมาร่วมงาน เจ้าของร่างโปร่งวางแก้วไวน์ทรงสูงลงก่อนจะหันไปกระซิบแฟนสาวเพื่อขอเวลาออกไปผ่อนคลายข้างนอก

     

    “เดี๋ยวพี่มานะ”

     

    “ไปไหนอีกล่ะ”

     

    “รู้สึกมึนๆ ขอพักแป๊บนึง” อาจารย์หนุ่มว่าพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ก่อนจะหยิบมือถือ หันไปค้อมตัวกับพ่อแม่แฟนสาวแล้วขอแยกตัวออกไปข้างนอก

     

    รองเท้าแตะสีขาวก้าวย่ำไปบนหาดทรายละเอียดทิ้งเพียงรอยเท้ายาวๆ เอาไว้ คนตัวเล็กถอนลมหายใจพรูใหญ่กับด้วยความเหนื่อยล้าจากงานแต่งหลังจากที่ต้องเดินรับแขกทั้งวัน

     

    สายลมอ่อนในยามเย็นจากทะเลพัดโชยขึ้นมาปะทะร่างพอจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ไม่น้อย ความกว้างของท้องสมุทรและฝูงนกทำให้แบคฮยอนสัมผัสได้ถึงความเป็นอิสระไม่ว่าจะมองไปทางไหน แม้แต่ขอบฟ้าที่อยู่ไกลแสนไกล

     

    ความใจลอยชักจูงคนตัวเล็กให้เดินไกลออกไปเรื่อยๆ กว่าจะรู้ตัวก็มายืนอยู่ท่ามกลางความเงียบเหงาบนหาดแล้ว หันไปมองด้านหลังเห็นซุ้มชิงช้าของครอบครัวเป็นเพียงเพิงไม้เล็กๆ  มือบางล้วงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมาเช็คข้อความบนหน้าจอที่ยังไม่ได้เปิดอ่านเต็มไปหมด

     

    ชายหนุ่มถอนลมหายใจก่อนจะกดล้างการแจ้งเตือนทั้งหมดทิ้งไป นัยน์ตาสีอ่อนก้มลงมองบนพื้นเห็นแต่รองเท้าตัวเองจมอยู่ในผืนทราย แบคฮยอนเดินไปนั่งลงบนเปลญวณสีสกปรก ยันเท้าไกวเบาๆ เพื่อผ่อนคลายตัวเอง

     

    เสียงคุยโทรศัพท์จากด้านหลัง เรียกคนตัวเล็กให้ต้องหันไปมองเด็กหนุ่มตัวสูงที่กำลังเดินคุยโทรศัพท์วนอยู่ไม่ไกล สูทสีขาวเมื่อเช้าถูกถอดออกเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตกับกางเกงแสล็คสีดำตัดกับผมสีแดงเพลิง

     

    แบคฮยอนตัดสินใจลุกขึ้นจากเปลเดินเข้าไปหาน้องชายของคนรัก เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาวางโทรศัพท์ลงและหันมามองราวกับรู้อยู่แล้วว่ามีคนอยู่

     

    “ทำไมไม่ไปกินเลี้ยงล่ะ” เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้า ทว่าอีกฝ่ายก็ยังคงเอาแต่เงียบ “คุยกับเพื่อนหรอ”

     

    “ทำไมอะ” คนตัวสูงตอบเสียงห้วน ตวัดสายตาคมมองด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก

     

    “ก็แค่ถามเอง ทำไมต้องทำเหมือนโกรธพี่ตลอดเวลา”

     

    เสียงหัวเราะกับรอยยิ้มไม่ทุกข์ร้อนบนใบหน้าพี่เขยยิ่งทำให้เด็กหนุ่มไม่ชอบใจ ชานยอลไม่เคยชอบแฟนของพี่สาวคนนี้เลย ทั้งสีหน้าและท่าที สายตาที่เหมือนมีบางอย่างเคลือบแฝงอยู่ของแบคฮยอนทำให้ชานยอลไม่ถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูกและเขาไม่เคยมองหน้าผู้ชายคนนี้โดยที่ไม่รู้สึกหงุดหงิดได้เลย

     

    “นิสัยไม่เหมือนพี่นายเลยนะ”

     

    “...........”  ชานยอลไม่ได้กล่าวตอบโต้ สายตาเขาจ้องลึกลงไปในแววตาคนตรงหน้าเพื่อค้นหาความรู้สึกบางอย่างที่ตัวเองรู้สึกขัดใจ ทว่าก็พบเพียงรอยยิ้มบนใบหน้านวล ก่อนที่สุดท้ายคนตัวสูงจะตัดสินใจหันหลังเดินหนีไป ปล่อยให้คนอายุมากกว่าได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของเขาค่อยๆ เดินห่างออกไปเหมือนกับวันแรกที่เจอกัน

     

    แบคฮยอนได้แต่ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ กับความซื่อตรงของเด็กหนุ่ม เขาหลุบสายตามองปลายเท้าตัวเองก่อนจะเดินกลับไปนั่งลงบนเปลพลางนึกถึงเจ้าของสีหน้าเย็นชาเมื่อครู่

     

    ไม่ว่าเมื่อไหร่ชานยอลก็ไม่เคยมองแบคฮยอนอย่างเป็นมิตรเลย ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน...

     

     

     .

     

     .

     

     .

     

     


     

    “เฮ้อ... เหนื่อยชะมัดเลย”

     

    กล่องลังใบสุดท้ายถูกวางลงข้างประตู ก่อนที่เจ้าสาวคนใหม่จะตรงไปกระโดดลงบนเตียงซึ่งถูกโปรยทั่วด้วยกลีบกุหลาบ ภายในห้องนอนที่ถูกตกแต่งไปด้วยของสิ่งของน่ารักมากมาย พัค ยูราถอนลมหายใจยาวเหยียดด้วยความเหนื่อยล้าหลังจากที่เพิ่งผ่านพ้นวันแต่งงานไป ไหนจะขนของย้ายบ้าน คืนหลังแต่งงานมันไม่ได้หรรษาอย่างที่คิดเลย

     

    “อยากเพิ่มอะไรในห้องไหม” เจ้าของร่างโปร่งเดินไปนั่งลงบนเตียง มือเรียวปลดกระดุมเชิ้ตเม็ดบนออกหันมองภรรยาที่นอนหมดสภาพเป็นผักอยู่บนเตียง

     

    “แค่นี้งบก็บานไปถึงไหนแล้ว... เฮ้อ นี่พี่ไปเจอชานยอลมาหรือยัง?”

     

    “อื้อ ก็เจอที่งานแต่งไง”

     

    “วันนี้ยังไม่ได้เจอเลยหรอ?”

