ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ฟิคเสื่อม] กวาง The series - Chanbaek

    ลำดับตอนที่ #42 : Chapter : 38 จบปัญหา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 25.93K
      355
      11 ม.ค. 61




    “เอาไว้ก่อน”

     

    […………..]

     

    “ขอจัดการเรื่องนี้ก่อน ครอบครัวผมจะพังอยู่แล้ว!

     

    […………..]

     

    “แค่นี้แหละ”

     

    ชายวัยกลางคนกระแทกหูโทรศัพท์ลงกับเครื่องรับก่อนจะยกมือขึ้นนวดขมับพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น ก่อนที่ชายร่างสูงใหญ่จะลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมกับคว้าสูทตัวเดิมไปด้วย เขาหลุบตาลงมองนาฬิกาที่บอกเวลาเที่ยงเศษๆ

     

    ในจิตใจของหนุ่มใหญ่เต็มไปด้วยความกระวนกระวายหลังจากได้รับข้อความจากหญิงสาวที่ตัวเองเคยมีสัมพันธ์ด้วย รู้สึกได้ถึงอดีตที่กำลังวิ่งไล่ตามมาติดๆ หลัง และอีกไม่นานมือนั้นก็จะคว้าเข้าที่ตัวเขาก่อนที่จะบีบขย้ำทุกอย่างให้พังลง

     

    มันกำลังเกิดขึ้นอีกแล้ว...

     

    .

     

    .

     

    .

     

    “หิวข้าวอีกแล้วว่ะ มึงหิวปะ”

     

    “หื้อ...”

     

    “บอกว่าหิวข้าว เพิ่งกินไปเมื่อกี้หิวอีกละ”

     

    เวลาสามทุ่มเศษๆ ภายในห้องคอนโดหรู เสียงเพลงจากในโน้ตบุ๊กดังเคล้าเบาๆ ไปพร้อมกับเสียงพูดคุยและเสียงเปิดหน้ากระดาษ แบคฮยอนที่กำลังนอนคว่ำหน้าอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่เหยียดหลังขึ้นบิดขี้เกียจ ก่อนจะกลิ้งตัวเข้าไปหาแฟนตัวสูงที่ยังเอาแต่นอนเล่นโทรศัพท์อยู่อย่างเคย

     

    “ทำไรวะ” ศีรษะทุยวางลงบนไหล่หนา ก่อนที่เรียวแขนจะตวัดกอดรอบเอวคนข้างตัวไว้หลวมๆ ดวงตาเรียวรีจ้องมองไปยังหน้าจอโทรศัพท์เครื่องหรูที่กำลังโชว์รูปรอยสักสวยๆ จากร้านสักในอินสตาแกรม

     

    “เปล่า”

     

    “ดูไรอะ จะสักอ่อ”

     

    “อือ อยากสัก... ผมสักดีปะ” ชานยอลว่าพร้อมกับหันไปหอมหัวคนรักเต็มฟอด ก่อนจะวางมือลงบนศีรษะพลางใช้ปลายนิ้วลูบสางเส้นผมนุ่มเล่นอย่างเพลินมือ เขาหลุบตาลงมองคนในอ้อมกอดก่อนที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมาเมื่อได้เห็นใบหน้านิ่วๆ ของอีกฝ่าย

     

    “จะสักทำไม คิดยังไงอยากสัก” คนตัวเล็กนิ่วหน้าเหลือบตาขึ้นมองแฟนหนุ่มที่อยู่ๆ ก็หาเรื่องอยากจะสักขึ้นมา เขาเห็นชานยอลทำหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วก็กดเซฟรูปรอยสักลงมือถือเหมือนไม่ได้กำลังสนใจฟังกันเท่าไหร่

     

    “ก็อยากสักเฉยๆ สวยดี”

     

    “หาเรื่อง ไม่ต้องสักหรอก แค่นี้ก็หล่อพอแล้ว สักมาอีกเดี๋ยวฮอตเกิน กูหวง” ขมวดคิ้วนิ่วหน้าว่าออกไปด้วยน้ำเสียงกึ่งทีเล่นทีจริง ก่อนจะซุกหน้าลงไถกับเสื้อฮู้ดตัวหนาอย่างช่างอ้อน ขาเรียวยกขึ้นก่ายเกี่ยวเอวหนาไว้อย่างกับลูกลิง

     

    แบคฮยอนไม่อยากให้ชานยอลไปสักเลย เพราะมันคงไม่ดีสำหรับภาพลักษณ์ในที่ทำงานของเขา และพนันได้เลยว่าอีกไม่เกินสองเดือนเดี๋ยวเจ้าตัวก็จะเบื่อและหายเห่อเรื่องรอยสักไปเอง

     

    “ผมอยากสักเฉยๆ ปะ ไม่ได้อยากสักให้ใครดูสักหน่อย”

     

    “ไม่เอา~ ไม่ต้องสักหรอก สักทำไม เดี๋ยวมึงก็เบื่อ เดี๋ยวแม่ก็ว่าอีก แล้วก็ทะเลาะกัน รอยสักมันติดตัวมึงไปตลอดเลยนะ ไม่ใช่เล่นๆ คิดให้ดี”

     

    “ก็สักนิดเดียวไง สักเล็กๆ ไม่มีใครเห็นหรอก”

     

    “แน่ใจนะว่านิดเดียวอะ ดูลายมันไม่น่านิดเดียวเลยนะ”

     

    “ก็สักแค่รูปเล็กๆ สักตรงเอวดีป่ะ จะได้ไม่มีใครเห็น” คนตัวสูงหันหน้าไปใช้ปลายคางกระแทกศีรษะทุยเบาๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว มือหนาเลื่อนลงไปบีบพวงแก้มนุ่มหยุ่นและริมฝีปากของคนรักเล่นอย่างสนุกมือ

     

    ถึงชานยอลจะรู้ตัวดีว่าแฟนเขากำลังพูดถึงอะไร แต่จิตใจที่ดื้อด้านก็ยังเสาะหาหนทางที่จะได้ทำในสิ่งที่ใจต้องการอยู่ดี

     

