ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ฟิคเสื่อม] กวาง The series - Chanbaek

    ลำดับตอนที่ #25 : Chapter : 23 Going down

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 27.35K
      436
      22 พ.ค. 62





    เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับเข็มนาฬิกาที่ชำรุด ชานยอลนอนไม่หลับทั้งคืน เขาพยายามจะโทรหาแบคฮยอนแต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับเลยสักสายจนตอนนี้ก็กินเวลาหลายชั่วโมง

     

    ความอ้างว้างบีบชานยอลให้ตัวเล็กลงเรื่อยๆ อย่างต้องจำยอม เขาเหมือนถูกจับขังไว้ในกล่องสี่เหลี่ยมมืดแปดด้าน เมื่อเริ่มทำใจยอมรับสถานการณ์ได้บ้างแล้วชานยอลก็เริ่มมีสำนึกที่จะพิจารณาความผิดของตัวเองอีกครั้ง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขาเข้าใจสถานการณ์มากขึ้นหรือฟุ้งซ่านน้อยลง

     

    ชานยอลถามตัวเองว่ารักแบคฮยอนไหม และเขาตอบได้อย่างมั่นใจว่ารัก มากหรือน้อยไม่รู้แต่ก็มากสุดตั้งแต่ที่เคยคบใครมา มันเป็นความรู้สึกใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจ อยากอยู่ด้วยกันทุกวัน อยากเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน อยากจะคบกันไปนานๆ ไม่ใช่แค่คบไปอย่างงั้น พอหมดความสนใจก็เลิกไป

     

    เป็นแฟนคนแรกที่ชานยอลรักและจริงจังมากที่สุด...

     

    พอคิดได้อย่างนั้นแล้วชานยอลก็สงสัยว่าความผิดพลาดของเขามันเกิดขึ้นจากตรงไหน หรือเพราะนิสัยและการใช้ชีวิตไม่เหมือนกัน ต่างคนก็เลยมองกันต่างมุม

     

    ทั้งๆ ที่เมื่อคืนยังนอนหลับไปด้วยความสุข ทุกวันชานยอลสามารถหลับลงได้ความคิดที่ว่าเมื่อตื่นมาเขาจะเจอข้อความจากแบคฮยอนแต่ตอนนี้มันไม่มีแล้ว แค่ไม่กี่ชั่วโมงแรกของการห่างกันก็กระวนกระวายจนนอนไม่หลับ

     

    เช้านี้ชานยอลตื่นมาเช็คโทรศัพท์ เขาได้รับการแจ้งเตือนข้อความจากหลายคน แต่พอไม่เห็นของแบคฮยอนจิตใจมันก็ห่อเหี่ยวจนไม่อยากจะทำอะไรต่อทั้งนั้น ถึงจะยังคิดไม่ตกว่าแบคฮยอนขอห่างเพราะอยากให้ง้อ หรือเขาห่างเพราะอยากห่างจริงๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันช่างทรมานเหลือเกินกับเวลาที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้า

     

    ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย ทำไมไม่มีความสุขเลย...

     

    ก๊อกๆๆๆ

     

    เสียงเคาะประตูเรียกเด็กหนุ่มที่กำลังนอนฟุ้งซ่านอยู่บนเตียงให้ต้องละความสนใจออกจากมือถือ ชานยอลลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูให้ผู้เป็นแม่ด้วยสภาพอิดโรย พอเห็นว่าคนตรงหน้ากำลังใส่ชุดอาบน้ำเขาก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ต้องไปทำงานตอนสิบโมง ชานยอลเกือบจะลืมไปเลยว่าตัวเองยังมีหน้าที่ให้ต้องรับผิดชอบอยู่

     

    “แม่มาดูว่าตื่นหรือยัง เดี๋ยวจะสายแล้วนะ ยังไม่อาบน้ำอีกหรอ”

     

    “ครับ ผมกำลังจะไป”

     

    “อาทิตย์นี้ชานยอลประชุมกับแม่สามวันนะอย่าลืม รีบๆ ได้แล้ว”

     

    “ครับ เดี๋ยวผมลงไป”

     

    พอรับปากเสร็จชานยอลก็ปิดประตูห้องลง เขาได้แต่ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะต้องตัดใจละสายตาออกจากมือถือเพื่อไปอาบน้ำ เพราะไม่อยากจะสร้างปัญหาเพิ่มอีกตอนนี้ ชานยอลกำลังพยายามอย่างมากที่จะควบคุมความรู้สึกและอารมณ์ของตัวเองให้อยู่  และมันก็ยากเหลือเกิน

     

    พอหลักที่ยึดไว้หายไปทุกอย่างก็โอนเอนไปหมด ชานยอลเริ่มรู้สึกได้ถึงความอ่อนไหวท่ามกลางความไม่มั่นคงของตัวเอง และนั่นคือที่เขาไม่อยากเผชิญหน้ามากที่สุด...

