ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ฟิคเสื่อม] กวาง The series - Chanbaek

    ลำดับตอนที่ #16 : Chapter 14 : แค่ไหนที่เรียกว่ารักกัน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 33.01K
      383
      4 ส.ค. 63





    ภายในห้องธุรการที่ถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศสุดน่าอึดอัด ปาร์ค โจควอนยืนเชิดหน้าตรงอยู่หน้าผู้จัดการใหญ่แฮจิน ฝ่ามือเขาซุกซ่อนไว้ในกระเป๋าเสื้อสูท ใบหน้าของรองผู้จัดการหนุ่มเรียบนิ่งไม่แสดงออกถึงความรู้สึกใดๆ ถึงแม้ในใจจะอัดแน่นไปด้วยความเป็นกังวล


    “สำนักงานใหญ่เค้าลงดาบมา พี่ก็ไม่ได้อยากจะทำหรอกนะ แต่ถ้าไม่มีคนรับผิดชอบเราก็จะซวยกันหมด”


    “แล้วเค้ามีหลักฐานหรอว่าแบคฮยอนเป็นคนทำผิด”


    “พี่ไม่รู้หรอก แต่เค้าสั่งมาแล้ว เช็ครายการสินค้าพลาด บริษัทเสียหายหลายหมื่น ถึงแบคฮยอนไม่ได้ทำผิดมันก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบเพราะเป็นคนดูแลแผนก” ผู้จัดการแฮจินถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาเดินไปนั่งบนโต๊ะทำงานก่อนที่จะหยิบเอาซองสีขาวขึ้นมาเปิดดูซ้ำด้วยความลำบากใจ


    “..........”


    “ถ้าไม่มีคนรับผิดใครจะออกค่าเสียหายแทน”


    “แต่พี่ก็รู้ใช่ไหมว่ามันไม่ได้เป็นคนทำอะ” โจควอนว่าเสียงแข็ง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจที่แสดงออกอย่างเห็นได้ชัด กับปัญหาเดิมๆ ที่โจควอนไม่เคยคิดอยากเจอและพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด ตอนนี้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง และเขาก็คงจะไม่แคร์มากถ้าผู้โชคร้ายคนนั้นไม่ใช่แบคฮยอน


    “พี่ไม่รู้ว่าใครทำ แต่แบคฮยอนมีหน้าที่ดูแลแผนก มันก็ต้องรับผิดชอบ”


    “งั้นขอให้หักเงินเดือนมันมาชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นได้ไหม หนูจะให้มันเซ็นใบเอง”


    “..........”


    “เดี๋ยวจะคุยกับมันก่อน ถ้ามีอะไรที่พอแก้ปัญหาได้ก็จะทำ”


    “โจควอน...”


    “มันก็เด็กหนูนะพี่ เจอแบบนี้หนูลำบากใจเหมือนกัน ยังไงพี่ก็ต้องช่วยเหลือพนักงานพี่อยู่แล้วใช่ไหม”


    “........”


    “เดี๋ยวหนูจะไปคุยกับมันเอง”



    .


    .


    .


    พรึ่บ!


    เอกสารจำนวนสามหน้ากระดาษถูกโยนลงบนโต๊ะสีขาว เวลาเที่ยงกว่าๆ ภายในห้องพักฝ่ายจัดการ ความเงียบระหว่างรองผู้จัดการและพนักงานตัวจ้อยทำให้บรรยากาศยิ่งน่าอึดอัด แบคฮยอนรู้สึกเหมือนถูกล้อรถบรรทุกเหยียบช้ำท่ามกลางถนนที่แฉะชื้น เขาแทบพูดอะไรไม่ออกหลังจากที่ได้อ่านเอกสารยินยอมให้หักเงินเดือน แถมยังต้องมารับทราบข้อหาการกระทำผิดแบบงงๆ


    ความรู้สึกมากมายพากันโถมเข้ามาราวกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด แบคฮยอนไม่รู้เลยว่าเขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไรอยู่ มันอย่างกับมีบางอย่างที่มองไม่เห็นคอยตามหลอกหลอนยังไงอย่างงั้น


    “หนูต้องเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมดนี่เลยหรอ” คิ้วเรียวขมวดย่นเข้าหากัน ใบหน้าหวานแสดงออกถึงความกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด แบคฮยอนแทบจะทำใจยอมรับไม่ได้หลังจากที่ต้องรู้ว่าตัวเองจะถูกหักเงินเดือนเดือนละห้าพันบาท จากนี้ไปอีกเจ็ดเดือน


    เขาตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แบคฮยอนไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร ข้อกล่าวหาที่เขียนในกระดาษมันดูยัดเยียดเหลือเกิน เขาไม่อยากมีปัญหาแต่แบบนี้มันก็ไม่ไหวเหมือนกัน ลำพังแค่เงินเดือน 12000 บาทก็แทบจะไม่พอกินอยู่แล้ว แบคฮยอนคงต้องตายถ้าได้รับเงินเดือนเพียงแค่ 7000 บาท


    “ใช่... นี่คือดีที่สุดแล้วนะ ตอนแรกเค้าจะย้ายแกด้วย จะให้ออกพร้อมสภาวะหนี้ ดีที่แกยังมีคะแนนพิเศษกับฉัน” รองผู้จัดการหนุ่มได้แต่ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ โจควอนลุกขึ้นเดินยืนกอดอก แล้วเดินประจันอยู่หน้าพนักงานตัวจ้อยที่กำลังทำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้


    “หนูทำอะไรอะ หนูไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”


    “เค้าบอกว่าแกเช็คสินค้าผิด สั่งของมาเกินแต่พอบริษัทเรียกของคืนกลับได้สินค้าไม่ครบ แต่ฉันว่าจริงๆ แกก็น่าจะรู้อยู่ว่าเหตุผลมันคืออะไร”


    “............”


    “ไปยุ่งกับไอ้ลูกประธานนั่นใช่ไหม...”


    คำว่าลูกประธานทำแบคฮยอนถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมองผู้จัดการพร้อมกับส่งสายตาเป็นเชิงสื่อว่าอีกฝ่ายรู้ได้ยังไง ยิ่งเห็นพี่โจควอนถอนหายใจออกมาพร้อมกับทำสีหน้าลำบากใจเขาก็ยิ่งมั่นใจใหญ่ พอเห็นอย่างนั้นแล้วแบคฮยอนก็แทบจะทรุดเข่าลงนั่งกับพื้น


    ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้อีกแล้ว... มันเพราะเรื่องวุ่นวายจากสองแม่ลูกนี่อีกแล้ว


    “ทำไมต้องเป็นเพราะลูกประธานด้วย?”