    “ไม่ต้องเลย~ ถ้ามึงไม่ได้จะสักชื่อกูมึงก็ไม่ต้องสักอะไรทั้งนั้นอะ” แบคฮยอนส่ายหน้าไปมาพลางส่งเสียงหัวเราะหึออกมาจากในลำคอ เขารู้ว่าชานยอลจะไม่มีทางตัดสินใจทำสิ่งโง่ๆ อย่างการสักชื่อแฟนไว้บนร่างกายแน่ เพราะอย่างงั้นเขาไม่ต้องสักซะดีกว่า

     

    “ทำไมอะ ทำไมไม่อยากให้สัก”

     

    “กูไม่ได้ไม่ชอบ แต่มึงคิดให้ดีก่อน รอยสักมันติดตัวมึงไปตลอดเลยนะ ไม่ได้เหมือนกล้องโทรศัพท์ที่มึงเบื่อมึงก็วางทิ้ง ไหนจะแม่มึงอีก ไปถามเค้ายัง อย่างน้อยก็ใช้เงินเค้านะ” คนตัวเล็กหยัดตัวขึ้นนั่งพูดด้วยสีหน้าจริงจัง คิ้วเรียวขมวดย่นเข้าหากันด้วยความเป็นห่วง  แบคฮยอนเห็นแฟนเขาเหลือบตาขึ้นมามองเพียงครู่หนึ่งก็หันไปสนใจมือถือต่อ

     

    “รู้ได้ไงว่าผมจะเบื่อ”

     

    “โอ้ย~ กล้องมึงอีตัวละแสนมึงซื้อมาจับสองทีก็วาง ถ้าอยากสักจริงๆ ก็ไม่ได้ห้ามหรอก แต่คิดให้มันดีๆ หน่อย ไม่ใช่อยากไปก็ไปเลย ถึงคราวจะลบมันลบยากนะเว้ย”

     

    “แต่ผมอยากสักอะ...”

     

    Ring ring ring ring ring

     

    พูดยังไม่ทันได้จบประโยคดีเสียงเรียกจากโทรศัพท์เครื่องหรูก็ดังแทรกขึ้น การถกเถียงเล็กๆ หยุดลงโดยอัตโนมัติ ชานยอลมองดูเบอร์มือถือบนหน้าจอก่อนจะหยัดตัวขึ้นกดรับสายแล้วกรอกเสียงลงไป

     

    “ครับ...”

     

    [ตอนนี้ชานยอลอยู่บ้านหรือเปล่าลูก]

     

    “เปล่าครับ ผมอยู่คอนโด”

     

    [แล้วพ่ออยู่บ้านไหม]

     

    “ผมไม่รู้ แต่ตอนผมออกมาก็เห็นอยู่”

     

    [แล้วพ่อไม่ได้ไปทำงานหรอ]

     

    “ไม่รู้ครับ ผมไม่ได้ถาม แต่คงไม่ได้ไป”

     

    [อือ งั้นเดี๋ยวชานยอลช่วยไปเอาเอกสารที่บริษัทมาให้แม่หน่อยได้ไหม ในห้องทำงานแม่ แม่ฝากลูกน้องแล้วเค้าลืมเอามา เอามาให้แม่ตอนนี้เลย ก่อนสี่ทุ่มทันไหม]

     

    “ตอนนี้หรอครับ... ได้ อีกประมาณยี่สิบนาที เดี๋ยวผมไป”

     

    [ขอบคุณครับ เอามาเลยนะ]

     

    “ครับผม”

     

    การสนทนาสั้นๆ จบลงภายในเวลาไม่กี่นาที เจ้าของมือถือกดวางสายก่อนจะถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่  ชานยอลมองดูเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์แล้วเก็บมันลงกระเป๋าเสื้อฮู้ด ตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาสามทุ่มเกือบครึ่งแล้ว เขาคงต้องหยุดเวลาพักเอาไว้ไปทำธุระก่อน

     

    “ใครวะ”

     

    “แม่ โทรมาให้เอาของไปให้”

     

    “ไปตอนเนี้ยเลยอะนะ?”

     

    “อือ ไปเอาที่บริษัท แต่ไปไม่นานหรอก” คนตัวสูงหยิบเอานาฬิกาบนชั้นข้างเตียงมาสวมพลางลอบถอนลมหายใจออกมาอย่างนึกเซ็ง ก่อนจะคลานตัวไปคร่อมร่างแฟนตัวเล็กเอาไว้ ชานยอลโน้มใบหน้าลงไปช่วงชิงจูบจากริมฝีปากของคนด้านล่างด้วยความเร็วเพียงเสี้ยววินาที เขาละใบหน้าออกมายังไม่ทันปลายผมหน้าม้าพ้นหน้าผากก็ก้มลงไปหอมฟอดซ้ำบนแก้มนุ่มอีก “เดี๋ยวมา...”

     

    “อือ ขับรถดีๆ ซื้อขนมมาด้วยนะ”

     

    “ครับ”

     

    พอรับปากแล้วคนตัวสูงก็ผละตัวลุกขึ้นจากเตียงเดินออกประตูห้องนอนไป ทันทีที่เสียงภายในห้องเงียบลงแบคฮยอนก็คลานไปปิดเพลงในโน้ตบุ๊ก เขาซุกใบหน้าลงกับหมอนอย่างรู้สึกเซ็งแล้วปล่อยให้ความเงียบดึงตัวเองลงสู่ห้วงนิทรา

     

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

     

    ติ๊ก... ต่อก... ติ๊ก... ต่อก...