     

    อดทนเอาไว้ชานยอล แค่ต้องอดทนเอาไว้...

     

    .

     

    .

     

    .

     

    Ring Ring Ring

     

    เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือเรียกแบคฮยอนที่กำลังตรวจนับชั้นสินค้าให้ต้องละความสนใจออกจากงานตรงหน้า คนตัวเล็กล้วงเอามือถือออกมาดูรายชื่อก่อนที่จะถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ รายชื่อที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอทำแบคฮยอนหนักใจจนพูดไม่ถูก

     

    นิ้วเรียวกดแตะลงบนปุ่มกลางก่อนที่สุดท้ายเจ้าของเครื่องจะตัดสินใจกดรับสายทั้งๆ ที่ไม่เต็มใจจะรับ

     

    “ฮัลโหล...”

     

    [อยู่ไหนอะ...]

     

    “อยู่ที่ทำงาน”

     

    [ทำไมเมื่อคืนไม่รับสาย]

     

    ความไม่ยอมเข้าใจสถานการณ์และนิสัยดึงดันเอาแต่ใจของแฟนหนุ่มทำแบคฮยอนต้องหนักใจอีกครั้งและอีกครั้ง คนตัวเล็กถอนลมหายใจใส่โทรศัพท์ก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปในทางเข้าสู่คลังสินค้า

     

    “..........”

     

    [ขอคุยด้วยได้ไหม เดี๋ยวเย็นนี้ไปรับ]

     

    “ไม่ต้องมาหรอก วันนี้กลับกับเพื่อน”

     

    [คนไหนอะ]

     

    “ก็คนที่เคยกลับด้วยแหละ” พูดไปหัวใจก็ปวดหน่วง แบคฮยอนเกลียดตัวเองที่ยังว่ากลัวชานยอลจะเสียใจถ้าได้ยินคำพูดนี้ ทั้งๆ ที่เขาเองต่างหากที่เป็นคนถูกทำร้ายน้ำใจ

     

    [ขอคุยด้วยอีกทีได้ปะ]

     

    “มันไม่เปลี่ยนอะไรหรอกว่ะ...”

     

    [งั้นเดี๋ยวไปหาที่ทำงาน]

     

    “มึงจะมาทำไม ไม่ต้องมา วุ่นวายเปล่าๆ”

     

    [เมื่อคืนยังคุยกันไม่เข้าใจเลย]

     

    “มึงไม่เข้าใจหรือมึงไม่อยากเข้าใจ มึงรู้อยู่แก่ตัวแหละชานยอล แต่มึงทำใจยอมรับได้ไหม มึงดึงดันไปก็ไม่ได้อะไรหรอก มึงอยากให้กูเชื่อมึงก็ทำให้กูเห็น”

     

    พูดแล้วก็ได้แต่ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ความดื้อด้านดันทุรังของแฟนหนุ่มเริ่มแสดงออกมาเรื่อยๆ และแบคฮยอนก็อยากรู้เหลือเกินว่ามันจะมากไปได้ถึงแค่ไหน ชานยอลจะยอมทำได้มากแค่ไหนเพื่อคนที่เขาบอกว่าจริงจังด้วย

     

    [ผมต้องพิสูจน์ตัวเองนานแค่ไหนอะ ผมยังไม่เข้าใจเลยว่าผมทำอะไรผิด]

     

    “ถึงเวลาเดี๋ยวมึงก็รู้เองแหละ”

     

    [ยังไงก็จะห่างกันจริงๆ ใช่ปะ]

     

    …………

     

    [ยังไงก็จะให้ผมไปรักคนอื่นให้ได้ใช่ปะ]

     

    “มึงผิดเรื่องแล้วชานยอล”

     

    [แล้วผมต้องทำไงอะ]

     

    “มึงไปลองคิดดูเอาเองเหอะ มึงดึงดันจะเอาแต่ใจไปมันไม่ได้อะไรหรอก”

     

    ดวงตาเรียวรีเหลือบขึ้นมองพนักงานรุ่นน้องที่เดินเข้ามาค้นของในโกดัง แบคฮยอนได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ ให้กับเซฮุนก่อนจะเดินห่างออกมาอีกสองช่วงชั้นเพื่อที่จะได้ไม่รบกวนการทำงานของเขา

     

    [………..]