     

    “ก็เห็นตอนเดินเข้ามา”

     

    “ไอ้น้องคนนี้นี่... นี่ ฉันฝากพี่ดูแลมันหน่อยได้ไหม มันไม่ค่อยฟังใครเท่าไหร่หรอก บางทีก็ดื้อ แต่พี่น่าจะเข้ากับมันได้นะ” ยูราพลิกกายยกแขนยันศีรษะ จ้องมองผู้เป็นสามีอย่างคาดหวัง “พี่เป็นอาจารย์จิตวิทยานี่ แถมเป็นผู้ชายเหมือนกันอาจจะคุยกันได้”

     

    “หรอ? ดูเค้าไม่ค่อยชอบพี่เท่าไหร่นะ” แบคฮยอนหัวเราะแห้งก่อนจะทิ้งกายลงนอนข้างภรรยาพลางนึกถึงเด็กหนุ่มที่ไม่เคยแสดงท่าทางเป็นมิตรกับตนเลย

     

    “ชานยอลก็ไม่ชอบทุกคนนั่นแหละ เค้าไม่ค่อยเปิดใจให้ใครหรอก พี่ลองพยายามเข้าหามันหน่อยสิ อีกหน่อยเดี๋ยวก็ชิน ที่มหาลัยเจอเด็กเกเรบ่อยหรือเปล่า?”

     

    “ไม่ค่อยเจอหรอก ถึงเกเรก็คงไม่รู้ เจอกันแค่สัปดาห์ละไม่กี่ครั้งเอง”

     

    “เฮ้อ.... โตขนาดนี้ยังจะทำให้เป็นห่วงอีก แต่ก็นั่นแหละน้า... แต่ว่าเมื่อวานเราเพิ่งแต่งงานกันเอง ทำไมต้องมาคุยเรื่องคนอื่นด้วยเนี่ย” สาวเจ้ามุ่ยหน้า ขณะเลื่อนฝ่ามือบางไปวางลงบนหน้าท้องคนข้างกาย ยูรายิ้มกริ่มเมื่อเห็นสามีหันมามองก่อนที่เธอจะค่อยๆ ขยับกายเข้าไปชิด วาดเรียวแขนกอดรอบเอวเขา “พี่สัญญาแล้วไงว่าหลังแต่งงาน...”

     

    “วันนี้พี่ขนของทั้งวันเหนื่อยจะตายแล้ว ขอโทษนะ” อาจารย์หนุ่มว่าพร้อมกับระบายยิ้มบนใบหน้า แบคฮยอนผลักแขนภรรยาออกก่อนจะลุกขึ้นเหยียดแขนทำทีเป็นปวดเมื่อยเต็มทน เมินเฉยต่อภรรยาแสนสวยที่นอนหน้าบึ้งอยู่บนเตียงอย่างเฉยชา

     

    “ยังไงพี่ไม่พ้นมือฉันหรอก”

     

    สาวเจ้าว่าอย่างอวดดีทั้งยังทำมือขยุ้มเหมือนแม่เสือสาว เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากแฟนหนุ่ม แบคฮยอนเพียงแค่ยกยิ้มขึ้นบนใบหน้าอันแสนเหนื่อยอ่อน ก่อนที่เขาจะหันหน้าเดินออกจากห้องนอนไปเพื่อหาพื้นที่เล็กๆ ให้ตัวเอง ได้แต่ลอบถอนลมหายใจออกมาเบาๆ สองเท้าเดินผ่านทางเดินเงียบเชียบไปจนห้องครัวชั้นล่างที่ยังเปิดไฟเอาไว้

     

    มองออกไปนอกประตูกระจกเห็นเด็กหนุ่มตัวสูงนั่งกดมือถืออยู่เงียบๆ อยู่ข้างสวนหลังบ้าน คนตัวเล็กตรงไปเปิดชั้นหยิบแก้วและบรั่นดีออกมาวางลงบนเคาน์เตอร์ ก่อนที่น้ำสีอำพันจะถูกรินลงในแก้วทรงสูงและถูกยกขึ้นจรดขอบปาก

     

    แบคฮยอนหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ตัวสูง นัยน์ตาสีอ่อนจับจ้องออกไปยังนอกประตูห้องครัว มองดูเด็กหนุ่มตัวสูงกำลังเพลิดเพลินกับรสนิโคตินของเขา กลุ่มควันสีขาวถูกพ่นฟุ้งและกระจายไปในอากาศ

     

    เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ดีกรีแรงเผาลำคอจนร้อนรุ่มไปหมด แบคฮยอนยังคงดื่มด่ำกับน้ำรสขมอย่างต่อเนื่อง หวังให้คืนนี้ตัวเองสามารถหลับไปได้อย่างสบายๆ

     

    เสียงเปิดประตูครัวเรียกสายตาเขาให้เหลือบไปมองน้องชายคนรักที่เพิ่งจะกลับเข้ามาจากสวนและตรงไปเปิดตู้เย็นทำราวกับไม่เห็นว่าแบคฮยอนมีตัวตนอยู่ตรงนี้

     

    “นายสูบบุหรี่ด้วยหรอ” เอ่ยทักทายออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายทว่าอีกฝ่ายก็ยังคงวางท่าทีไม่อยากจะเสวนาด้วยเช่นเดิม

     

    เด็กหนุ่มตัวสูงเพียงแค่ปลายสายตามองพี่เขยที่กำลังนั่งดื่มอยู่ตรงเคาน์เตอร์ครัว เสื้อเชิ้ตตัวโคร่งปล่อยชายละต้นขากับสีหน้าแต้มเลือดฝาดทำให้ยิ่งมองยิ่งรู้สึกไม่ชอบใจ

     

    “พี่นายรู้ไหม”

     

    “จะบอกก็บอกไปดิ”

     

    คนอายุไมากกว่าด้แต่ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ กับคำตอบห้วนๆ ของน้องชายร่วมบ้าน แบคฮยอนหมุนเก้าอี้หันไปมองอีกฝ่ายที่กำลังเทนมใส่ชามซีเรียลพลางยกเครื่องดื่มขึ้นจิบ

     

    “พูดดีๆ กับพี่บ้างก็ได้... ยังไงพี่ก็เป็นพี่นาย” เขาเว้นจังหวะสบมองอีกฝ่ายก่อนจะพูดต่อ “พี่สาวนายเป็นห่วงนะ”

     

    ชานยอลยังคงเอาแต่เงียบ สายตาของพี่เขยที่มองมาทำให้เขาหงุดหงิดได้เสมอ คนตัวสูงรีบเก็บนมลงตู้ก่อนจะคว้าช้อนแล้วเดินออกไปจากครัวทันที ทิ้งให้คนถูกเมินได้แต่นั่งอยู่กับความรู้สึกว่างเปล่า ราวกับตัวเองได้กลายเป็นธาตุอากาศไปแล้ว

     

    แบคฮยอนจ้องมองแผ่นหลังน้องชายคนรักจนหายพ้นขึ้นบันไดไป สายตาดื้อรั้นและสีหน้าที่สะท้อนความก้าวร้าวของเขายังติดตรึงอยู่ในหัวใจอาจารย์หนุ่ม ทั้งที่ถูกเมินเฉยและทำใจร้ายด้วยขนาดนี้แต่ไม่รู้ทำไมยังชอบที่จะมองและอยากจะพูดคุยด้วยอยู่เรื่อยไป

     

    เด็กวัยรุ่นก็เป็นแบบนี้ เกรี้ยวกราด มุทะลุ เร่าร้อนอย่างมีเสน่ห์ รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้านวล ทุกครั้งที่เห็นใบหน้านี้ทีไรก็ทำให้อดนึกถึงคนรักตัวเองไม่ได้เลย

     

    ทำไมถึงเหมือนกันแบบนี้นะ...

