ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ฟิคเสื่อม] กวาง The series - Chanbaek

    ลำดับตอนที่ #13 : Chapter 12 : Real me

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 35.61K
      407
      23 พ.ย. 64




    Rin Ring Ring Ring Ring


    เวลาสามทุ่มสิบห้าภายในห้องเช่าที่ถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศมาคุ เสียงเรียกเข้าจากมือถือเรียกแบคฮยอนให้ต้องหยัดตัวลุกขึ้นจากเตียงด้วยสภาพอิดโรย ลมหายใจอุ่นๆ ถูกถอนออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนที่มือบางจะเอื้อมไปกดปุ่มปิดเสียงเอาไว้แล้วทิ้งตัวนอนลงกับเตียงอีกครั้ง


    สายตาที่เต็มไปด้วยความทุกข์ใจเอาแต่จับจ้องไปยังผนังว่างเปล่า เพียงแค่เห็นว่าใครโทรมาความรู้สึกไม่สบายใจที่พยายามจะเก็บกั้นมาตลอดทั้งวันก็ตีตื้นขึ้นมาที่อก


    นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่ชานยอลใช้สารพัดเบอร์มือถือของเขาโทรมา ทั้งเบอร์ปกติที่ใช้โทรคุยกัน หรือแม้แต่เบอร์ที่ไม่โชว์หมายเลข ไม่รวมข้อความที่อีกฝ่ายส่งมาย้ำจนต้องปิดแอพหนี


    ตอนนี้แบคฮยอนไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น เขารู้สึกแย่และสับสนในแบบที่ถ้าได้พูดออกมาคำเดียวก็คงจะร้องเป็นบ้าฟูมฟายไปถึงอาทิตย์หน้า จิตใจที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายทำให้แบคฮยอนไม่สามารถข่มตาหลับ ได้แต่นอนอมคำพูดมากมายเอาไว้ในปากถึงจะมีคำถามมากมายที่อยากถาม และมีคำพูดหลายคำที่อยากพูด


    ตอนนี้แบคฮยอนไม่รู้เลยว่าเขาจะต้องรู้สึกอะไรก่อน ทุกอย่างมันน่าสับสงนไปหมด 


     Rin Ring Ring Ring Ring


    “อีแบ้ก มึงจะไม่รับจริงอ่อวะ”


    “มึงกดปิดเสียงไปเลย เดี๋ยวมันก็เลิกโทรเองแหละ” กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงงึมงำก่อนจะซุกหน้าลงกับผ้าห่มเน่าผืนเดิม ริมฝีปากที่เคยเอาแต่พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดงอง้ำ แบคฮยอนนอนขดตัวกอดผ้าห่มหันหน้าเข้าหากำแพงเหมือนหนูขี้แพ้ และบางทีเขาอาจจะเป็นหนูขี้แพ้จริงๆ


    “กูว่าเดี๋ยวแม่งโทรเป็นร้อยสายแน่เลย ดูแล้วมันไม่เลิกง่ายๆ หรอก"


    “ปล่อยมัน อยากโทรก็ปล่อยมัน”


    “เดี๋ยวไม่ใช่อีก 10 นาทีมันมาอยู่หน้าบ้านนะ?”


    “มันไม่มาหรอก ป่านนี้ไปเที่ยวกับเมียแล้วมั้ง” พูดไปก็เหมือนตอกย้ำตัวเอง ตอนนี้แบคฮยอนไม่รู้หรอกว่าชานยอลกำลังทำอะไร แต่ในจินตนาการเขาไม่มีภาพอื่นใดนอกจากสิ่งที่ได้เห็นมาเมื่อบ่ายเลย แบคฮยอนลืมมันไม่ลง และพอนึกถึงชานยอลทีไรภาพดินเนอร์ใต้แสงเทียนกับสาวสวยก็มักจะปรากฏขึ้นมาทุกที


     “เฮ้อ กูก็เตือนมึงแล้ว...  ที่จริงมึงก็น่าจะรู้นานแล้วนะ” อี้ชิงได้แต่ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทั้งที่แบคฮยอนเองก็รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายเก็บงำความลับมาตลอดแต่ก็ไม่เคยคิดถาม แบบนี้จะเรียกอะไรได้นอกจากหลับตาข้างเดียว


    “กูไม่รู้จะเริ่มรู้สึกยังไงเลยว่ะ กูไม่อยากคิดไปเองนะ แต่ทุกอย่างแม่งแบบ... ที่กูเห็นมันโคตรบาดใจอะ กูคิดแต่ว่ามันคืออะไรวะ สิ่งที่กูเห็นมันคืออะไรวะ แล้วเรื่องที่ผ่านมาแม่งคืออะไร กูไม่รู้จะเริ่มตรงไหนเลยอะ” พูดไปก็รู้สึกได้ถึงก้อนน้ำตาที่เคลื่อนมาจุกอยู่ที่คอ ถึงจะพยายามไม่ร้องไห้ แต่น้ำเสียงก็สั่นจนคุมไม่ได้เลย


    “มึงแน่ใจหรอวะว่าแฟน อาจจะเพื่อนมันก็ได้ หรือไม่ก็คนที่แม่มันส่งไปม่อ” จางอี้ชิงยักไหล่ เขาพยายามจะโลกสวยปลอบใจเพื่อนให้ได้มากที่สุด ถึงแม้ในใจจะไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยก็ตาม


    “มึง คนเป็นแฟนกันมันดูออกนะเว้ย เดินลงจากรถมาปุ๊บจับมือกัน ป้อนน้ำกัน มึงจะให้กูคิดยังไงวะ สายตาที่มองมันไม่ใช่เพื่อนอะ... ถ้ามึงไม่ใช่ควายตาบอดมึงก็รู้อะ”


    “กูไม่ได้อยากซ้ำเติมมึงนะ แต่กูเตือนมึงแล้วปะวะ มันไว้ใจได้อ่อวะ คนที่อยู่ๆ ก็เข้ามาในชีวิตมึง มาอิทธิพลกับชีวิตแต่ไม่เคยเปิดเผยเรื่องตัวเองสักอย่าง มึงคิดว่ามันจริงจังกับมึงจริงๆ หรอวะ”


    “กูไม่รู้อะ... กูไม่คิดว่ามันจะใจร้ายขนาดนี้อะ อึก... ถ้าแค่แกล้งกันมันต้องแรงขนาดนี้เลยอ่อวะ ฮึก...” มือบางยกขึ้นปาดน้ำตาพล่อยๆ แบคฮยอนกลั้นสะอื้นจนปากเบะ เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังร้องไห้เพราะอะไรเรื่องกันแน่ ทุกอย่างมันชวนให้สับสนไปหมด