     

    “กูจะไปทำงานแล้วนะ”

     

    [กลางวันผมโทรหาได้ไหม]

     

    “อยากโทรก็โทรมา”

     

    [งั้นรับโทรศัพท์ด้วยนะ]

     

    ………

     

    [ทำไมใจร้ายจังอะ ไม่คิดถึงผมหรอ... ห่างกันแล้วจะไม่คิดถึงผมมั่งหรอ]

     

    “มึงเก็บไว้บอกผู้หญิงมึงเหอะชานยอล แค่นี้แหละ”

     

    พูดแค่นั้นแบคฮยอนก็กดตัดสายโดยที่ไม่ฟังว่าอีกฝ่ายกลังจะพูดอะไร สุดท้ายแล้วชานยอลก็ยังดื้อด้านที่จะปฏิเสธความผิดของตัวเองอยู่ดี ถึงแม้ว่าเขาจะทำเหมือนต้องการง้อหรือขอโทษ เหตุผลหลักๆ คงไม่ใช่เพราะไม่รู้หรอก แต่ไม่อยากยอมรับมากว่า

     

    แบคฮยอนเริ่มจะเห็นเค้าลางของเด็กมีปัญหาในตัวชานยอลแล้ว ที่จริงจะบอกว่าเริ่มเห็นก็ไม่ถูกนัก คงต้องใช้คำว่าเพิ่งจะเห็นชัดมากกว่า จนถึงตอนนี้ชานยอลก็ยังเป็นคนที่ซับซ้อนเหลือเกิน

     

    เหมือนจะโตก็ไม่โต เหมือนพยายามจะโตแล้วแต่ก็ไม่ยังพ้นนิสัยเดิมๆ แบคฮยอนหวังจริงๆ ว่าชานยอลจะจริงใจกับเขา สุดท้ายแล้วไม่ว่าชานยอลจะมีนิสัยยังไงสิ่งเดียวที่แบคฮยอนคาดหวังก็คือความจริงใจ ถ้าเขาพิสูจน์ให้ได้เห็นสักนิดแบคฮยอนก็พร้อมจะไปต่อ เพราะถึงยังไงใจก็ยังรักชานยอลอยู่ดี...

     

    มือถือเครื่องบางถูกเก็บลงกระเป๋า แบคฮยอนเดินออกจากโกดังสินค้าไปโดยที่ไม่ทันได้เอะใจเลยว่ามีใครบางคนยืนอยู่ไม่ห่าง

     

    .

     

    .

     

    .

     

    “ขอบคุณที่มานะคะ ขอบคุณมากค่ะ”

     

    “ยินดีที่ได้มาพบนะคะ”

     

    “ชานยอลเดินไปส่งคุณอารึมหน่อยสิลูก”

     

    “...........”

     

    “ชานยอล...”

     

    “ครับ”

     

    เด็กหนุ่มตัวสูงวางแก้วกาแฟในมือลงก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมกับระบายยิ้มเล็กๆ ออกมา ภายใต้ใบหน้าแจ่มใสของสองแม่ลูก ต่างฝ่ายต่างรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้ม

     

    ชานยอลไม่ได้พูดอะไรมาก เขาแค่เดินไปหาหุ้นส่วนสาวคนสำคัญแล้วเดินนำเธอออกจากห้องเพื่อไปส่งตามมารยาท

     

    ทันทีที่เดินพ้นออกมาจากห้องประชุม คนตัวสูงก็ควักเอาโทรศัพท์ออกมาเช็คการแจ้งเตือนทันที และมันก็เป็นอีกครั้งที่ชานยอลต้องผิดหวัง... ไม่มีสายเรียกเข้าจากแบคฮยอน ไม่มีข้อความ ไม่มีแม้แต่การแจ้งเตือนจากทวิตเตอร์ ไม่มีเลยสักอย่าง...

     

    สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ความเศร้ากัดกินจิตใจให้ห่อเหี่ยวลงเรื่อยๆ สยบความดื้อด้าน และความคิดทุกอย่างให้หมดสิ้นไป ชานยอลคิดแต่ว่าจะทำยังไงถึงจะได้กลับไปเป็นเหมือนเดิม

     

    คิดถึงแบคฮยอน... คิดถึงมากๆ...

     

    ยิ่งเวลาผ่านไปความรู้สึกก็ยิ่งพอกพูนมากขึ้น ทั้งความเหงา ความกดดัน ความรู้สึกผิด กระวนกระวาย ชานยอลอยากทำทุกอย่างให้ได้ดั่งใจ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปเขาก็ยิ่งเข้าใจว่ามันไม่มีอะไรที่เป็นไปดั่งใจ ตอนนี้ชานยอลคิดแค่ว่าขอให้ได้กลับไปคุยกันเหมือนเดิม ไม่ว่าอะไรก็ยอมทั้งนั้น ไม่ว่าตัวเขาจะมีความผิดหรือไม่

     

    ชานยอลยอมแล้ว เขาไม่อยากอยู่ไปกับความอึดอัดแบบนี้ ชานยอลทนไม่ได้...

     

    ในขณะที่กำลังลงลิฟท์ คนตัวสูงก็ตัดสินใจพิมพ์ข้อความส่งหาคนรักเพื่อบอกว่าจะโทรหา และเพียงไม่นานข้อความก็ถูกอ่าน แต่ทว่าไม่มีการตอบกลับ

     

    จิตใจที่ว้าเหว่อยู่แล้วยิ่งเสียศูนย์หนัก ป่านนี้แบคฮยอนคงพักแล้ว ถ้าเป็นทุกวันเขาคงส่งข้อความมาหา โทรมาคุยกันแต่ทว่าตอนนี้มันไม่มีแล้ว และชานยอลก็ไม่ชอบเลย

     

    ไม่ว่าจะทำยังไงจิตใจในส่วนลึกก็เอาแต่ร้องเรียกหาแต่แบคฮยนอยู่ดี...