    “หึ... ฉันทำงานที่นี่มาเป็นสิบปีฉันอยู่ที่นี่มานานกว่าแก ฉันเตือนแกแล้วว่าถ้าอยากทำงานดีๆ แบบปกติสุขก็อย่าไปยุ่งกับไอ้ลูกประธาน แล้วดูตอนนี้เป็นยังไง...” โจควอนว่าเสียงเข้ม ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น เขาเองก็เครียดไม่แพ้กันกับการต้องคอยดูแลพนักงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับปัญหาเรื่องเดิมๆ ที่ตัวเองไม่อยากเผชิญมากที่สุด


    “แล้วหนูต้องทำไง”


    “ฉันไม่รู้หรอกว่าแกไปยุ่งอะไรกับไอ้ลูกประธาน แต่ถ้าแค่ไปวอแวก็เลิกซะ จะได้ไม่มีปัญหา”


    “มันไม่ใช่อย่างงั้นอะพี่... หนูไม่รู้จะอธิบายยังไง” แบคฮยอนพยายามจะหาสรรหาคำพูดที่ดีที่สุดมาอธิบายเรื่องวุ่นวายนี้ แต่มันก็ดูจะยากเย็นเหลือเกิน เขาไม่รู้เลยว่าจะต้องเริ่มตรงไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะเล่าดีไหม


    “แกจะอธิบายอะไรมันไม่สำคัญหรอกตอนเนี้ย ฉันแค่อยากให้แกเลิกไปยุ่งกับมัน เดี๋ยวเรื่องมันก็จบไปเอง นี่ถือเป็นคำเตือนแล้วนะ เค้าเตือนมาแล้วนะ”


    “หนูรู้แหละ แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นอะ...”


    “เฮ้อ... เอางี้นะ กูไม่รู้หรอกว่ามึงไปมีความสัมพันธ์อะไรกับมันลึกซึ้งแค่ไหน แต่กูจะบอกให้นะอีแบ้ก มึงอย่าทำตัวเองเดือดร้อน กูไม่รู้ว่ามึงมีเหตุผลอะไร หรือมึงอาจจะแค่ชอบมันหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่มึงเชื่อกูเหอะว่ามันไม่คุ้มหรอกว่ะ...” โจควอนถอนลมหายใจออกมาอีกครั้ง เขาเว้นจังหวะพูดเพื่อสังเกตสีหน้าพนักงาน ก่อนที่จะพูดต่อ


    “กูเห็นอย่างงี้มาหลายคนแล้ว กูเอ็นดูมึงนะกูถึงได้บอกได้เตือน ไม่เชื่อมึงก็ลองถามคนอื่นดูว่ามันกี่คนแล้วที่เจอแบบนี้ โอเค มึงอาจจะชอบมัน มึงอาจจะคิดว่ามันชอบมึง มันทำให้มึงคิดหรือทำให้มึงรู้สึกว่ามึงคือคนพิเศษ กูพูดถูกไหม? มันทำให้มึงรู้สึกอย่างงั้นหรือเปล่า แล้วมึงก็เชื่อ”


    แบคฮยอนรู้สึกเหมือนถูกเอามีดแทงลงที่กลางใจเมื่อได้ยินคำพูดของรองผู้จัดการ ถึงแม้ว่าเขาจะแทบไม่ได้พูดอะไรแต่พี่โจควอนก็สามารถเล่าเรื่องได้เป็นฉากๆ ราวกับว่าละครเหล่านี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แบคฮยอนมึนงงและสับสนไปหมด เขาได้แต่ยืนฟังสิ่งที่รองผู้จัดการเล่าต่อไปเงียบๆ


    “กูไม่อยากว่าหรอกนะ แต่คำสั่งเนี้ยฝ่ายบุคคลทางนู้นเขาออกมาเอง นายอนมันออกหน้ามาขนาดนี้กูว่ามันก็คงใช่แค่มึงไปวอแวกับเค้าหรอก ถ้าเค้าแค่จะเขี่ยมึงให้พ้นเค้าไล่มึงออกก็จบ แต่นี่เค้าจะสั่งย้ายมึงไปทำงานที่อื่น มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น”


    “อือ”


    “มึงรู้จักมันหรอ มึงสนิทกับมันมากแค่ไหน กับไอ้ลูกประธานอะ”


    “ก็เคยนอนด้วยกัน”


     “เฮ้อ... กูจะบ้า”  รอผู้จัดการหนุ่มถึกับยกมือขึ้นนวดหว่าคิ้วเมื่อรู้ว่าพนักานในโอวาทของตนเคยนอนกับลูกประธานบริษัทที่เรียกได้ว่าเป็นตัวที่อันตรายที่สุด


    โจควอนได้แต่โทษตัวเองว่าทำไมเขาไม่เตือนแบคฮยอนตั้งแต่แรกว่าชานยอลเป็นเหมือนกับสิ่ขอต้อห้ามเด็ดขาดในบริษัท เขาเป็นคนที่สามารถหลงรัก ชื่นชอบ ชื่นชมได้อย่าเดียวแต่ไม่สามารถจับต้อได้ เป็นบางสิ่งที่ไม่ควรเข้าไปวุ่นวายด้วย


    “มึง กูไม่ตัดสินมึงนะ กูไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไง แต่มึงไม่ควรยุ่งกบคนนี้จริงๆ มึงมองความเป็นจริงอิแบ้ก มึงดูว่ามึงเป็นใคร แล้วเค้าเป็นใคร... มันช่วยเหลือมึงมั่งไหม มันเคยให้สิ่งของ ให้อะไรมึงมั่งไหม?”


