ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ฟิคเสื่อม] กวาง The series - Chanbaek

    ลำดับตอนที่ #39 : Chapter : 35 ไปไกลๆ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 23.72K
      397
      19 มี.ค. 61




    แกร๊ง

     

    เสียงช้อนคันเล็กถูกวางลงบนถาดสแตนเลส  ชานยอลที่กำลังยุ่งอยู่กับโน้ตบุ๊กของผละตัวออกมาจากชั้นข้างเตียงเพื่อปล่อยให้หน้าที่เก็บกวาดเป็นของพยาบาลผู้ช่วย

     

    “ขอน้ำส้มด้วยนะ” หญิงวัยกลางคนหันไปบอกกับพยาบาลสาวก่อนที่เธอจะเข็นรถเข็นคันเล็กออกนอกประตูไป อาการปวดเมื่อยตามร่างกายทำประธานคนเก่งต้องถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ร่างกายที่ไม่มีอิสระเหมือนไม่ใช่ร่างกายเธอ

     

    ยูรินต้องนอนกับเฝือก ยาแก้อักเสบและยานอนหลับทุกวันเพราะไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้เมื่อนึกถึงงานและเรื่องอื่นๆ ที่ค้างคาอยู่ที่บริษัท ถึงแม้ว่าจะมีลูกชายและสามีคอยดูแลอยู่ก็ตาม การต้องนอนนิ่งๆ อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมทำยูรินฟุ้งซ่าน และเธอยอมจ่ายเงินประกันหลักล้านเพื่อที่จะได้นอนในห้องที่ดีที่สุดในโรงพยาบาล ห้องมีการตกแต่งเหมือนบ้านหรือโรงแรม อย่างน้อยจะได้ไม่รู้สึกเหมือนกำลังนอนอยู่ในโรงพยาบาล มันทำให้เธอเสียประสาท

     

    “เมื่อไหร่แม่จะได้ออกจากที่นี่เนี่ย” ประธานสาวเอ่ยขึ้น เธอหันไปมองลูกชายที่กำลังพยายามย้ายข้อมูลจากโทรศัพท์เครื่องที่พังไปยังมือถือเครื่องใหม่ การมีชานยอลอยู่ด้วยอย่างน้อยก็ทำให้ยูรินอุ่นใจ เขาทำให้เธอรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน

     

    “จนกว่าแม่จะหาย” เด็กหนุ่มตัวสูงตอบออกไปอย่างไม่ใส่ใจ ชานยอลลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ เขาถลกผ้าห่มที่คลุมขาพันเฝือกของผู้เป็นแม่ออกก่อนจะพูดต่อ “ถึงออกจากโรงบาลไปได้ แม่ก็ต้องอยู่บ้านอยู่ดี”

     

    “ไปหาอะไรมาให้แม่ทำหน่อยสิ แม่อยู่ที่นี่นานๆ แม่จะเป็นบ้าเอา”

     

    “เดี๋ยวผมเอาหนังสือมาให้”

     

    “แล้วนายอนเป็นไงบ้าง”

     

    “ผมไปเยี่ยมเค้ามาแล้ว หมอบอกไม่เป็นไรมาก แค่แขนหัก อีกสองวันออกโรงบาล” ชานยอลเดินผ่านเตียงผู้ป่วยไปหยิบกระเป๋าเป้สีดำบนโซฟาตัวยาวหลังม่านใหญ่เพื่อเอาสายชาร์จโน้ตบุ๊กออกมา เขาเห็นเพื่อนสนิทกำลังนอนหลับอยู่จึงตัดสินใจปิดม่านและประตูกระจกเพื่อกั้นไม่ให้เสียงเข้าไปรบกวนโคลอี้

     

    “อือ... ดีแล้ว แม่เกือบทำเค้าตาย สงสัยต้องให้โบนัสปีใหม่เพิ่ม”

     

    “แล้วแม่ถามถึงแบคฮยอนทำไม” อยู่ๆ ชานยอลก็เอ่ยถามขึ้นโดยไม่ให้ผู้เป็นแม่ได้ทันตั้งตัว เขาเหลือบตาไปมองสีหน้ากึ่งงงกึ่งประหลาดใจของแม่ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ จากในลำคอ

     

    “แม่ถามถึงเค้าด้วยหรอ?” ประธานยูรินทำหน้าเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง พอเห็นลูกชายหัวเราะเธอถึงได้นึกออกว่าตัวเองเคยพูดอะไรบางอย่างเอาไว้ และยูรินก็ยังจำได้ดี

     

    “แม่ถามถึงเค้า ถามว่าแบคฮยอนไปไหน ผมบอกว่าแบคฮยอนกลับบ้านไปแล้วแล้วแม่ก็หลับ”

     

    “แม่จำได้ แล้วตอนนี้เค้าไปไหนล่ะ ไม่เห็นมาเยี่ยมแม่มั่งเลย”

     

    “แม่แทบจะเกลียดเค้า แล้วแม่ก็ถามผมว่าทำไมเค้าไม่มาเยี่ยมหรอ?” คนตัวสูงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ ชานยอลสงสัยจริงๆ ว่าทำไมแม่ทำเหมือนลืมไปว่าทำอะไรกับแบคฮยอนไว้บ้าง แล้วอยู่ๆ ก็บอกว่าอยากให้เขามาเยี่ยม ทำไมแม่ถึงคิดว่าแบคฮยอนจะกล้ามาทั้งๆ ที่เขาแทบไม่กล้าแม้แต่จะนึกถึง

     

    “แม่ไม่ได้เกลียดเค้า แต่เค้ามาใช่ไหมล่ะ ตอนที่แม่โดนรถชน”

     

    “เค้ามานั่งเป็นเพื่อนผมทั้งคืน”

     

    หญิงวัยกลางคนได้แต่พยักหน้า ยูรินถอนหายใจออกมาก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองลูกชายแล้วเอ่ยต่อ

     

    “แม่เป็นห่วงชานยอลนะวันนั้น ตอนนั้นแม่ไม่ได้ยินเสียงชานยอลเลย มันอื้อมันดับไปหมด แม่คิดว่าแม่จะตายแล้ว” เธอถอนลมหายใจออกมาอีกครั้ง ความรู้สึกตอนที่รู้ตัวว่ากำลังจะตายมันเด่นชัดและยังฝังอยู่ในใจมาจนถึงกระทั่งตอนนี้ และเธอได้รู้ว่าไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าความตายอีกแล้ว “แม่นึกถึงชานยอล นึกถึงพ่อ แม่คิดว่าชานยอลจะอยู่ยังไงถ้าแม่ไม่อยู่ ชานยอลต้องเสียใจมากแน่เลย ต้องร้องไห้ แม่คิดอย่างนั้น แล้วแม่ก็เป็นห่วงชานยอล”

     

    “..............”