     

     

     

     

     

     

     

     

    “พี่ได้ใบแจ้งไปสัมมนาหรือยัง ฉันตอบตกลงไปแล้วนะ พี่จะไปหรือเปล่า? เฮ้อ... แทนที่ปิดเทอมทั้งที่จะได้หยุดแท้ๆ”


    “อื้อ ปฏิเสธไปแล้ว ต้องเขียนหนังสือน่ะ”


    “ไม่มีเวลาทำอะไรเลย ให้ตาย ถ้ามีลูกฉันลาออกจากมหาลัยดีไหม”


    “ยังไม่ได้คิดถึงขั้นนั้นหรอก”

     

    เวลาสี่ทุ่มกว่าภายในห้องนอนที่มีเพียงแสงสลัวๆ จากโคมไฟหัวเตียง เสียงพูดคุยจากคู่สามีภรรยาดังเบาๆ ถึงแผนฮันนีมูน ขณะที่หญิงสาวนั่งแต่งกายอยู่หน้าโต๊ะกระจก ยูรามองภาพสะท้อนคนรักที่กำลังนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงพลางถอนลมหายใจออกมาพร้อมรอยยิ้มกับความน่าเบื่อปนน่าเอ็นดูของเขา

     

    คำตอบเรียบง่ายยังฟังดูสมเป็นแบคฮยอนเหมือนทุกที หญิงสาววางแปรงในมือลงก่อนจะเดินไปนั่งที่ปลายเท้าเขาพร้อมกับวางมือบีบนวดเบาๆ ลงบนขา สองสายตาสบมองกัน มีเพียงความเงียบกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเบาๆ

     

    ยูรารู้ว่าแบคฮยอนเป็นคนมีโลกส่วนตัว และบางครั้งเขาก็จมอยู่กับงานของตัวเองจนลืมสนใจสิ่งอื่นๆ ให้เกียรติคนอื่นเกินกว่าจะทำอะไรล่วงเกินแม้ว่าจะผ่านพ้นคืนวันแต่งงานไปแล้ว... มันก็อาจจะน่าแปลกไปสักหน่อยสำหรับชายวัยกลางคนแต่ถ้าเทียบกับสิ่งดีๆ ที่เขาทำแล้วมันก็กลบส่วนอื่นๆ ไปหมด

     

    “ฉันจะไปหาชานยอลก่อนนะ”

     

    “อื้อ”

     

    หญิงสาวหยัดกายลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะเดินออกไปนอกห้อง ปล่อยให้สามีใช้เวลาอยู่กับหนังสือเล่มโปรดของตัวเองต่อไป

     

     

     

     

     


    ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก

     

    เสียงเคาะประตูเรียกความสนใจจากเด็กหนุ่มให้ละออกจากมือถือ ชานยอลลุกขึ้นไปเปิดประตูก่อนที่จะต้องพบกับพี่สาวในชุดนอนกับสีหน้าบึ้งตึง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงต้องมาบ่นเรื่องอะไรแน่

     

    “ให้ฉันเข้าไปหน่อยสิ”

     

    คนตัวสูงละกายเดินกลับไปที่เตียงอีกครั้ง กระทั่งประตูห้องถูกปิดลงและพี่สาวจอมจุ้นของเขาก็ย้ายตัวเองกระโดดมานอนลงบนเตียงข้างๆ

     

    “วันนี้ทำไมแกไม่ลงไปกินข้าว”

     

    “ก็กินไปแล้วอะ” เขาตอบปัดไปอย่างไม่ใส่ใจแล้วก็โดนกำปั้นพี่สาวทุบเข้าให้หนึ่งทีจนต้องร้องโอดโอย ลูบแขนตัวเองป้อยๆ

     

    “แบคฮยอนอุตส่าห์ทำกับข้าวนะ”

     

    “แล้วไงอะ”

     

    "นี่ชานยอล พี่พูดจริงๆ นะ แกช่วยทำตัวดีๆ กับแบคฮยอนหน่อยได้ไหม เค้าอุตส่าห์มาอยู่บ้านเรา แกก็ป็นผู้ชายคนเดียวก็สนิทกันไว้สิ"

     

    คำพูดของพี่สาวทำเด็กหนุ่มต้องขมวดคิ้วหน้านิ่วยิ่งกว่าเดิม คิด ชานยอลวางโทรศัพท์ในมือลงพลางส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างนึกเซ็ง คิดไว้ไม่ผิดว่าต้องมาพูดเรื่องนี้แล้วก็ใช่จริงๆ ด้วย  

     

    "ทำไมต้องทำด้วย ไม่ชอบมันเลย" คนตัวสูงว่าอย่างตรงไปตรงมา ชานยอลบอกกับพี่สาวไปหลายรอบแล้วว่าเขาไม่ถูกชะตากับผู้ชายคนนี้เลยไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ชานยอลก็ไม่อยากเข้าใกล้แบคฮยอนด้วยประการทั้งปวง

     

    "นี่พี่ถามจริงนะ แกโกรธอะไรแบคฮยอนนักหนา? แกโกรธที่พี่พาแกมาอยู่ด้วยหรอ? หรือโกรธที่พี่แต่งงาน? ถ้าแกจะโกรธใครสักคนแกก็มาโกรธพี่สิ?”

     

    “ไม่เกี่ยวอะ มองหน้ามันแล้วหงุดหงิดว่ะ ไม่มีเหตุผล”

     

    “แบคฮยอนเป็นคนดีมากเลยนะ แกลองเปิดใจให้เค้าดูบ้างสิ เค้าไม่เคยทำให้พี่รู้สึกไม่ดีเลยนะ... "

     

    ยูราว่าเสียงอ่อน คิ้วเรียวย่นเข้าหากันอย่างน่าเห็นใจ คำเกลี้ยกล่อมของพี่สาวทำเด็กหนุ่มได้แต่เงียบแม้ในใจจะอยากเถียงกลับไปเป็นร้อยคำ ชานยอลเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงไม่ชอบแบคฮยอน รู้แค่ว่าไม่ถูกชะตาตั้งแต่เห็นครั้งแรก ทุกครั้งที่แบคฮยอนพูดหรือจ้องมองมา ทั้งสายตาและท่าทีของเขา มันเหมือนมีอะไรบางอย่างแอบซ่อนอยู่ที่ชานยอลไม่รู้ และยูราก็หลงรักผู้ชายคนนี้ไปเต็มเปา

     

    “ฉันรู้จักเค้ามาหลายปีแล้วนะ ไม่ใช่เพิ่งเจอกัน ถ้าแกเปิดใจดูอาจจะดีก็ได้นะ ไปลองตีสนิทกับเค้าหน่อยสิ”

     

    “เหอะ”

     

    “ช่วยพี่หน่อยน่า ถือว่าทำเพื่อพี่หน่อยนะ ไหนๆ ก็อยู่บ้านเดียวกันแล้ว” หญิงสาวออกลูกอ้อนเขย่าแขนน้องชายที่จ้องแต่จะเบือนหน้าหนี ทั้งยังทำสีหน้าเหม็นเบื่อ “พี่ไม่รู้จะมีความสุขยังไงถ้าแกไม่ญาติดีกับแบคฮยอนแบบนี้ เรามีกันอยู่แค่สองคนนะ ทำเพื่อพี่ได้ไหม”

     

    “..............”