    “อื้อ ก็มีบ้าง”


    ”อ่ะ มันอาจจะยิ้มให้มึง ให้นั่นให้นี่มึง ให้เงินใช้ให้ของมีค่า แต่กูถามหน่อยว่ามูลค่าของเที่เค้าให้มึงมาถ้าเทียบกับสมบัติที่เค้ามีมึงคิดว่ามันได้เท่าขี้ฝุ่นในกองเงินเค้าไหม”


    “อื้อ... หนูก็คิดแหละ”


    “มันคุยกับมึงหรอ มันชอบมึงไหม มันทำให้มึงคิดอย่างงั้นไหม แล้วมึงได้คบกับมันไหม”


    “เปล่า หนูไม่ได้คบกับมัน”


    “เห็นไหม... ก็ไม่... กูเข้าใจนะว่าเวลามีความรักอะไรมันก็หอมหวานแหละ แต่มึงมองดูความเป็นจริงอิแบ้ก มันทำให้คนคิดแบบมึงมากี่คนแล้ว... ผู้จัดการคนก่อนที่โดนออกก็เพราะแบบนี้”


     “ผู้จัดการคนก่อน? คนไหนอะ? พี่แฮจินเค้าไม่ได้ทำอยู่ที่นี่นานแล้วหรอ?” คนตัวเล็กนิ่วหน้าพร้อมกับเหลือบตาขึ้นมองรองผู้จัดการหนุ่มด้วยความแปลกใจ แบคฮยอนทำงานที่นี่มาเดือนเศษแล้ว เขาไม่เห็นรู้เลยว่ามีผู้จัดการคนก่อนหน้าอยู่ด้วย


    “ใช่ พี่แฮจินเค้าเพิ่งมาทำแค่สองปีเอง เค้าเป็นคนของสำนักงานใหญ่ แต่ผู้จัดการที่โดนออกไปเป็นผู้หญิง ก็เจอแบบมึงนี่แหละ”


    “ทำไมอะ เค้าทำอะไร ทำไมเค้าโดนออก”


    “ก็อย่างงี้แหละ ไปยุ่งกับอะไรที่ไม่ควรยุ่ง มึงก็รู้ว่าแม่เค้าใช้ลูกทำงาน มึงก็เห็นอยู่ เค้าเอาลูกมาหลอกใช้พนักงานกูกี่คนแล้ว พอหมดประโยชน์ก็เฉดหัวทิ้ง มันก็ทำแบบนี้แหละ เอาลูกชายมาให้ความหวัง ผู้จัดการคนเก่ากูก็เจอแบบนี้ นังคิดเป็นตุเป็นตะเลยว่าจะได้เป็นสะใภ้ประธาน ทุ่มทำงานจนตัวตาย แล้วของนางนี่อิประธานปูพรมให้เลยนะ แบบเวลามาซื้อของก็ให้ผู้จัดการคนเนี้ยคอยดูแลตลอด ถึงขั้นแบบใช้ลูกมาส่งเอกสาร พอผู้จัดการโทรไปตาม แทนที่ตัวเองจะตามให้ก็ไม่ ให้เบอร์ลูกชายมาโทรเองเลยจ้า” โจควอนว่าด้วยสีหน้าออกรส มุมปากแสยะคว่ำลงเมื่อนึกถึงใบหน้าของประธานกับลูกชายจอมร้ายกาจของเธอที่สร้างวีรกรรมเลวร้ายเอาไว้ทั่วทุกที่


    “ขนาดนั้นเลยอ่อ”


    “เออ ยิ่งกว่าอีนายอนอีก แล้วปีนั้นยอดขายพุ่งทะลุเพดาน แต่แล้วสุดท้ายนางก็โดนเขี่ย เพราะนางดันไปเยอะกับลูกชายเค้า เริ่มหวังสูง ทำอะไรเกินตัว ไปวอแวมาก เลยโดนออกเลย หมดอนาคต... มึงคิดว่ามันคือสิ่งที่คนดีๆ เค้าทำกันหรอวะ...”


    คำพูดของพี่โจควอนทำให้แบคฮยอนนึกถึงหลายสิ่งหลายอย่าง เขาไม่ปฏิเสธว่าสิ่งที่รองผู้จัดการรู้เกี่ยวกับการใช้ลูกตัวเองหาผลประโยชน์ของประธานนั้นไม่เป็นความจริง แต่ในใจลึกๆ เขาก็ยังแย้งว่าชานยอลเองก็ไม่ได้อยากทำหรอก ถึงจะพูดไม่ได้เต็มปากว่าไม่ได้ตั้งใจ แต่เขาก็คงไม่น่าจะเป็นคนเลวขนาดนั้น


    “กูเห็นภาพทับซ้อนกับมึงเลยอะ... แต่มันต่างกันตรงที่มึงไม่ใช่คนที่เค้าต้องการไงอีแบ้ก ถ้ามึงเป็นผู้จัดการ เรียนจบสูงๆ โปรไฟล์ดีๆ กว่านี้สักหน่อยเค้าอาจจะเลี้ยงมึงไว้ใช้งานสักพัก แต่มึงไม่ใช่ไง...”


    “อื้อ หนูเข้าใจแหละ ก็รู้อยู่”


    “ถามจริงๆ มึงไปยุ่งอะไรกับมันวะ กูไม่เคยเห็นใครโดนขนาดนี้เลยนะ ถ้าเค้าแค่จะเอามึงออกอะมันง่ายมากเลยนะ แต่การที่เค้าจะย้ายมึงอะ มันเห็นชัดเลยว่าเค้าอยากให้มึงไปอยู่ไกลๆ จากลูกเค้าอะ มึงไปทำอะไรไว้วะ”


    “ก็เปล่าหรอก เท่าที่บอกแหละเจ๊ เคยนอนด้วยกัน แล้วก็รู้จักกัน”


    “มึงคบกับมันอยู่อ่อ”


    “เปล่า...”


    “งั้นมึงก็ได้คำตอบแล้ว มึงก็น่าจะรู้แล้วว่าตอนนี้มึงอยู่ในสถานะอะไร ต่อให้มันทำให้มึงรักมันมากแค่ไหน ทำให้มึงคิดว่ามึงเป็นคนพิเศษมากแค่ไหนสุดท้ายมันก็ไม่คบกับมึงอยู่ดี มึงมองดูเค้าดีๆ อีแบ้ก แม่เค้าเป็นผู้บริหารที่มีอำนาจเด็ดขาดในบริษัทใหญ่ พ่อเค้าเป็นเจ้าของกิจการกี่หมื่นล้าน แล้วมึงเป็นใคร มึงคิดว่าเค้าจะคบกับมึงจริงๆ หรอ... ต่อให้มึงคิดอย่างงั้น แต่มึงคิดว่ามันจะไปรอดจริงๆ หรอ มึงแน่ใจหรอว่าเค้าไม่ได้ทำแบบนี้กับคนอื่นเหมือนกัน...”