     

    “แม่รู้นะ ไม่ใช่แม่ไม่รู้ แม่รู้ว่าแบคฮยอนจะทำให้ชานยอลผ่านไปได้ ถ้าไม่มีแม่ แม่ก็อยากให้แบคฮยอนมาอยู่ข้างๆ ชานยอล แม่ไม่ได้นึกถึงโคลอี้... แล้วตอนนั้นแม่ก็เพิ่งคิดได้ว่าไม่มีอะไรสำคัญกับแม่เท่ากับเห็นชานยอลมีความสุข”

     

    ตลอดเวลาที่ผ่านมายูรินเอาแต่โทษคนนู้นคนนี้ว่าทำให้ลูกชายเสียคนแต่กลับไม่เคยมองดูตัวเองที่พรากเอาทุกๆ ความสุขไปจากลูกชายเลย ยูรินเอาแต่ทำให้ชานยอลต้องเสียใจ เอาแต่ผลักไสเขาให้รับผิดชอบหน้าที่ ไม่เคยสนใจถึงความรู้สึกข้างในที่บอบช้ำและแตกสลายไปจนแทบจะกู่ไม่กลับ และในวินาทีสุดท้ายที่คิดว่าจะได้มีชีวิตอยู่ เธอไม่โทษใครนอกจากตัวเอง

     

    “แม่คิดว่าแม่ยังไม่ได้ขอโทษชานยอลเลย ทั้งหมดที่แม่ทำกับชานยอล แม่จะรู้สึกผิดจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตแม่ แม่กลัวว่าชานยอลจะไม่ได้ยกโทษให้แล้วเราก็จากกันทั้งๆ ที่ยังไม่ได้คุยกัน เพราะเราไม่เคยคุยกันเลย”

     

    คำพูดของคนเป็นแม่ทำเด็กหนุ่มนึกอยากจะหายตัวหนีไปไกลๆ การพูดคุยที่คาดหวังว่าจะได้รับมาตลอดตอนนี้มันกำลังเกิดขึ้นแล้ว แต่ทว่ากลับกลายเป็นชานยอลซะเองที่ไม่พร้อมและไม่รู้ว่าจะรับมือกับมันยังไง เขาไม่ได้เตรียมใจมาฟังเรื่องซึ้งๆ และตลอดเวลาชานยอลก็เอาแต่เก็บซ่อนความรู้สึกอยู่ตลอด เขาไม่รู้วิธีที่จะแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา

     

    “แบคฮยอนก็ไม่ใช่คนเลวใช่ไหม แม่รู้นะ แม่รู้งานอดิเรกเค้า แม่รู้ทุกอย่างที่เค้าทำ ทุกสิ่งที่เค้าทำกับลูก แม่ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชานยอลหนีแม่ไปหาเค้า”

     

    “ผมไม่ได้หนีแม่”

     

    “แม่เห็นความพยายามของชานยอลนะ ที่ชานยอลพยายามพิสูจน์ตัวเองกับแม่ แล้วแม่ก็เจ็บปวดมากเลยที่รู้ว่าชานยอลทำเพื่อแบคฮยอน ไม่ได้ทำเพราะแม่ แม่ไม่ได้บอกว่าแม่จะไม่เคี่ยวเข็ญชานยอลหรอกนะ ชานยอลก็รู้ใช่ไหมว่าตัวเองเป็นยังไง... แม่ไม่เคยหยุดห่วงชานยอลเลย แม่คิดตลอดว่าถ้าชานยอลเลิกกับแบคฮยอนชานยอลจะเป็นยังไง จะกลับไปพังอีกไหม ใครจะมากู้ชานยอลอีก” ยูรินกล่าวความรู้สึกออกมาทั้งหมดจากก้นบึ้งของหัวใจ เธออาจไม่ใช่คนที่ดีที่สุดและอาจไม่มีวันเป็นได้ แต่ยูรินไม่เคยไม่รักลูกชายของเธอเลยแม้แต่วินาทีเดียว

     

    ชานยอลได้แต่ยืนเงียบ เขาถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะหลุบตาลงมองปลายเท้า ชานยอลไม่อยากรับปากกับแม่ว่าเขาจะไม่พังอีก เพราะฐานในชีวิตชานยอลมันไม่มั่นคงมานานแล้วและต่อให้ไม่ใช่เรื่องของแบคฮยอน ชานยอลก็ไม่เคยรู้สึกมั่นคง

     

    เรื่องบางเรื่องมันก็ไม่สามารถแก้ไขหรือซ่อมได้ภายในวันเดียว เมื่อชานยอลรู้สึกโดดเดี่ยวมาตลอดทั้งชีวิต เขาเดียวดาย ห่างเหิน และอ้างว้าง จนหัวใจแทบจะกลายเป็นทะเลน้ำแข็ง การเทน้ำอุ่นลงไปแก้วเดียวอาจไม่ใช่อะไรมาก แต่อย่างน้อยตอนนี้แม่ก็ยอมรับแล้วว่าชานยอลไม่ได้เป็นอย่างนี้เพราะใคร มันไม่ใช่เพราะใคร...

     

    “แม่ทำเหมือนชานยอลเป็นเครื่องมือทำงานของแม่มาตลอด แต่แม่ไม่ได้หมายความอย่างงั้น ถึงเราไม่ได้ทำงานบริหารในบริษัทเราก็ต้องเอาหน้าเอาตาไปพบแขก ไปสร้างคอนเนคชั่น นั่นคืองานของเรา แม่รู้ว่าชานยอลเข้าใจงาน ที่ผ่านมาชานยอลก็ทำงานได้ดี แต่ที่ชานยอลต่อต้านคือแม่ แม่ก็รู้ตัว แต่แม่ไม่เคยไม่รักชานยอลเลยนะ”

     

    “ผมรู้”

     

    “แบคฮยอนเคยทำให้ชานยอลเสียใจมั่งไหม”

     

    “มีแต่ผมทำให้เค้าเสียใจ”

     

    “งั้นก็ทำตัวเองให้ดีสิ แม่กับชานยอลเราทะเลาะกันแค่ไหนยังไงเราก็เป็นแม่ลูกกัน เราตัดกันไม่ขาดหรอก แต่ชานยอลรู้ใช่ไหมว่าแบคฮยอนไม่ใช่ ถ้าเค้าให้อภัยก็อย่าคิดว่าได้ใจ แม่ไม่อยากเห็นชานยอลเศร้าอีก” ประธานสาวหลับตาลง เธอเอื้อมมือไปจับแขนลูกชายพลางถอนลมหายใจออกมา

     

    ยูรินไม่อยากรับปากว่าเธอจะดีกับลูกชายไปได้ตลอดรอดฝั่ง แต่เธอรับปากได้ว่าจะไม่ห้ามชานยอลเรื่องแบคฮยอนอีก ถ้าหากว่าวันหนึ่งความรักมันจะจบลงหรือความรู้สึกดีๆ ที่ลูกชายเคยมีนั้นหมดไปก็คงต้องปล่อยให้มันเกิดขึ้นเอง หลังจากนี้ถ้าชานยอลจะพังความรักนี้ลงมันก็คงเป็นเพราะตัวเขาเอง