     

    “ถ้าแกมีเหตุผลพี่ก็อยากรู้ แต่ถ้าแกแค่ไม่ชอบแบคฮยอนแบบนี้พี่ไม่รู้จะทำยังไง...”

     

    เมื่อคำพูดที่เป็นเหมือนไม้ตายถูกเอ่ยออกมาเด็กหนุ่มก็ต้องถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ แน่นอนว่าชานยอลไม่เคยปฏิเสธมันได้ถ้าสิ่งนั้นทำให้พี่สาวมีความสุข

     

    “นะๆ”

     

    “เออ จะพยามแล้วกัน...”

     

    “อย่างงี้ค่อยน่ารักหน่อย ถ้าแกสนิทกับแบคฮยอนพี่จะได้ให้ไปหลอกถามว่าเค้ามีรสนิยมแบบไหน พี่จะได้เตรียมตัวถูก ถ้าเป็นผู้ชายด้วยกันก็พูดกันได้ใช่ไหม” หญิงสาวยิ้มกริ่ม เบียดร่างเข้าไปกระแซะน้องชายบนเตียง วางมือเกาะแขนพร้อมกับส่งสายตาออดอ้อน

     

    “เป็นแฟนกันทำไมไม่ถามเองอะ”

     

    “ก็มันเขินอยู่นิดๆ นี่ พี่ยังไม่เคยมีอะไรกับเค้าเลยนะ”

     

    “จริงอะ?” ชานยอลถึงกับต้องเลิกคิ้วทวนคำถามกับพี่สาว พอเห็นสีหน้าอีกฝ่ายที่ตอกย้ำคำพูดเดิมเด็กหนุ่มก็ยิ่งต้องแปลกใจ มันมีด้วยหรอผู้ชายที่คบกับผู้หญิงเป็นปีโดยที่ไม่มีอะไรกันเลยเนี่ย

     

    “ก็จริงสิ เค้าเป็นคนดีมากเลยนะ บอกว่าจะไม่ล่วงเกินจนกว่าจะแต่งงาน ครั้งแรกก็อยากให้พิเศษใช่ไหมล่ะ”

     

    “มันเสื่อมสมรรถภาพเปล่า ไม่มีหรอกผู้ชายไม่อยากเอาผู้หญิงอะ โอ้ย!

     

    “ไอ้เด็กบ้า!”

     

    พูดยังไม่ทันขาดคำยูรินก็ฟาดกำปั้นทุบแขนน้องชายไปอีกทีกับคำพูดที่แสนตรงไปตรงมา ชานยอลจะมาว่าแบคฮยอนได้ยังไง ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนสักหน่อยที่เป็นเหมือนชานยอล “เค้าเป็นคนขี้อายต่างหาก ใครจะเป็นเหมือนแกทุกคนล่ะ”

     

    “ไม่มีหรอกขี้อายอะ ไม่เชื่อรอดูดิ”

     

    “ก็เค้าบอกว่าเค้าทำไม่เป็นนี่ พอจะนำก็บ่นเหนื่อย”

     

    “นั่นแหละ ไม่งั้นมันก็เป็นเกย์แล้ว โอ้ย! อะไรเนี่ย” เด็กหนุ่มรีบชักแขนออกห่างพี่สาวเมื่อถูกหยิกเป็นครั้งที่สอง ชานยอลขมวดคิ้วมุ่นแต่ก็ไม่วายถูกทุบเข้าให้อีกที

     

    “นี่พี่ขอให้แกมาช่วยนะไม่ได้ให้มาว่า” ยูราถลึงตาทำหน้าบึ้งแสดงออกว่ากำลังโกรธอยู่จริงๆ ก่อนจะว่าต่อ “แกไม่ชอบก็ไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะไม่ชอบนี่ แกไม่รู้หรอกว่าเค้าดีขนาดไห”

     

    “เออๆ ก็ได้” คนตัวสูงรีบตอบรับแบบปัดส่งทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองถูกวานให้ไปทำอะไร ชานยอลไม่รู้ว่าอันไหนยากกว่ากันระหว่างให้ไปบอกแบคฮยอนว่าให้มาจ้ำจี้กับพี่สาวตัวเอง กับแสร้งทำเป็นดีกับแบคฮยอน

     

    “เฮ้อ แกช่วยทำให้พี่สบายใจสักครั้งเถอะนะ ถือว่าขอร้อง”

     

    “เออ...  ก็ได้” สีหน้าอ้อนวอนทำเด็กหนุ่มอดใจอ่อนไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องรับปากไปทั้งที่ไม่รู้ว่าจะทำหรือเปล่า

     

    “พี่รักแกจริงๆ นะ แล้วพี่ก็อยากให้แกรักแบคฮยอนด้วย...”

     

     

     

    .

     

     _______________________________________________________________


     

    .

     

     

    แสงอาทิตย์ในยามสายลอดผ่านหน้าต่างทะลุม่านโปร่งพลิ้วลงมาตกกระบนหลังคาเปียโนตัวใหญ่ ปลายนิ้วเรียวกดลงแป้นสีขาวสร้างเสียงไพเราะผ่านตัวโน้ตที่ถูกเรียบเรียงอย่างเป็นระเบียบ ดนตรีคลาสสิคที่ขัดเกลาจิตใจแสนวุ่นวายของมนุษย์ ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาอย่างซื่อตรงไม่ถูกบิดเบือนหรือตัดสินด้วยทัศนคติของผู้คน..