     

    ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออก เด็กหนุ่มตัวสูงก็หันไปกล่าวลากับแขกคนสำคัญ ก่อนที่ตัวเองจะเดินแยกไปทางลานจอดรถผู้บริหาร ชานยอลเดินตรงไปยังรถยนต์สีดำที่ขับประจำ แล้วเปิดประตูแทรกตัวเข้าไปนั่งในรถ ก่อนจะหยิบเอามือถือขึ้นมากดต่อสายหาเบอร์ที่คุ้นเคยอีกครั้ง

     

    ตู๊ด... ตู๊ด... ตู๊ด...

     

    [ฮัลโหล]

     

    คราวนี้ชานยอลไม่ต้องรอสายนานอย่างที่เคย เขาฟุบหน้าลงกับพวงมาลัยรถพลางถอนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ

     

    “.........”

     

    [ฮัลโหล?]

     

    “อือ พักยัง”

     

    [เพิ่งพักเมื่อกี้]

     

    “ตอนนี้อยู่ไหน”

     

    [กำลังออกมาหาข้าวกิน อยู่ข้างนอก]

     

    “ไปกับใคร”

     

    [เพื่อนที่ทำงานแหละ]

     

    “เดี๋ยวไปหา”

     

    [มึงจะมาทำไม... มึงทำแบบนี้ลำบากกูใจนะเว้ย]

     

    คำพูดที่แสนใจร้ายบีบหัวใจชานยอลจนปวดหน่วง เขารู้สึกเหมือนถูกผลักให้ตกลงไปในกล่องสีดำอีกชั้น ทุกอย่างมันตื้อไปหมด ชานยอลไม่รู้จะต้องพูดยังไง ไม่ว่าเขาจะดึงบทไหนมาใช้กับแบคฮยอนมันก็ไม่ได้ผลเลย สุดท้ายก็ต้องพูดสิ่งที่รู้สึกจริงๆ ออกไป

     

    “คิดถึง อยากเจอ...”

     

    [….....]

     

    “เมื่อคืนนอนไหน”  เมื่อไม่ได้คำตอบอะไร ชานยอลก็ทำได้เพียงแค่พยายามจะหาเรื่องมาคุยเพื่อที่จะยื้อเวลาเอาไว้ให้นานที่สุด

     

    ตอนนี้ชานยอลเริ่มรู้แล้วว่าแฟนเขาไม่ได้พูดเล่น แบคฮยอนไม่ได้ล้อเล่น และไม่ใจดีอีกแล้ว ถึงตัวเขาจะพยายามดึงดันเอาแต่ใจไปก็ไร้ประโยชน์ ดีแต่จะโดนทำร้ายความรู้สึกเปล่าๆ

     

    [ก็นอนบ้านเพื่อนแหละ]

     

    [ใครอะ แฟนอ่อ]

     

    เสียงที่แทรกมาจากในโทรศัพท์บอกเด็กหนุ่มให้รู้ว่าแฟนเขาไม่ได้อยู่คนเดียวตอนนี้ ซึ่งอันที่จริงก็รู้อยู่แล้ว แบคฮยอนคงจะออกไปกินข้าวกับเพื่อนตามที่บอก และคืนนี้ก็คงจะไปนอนที่บ้านเพื่อน เพื่อนคนเดิมที่ชอบขับรถมาส่ง แถมยังโทรหานอกเวลางาน

     

    “เสียงใครอะ”

     

    ทั้งความหึงหวงและความน้อยใจเริ่มตีตื้นขึ้นมาอีกครั้ง ชานยอลอยากจะขับรถไปหาแบคฮยอนที่ทำงานตอนนี้แล้วปรับความเข้าใจให้รู้เรื่อง แต่เขาก็กลัวเหลือเกินว่าความเอาแต่ใจของตัวเองจะทำให้ทุกอย่างแย่ลง

     

    “อยู่กับเพื่อนอ่อ”

     

    [อือ เดี๋ยวกินข้าวก่อนนะ แค่นี้ก่อน]

     

    “งั้นเดี๋ยวโทร....”

     

    ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรสายก็ถูกตัดไปซะแล้ว ชานยอลเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง การกระทำที่แสนเย็นชาสะกิดความรู้สึกบางอย่างในใจให้พลุ่งพล่าน

     

    เกลียดเหลือเกินกับการถูกเย็นชาใส่ เกลียดความรู้สึกที่เหมือนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง มือหนากำโทรศัพท์เครื่องบางไว้แน่น ความคับข้องใจเริ่มทับถมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ชานยอลจะทำอะไรได้ เมื่อเขาไม่ได้มีสิทธิ์ต่อรองอะไรอีกแล้ว...