     

    “ขอบคุณครับ”

     

    “แล้วก็ ไปพักซะบ้าง ชานยอลอยู่กับแม่มาหลายวันแล้ว แม่ให้วันหยุดชานยอล อยากไปไหนก็ไป”

     

    “ผมก็ไปไหนไม่ได้อยู่ดีเพราะแบคฮยอนไม่หยุดงาน แต่วันนี้ผมจะกลับบ้าน” ชานยอลนั่งลงบนเก้าอี้แล้วหันไปเช็คข้อมูลที่กำลังทำการย้ายไปสู่มือถือเครื่องใหม่ เขาหยิบเอามันขึ้นล๊อกอินเข้าบัญชี Cloud ของแม่เพื่อซิ้งค์ข้อมูลนัดหมายต่างๆ

     

    ความรู้สึกแปลกๆ ทำชานยอลอยากจะหนีอีกแล้ว แต่เขาก็ต้องคอยเตือนตัวเองตลอด ช่วงนี้ชานยอลใช้เวลาขบคิดหลายอย่างและส่วนใหญ่เป็นเรื่องการเริ่มต้นใช้ชีวิตของตัวเอง ชานยอลคิดว่าเหตุผลที่เขายังไม่กล้าเผชิญหน้ากับแม่และไม่สามารถทำตัวเป็นอย่างอื่นนอกจากลูกชายได้นั่นเพราะเขายังไม่มีชีวิตเป็นของตัวเอง

     

    “งั้นพรุ่งนี้แม่ฝากซื้อเค้กที่โรงแรม แล้วก็เอางานกับหนังสือมาให้แม่ด้วย”

     

    “ครับ”

     

    “แล้วก็ต่อสายหายองมินให้แม่หน่อย แม่จะให้เค้าเอาเอกสารที่บริษัทมาให้”

     

    ชานยอลไม่ตอบอะไรกลับไป เขาเพียงแค่กดเข้าไปในรายชื่อโทรศัพท์ถือเครื่องใหม่ก่อนจะโทรออกหาหมายเลขที่ถูกบันทึกเอาไว้ด้วยชื่อยองมินแล้วส่งมันให้กับผู้เป็นแม่ เป็นจังหวะเดียวกับที่พยาบาลผู้ช่วยเดินเข้ามาพร้อมแก้วน้ำส้มพอดี

     

    “ผมจะออกไปซื้อข้าวนะ” คนตัวสูงผละตัวลุกออกจากโต๊ะ โดยที่ไม่ลืมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองติดมือมาด้วย พอเห็นผู้เป็นแม่พยักหน้าและตั้งใจรอสายโทรศัพท์ชานยอลก็เดินออกจากห้องไปพร้อมกับกุญแจเพื่อที่จะไปหาของกินมาตุนไว้ก่อนที่เพื่อนสนิทจะตื่นขึ้นมา

     

    .

     

    .

     

    .

     

    ในค่ำคืนที่อากาศหนาวเย็น ลมแรงๆ ทำให้พนักงานน้อยใหญ่คนที่กำลังเดินฝ่าลมหนาวต้องตัวสั่นไปตามๆ กัน รองเท้าหนังสามคู่ย่ำเดินไปบนทางเท้าที่โล่งมากกว่าทุกวัน ตอนนี้อากาศเข้าสู่ฤดูหนาวต่างเต็มตัวแล้ว ต้นไม้ข้างทางเริ่มผลิใบร่วงหล่นสู่ท้องถนน มันทำให้ทางเดินเต็มไปด้วยสีเหลืองของใบไม้แห้ง

     

    แบคฮยอนซุกมือลงในกระเป๋าเสื้อในขณะที่ยืนรอแฟนหนุ่มอยู่ข้างถนนหลังจากที่นั่งเล่นในคาเฟ่เพื่อรอเวลา เขาเอาแต่ย่ำเท้าไปมาพร้อมกับส่ายหัวดิ๊กๆ ก่อนจะย้ายตัวเองไปยืนอยู่หลังพนักงานรุ่นน้องเพื่อให้ร่างของเขาเป็นที่บังลม

     

    “ผมจะไปโรงพยาบาลต่อนะ พี่กลับยังไง” เซฮุนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูพร้อมกับหันไปพูดกับรองผู้จัดการรุ่นพี่ ตอนนี้สองทุ่มครึ่งแล้ว เซฮุนต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คอนโดแล้วขับรถไปหาประธานต่อที่โรงพยาบาล เขาคงจะไม่สามารถไปส่งแบคฮยอนหรือพี่โจควอนได้

     

    “มึงไปเลยก็ได้ เดี๋ยวกูเดินไปขึ้นรถไฟ” โจควอนว่า

     

    “เออ เดี๋ยวกูเดินไปส่งพี่โจควอนเอง ไปหาประธานช้ะ”

     

    “อือ งั้นผมไปแล้วนะ”

     

    “เออ กลับบ้านดีๆ” แบคฮยอนยกมือบ๊ายบ่ายให้รุ่นน้องที่กำลังจะวิ่งข้ามถนนไปยังฝั่งบริษัทเพื่อไปเอารถของเขา พอเซฮุนวิ่งไปแบคฮยอนก็เดินไปหลบอยู่หลังพี่โจควอนอย่างกับเป็นลูกน้อย

     

    “แล้วมึงรอผัวมารับใช่ไหมเนี่ย”

     

    “เออ แต่เดี๋ยวหนูเดินไปส่งเจ๊ก่อนก็ได้ มันยังไม่มาหรอก”

     

    พูดยังไม่ทันจะขาดคำ รถยนต์คันสีดำที่แสนคุ้นตาก็ขับมาจอดข้างหน้าพอดิบพอดี แบคฮยอนหันไปมองหน้าผู้จัดการของเขาอย่างไร้สิ้นคำพูด แต่ก่อนที่โจควอนจะได้เอ่ยอะไร แบคฮยอนเดินไปเปิดประตูรถเพื่อคุยกับแฟนหนุ่มของเขาซะแล้ว

     

    “มึง กูเดินไปส่งพี่โจควอนก่อนได้ปะ เดี๋ยวมา” คนตัวเล็กยื่นหน้าเข้าไปถามแฟนหนุ่มที่ยังอยู่ทางฝั่งที่นั่งคนขับ ชานยอลหันหน้ามามองแฟนเขาก่อนที่จะเอ่ยถามออกมา

     

    “ไปส่งที่ไหนอะ”

     

    “ตรงรถไฟฟ้าอะ ตรงเนี้ย”

     

    “เค้าไปลงสถานีไหนอะ”

     

    “ตรงบงชอนอะ”

     

    “งั้นก็ไปด้วยกันดิ เราก็ผ่าน” ชานยอลเอื้อมมือไปปรับเสียงเพลงให้เบาลง เขาบอกให้แฟนพาเพื่อนร่วมงานขึ้นมาเพื่อที่จะได้ไปพร้อมกันแทนที่จะต้องเสียเวลา

     