    “กูก็บอกไปแล้ว... เอาจริงๆ กูไม่ได้ชอบมันหรอกนะ แต่ถ้ามึงยังคาดหวังมึงก็น่าจะลองคุยกับมันก่อน จะได้ไม่ต้องร้องไห้หลายระลอก ก็เข้าใจว่ามันยากแหละ เพราะทุกอย่างมันไม่ชัดเจนมาตั้งแต่แรกแบบนี้แต่จะทำอะไรได้อีก” อี้ชิงได้แต่ถอนลมหายใจออกมาด้วยความเห็นใจ ในเมื่อชานยอลเป็นคนยื่นความหวังกับเพื่อนเขา แบคฮยอนก็ไม่ควรต้องมานั่งเสียใจทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไรเลย


    เขาเป็นแค่เกย์รับตัวเล็กจากบ้านนอก ที่เห็นอะไรล่อตาล่อใจหน่อยก็เดินตามต้อยๆ โดยที่ไม่เคยคิดระแวง และมันไม่ยุติธรรม


    “กูก็อยากถามนะ แต่พอมาคิดดูแล้วกูเป็นใครวะ กูมีสิทธิ์ถามไหมอะ กูจะไปยุ่งวุ่นวายมากเกินไปไหม เหมือนมาหลอกให้กูคิดว่ากำลังจะถึงเส้นชัย แต่จริงๆ กูยังไม่ได้ออกจากจุดเริ่มต้นเลยอะ อึก...” พูดออกไปเสียงสั่นก่อนที่จะยกผ้าห่มเน่าขึ้นซับหยดน้ำตาและน้ำมูก ชานยอลทำให้แบคฮยอนมีความสุขมากกับทุกสิ่งทุกอย่างตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา... เขาเหมือนติดอยู่ในฝัน ก่อนที่จะถูกปลุกขึ้นด้วยความจริงที่แสนโหดร้าย


    “ก็นั่นแหละ ที่กูกำลังจะบอก...”


    “กูไม่ไหวอะ กูกลัวคำตอบอะมึง ฮึก กูไม่อยากเลิกคุยกับมันอะ ฮึก...”


    “สรุปก็คือรักมันไปแล้วถูกปะ”


    “ถ้าที่ผ่านมามันไม่จริงเลยอะ ถ้ามีแค่กูที่คิดไปเองอะ ถ้ามันมีแฟนแล้ว มีคู่หมั้นอยู่แล้ว มีเจ้าของอยู่แล้ว แล้วกูอะ ความรู้สึกกูอะ ฮึก...” เสียงสะอื้นไห้เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ แบคฮยอนได้แต่นอนกอดก้อนผ้าห่มแล้วซุกหน้าลงร้องไห้


    ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาชานยอลสร้างเรื่องราวและความสุขเอาไว้มาก แบคฮยอนคงทำใจไม่ได้ถ้าได้รู้ว่าทั้งหมดนั้นมันเป็นแค่เรื่องโกหก เขาคงใจสลายถ้าชานยอลแค่เข้ามาโกหกเพื่อเรียกร้องความสนใจเหมือนอย่างที่เขาทำกับใครต่อใคร...


    ทั้งๆ ที่เชื่อใจมาก คิดว่าได้รู้จักเขาในด้านที่ลึกที่สุด แต่ความจริงแล้วกลับกลายเป็นว่า ที่ผ่านมาตัวเองไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้เลย...


    แบคฮยอนกำลังสับสน เขารักชานยอลคนที่นอนคุยด้วยกันทุกวัน คนที่ใจดี คนที่พาไปเที่ยว ไม่ใช่ชานยอลที่เป็นใครก็ไม่รู้ เขาแค่เป็นลูกเจ้าของบริษัท แล้วนอกจากนั้นแบคฮยอนก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชานยอลคนนี้เลย


    “เฮ้อ... ทำใจเหอะว่ะ เอาให้พร้อมแล้วค่อยไปถามมัน”


    “อึก...”


    แผ่นหลังเล็กๆ ที่กำลังสั่นไหวอยู่ใต้ผ้าห่มทำจางอี้ชิงถึงกลับต้องถอนลมหายใจออกมาด้วยความเห็นใจ เขาทำได้เพียงแค่เอื้อมมือไปลูบแผ่นหลังเพื่อนรักเบาๆ โดยหวังว่ามันจะสามารถปลอบประโลมจิตใจที่เต็มไปด้วยความสับสนได้แม้เพียงเล็กน้อย


    นี่มันไม่ใช่ความผิดของแบคฮยอนเลย เขาไม่ควรต้องเจอแบบนี้... สุดท้ายแล้วถึงจะไม่ชอบนายชานยอลมากแค่ไหน แต่อี้ชิงก็ยังแอบหวังให้เขาจริงใจกับแบคฮยอนบ้างแม้สักนิด... สำหรับแบคฮยอนแล้วแค่รู้สึกเพียงเล็กน้อยก็อาจจะพอทำให้เขามีกำลังใจจนสามารถผ่านเรื่องบ้าๆ นี้ไปได้


    .


    .


    .


    ตู๊ด... ตู๊ด... ตู๊ด...


    สายโทรศัพท์ถูกตัดอีกครั้งเมื่อไม่มีผู้รับปลายทาง เจ้าของมือถือเครื่องสีดำได้แต่พ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนที่มือหนาจะยกขึ้นลูบใบหน้า


    นี่เกือบจะเป็นครั้งที่ร้อยแล้วที่ชานยอลพยายามติดต่อหาแบคฮยอน เขาทั้งโทรไป ทั้งส่งข้อความ ทักไปในไลน์ส่วนตัว หรือแม้แต่ทวิตเตอร์ แต่ก็ยังไร้ซึ่งการตอบรับใดๆ แบคฮยอนไม่ยอมรับโทรศัพท์ ไม่อ่านข้อความ และไม่ออนไลน์เฟสบุ้ก


    ข้อความที่ถูกส่งมาเมื่อตอนบ่ายยิ่งสร้างความไม่สบายใจให้กับเด็กหนุ่มเป็นเท่าตัว ชานยอลเพิ่งจะเปิดมือถือเมื่อตอนเย็น และเขาเพิ่งเห็นแบคฮยอนส่งข้อความมาบอกว่าจะมาที่บริษัท แล้วหลังจากนั้นเขาก็เงียบหายไป...