    “.........”


    “มึงเห็นนายอนไหม มันอยู่มานานจนรู้ไส้รู้พุงประธานหมดแล้ว โอกาสที่มันจะเข้าหาลูกเจ้านายมีเยอะแยะ ทำไมมันไม่ทำ เพราะมันรู้ไงว่าไม่ควรทำ มันถึงอยู่ได้ มันไม่ทำอะไรเกินหน้า อินี่มันฉลาด นี่ขนาดคนสนิทประธานนะ แล้วมึงอะอีแบ้ก... มึงลองคิดดู”


    “.........”


    “มันอาจจะให้อะไรมึง ซื้อของให้มึงหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ทรัพย์สินพวกนั้นอะมันได้ถึงเสี้ยวเท่าที่เค้ามีหรือยัง มึงจะไปผูกใจรักภักดีกับเขา แล้วตอนนี้มึงเดือดร้อน ใครช่วยมึงได้ บางทีตอนนี้เค้าอาจจะไปเที่ยวอยู่กับคู่หมั้นเค้าก็ได้... มึงลองมองกว้างๆ มองความเป็นจริง”


    “........” คำพูดของรุ่นพี่พนักงานทำแบคฮยอนจุกจนพูดไม่ออก ทุกคำที่พี่โจควอนพูดมาทั้งหมดนั้นเป็นความจริงทั้งสิ้น เขาเหมือนกำลังมองเห็นความกังวลใจทั้งหมดที่ตกค้างอยู่ในใจ เรื่องมากมายที่แบคฮยอนพยายามมองข้ามและทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเพียงเพราะแค่มันทำให้เขาสบายใจ


    ตอนที่ได้ฟังแบบนี้ก็เหมือนกำลังยืนมองกระจกที่สะท้อนเงาตัวเอง... แบคฮยอนสำคัญจริงไหม ใช่ ชานยอลอาจจะรู้สึกชอบจริงๆ เขาอาจจะสนุกและมีความสุขตอนที่ได้อยู่ด้วยกัน แต่คำว่า ชอบของพวกเรามันเท่ากันไหม แค่ชอบเฉยๆ ชอบเพราะมีอยู่แล้วสบายใจ หรือชอบแบบที่คิดว่าจะยอมให้ได้ทุกอย่างเหมือนกับแบคฮยอน


    “อย่าหลอกตัวเอง อย่าให้ความหวังตัวเองจนเดือดร้อน กูเป็นห่วงมึงนะ ไม่งั้นกูคงไม่เอาหน้ากูไปเป็นประกันให้หรอก มึงอาจจะคิดว่ามึงจะออกก็ได้ มึงออกแล้วจะได้นัวกับไอ้ชานยอลเต็มที่ ไม่มีใครมาขวาง แต่หลังจากนี้ล่ะ มึงจะไปทำงานที่ไหน มึงมีหนี้กับบริษัทเก่า แล้วไปสมัครงานที่ไหน เค้าโทรถามฝ่ายบุคคลที่ทำงานเก่า ถ้าเค้าบอกว่ามึงยักยอกทรัพย์สินบริษัท ขโมยของ มึงทำงานแย่ ใครที่ไหนจะรับมึงเข้าทำงาน มึงคิดดีๆ”


    “อื้อ หนูเข้าใจ”


    “กูเอ็นดูมึงนะ มึงเป็นคนขยันแล้วก็ซื่อสัตย์ด้วย มึงไม่ควรมาเจออะไรแบบนี้ อย่าหาว่ากูงั้นงี้เลย อีชานยอลกูก็ไม่ชอบมันมาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว ถึงจะอ้างว่าเป็นหน้าที่ เป็นเพราะแม่มันสั่งให้ทำก็เหอะ แต่ถ้าไม่เต็มใจทำมึงทำได้อ่อวะ หลอกคนๆ นึงให้ตกหลุมรัก หลอกใช้งาน แล้วหลังจากนั้นจะปล่อยให้เค้าโดนเขี่ยทิ้งเขี่ยขว้างยังไงก็ได้อะ”


    “หนูก็รู้แหละ หนูเองก็กำลังโดนเขี่ยอยู่นี่ไง”


    “ผัวอะหาไม่ยากหรอก ผู้ชายกรุงโซลหล่อกว่านี้ดีกว่านี้ก็มี กูไม่ได้อยากดับฝันมึงนะ แต่มึงลองตัดความรู้สึกทิ้งแล้วลองมองดูดีๆ มึงจะได้ไม่ต้องลำบาก”


    ท่ามกลางความสับสน แบคฮยอนได้ยืนนิ่หลุบตาลมอพื้น เขามองเห็นรอเท้าคู่ละ 399 ของตัวเองกับกางเกงแสล็กราคาถูกและเอกสารหักเงินเดือน


    ความรู้สึกมันคล้ายกับการถูกดึงออกมาจากความลุ่มหลง แบคฮยอนกำลังนึกว่าชานยอลมีอะไรบ้างและเขามีอะไรบ้าง ก็รู้หรอกว่าถึงจะชอบกันยังไงสุดท้ายมันก็คบกันไม่ได้อยู่ดี บางทีแบคฮยอนก็แค่อยากจะรักชานยอล และเขาก็คงจะยังทำแบบนั้นต่อไปได้ ถึงจะไม่ได้คุยกันแล้วก็ตาม


    แต่ว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ ไม่ว่ายังไงก็ดูเหมือนจะหลบเลี่ยงความแตกต่างของสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ห่างกันมากเกินไปไม่ได้เลย แม้แต่ตัวชานยอลเองก็ยังทำแบบนั้นกับผู้หญิงหลายคน ทั้งกับโคลอี้ นายอน หรือแม้แต่กับผู้จัดการหญิงคนนั้น


    แบคฮยอนแค่คิดว่าทำไมเขาถึงได้คิดว่าตัวเองเป็นคนพิเศษกัน เวลาที่ชานยอลส่งข้อความมาหาเขาโทรคุยกับใครอยู่หรือเปล่า ที่บอกว่าไปทำงานไม่ได้ไปทำอะไรแบบนี้หรอกหรอ ทั้งๆ ที่มีคนที่พิเศษกว่ามากมายอยู่รอบตัว แถมยังมีความลับอีกมากมายที่รอให้ค้นเจอ


    ยังไงเรื่องที่จะต้องเสียใจในอนาคตก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นช้าหรือเร็ว ไม่ว่าจะดันทุรังต่อไปได้มากแค่ไหน


    แบคฮยอนคงไม่คิดถึงผลกำไรเพราะเขาเสียเปรียบไปตั้งแต่ที่เริ่มหลงรักชานยอลแล้ว...