     “แบ้กมึงกลับไปเลยก็ได้ ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูเดินไปเอง”  โจควอนเอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยความเกรงใจ ถึงจะไม่ได้ยินว่ารุ่นน้องกำลังพูดอะไร แต่เขาไม่อยากให้แบคฮยอนต้องเสียเวลา แล้วก็ไม่อยากให้แฟนของเขาต้องรอด้วย

     

    “ไม่เป็นไร เดี๋ยวชานยอลไปส่งที่สถานีขึ้นมาเลย”

     

    “เห้ย ไม่เป็นไร กูเกรงใจ” เขารีบยกมือขึ้นทำท่าปฏิเสธเป็นการใหญ่เพราะรู้ดีว่าใครอยู่ในรถ มันคงทำให้รู้สึกเกร็งพิลึกดีที่ต้องให้ลูกชายของประธานบริษัทขับรถไปส่งทั้งที่ตัวเองเป็นแค่พนักงาน โจควอนพยายามส่งซิกสายตากับรุ่นน้องว่าเขาไม่ต้องการจะไปจริงๆ และแบคฮยอนก็เข้าใจ

     

    “เออ งั้นเจ๊กลับดีๆ นะ”

     

    “เออๆ”

     

    พอโบกมือล่ำลากันเสร็จ แบคฮยอนก็ย้ายตัวเองเข้าไปนั่งในรถพร้อมกับปิดประตูดังปัง เขาไม่ลืมคาดเข็มขัดให้ตัวเองก่อนจะปลดกระเป๋าสะพายออกวางไว้บนตัก

     

    “กินข้าวมายัง”

     

    รถยนต์คันสีดำเคลื่อนไปตัวไปด้านหน้าตามท้องถนนเรียบโล่ง ชานยอลเร่งเสียงเพลงให้ดังขึ้นอีกนิดหน่อยในขณะที่บังคับให้รถยนต์เคลื่อนตัวไปข้างหน้า

     

    “ไปกินขนมมาและ ไปแวะคาเฟ่มาแต่ยังไม่ได้กินข้าวเลย”

     

    “เดี๋ยวไปหาไรกินกั... ชิ้ว!” พูดยังไม่ทันจบประโยคคนตัวสูงก็จามออกมาเสียงดัง ชานยอลใช้นิ้วมือถูจมูกเพื่อบรรเทาอาการคัน แต่ยังไม่ทันไรเขาก็จามออกมาอีกครั้ง อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนได้กลิ่นฉุนแบบแปลกๆ ผสมอยู่ในกลิ่นน้ำหอมปรับอากาศในรถ สงสัยว่าอากาศหนาวจะทำให้ภูมิแพ้กำเริบอีกแล้ว

     

    “เป็นไรวะ”

     

    “ภูมิแพ้มั้ง ชิ้ว!

     

    เสียงจามของแฟนหนุ่มทำให้แบคฮยอนต้องก้มลงเช็คกลิ่นตัวเอง เขายกเอาเสื้อกันหนาวขึ้นมาดม ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไปเล่นกับมาหมาเป็นสิบตัวที่คาเฟ่แถมยังไม่ได้กลิ่นตัวเองตอนออกมาจากร้านอีก

     

    คนตัวเล็กเหลือบตาเหลือบตามองซ้ายขวาด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก แบคฮยอนก้มลงดมเสื้อหนาวตัวเองอีกครั้งพร้อมกับคิดว่าจะสารภาพออกไปดีไหม หรือไม่งั้นชานยอลอาจจะต้องจามอย่างงี้ไปตลอดทาง

     

    “ไปเล่นกับหมาแมวมาปะ” ชานยอลนิ่วหน้าใช้หลังมือปิดจมูกเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังจามไม่หยุด เขาหันไปมองแฟนตัวเล็กที่เอาแต่ก้มลงดมเสื้อตัวเองเพื่อเช็คกลิ่น ถ้าชานยอลเดาไม่ผิดแฟนเขาต้องไปเผลอเล่นหมาเล่นแมวมาแน่

     

    “เออ ไปคาเฟ่หมามา” คนตัวเล็กเอ่ยรับสารภาพออกไปด้วยใบหน้าที่แสดงถึงความเป็นกังวล ก่อนที่รถยนต์จะถูกเลี้ยวจอดเข้าที่ข้างทาง แบคฮยอนไม่ได้จงใจไม่บอก เขาลืมจริงๆ ตอนที่เดินออกมาจากร้านเพราะไม่ได้กลิ่นจากตัวเองเลย

     

    “ถึงว่า ไปนั่งข้างหลังเลย” ชานยอลนิ่วหน้าพลางชี้นิ้วไปยังที่นั่งด้านหลังเพื่อเนรเทศคนรักออกไปจากตำแหน่งที่นั่งประจำ มือหนาคว้าเอาทิชชู่มาเช็ดน้ำมูกก่อนจะยัดมันไว้ตรงช่องเก็บของด้านหน้า

     

    แบคฮยอนที่ถูกไล่ไปนั่งด้านหลังก็ได้แต่บ่นพร้อมกับทำสีหน้าสงสารเพราะว่าตัวเองไม่ได้ตั้งใจทำผิด เขาปลดเข็มขัดแล้วเดินลงจากรถไปเปิดประตูหลัง แต่ยังไม่ทันจะได้ขึ้นไปนั่งเสียงของแฟนหนุ่มก็ดังขึ้นอีก

     

    “ไปนั่งหลังสุด”

     

    “โห่ แค่นี้ก็รังเกียจ” แบคฮยอนนิ่วหน้าว่าเสียงอ่อยแต่ก็ยอมย้ายตัวเองไปนั่งที่นั่งด้านหลังสุดเพราะก็เข้าใจแฟนหนุ่มว่าคงจะไม่สามารถมีสมาธิขับรถได้ คนตัวเล็กได้แต่นั่งมุ่ยหน้าก่อนจะหยิบเอามือถือขึ้นมาถ่ายรูปแฟนหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหน้า แล้วอัพมันลงทวิตเตอร์พร้อมข้อความตัดพ้อ

     

    Bhxx0506 : คงต้องห่างกันสักพัก

     

    แบคฮยอนก้มลงดมกลิ่นตัวเองอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้กลิ่นอะไรอยู่ดีจนอดคิดไม่ได้ว่าเป็นเพราะชานยอลจมูกดีหรือตัวเขาเป็นหวัดกันแน่

     

    รถยังคงขับเคลื่อนไปเรื่อยๆ ตามทาง ชานยอลยังทำเสียงฟุดฟิดเหมือนรู้สึกไม่สบายจมูกอยู่ตลอดเวลา และความห่างไกลก็ทำให้พวกเขาต้องตะโกนคุยกัน

     

    “มึงกินข้าวมายังอะ” คนตัวเล็กเอ่ยถามขึ้นในขณะที่เลื่อนไทม์ไลน์แอพฯ ทวิตเตอร์อ่านผ่านๆ ไปด้วย เขากดเข้าไปดูในเมนชั่นที่มีคนมาตอบโต้ข้อความก่อนหน้าพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมา แล้วรีบพิมพ์ข้อความตอบกลับไป