    ส่วนหนึ่งของจิตใจชานยอลกำลังร้อนรุ่ม ลางสังหรณ์บางอย่างทำให้เขาเป็นกังวล ในขณะที่อีกใจนึงก็ยังคอยบอกตัวเองว่าให้ใจเย็นเอาไว้


    โทรศัพท์มือถือเครื่องใหญ่ถูกเก็บลงกระเป๋าเสื้อก่อนที่คนตัวสูงจะก้าวเท้าเดินเข้าไปในร้านฟาสฟู๊ดสีเหลือง ชานยอลเห็นเพื่อนสาวคนสนิทของเขากำลังยืนเลือกอาหารอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ เขาตรงเข้าไปยืนข้างเธอที่กำลังง่วนอยู่กับการเลือกเมนู


    “จะกินอะไรปะ” หญิงสาวผมสีน้ำตาลเอ่ยถาม เธอก้มลงดูเมนูก่อนจะหันไปมองเพื่อนตัวสูงที่เอาแต่จ้องจอโฆษณาของร้านไม่วางตา


    “ตุ๊กตายังมีอยู่ไหมครับ” ชานยอลไม่ได้สนใจคำถามของคนข้างๆ เขาพูดกับพนักงานพร้อมกับชี้ขึ้นไปบนจอ LED ที่กำลังฉายโฆษณาชุดตุ๊กตาสะสมของทางร้าน


    “ยังมีอยู่ครับ อันนี้จะเป็นของแถมจากเซ็ตแฮปปี้มีล หรือซื้ออาหารรายการอื่นในราคา 79 ก็สามารถแลกซื้อได้ครับ” พนักหนุ่มตอบพร้อมรอยยิ้ม


    “มันมีทั้งหมดกี่ตัวอะครับ”


    “10 ตัวครับ แลกได้ถึงวันที่ 30 นี้”


    “เอาไอ้เนี่ยครับสิบชุด ขอตุ๊กตาทุกตัวเลย” การตัดสินใจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ชานยอลล้วงเอากระเป๋าเงินออกมาแล้วหยิบบัตรเครดิตส่งให้พนักงานทันทีโดยที่ไม่ถามแม้แต่ราคาของชุดอาหาร แค่เขาเห็นว่ามันเป็นตุ๊กตาที่แบคฮยอนเคยกดแชร์เพื่อชิงรางวัลบนเฟสบุ้กชานยอลก็ตัดสินใจซื้อทันที


    “ชอบอ่อ? เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าชอบมินเนี่ยน” โคลอี้หันไปยิ้มกับเพื่อนตัวสูง เธอไม่คิดเลยว่าแค่ไม่ได้เจอชานยอลไม่กี่เดือน รสนิยมเขาจะเปลี่ยนไปขนาดนี้


    “เปล่า ซื้อให้เพื่อน”


    “เพื่อน”


    “อือ”


    “เพื่อนคนที่อัพรูปลงทวิตปะ”


    คำถามแฝงนัยกับสายตาของหญิงสาวที่จ้องมองมาทำชานยอลได้แต่ยิ้มขืน เขายื่นมือไปรับใบเสร็จจากพนักงานก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะแล้วหยิบมือถือออกมาเช็คอีกครั้ง ตอนนี้ตัวเลขบนหน้าจอบอกเวลาห้าทุ่มเศษๆ แล้ว แบคฮยอนยังไม่อ่านข้อความเขา แล้วก็ยังไม่ยอมรับโทรศัพท์เหมือนเดิม


    และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรมันก็ทำให้ชานยอลหงุดหงิดทั้งนั้น เขากำลังพยายามอย่างมากที่จะห้ามตัวเองไม่ให้กังวลมากเกินไป แต่มันก็ทำได้ยากเหลือเกิน


     “พรุ่งนี้จะไปด้วยกันไหม” โคลอี้ลีเดินตามมานั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเพื่อนรัก เธอระบายยิ้มออกมาก่อนจะพูดต่อ “แม่ยูบอกว่าจะไปนี่”


    “อือ ก็ไปขับรถให้แม่” ชานยอลยังไม่ยอมละความสนใจออกจากมือถือ ถึงแม้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันมาเกือบห้าเดือน โคลอี้ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะมีตัวตนอยู่ในโลกชานยอลเสมอ ดูเหมือนว่าตอนนี้มันจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว...


    “อือ”


    เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้กำลังให้ความสนใจกับการสนทนาหญิงสาวก็ไม่รบเร้า เธอได้แต่ปล่อยให้ เพื่อนรักจมอยู่ในโลกของตัวเองต่อไป...


    แค่ละสายตาออกจากกันเพียงครู่ ชานยอลคนเดิมก็เหมือนจะหายไปแล้ว ไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ มันตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาสนใจคนอื่นมากกว่าคนที่ตัวเองบอกว่าเป็น คนพิเศษ


     มันจะแค่ตอนนี้ใช่ไหม... ชานยอลที่มักจะเห่ออะไรได้ไม่ค่อยนาน ไม่ว่าเขากำลังสนใจอะไร สุดท้ายแล้วโคลอี้ก็เชื่อว่าชานยอลจะต้องกลับสู่โลกใบเดิมของเขาที่ไม่มีใครเข้าใจ สุดท้ายชานยอลก็จะเลือกที่เขาอยู่แล้วสบายใจที่สุดเสมอ ยังไงซะมันก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้หรอก...  


    .


    .


    .


    บนสะพานข้ามแม่น้ำที่โล่งมากกว่าทุกวัน รถเบนซ์คันสีขาวจอดสนิทอยู่ทางเลนฝั่งขวา ปาร์ค ยูริน ยกมือขึ้นกอดอกในขณะที่ดวงตาของเธอยังจ้องมองไปยังชายหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่อีกฝั่งของสะพาน ความเงียบปกคลุมไปทั่วรถยนต์คันหรู แม้แต่เลขาคนสนิทอย่างนายอนก็ยังไม่กล้าปริปากพูดอะไร


    “บอกฉันทีว่านั่นชานยอล” หญิงวัยกลางคนกล่าวเสียงเย็น ใบหน้าของเธอเรียบนิ่ง ไม่แสดงถึงความรู้สึกใดๆ นัยน์ตาสีดำสนิทยังคงจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มตัวสูงที่ใช้แขนกอดรั้งเอวพนักงานชายตัวเล็กให้เข้ามาใกล้ พวกเขาทำตัวสนิทสนมและสัมผัสร่างกายกันอย่างโจ่งแจ้งบนสะพานข้ามแม่น้ำฮัน และยูรินจะไม่ใส่ใจเลยถ้าเด็กผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ลูกเธอ


    “ดูแล้วน่าจะสนิทกันนะคะ” นายอนว่า เธอไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอะไรไปมากกว่านี้กับการได้เห็นลูกชายของท่านประธานกำลังยืนเล่นกับพนักงาน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการเล่นกันที่สัมผัวตัวกันเยอะไปนิด “น่าจะเป็นเพื่อนกันนะคะ”


    “เพื่อนหรอ... หึ” ประธานสาวหัวเราะเสียงเย็น เธอสูดลมหายใจเข้าจนลึกสุดปอดก่อนจะหันไปพูดกับเลขาคนสนิทต่อ “เธอว่ามันดูเหมือนเพื่อนหรอ”


    “แต่ว่าคุณชานยอลเค้าไม่ได้เป็น....” คิ้วสีน้ำตาลเข้มย่นลงด้วยความแปลกใจ นายอนกำลังคิดว่าเธออาจจะตีความหมายคำพูดของเจ้านายผิดไป ทำไมประธานถึงพูดเหมือนกับลูกชายของเธอกำลังมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับพนักงานในบริษัทตัวเอง


    “หึ... เธอไม่รู้หรอกว่าเค้าเป็นหรือไม่เป็นอะไร ฉันเลี้ยงลูกมายี่สิบปีฉันยังไม่รู้จักเค้าดีพอเลย...”