    “เฮ้อ... ทำไมอะไรๆ ก็หนูวะ ตั้งแต่เข้าทำงานมานี่ก็ซวยไม่หยุดเลยนะ” ได้แต่คิดแล้วก็ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แบคฮยอนจะสามารถทำอะไรได้บ้างนะกับปัญหาที่จะตามมาแบบไม่จบไม่สิ้น เขาจะทำอะไรได้บ้างนอกจากยอมให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นไปอย่างไม่รู้จุดจบ...



    .


    .


    .


     


    Cyxxxxx : อยู่ไหน


    Bhxx0506 : ที่ทำงาน กำลังกลับบ้าน


    Cyxxxxx : มาหน้าสถานี


    Bhxx0506 : อยู่ไหนอะ


    Cyxxxxx : รอหน้าสถานี


    Bhxx0506 : กำลังเดินไปๆ


     

    ข้อความสุดท้ายถูกส่งไป แบคฮยอนกำสายสะพายเป้ไว้แน่น เขาสาวเท้าเดินฉับๆ ตรงไปยังบริเวณหน้าสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินทันที ภาพของเด็กหนุ่มตัวสูงหน้าตาดีที่กำลังยืนพิงประตูรถอยู่ดึงสายตาใครต่อใครให้เหลียวมองอย่างช่วยไม่ได้ แม้แต่ในที่ที่มีผู้คนขวักไขว่ชานยอลก็ยังดูเด่นอยู่เสมอ


    “ชานยอล” สาวเท้าเดินเข้าไปใกล้พร้อมกับเอ่ยเรียกชื่อคนที่เป็นเหมือนความฝันออกมา วันนี้แบคฮยอนไม่ค่อยร่าเริงนักและมันก็ยากที่จะฝืนยิ้ม เขาก็เลยได้แต่ส่งยิ้มน้อยๆ ไปให้กับเด็กหนุ่มที่กำลังมองมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนอย่างทุกที


    “ทำไมเมื่อกี้โทรไปไม่รับอะ”


    “ก็กำลังจะออกมาแล้วไง เลยไม่ได้รับ”


    “อา กินข้าวมายัง” ชานยอลเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า เขาเปิดประตูทางฝั่งที่นั่งคนขับแล้วย้ายก้นขึ้นไปนั่งบนเบาะก่อนที่จะกดปลดล็อคประตูรถอีกฝั่ง ทันทีเสียงปิดประตูดัง รถยนต์คันสีดำก็ถูกติดเครื่อง ชานยอลหักรถเลี้ยวออกสู่ถนนใหญ่ทันที ตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาทุ่มครึ่งแล้ว ถ้าไปหาข้าวกินตอนนี้ก็คงยังทัน


    “ยังเลย แต่ไปกินแถวบ้านก็ได้”


    “ก็แวะไปกินข้าวก่อนก็ได้”


    ”หิวปะล่ะ ถ้าหิวก็ไป” แบคฮยอนไม่กล้าพูดอะไรมาก เขากำลังพยายามทำตัวให้ชินกับสถานการณ์ที่ค่อนข้างน่าอึดอัด ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ ก็รู้สึกแปลกไป ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจที่เห็นชานยอลอยู่ตรงนี้ ที่จริงแบคฮยอนอยากจะพาคนพิเศษของเขาไปเดินเล่นตลาดตอนกลางคืนให้ทั่ว ต่อด้วยการหาอะไรอร่อยๆ กิน แต่วันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน


    เป้าหมายที่จะทำให้คืนนี้เป็นคืนที่มีแต่ความสุขก็ลดลงเหลือแค่ไม่ให้รู้สึกอึดอัดต่อกันก็พอ


    “เป็นไร ทำไมทำหน้าไม่ร่าเริงเลย” ชานยอลว่าในขณะที่หักพวงมาลัยรถเลี้ยวไปอีกทาง เขายื่นมือไปบีบแก้มคนด้านข้างเบาๆ จนริมฝีปากบางยู่ขึ้นก่อนที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมา


    “อือ มีปัญหาที่ทำงานอะ”


    “เรื่องอะไร”


    “ก็โดนหาว่าเช็คสินค้าผิดแล้วทำของหาย อะไรก็ไม่รู้”


    ถึงจะคิดเอาไว้ว่าไม่อยากบอกแต่ความซื่อตรงก็ทำให้แบคฮยอนเผลอหลุดปากพูดออกมา ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ใจนึงจะแอบคิดว่าไม่อยากบอกชานยอลหรอก ไม่อยากทำให้เขาคิดว่าต้องการเงิน ต้องการความช่วยเหลือ แต่อีกด้านนึงของจิตใจเขาก็บอกว่าแบคฮยอนควรจะบอกเรื่องนี้ เขาควรจะต้องไว้ใจชานยอล อย่างน้อยถ้าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นบ่อยจริงเขาก็น่าจะรู้ตัวว่าตัวเองเป็นต้นเหตุ


    “ทำไมอะ”


    “ไม่รู้อะ อยู่ๆ ก็บอกว่าเราจดสินค้าผิด จดของขาด พอของมาส่งแล้วมันเกินสต๊อคพอบริษัทเรียกคืนของก็ไม่มีคืน แบบของหายอะ เค้าบอกให้เรารับผิดชอบ”


    “อะไรหาย”


    “พรมหาย พรมบ้าไม่รู้เป็นหมื่นๆ เลย” พูดไปริมฝีปากก็งอง้ำ แบคฮยอนสาบานได้ว่าตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยพบเห็นพรมที่ราคาแพงมากขนาดนี้มาก่อนเลย


    “แล้วเค้าให้รับผิดชอบยังไง”


    “ก็หักเงินเดือนจนกว่าจะครบ หักไปถึงสิ้นปีนู่น ตอนแรกเค้าจะให้เราย้ายด้วยนะ แต่พี่โจควอนเค้าช่วยก็เลยได้อยู่ที่นี่ต่อ”