     

    ในขณะที่จิตใจเอาแต่ร้องตะโกนว่าไปหาแบคฮยอนสิ ไปคุยเลย ไปจัดการให้รู้เรื่องเลย ความคิดหนึ่งก็ดังแย้งขึ้นมาว่า ถ้าทำแบบนั้นมันมีแต่จะแสดงถึงความเป็นเด็กและความเอาแต่ใจของชานยอลออกมา

     

    ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเลย ชานยอลไม่เป็นตัวเอง เขาไม่เป็นตัวเองเลย...

     

    .

     

    .

     

    .

     

    เวลาสองทุ่มเศษๆ เสียงไขลูกบิดดังขึ้น แบคฮยอนเดินเข้าไปในห้องของเขาก่อนที่จะปิดประตูลง

     

    ความเงียบเหงาส่งเสียงดังยิ่งกว่าความคิด ทั้งๆ ที่บอกตัวเองว่าจะต้องข่มใจให้ได้ แต่ก็ยังเผลอหยิบมือถือขึ้นมาดูอยู่เรื่อย แบคฮยอนอยากโทรหาชานยอล แต่ก็กลัวว่าตัวเองจะใจอ่อนจนยอมกลับไปคืนดีด้วยง่ายๆ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้รู้สึกผิดเลย

     

    “เฮ้อ...” สุดท้ายก็ได้แต่ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ คนตัวเล็กเดินไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ

     

    วันสองวันมานี้แบคฮยอนเหนื่อยง่ายมากกว่าปกติเพราะแรงใจที่น้อยนิด เขายังคงคิดถึงชานยอลอยู่ตลอดทั้งวัน คิดถึงมากๆ คิดถึงทุกวัน แล้วก็ใจสั่นทุกครั้งที่เห็นเบอร์อีกฝ่ายโทรเข้ามา มันยากเหลือเกินที่ต้องทำเป็นเมินเฉยต่อเสียงเรียกร้องของหัวใจ

     

    ตอนนี้ชานยอลจะทำอะไรอยู่ ถ้าเป็นปกติเขาจะต้องโทรมาอ้อนแน่ โทรมาบ่นแม่ให้ฟัง บ่นเรื่องที่ทำงาน หาเรื่องชวนไปเที่ยววันเสาร์ แล้วก็คุยอะไรเรื่อยเปื่อย

     

    คิดถึงจัง... ตอนนี้กำลังเศร้าอยู่ไหมนะ หรือว่าคุยกับคนอื่นอยู่ กำลังคิดถึงกันอยู่หรือเปล่า หรือว่าถอดใจไปคุยกับสาวๆ แล้ว

     

    ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับชานยอลมันอย่างกับฝัน แบคฮยอนเหมือนหลับไปแล้วก็ตื่นขึ้นมา พอได้กลับมาใช้ชีวิตในความเป็นจริงของตัวเองอีกครั้ง ความรู้สึกเดิมๆ ก็เริ่มกลับเข้ามา ในความเศร้าและความเหงา อย่างน้อยความรู้สึกดีๆ ก็ยังมีหลงเหลืออยู่

     

    แบคฮยอนได้กลับไปเป็นตัวเองอีกครั้ง เป็นแบคฮยอนที่เป็นแค่แบคฮยอน เขาไม่ต้องคอยกังวลถึงภาพลักษณ์ของตัวเอง ไม่ต้องคอยคิดว่าทำตัวแบบนี้จะถูกรสนิยมคนรวยไหม สิ่งที่ทำลงไปมันดูบ้านนอก และไม่คูลหรือเปล่า เขาเรียกมันว่าช่องว่างระหว่างการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน มันทั้งโล่งและสบายใจ

     

    แบคฮยอนซื่อสัตย์กับตัวเองเสมอ เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าบางครั้งก็รู้สึกอึดอัดกับวิถีชีวิตและสังคมของแฟนหนุ่ม รอบตัวชานยอลมีแต่คนเจ๋งๆ คนเก่งเต็มไปหมด เขาเรียนเมืองนอก เป็นเด็กไฮสกูล ดูซีรีส์อเมริกัน มีแต่เพื่อนต่างชาติ

     

    บางครั้งมันทำให้แบคฮยอนขาดความมั่นใจในตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เขาก็ยังรักชานยอลในแบบที่ตัวเองเห็นอยู่ดี แบคฮยอนไม่ปฏิเสธเลยว่าเรื่องผู้หญิงทำให้เขาเริ่มมองเห็นชานยอลในด้านอื่นๆ และคาดหวังจะได้เห็นตัวตนของเขามากกว่านี้ ตัวตนในส่วนลึก ส่วนที่มากกว่าสิ่งที่ชานยอลอยากให้เห็น

     

    มันจะเป็นไปได้ไหม ที่แบคฮยอนจะได้เข้าใกล้ความเป็นจริงในโลกของชานยอลมากกว่านี้

     

    “เฮ้อ...” สุดท้ายก็ได้แต่ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่

     

    ด้วยความอึดอัดใจ คนตัวเล็กตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มากดโทรหาเพื่อนสนิทอีกครั้ง โดยที่ไม่ทันได้นึกเลยว่า ตัวเองลืมอะไรบางอย่างไปเสียสนิท...