     

    “เล่นเพลงนี้เป็นด้วยหรอ”

     

    เสียงจากด้านหลังหยุดมือที่กำลังกดโน้ตตัวต่อไป แบคฮยอนหันไปมองภรรยาของเขาในชุดผ้ากันเปื้อนที่ปรากฏตัวพร้อมกับจานแซนด์วิชในมือ “เมื่อคืนนอนที่นี่หรอ”

     

    “อื้อ เขียนงานแล้วเผลอหลับน่ะ”

     

    “พี่ทำงานเยอะเกินไปแล้วนะ เพิ่งแต่งงานก็พักบ้าง”

     

    แบคฮยอนชูมือขึ้นเหยียดกาย ได้แต่ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ กับความขี้บ่นของหญิงสาว ยูราก็เป็นอย่างนี้ตลอด เป็นห่วงคนอื่นเสมอและเป็นเพื่อนที่ดีของแบคฮยอนมาตลอดหลายปี

     

    “ชานยอลกินข้าวหรือยัง”

     

    “โอ้ย พอรู้ว่าฉันจะไม่อยู่มันก็ออกไปหาเพื่อนตั้งแต่เช้าแล้ว วันนี้บอกให้ขับรถไปพาไปมาร์ทก็ไม่ได้เรื่อง” เธอนำจานแซนด์วิชไปวางไว้บนโต๊ะข้างเปียโน ก่อนจะเริ่มจัดการเก็บกวาดหนังสือที่วางรกเป็นกองพะเนินพลางถอนหายใจอย่างนึกเซ็งเมื่อนึกถึงน้องชายและงานสัมมนาที่ต้องไปไกลถึงเจจู

     

    “ให้พี่ขับรถไปส่งไหม หรือว่ายูมีมารับ”

     

    “เดี๋ยวยูมีมารับที่บ้านตอนค่ำ ฉันไปซื้อของมาใส่ตู้ไว้ให้แล้วล่ะ ฝากพี่ดูแลชานยอลด้วยนะ ถ้าวันนี้มันไม่กลับบ้านก็โทรหาฉัน ฉันจะเก็บกระเป๋าต่อ”

     

    “พี่ก็จะพักแล้ว ไปช่วยเธอจัดกระเป๋าดีกว่า”

     

    คำพูดของสามีพร้อมกับรอยยิ้มน่ารักๆ บนใบหน้าทำยูราอดเผลอยิ้มออกมาไม่ได้แม้ว่าวันนี้เธอจะยุ่งแต่เช้า ความอ่อนโยน นุ่มนวลทำให้แบคฮยอนดูเป็นคนน่ารักเสมอและสิ่งนั้นทำให้เธอตกหลุมรักผู้ชายตรงหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่ยังเป็นเพื่อนกัน

     

    “ของมันเหลือไม่มากแล้ว พี่กินข้าวไปเถอะ ฉันเป็นห่วงนะ” มือเรียวยกขึ้นลูบข้างแก้มชายหนุ่มตรงหน้าก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องทำงานไป ทิ้งให้สามีได้แต่ยืนอยู่กับความเงียบ

     

    แบคฮยอนเพียงแค่หยิบแซนด์วิชขึ้นมากัดกินแล้วเดินกลับไปนั่งบนโต๊ะทำงานเหมือนเดิม เพื่อพิมพ์ต้นฉบับหนังสือที่ทำค้างเอาไว้ต่อ

     


    .

    .


    .


    .

     


     

    19:05

     

    “ถ้ามีอะไรโทรหาฉันได้เลยนะ พี่อย่าลืมตามให้ชานยอลกลับบ้านด้วยล่ะ ถ้ามันไม่รับเดี๋ยวฉันโทรตามเอง”


    กระเป๋าสัมภาระใบสุดท้ายถูกขนขึ้นหลังรถ SV คันสีดำ ยูรายังเอาแต่บ่นเรื่องเป็นห่วงที่บ้านไม่หยุดทั้งที่ตัวเองจะต้องเดินทางแล้ว ใบหน้าหวานขมวดมุ่นอย่างเสียอารมณ์ “ทีนี้ล่ะรีบเผ่นเลยนะ”


    “อื้อ ไม่ต้องห่วงหรอก” แบคฮยอนว่าพลางส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ผ่านลำคอ เขาเปิดประตูรถให้แฟนสาวขึ้นไปนั่งข้างคนขับพร้อมกับปิดให้อย่างดี

     

    “ฉันจะโทรหานะ”

     

     “ขับรถดีๆ นะ” ยกมือโบกบ๊ายบายภรรยาพร้อมกับส่งยิ้มให้กระทั่งรถคันสีดำค่อยๆ ขับเคลื่อนออกไปเพื่อมุ่งหน้าสู่สนามบิน แบคฮยอนยืนมองรถคันนั้นไปจนสุดทางเลี้ยวออกถนนก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้าน

     

    บานประตูกระจกถูกบิดเบาๆ นาฬิกาบนผนังตอนนี้บอกเวลาทุ่มเศษแล้ว พอยูราไม่อยู่บรรยากาศในบ้านก็เงียบเหงาจนน่าอึดอัด บนโต๊ะหน้าทีวียังมีจานขนมของชานยอลวางทิ้งเอาไว้ คนตัวเล็กได้แต่ถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ พอยูราบอกว่าจะไม่อยู่ ชานยอลก็ชิ่งออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้าโดยที่ไม่ได้บอกใครไว้เลย

     

    นึกแล้วก็ตลกดี ถ้าเป็นวัยรุ่นสิ่งที่ทำให้มีความสุขมากที่สุดก็คงเป็นการอยู่พ้นสายตาผู้ปกครองล่ะมั้ง

     

    คนตัวเล็กทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาท่ามกลางความเงียบ พอได้ใช้ชีวิตหลังแต่งงานด้วยการอยู่ร่วมกับคนอื่น พอมีใครบางคนหายไปก็รู้สึกไม่คุ้นอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ก่อนหน้านั้นก็อยู่คนเดียวมาตลอดแท้ๆ ดวงตาเรียวรีกวาดมองไปรอบบ้านที่ไร้แม้แต่เสียงเครื่องปรับอากาศ...

     

    เหงาจัง...

     



     

    .

     

    .

     

    .

     

     


     

    บนท้องถนนที่อากาศค่อนข้างหนาวเย็น ในสถานที่อโคจรซึ่งไม่เคยหลับใหล สองข้างถนนของตรอกอันมีชื่อเต็มไปด้วยผับบาร์และผู้คนที่ไม่หลับนอน บริเวณใกล้ร้านเหล้าตรงหัวมุมถนน เด็กหนุ่มกลุ่มเล็กๆ ยืนหลบมุมกันอยู่ในซอกตึก พ่นลมหายใจที่กลายเป็นควันออกมาจากจมูกปากขณะที่รอให้เพื่อนอีกคนมาถึง

     

    “มันมาแน่ปะเนี่ย นานจังวะ” เจ้าของเสียงทุ้มบ่นอย่างนึกเซ็ง ชานยอลล้วงมือถือที่กำลังเตือนสายเรียกเข้าพี่สาวขึ้นมากดปิดเสียงก่อนจะเก็บมันไว้ในกระเป๋าแจ๊คเก็ต ขณะที่สายตาก็สอดส่องสายแท็กซี่ของเพื่อนที่บอกว่ากำลังมาถึง

     

    “เออ มาดิ บอกว่ากำลังถึง นั่นไง”