     

    เสียงเข็มนาฬิกาเดินไปอย่างเชื่องช้าท่ามกลางความเงียบที่น่าพิศวง พัค ยูรินนอนอยู่บนเตียงนอนผู้ป่วย ข้างๆ เธอมีสามีที่กำลังยืนหันหลังพิงขอบเตียงอยู่ ท่ามกลางความเงียบ มีเพียงแค่เสียงลมหายใจที่ดังกว่าสิ่งใด ชายวัยกลางคนยกมือขึ้นเสยผมก่อนจะถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่

     

    “ผมขอโทษ...” ซองจินยังกล่าวย้ำคำพูดเดิมกับภรรยาของเขาที่เอาแต่นั่งเงียบ มือหนาวางลงบนขอบเหล็กกั้นของเตียง  สีหน้าเรียบเฉยของยูรินดูน่ากลัวยิ่งกว่าเสียงตะคอกของเธอ

     

    “คุณอยากขอโทษใคร ขอโทษลูก ขอโทษฉัน หรือขอโทษใคร” หญิงวัยกลางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ สายตาอันเฉียบขาดของเธอจ้องลึกลงไปยังนัยน์ตาสีดำสนิทของสามี ถ้ามีคนเดียวที่ควรได้รับคำขอโทษจากความผิดครั้งนี้ก็คือชานยอล

     

    ชานยอลที่ถูกพ่อของเขาทำลายความเชื่อใจอย่างที่ไม่รู้ว่าจะสามารถกอบกู้มันคืนมาได้ไหม เขาจะมองหน้าพ่อตัวเองได้ยังไงถ้าเห็นภาพทับซ้อนของชายไม่รู้จักพอที่ทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า

     

    “ผมจะคุยกับชานยอล”

     

    “ไปสิ ไปคุยเลย... มันจะได้ยิ่งตอกย้ำความผิดของคุณ”

     

    “ยูริน ผม...”

     

    “คุณ! จะไปเอาผู้หญิงที่ไหนก็ไป... แต่อย่าให้ลูกรู้ ไม่ต้องทำลายครอบครัวไปมากกว่านี้! ฉันพอแล้ว แล้วเราต่างคนต่างอยู่กัน” หญิงวัยกลางคนกล่าวเสียงเหี้ยม เธอยื่นคำขาดพร้อมจ้องหน้าผู้เป็นสามีไม่วางตา จนกระทั่งเขาคุกเข่าลงที่ข้างเตียง แต่ยูรินรู้ว่ามันจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไร

     

    “ขอโอกาสผมอีกครั้งเดียว” ประธานบริษัทใหญ่คุกเข่านั่งก้มหน้าสำนึกผิดอยู่ข้างเตียงภรรยาสาว ซองจินรู้แล้วว่ามันเป็นเรื่องผิดใหญ่หลวงแต่เขาแก้ไขอะไรไม่ได้ และมันคงจะเป็นชีวิตที่ลำบากถ้าขาดหญิงสาวที่อยู่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กันมานับสิบปี เขาจะไม่ปล่อยให้อะไรก็ตามที่พอมีเหลืออยู่ในมือนี้หายไป

     

    “หึ... คุณทำได้ยังไง มีอะไรกับว่าที่ลูกสะใภ้ตัวเอง คุณไม่นึกถึงหน้าชานยอลได้ยังไง! เด็กที่คุณเห็นมาตั้งแต่เกิด คุณทำลงได้ยังไง!” ยูรินกัดฟันพูดพลางสูดลมหายใจเขาลึกๆ เพื่อสกัดกลั้นอารมณ์โกรธ ตอนนี้เธอแทบมองไม่เห็นสามีที่เคยดีเลย

     

    “ผมไม่โทษใคร...”

     

    ทุกคำพูดที่ภรรยากล่าวซองจินขอรับมันเอาไว้ทั้งหมดโดยที่ไม่โต้เถียงแม้แต่คำเดียว เขาไม่ปฏิเสธว่าเคยมีอะไรกับลูกสาวของครอบครัวที่สนิทสนมกันมา แต่ทุกอย่างมันเป็นแค่ความสัมพันธ์ชั่ววูบตลอดไฟท์บินที่ยาวนาน

     

    ความมากเสน่ห์ของชายหนุ่มวัยกลางคนกับหญิงสาววัยสะพรั่ง ซองจินไม่โทษหลานสาวของเขา เธออยู่ในวัยสนุกและต้องสั่นคลอนหลายครั้งกับความรักที่ไม่เคยแน่นอนของเพื่อนสนิท แต่ทุกอย่างมันจบลงแค่บนเครื่องบินนั้น และซองจินอยากให้มันเป็นความลับตลอดไป

     

    “งั้นคุณก็โทษตัวเองไป แล้วจำไว้หลังจากนี้ฉันมีแค่ลูกคนเดียว”

     

    “คุณพยายามแยกครอบครัวออกจากผม”

     

    “คุณเป็นคนพังครอบครัวเอง... กี่ครั้ง”

     

    ……………

     

    “ฉันไม่สนแล้วว่าคุณจะอยากไปมีผู้หญิงที่ไหนอีก อยากทำอะไรก็เชิญเลย แต่ไม่ต้องให้มามีส่วนเกี่ยวข้องกับครอบครัว”

     

    “คุณก็รู้ว่าผมทำไม่ได้...” หนุ่มใหญ่ถอนลมหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืนมองหน้าหญิงสาวตรงหน้า ซองจินรู้ว่าเขาทำไม่ได้ และไม่ว่าให้เถลไถลทำผิดพลาดไปอีกกี่ครั้งเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ารักเธอ..

     

    “หึ”

     

    “ผมขอโอกาสอีกครั้งเดียว”

     

    “ตอนเรื่องแม่เซฮุนคุณพูดว่าไงนะ”

     

    “ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย...” ดวงตากลมโตหลับลง มือหนาเอื้อมไปกอบกุมฝ่ามือของภรรยาไว้ราวกับต้องการร้องขอความเห็นใจ  ตลอดชีวิตคู่ยี่สิบกว่าปี เขานอกกายภรรยาสองคนและซองจินไม่โทษว่ามันเป็นความผิดของใคร แต่ถ้าคราวหน้ายังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกเขาจะรับผิดชอบทุกสิ่งเอง

     

    “............”

     

    “ผมขอร้อง...”