    หญิงวัยกลางคนกล่าวเสียงเรียบก่อนจะละสายตาออกจากลูกชายที่กำลังพาเพื่อนลับๆ ของเขาเดินลงสะพานไป เธอได้แต่ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ บางครั้งชานยอลก็เป็นคนที่ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจหรือใช้คำไปจำกัดความเขาได้ง่ายๆ


    เขาไม่เคยเป็นคนง่ายๆ เลยไม่ว่าเมื่อไหร่...


    “................”


    “ขับรถไป แล้วพรุ่งนี้เธอมารับฉันด้วย...”



    .


    .


    .



    ขอโทษค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้


    ภายในห้องนอนสีเทาเข้ม เจ้าของโทรศัพท์มือถือเครื่องสีดำยังกระหน่ำกดโทรไปยังหมายเลขปลายทางไม่หยุด


    เด็กหนุ่มผู้สุขุมเยือกเย็นกำลังถูกปั่นหัวให้เป็นบ้าอย่างช้าๆ ด้วยการเพิกเฉย ชานยอลพยายามสูดลมหายใจเข้าออกหลายครั้ง ความใจร้อนทำให้เขาไม่สามารถหยุดคิดเรื่องอื่นได้เลย


    ชานยอลรู้สึกเหมือนหัวกำลังจะระเบิด ทุกอย่างมันอัดแน่นไปหมด ราวกับทุกคนพากันนำความคาดหวังของตัวเองมาโยนใส่บ่าเขา เรื่องน่าปวดหัวทำชานยอลเครียดจนเลือดกำเดาไหล เขาได้แต่นอนใช้ทิชชู่ยัดจมูกอยู่บนเตียงในขณะที่เพื่อนซี้กำลังออกไปปาร์ตี้ต้อนรับกลับ


    ตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาตีสองเศษๆ แล้ว ชานยอลยังโทรหาแบคฮยอนไม่ติด และล่าสุดเขาก็เพิ่งจะปิดเครื่องที่ใช้เบอร์สามัญไป ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ไม่สบายใจเลย ชานยอลรู้ว่าเขากำลังถูกแบคฮยอนหลบหน้า และสาเหตุก็คงไม่พ้นเรื่องนั้นๆ


    ตู๊ด... ตู๊ด...


    [ฮัลโหล...]


    “.............”


    [ฮัลโหล... แบคฮยอนหลับแล้วอะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยโทรมานะ]


    ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร เสียงที่ไม่คุ้นหูกับประโยคบอกเล่าจากทางปลายสายทำเจ้าของมือถือถึงกลับหน้าเจื่อน ชานยอลสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดออกมา


    “หรอครับ ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม ปลุกให้หน่อย”


    “อา.... งั้นรอแป๊บนึงนะ”


    พออีกฝ่ายตอบรับเสียงโทรศัพท์ก็ดังกุกกักอยู่ครู่หนึ่ง ชานยอลไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงพัดลมเป่า เขารู้ว่าแบคฮยอนไม่ได้หลับแล้วตอนนี้ก็รู้แน่ชัดแล้วว่าตัวเองกำลังถูกหลบหน้าอยู่จริงๆ


    [ฮัลโหล...]


    “ทำไมไม่รับโทรศัพท์”


    [..........]


    “ฮัลโหล...”


    [หลับอะ ปิดเสียงไว้เลยไม่ได้ยิน มีไรปะ]


    “หลับอ่อ... งั้นไม่กวนก็ได้”


    [ไม่ได้กวนหรอก ทำไรอยู่อะ]


    คำพูดที่ฟังดูเหมือนจะปกติไม่ได้ทำให้ชานยอลสบายใจขึ้นเลย น้ำเสียงของแบคฮยอนตีบสั่น ฟังก็ดูก็รู้ว่าเขาไม่สดใสแล้วก็อาจจะเพิ่งผ่านการร้องไห้มา มันทำให้ชานยอลยิ่งรู้สึกผิด


    “เพิ่งถึงบ้าน ไปกินข้าวมา”


    [หรอ ไปกะใครอะ]


    “ไปกับเพื่อน”


    [เพื่อนผู้หญิงปะ]


    “รู้ได้ไง” เอ่ยคำถามลองเชิงออกไปถึงจะรู้อยู่แล้วว่าทำไมแบคฮยอนถึงรู้ มือหนายกขึ้นเสยผมก่อนที่ลมหายใจอุ่นๆ จะถูกถอนออกมาเฮือกใหญ่ และแล้วเรื่องที่ชานยอลไม่อยากจะให้เกิดขึ้นมาที่สุดก็เป็นจริง เขาคิดไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป


    [ก็เดาเอา ไม่รู้หรอก]


    “อื้อ ไปกับเพื่อนผู้หญิง”


    [อือ...]


    “ทำไมอะ”


    [เปล่า ก็ไม่ได้ว่าไร]


    “เพราะเรื่องนี้อ่อ”


    [เรื่องนี้ทำไมอะ]


    “ก็ที่ไม่รับโทรศัพท์อะ”


    […………]


    “...........”


    [อื้อ... ขอโทษ] น้ำเสียงตีบสั่นเหมือนจะร้องไห้จากปลายสายทำชานยอลนึกอยากตบปากตัวเองที่พูดไม่คิด เขาไม่ได้โทษว่ามันคือความผิดของแบคฮยอน แล้วก็ไม่ได้อยากทำให้ทุกอย่างแย่ลง


    “ไม่ได้ว่าอะไร ทำไมทำเสียงเหมือนจะร้องไห้”


    [อึก...]


    “เป็นไร”


    [เปล่า..]


    “...........”


