คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #44 : Chapter : 40 กลับมาทำไม
“อือ...”
[ตื่นยังเนี่ย]
“ตื่นแล้ว...”
[โกหก มึงเพิ่งตื่นเมื่อกี้]
“อือ... ก็ตื่นแล้วนี่ไง” คนตัวสูงส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นนั่งด้วยสภาพงัวเงีย
ชานยอลหนีบโทรศัพท์ติดหูเดินไปแปลงฟันในห้องน้ำ
เขาเปิดสปีกเกอร์แล้ววางมันไว้บนอ่างล้างหน้าพลางพูดคุยกับคนในสายไปด้วยเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกง่วงอีก
ตอนนี้แปดโมงแล้ว มันเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ชานยอลต้องตื่นเช้าขนาดนี้
[วันนี้ไปทำงานกี่โมง]
“สิบโมงครับ”
จ๊อก...
เสียงปัสวะลงโถดังจ๊อกก่อนจะตามมาด้วยเสียงกดชักโครก ชานยอลสะบัดงวงน้อยของเขาแล้วเดินไปล้างหน้าแปรงฟันอย่างอืดอาดปล่อยให้คนในสายพูดนู่นพูดนี่ไปส่วนตัวเองก็ครางอื้ออึงตอบรับในลำคอทั้งที่ยังมีแปรงสีฟันคาอยู่ในปาก
ใช้เวลาเพียงไม่นานชานยอลก็ออกมาจากห้องน้ำด้วยความสดใสที่มากกว่าเดิม
เขาเดินไปรื้อสูทที่แม่บ้านเอามาให้ออกมาจากราวแล้วยืนเปลี่ยนมันที่หน้ากระจก
เพียงไม่นานเด็กหนุ่มในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นก็กลายร่างเป็นลูกเจ้าของบริษัทใหญ่ตัวจริง
ถึงแม้ผมเพ้าของเขาจะยังดูไม่เป็นทรงอยู่ก็ตาม
[เดี๋ยวจะลงไปหาข้าวกินละนะ แค่นี้ก่อน]
“ไม่วางได้ปะ”
[แบตจะหมดแล่ว เมื่อคืนไม่ได้ชาร์จแบต ไว้เดี๋ยวโทรหาใหม่]
“อือ เดี๋ยวโทรหา” คนตัวสูงก้มลงตอบรับคนในโทรศัพท์ก่อนจะคว้าเอากางเกงยีนส์สีดำมาสวมแทนกางเกงแสล็คที่ดูทางการ
ชานยอลไม่ลืมหยิบเสื้อฮู้ดของเขายัดใส่กระเป๋าไปด้วยพร้อมกับคว้าโทรศัพท์ใส่กระเป๋าสูทเพื่อเตรียมไปทำงานแทนผู้เป็นแม่
ขายาวก้าวลงไปตามขั้นบันไดมาจนถึงห้องครัวที่มีแม่บ้านกำลังปั่นน้ำผักอยู่
ชานยอลเห็นแม่เขานั่งหันหลังให้อยู่บนวีลแชร์พร้อมกับบงการให้แม่บ้านทำสิ่งที่ต้องการเหมือนเดิม
คนตัวสูงเดินไปหยิบเอาแอปเปิ้ลและขนมซองเล็กใส่กระเป๋าเสื้อก่อนจะหันไปส่งยิ้มขำให้กับคุณนายของบ้าน
ขนาดแม่ขาเดี้ยงขนาดนี้ก็ยังไม่ยอมหยุดทำงานเลย แล้วก็ไม่ยอมหยุดนิสัยเจ้ากี้เจ้าการด้วย
“ชานยอลจะไปทำงานแล้วหรอ”
“ครับ ผมต้องเข้าประชุมแทนแม่ไง”
“หรอ แม่ลืมไปเลยนะเนี่ย” หญิงวัยกลางคนนิ่วหน้า
ยูรินลืมไปสนิทเลยว่าเธอมีตารางงานอะไรบ้างหลังจากที่เห็นแต่ตารางการทำกายภาพบำบัดกับไปหาหมอ
“จะเอาอะไรไหมครับ”
“ไม่เอาหรอก ชานยอลจะกลับตอนไหน”
“สักเที่ยงๆ บ่ายๆ ผมอาจจะไปกินข้าวก่อน” ชานยอลยกแอปเปิ้ลขึ้นกัด
เขาพิงก้นลงกับเคานเตอร์หินอ่อนพลางก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ
ตอนนี้ชานยอลยังมีเวลาอีกนิดหน่อย
“ชานยอลไม่เห็นพาแบคฮยอนมาหาแม่มั่งเลย”
“ผมพามาก็ได้ถ้าแม่อยากเจอ” คำพูดของผู้เป็นแม่ทำคนตัวสูงถึงกับต้องหัวเราะออกมา
ชานยอลไม่คิดเลยว่าแม่จะพูดคำนี้กับเขาทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็เคยมายืนห้ำหั่นกันในห้องครัว
มันทำให้ชานยอลอดคิดไม่ได้ว่าทุกอย่างกำลังดีขึ้นแล้วจริงๆ
“พาแบคฮยอนมากินข้าวที่บ้านบ้างสิ”
“เดี๋ยวผมชวนให้ ผมไปแล้วนะครับ”
“อื้อ ขับรถดีๆ นะ”
“ครับ” ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็เดินออกจากห้องครัวไปพร้อมกับลูกแอปเปิ้ล
ขณะเดียวกันใครบางคนที่ชานยอลไม่อยากเจอหน้ามากที่สุดก็เดินลงมาจากบันได
เขาสบตากับพ่อเพียงครู่เดียวก็เดินผ่านไปโดยไม่มีคำกล่าวทักทายใดๆ
ชานยอลยังไม่ลืมว่าพ่อทำอะไรไว้ถึงแม้จะไม่ได้โกรธแล้วก็ตาม
ความสัมพันธ์ที่ไม่ซื่อตรงต่อกันทำให้ชานยอลรู้สึกอึดอัดใจแทนในฐานะคนกลาง
เขาไม่สามารถทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ในเมื่อภาพของเพื่อนสนิทและพ่อของตัวเองยังไม่เคยหายไปจากหัว
ชานยอลนอนคิดทุกวันว่าเขาไม่อยากมีครอบครัวแบบนี้ ไม่อยากเป็นเหมือนพ่อ
ถ้ามีลูกก็ไม่อยากให้ลูกอยู่กับความอึดอัดใจเหมือนอย่างที่ตัวเองเคยเจอ
ความรู้สึกนี้ตามหลอกหลอนเขาอยู่ทุกคืนจนไม่สามารถหลับลงได้อย่างสบายใจ
ถึงจะพยายามทำเป็นไม่สนใจยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่าไม่รู้สึกอะไร ชานยอลกลับไปมองพ่อในแบบที่เคยมองไม่ได้เลย...