     

    หญิงวัยกลางคนนั่งเงียบ ทุกครั้งที่เธอมองเห็นดวงตาของสามียูรินนึกถึงลูกชายที่เธอหวงมากกว่าสิ่งใด และถ้าจะมีเหตุผลข้อเดียวที่ยูรินยังให้อภัยสามีเป็นครั้งที่สองก็คือเพราะเห็นแก่ความเป็นพ่อของลูกของเขา ถ้าซองจินยังต้องการสิทธิ์นี้เขาควรรู้ตัวเองสักทีว่าทำเรื่องร้ายแรงแค่ไหน

     

    “คุณอยู่ในบ้านได้... อยากกลับบ้านก็ได้ อยากไปเที่ยวด้วยกันวันหยุดก็ได้ แต่คุณจำไว้ว่าคุณไม่มีทางได้ความเชื่อใจคืนไม่ว่าจะกับลูกหรือกับฉันเอง....”

     

    “ผม... จะพยายาม...” หนุ่มใหญ่ยกฝ่ามือขาวบางของภรรยาขึ้นมาจูบลงที่หลังมือพลางถอนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกที่อย่างน้อยก็ยังพอมีโอกาสถึงจะรู้ว่ามันไม่มีทางกลับเป็นเหมือนเดิมได้

     

    ..............

     

    ที่หน้าบานประตูสีขาวเด็กหนุ่มถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่พลางหลุบตาลงมองกระเป๋าเอกสารในมือ เสียงรองเท้าเสียดสีพื้นกระเบื้องหินอ่อนเรียกสายตาชานยอลให้ต้องหันไปมองด้านหลัง เขาเห็นพนักงานคนสนิทที่แสนคุ้นหน้าของแม่ยืนอยู่

     

    ดวงตาสองคู่สบกัน ชานยอลไม่ได้พูดอะไรเขาตัดสินใจเคาะประตูจนกระทั่งได้ยินเสียงตะโกนของผู้เป็นแม่ คนตัวสูงก็ผลักบานประตูเข้ามา ก่อนที่ชายหนุ่มอีกคนจะเดินตามหลังเข้ามาติดๆ

     

    “อ้าว มาพร้อมกันเลย” ซองจินเอ่ยทักลูกชาย ทั้งสองคนของเขาพลางปั้นหน้ายิ้มทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นถึงแม้ว่าสถานะอารมณ์ของคนอื่นๆ ในห้องจะดูไม่ค่อยดีนัก

     

    มันเป็นภาพที่ซองจินไม่คิดว่าจะได้เห็นและเป็นสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกอึดอัดใจทีเดียวกับการได้อยู่ร่วมห้องกับลูกชายสองคนและภรรยาที่เพิ่งจะทะเลาะกันไป ชายผู้แบกความผิดเอาไว้เต็มสองบ่าได้แต่ยกยิ้มจางๆ ขึ้นบนใบหน้า สายตาที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่าของลูกชายทั้งสองบอกชายวัยกลางคนให้รู้ว่าเขาไม่ใช่พ่อที่ดีเลย... ไม่เป็นแม้แต่สามีที่ดี...

     

    “ชานยอลกินข้าวมาหรือยัง” ยูรินหันไปถามลูกชายพร้อมกับรับกระเป๋าเอกสารสำคัญมาวาง เธอถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะหันไปพูดกับพนักงานคนสนิท “แล้วเธอล่ะ”

     

    “ผมทานแล้วครับ”

     

    “เดี่ยวอยู่ต่อ ส่วนคุณกลับไปได้แล้ว ฉันอยากพักผ่อน” เมื่อลูกชายมาถึงยูรินก็ไม่รีรอที่จะไล่สามีออกไปจากห้องทันทีโดยที่ไม่คิดแม้แต่จะใยดีต่อสีหน้าอาลัยอาวรณ์ของเขา

     

    เมื่อซองจินได้ยินแบบนั้นเขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะอยู่ต่อ หนุ่มใหญ่คว้าสูทบนเก้าอี้แล้วเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยของภรรยาไปเงียบๆ โดยที่ไม่กล่าวพูดอะไรสักคำจนกระทั่งบานประตูปิดลง

     

    ความรู้สึกอึดอัดแปลกๆ ก่อตัวขึ้นทันทีเมื่อความเงียบกระจายตัวไปรอบห้อง เซฮุนยังคงยื่นนิ่งอยู่ที่เดิมเพื่อรอรับคำสั่งจากบอส แต่ชานยอลกลับรู้สึกอยากกลับคอนโดเต็มที

     

    “แม่มีอะไรอีกไหมครับ”

     

    “เปล่าหรอก แม่ก็อยากเจอชานยอลบ้าง พ่อบอกว่าชานยอลไม่กลับบ้านเลย”

     

    “ผมอยู่คอนโด” เด็กหนุ่มตัวสูงเอ่ยตอบออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ชานยอลว่าแม่เขารู้ดีอยู่แล้วว่าทำไมบ้านถึงไม่น่ากลับ

     

    “อือ... อาทิตย์หน้าแม่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว แต่แม่ต้องจ้างพยาบาลไปทำกายภาพด้วย ชานยอลบอกให้คนที่บ้านจัดห้องว่างให้ที”

     

    “ได้ครับ”

     

    “อือ... ไม่มีอะไรหรอก แม่แค่อยากเจอชานยอล” ยูรินถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เธอเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักแล้วหยิบเอาซองกระดาษสีขาวออกมายื่นส่งให้กับพนักงานคนสนิทที่ยืนเยื้องอยู่หลังลูกชายก่อนจะพูดต่อ “อันนี้ของเธอเซฮุน”

     

    “ครับ?”