    คำพูดของแบคฮยอนทำชานยอลถึงกับชะงัก เขาเหลือบตาไปมองคนตัวเล็กที่หันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างครู่หนึ่งก่อนที่จะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เหตุการณ์ที่เหมือนกับเดจาวูทำชานยอลอดเป็นกังวลไม่ได้ ดูเหมือนว่าตอนนี้แม่จะเริ่มทำสิ่งที่ถนัดแล้ว และถึงมันจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับชานยอลแต่มันก็ทำให้เขาอดเป็นห่วงแบคฮยอนไม่ได้อยู่ดี


    “หักเดือนเท่าไหร่”


    “เดือนละตั้งห้าพัน ทำโอทีก็ไม่ได้ เจ็ดพันนี่จ่ายค่าห้องก็หมดและ มันจะเอาที่ไหนไปพอวะ นี่ว่าจะไปหางานพิเศษเพิ่ม เผื่อจะพออยู่ได้”


    “ไม่ต้องไปทำหรอก” ชานยอลว่า เขายังคงท่าทีสบายๆ ทำอย่างกับเงินห้าพันนั้นมันไม่ได้สำคัญเท่าไหร่


    “ไม่ทำแล้วเอาเงินที่ไหนกินอะ”


    “เค้าไม่หักหรอก เดี๋ยวก็ได้”


    ถึงชานยอลจะพูดออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่คำพูดและน้ำเสียงที่ฟังดูมั่นใจก็ทำให้แบคฮยอนอดรู้สึกแปลกไม่ได้ ชานยอลพูดอย่างกับว่าเขามีอำนาจที่จะไม่มีใครกล้าลองดีด้วยซึ่งมันก็ใช่ แต่แน่นอนว่าไม่สำหรับแบคฮยอน เขาเป็นแค่พนักงานต๊อกต๊อกที่นอกจากจะไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว ก็ยังไม่สามารถเปิดเผยสถานะให้ใครรู้ได้ด้วย


    ซึ่งอันที่แบคฮยอนแค่อยากได้ความยุติธรรม เขาแค่อยากให้ใครก็ได้สักคนช่วยตรวจสอบเรื่องนี้ ไม่ใช่ให้ชานยอลเดินไปเที่ยวทำสีหน้าไม่พอใจใส่ใครแล้วพูดว่า ห้ามหักเงินแบคฮยอน


    “ทำไมเค้าจะไม่หักอะ ก็เราเซ็นไปต์แล้วอะ”


    “กล้าหักหรอ” คนตัวสูงว่าแล้วก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาราวกับกำลังพูดเรื่องตลกขบขัน ชานยอลไม่ได้แสร้งทำทีวางอำนาจแต่แบคฮยอนจะไม่ลำบากหรอกถ้าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด


    “ขึ้นเงินเดือนให้มั่งดิ ไหนๆ ก็เป็นลูกประธานแล้วอะ เอาซักแปดหมื่น”


    “ทำได้ที่ไหนล่ะ”


    “โถ่วเอ้ย รู้งี้ไม่น่าปลอกอะไรให้กินเลย”


    เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของแบคฮยอนทำให้บรรยากาศบนรถเริ่มคลี่คลายลง ถึงแม้ว่าจะมีความกังวลใจมากมายค้างคาอยู่ในใจแต่แบคฮยอนก็คิดว่ามันคงไม่มีประโยชน์ที่จะเอาไปกล่าวโทษใคร เพราะสุดท้ายคนที่ต้องรับกรรมก็เป็นเขาอยู่ดี ประธานคงไม่ไปหักเงินลูกชายหรือไล่ชานยอลออกจากบริษัท เพราะอย่างงั้น ในเมื่อสุดท้ายแล้วก็ต้องทนรับผิดชอบไป การจะมานั่งคิดอะไรซ้ำๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก


    “เนี่ย พี่ที่ทำงานเราบอกว่าให้เลิกยุ่งกับชานยอลด้วยนะ จะได้ไม่เดือดร้อน ไม่รู้นะว่าเพราะเหตุผลนี้หรือเปล่าเราถึงโดนหักเงิน” คนตัวเล็กว่าในขณะที่ใช้สายตามองออกไปที่นอกหน้าต่าง แบคฮยอนไม่ได้จะกวนน้ำให้ขุ่น อย่างน้อยชานยอลก็น่าจะรู้ตัวเองดีอยู่ว่าตัวเขามีอิทธิพลในที่ทำงานมากแค่ไหน


    “คนไหน”


    “ทำไมอะ”


    “เดี๋ยวไปไล่ออก”


    “เวอร์” แบคฮยอนเอื้อมมือไปผลักหัวเด็กหนุ่มจอมอวดดีของเขาพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมา ก่อนที่จะถูกมือหนาตามมาคว้าจับท่อนแขนเอาไว้


    ชานยอลฉุดฝ่ามือขาวบางมากอบกุมไว้บนหน้าตัก ในขณะที่อีกมือก็ยังจับพวงมาลัย ใบหน้าของเขายังคงเรียบนิ่งไม่ได้แสดงถึงความรู้สึกใดๆ ถึงแม้ในใจจะรู้สึกวุ่นวายแค่ไหน ชานยอลไม่ชอบคุยเรื่องนี้เลย เขาไม่ชอบคุยเรื่องที่ทำงาน


    “แต่เอาจริงๆ เราก็แอบคิดนะว่าเราไม่รู้จักชานยอลก็คงดีกว่า ให้รักหัวโขมยยังง่ายกว่ารักลูกเจ้านายเลย”


    “..........”


    “ถ้าชานยอลไม่ขโมยโทรศัพท์เราไปเราคงได้ไปทำงานที่อื่น ก็คงไม่รู้ว่าเป็นใคร ถ้าเป็นงั้นก็คงดี เราจะได้ไม่ต้องรู้สึกแบบนี้”


    “รู้สึกยังไง”


    “รู้สึกแบบ เราไม่กล้าทำอะไรสักอย่าง ไม่รู้ดิ สังคมเป็นอยู่ก็ไม่เหมือนกัน เราไม่กล้าเดินเข้าไปในจุดที่ชานยอลยืนอยู่อะ บางทีเราก็คิดนะว่าชานยอลดูมีความลับเยอะ มีเรื่องที่ไม่อยากบอก ไม่อยากให้รู้ แต่ตอนนี้เราเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเพราะเราไม่อยากรู้เองหรือเปล่า” ริมฝีปากบางขยับพูดออกไปตามสิ่งที่ใจคิดโดยที่ไม่มีนัยยะอะไรแอบแฝง แบคฮยอนเหลือบตาไปมองเด็กหนุ่มข้างตัวเขาเพียงครู่เดียวก็ละสายตาออกไปมองถนนต่อ


    “ก็แค่คิดว่าถ้าเราไม่รู้ว่าชานยอลเป็นใคร เราจะรู้สึกแบบนี้ไหม...”