     

    “ยัง ก็รอไปกินพร้อมกันเนี่ย ผมจะแวะไปเอาของที่บ้านด้วยนะ”

     


    Kji69 : งอนไรแฟนอีก


    Bhxx0506 @jki69 : ไปเล่นกับหมามา โดนไล่มานั่งหลังรถ 555555

     


    “แล้ววันนี้นอนไหนอะ”

     

    “นอนบ้านปะล่ะ ถ้านอนได้ก็นอน แต่ถ้าไม่นอนก็ไปนอนคอนโด”

     

    “นอนได้อ่อ บ้านมีคนอยู่ปะ” แบคฮยอนรีบดีดตัวขึ้นนั่งเกาะพนักพิงเบาะหน้าทันทีด้วยความตื่นเต้น เมื่อนึกถึงบ้านแฟนหนุ่ม เขาไม่เคยเห็นบ้านชานยอลเลยแล้วก็เอาแต่จินตนาการอยู่ตลอดเวลาที่มองเห็นเครื่องใช้หรือของประดับหรูหราในที่ทำงาน

     

    บ้านชานยอลคงจะเหมือนกับในฝันของแบคฮยอนเวลาที่เขามองดูผ้าม่านผืนยักษ์ปักลวดลาย หรือเหมือนกับในละครช่องเจ็บฝี

     

    “ไม่มี มีแต่แม่บ้าน พ่อผมไปทำงาน”

     

    “แล้วแม่มึงไม่ว่าอ่อวะ”

     

    “ผมบอกเค้าแล้ว” ชานยอลโกหกออกไปคำโตแต่ก็รู้ว่าคงไม่เป็นไร ที่จริงวันนี้เขาเหนื่อยพอสมควรแล้วกับการขับรถไปหลายที่ทั้งบริษัท โรงพยาบาล บ้าน ชานยอลเองก็อยากจะพักไวๆ เหมือนกัน

     

    “งั้นก็แล้วแต่มึงอะ นอนไหนก็ได้”

     

    “งั้นนอนบ้านนะ ผมขี้เกียจขับรถแล้ว ชิ้ว! บอกให้เขยิบไปนั่งข้างหลัง”

     

    “อะไรวะ ยังไม่ได้ทำอะไรเลย” คนตัวเล็กบ่นอุบก่อนจะทิ้งตัวลงนอนเงียบๆ ที่เบาะหลัง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังได้ยินเสียงแฟนหนุ่มจามอยู่ดี มันทำให้แบคฮยอนอดรู้สึกผิดไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง

     

    รถยนต์คันหรูชะลอลงและขับเข้าจอดที่ข้างทางอีกครั้ง คราวนี้แบคฮยอนได้แต่ภาวนาขอให้ตัวเองไม่ต้องถูกไล่ไปนั่งบนหลังคาหรือที่เก็บของด้านหลัง  เขาหยัดตัวขึ้นนั่งแล้วเห็นแฟนหนุ่มหันหน้ามามองพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ประตูรถ

     

    “ลงไปข้างนอกดิ”


     

     .


    .


    .


     

    Bhxx0506 : ล่าสุดผัวไล่ลงจากรถแล้ว


    Kji69 : ขนาดนั้น 555


    Bhxx0506 : ไล่ลงไปสะบัดเสื้อ เอาเสื้อเก็บหลังรถก็ไม่จามละ 555555


    Kji69 : อยู่ไหนเนี่ย


    Bhxx0506 : จะถึงแล้วว

     


    รถยนต์คันสีดำขับเคลื่อนผ่านรั้วไม้เข้ามาในเขตบ้าน แบคฮยอนแนบใบหน้าติดหน้าต่างเพื่อมองดูบ้านขนาดกลางตรงหน้า เขามองเห็นทางด้านขวาเป็นโรงจอดรถที่มีรถยนต์จอดเรียงรายอยู่ประมาณ 3 – 4 คัน ชานยอลถอยรถเขาเข้าไปจอดก่อนที่จะดับเครื่องยนต์

     

    แบคฮยอนหยิบกระเป๋าตัวเองแล้วเปิดประตูรถเดินลงไปบ้าง บ้านของแฟนหนุ่มที่ไม่ได้ดูโอ่โถงเหมือนในละครทำเขาแปลกใจนิดหน่อย มันเป็นบ้านทรงเรียบๆ ที่มีบริเวณรอบข้างเป็นสวนปลูกต้นไม้ เป็นเพียงบ้านทรงโมเดิร์นที่ดูไม่ใกล้เคียงกับคฤหาสน์เลย

     

    “บ้านอยู่กี่คนอะ” คนตัวเล็กเดินตามหลังแฟนหนุ่มไปติดๆ แบคฮยอนถอดรองเท้าวางไว้อย่างเป็นระเบียบ แล้วเดินตัวลีบเข้าไปในบ้าน ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาเขาก็เจอห้องโถงที่กว้างและดูเรียบร้อยหรูหรา เขาอยากเดินไปจับผ้าม่านสีทึบนั่นแต่ก็ต้องห้ามใจตัวเองไว้

     

    “ผมกับแม่ พ่อกลับนานๆ ที”

     

    “บ้านสวยว่ะ ตอนแรกกูนึกว่าจะใหญ่แบบในละครนะ” เท้าเล็กๆ ก้าวเหยียบขึ้นบันไดไปอย่างระมัดระวัง แบคฮยอนตื่นเต้นไปหมดที่จะได้เห็นห้องของชานยอลที่เคยเห็นผ่านๆ เพียงแค่ในกล้อง เขาขึ้นบันไดมาจนถึงชั้นสอง และรอให้แฟนหนุ่มไขประตูห้องนอนเสร็จ

     

    ทันทีที่ก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องนอนสีเทากลิ่นแบบชานยอลก็ลอยปะทะเข้ากับใบหน้า แบคฮยอนนึกไม่ออกว่ามันคือกลิ่นอะไร แต่มันเป็นกลิ่นที่เขามักจะสัมผัสได้บนตัวชานยอลเสมอ

     

    พอเปิดประตูเข้ามาก็เจอกับสตูดิโอขนาดเล็กที่มีเครื่องเสียงและอุปกรณ์ต่างๆ วางเรียงรายไว้อย่างเป็นระเบียบตรงมุมห้อง ตรงชั้นวางของเตียงมีกีตาร์วางพิงอยู่ ดูรวมๆ แล้วก็ไม่ได้แตกต่างจากที่เคยเห็นเท่าไหร่แต่ใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก

     

    “ห้องโคตรหอมเลยว่ะ” แบคฮยอนโยนกระเป๋าแล้วเดินไปกระโดดลงเตียงนอนหลังใหญ่ สไตล์การจัดห้องของชานยอลดูแทบไม่ต่างจากคอนโด แม้แต่ชั้นติดผนังวางฟิกเกอร์ก็ยังเป็นตู้แบบเดียวกัน แถมเตียงยังนุ่มจนแบคฮยอนอยากจะมุดตัวหายเข้าไปในใยผ้า และที่นุ่มยิ่งกว่าคือผ้าห่ม