.
.
.
เวลาเที่ยงเศษๆ ในร้านกาแฟใต้สำนักงานหลังการประชุมที่แสนน่าเบื่อหน่ายจบลง
ชานยอลเดินถืออเมริกาโน่แก้วโปรดของเขาไปนั่งตรงมุมสุดภายในร้านกาแฟที่ถูกตกแต่งอย่างดี
โทรศัพท์มือถือถูกหยิบออกมากดเช็คข้อความ
ตอนนี้เที่ยงกว่าแล้ว ชานยอลกำลังนั่งรอให้แฟนเขามาหาที่ทำงานเพื่อที่จะไปหาอะไรกินและซื้อของกลับไปตุนไว้ที่คอนโด
ขายาวยกขึ้นไขว่ห้าง เสียงเพลงในหูฟังดังไปตามท่วงทำนอง
PCY
: อยู่ไหน
BBH
: กำลังไป รอแป๊บบบ
PCY
: อยู่ในสตาบัค
พอกดส่งข้อความไปยังไม่ทันจะได้ล็อคหน้าจอสายเรียกเข้าก็ดังขึ้นทว่ากลับไม่ใช่เบอร์ที่คาดหวัง
ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น
คนตัวสูงชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ว่าจะกดรับดีไหมจนกระทั่งสายตัดไปเองก่อนที่มันจะดังขึ้นอีกครั้ง
ชานยอลถอนลมหายใจออกมาแล้วตัดสินใจกดรับ เขากรอกกน้ำเสียงราบเรียบลงในสาย
ทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดความอึดอัดใจก็ทับถมลงมาเต็มอก
“ฮัลโหล”
[ออกมาเจอกันหน่อยได้ปะ]
“อยู่ไหนอะ”
[อยู่ที่บริษัท]
คำว่าอยู่หน้าบริษัทของอดีตเพื่อนรักทำชายหนุ่มถึงกับต้องรีบดีดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้
ชานยอลกวาดตามองไปรอบตัว สองเท้าก้าวเดินออกจากร้านกาแฟมายืนอยู่หน้าประตูบริษัท พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวที่แสนคุ้นหน้าในชุดสีฟ้าอ่อน
โคลอี้กำลังเดินลงมาจากรถพร้อมกับกระเป๋าถือสีแดง
“มาทำไรอะ”
[มีเรื่องอยากคุยด้วย]
“............”
การพบเจอกันแบบที่ไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้ชานยอลทำตัวไม่ถูก
เขาไม่เข้าใจว่าโคลอี้มาที่บริษัททำไม ยังจะกลับมาทำไม ทั้งๆ
ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาโคลอี้แทบไม่เคยติดต่อมาเลย เธอหายไปเหมือนเมฆฝนแล้วอยู่ๆ
วันนี้ก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า
ชานยอลไม่รู้ว่าควรตอบตกลงไหม อีกไม่นานแฟนเขาก็จะมาถึงแล้ว
และเรื่องทั้งหมดกับโคลอี้ก็ควรจะจบไปตั้งนานแล้ว
[ฮัลโหล ออกมาหน่อยได้ปะ]
“อยู่ตรงไหนอะ”
[ข้างตึกอะ เดินมาหน่อย]
“อือ เดี๋ยวไป”
คนตัวสูงตัดสินใจตอบรับคำก่อนจะกดวางสายแล้วเดินออกจากประตูตรงไปยังข้างตึกที่เป็นลานว่าง
ลมช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิพัดเส้นผมสีน้ำตาลของสาวสวยให้ปลิวไสว
มันเป็นภาพที่แสนคุ้นเคย ชานยอลยืนอยู่ตรงหน้าหญิงสาวที่นอนกับพ่อเขาพร้อมกับความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“มาทำอะไรอะ”
“ก็แวะมาหาเฉยๆ”
หญิงสาวยกยิ้มถึงแม้จะรู้ว่าสายตาของคนตรงหน้ามีแต่ความวางเปล่าและความเคลือบแคลงใจ
หัวใจของโคลอี้แหลกสลายลงหลายต่อหลายครั้ง
และมันยากเหลือเกินที่จะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้
“ทำไมไม่โทรบอกก่อนอะ รู้ได้ไงว่าอยู่นี่”
ชานยอลพยายามจะทำตัวให้ปกติที่สุด เขาจำไม่ได้แล้วว่าไม่เห็นโคลอี้กี่เดือน พอความผูกพันที่เคยมีลดลงสิ่งต่างๆ
ในใจก็ผุดขึ้นมาราวกับน้ำลดตอผุด เหลือเพียงความเกรงใจซึ่งกันในฐานะคนเคยมีใจ
“ก็ตั้งใจมาเซอร์ไพรส์ แม่เป็นไงบ้าง”
“สบายดี”
“พ่ออะ”
“.............”