    “งั้นถ้ารู้แบบนี้แล้วยังจะอยากคบกันอยู่ไหม”


    รถยนต์คันสีดำหักเลี้ยวเข้าจอดกระทันหันที่ข้างทาง ชานยอลหันไปสบตากับคนด้านข้างด้วยความรู้สึกหลากหลาย นัยน์ตาเขาสะท้อนความรู้สึกที่ถูกกดเอาไว้ใต้ก้นบึ้งของหัวใจ คำพูดที่ไม่อยากฟังและไม่อยากได้ยินมากที่สุดทำชานยอลรู้สึกแย่ ตอนนี้แบคฮยอนกำลังพูดมันออกมา เขารู้สึกเหมือนกับว่าทุกอย่างกำลังสั่นคลอน และนั่นคือสิ่งที่ชานยอลไม่อยากเผชิญมากที่สุด


    “อื้อ ยังไงก็ชอบแหละ ก็ชอบไปแล้ว เผลอๆ รักไปแล้วมั้ง” คนตัวเล็กแกล้งพูดออกมาเป็นทีเล่นทีหยอกเพื่อไม่ให้คนฟังรู้สึกจริงจังมากเกินไป แบคฮยอนไม่ได้ตั้งใจทำให้ชานยอลรู้สึกแย่ และตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่านี่คือสิ่งต้องห้ามอย่างที่สอง บางสิ่งที่ชานยอลไม่อยากพูดถึงมากที่สุด


    สีหน้าและแววตาของเขาแสดงออกอย่างชัดเจน มันไม่ใช่ความรู้สึกโกรธ โมโห เศร้า หรือเสียใจ แบคฮยอนแค่รู้สึกว่าเขาสามารถเข้าใจทุกอย่างได้เพียงแค่มองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้น


    บางทีเขาก็รู้สึกว่าชานยอลวิ่งหนีตัวเองเหมือนกัน... ไม่ใช่แค่แบคฮยอนที่ไม่อยากเผชิญกับมัน...


    “ถ้างั้นอย่าพูดอีกนะ”


    “ก็ไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้นหรอก” แบคฮยอนเงียบเสียงลง เขาหลุบตาลงเพื่อคิดบางสิ่งบางอย่างก่อนที่จะพูดออกมา “จริงๆ เราเคยคิดอยากถามชานยอลนะว่าคิดไหมว่าถ้าชอบกันแล้วคบกันไม่ได้จริงๆ จะทำยังไง แต่พอมานึกดู เรายังไม่แน่ใจเลยอะว่าชานยอลชอบเราขนาดนั้นไหม เราก็เลยไม่รู้จะถามเอาอะไร”


    “...........”


    “คือรู้นะว่าชอบ แล้วเราก็ดีใจด้วย เอาจริงๆ เราเข้าใจนะ อย่างเราก็ไม่มีอะไรให้เสียมากใช่ปะ เราก็ให้เท่าที่เรามี แต่ชานยอลก็มีหลายอย่างที่ต้องใส่ใจ เราก็เข้าใจนะจริงๆ แต่บางทีเราแค่แบบ... ไม่รู้ดิ ขอบเขตของความสัมพันธ์มันอยู่ตรงไหนอะ ชอบคือชอบแค่ไหน ชอบแล้วจะมีสิทธิ์อะไร เราไม่ได้อยากมีแฟนที่ดีที่สุดเลยนะ แฟนเก่าเราก็หน้าเหี้ยๆ นิสัยเหี้ยๆ เราก็รักมันหมดใจเหมือนกัน เราไม่ได้ว่าเราเดือดร้อนแล้วโทษชานยอลนะ แต่ก็อยากรู้จริงๆ ว่าชานยอลชอบเราขนาดไหนอะ ชอบเท่าที่เราชอบชานยอลไหม”


    “อือ”


    “เราก็ไม่ได้คาดคั้นอะไรนะ ก็อยากรู้เฉยๆ แหละ ยังไงก็ชอบปะ ละถึงยังไงเราก็ชอบชานยอลอยู่ดี ถ้าเราไปเยอะด้วยมากๆ ชานยอลอาจจะไม่ชอบเราก็ได้”


    “ถ้าถามแบบนั้นแล้วจะรู้ได้ไงว่าชอบมากแค่ไหน” ชานยอลเผลอบีบกระชับฝ่ามือบางด้วยความลืมตัว เขากำลังพยายามอย่างมากที่จะข่มความรู้สึกหวั่นไหวเอาไว้ ถึงแม้ใบหน้าจะเรียบเฉยไร้การแสดงออกถึงอารมณ์ใดๆ


    ชานยอลกำลังหวั่นไหว... จิตใจเขาสั่นคลอน นี่เป็นครั้งแรกที่ชานยอลรู้สึกว่าเขาไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้อีกต่อไป


    “ไม่รู้ดิ ก็วัดจากความรู้สึกมั้ง อย่างเราถ้าชอบมากก็คงคิดถึงบ่อยๆ แบบอยากอยู่ด้วย อยากทำอะไรด้วยกันหลายอย่าง ถ้ารักก็คงเสียใจเวลาเค้าไปคุยกับคนอื่นอะไรเงี้ย โดนหักเงินเดือนไปครึ่งนึงก็ไม่กลัวเงี้ยมั้ง” พูดแล้วก็หัวเราะออกมาก่อนที่จะเอื้อมมือไปเสยผมม้าให้กับเด็กหนุ่มที่นั่งหน้ายุ่งอยู่ตรงหน้า แบคฮยอนนึกอยากตบปากตัวเองแรงๆ ที่เผลอพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไป เขาอาจจะทำให้ชานยอลรำคาญและอึดอัดใจจนไม่อยากคุยกันอีกแล้วก็ได้ “จริงๆ ไม่ต้องชอบมากก็ได้ ชอบเฉยๆ ก็ดีใจและ ยังไงชีวิตนี้ก็คงไม่ได้จะมีคนแบบนี้มาชอบบ่อยๆ”


    “อือ...” ชานยอลไม่ได้พูดอะไร เขาแค่พ่นลมหายใจออกมาก่อนที่จะเอนหลังพิงลงกับพนักเบาะ ความรู้สึกมากมายพากันพุ่งโถมใส่จิตใจจนไม่รู้แล้วว่าควรต้องรู้สึกอะไรก่อน


    “เวลาไม่ได้คุยกันคิดถึงเรามั่งไหม”


    “ต้องถามด้วยหรอ?”