    [………]


    “โกรธหรอ”


    [หึ ไม่โกรธหรอก... ก็เสียใจเฉยๆ เห็นไม่รับโทรศัพท์]


    “ขอโทษ”


     บรรยากาศการสนทนาที่ดูแปลกว่าทุกครั้งทำทุกย่างดูแปลกไปหมด ชานยอลไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เขาไม่อยากโกหกว่าตัวเองไม่ได้ตั้งใจ ไม่อยากโกหกว่าไม่มีความลับแต่ก็มีหลายอย่างที่ชานยอลไม่อยากพูดออกไป


    [อื้อ ไม่เป็นไรหรอก ไม่ได้ว่าไร]


    “เปิดกล้องได้ปะ”


    [ไว้พรุ่งนี้ได้ปะ วันนี้ไม่อยากเปิดอะ]


    “อือ... จะนอนแล้วหรอ”


    [กำลังจะนอน แล้วไม่นอนอ่อ พรุ่งนี้ทำธุระไม่ใช่แงะ]


    “อีกสักพักนึง ยังไม่ง่วง”


    [อื้อ]


    ความอึดอัดที่เกิดขึ้นสร้างความกดดันให้กับคนต้นสายเป็นอย่างมาก เมื่อแบคฮยอนที่เคยร่าเริงไม่อยู่ ชานยอลก็ไม่รู้ว่าจะหาเรื่องไหนมาคุย เขาแค่อยากได้ยินน้ำเสียงหงุงหงิงกับเรื่องเล่าไร้สาระที่อีกฝ่ายไปประสบพบเจอมาในแต่ละวัน ชานยอลแค่มีความสุขกับการได้ฟัง และเขาก็ไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลย...


    [แล้วพรุ่งนี้ไปไหนปะ]


    “อือ ไปอินชอน เย็นๆ กลับ”


    [อ่อ...ยุ่งเลย]


    “พรุ่งนี้ไปไหนไหม”


    [ไม่รู้อะ ตอนแรกว่าจะไปดูหนังแต่คงไม่ไปแล้ว อาจจะกลับบ้านแทน]


    “อือ... แล้วพรุ่งนี้จะรับโทรศัพท์ไหม”


    ตัดสินใจถามคำถามที่ไม่อยากถามมากที่สุดออกไป ถึงจะรู้ว่ามันทำให้เขาดูไม่ดีเลย พรุ่งนี้ชานยอลไม่อยากมานั่งกังวลว่าจะโทรหาแบคฮยอนติดไหม เพราะว่าวันนี้มันทำเขาแทบบ้า และแบคฮยอนเองก็ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องในใจอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้พูดออกมา


    [อื้อ อยากโทรหาก็โทร]


    “............”


    [แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวจะนอนแล้ว]


    “แบคฮยอน...”


    [หื้อ…]


    “พรุ่งนี้รับโทรศัพท์ด้วยนะ...”


    [... อื้อ...]


    “ฝันดีครับ”


    [อื้อ ฝันดีนะ รีบๆ นอน]


    “ครับ...”


    จากที่เคยถือสายคุยกันจนหลับก็กลายเป็นต่างฝ่ายต่างไม่รู้จะพูดอะไรแล้วสุดท้ายก็ต้องวางไป ทันทีที่เสียงสัญญาณตัดลง คนตัวสูงก็ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หัวใจของชานยอลไม่สงบ เขาไม่รู้สึกดีเลย เหมือนกับว่าความสุขที่เคยมีมาตลอดช่วงที่ผ่านมาได้หายไปดื้อๆ และชานยอลก็ไม่รู้ว่าจะกลับไปเป็นอย่างเดิมได้อย่างไร


    มันราวกับมีบางสิ่งกำลังเปลี่ยนไป และชานยอลคิดว่าสิ่งนั้นคือตัวเขาเอง...



    .


    .


    .



    บนท้องถนนที่ประดับไปด้วยไฟสวยงาม ในวันที่อากาศสุดแสนจะเป็นใจ สองหนุ่มสาวนั่งอยู่ข้างกันบนกระโปรงรถสีดำสนิท ดวงตากลมโตจ้องมองไปยังไฟประดับที่วางทอดเรียงรายกันไปจนสุดลูกหูลูกตา


    เสียงเพลงจากหูฟังสีขาวยังคงดังวนไปเรื่อยๆ ตอนนี้นาฬิกาข้อมือสีทองบอกเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว วันนี้ทั้งวันยังไม่มีสายเรียกเข้าหรือแม้แต่ข้อความจากแบคฮยอนแม้แต่ข้อความเดียว และชานยอลก็ไม่ได้รู้สึกไปต่างจากการถูกปล่อยทิ้งไว้กลางทาง


    ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไป ชานยอลติดอยู่ในความสับสน ฝ่ามืออ่อนนุ่มที่เลื่อนมาจับทับหลังมือเอาไว้ไม่ได้ทำให้ชานยอลจิตใจสงบขึ้น เขาได้แต่ลอบถอนลมหายใจออกมาก่อนจะหันไปมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างกัน


     “คิดอะไรอยู่” โคลอี้ลีเอ่ยถาม เธอบีบกระชับหลังมือของเพื่อนสนิทเอาไว้แน่นก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้


    “หลายอย่าง”


    “ถ้าชานยอลมัวแต่คิดถึงคนอื่นเราจะพูดเรื่องของเราได้ไง” เธอกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมาทำทีเป็นไม่จริงจัง ชานยอลเหมือนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัด จิตใจเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและมันก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เมื่อวาน ถึงแม้ว่าต่อหน้าผู้ใหญ่เขาจะทำตัวเป็นปกติก็ตาม


    “ก็ว่ามาดิ”


    “เราไม่รู้จะ...”


    Ring Ring Ring Ring


    ยังไม่ทันจะได้กล่าวประโยคเริ่มต้นเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อแจ๊คเก็ตสีดำก็ดังขึ้น ชานยอลรีบล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบมันออกมากดรับทันทีราวกับว่าหากรับช้าไปแค่วินาทีเดียวก็จะไม่ได้คุยกันอีกแล้ว


    “แป๊บนึงนะ” เขาชักมือออกจากการเกาะกุมของเพื่อนสาวก่อนจะกระโดดลงจากกระโปรงรถแล้วเดินห่างออกไปตามทางเดินที่ถูกประดับด้วยไฟ ปล่อยให้เพื่อนสนิทนั่งยิ้มเจื่อนอยู่คนเดียว


    แม้แต่ในเวลาที่สำคัญชานยอลก็ยังให้ความสนใจกับโทรศัพท์ของคนอื่นมากกว่า ใบหน้าของเขาดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันทีหลังจากที่เอาแต่นั่งจ้องโทรศัพท์อยู่ทั้งวัน ไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่าใครโทรมา...