“หึ... ไม่เป็นไร” โคลอี้หัวเราะออกมาน้อยๆ
เธอหลุบตาลงมองปลายเท้าก่อนจะพูดต่อ “ชานยอลมีความสุขดีไหม คบกับแฟนอยู่หรือเปล่า”
“อือ คบอยู่”
“เราจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศแล้วนะ คงไม่กลับมาแล้ว” ลมหายใจอุ่นๆ ถูกถอนออกมาเฮือกใหญ่
ความเศร้าที่กัดกินจิตใจหญิงสาวสร้างแผลลึกเป็นรอยกว้าง
โคลอี้อยากหยุดเรื่องพวกนี้สักที เธอไม่อยากอยู่กับความรู้สึกนี้ไปตลอดชีวิต
“เรื่องพ่อเราขอโทษนะ”
“.............”
“เรารู้ว่าชานยอลไม่ให้อภัยหรอก แต่เราไม่อยากรู้สึกผิดแบบนี้”
เธอระบายยิ้มสมเพชขึ้นบนใบหน้าก่อนจะพูดต่อ “พ่อยูเคยบอกยูปะว่าเซฮุนเป็นพี่ยูอะ แล้วแม่เค้าก็เคยเป็นเลขาให้แม่ยูด้วย”
“.............”
“ไม่รู้เลยอะดิ หึ... เราไม่ได้มาเรียกร้องอะไรหรอก เรารู้ว่ายังไงชานยอลก็ไม่ให้อภัย
เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราแค่จะมาบอกว่าตอนนี้เราไม่เหลืออะไรเลย ทั้งชีวิตเรา
มหาลัย ทั้งชานยอล ทั้งลูกเรา”
“หมายความว่าไงอะ”
“ลองถามพ่อยูดิ เค้าเป็นคนให้เราไปเอาลูกออกนี่
หรือเค้าบอกว่าเค้าไม่ได้ทำ... เราเข้าใจนะว่ามันง่ายที่เค้าจะโยนความผิดให้เราเพราะเค้ารู้ว่าเราคงไม่กล้ามาเจอชานยอลอีก”
ดวงตากลมโตเหลือบขึ้นสบมองชายหนุ่มตรงหน้า โคลอี้รู้ว่าสุดท้ายแล้วเธอจะไม่เหลืออะไรเลยสักอย่างแม้แต่ความเห็นใจหรือความผูกพันกับเพื่อนคนนี้
“แล้วต้องการอะไรอะ...”
คำพูดที่แสนเย็นชาถูกเอ่ยออกไปพร้อมกับสายตาว่างเปล่า
ชานยอลไม่รู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าเขาต้องการอะไรถึงเอาเรื่องพวกนี้มาบอก
ถ้าโคลอี้แค่แค้นและอยากทำให้ชานยอลเสียใจมากขึ้นกว่าเดิมเธอทำได้แล้ว แต่ชานยอลจะไม่ยอมให้เรื่องพวกนี้ทำร้ายครอบครัวเขาไปมากกว่านี้อีก
“เราไม่ต้องการอะไรหรอก เราแค่อยากให้ชานยอลรู้ไว้ว่าชีวิตเราพัง แต่พ่อชานยอลไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย
เค้าทำไรอยู่อะ มีความสุขอ่อ”
“แล้วทำไมไม่ไปบอกเค้าเองอะ” ชานยอลพยายามบอกตัวเองไม่ให้เป็นวิ่งไปตามเกมของหญิงสาวแม้ในใจของเขาจะกำลังกลัวเหลือเกิน
โคลอี้ทำตัวเหมือนก้อนหินติดไฟที่พยายามจะเผาคนอื่นให้มอดไหม้ตามไปด้วย
เผาแม้กระทั่งเศษเสี้ยวความรู้สึกดีๆ ในใจของชานยอลจนสิ้นซาก
“เราไม่ได้ต้องการอะไรจากเค้า เราแค่อยากให้ชานยอลรู้ไว้...”
“................”
“เรารักชานยอลนะ... ถึงเราจะทำเรื่องไม่ดี แต่เราก็ยังรักชานยอลอยู่ดี”
หยาดน้ำตาเริ่มไหลท้นขึ้นมาคลอเบ้า โคลอี้รู้ว่าเธอกำลังทำเรื่องบ้าๆ
แต่นั่นเป็นสิ่งเดียวที่พอจะทำได้
ไม่อยากเก็บความรู้สึกนี้ไว้ในใจอีกแล้ว
ไม่ว่าจะพยายามหลอกตัวเองยังไงก็ทำไม่ได้ โคลอี้ลืมชานยอลไม่ได้ เขาไม่มีทางลืมผู้ชายที่แสนวิเศษคนนี้ได้
ไม่ว่าจะพยายามเริ่มต้นใหม่กี่ครั้งสุดท้ายก็วนกลับมาที่การนั่งเปิดดูรูปเก่าๆ
แล้วร้องไห้เหมือนกับคนบ้า
“.................”
“เรากลับไปคุยกันได้ไหม ฮึก... กลับไปเป็นเพื่อนกันได้ไหม...”
“.....................”
“ชานยอล...”