     

    “ของขวัญปีใหม่ โบนัสพิเศษของปีนี้ ขอบคุณที่ตั้งใจทำงานนะ”

     

    “ขอบคุณครับ” ร่างโปร่งโค้งตัวลงแล้วรับซองนั้นไปใส่กระเป๋าเสื้อ บรรยากาศที่แสนพิลึกทำเซฮุนรู้สึกอึดอัดไม่แพ้กันแต่ก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนนอกครอบครัวอย่างเขา

     

    “แม่อยากให้ผมอยู่ด้วยไหม”

     

    “ไม่ต้อง ไม่เป็นไร แม่มีเพื่อนอยู่แล้ว ชานยอลกลับไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ทำงาน”

     

    เมื่อเห็นว่าผู้เป็นแม่ไม่ได้มีทีท่าว่าจะพูดอะไรชานยอลก็ทำได้เพียงแค่ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทำไมใครๆ ถึงต้องทำเหมือนกับชานยอลเป็นเด็กที่ต้องปิดบังเรื่องพวกนี้ด้วย ในเมื่อเขาเองก็รู้เรื่องทุกอย่างแล้ว ชานยอลไม่แคร์เลยถ้าแม่จะเลิกกับพ่อเพราะความผิดนี้มันร้ายกาจ

     

    เราทุกคนในที่นี้รู้เรื่องทุกอย่างกันหมด อะไรที่ชานยอลรู้เซฮุนรู้ และอะไรที่เซฮุนรู้แม่ก็รู้ แล้วทำไมพวกเขาถึงได้ต้องยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนี้

     

    “แม่ไม่มีอะไรจะบอกผมหรอ”

     

    “ชานยอล...”

     

    “แม่จะมองผมเป็นผู้ใหญ่เมื่อไหร่” เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงสุดเรียบนิ่งและสีหน้าเฉยชา ชานยอลไม่ได้โกรธแม่เลยจริงๆ เขาอาจรู้สึกไม่ดีกับพ่อเพราะสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นทำมันเลวร้าย และชานยอลไม่ได้เย็นชาพอจะมองว่าพ่อหรือโคลอี้เป็นคนอื่น

     

    เขามีส่วนเสียใจกับเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ชานยอลไม่ไขว้เขวอีกแล้ว เขายังยืนเป็นผู้เป็นคนอยู่ตรงนี้ ไปทำงาน ไปกินข้าว และใช้ชีวิตอย่างดี

     

    “ผมจะออกไปข้างนอกนะครับ” สถานการณ์ครอบครัวที่น่าอึดอัดทำให้พนักงานหนุ่มเลือกที่จะเดินหนีไปแทนที่จะอยู่ทนฟังดราม่าครอบครัว เขาโค้งให้กับประธานอีกครั้งก่อนจะเดินออกนอกประตู ปล่อยทิ้งไว้เพียงความน่าอึดอัดใจระหว่างแม่ลูก

     

    “แม่ไม่ได้มองว่าชานยอลเป็นเด็ก...” ยูรินสบตาลูกชาย เธอพักเพื่อสูดลมหายใจก่อนจะพูดเธอ “แม่รู้ว่าชานยอลรู้อยู่แล้ว แต่ที่แม่ไม่อยากบอกเพราะมันเป็นเรื่องน่าอายที่แม่ไม่อยากพูดถึง...”

     

    “ผมไม่เป็นไรถ้าแม่อยากตัดสินใจอะไร”

     

    “แม่จะตัดสินใจอะไร แม่ไม่เลิกกับพ่อหรอกชานยอล เพราะเรายังมีหลายอย่างที่สร้างมาด้วยกัน ชีวิต ทรัพย์สิน เงินทอง หรือแม้แต่ชานยอลก็ด้วย แม่แค่ไม่อยากบอกชานยอลว่าแม่โดนพ่อทำกับแม่ยังไงเพราะแม่รู้สึกอาย...” หญิงวัยกลางคนกล่าวออกไปอย่างซื่อตรง เธอหลุบตาลงมองผ้านวมที่ห่มคลุมร่างก่อนจะว่าต่อ

     

    “แม่อายที่จะบอกชานยอลว่ายังไงแม่ก็ยังรักพ่ออยู่ ถึงพ่อจะทำอย่างงี้กับแม่ก็ตาม....”

     

    “ผมก็เคารพการตัดสินใจของแม่...” เด็กหนุ่มตัวสูงเอ่ยคำพูดที่เขาไม่คิดว่าจะได้พูดมันออกมาด้วยความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ ออกไป ชานยอลไม่อยากบอกว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยยอมรับในทุกสิ่งที่แม่ตัดสินใจ แต่วันนี้ชานยอลจะไม่ทำแบบนั้น

     

    “ถึงชานยอลจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ... เฮ้อ... แม่ไม่ได้อยากแกล้งใช้ให้ชานยอลเอาของมาให้แม่บ่อยๆ หรอกนะ แต่แม่เหงา... แม่ไม่ได้ทำงานแล้วแม่ก็ฟุ้งซ่าน นายอนก็ต้องทำงาน เดี๋ยวออกจากโรงพยาบาลญาติก็มาเยี่ยมไม่ได้พักอีก”

     

    “แม่โทรหาผมก็ได้”

     

    “แม่ไม่อยากกวนเวลาชานยอล แต่เอาเถอะ... แม่ขออย่างเดียว ชานยอลอย่าเกลียดพ่อเลยนะ” มือผอมบางเอื้อมไปจับแขนลูกชายที่ยืนอยู่ข้างเตียงพลางออกแรงบีบเบาๆ ในใจยูรินเองก็ยังรู้ดีสามียังคงรักเธอ ชานยอลเองก็ดูไม่ต่างจากพ่อของเขา...

     

    ความเหงา ความวุ่นวายใจ และสิ่งล่อตาน่าตื่นเต้นต่างๆ นาๆ...

     

    วันนี้ชานยอลอาจรักแบคฮยอนที่สุดจนไม่อยากมองใคร แต่เมื่อวันใดที่ความรู้สึกเหล่านี้กลายเป็นของธรรมดา และเขาหลงใหลกับสิ่งใหม่ขึ้นมา ชานยอลอาจได้รู้ว่าการประคองความรักให้ผ่านพ้นอำนาจของเวลายากกว่าการมีรักแค่ไหน

     

    “ผมไม่อยากตัดสินใคร แต่ผมบอกว่าผมไม่รู้สึกอะไรไม่ได้” ระยะห่างระหว่างสัมพันธ์ที่มากขึ้นทำให้การพูดคุยอย่างตรงไปตรงมาเหมือนจะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าแต่ก่อน และบางทีแบบนี้มันอาจดีกว่า เพราะยังไงทั้งชานยอลและแม่ของเขาก็ไม่มีทางตัดกันลงได้ “แต่ผมไม่เกลียดพ่อหรอก”

     

    “แม่ขอบคุณนะชานยอล...”