    “ฮัลโหล”


    [ถึงบ้านยัง]


    “ยังอยู่ข้างนอกแต่กำลังจะกลับแล้ว”


    [อ่อ นึกว่าอยู่บ้าน]


    “มีไรเปล่า”


    [เปล่า... ก็โทรมาเฉยๆ แต่ไว้ค่อยคุยกันก็ได้]


    “อยู่ไหนอะ”


    [อยู่บ้าน]


    “เดี๋ยวถึงบ้านแล้วโทรหา อีกประมาณครึ่งชั่วโมง” ชานยอลว่า เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก่อนจะเดินกลับไปที่รถอีกครั้งแล้วเปิดประตูพร้อมกับพยักพเยิดหน้าไปทางฝั่งที่นั่งผู้โดยสาร เป็นการบอกเพื่อนสนิทให้กลับเข้ามานั่งในรถ


    [อือ เดี๋ยวรอ ขับรถดีๆ นะ]


    “อา เดี๋ยวโทรหา”


    [อาเค]


    “ครับ”


    “เพื่อนอ๋อ?”


    ในขณะที่กำลังจะเสียบกุญแจสตาร์ทรถอยู่ๆ โคลอี้ก็พูดขึ้นมาเสียงดัง ทำเอาชานยอลถึงกับต้องชะงักมือ เขาหันไปมองเพื่อนสาวที่กำลังคาดเข็มขัดอยู่ด้วยความแปลกใจก่อนที่จะตอบออกมา


    “เปล่า... แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวโทรกลับ”


    [อื้อ]


    พอแบคฮยอนตอบกลับสายก็ถูกตัดไป ชานยอลพยายามจะไม่คิดอะไร เขาเก็บมือถือลงกระเป๋าเสื้อแล้วสตาร์ทรถทันทีโดยที่ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่ม โคลอี้ก็เป็นแบบนี้เสมอ เธอสดใสร่าเริงและอยากรู้อยากเห็นจนบางครั้งก็ชอบเผลอทำอะไรออกมาโดยไม่ยั้งคิด...


    ชานยอลคิดแบบนั้น... เขาเหยียบคันเร่งแล้วหักพวงมาลัยเลี้ยวออกไปจากสวนสาธารณะทันที โดยที่ไม่มีคำพูดอื่นใดหลุดออกมาจากปาก มีเพียงความเงียบที่เกิดขึ้นรอบตัว...



    .


    .


    .



    ตู๊ด... ตู๊ด... ตู๊ด...


    ขอโทษค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...


    ภายในห้องเดิมบนเตียงนอนตัวเดิม เป็นเวลากว่าหลายชั่วโมงแล้วที่เจ้าของห้องพยายามต่อสายโทรหาใครบางคนที่เขาสัญญาไว้ว่าจะโทรกลับ ตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนเศษแล้ว ชานยอลทิ้งตัวเองจมดิ่งลงไปในโลกที่มองไม่เห็น มันแปลกประหลาด เกรี้ยวกราด อ้างว้าง และสูญญากาศ


    ภาพถ่ายในมือถือถูกปัดเปลี่ยนไปอย่างไร้จุดหมาย ชานยอลเห็นรูปแหวนที่เคยถ่ายไว้ตอนใส่คู่กับเพื่อนสนิท รวมถึงภาพถ่ายการฉลองคริสมาสต์แบบส่วนตัวที่สวิสเซอร์แลนด์ ความทรงจำต่างๆ มากมายกับเพื่อนซี้ที่ไม่ว่าจะเปิดดูเมื่อไหร่ก็ทำให้คิดถึงได้เสมอ


    เพื่อนที่ชานยอลคิดว่าเป็นคนที่เข้าใจเขามากกว่าใครๆ บนโลก...


    ถ้ากลับมาแล้วความรู้สึกยังไม่เปลี่ยนไปลองคบกันดูไหม


    ไม่รู้ว่าความบ้าอะไรทำให้ชานยอลตอบตกลงไป เขาหักหลังมิตรภาพที่ยาวนาน โคลอี้เป็นคนพิเศษ เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ชานยอลสบายใจจะให้อยู่ข้างๆ คนที่สามารถปรับตัวและเข้าใจโลกที่แสนซับซ้อนได้ เป็นคนที่เข้าใจชานยอลมากกว่าใครๆ เป็นคนที่เขาไม่เคยปิดกลั้นตัวเองด้วยไม่ว่าจะสุขหรือเศร้า


    ชานยอลไม่รู้ว่ามันคือความชอบไหม... กับเพื่อนที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กจนรู้เช่นเห็นชาติและเข้าใจกันทุกอย่าง 


    ขาไม่รู้จะเปรียบเทียบมันกับอะไร กับความสัมพันทีไม่ได้อยู่ในสถานะใดสถานะหนึ่ง... แค่อยู่ข้างๆ กัน เดินด้วยกันไปอย่างเงียบๆ ชานยอลชอบความสัมพันธ์แบบนี้เพราะมันดีมากๆ และมีแค่โคลอี้ที่ให้ได้ เขาเชื่อว่าความรู้สึกนี้จะคงอยู่ตลอดไปจนได้รู้ซึ้งความร้ายกาจของเวลาและความห่างไกล


    บางครั้งพวกเขาก็แค่เข้าหากันในเวลาที่ต้องการ... ชานยอลไม่ได้ต้องการโคลอี้ตลอดเวลา เขาไม่เหงาเท่าไหร่ถ้าไม่มีเธอ ไม่ได้เรียกร้อง หรือต้องการครอบครอง ชานยอลเชื่อว่ามันเป็นความรู้สึกดีๆ ในอีกรูปแบบหนึ่ง จนกระทั่งไม่นานมานี้เขาได้เจอกับใครบางคน


    คนที่ทำให้ชานยอลไม่เบื่อกับการรอคอยที่แสนไร้ค่า คนที่ทำให้เขามีชีวิตชีวา คนที่มีโลกที่แตกต่างออกไป และสดใสเหมือนกับพระอาทิตย์ แบคฮยอนที่เป็นเหมือนกับความสดใสทั้งหมด ชานยอลปล่อยตัวเองให้เดินเข้าไปในโลกที่มีแต่แบคฮยอน และกว่าจะรู้ตัวแบคฮยอนก็กลายเป็นตัวแทนของความสุขไปแล้ว


    มันไม่เหมือนกัน... แบคฮยอนไม่เหมือนกับโคลอี้ พวกเขาต่างกันในทุกๆ ด้าน


    ไม่รู้ว่าที่ผ่านมานั้นแค่สับสน หวั่นไหว หรือเป็นเพราะถูกสร้างสถานการณ์ให้คู่กันมาตั้งแต่เกิด...


    ชานยอลกำลังกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว เขารักตัวเองเวลาที่ได้อยู่กับแบคฮยอน มันเหมือนกับได้ตัดขาดจากโลกที่เขาเบื่อแสนเบื่อ ความรู้สึกมันชัดเจนจนสัมผัสได้ คิดถึง โหยหา อยากคุยด้วย อยากสัมผัส อยากทำหลายสิ่งหลายอย่างด้วยกัน ชานยอลรู้สึกเหมือนว่าเขาจะสามารถทำสิ่งที่บ้าที่สุดได้เพียงแค่มีแบคฮยอนข้างๆ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าโคลอี้สำคัญน้อยลง


    ไม่รู้เลยว่าปัญหายุ่งยากพวกนี้มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ชานยอลใช้ความเป็นตัวปัญหาของเขาสร้างปัญหาที่ซ้ำซ้อนขึ้นมาอย่างไม่มีวันจบสิ้น เขาชินกับมัน แต่กับแบคฮยอนนั้นไม่ใช่


    ชานยอลไม่อยากให้แบคฮยอนเข้ามาพัวพันกับความยุ่งยากของชีวิตเขา เพราะว่าทุกอย่างมันยุ่งเหยิงและวุ่นวายไปหมด


    ยิ่งได้เห็นรูปที่ถ่ายคู่กันกับทุกอย่างมันก็ยิ่งชัดเจน ชานยอลไม่คิดว่าเขาจะลืมแบคฮยอน แล้วปล่อยให้ทุกอย่างมันหายไปได้ง่ายๆ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้...


    ตู๊ด... ตู๊ด...ตู๊ด...


    “.........”


    ลมหายใจอุ่นๆ ถูกถอนออกมาเฮือกใหญ่ มือหนายกขึ้นลูบใบหน้าด้วยความหงุดหงิดใจ ชานยอลเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าฮู้ดก่อนจะลุกขึ้นเดินไปคว้ากุญแจรถทั้งๆ ที่เพิ่งกลับถึงบ้าน เขาไม่สนว่าตอนนี้กี่โมงกี่ยาม หรือว่าพรุ่งนี้ตัวเองมีธุระอะไรต้องทำ ชานยอลทนอยู่กับความรู้สึกอึดอัดใจแบบนี้ต่อไปไม่ได้


    ประตูบานใหญ่ถูกเปิดและปิดลงอย่างเบามือ ขายาวก้าวเดินไปตามทางที่มีไฟส่องสลัวๆ กระทั่งมาถึงบันได ไฟที่เปิดอยู่ตรงชั้นล่างบอกชานยอลให้รู้ว่ายังมีคนทำงานอยู่


    เด็กหนุ่มตัวสูงซุกมือลงในกระเป๋าเสื้อแล้วก้าวเท้าลงจากบันไดมาถึงขั้นสุดท้าย ชานยอลเห็นแม่ยืนจ้องเขาอยู่หน้าโซฟา ในมือมีถ้วยชาใบหรู สีหน้าของเธอราบเรียบไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใดๆ


    “จะไปไหนหรอ” หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามเสียงนิ่ง เธอวางถ้วยชาลงบนโต๊ะก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มที่ยืนทำหน้านิ่งอยู่ไม่ห่างจากหัวบันได


    “ไปข้างนอก”


    “ไปหาใครตอนนี้ พรุ่งนี้ชานยอลต้องขับรถแต่เช้านะ” ยูรินว่า สีหน้าที่แสดงออกถึงความไม่แยแสของลูกชายทำให้เธอยิ่งไม่สบอารมณ์


    “ผมจะไปหาใครแล้วทำไมแม่ต้องรู้ด้วย”


    “ชานยอลหัดใช้คำพูดแบบนี้กับแม่ตั้งแต่เมื่อไหร่... จะไปหาแบคฮยอนใช่ไหม อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้นะ”


    “ทำไมต้องเป็นแบคฮยอน? แล้วถ้าใช่แล้วมันทำไม” ชานยอลตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบพอกัน ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะเฉยชาแต่สายตากลับแสดงออกถึงความเอาเรื่องอย่างชัดเจน วันนี้ชานยอลทำสิ่งที่เขาควรทำมามากพอแล้ว ความอึดอัดพวกนี้ควรจบลงสักที


    “ตกลงแล้วใช่ใช่ไหม? เป็นอะไรกับเค้ากันแน่อะห้ะ เป็นเพื่อนหรอ สนิทกันหรอ หรือเป็นอะไร? ทำไมต้องออกไปหาดึกดื่น” แขนทั้งสองข้างยกขึ้นกอดอก ยูรินย่นคิ้วหรี่ตามองดูลูกชายของเธอที่กำลังยืนชักสีหน้าอยู่


    “ทำไมแม่ต้องสงสัยด้วย ผมก็ออกไปหาเพื่อนเวลาเดิมเหมือนทุกที”


    “แม่ว่าไม่เหมือนนะ ปกติชานยอลบอกแม่ตลอดนี่ว่าไปหาใคร ทำไมคราวนี้ถึงบอกไม่ได้ล่ะ”


    “..............”


    “เมื่อวาน แม่บอกให้ไปทานข้าวกับโคลอี้ ชานยอลก็หนีกลับมา แล้วก็ปล่อยเค้าไปปาร์ตี้คนเดียว วันนี้ไปเที่ยวกันก็ไม่ยอมสนใจเค้าอีก เค้าไม่ใช่เพื่อนชานยอลแล้วหรอ แล้วตอนนี้ก็มายืนทำหน้าหงุดหงิดใส่แม่.... ชานยอลเป็นอะไรไปอะ ต้องให้แม่เดาเอาเองไหมว่าเพราะใคร”


    “แม่อยากคิดว่าผมเป็นอะไรก็ตามใจ”


    “อยากให้แม่คิดอย่างนั้นจริงๆ หรอ? งั้นแม่ย้ายแบคฮยอนไปทำงานที่อื่นดีไหม เผื่อชานยอลจะได้พูดกับแม่ให้มันง่ายขึ้น?”