เสียงที่ดังขึ้นพร้อมกับแรงฉุดตรงต้นแขนเรียกคนตัวสูงให้ต้องหันไปมองแฟนตัวเล็กที่กำลังยืนอยู่ด้านหลัง
ชานยอลเหลือบสายตาไปมองอดีตเพื่อนรักของเขาเพียงครู่ก็หันหลังใช้มือดันไหล่คนรักให้เดินกลับออกไปโดยที่ไม่ได้ทิ้งคำพูดอะไรไว้หรือรอให้หญิงสาวได้พูดจนจบ
สำหรับชานยอลมันจบไปนานแล้ว... ความเห็นใจของเขาที่มีต่อโคลอี้พังลงตั้งแต่ที่ได้ร็ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
และไม่ว่าพ่อจะทำอะไรกับโคลอี้ไว้พวกเขาทำสิ่งนั้นด้วยกัน
และมันไม่ใช่แค่ความผิดของใครคนใดคนหนึ่ง การที่โคลอี้เอาเรื่องนี้มาบอกมันก็ไม่ต่างอะไรจาการทำร้ายชานยอล
เหมือนกับว่าเธอแค้นพ่อของเขาแต่ยังต้องการลูกของเขา โคลอี้ทั้งอยากฉุดรั้งและทำร้าย
แต่ความรู้สึกสุดท้ายที่ชานยอลมีต่ออดีตเพื่อนคนนี้คงไม่พ้นความเกลียดชัง...
เหลือไว้เพียงแค่ร่องรอยของความทรงจำร้ายๆ ที่เกิดขึ้น
ชานยอลรู้ว่าพ่อเขาไม่ใช่คนดีและโคลอี้เองก็เช่นกัน แน่นอนว่ามันคงไม่มีอะไรมันจะสนุกไปกว่าการได้เห็นลูกชายโยนไฟใส่บ้านตัวเองและแยกครอบครัวเป็นสองส่วน
ชานยอลที่โคลอี้รู้ดีว่าอ่อนไหวกับเรื่องเหล่านี้มากแค่ไหน ในขณะเดียวกันเธอก็รับบทเป็นหญิงสาวที่น่าสงสาร
เพราะมันง่ายที่จะโยนความเจ็บปวดให้เผาชานยอลแล้วช่วงชิงโอกาสจากสิ่งนั้น...
แต่ถ้าหากชานยอลไม่รับความเจ็บปวดนั้นหินติดไฟก็คงจะเผาตัวโคลอี้เอง...
.
.
.
บนถนนเรียบโล่งไร้ผู้คน รถยันต์คันสีดำขับเอื่อยๆ ไปตามทาง
การได้มองวิวทะเลและชายหาดทำให้ชานยอลสบายใจขึ้นเยอะ
เขายอมขับรถเป็นชั่วโมงออกมานอกเมืองเพื่อหาสถานที่พักใจให้ตัวเอง
มีความคิดมากมายวิ่งวุ่นอยู่ในหัวชานยอล
เขาอยากขับรถพุ่งชนเสาไฟให้มันรู้แล้วรู้รอด ถ้าไม่ตายก็ไปกระโดดทะเลซ้ำ
เรื่องพวกนี้มันจะได้หายไปจากหัวสักที
“กูว่าแม่งบ้าไปแล้วว่ะ มึงไม่ต้องสนใจหรอก คนปกติที่คิดได้เค้าไม่ทำกันหรอก”
“อือ ผมว่าเค้าก็ดูไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่” คนตัวสูงซบหน้าลงกับพวงมาลัยรถ
ชานยอลดับเครื่องจอดที่ข้างถนนเรียบชายหาดก่อนจะก้มลงถอดรองเท้าและถุงเท้าออกแล้วเปิดประตูเดินลงไป
ฝ่าเท้าที่สัมผัสลงกับผืนทรายเย็นเยียบและลมที่พัดปะทะเข้าใบหน้าช่วยบรรเทาความรู้สึกตึงเครียดได้อย่างดี
ในวันที่ท้องฟ้าไม่เปิดโล่งทะเลไม่ใช่สถานที่น่าเที่ยวนัก กวาดตามองออกไปไกลสุดลูกหูลูกตากว่าจะได้เห็นนักท่องเที่ยวสักคน
“ไปเดินเล่นกัน” ชานยอลหันไปส่งมือให้กับแฟนตัวเล็กของเขาพร้อมกับรอยยิ้ม
ก่อนจะดึงร่างเล็กๆ จับมือพากันเดินย่ำไปบนหาดทรายสีขาวสะอาด เสียงคลื่นสาดกระทบผิวน้ำดังเป็นระลอกเคล้ากับเสียงลม
ชานยอลอยากจะตะโกนออกมาให้สุดเสียงเพื่อระบายความคับข้องใจออกไปให้หมด
แต่สุดท้ายเขาก็ได้แต่ทิ้งตัวลงนั่งบนผืนทราย
ปลายเท้าเหยียดเข้าหาคลื่นที่วิ่งขึ้นมาซัดเป็นจังหวะ
ปลายนิ้วหัวแม่มือลูบคลึงไปบนแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วมือของคนรัก ลมหายใจถูกถอนออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
มีเพียงแค่เสียงลมหวีดพัดผ่านใบหูที่เข้าใจความคิดของชานยอล
“มึงรู้ปะ เค้าตั้งใจทำให้มึงรู้สึกแบบนี้นะ แต่เค้าทำไม่ได้หรอก”
“ก็ทำอยู่นี่ไง...”
“มึงยังมีแม่นะเว้ย คิดดูดิถ้าเค้ารู้เค้าจะโกรธขนาดไหน
ผู้หญิงเหี้ยไรโคตรแบบ กูไม่เคยเจออะไรสุดๆ ขนาดนี้มาก่อนเลยนะจริงๆ” คนตัวเล็กนิ่วหน้าพลางส่ายหัวไปมาด้วยความเหนื่อยใจ
แบคฮยอนนึกไม่ออกเลยว่าปีศาจตนไหนที่ทำให้คนเราร้ายกาจได้มากขนาดนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิงที่ทำกับคนที่บอกว่าตัวเองรัก
“ถ้าแม่รู้ก็บ้านแตก เค้าคงไล่พ่อผมออกจากบ้าน...”