     

    พูดไม่ทันขาดคำรถแท็กซี่คันสีขาวก็ขับมาจอดเทียบทางเท้าตรงหน้าพอดิบพอดี เด็กหนุ่มอายุไล่เลี่ยกันเดินออกมาพร้อมเสื้อโค้ทกันหนาวกับสีหน้าที่ไม่ได้รู้สึกผิดเลยสักนิด

     

    “โทษที  รอแม่ว่ะ”

     

    “กว่าจะมานะมึง ไหนร้านที่บอกจะพาไปที่ว่าเด็ดๆ อะ” เจอหน้าไม่ทันไรอูจินก็รีบทวงถามหาร้านเด็ดที่เพื่อนเคยโม้ไว้หลายครั้ง ความคึกคะนองทำให้พวกเขาแทบจะทนรอไม่ไหว

     

    “เออ มาเหอะ พาไป” คนนำยกยิ้มอย่างภาคภูมิใจ กวักมือเรียกให้เพื่อนเดินตามเข้าไปในซอยซึ่งพลุกพล่านไปด้วยผู้คน ในสถานที่ๆ ต่างคนต่างสนใจแต่เรื่องของตัวเองไม่มีใครมัวมาตั้งคำถามว่าเด็กพวกนี้อายุเท่าไหร่

     

    “มึงไม่ได้ทำงานแล้วเอาตังค์จากไหนมาเที่ยวทุกคืนวะ” ชานยอลถามขณะก้าวเท้าเดินตามหลังเพื่อนสนิทไปติดๆ เสื้อโค้ทตัวใหม่กับนาฬิกาข้อมือซึ่งดูเป็นของพอมีราคาที่ไม่น่ามาอยู่บนตัวอึนอูทำเขาอดสงสัยไม่ได้

     

    “เออ เดี๋ยวมึงก็รู้”

     

    คำตอบพร้อมสีหน้ากรุ้มกริ่มและหูตาแพรวพราวทำคนตัวสูงไม่ค่อยชอบใจนักแต่ก็ไม่พูดอะไร พวกเขาเดินลัดเลาะไปตามทางเดินมืดๆ ผ่านร้านเหล้าที่เคยแอบเข้ากันมานับครั้งไม่ถ้วน ทว่าคราวนี้กลับต้องเดินไกลเข้าไปลึกจนเกือบถึงสุดตรอก และผู้คนก็เริ่มบางตาไปกว่าช่วงต้นของถนนมาก

     

    แปดเท้าก้าวมาหยุดยืนอยู่หน้าบาร์เงียบๆ ที่ถูกประดับด้วยป้ายสีแดงชวนขมลุก ดูท่าทางแล้วไม่สมกับเป็นร้านเด็ดดวงตามที่ถูกกล่าวขานเลย

     

    “เอาบัตรมา”

     

    ชานยอลมองทางเข้าที่ไม่ค่อยเป็นจุดเด่นนักและเก็บความสงสัยไว้ในใจก่อนจะเดินตามเพื่อนเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นปนเบื่อ กะว่าถ้าไม่ถูกใจก็แค่ไปต่อร้านอื่น

     

    ตราปั้มหมึกสีน้ำเงินประทับลงบนข้อมือพร้อมกับตั๋วแลกเครื่องดื่ม ทันทีที่ผลักประตูเข้าไปบรรยากาศรอบๆ ที่ชวนให้รู้สึกแปลกก็ทำชานยอลเริ่มไม่ชอบมาพากล เพลงจังหวะเนิยช้าเล่นคลอไปกับไฟสีแดงสลัวดูเป็นเลิฟคลับมากกว่าจะเป็นผับตื้ดเสียอีก

     

    “อะไรวะเนี่ย”

     

    “เหี้ย นี่มันบาร์เกย์นี่หว่า มึงเอากูมาทำไรวะ” กว่าทุกคนจะรู้ตัว ชานยอลก็เป็นคนแรกที่สังเกตได้ว่าผับที่พวกเขากำลังยืนอยู่มีแต่ผู้ชายจากเรดาห์ตรวจจับสายตาที่ทิ่มแทงมาจากทุกทิศ

     

    ความโดดเด่นเป็นเป้าความสนใจทำให้ชานยอลถูกดึงดูดด้วยเหล่าเสือและแม่กวางน้อยรอบๆ อย่างโจ่งแจ้ง เขารีบกระชากเสื้อเพื่อนตัวดีที่ยังเอาแต่ทำหน้าระรื่นไม่รู้สึกรู้สาอะไร

     

    “เออ กูรู้ กูมาทำธุระแป้บนึง”

     

    “ควยเหอะ งั้นกูไปรอข้างนอก” คนตัวสูงออกอาการฉุนไม่น้อยที่ถูกหลอกพามาในที่ๆ เหมือนกับบ่อจระเข้ แต่ยังไม่ทันจะได้หันหลังกลับก็ถูกเพื่อนดึงมือไว้

     

    “เห้ย ไหนๆ ก็เข้ามาแล้ว ก็ไปแลกแดกสักแก้ว จะได้ไม่เสียค่าเข้า”

     

    “กูถามจริงนะมึงมาทำไรที่นี่วะ”

     

    “กูมาเจอพี่กู มึงบอกคืนนี้มึงแค่อยากเมาไม่ใช่อ่อ ที่นี่มึงได้แดกเหล้าฟรีนะเว้ย มีแต่คนจ่อจะเลี้ยงมึง”

     

    “เออ ยังไงมึงก็ไม่ได้จะไปด้วยอยู่แล้วปะวะ สนุกๆ”

     

    รอยยิ้มมุมปากกับสีหน้าไม่รู้สึกผิดของอึนอูทำชานยอลยิ่งอารมณ์เสีย แต่ดูเหมือนเพื่อนอีกสองคนจะเริ่มคล้อยเห็นดีเห็นงามด้วยจนออกอาการหน้าระรื่นเหมือนได้เจอเรื่องสนุก

     

    “ก็ลองดูครั้งเดียวไม่เสียหาย ที่อื่นมึงต้องเลี้ยงเหล้านะเว้ย”

     

    กลายเป็นว่าตอนนี้ชานยอลเป็นคนเดียวที่ไม่รู้สึกสนุกด้วยกับการอยู่ที่นี่ ซึ่งใครบ้างล่ะจะไม่สน การเป็นนักเรียนมัธยมงบน้อย ถ้าเป็นที่อื่นพวกเขาคงต้องเลี้ยงเครื่องดื่มสาวๆ ทั้งที่บางครั้งก็ไม่ได้ฟาดด้วยซ้ำ มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนพวกนี้ แค่สนุกๆ หากินเหล้าฟรี ไม่ได้คิดจะไปต่อด้วยอยู่แล้ว

     

    “กูไม่เอา กูไม่อยู่” ชานยอลสะบัดแขนพร้อมยื่นคำขาด

     