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

     

    ตู๊ด... ตู๊ด... ตู๊ด....

     

    กรุณารอสาย

     

    โทรศัพท์เครื่องสีดำถูกวางลงข้างตัวก่อนที่น้ำสีอำพันในแก้วช็อตจะถูกกระดกลงคอ ชานยอลตบยานอนหลับเข้าปากแล้วดื่มเหล้าตามไปอีกหลายแก้ว โดยหวังว่ามันจะช่วยให้เขานอนหลับได้ในคืนนี้

     

    ในขณะที่หน้าจอยังขึ้นโชว์ข้อความให้รอสาย ชายหนุ่มผู้แสนกระวนกระวายก็ทำได้แค่นั่งพิงกำแพงมองดูโทรศัพท์ที่แสนไร้ค่าของตัวเองจนระทั่งมันตัดไปเองอัตโนมัติ

     

    ชานยอลเริ่มกลายเป็นเรือที่แล่นอย่างไร้ทิศทาง เขาแทบไม่ได้รับข้อความจากแบคฮยอน แม้แต่สายโทรศัพท์ก็ไม่ได้รับ ขนาดขับรถไปหาที่ทำงานก็ไม่เจอ คิดถึง... คิดถึงมากๆ จนไม่มีมีกระจิตกระใจจะทำอะไรทั้งนั้น ในหัวเต็มไปด้วยความฟุ้งซ่าน

     

    การต้องห่างกับคนสำคัญทำชานยอลเสียศูนย์ ทุกอย่างปั่นป่วนไปหมด เขาเหมือนถูกผลักให้ตกลงไปในกล่องใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยมลพิษทางความคิด ยิ่งรอบตัวเงียบเหงาเท่าไหร่ความคิดในหัวก็ยิ่งดังจนแทบจะทำให้เป็นบ้า

     

    ไม่มีแล้วชานยอลที่เอาแต่ตั้งท่าใส่แบคฮยอน มีแต่ชานยอลที่เรียกหาแบคฮยอนจนจะเป็นบ้า...

     

    Ring ring ring ring

     

    เสียงโทรศัพท์เรียกสติคนตัวสูงให้กลับคืนสู่ร่างอีกครั้ง ชานยอลรีบหยิบมันขึ้นมารับสายเมื่อเห็นว่าใครโทรมา เขายกมือขึ้นลูบใบหน้าพร้อมกับกรอกเสียงสั่นๆ ลงในมือถือ

     

    “ฮัลโหล...”

     

    [อือ ว่า…]

     

    “นอนยัง”

     

    [ยัง เพิ่งอาบน้ำเสร็จ]

     

    “.........”

     

    [อยู่ไหนเนี่ย]

     

    “อยู่บ้าน...”

     

    [ทำไมเสียงแปลกๆ วะ]

     

    “.........”

     

    [ชานยอล]

     

    “อือ...”

     

    [เมื่อกี้เป็นไรไม่พูดอะ]

     

    “เปล่า... นึกว่าจะไม่โทรหา”

     

    คนตัวสูงทิ้งตัวนอนลงบนเตียงอย่างสิ้นท่า เสียงของแบคฮยอนเป็นสิ่งเดียวที่หยุดความคิดฟุ้งซ่านในหัวเขาได้ เป็นสิ่งเดียวที่ชานยอลต้องการมากที่สุดในตอนนี้

     

    [เมื่อกี้คุยกับเพื่อนอะ เพิ่งวาง]

     

    “รีบนอนไหมครับ”

     

    [อือ ว่าจะไปนอนแล้ว มีไรปะล่ะ]

     

    “คิดถึง” ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น ชานยอลยกมือขึ้นแตะขอบตาร้อนผ่าวก่อนที่จะรู้ว่าตัวเองกำลังร้องไห้

     

    อยู่ๆ น้ำตามันก็ซึมออกมาอย่างไม่มีเหตุผล ชานยอลไม่ได้เสียใจหรอก วันนี้ทั้งวันเขาเอาแต่บอกตัวเองว่าทำไมต้องสนใจด้วย ทำไมต้องแคร์ด้วย ก็แค่แบคฮยอน ก็แค่ผู้ชายคนเดียว อย่างชานยอลจะเดินออกไปหาแบบนี้อีกสักร้อยคนก็ยังได้ แต่พอรู้ตัวอีกทีก็กลับนั่งร้องไห้อยู่ในห้องนอน

     

    [.........]

     

    “ไม่ต้องวางได้ปะ...”

     

    [………]

     

    “ไม่ต้องพูดอะไรก็ได้”

     

    [……….]