“แล้วถ้ามันโกหกอะ ถ้ามันไม่ได้ท้องอะ มันจะพูดอะไรก็ได้ปะ
หลักฐานไรก็ไม่มีอะ”
“ผมว่าเค้าโกหกอยู่แล้วแหละ” ชานยอลได้แต่ส่งเสียงหัวเราะหึในลำคออย่างนึกขัน
เขาไม่เชื่อหรอกว่าโคลอี้ท้อง มันไปได้ยากกว่าการให้ลาตดเป็นสีรุ้งซะอีก โคลอี้ไม่ใช่สาวไร้เดียงสา
เธอไม่มีทางเดิมพันอนาคตกับความสัมพันธ์แค่ครั้งเดียวแน่ ทั้งพ่อและโคลอี้เองไม่ต้องการให้สิ่งนี้เกิดขึ้น
ทำไมพวกเขาถึงจะไม่หาทางป้องกัน “แต่ถึงเค้าโกหกแม่ผมก็ระเบิดอยู่ดี
เค้ารู้นะว่าพ่อมีเล็กมีน้อย แต่ถ้ามายุ่งกับครอบครัวเค้าไม่ยอม”
“เพื่อนมึงป่วยปะวะกูถามจริง”
“ไม่รู้ดิ แต่เพื่อนเค้าบอกช่วงนี้เค้าต้องไปหาหมอ เค้าไม่ยอมไปเรียน”
“เฮ้อ... ทำตัวเองแท้ๆ ว่ะ”
“แต่ถ้าเค้าไม่ไปผมอาจจะต้องเป็นคนไปหาหมอเองก็ได้นะ” แกล้งทำเป็นพูดติดตลกก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกมาแล้วลุกยืนขึ้นโดยที่ไม่ลืมฉุดร่างแฟนตัวเล็กให้ลุกยืนตามด้วย
ดวงตากลมโตจ้องมองไปยังทางเดินชายหาดที่ทอดออกไปไกลสุดลูกตา
เมื่อก่อนชานยอลเองก็ต้องไปพบแพทย์เพื่อปรับทัศนคติเหมือนกัน แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเขากับหมอชินเริ่มห่างเหินแล้วเพราะชานยอลมีหมอดูใจส่วนตัวคอยบำบัด
บางทีชีวิตคนเราก็เครียดเกินไป และมันทำให้พวกเขาเป็นบ้า
“แม่ง... ชีวิตเหมือนมีกรรมเลย”
“วันนี้ไปบ้านปะ แม่ชวนไปกินข้าว”
“หื้อ... อะไรนะ? แม่มึงอะนะ?” คำว่าแม่ชวนไปกินข้าวจากปากแฟนหนุ่มทำแบคฮยอนถึงกับหูผึ่ง
คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ถ้าแบคฮยอนไม่ได้หูฝาดไปประธานคงทำบางหายระหว่างประสบอุบัติเหตุจริงๆ
เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าถูกประธานเจ้าของบริษัทที่ตัวเองทำงานชวนไปกินข้าวที่บ้าน
“อือ เค้าบอกให้ชวนไปกินข้าวด้วย แต่ยังไม่ต้องไปก็ได้ ไว้อยากไปเมื่อไหร่ค่อยไป”
“เค้าไม่เกลียดกูล่ะอ่อ”
“อย่าพูดงั้นดิ”
“งี้ความฝันรวยทางรัดกูก็ใกล้เข้ามาละปะ” แบคฮยอนหันไปทำยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยใส่แฟนเขาจนถูกอีกฝ่ายใช้มือผลักหัวด้วยความหมั่นไส้
ถ้าหากว่าคุณนายปาร์คเปิดปากมาแบบนี้เส้นทางสู่การรวยทางรัดของแบคฮยอนคงใกล้เข้ามาแล้ว
หรืออย่างน้อยก็ไม่มีหินขวางทางฮุบสมบัติ
“ไม่ได้หรอก ต้องแต่งงานกันก่อน” คนตัวสูงว่าพร้อมกับก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะหันไปเด็ดดอกไม้สีฟ้าที่ปลูกอยู่ในกระถางซีเมนต์ข้างทางมามอบให้คนข้างๆ
แล้วจึงพูดต่อ “แต่งงานกับผมปะ”
“เอาจริงหรือพูดเล่น”
“เอาจริง จะแต่งงานกับผมไหมครับ” ว่าแล้วชานยอลก็คุกเข่าลงกับพื้นทรายพร้อมกับยื่นดอกไม้และรอยยิ้มขี้เล่นส่งให้คนตรงหน้า
หัวใจของเขาเต้นตึกตัก ถึงมันจะเป็นแค่การขอแต่งงานเล่นๆ แต่ชานยอลก็ยังชอบอยู่ดี
“อย่ามาทำปากหวาน” แบคฮยอนกลั้วหัวเราะในลำคอ
มือบางยกขึ้นปิดหน้าด้วยความอายเมื่อแฟนหนุ่มจอมเจ้าเล่ห์คุกเข่าลงตรงหน้าพร้อมดอกไม้ข้างทางที่เขาขโมยมา
อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าใบหน้าร้อนเห่อไปหมด มันทั้งขำทั้งเขินจนอธิบายไม่ถูก
พอหรี่ตามองรอดผ่านช่องนิ้วก็เห็นชานยอลกำลังยิ้มอย่างมีความสุขกับการได้แกล้งคนรัก
“พูดจริง”
“ขออนุญาตแม่แล้วอ่อ”
“ค่อยบอกทีหลัง”
คำว่าค่อยบอกทีหลังทำคนตัวเล็กถึงกับต้องขำก๊ากแต่เขาก็ยอมรับเอาดอกไม้โง่ๆ
ของชานยอลมาไว้แต่โดยดี ราวกับมีดอกไม้เล็กๆ ผลิบานขึ้นในจิตใจ อย่างน้อยพวกเขาก็มีแหวนคู่ผูกใจ
แหวนธรรดาๆ ที่แบคฮยอนใส่จนเคยนิ้วและไม่คิดจะถอดออก
“จะแต่งอะสินสอดแพงนะ จ่ายไหวเปล่า ต้องจ่ายให้แม่มงด้วยนะ”
“แม่มงเอาแตงโมลูกเดียวก็พอแล้ว”
ชานยอลลุกขึ้นปัดทรายบนเข่าพลางส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขก่อนจะรั้งคอแฟนตัวเล็กเข้ามากอดไว้
ขณะที่เท้าก้าวย่ำเดินไปตามผืนทรายสร้างรอยเท้าเล็กๆ
เอาไว้เหมือนกับร่องรอยของวันเวลาที่ผ่านไปอย่างมีความหมาย
ติ๊ง!
เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าเรียกให้แบคฮยอนต้องหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมาดู
คิ้วเรียวขมวดย่นลงเล็กน้อยเมื่อได้เห็นข้อความสุดแปลกจากรายชื่อที่ไม่ได้บันทึกเอาไว้
พอกดเข้าไปดูแบคฮยอนก็ถึงกับต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
สองเท้าที่กำลังก้าวเดินหยุดชะงัก
“เพื่อนมึงเป็นอะไรอีกวะ”
ภาพถ่ายหนุงหนิงของแฟนหนุ่มและเพื่อนสาวถูกส่งเข้ามาในไลน์รัวๆ
จนมองแทบไม่ทัน แบคฮยอนหลิ่วตาดูรายชื่อที่ใช้ดิสเพลย์สีดำด้วยความไม่เข้าใจ ถึงมันจะไม่ใช่ภาพหวือหวาแต่ก็ใกล้ชิดเกินกว่าจะเพิกเฉยได้
และคนทำก็คงไม่ใช่ใครคนไหน ดูเหมือนว่าโคลอี้จะไม่ยอมจากไปง่ายๆ จริงๆ
“เค้าเป็นบ้าไรวะ” ชานยอลที่ได้เห็นรูปเหล่านั้นสบถออกมาทันทีด้วยท่าทีหัวเสีย
เขาคว้าโทรศัพท์ในมือคนรักมากดโทรหารายชื่อที่ส่งรูปพวกนี้มาทันที แต่ทว่าเสียงรอสัญญาณดังขึ้นไม่กี่ครั้งก็ถูกตัดลง
คนทางปลายสายไม่ยอมกดรับ ขณะที่ภาพยังถูกส่งมาเรื่อยๆ รวมถึงคลิปวิดีโอสั้นๆ
ชานยอลยังไม่ละความพยายาม เขาล้วงเอามือถือของตัวเองออกมาแล้วกดโทรไปหาอดีตเพื่อนสนิททันที
จากภาพถ่ายรูปคู่เริ่มเปลี่ยนเป็นรูปโชว์หวิวเก่าๆ ที่แบคฮยอนเคยถ่ายลงในทวิตเตอร์
มันถูกส่งมาพร้อมข้อความด่าทอเป็นภาษาอังกฤษ
คิ้วเรียวขมวดย่นเข้าหากัน ชานยอลพยายามโทรออกไปหมายเลขเดิมหลายครั้งแต่ก็ยังไม่มีการตอบรับใด
ส่วนแบคฮยอนก็ได้แต่ไถรูปดูไปพลางๆ แล้วก็คิดว่าสิ่งที่ใครบ้างคนกำลังทำอยู่นี้เพื่ออะไรกัน
แบคฮยอนแปลกใจมากว่าทำไมโคลอี้เพิ่งจะมาทำอะไรเอาตอนนี้ ทั้งๆ ที่เขาก็คบกับชานยอลมาตั้งนานแล้ว
“แม่งไม่ยอมรับ” คนตัวสูงส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างนึกขัดใจ
ยิ่งได้เห็นวิดีโอที่ตัวเองเคยเล่นกีตาร์ร้องเพลงให้กับอดีตเพื่อนรักชานยอลก็ยิ่งโมโห
เขากำลังโกรธมากที่โคลอี้ทำแบบนี้กับแบคฮยอน เธอต้องการอะไรกันแน่
ทำถึงไม่หยุดสักที
“แล้วดูตามไปขุดรูปกูมาจ๊น... เฮ้อ... แม่งเป็นอะไรวะเนี่ย” บ่นงึมงำออกไปอย่างนึกเซ็งโดยที่ในใจก็ยังสงสัยว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันคืออะไร
และสิ่งที่ทำให้แบคฮยอนอายยิ่งกว่าภาพโป๊โชว์ตูดก็คือรูปถ่ายเขาสมัยยุคมืดที่เคยลงเล่นๆ
เอาไว้
ถ้าโคลอี้เอารูปนี้ไประจานแบคฮยอนคงอายกว่าถูกประจารด้วยรูปโป๊
“บล็อคไปเลย ไม่ต้องไปสนใจ”
สีหน้าและน้ำเสียงไม่พอใจของแฟนหนุ่มบอกให้แบคฮยอนรู้ว่าชานยอลโกรธมากแค่ไหน ใจเขานึกอยากจะส่งคลิปอัศจรรย์กลับคืนไปบ้างแต่ก็กลัวว่าจะกลายเป็นหาเรื่องเดือดร้อนเปล่าๆ สุดท้ายก็ได้แต่กดบล็อคไป แบคฮยอนหันไปส่งยิ้มให้แฟนเขาที่ยังเอาแต่ทำหน้าบูดบึ้งก่อนจะวางมือลงบนศีรษะแล้วขยี้เบาๆ
แบคฮยอนไม่สนใจหรอก มันเรื่องแค่นี้เอง.