     

    นี่แหละคือข้อดีของคนรวย พวกเขามีที่นอนแล้วก็อาหารดีๆ กินตลอดทั้งชีวิต

     

    “เหยิบดิ” ชานยอลเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้างแฟนตัวเล็กที่เอาแต่ดิ้นไปมาแล้วก็ม้วนตัวอยู่กับผ้าห่มอย่างมีความสุข และท่าทางที่แสนสุขของแบคฮยอนก็ทำให้ชานยอลอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

     

    เขาเปิดเอา laptop ออกมาจากกระเป๋าเป้แล้วกางมันออกเพื่อดูงานที่ค้างเอาไว้ เขากดเข้าไปในเบราเซอร์เพื่อเช็คข้อความจากเฟสบุ๊กที่ส่งหาเพื่อนๆ แต่ก็พบว่ามีแค่บางส่วนที่ตอบกลับมา ไม่มีใครบอกชานยอลว่าใครเป็นคนถ่ายคลิปนั้นบนเครื่องบิน และมันยิ่งทำให้ปริศนายิ่งดำดิ่งลงไปอีก

     

    “ทำไรวะ คุยกะสาวอ่อ” อยู่ๆ แบคฮยอนก็มุดหัวออกมาจากผ้าห่ม เขายื่นหน้าเข้าไปเผือกจอโน้ตบุ๊กของแฟนหนุ่ม ก่อนที่จะถูกอีกฝ่ายหันมาหอมหัวพร้อมกับใช้คางกระแทกเบาๆ

     

    “หาตัวคนร้ายอยู่” คนตัวสูงว่าพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ถึงแม้ว่างานที่ว่าของชานยอลมันจะดูไม่ค่อยสำคัญแต่ที่จริงแล้วเขาคาใจมากเลย

     

    ชานยอลไม่ได้ไปนั่งอยู่ในแผนก IT เพราะโชคช่วย หลายครั้งเขาต้องคอยตรวจสอบพฤติกรรมทุจริตของพนักงานทางออนไลน์ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน และสำหรับเรื่องนี้ชานยอลก็ไม่อยากให้ใครมากล่าวหาเขาลอยๆ จนเกือบต้องทะเลาะแฟน มันทำให้เขาหยุดคิดไม่ได้เลย

     

    “ทำไมมึงไม่ไปถามเพื่อนมึงเลยวะ”

     

    “คิดว่าเค้าจะบอกไหม ให้ผมเดินเอาคลิปไปเปิดแล้วถามว่านี่ใช่ยูไหม แบบนี้อ่อ”

     

    “อือ... กูก็สงสัยเหมือนกัน” คนตัวเล็กถอนลมหายใจพร้อมกับเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงสุดแผ่ว แบคฮยอนหน้าหงอลงทันทีเมื่อคิดว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้ เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังกลัวคำตอบหรืออะไรกันแน่ แบคฮยอนกลัวที่จะสงสัยคนใกล้ตัวแต่เขาก็อดคิดไม่ได้

     

     

     

    “ฮุน มึงเคยรู้เรื่องโคลอี้มีอะไรกับใครบนเครื่องบินปะวะ” คนตัวเล็กนิ่วหน้าเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัยก่อนจะเงยขึ้นมองรุ่นน้องที่ทำหน้าเหมือนตกใจไปครู่หนึ่ง แบคฮยอนคิดว่าเขารู้คำตอบของคำถามแล้วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

     

    “ใครบอก”

     

    “ก็รู้มา มันจริงปะ”

     

    “ผมไม่รู้” เซฮุนตอบแค่นั้นแล้วก็หันไปสนใจกับการเช็คสต๊อคสินค้าต่อ เขาทำเหมือนกำลังเมินคำถามและแบคฮยอนก็รู้ดีเพียงแค่เขาไม่รู้ว่าทำไม

     

    เซฮุนไม่เคยหลุดตอนที่เขาพูดโกหก และแบคฮยอนจับไม่ได้ทุกครั้ง แต่คราวนี้มันชัดเจนมาก ต่อให้เซฮุนไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำแต่แบคฮยอนแน่ใจว่าเขารู้เรื่องนี้แน่

     

    “มันมีคนมาบอกกูอะ เค้าบอกว่ามันเอากับชานยอล แต่กูถามมันแล้ว ชานยอลมันบอกว่าไม่ได้ทำ” แบคฮยอนมุ่ยปากพร้อมกับยักไหล่ เขาไม่ชอบเลยเวลาที่เซฮุนพยายามโกหกหรือปกปิดอะไรบางอย่างทั้งๆ ที่เขาสัญญาแล้ว มันทำให้แบคฮยอนกลับไปมีความรู้สึกเดิมๆ เหมือนกับชานยอล เหมือนกับตอนแรกที่จับได้ว่าเซฮุนเป็นสายให้ประธาน

     

    ทั้งที่คิดว่าสนิทกันแล้ว เป็นเพื่อนกันแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงๆ พวกเขาก็ยังห่างไกลและมีกำแพงระหว่างเรื่องที่ทำงานอยู่ดี

     

    “แล้วพี่รู้ได้ไงว่าแฟนพี่ไม่ได้โกหก”

     

    “ไม่รู้ดิ ปกติถ้ามันไม่อยากตอบมันจะเลี่ยงไปเลี่ยงมา แต่อันนี้มันพูดออกมาเลยว่ามันไม่ได้ทำ แล้วมันก็ย้ำด้วยว่ามันไม่ได้โกหก ไม่รู้ดิ แต่กูเชื่อมันอะ”

     

    “งั้นก็ดีแล้วนี่ เค้าอาจจะทำกับแฟนเค้าก็ได้” เซฮุนปรับสีหน้าเป็นปกติแล้วหันไปส่งยิ้มให้กับพนักงานรุ่นพี่ที่เริ่มทำหน้ามุ่ย เขาไม่อยากยุ่งเรื่องอะไรที่มันเกินตัว และแบคฮยอนก็ไม่อยากยุ่ง เพราะถึงเขาจะเป็นคนรักของลูกชายประธานแต่ก็ไม่ได้มีอำนาจมากพอจะทำอะไร

     

    “อย่าบอกนะว่าเป็นมึงอะ”

     

    “หึ ถ้าเป็นผมแล้วจะยังไง” ชายหนุ่มว่าแล้วก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ในเมื่อแบคฮยอนบอกเองว่าโคลอี้ไม่เคยเป็นแฟนชานยอลและถ้าคนนั้นจะเป็นเซฮุนมันจะผิดยังไง

     

    “นี่ล้อกูเล่นปะ” คนตัวเล็กขมวดคิ้วทำหน้านิ่วด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เสียงหัวเราะของเซฮุนทำแบคฮยอนเริ่มไขว้เขวและเขารู้สึกไม่ดีเอาซะเลย