    “คิดถึงมากเท่าที่เราคิดถึงชานยอลไหมอะ”


    “แล้วคิดถึงผมมากแค่ไหนอะ”


    “ก็เท่าที่คิดถึงตอนนี้แหละ”


    “แล้วมันมากแค่ไหน?”


    “จะให้เทียบกับอะไรอะ จะวัดกับอะไร”


    “แล้วรู้ได้ไงว่าคิดถึงมากกว่า?”


    “ก็....”


    “ไม่พูดแบบนี้ได้ไหม ไม่คุยเรื่องนี้แล้วได้ไหม ไม่เอาเรื่องนี้” เด็กหนุ่มตัวสูงว่าอย่างเอาแต่ใจ ชานยอลไม่ชอบที่จะได้ยินแบบนี้เลย เขาไม่ชอบเวลาที่แบคฮยอนทำเหมือนจะหันหลังเดินจากไปเพียงเพราะแค่ตัวตนของเขามันสร้างปัญหาและความอึดอัดใจ


    ชานยอลหนีตัวเองมาเหนื่อยมากพอแล้ว ที่ตรงนี้เขาสามารถมีความสุข และจะเป็นใครหรือทำอะไรก็ได้เท่าที่อยากทำ มันเเป็นพื้นที่พิเศษที่มีแค่แบคฮยอนที่สามารถเข้ามาได้ ชานยอลแค่ไม่อยากให้ความสุขเดียวที่มีอยู่ตอนนี้หายไปอีก ถ้าแบคฮยอนจะหายไปเพราะอีกตัวตนของชานยอลสร้างความลำบากใจเขาคงยอมรับไม่ได้


    “ขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจ”


    “งั้นก็ไม่ต้องพูดแล้วนะ อยู่ตรงนี้ผมเป็นชานยอลที่พี่มองเห็น...”


    ไม่มีคำพูดใดหลุดลอดริมฝีปากเรียวเล็ก แบคฮยอนได้แต่เม้มปากแน่นตอนที่ถูกเด็กหนุ่มตรงหน้ายกมือขึ้นถูกับแก้มก่อนที่เขาจะเอียงหน้ามาประทับจูบอุ่นๆ ลงที่ข้อมือ หัวใจดวงน้อยเต็นโครมครามไม่เป็นจังหวะ แบคฮยอนถึงกับทำตัวไม่ถูก ท่าไม่ตายของชานยอลทำเขาแทบเป็นลม ถึงจะรู้ว่าชานยอลแค่อ้อนเพราะอยากได้สิ่งที่ต้องการแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอนุภาพมันรุนแรงเหลือเกิน


    “อุตส่าห์คิดถึงมาตั้งหลายวัน ไม่อยากคุยเรื่องเครียดแล้ว” ชานยอลว่า สีหน้าของเขาดูผ่อนคลายลงเล็กน้อยหลังจากที่หลุดพ้นจากประเด็นสนทนาตีน้ำขุ่นไปได้ เด็กหนุ่มตัวสูงติดเครื่องยนต์พร้อมกับตบไฟขอทางเพื่อเตรียมขับรถมุ่งสู่จุดหมายต่อ


    “งั้นไปกินข้าวกัน”


    “ไม่เอา ไม่อยากกินข้าวแล้ว”


    “อ้าว แล้วไม่หิวแล้วอ่อ”


    “ไม่อยากกิน ไปห้องกัน” พอแล้วเจ้าของรถคันสีดำก็ตบเกียร์รถ เหยียบคันเร่งเคลื่อนยานพาหนะกลับสู่ท้องถนนทันที ตอนนี้ชานยอลไม่มีอารมณ์อยากไปกินข้าวแล้ว เขาอยากทำอะไรที่ได้ใกล้ชิดกับแบคฮยอนมากกว่า


    “เอ้า ทำไมรีบจัง”


    “ก็อยากรู้ไม่ใช่หรอครับว่าคิดถึงแค่ไหน” แกล้งทำเป็รพูดสำเนียงลิ้นเปลี้ยะแบบเด็กอินเตอร์ใส่ก่อนที่จะแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วส่งเสียงหัวเราะออกมา มันเป็นความผิดของแบคฮยอนนั่นแหละที่ทำให้ความอยากอาหารของชานยอลหายไป แล้วตอนนี้เขาก็อยากทำอย่างอื่นแล้ว


    “ไม่อยากรู้ละได้ปะ”


    “ไม่อยากรู้จริงอ๊ะ?”


    “ทำไมเป็นคนแบบนี้วะ! ทำไมต้องขี้แกล้งขี้หยอก” กำปั้นเล็กๆ ชกเข้าไปที่ต้นแขนของเด็กหนุ่มข้างๆ เต็มแรง แบคฮยอนถึงกับต้องเบือนหน้าหนีออกไปทางนอกหน้าต่างเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อวานก่อน


    ตอนนี้แบคฮยอนชักอยากจะหนีไปจากชานยอลจริงๆ แล้ว เขาไม่น่าไปหลงรักเด็กแบบนี้เลย... ไอ้คนที่เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวแบบนี้แบคฮยอนไม่อยากจะรักเลย







    #ฟิคกวาง










     พบกันที่พาร์ทต่อไปภายใน  5 4 3 2 ....









    ปล. จริงๆ มันจะมาคู่กันสองตอนน่ะค่ะ แต่ยาวเกิ๊นก็เลยตัดออกก่อน ไว้เจอกันพาร์ทหน้าภายใน 5 4 3 2...
    ปปล. ขอบคุณที่อ่านและเอ็นจอยรีดดิ้งเหมือนเดิมค่ะ :D ???????? 



    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×