.
.
.
เวลาสี่ทุ่มเศษๆ ภายในห้องนอนกว้าง แบคฮยอนยังกดเลื่อนภาพถ่ายของแฟนหนุ่มและอดีตเพื่อนสนิทดูไปเรื่อยๆ
ส่วนใหญ่ภาพที่โคลอี้ส่งมามีแต่รูปถ่ายในห้องเดิมๆ กับวิวของต่างประเทศ ทั้งภาพของชานยอลในเสื้อไหมพรมที่นั่งแกะของขวัญอยู่ใต้ต้นคริสต์มาส
ชานยอลบนโซฟากับกีต้าร์ตัวโปรดของเขา
ถ้ามองในสายตาของคนนอกแล้วมันก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพวกเขาช่างดูเหมาะสมกัน
มันทำให้แบคฮยอนนึกถึงข่าวซุบซิบไฮโซที่เคยอ่านบ่อยๆ พอดูไปนานๆ
เข้าก็ชักจะเริ่มรู้สึกอิจฉา แบคฮยอนว่าเขาพอจะเข้าใจความรู้สึกของโคลอี้ที่ต้องเสียคนสำคัญไปแล้ว
“ดูอะไร”
ชานยอลเดินไปทิ้งตัวนั่งข้างคนรักพลางเอนศีรษะพิงลงกับลาดไหล่เล็ก สิ่งที่เขาเห็นในโทรศัพท์แฟนตัวเล็กทำชานยอลอดส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอด้วยความขัดใจไม่ได้
“ดูทำไมอะ บอกแล้วว่าให้บล็อคไป”
“ก็ดูเฉยๆ ไง อยากดูรูปมึงเมื่อก่อน”
“ไม่ต้องไปดูหรอก อยากดูก็มาดูของผม” มือหนาเอื้อมไปคว้าแย่งโทรศัพท์ในมือคนรักมาอย่างถือวิสาสะ
ชานยอลไม่อยากให้แบคฮยอนดูภาพพวกนี้เลยเพราะเขาเองก็ลบทุกอย่างเกี่ยวกับโคลอี้ออกไปแล้วเหมือนกัน
ทั้งรูปในเฟสบุ๊ก อินสตาแกรม ชานยอลลบทุกเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนของเขาออกจนหมดสิ้น
กีดกันการติดต่อทุกทาง เขาไม่อยากให้โคลอี้มายุ่งวุ่นวายกับคนในชีวิตอีกแล้ว
“ยิ่งไปอ่านเค้าก็ยิ่งกวน”
Ring
Ring Ring Ring
พูดยังไม่ทันขาดคำเสียงแจ้งเตือน Voice
call เข้าก็ทำให้คู่รักทั้งสองต้องมองหน้ากัน
ชานยอลตัดสินใจกดรับสาย เขาไม่ได้พูดอะไรแต่กดเปลี่ยนโหมดเป็นวิดีโอคอลแทน
เพียงไม่นานหน้าจอสีดำก็ปรากฏขึ้น ไม่มีใครเริ่มพูดอะไรก่อน คนที่โทรมาไม่ยอมเปิดกล้องและไม่พูด
แต่ชานยอลก็รู้ว่าเธอกำลังมองเห็นอยู่
“ใครครับ โทรมาทำไม”
[…………..]
“เป็นอะไรอะ โทรมากวนแฟนผมทำไม”
[…………….]
“โทรมาแล้วทำไมไม่พูดอะ โทรไปก็ไม่รับ”
[……………]
ปลายสายยังคงเอาแต่เงียบ ชานยอลเองก็ได้แต่มองเข้าไปในจอสีดำที่ว่างเปล่า
ตัวจับเวลายังคงวิ่งไปเรื่อยๆ มีเพียงแค่เสียงหายใจที่ดังสลับกันไปมาจนกระทั่งเสียงแจ้งเตือนแบตเตอรี่ต่ำดังขึ้น
“ที่รักหยิบที่ชาร์จแบตให้หน่อยครับ เอาพาวเวอร์แบงค์มาด้วย
ในกระเป๋าอะ” ชานยอลชี้นิ้วไปยังกระเป๋าเป้เพื่อบอกให้คนรักไปหยิบแบตสำรองมาให้
เขารับมันมาแล้วเสียบเข้ากับมือถือก่อนจะพูดต่อ
“เป็นไรอะ ไม่สบายปะ ไม่สบายก็ไปหาหมอ แต่อย่ามาทำแบบนี้”
[…………..]
“รูปเรากับแฟนเก่าอะส่งมาทำไม... ส่งรูปแบคฮยอนมาทำไม”
ว่าแล้วชานยอลก็ไถลตัวไปนอนซบไหล่แฟนตัวเล็กของเขาพร้อมกับเอียงกล้องให้เห็นคนข้างๆ
พวกเขาเหมือนกำลังคุยกับวิญญาณที่ไม่มีเสียงพูดแต่สัมผัสได้ว่ามีอยู่
“อ่ะ” แบคฮยอนคีบเอาซูชิปลาหมึกไปป้อนใส่ปากจอมขี้เกียจขณะที่สายตาก็ยังมองไปยังจอโน้ตบุ๊กที่ฉายละครเรื่องโปรด
“ไม่อยากให้เรื่องต้องถึงแม่ใช่ปะ... ถ้ายังไม่หยุดเราไม่สนใจแล้วนะ”
[…………..]
“พอได้แล้ว”
[ฮึก...]