    “เกี่ยวอะไรกับแบคฮยอน? แม่ไม่ชอบอะไรเค้า ทำไมแม่โกรธผมแล้วต้องไปลงกับเค้าทุกที” คิ้วเรียวขมวดย่นเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจ ชานยอลไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแบคฮยอนถึงต้องเป็นคนรับกรรมทุกทีเวลาที่เขาสร้างปัญหา


    “งั้นชานยอลกล้าพูดไหมว่าไม่รู้จักเค้า” หญิงวัยกลางคนเลิกคิ้วสูง สายตาของเธอจ้องมองไปยังลูกชายอย่างคาดเค้น ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดที่สุดในรอบหลายปี ยูรินจำไม่ได้แล้วว่าเธอทะเลาะกับชานยอลครั้งล่าสุดเมื่อไหร่


    “ผมรู้จักเค้าแล้วทำไม? มันเกี่ยวอะไรกับที่ผมทำให้แม่ไม่พอใจ”


    “ชานยอลดูปกป้องเค้าจังนะ แม่ก็สังเกตมานานแล้วแหละ ชานยอลช่วยเค้าตลอดเลยนี่ เค้าสำคัญยังไงหรอ เคยรู้จักกันหรอ กับเพื่อนชานยอลยังไม่ทำขนาดนี้เลยนะ แล้วเค้าเป็นใคร ให้คำตอบแม่ได้ไหม อะไรก็ได้พูดมาสักอย่าง”


    คำถามไล่ต้อนที่ชวนให้รู้สึกกดดันทำเด็กหนุ่มถึงกับเผลอแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา ชานยอลพยายามจะสูดลมหายใจให้ลึกที่สุด เขาถอนหายใจออกมาแล้วหลุบตาลงมองพื้นก่อนที่จะพูดต่อ


    “เค้าเป็นอะไรแล้วมันสำคัญยังไง”


    “สำคัญสิ แล้วตกลงเค้าเป็นอะไรกับชานยอลล่ะ ชานยอลตอบไม่ได้หรือไม่รู้ เหมือนที่ชานยอลก็ตอบแม่ไม่ได้ว่าคบกับโคลอี้อยู่ไหม”


    “เกี่ยวอะไรกับโคลอี้อีก? ผมบอกแล้วว่าผมไม่ได้เป็นแฟนเค้า”


    “อ๋อ ไม่ใช่สิ ไม่ได้เป็นแฟนกัน แค่ไปไหนมาไหนด้วยกัน ทำอะไรด้วยกัน  จูบกัน แต่ไม่ได้เป็นแฟนกัน” ความไม่แน่ไม่นอนของลูกชายทำยูรินหัวเสีย เธอเผลอขึ้นเสียงและเอ่ยคำพูดที่ไม่ควรออกมาด้วยความลืมตัว และทันทีที่ชานยอลได้ยินประโยคนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที


    “................”


    “ชานยอลอย่าคิดว่าแม่ไม่รู้นะ... แม่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดกดดันชานยอลหรอก แต่ชานยอลก็รู้ว่ามันสำคัญ แล้วทุกสิ่งที่ชานยอลทำมันก็มีผลกับทุกอย่าง แม่ไม่ผิดใช่ไหมที่อยากทำเพื่อชานยอล แล้วมันก็เป็นสิทธิ์ของแม่ที่จะย้ายพนักงาน เพราะถ้าชานยอลไม่รู้จักทำตัวเองให้ดีแม่ก็ต้องตัดที่ตัวปัญหา”


    “เหอะ...”


    “ทั้งหมดนี้แม่ก็ทำเพื่อชานยอลทั้งนั้น”


    “แม่พูดแบบนี้ทีไรแม่ก็ทำร้ายผมทุกที” เด็กหนุ่มตัวสูงว่าพร้อมกับระบายยิ้มที่เต็มไปด้วยความสมเพชขึ้นบนใบหน้า ชานยอลไม่รู้เลยว่าเขาต้องทนฟังคำน้ำเน่านี่ไปอีกนานเท่าไหร่


    “ว่าไงนะ? ชานยอลจะบอกว่าทุกสิ่งที่แม่ทำเพื่อชานยอลนี่มันทำร้ายชานยอลหรอ ทุกสิ่งที่แม่ให้ชานยอลมาจนถึงทุกวันนี้มันทำร้ายชานยอลหรอ” คิ้วเรียวขมวดย่นเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ ยูรินจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความหมายหมื่นล้านของลูกชาย เธอไม่เคยเข้าใจชานยอลเลย ไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็ไม่เคยเป็นคนที่ยอมเข้าใจอะไรง่ายๆ เลย


    “แม่บอกว่าแม่ทำเพื่อผม อยากให้ผมทำนู่นทำนี่ แม่ไม่เคยถามผมสักคำว่าอยากทำหรือเปล่า แล้วพอผมต่อต้านแม่ก็หาว่าผมทำตัวมีปัญหาทุกที” ชานยอลพยายามจะไม่ใส่อารมณ์ในน้ำเสียงแต่มันก็ทำได้ยากเหลือเกิน เขาไม่รู้ว่าต้องพูดเรื่องนี้กับแม่กี่ครั้งถึงจะเข้าใจตรงกัน


    “แล้วสิ่งที่แม่ให้ชานยอลทำมันไม่ดีตรงไหน! ทำไมชานยอลต้องดื้อรั้น ต้องต่อต้านทุกอย่างที่มาจากแม่ ต้องคิดว่ามันไม่ดีทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลองทำ ชานยอลบอกสิว่าแม่ไม่ได้ทำเพื่อชานยอลตรงไหน”


    “แล้วผมเคยไม่ทำมั่งไหมสิ่งที่แม่อยากให้ผมทำ ผมก็ทำมาตลอดนี่ไง แต่แม่เคยถามผมไหมว่าผมอยากทำหรือเปล่า แม่ก็แค่อ้างผม ที่จริงแม่ทำเพื่อตัวเองมากกว่า แล้วผมก็ไม่เคยต้องการสิ่งที่แม่อยากให้ผมทำด้วย”


    “เหอะ... นี่แม่ไม่รู้เลยนะว่าชานยอลคิดกับแม่แบบนี้” หญิงสาวส่งเสียงหัวเราะออกมาจากในลำคอพลางส่ายหน้าไปมา เธอจ้องมองลูกชายที่กำลังยืนนิ่งอย่างไม่เชื่อสายตา ยูรินไม่อยากเชื่อเลยว่าแค่ในระยะเวลาสั้นๆ จะมีอะไรทำให้ชานยอลเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้


    “งั้นแม่ก็รู้ได้แล้ว...”


    ทิ้งคำพูดเอาไว้ด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ก่อนจะเดินผ่านหน้าผู้เป็นแม่อย่างไม่คิดจะหันกลับไปมอง


    เรื่องนี้มันไม่ใช่เพราะใครทั้งนั้น ไม่ใช่ทั้งเพราะเแบคฮยอน หรือโคลอี้ มันเป็นเรื่องของชานยอล... มันเป็นเพราะเขาเองที่ชอบสร้างปัญหาไปทั่วและไม่เคยทำอะไรได้ดั่งใจใครสักอย่าง สุดท้ายแล้วปัญหาทั้งหมดก็เกิดมาจากตัวชานยอลเอง กับทั้งแบคฮยอนและโคลอี้ชานยอลก็เป็นคนสร้างปัญหาขึ้นมาเอง มันไม่ใช่เพราะใครเลย...







    #ฟิคกวาง


    ตอนน้าเจอกันเร็วๆ นี้ค่า ขอบคุณที่อ่านและเอ็นจอยรีดดิ้ง โจ๊ะๆ :D 

     





    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×