    “เออๆ ไม่อยู่ก็เดี๋ยวออก ขอกูไปเจอพี่กูก่อน เดี๋ยวกูมา มึงก็ไปแดกเหล้าสักแก้วจะได้ไม่เสียค่าเข้าฟรี”

     

    อึนอูยกมือยอมแพ้ให้กับเพื่อนตัวสูงก่อนที่จะหันหลังเดินหายไปกับฝูงชนปล่อยให้เพื่อนสามคนยืนงกเงิ่นกันอยู่ท่ามกลางสายตานับสิบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนตัวสูงที่กำลังตกเป็นเป้าสายตาอย่างหนัก

     

    “เห้ย มาเหอะ สักสองแก้วก็กลับ แล้วเราก็ไปที่อื่นต่อ” จองฮุนกระตุกแขนเสื้อเพื่อนสนิทที่ยังเอาแต่ทำสีหน้าไม่สบอารมณ์แต่ก็ถูกคนตัวสูงสะบัดแขนออก “กูนั่งอยู่บาร์นะถ้ามึงจะไปไหน”

     

    ว่าแล้วพวกเขาก็เดินหัวเราะระริกระรี้หายไปตรงบาร์ซื้อเหล้าที่ถูกเว้นที่ไว้ให้อย่างเหมาะเจาะทิ้งให้เพื่อนอีกคนได้แต่ยืนทำหน้าเซ็ง

     

    ชานยอลจะไม่ไปที่บาร์เพื่อรับเครื่องดื่มจากใครแน่ เขาตัดสินใจเดินหายเข้าไปในกลุ่มคนที่กำลังโยกตัวช้าๆ ไปตามจังหวะเพลงยั่วเย้าเพื่อหลบสายตาจากด้านนอก ไฟสีแดงกับกลิ่นน้ำหอมที่ตีกันจนฉุนและความยั่วยวนจากเสียงดนตรีทำให้บรรยากาศยิ่งเคลิบเคลิ้ม

     

    ชานยอลเหมือนตกลงไปในโลกอีกใบ เขาเดินมายืนอยู่ตรงที่ว่างแคบๆ กลางฝูงชนที่กำลังคลอเคลียกันอย่างแนบชิด สายตาที่อยู่เหนือระดับศีรษะของคนส่วนมากทำให้เขามองไปได้ไกลจนเห็นบรรยากาศโดยรอบ ทั้งโต๊ะ VIP และทางเข้าห้องน้ำ

     

    ขณะที่กำลังคิดว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ สายตาของเด็กหนุ่มก็เหลือบไปสะดุดอยู่กับแผ่นหลังของชายคนหนึ่งที่กำลังยืนพิงเสา โยกกายช้าๆ ไปตามท่วงทำนองเพลง สัญชาตญาณความคุ้นเคยบางอย่างหยุดสายตาชานยอลไว้ เขาจ้องมองแผ่นหลังร่างเล็กๆ ภายใต้เสื้อเชิ้ตตัวบาง กับเครื่องดื่มในมือก่อนที่ใครบางคนจะทำให้เด็กหนุ่มต้องขมวดคิ้ว

     

    เพื่อนตัวดีที่บอกว่ามีนัดกับพี่ชายเดินเข้าไปหาหนุ่มนิรนามคนนั้นพร้อมกับแก้วเครื่องดื่มในมือ พวกเขายืนคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มราวกับสนิทสนมก่อนที่อึนอูจะตรงเข้าไปเบียดชิดอีกฝ่าย

     

    ชานยอลถึงกับต้องเบือนสายตาหนีภาพตรงหน้าด้วยความไม่สบอารมณ์ ไม่ต้องบอกก็รู้แล้วว่าอึนอูมาทำอะไรที่นี่และเขามีเงินจากไหนมาเที่ยวทุกวัน

     

    เสียงเพลง sexy เร้าอารมณ์เชื้อชวนให้สัมผัสถึงความดึงดูด มือบางยกขึ้นเสยเส้นผมสีดำขลับ ขยับกายและสะโพกโยกเบาๆ ไปตามจังหวะก่อนที่แขนเรียวจะตวัดคล้องคอชายหนุ่มตรงหน้า อึนอูก้มลงวางหน้าผากชิดคนตัวเตี้ยกว่าก่อนที่ริมฝีปากพวกเขาจะดูดดึงเข้าหากัน

     

    ชานยอลยืนมองภาพนั้นพร้อมกับความรู้สึกที่อยากจะหายตัวไปจากตรงนี้ ไม่รู้ว่าต้องกระอักกระอ่วนกับอะไรก่อน ระหว่างความเลวของเพื่อนกับการอยู่ในสถานที่ซึ่งไม่ใช่รสนิยมของตัวเอง ขนาดยืนมองข้างหลังยังรู้เลยว่าผู้ชายคนนั้นเมาไม่น้อย

     

    พวกเขายืนนิ่งซบคุยกันไม่นานคนตัวเล็กกว่าก็หยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อและส่งมันให้กับเด็กหนุ่มที่ตัวเองเพิ่งจูบไป เมื่ออึนอูได้สิ่งที่ต้องการเขาก็ส่งยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะผละกายออกมาแล้วเดินหายไปในฝูงชน

     

    ชานยอลคิดว่าเขาควรจะออกไปจากที่นี่สักที... ถึงจังหวะที่กำลังจะหันหลังกลับไป หนุ่มนิรนามในเสื้อเชิ้ตสีขาวก็หันหน้ามา สองสายตาสบกันโดยบังเอิญ และใบหน้าคุ้นเคยที่เห็นก็ทำให้เด็กหนุ่มได้แต่ยืนนิ่งด้วยความรู้สึกกระอั่กกระอ่วนใจ...

     

    ริมฝีปากแดงฉ่ำกับนัยน์ตาหยาดเยิ้มไร้กรอบแว่นไม่ทำให้แบคฮยอนต่างจากเดิมนัก พวกเขาสบจ้องสายตากันไม่นานก่อนที่ชานยอลจะตัดสินใจหันหลังเดินออกไปจากฝูงชน...

     

     

     

     

     

     

     

     

    เสียงเครื่องยนต์ถูกดับลงเมื่อรถคันสีดำขับเข้ามาจอดในโรงรถ เด็กหนุ่มตัวสูงยังนั่งนิ่งอยู่หลังพวงมาลัยทบทวนสิ่งที่ตัวเองเห็นเมื่อหลายชั่วโมงก่อน เขาหันไปมองรถของพี่เขยที่จอดอยู่ข้างๆ กันก่อนจะถอนลมหายใจออกมาด้วยความรู้สึกที่ทั้งหงุดหงิดและไม่เข้าใจตัวเอง

     

    คนตัวสูงปิดกระแทกประตูรถก่อนจะไขกุญแจเดินเข้าบ้านไปอย่างเงียบเชียบ ไฟในห้องครัวที่ยังเปิดอยู่เป็นสัญญาณว่ามีใครบางคนยังไม่นอน ชานยอลก้าวเดินขึ้นบันไดอย่างเงียบๆ ไปจนถึงหน้าห้องนอน ขณะที่กำลังไขประตู ใครบางคนที่เดินออกมาจากห้องข้างๆ ก็ทำให้เด็กหนุ่มต้องชะงักมือ

     

    พี่เขยที่ชานยอลเพิ่งเห็นในเลิฟคลับเมื่อสองชั่วโมงก่อนยืนห่างออกไปไม่ไกล สายตาที่สบจ้องกันดูมีนัยความหมายมากกว่าทุกที ต่างคนต่างไม่พูดอะไร ไม่มีคำทักทายจากแบคฮยอนเหมือนเช่นทุกครั้ง ความรู้สึกในอกชานยอลมันขมุกขมัวไปหมด ถ้าได้ต่อยไปสักหมัดคงดี แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเลือกที่จะไม่พูดอะไร...