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

     

    ปัง

     

    กล่องลังสุดท้ายถูกเก็บเข้าชั้นวางของ แบคฮยอนถอนลมหายใจออกมาพลางก้มลงมองนาฬิกาที่บอกเวลาสองทุ่มเศษแล้ว เขาปัดมือลงกับกางเกงก่อนจะเดินออกจากโกดังเก็บของไปยังห้องพักพนักงานเพื่อเปลี่ยนเสื้อและกลับบ้าน มือบางล้วงเข้าไปหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดส่งข้อความหาแฟนหนุ่มที่ไม่รู้ว่าป่านนี้กลับจากฟิตเนสหรือยัง

     

    “แบ้ก!

     

    ในระหว่างที่กำลังเดินก้มหน้ากดมือถือเสียงของรุ่นพี่พนักงานก็เรียกแบคฮยอนให้ต้องหันไปมองด้านหลัง

     

    “ว่า เจ๊จะกลับแล้วหรอ”

     

    “พี่แฮจินฝากมาให้” โจควอนยื่นซองกระดาษสีขาวส่งให้รุ่นน้อง สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่คงเทียบไม่ได้กับคนรับ

     

    แบคฮยอนถึงกับหน้าเหวอ เขาลดโทรศัพท์ลงแล้วหยิบเอาซองขาวที่มีชื่อจ่าหน้าถึงตัวเองมาดูอย่างงงๆ รู้สึกได้ถึงความรู้สึกเย็นเยียบที่แล่นไปทั่วสันหลัง คนตัวเล็กได้แต่ภาวนาขอให้มันคือเอกสารแจ้งวันหยุด ยุติการหักเงินเดือนหรืออะไรก็ตาม แต่ต้องไม่ใช่ใบแจ้งความผิดอีก

     

    “คือไรอะเจ๊...”

     

    “กูไม่รู้ว่ะ เค้าไม่ได้บอกกู”

     

    “เชี่ย... อะไรอีกวะ” 


    แบคฮยอนรีบเปิดซองนั้นต่อหน้ารองผู้จัดการทันที คิ้วเรียวขมวดย่นด้วยความเป็นกังวล หัวใจเต้นตุ้มๆ ต้อมๆ ไม่เป็นจังหวะ ทันทีที่กระดาษสีขาวถูกกางออก ดวงตาเรียวรีก็รีบกวาดอ่านข้อความจากผู้ส่งที่ระบุนามผู้จัดการ ปาร์ค แฮจิน

     

    เรียน   คุณ พยอน แบคฮยอน เจ้าหน้าที่ฝ่ายขาย


    บริษัทฯ  มีความยินดีที่จะแจ้งให้ท่านทราบว่า  ท่านได้รับการพิจารณาปรับเงินเดือนประจำปี 2018 โดยได้รับอัตราเงินเดือน......

     

    “เชี่ย! ใบแจ้งขึ้นเงินเดือน”

     

    ข่าวดีที่ไม่คิดว่าจะได้รับทำแบคฮยอนถึงกับยิ้มไม่หุบ ดูเหมือนว่าต้นปีนี้จะเป็นปีดีๆ อย่างแท้จริงแล้ว เมื่อซองขาวที่ได้รับเป็นเอกสารแจ้งขึ้นเงินเดือนและยุติการหักเงินเดือนหลังจากหักครบจำนวนค่าเสียหาย แบคฮยอนยิ้มกวางพลางส่ายหน้าไปมาเหมือนไม่เชื่อสายตา ก่อนจะส่งเอกสารให้รองผู้จัดการดูด้วยความดีใจ

     

    “เฮ้อ... กูก็นึกว่ามึงจะโดนอะไรอีก” พอรู้ว่าข่าวที่นั้นคืออะไรรองผู้จัดการหนุ่มถึงกับต้องถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ โจควอนสาบานได้ว่าเขาดีใจกับแบคฮยอนจริงๆ ที่หมดหนี้สินกับเจ้ากรรมนายเวรสักที

     

    “ปีที่แล้วหักเงินหนูไปสามหมื่น แล้วทีนี้ก็ขึ้นเงินเดือนให้เดือนละพัน เอาวะ ทำงานสักสามปีเดี๋ยวก็ได้คืน” คนตัวเล็กพูดติดตลกก่อนจะเก็บใบเอกสารพับใส่กระเป๋าเสื้อ ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่เอาจริงๆ แบคฮยอนก็ไม่ได้เดือดร้อนเท่าไหร่เพราะเขาไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าห้อง


    และนั่นหมายความว่าแบคฮยอนจะมีเงินเดือนใช้เต็มจำนวนและพอส่งให้แม่สองคนไปอีกพักใหญ่

     

    “ไอ้ฮุนได้โบนัสเป็นแสน”

     

    “เออ หนูก็ไม่แปลกใจอะ แม่งทำทุกอย่าง”

     

    “แต่เดือนหน้ามันจะกลับบริษัทแล้วนะ”

     

    “อือ... ก็เห็นมันพูดๆ อยู่ คงคิดถึงมันอะ” แบคฮยอนระบายยิ้มเศร้าๆ ออกมาก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาก็พอจะรู้แล้วแหละว่าเซฮุนจะได้กลับไปทำงานที่เดิมแล้ว และแบคฮยอนก็หวังว่าพวกเขาจะยังคงเป็นเพื่อนกันกันอยู่

     

    “อือ... ”

     

    ติ๊ง!

     

    เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าเรียกคนตัวเล็กให้ต้องละสายตาลงมองโทรศัพท์ ทว่ายังไม่ทันจะได้ปลดล็อคเสียงริงโทนก็ดังขึ้น เขารีบกดรับทันทีเมื่อเห็นว่าใครโทรมา

     

    “ฮัลโหล... เออ กำลังจะออกไปแล้ว รอแป๊บนึง”

     

    เมื่อโจควอนเห็นว่ารุ่นน้องกำลังคุยธุระอยู่เขาก็โบกมือลาก่อนจะหันหลังเดินกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ปล่อยพนักงานรุ่นนองให้เดินกลับไปยังห้องพักพนักงานเพื่อเตรียมตัวกลับบ้านตามเวลาของเขา

     


     

    .