ได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆ ดังออกมาจากในลำโพง
ชานยอลได้แต่ถอนลมหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ แบคฮยอนเองก็เซ็งไม่แพ้กันกับฉากดราม่าของเพื่อนรักเพื่อนร้าย
เขาเอียงหัวเข้าไปดูในจอแต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากภาพสีดำ
“เค้าได้ยินปะวะ”
“น่าจะได้ยินแหละ”
[ฮึก... เราลืมไม่ได้... ฮือ... เราลืมชานยอลไม่ได้ ฮือ...]
“..............”
[ฮึก... กลับไปคุยกันเหมือนเดิม... อึก... ได้ไหม... ฮือ...
แค่เป็นเพื่อนกันก็ได้... ฮือ...]
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นที่ดังมาจากปลายสายทำคนฟังถึงกับต้องมองหน้ากัน
ชานยอลรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ต่อให้ไม่มีเรื่องพ่อมาเกี่ยวข้องมันก็เป็นไปไม่ได้
โคลอี้ก็แค่อยากจะดึงชานยอลไว้ให้กลับไปในที่ที่เธอเคยเอื้อมถึง
แต่ที่ตรงนั้นมันไม่ใช่ของเธออีกแล้ว
“มันเป็นไปไม่ได้หรอก...”
[ฮือ... ฮือ...]
“ไม่ต้องติดต่อมาแล้วนะ แค่นี้แหละ...”
ทิ้งคำพูดสุดท้ายเอาไว้ก่อนที่จะกดตัดสายไปทันที ชานยอลวางโทรศัพท์ลงข้างตัวก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย
บางครั้งความเศร้าก็กดดันให้คนเราทำอะไรโง่ๆ และชานยอลเองก็เคยทำเช่นกัน
แต่ไม่ว่ายังไงเขายอมรับไม่ได้กับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้
ชานยอลกำลังจะมีชีวิตใหม่และเขาไม่อยากจมกับสิ่งที่ดึงดูดตัวเองมาตลอดหลายปีอีกแล้ว...
“เฮ้อ... ทำตัวเองแท้ๆ ว่ะ” คนตัวเล็กส่ายหน้าไปมาอย่างนึกปลง เมื่อสุดท้ายตัวร้ายของเรื่องที่พยายามกลับมาก็พ่ายแพ้ตามระเบียบ
ถึงจะอยากรู้สึกสงสารแต่พอคิดถึงสิ่งที่เธอแล้วมันก็พูดไม่ออก แบคฮยอนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเธอไม่ทำพลาดเรื่องคลิปโอกาสนั้นอาจจะยังพอมีเหลือยู่ก็ได้
หรือไม่ก็อาจจะได้อยู่ใกล้ชานยอลในฐานะแม่ของลูกอีกคนแทน
“ปล่อยเค้าไปเหอะ”
“ไม่สงสารเค้าอ่อวะ”
“เคย” แค่คำตอบสั้นแต่แทนความรู้สึกที่อยู่ในใจได้ทั้งหมด ชานยอลเคยสงสารโคลอี้
เคยอยากรับผิดชอบความรู้สึกของเธอ อยากช่วยดูแลอย่างน้อยในฐานเพื่อนคนหนึ่ง แต่หลังจากนั้นสิ่งที่เขาได้เจอมันก็พรากทุกความรู้สึกไป
“กู เครียดแทนเลย ผู้หญิงคนเดียวเอาทั้งพ่อทั้งพี่ทั้งน้อง แล้วเสือกจะมีลูกให้อีก
ถ้ามันได้มึงอีกคนแล้วมีลูกออกมานี่ไม่รู้เลยลูกใคร“
“พอเหอะว่ะ สงสารเด็ก” ชานยอลโยนโทรศัพท์ทิ้งลงข้างตัว เขาขอยอมตายดีกว่าถ้าพ่อจะมีลูกอีกคนกับผู้หญิงที่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่
“ถ้าให้มีน้องอีกคนเอาแมะ”
“ไม่เอาอะ”
“ไม่อยากมีน้องอ่อ ไม่อยากมีน้องแล้วอยากมีลูกปะ”
“ตอนนี้ยังไม่อยากแต่สักวันอาจจะอยากมี ไม่รู้ดิ
ถ้าเลี้ยงเค้าให้มีความสุขไม่ได้ก็ไม่อยากมี” ความทรงจำเรื่องการมีครอบครัวของชานยอลไม่ดีเท่าไหร่ เขาไม่อยากให้ลูกเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่ตัวเองเคยเผชิญทั้งความกดดันจากการถูกคาดหวัง ความมีหน้ามีตา
ชานยอลกลัวว่าลูกจะได้รับอิทธิพลและถูกกดดันจากครอบครัวเหมือนอย่างที่เขาเคยเป็น
ชานยอลเข็ดกับการเป็นเด็กที่เติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวภายในกรงทอง แต่ถ้าหากว่ามีแบคฮยอนคอยอยู่ดูแลชานยอลอีกคนด้วยก็อาจจะดี
“อือ... ก็จริงอะเนาะ”
“ไม่ต้องมีหรอก อยู่ด้วยกันก็พอแล้วเนาะ”
ว่าแล้วชานยอลก็พลิกร่างหันไปซุกกอดคนรักของเขาอย่างช่างอ้อน แค่มีแบคฮยอนอยู่ตรงนี้ชานยอลก็มีความสุขมากพอแล้ว
ตั้งแต่วันแรกที่รู้สึกตัวขาดคนๆ นี้ไม่ได้ มาจนถึงตอนนี้ชานยอลก็ยังรู้สึกแบบนั้น
และความรู้สึกนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย
#ฟิคกวาง
กลับมาไมง่ะ
โจ๊ะ
ความคิดเห็น