     

    แบคฮยอนรู้สึกเหมือนเซฮุนกำลังผลักเขาออกนอกกำแพงสังคมอีกครั้ง และไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นใคร แบคฮยอนก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเซฮุนกำลังปกป้องโคลอี้ เขากำลังปกป้องผู้หญิงที่ตัวเองบอกว่าเลิกชอบไปแล้ว ซึ่งแบคฮยอนรู้ดีว่าต่อให้เซฮุนไม่ได้รักโคลอี้แล้วเขาก็ไม่ควรพูดเรื่องนี้อยู่ดี แต่มันก็อดคิดไม่ได้จริงๆ

     

    “ล้อเล่นเรื่อง”

     

    “คนที่มีไรกับโคลอี้อะ เป็นมึงอ่อ”

     

    “พี่ยังไม่รู้เลยว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”

     

    “กูมีคลิปนะ” พอพูดคำนั้นออกไปสีหน้าของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนไปทันที และแบคฮยอนก็ยิ่งอดใจเสียไม่ได้ เขาไม่อยากให้เป็นเซฮุนเลย ไม่อยากให้เซฮุนทำแบบนี้ อีกใจก็ยังคงเชื่อว่ารุ่นน้องจะไม่มีทางทำแบบนั้น แต่ท่าทีของเขากลับยิ่งทลายความไว้เนื้อเชื่อใจ

     

    “คลิปไหน”

     

    “ที่โคลอี้มีไรกับใครบนเครื่องบินอะ”

     

    “ถ้าพี่มีคลิปพี่มาถามผมทำไมว่าใครทำ”

     

    “มึงเคยเห็นคลิปแล้วใช่ปะ มึงถามเพราะมึงอยากรู้ใช่ไหมว่ากูรู้อะไรบ้าง”

     

    “..............”

     

    “ไหนมึงสัญญาแล้วไงวะว่ามึงจะไม่โกหกกู ไม่เล่ห์เหลี่ยมกับกู” ราวกับฉากในละครหนังที่ตัวเอกกำลังถูกไล่ต้อนให้รับสารภาพผิด แบคฮยอนได้แต่นิ่วหน้าด้วยความเสียใจ เขาไม่อยากให้เซฮุนทำแบบนี้เลย ไม่อยากให้ความเชื่อใจและความสนิทสนมนี้ถูกทำลายลงอีกครั้ง

     

    “ผมบอกแล้วว่าผมไม่รู้” เซฮุนยังคงย้ำคำเดิม เขาถอนลมหายใจออกมาด้วยความลำบากใจก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูง

     

    “มึงปกป้องเค้าใช่ปะ โคลอี้อะ มึงยังรักเค้าใช่ไหม”

     

    “ผมไม่ได้รักเค้านานแล้ว แล้วผมก็ไม่ได้ปกป้องใคร” มือเรียวยกขึ้นเกลี่ยปอยผมที่หล่นออกมาจากหลังใบหูคนตัวเล็ก เซฮุนไม่ได้ปกป้องใครทั้งนั้น และเขาก็ไม่อยากถูกแบคฮยอนมองด้วยสายตาแบบนั้น

     

    “แต่มึงรู้ใช่ปะว่าเป็นใคร อย่าโกหกกู ถ้าไม่อยากตอบก็แค่ไม่ต้องตอบ”

     

    “...............”

     

    “กูเข้าใจมึงนะ กูพูดจริงๆ กูไม่ได้โกรธมึงด้วย แต่คราวหลังบอกกูว่าบอกไม่ได้ได้ปะวะ กูไม่เซ้าซี้หรอก”

     

    “ผมไม่ได้ตั้งใจ อย่าบอกใครเรื่องคลิปนะ ผมขอ...”

     

     

     

    “มึงจำเซฮุนได้ปะ ที่กูบอกว่ามันเคยชอบโคลอี้อะ”

     

    “อือ ทำไมอะ”

     

    “วันนี้กูถามมันเรื่องคลิป มันตกใจด้วยนะ ไม่รู้ดิ กูรู้สึกว่ามันมีอะไรปิดบังไว้อะ กูว่ามันรู้ว่าเป็นใครหรือไม่ก็เป็นมันเอง” แบคฮยอนไถหัวลงกับต้นแขนของแฟนหนุ่มอย่างช่างอ้อน เขากำลังนึกถึงเรื่องต่างๆ มากมายทั้งความวุ่นวายที่เกิดขึ้นและปัญหาเรื่องการเคลือบแคลงใจ

     

    ตอนนี้แบคฮยอนหวังแค่ว่าผู้ชายคนนั้นจะไม่ใช่เซฮุน และแฟนของเขาไม่ได้โกหก มันจะเป็นใครก็ช่าง แบคฮยอนไม่อยากรู้อีกแล้วเพราะเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นของเรื่องไม่ดี มันเป็นลางสังหรณ์ของคนที่มีความรู้สึกไวอยู่เสมอ แบคฮยอนรู้สึกเหมือนว่าถ้ายิ่งขุดคุ้ยเขาจะยิ่งเจอกับปัญหา

     

    “หรอ โคลอี้เนี่ยหรอ” ชานยอลเหมือนไม่ค่อยเชื่อหูตัวเองเท่าไหร่ ที่จริงเขาไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าเซฮุนชอบโคลอี้ถ้าแบคฮยอนไม่บอก ซึ่งถ้ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่ใช่ชานยอลจะยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่

     

    “ไม่รู้อะ แต่มันไม่ยอมบอกอะว่าใคร แต่มันขอกูว่าอย่าบอกใครเรื่องคลิป ไม่รู้มันปกป้องตัวเองหรือปกป้องใคร”

     

    คำพูดของแบคฮยอนฉุดให้ชายหนุ่มคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง คิ้วเรียวขมวดย่นลงเล็กน้อย ชานยอลตัดสินใจปิดเบราเซอร์ลงเมื่อเขารู้สึกว่าตัวเองกำลังหมกมุ่นกับมันมากเกินไปก่อนที่จะพับฝาโน้ตบุ๊กลงแล้วพลิกตัวหันไปกอดคนข้างๆ ไว้แน่น พร้อมก้มหน้าลงซุกปลายจมูกกับพวงแก้ม สูดดมกลิ่นหอมที่ทำให้สบายใจทุกครั้งที่รู้สึกเหมือน

     

    “ช่างมันเหอะ ค่อยคิดวันหลัง” คนตัวสูงหยัดตัวขึ้นถอดเสื้อกันหนาวออกโยนไว้ข้างเตียงก่อนจะโถมตัวกอดรัดร่างแฟนตัวเล็กเอาไว้

     

    อาทิตย์นี้ชานยอลเจอเรื่องหนักหนาติดกันมาตลอดและเขาอยากจะพักผ่อนเติมพลังให้กับตัวเองมากๆ ยิ่งแบคฮยอนอยู่ตรงนี้ชานยอลก็ไม่อยากสนใจอย่างอื่นอีกแล้ว ปลายจมูกโด่งเริ่มซุกไซ้ไปตามสันกรามและซอกคอขาวอย่างซุกซน