    .


    .

     


     

    “เฮ้อ... ได้ขึ้นเงินเดือนแต่ก็เสียเพื่อนไปอีกคน”

     

    เวลาสี่ทุ่มกว่าภายในห้องนอนที่ถูกเปิดไฟไว้เพียงสลัวๆ แบคฮยอนที่ยังไม่เลิกเซ็งกับข่าวการย้ายที่ทำงานของเพื่อนซี้บ่นไม่หยุด เขาถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะเขยิบตัวขึ้นไปนั่งพิงหัวเตียง ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ายังไงเซฮุนคงไม่ได้เป็นพนักงานต๊อกต๋อยตลอดไป แต่มันก็ยังใจหายอยู่ดี เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาการได้มีเขาที่ทั้งเก่งกว่าและใจเย็นอยู่ข้างๆ เป็นอะไรที่ดีมากเลย

     

    แบคฮยอนคงไม่ได้มีเพื่อนที่คอยเลี้ยงกาแฟเขาบ่อยๆ อีกแล้ว แล้วก็ไม่มีคนคอยให้ปรึกษาปัญหาเรื่องที่ทำงานด้วย

     

    “ย้ายไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ดิ” ชานยอลที่เพิ่งล้างหน้าเสร็จโยนผ้าขนหนูใส่หน้าแฟนตัวเล็กด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะหันไปปิดประตูห้องนอน เขาคลานตัวขึ้นไปคร่อมร่างคนบนเตียงเอาไว้แล้วยกมือขึ้นบีบแก้มนุ่มหยุ่นจนริมฝีปากบางยู่ขึ้น

     

    “ย้ายกูไปหน่อยดิ อยากไปทำอะ จะได้อยู่ใกล้กันด้วย”

     

    “จะย้ายไปทำไร”

     

    “เป็นแม่บ้านก็แด้ะ จะได้เล่นบทแบบคุณแม่บ้านกับลูกประธานบริษัท ดีปะ”

     

    “ไม่ดีหรอก เป็นพนักงานขายดีแล้ว” ว่าแล้วคนตัวสูงก็ยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บเบาๆ ลงบนกลีบปากบางที่เชิดขึ้น ชานยอลยกยิ้มจางๆ พลางใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือเขี่ยริมฝีปากเล็กๆ ไปมา

     

    “ทำไมต้องเป็นพนักงานขายอะ”

     

    “ก็ไม่ต้องรับผิดชอบงานเยอะ”

     

    “แต่ว่ามัน... เดี๋ยวนะ...”

     

    ในขณะที่กำลังจะเอ่ย สายตาของแบคฮยอนก็ดันหลุบไปเห็นบางอย่างที่อยู่บนมือคนรัก เขารีบเบี่ยงใบหน้าออกแล้วจับมือหนามากางจนเห็นรอยตัวอักษรที่คล้ายกับรอยปากกาเล็กๆ ระหว่างนิ้วมือ มันเป็นตักอักษรหวัดๆ สีดำและขีดไม้กางเขนคว่ำหัวเล็กๆ

     

    ดวงตาเรียวรีเหลือบขึ้นจ้องมองตาของเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างคาดคั้น ทว่าอีกฝ่ายก็ยังคงมีท่าทีสบายๆ ทั้งยังส่งเสียงหัวเราะออกมา

     

    “นี่อะไร”

     

    “รอยปากกา”

     

    “ให้พูดอีกที...”

     

    “แค่นิดเดียวเอง” ชานยอลยกยิ้มพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมาเหมือนอย่างที่ชอบทำเวลารู้ตัวว่าจะถูกโกรธก่อนจะเขยื้อนหน้าเข้าไปใกล้หวังหอมให้คนตัวเล็กหายโกรธ แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับเบือนหน้าหนี

     

    “ไม่ต้องมาขำ มึงไปสักมาเมื่อไหร่”

     

    “เมื่อวาน”

     

    “เมื่อวาน? แต่ไม่บอกกู?”

     

    “ก็ว่าจะให้ดูเลย”

     

    “มีแค่นี้ไหม หรือมีที่อื่นอีกไหม” แบคฮยอนจ้องแฟนเขาไม่วางตา ทั้งยังพูดดักออกมาราวกับรู้ทันทุกความคิดที่อยู่ในหัวแฟนหนุ่ม เขาเห็นคนตรงหน้าไม่ยอมพูดอะไรนอกจากเอาแต่ยิ้ม และเพียงแค่นี้แบคฮยอนก็รู้ได้ทันทีเลยว่าชานยอลคงไม่ได้สักมาแค่นี้แน่

     

    “สักตรงไหนมาอีก”

     

    “ที่เอว แต่แค่นิดเดียว” เด็กหนุ่มตัวสูงยังวางท่าทีเหมือนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ชานยอลหยัดแผ่นหลังขึ้นถลกเสื้อยืดออกทางศีรษะจนเผยให้เห็นรอยสักที่เป็นอักษรตัวขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ตรงกล้ามเนื้อบริเวณใต้ชายโครงฝั่งขวา

     

    พอแบคฮยอนเห็นว่ามันเป็นรอยสักอะไรเขาก็ฟาดมือใส่ไอ้เด็กยักษ์ที่ไม่ยอมเชื่อฟังคำพูดกันทันที

     

    “มึงไปสักมาทำไม!