     

    “แค่ให้ผมรู้ว่ายังอยู่ในสายก็พอ”

     

    ชานยอลไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว... เขายอมรับทุกความผิดของตัวเอง ยอมรับทุกบทลงโทษ แต่ตอนนี้ขอแค่ให้ได้รู้ว่าแบคฮยอนยังอยู่ในสายก็พอแล้ว ชานยอลต้องการแค่นั้น ขอแค่นั้นจริงๆ ตอนนี้เขาเดินไปไหนไม่ถูกแล้ว...

     

    [เป็นไร]

     

    “ต้องถามด้วยอ่อ” ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเสียงตัวเองยิ่งสั่น แม้จะไม่ถึงกับร้องไห้ แต่น้ำตาเขาซึมไม่หยุด ความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจมันพร้อมจะล้นทะลักออกมาทุกเมื่อ

     

    ทั้งความคิดถึง ความเสียใจ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูทีไรก็เอาแต่คิดว่าแบคฮยอนอยู่กับคนอื่นใช่ไหมถึงไม่โทรหา ในขณะที่ชานยอลถูกทิ้งเอาไว้กับความผิด แบคฮยอนก็ยังใช้ชีวิตไปตามปกติ มันทั้งคิดถึง ทั้งน้อยใจจนไม่รู้จะพูดยังไง ชานยอลปฏิเสธความรู้สึกนี้ไม่ได้เลย เขาอยากยกมันออกไปจากใจ แต่ยิ่งปฏิเสธก็ยิ่งทรมาน

     

    [ไปนอนได้แล่ว เดี๋ยวพรุ่งนี้โทรหา]

     

    “ก็ไม่ต้องวางก็ได้”

     

    [แล้วมึงอยู่อย่างเงี้ยกูจะนอนหลับได้ไง]

     

    “ทำไมใจร้ายจังอะ ไม่อยากคุยกันแล้วอ่อ...”

     

    [..........]

     

    “ไม่รักกันแล้วอ่อ”

     

    [แล้วแต่มึงจะคิดเหอะ ถ้าเมาก็ไปนอน แค่นี้แหละ]

     

    “ทำไม....”

     

    ตู๊ด... ตู๊ด....

     

    ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรสายก็ถูกตัดไปเหมือนอย่างทุกที... โทรศัพท์เครื่องบางตกลงข้างตัว เหล้าที่ตอนแรกถูกนำมากินเพื่อให้หลับถูกเทเพิ่มลงในแก้วช็อต ชานยอลเกลียดน้ำตาของเขาที่ไหลออกมา เกลียดความอ่อนแอ เกลียดตัวเองที่ต้องการความรักจากคนอื่น

     

    ไม่ชอบเลยที่ต้องรู้สึกว่าไม่มีใครอยู่ข้างๆ ไม่ชอบรู้สึกเหมือนถูกทิ้ง ไม่ชอบอยู่คนเดียว ไม่เป็นที่สำคัญ และไม่มีใครต้องการ

     

    ทำไมทุกคนที่รักของเขาถึงเอาแต่เดินจากไป ทิ้งเอาไว้เพียงแค่ความรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่ว่าจะแม่ พ่อ หรือแม้แต่แบคฮยอนเอง เพราะว่าชานยอลคือชานยอลหรอ? ชานยอลที่ไม่ได้เกิดมาเป็นอย่างที่ใครคาดหวัง เพราะอย่างนั้นหรอ เขาถึงไม่ได้รับความใส่ใจเท่าที่ควร และไม่ว่าจะพยายามทำตัวเพื่อให้ดีขึ้นมากแค่ไหน ทำในสิ่งที่ใครต้องการแค่ไหนมันก็ไม่เคยดีขึ้นเลย...

     

    ใครจะรักชานยอลได้ในแบบที่เขาเป็นบ้าง... ใครจะรักชานยอลได้จากในส่วนลึกที่ทั้งบกพร่อง ซับซ้อน และไม่เป็นตัวของตัวเอง

     

    ถ้าไม่มีแบคฮยอนอยู่ตรงนี้ ชานยอลก็ไม่ต่างจากเรือที่ไร้เข็มทิศและเขาก็ทำได้แค่เพียงคว้าทุกอย่างที่ตัวเองคิดว่าสามารถยึดเกาะเอาไว้ได้ เพื่อไม่ให้หัวใจดวงนี้รู้สึกทุกข์ทรมานจากความโดดเดี่ยว...

     

    แฟนคนแรกที่จริงจังด้วย แฟนที่ชานยอลรักมากที่สุด ความรักที่หอมหวาน ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะทำให้ทุกข์ทรมานได้ขนาดนี้ วันทั้งวันเอาแต่จ้องมองโทรศัพท์ ไม่เป็นอันทำอะไร ได้ยินเสียงเรียกเข้าทีก็ดีใจก่อนที่จะต้องผิดหวังซ้ำๆ

     

    ไม่อยากรับรู้อะไรเลย ทำไมถึงทรมานแบบนี้...

     

    .

     

    .