     

    “วันนี้ทีเดียวพอปะ พรุ่งนี้ทำงาน” แบคฮยอนจ้องตาแฟนเด็กของเขาในขณะที่อีกฝ่ายยังไม่เลิกส่งมือเลื้อยเข้าไปใต้ร่มผ้าโดยที่แขนอีกข้างก็กอดกระชับเอวบางไว้แน่น

     

    “พอ อยากกอดเฉยๆ”

     

    “เอ้า อยากกอดเฉยๆ ก็กอด”

     

    “ไม่เอา”

     

    คำพูดที่แสนย้อนแย้งของแฟนหนุ่มทำแบฮยอนอดขำออกมาไม่ได้ แต่เขาก็ยอมยกแขนให้อีกฝ่ายถอดเสื้อออกตามใจชอบ ไม่ใช่แค่ชานยอลคนเดียวหรอกที่อยากเติมพลังด้วยการแสดงความรักทางกายแล้วนอนกอดกันทั้งคืนเหมือนเป็นการชาร์จแบต แล้วพรุ่งนี้เช้าพวกเขาก็จะตื่นขึ้นมาด้วยพลังที่เต็มเปี่ยม

     

    มันเหมือนกับเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าสิ่งใด และเป็นกำลังใจชั้นดี แค่ยังได้อยู่ด้วยกันตรงนี้ก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว

     

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

     

    เวลาเที่ยงคืนเศษ เสียงเพลงหวานๆ สำหรับหน้าหนาวดังเบาๆ ภายในห้องนอนที่ถูกเปิดแค่ไฟสีส้มสลัวๆ ชานยอลยังทำงานต่อในขณะที่แบคฮยอนเริ่มง่วงแล้ว เสียงกดแป้นพิมพ์ที่ดังเป็นจังหวะเปรียบเสมือนเสียงกล่อมชั้นดี มันทำให้แบคฮยอนรู้สึกเพลินจนแทบจะหลับ แต่แล้วสัมผัสเย็นๆ ที่น่องก็ทำให้เขาต้องสะดุ้ง

     

    “อย่าเอาตีนมาโดนดิ เย็น” คนตัวเล็กตัวเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงงัวเงียทั้งยังนอนหลับตาโดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าแฟนหนุ่มกำลังหัวเราะคิกคัก

     

    เสียงกดคีย์บอร์ดกลับมาดังอีกครั้ง ก่อนที่จะเงียบลง หน้าเพจ Instagram ถูกเลื่อนลงเรื่อยๆ ชานยอลยื่นเท้าออกไปนอกผ้าห่มเพื่อชาร์จให้เย็นจัด พอรู้สึกว่ามันเริ่มเย็นได้ที่เขาก็เอาฝ่าเท้าไปแตะขาแฟนตัวเล็กอีกครั้งจนอีกฝ่ายสะดุ้ง

     

    “มึงอย่ากวนตีนได้ปะ” คราวนี้แบคฮยอนหันหน้ามาทำหน้ายุ่งพร้อมกับทำเสียงหงุดหงิดเพราะเขากำลังง่วงได้ที่แล้วแต่ก็ถูกปลุกให้ตื่นอีกครั้งและก็มั่นใจว่าแฟนหนุ่มไม่ได้แค่บังเอิญฟาดขามาโดนแน่

     

    “โทษที ไม่ได้ตั้งใจ ขามันไปโดน” ชานยอลพยายามจะกลั้นขำ พอแบคฮยอนหันกลับไปอีกครั้งเขาก็แอบหัวเราะออกมาเงียบๆ

     

    “กูได้ยินเสียงมึงหัวเราะนะ”

     

    “หัวเราะอะไร?” เจ้าจอมกวนประสาทยังไม่ยอมแพ้ ชานยอลยิ้มกริ่ม ค่อยๆ เคลื่อนเท้าเย็นเฉียบเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วแตะมันลงบนน่องคนรักอีกครั้ง คราวนี้แบคฮยอนดีดตัวลุกขึ้นพรวดแล้วคว้าหมอนใบใหญ่ฟาดใส่แฟนหนุ่มทันทีแบบไม่ยั้งด้วยความหงุดหงิดปนโมโห

     

    “มึงไม่หยุดใช่แมะ!

     

    ตั้บ! ตั้บ!

     

    “อะไร?! อย่าใช้ความรุนแรงดิ” ชานยอลรีบยกแขนขึ้นกันหน้า แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นเขาก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจยิ่งได้เห็นสีหน้าง่วงๆ ปนหงุดหงิดของแบคฮยอนชานยอลก็ยิ่งตลก มันดูเหมือนก้อนโมจิบวมๆ ที่มีเม็ดงาติดอยู่

     

    คนตัวเล็กตีหน้าบึ้งก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง คราวนี้แบคฮยอนรวบผ้าห่มมาพันร่างเอาไว้หมดจนไม่มีช่องว่างให้เท้าคู่ไหนสอดแทรกเข้ามา

     

    ชานยอลได้แต่ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เขาบันทึกหน้าจออินสตาแกรมไว้เป็นเว็บเพจก่อนที่ฝาโน้ตบุ๊กจะถูกพับลงทั้งที่โปรแกรมข้างในยังเปิดทำงาน ชานยอลลุกขึ้นไปหยิบถุงเท้ามาสวมแล้วกลับไปบนเตียงอีกครั้ง เขาดับไฟหัวเตียงจนมืดก่อนจะค่อยๆ เขยิบเข้าไปกอดหมอนข้างส่วนตัวที่ถูกพันด้วยผ้านวมเอาไว้จากด้านหลัง

     

    “ไปไกลๆ เลย ตีนเย็น”

     

    “ใส่ถุงเท้ามาแล้ว ขอกอดหน่อย” ว่าแล้วก็ซุกหน้าลงกับหลังคอขาวๆ อย่างอารมณ์ดี กลิ่นของแบคฮยอนยังทำให้รู้สึกสบายใจได้เสมอเสมือนมันได้กลายเป็นกลิ่นของความปลอดภัย และกำลังใจไปแล้ว

     

    ไม่ว่าอยู่ที่ไหนแบคฮยอนก็ทำให้ชานยอลรู้สึกดีได้เสมอ แม้แต่ในบ้านอันเป็นสถานที่ที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่นึกถึงมัน แบคฮยอนที่เป็นเหมือนกับโลกที่ปลอดภัยและโลกทั้งใบของชานยอล...

     

     






    #ฟิคกวาง









    ไปไกลไกลลลลล๊ เหม๊นนนนนน  เอ็นจอยรีดดิ้ง  เจอกันตอนหน้าแบบเร็วๆๆๆๆ นี้ ขอบคุณที่อ่านเหมือนเดิม และอย่าลืม #ฟิคกวาง นะคะ :D โจ๊ะๆ


    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×