     

    คนอายุมากกว่าค่อยๆ เดินจากหน้าห้องผ่านน้องชายร่วมบ้านไปแบบพยายามไม่สบตา กลิ่นเหล้าที่โชยออกมาอ่อนๆ ทำให้แบคฮยอนปฏิเสธไม่ได้เลย ก่อนที่สองท้าวจะก้าวพ้นผ่าน คนตัวสูงก็เอื้อมมือไปฉุดคว้าแขนอีกฝ่ายไว้จนร่างน้อยสะดุ้งเฮือก

     

    “มึงไปไหนมา” เขาเอ่ยถามเสียงเข้ม จ้องสายตาคาดคั้นลึกลงไปยังนัยน์ตาสีอ่อนอย่างไม่เกรงกลัว สีหน้าที่ออกอาการตกประหม่าของของคนตรงหน้ายิ่งทำให้ชานยอลมั่นใจในสิ่งที่เห็นมากขึ้น

     

    “พี่ไปดื่มกับเพื่อนที่ทำงานมา” แบคฮยอนตอบอึกอัก แรงบีบบนแขนและน้ำเสียงดุดันทำลำคอเขาแห้งผากไปหมด ยิ่งพยายามบิดข้อมืออีกฝ่ายยิ่งออกแรงมากขึ้น

     

    “มึงแน่ใจอ่อ”

     

    “พี่--- โอ้ย!

     

    ร่างเล็กถูกฉุดดึงเข้าไปในห้องนอนก่อนที่บานประตูจะปิดกระแทกลง ชานยอลยืนขวางทางออกจ้องมองพี่เขยของเขาด้วยสายตาเอาเรื่อง ราวกับต้องการขุดคุ้ยความจริงจากจอมขี้โกหกที่พยายามปกปิดเรื่องบางอย่างมาตลอด ใบหน้าใสซื่อภายใต้กรอบแว่นกับการพยายามกลบเกลื่อนท่าทียิ่งทำให้ชานยอลหงุดหงิด

     

    แน่นอนว่าเขาหงุดหงิดทุกครั้งที่ได้เห็นใบหน้านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้

     

    “กูให้มึงพูดอีกทีดิ” คนตัวสูงว่าเสียงแข็งย่างเท้าเข้าไปใกล้พี่เขยที่กำลังออกอาการหลุกหลิกทางสายตาอย่างปิดไม่มิด

     

    ร่างเล็กๆ ถูกเบียดถอยจนล้มลงบนเตียงนอน เมื่อเด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่พุ่งเข้ามาอย่างไม่กลัวเกรง แววตาดุดันที่จดจ้องมาทำแบคฮยอนรู้สึกเหมือนมีมือบีบกำอยู่รอบลำคอ หัวใจของเขาสั่นระริกไปหมดด้วยความตื่นตัว

     

     “กูเห็นมึงอยู่กับเพื่อนกูอะ มึงจะบอกว่ามึงไม่เห็นกูอ่อ”

     

    “.......”

     

    “มึงเป็นเกย์ใช่ปะ...”


    “.......”


    ไหนมึงบอกมึงเอาพี่สาวกูไม่เป็นไง

     

    คนตัวสูงคลานสองเข่าขึ้นไปบนที่นอน ตามไล่บี้ร่างน้อยที่คลานถดถอยกายหนีขึ้นไปจนหลังชิดหัวเตียงหวังเพียงขู่ให้อีกฝ่ายกลัว แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะยิ่งพาตัวเองไปจนมุม

     

    “พี่...”

     

    ชานยอลหยัดแผ่นหลังตรงใช้สายตาหลุบมองใบหน้าร่างข้างใต้อย่างท้าทาย เมื่อเป้ากางเกงของเขาแทบจะจ่อชิดปลายจมูกอีกฝ่าย ถ้าเป็นผู้ชายแท้ๆ ป่านนี้คงได้ต่อยกันเลือดออกไปแล้ว แต่แบคฮยอนกลับยังคงนิ่งเฉย ผิวแก้มเนียนขึ้นสีเลือดฝาด ดูท่าทางเจ้าตัวออกจะชอบด้วยซ้ำ

     

    “มึงพิสูจน์ดิ...”

     

    ด้วยทั้งความเมาและความคึกคะนองใจคนตัวสูงกล่าวออกไปอย่างอวดดี โดยที่ไม่ได้นึกเลยว่าคำพูดของเขาจะถูกตีความว่าอย่างไร

     

     สีหน้าท้าทายของน้องชายคนรักและเป้ากางเกงที่จ่ออยู่แค่ปลายจมูกทำแบคฮยอนต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ คนตัวเล็กพยายามหลบสายตา เบือนหน้าหนีแต่สัญชาตญาณนักล่ายังไงก็ยังคงเป็นนักล่า เมื่อเหยื่อถูกวางล่ออยู่ตรงหน้าก็ยากที่จะปฏิเสธความกระหายของตัวเอง

     

    “มึงไม่ชอบอ่อ...” มือหนาเอื้อมลงไปบีบคางคนข้างใต้เบาๆ ใช้นิ้วหัวแม่มือเกลียริมฝีปากสีสดช้าๆ จ้องมองด้วยสายตาหยาดเยิ้มจากฤทธิ์แอลกอฮอล์

     

     “ถ้าทำนายจะบอกยูราไหม...” เจ้าของดวงตาเรียวรีเหลือบมองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาท้าทายไม่แพ้กั

     

    “ดูก่อนว่ากูให้คะแนนมึงเท่าไหร่” 




    - cut -



     


    คนตัวสูงทรุดกายลงนอนกับเตียงถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ในหัวหนักอึ้งไปหมดจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ร่างกายเบาหวิวราวกับถูกดูดพลังงานไปหมด

     

    ทั้งที่แค่อยากจะระบายความโกรธจากเรื่องนั้นแท้ๆ กลับกลายเป็นบานปลายซะได้... 


    เอาไว้ค่อยคิดพรุ่งนี้แล้วกัน...

     

     

     

     

     

    ..

     



     

    1/-



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×