     

    .

     

    ก๊อกๆๆๆๆ

     

    เสียงเคาะประตูตอนเช้าปลุกชายหนุ่มที่กำลังหลับให้ต้องลืมตาขึ้นมาพบความเป็นจริงอีกครั้ง ชานยอลลุกเดินโงนเงนไปเปิดประตูให้กับผู้เป็นแม่ด้วยสภาพที่แย่ยิ่งกว่าวันอื่นๆ อาการแฮงค์ทำหัวเขาหนักอึ้งไปหมด ขนาดจะยืนให้ตรงยังทำได้ยากเหลือเกิน

     

    “ชานยอลยังไม่เตรียมตัวอีกหรอ ป่านนี้แล้วนะ” หญิงวัยกลางคนนิ่วหน้าว่าเสียงดุ เธอยกมือขึ้นกอดอกพลางใช้สายตาจ้องกดดันลูกชายที่ไม่ยอมรู้หน้าที่ตัวเอง

     

    “ครับ”

     

    “แล้วนี่เมาใช่ไหมเนี่ย! กินเหล้าหรอ! ก่อนไปประชุมเนี่ยนะ!” กลิ่นเหล้าที่โชยออกมาจากลมหายใจและสภาพเมามายของเด็กหนุ่มตรงหน้าทำคนเป็นแม่ปรี๊ดแตก ยูรินแทบจะเก็บอารมณ์โกรธเอาไว้ไม่ไหวเมื่อรู้ว่าลูกชายกำลังเมาทั้งๆ ที่เขารู้ว่าวันนี้มีประชุมสำคัญ

     

    “ผมขอห้านาที”

     

    “ห้านาที! เมาขนาดนี้จะไปประชุมยังไงไหว ขับรถยังไม่ได้เลย!

     

    “............”

     

    “โอ้ย! แม่ล่ะเหลือเกินกับชานยอล เป็นอะไรอีกอะห้ะ! ต้องให้แม่เดาไหม วันก่อนก็นั่งหน้าเหวี่ยงทั้งประชุม วันนี้เมาอีก ทำไมทำตัวไม่มีความรับผิดชอบเลย! คราวนี้แม่โมโหจริงๆ แล้วนะ!

     

    เสียงตวาดของผู้เป็นแม่ทำเด็กหนุ่มต้องยกมือลูบหน้า ความกดดันบีบคั้นเขาจนหัวแทบจะระเบิด ชานยอลรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้าเข้าไปทุกทีกับการต้องฝืนทำอะไรไหลายอย่างพร้อมๆ กัน และความอดทนของเขาก็ใกล้จะหมดลงเต็มที

     

    “มีปัญหาอะไรอีกล่ะ ทำไมชานยอลไม่รู้จักแยะแยะหน้าที่ออกจากเรื่องส่วนตัว แม่ไม่พูดไม่ใช่แม่ไม่รู้นะ อยากให้แม่คิดไหมว่าเป็นเพราะใคร!”

     

    “.........”

     

    “แม่ย้ำนักย้ำหนาว่าวันนี้ประชุมสำคัญนะ ห้ามลืม แล้วดูชานยอลทำ! กินเหล้า เมาแล้วก็บอกว่าจะไปประชุมสภาพเนี้ยหรอ แม่ไม่เอาไปดีกว่า แม่ไม่ให้ชานยอลไปเจอหุ้นส่วนสภาพนี้หรอก!

     

    “มันก็แค่ประชุมอะ แม่จะให้ผมไปทำไร ผมไปก็ไปนั่งอ่านสคริปทุกที”

     

    “ก็ชานยอลต้องไปเจอเค้าในฐานะเจ้าของไง! มันไม่ใช่งานของชานยอลหรอ! คุณอารึมเค้าเอาเงินมาให้เรานะ ชานยอลก็ต้องไปดูแลเค้าไง!

     

    “แม่ให้ผมไปเอาเค้าเลยไป จะได้จบๆ”

     

    เด็กหนุ่มตัวสูงพูดแค่นั้นก็ปิดกระแทกประตูดังปัง ชานยอลรู้ดีหรอกว่าแม่อยากให้เขาไปทำอะไร งานที่แสนง่ายดายของชานยอล แค่ยิ้มเบาๆ ก็ได้เงินเข้าบริษัทเป็นสิบล้านร้อยล้าน

     

    แม่ไม่เคยสนใจหรอกว่าชานยอลพร้อมที่จะทำงานไหม มีปัญหาอะไร อยากให้รับฟังหรือเปล่า ชานยอลก็แค่ต้องทำในสิ่งที่แม่อยากให้ทำ ไม่เคยมีใครแคร์เขาจริงๆ สักคน ตอนนี้แม้แต่แบคฮยอนเองก็ยังไม่ใยดี

     

    พอกันที ชีวิตเฮงซวย...

     






    #ฟิคกวาง





    เจอกันอีกตอนวันนี้ตอนสี่ทุ่มค่ะ








    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×