     

    “ก็ทำตามที่บอกไง สักชื่อเมียแล้วก็สักได้” พูดออกไปเหมือนมีเหตุผลก่อนจะยิ้มออกมาพลางยื่นหน้าเข้าไปหอมคนตรงหน้าอย่างเอาใจ

     

    สายตาของแบคฮยอนที่หลุบลงมองดูรอยสัก bbh ตรงบริเวณสีข้างบอกชานยอลให้รู้ว่าแฟนเขาไม่ได้เห็นด้วยเท่าไหร่ แต่คงไม่โกรธไปมากกว่านี้แล้ว

     

     “แล้วถ้าเลิกกันทำไง”

     

    “เดี๋ยวค่อยลบ แต่ไม่ลบหรอกจนกว่าจะลืม” ว่าแล้วก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างนึกขัน ชานยอลอาจไม่รู้ว่าเขาจะเลิกกับแบคฮยอนเมื่อไหร่ แต่เขารู้ว่าตัวเองจะเลิกรักแบคฮยอนเมื่อไหร่ การลบรอยสักคงไม่ยากไปกว่าการลบใครสักคนออกจากความทรงจำ

     

    ความรู้สึกที่ฝังแน่นอยู่ในใจนี้ชานยอลคงลบมันออกไปไม่ได้ง่ายๆ เหมือนกัน ถ้าถึงวันนั้นที่ต้องเลิกกันเขาก็ไม่เสียใจที่ได้ทำสิ่งนี้ เพราะอย่างน้อยชานยอลอาจได้รู้ว่าจะลืมแบคฮยอนเมื่อไหร่

     

    “หมั่นเขี้ยวว่ะ! พอแล้วนะไม่ต้องสักแล้ว” กำปั้นเล็กๆ ทุบเข้าที่หน้าท้องคนตรงหน้าเต็มแรง คิ้วเรียวยังขมวดย่นเข้าหากัน แบคฮยอนนึกอยากจะโกรธแฟนเขาให้มากกว่านี้แต่ก็โกรธไม่ลง ยิ่งอีกฝ่ายมาคลอเคลียคอยเคลมอารมณ์อยู่ใกล้ๆ ก็ยิ่งด่าไม่ออก

     

    ถึงรู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นแผนก็ใจอ่อน แล้วชานยอลก็ยังใช้วิธีการแบบเดิมกับที่ใช้กับแม่ของเขา คือไปทำมาก่อนแล้วมาบอกที่หลัง แถมยังอ้อนกันจนโกรธไม่ลง แบคฮยอนนึกอยากจะโกรธตัวเองแทนที่ใจอ่อน

     

    “อือ... ”

     

    “นี่ไม่ได้สักมาเอาใจกูใช่ปะ แบบพอเห็นว่ากูไม่โกรธก็ไปสักมาอีกอะ...”

     

    ชานยอลแทบหลุดขำเมื่อได้ยินคำพูดดักทางของคนรัก เขาถึงกับต้องเม้มริมฝีปากเพื่อกลั้นยิ้มแล้วส่ายหน้าตอบไปแทน ชานยอลไม่อยากรับปากอะไรเพราะไม่อยากโกหก อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้พูดออกไป

     

    “ส่ายหน้านี่แปลว่าไร พอแล้วนะ ไม่เอาละนะ ไปสักมาอีกนี่โกรธจริงๆ นะ”

     

    “อื้อ” คนตัวสูงครางตอบออกไปแค่นั้นก็โน้มใบหน้าลงหอมราดไหล่ขาวอย่างช่างอ้อน ริมฝีปากร้อนผ่าวขบเม้มลงบนผิวเนื้อเบาๆ ตั้งแต่บ่าไล่มาจนถึงต้นคอขาวทำเอาคนตัวเล็กถึงกับต้องเบี่ยงตัวหนี

     

    พอได้ทีชานยอลก็รุกหนักด้วยหนักด้วยการใช้ปลายลิ้นเล็มเลียผิวเนื้อตั้งแต่ซอกคอขึ้นไปถึงใบหู ก่อนจะใช้ริมฝีปากขบงับเบาๆ พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะทุ้มๆ ออกมาให้รู้สึกจั๊กจี้เล่น

     

    “พอเลย มึงทำความผิด” แบคฮยอนพยายามจะยกมือขึ้นดันแผ่นอกคนตรงหน้าให้ถอยออกห่าง แต่กลายเป็นว่ามือเขาถูกรวบแถมยังถูกคุกคามจนต้องเขยิบตัวถอยหนีไปจนแผ่นหลังชิดหัวเตียง

     

    “ไม่เกี่ยว”

     

    เด็กหนุ่มแสนดื้อรั้นยังไม่ยอมละใบหน้าออกจากพวงแก้มและซอกคอ ชานยอลใช้ริมฝีปากขบงับใบหูขาวและสอดลิ้นเข้าไปไล้เลียเบาๆ เพียงแค่นั้นคนที่เคยขัดขืนก็ส่งเสียงครางอื้อมือไม้อ่อนยวบ เขากดข้อมือบางกับหมอนก่อนจะจับมืออีกข้างไปวางบนเป้ากางเกงยีนส์เป็นการยั่วให้คนรักรู้สึกอยากถอด


    “อื้อ... นี่พูดจริงนะเนี่ย ไม่ได้พูดเล่น”


    “รู้แล้วครับ”


    "รู้แล้วจะทำตามปะ"


    คนตัวเล็กยังคงหน้าบึ้ง แต่แล้วก็ต้องยอมแพ้ให้กับรอยยิ้มลูกหมาและท่าทางการมุดหน้าเข้าหาไหล่ของเจ้าตัวยักษ์ กว่าจะรู้ตัวอีกทีริมฝีปากก็ถูกประกบจูบอย่างเร่าร้อน แบคฮยอนยอมเปิดปากให้เรียวลิ้นของอีกฝ่ายสอดแทรกเข้ามาด้านในขณะที่ใช้มือปลดกระดุมกางเกงไปด้วย




    cut






    #ฟิคกวาง




    เจอกัน ณ สถานที่แห่งมิตรสหายค่ะ แต่ว่าอย่าคาดหวังอะไรมาก คัทเมกเลิฟน่าเบื่อ เอ็นจอยรีดดิ้งเหมือนเดิม ถ้าเกินห้าสิบตอนจะก๊อปวางทอล์คแล้ว ขอบคุณที่อ่านค่ะ และอย่าลืม #ฟิคกวาง โจ๊ะๆ :D

     

     

     

     





    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×