ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ฟิคเสื่อม] กวาง The series - Chanbaek

    ลำดับตอนที่ #44 : Chapter : 40 กลับมาทำไม

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 22.37K
      440
      29 ม.ค. 61





    เสียงเรียกเข้าจากมือถือเครื่องบางปลุกชายหนุ่มที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงให้ต้องควานมือไปรอบๆ ชานยอลคว้าเอาโทรศัพท์มากดรับสายพร้อมกับกรอกเสียงงัวเงียลงไป เขาพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะพลิกร่างนอนหงายพลางหรี่ตามองดูนาฬิกาบนหัวเตียง

     

    “อือ...”

     

    [ตื่นยังเนี่ย]

     

    “ตื่นแล้ว...”

     

    [โกหก มึงเพิ่งตื่นเมื่อกี้]

     

    “อือ... ก็ตื่นแล้วนี่ไง” คนตัวสูงส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นนั่งด้วยสภาพงัวเงีย

     

    ชานยอลหนีบโทรศัพท์ติดหูเดินไปแปลงฟันในห้องน้ำ เขาเปิดสปีกเกอร์แล้ววางมันไว้บนอ่างล้างหน้าพลางพูดคุยกับคนในสายไปด้วยเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกง่วงอีก ตอนนี้แปดโมงแล้ว มันเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ชานยอลต้องตื่นเช้าขนาดนี้

     

     [วันนี้ไปทำงานกี่โมง]

     

    “สิบโมงครับ”

     

    จ๊อก...

     

    เสียงปัสวะลงโถดังจ๊อกก่อนจะตามมาด้วยเสียงกดชักโครก ชานยอลสะบัดงวงน้อยของเขาแล้วเดินไปล้างหน้าแปรงฟันอย่างอืดอาดปล่อยให้คนในสายพูดนู่นพูดนี่ไปส่วนตัวเองก็ครางอื้ออึงตอบรับในลำคอทั้งที่ยังมีแปรงสีฟันคาอยู่ในปาก

     

    ใช้เวลาเพียงไม่นานชานยอลก็ออกมาจากห้องน้ำด้วยความสดใสที่มากกว่าเดิม เขาเดินไปรื้อสูทที่แม่บ้านเอามาให้ออกมาจากราวแล้วยืนเปลี่ยนมันที่หน้ากระจก เพียงไม่นานเด็กหนุ่มในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นก็กลายร่างเป็นลูกเจ้าของบริษัทใหญ่ตัวจริง ถึงแม้ผมเพ้าของเขาจะยังดูไม่เป็นทรงอยู่ก็ตาม

     

    [เดี๋ยวจะลงไปหาข้าวกินละนะ แค่นี้ก่อน]

     

    “ไม่วางได้ปะ”

     

    [แบตจะหมดแล่ว เมื่อคืนไม่ได้ชาร์จแบต ไว้เดี๋ยวโทรหาใหม่]

     

    “อือ เดี๋ยวโทรหา” คนตัวสูงก้มลงตอบรับคนในโทรศัพท์ก่อนจะคว้าเอากางเกงยีนส์สีดำมาสวมแทนกางเกงแสล็คที่ดูทางการ ชานยอลไม่ลืมหยิบเสื้อฮู้ดของเขายัดใส่กระเป๋าไปด้วยพร้อมกับคว้าโทรศัพท์ใส่กระเป๋าสูทเพื่อเตรียมไปทำงานแทนผู้เป็นแม่

     

    ขายาวก้าวลงไปตามขั้นบันไดมาจนถึงห้องครัวที่มีแม่บ้านกำลังปั่นน้ำผักอยู่ ชานยอลเห็นแม่เขานั่งหันหลังให้อยู่บนวีลแชร์พร้อมกับบงการให้แม่บ้านทำสิ่งที่ต้องการเหมือนเดิม คนตัวสูงเดินไปหยิบเอาแอปเปิ้ลและขนมซองเล็กใส่กระเป๋าเสื้อก่อนจะหันไปส่งยิ้มขำให้กับคุณนายของบ้าน

     

    ขนาดแม่ขาเดี้ยงขนาดนี้ก็ยังไม่ยอมหยุดทำงานเลย แล้วก็ไม่ยอมหยุดนิสัยเจ้ากี้เจ้าการด้วย

     

    “ชานยอลจะไปทำงานแล้วหรอ”

     

    “ครับ ผมต้องเข้าประชุมแทนแม่ไง”

     

    “หรอ แม่ลืมไปเลยนะเนี่ย” หญิงวัยกลางคนนิ่วหน้า ยูรินลืมไปสนิทเลยว่าเธอมีตารางงานอะไรบ้างหลังจากที่เห็นแต่ตารางการทำกายภาพบำบัดกับไปหาหมอ

     

    “จะเอาอะไรไหมครับ”

     

    “ไม่เอาหรอก ชานยอลจะกลับตอนไหน”

     

    “สักเที่ยงๆ บ่ายๆ ผมอาจจะไปกินข้าวก่อน” ชานยอลยกแอปเปิ้ลขึ้นกัด เขาพิงก้นลงกับเคานเตอร์หินอ่อนพลางก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้ชานยอลยังมีเวลาอีกนิดหน่อย

     

    “ชานยอลไม่เห็นพาแบคฮยอนมาหาแม่มั่งเลย”

     

    “ผมพามาก็ได้ถ้าแม่อยากเจอ” คำพูดของผู้เป็นแม่ทำคนตัวสูงถึงกับต้องหัวเราะออกมา ชานยอลไม่คิดเลยว่าแม่จะพูดคำนี้กับเขาทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็เคยมายืนห้ำหั่นกันในห้องครัว มันทำให้ชานยอลอดคิดไม่ได้ว่าทุกอย่างกำลังดีขึ้นแล้วจริงๆ

     

    “พาแบคฮยอนมากินข้าวที่บ้านบ้างสิ”

     

    “เดี๋ยวผมชวนให้ ผมไปแล้วนะครับ”

     

    “อื้อ ขับรถดีๆ นะ”

     

    “ครับ” ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็เดินออกจากห้องครัวไปพร้อมกับลูกแอปเปิ้ล ขณะเดียวกันใครบางคนที่ชานยอลไม่อยากเจอหน้ามากที่สุดก็เดินลงมาจากบันได เขาสบตากับพ่อเพียงครู่เดียวก็เดินผ่านไปโดยไม่มีคำกล่าวทักทายใดๆ

     

    ชานยอลยังไม่ลืมว่าพ่อทำอะไรไว้ถึงแม้จะไม่ได้โกรธแล้วก็ตาม ความสัมพันธ์ที่ไม่ซื่อตรงต่อกันทำให้ชานยอลรู้สึกอึดอัดใจแทนในฐานะคนกลาง เขาไม่สามารถทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ในเมื่อภาพของเพื่อนสนิทและพ่อของตัวเองยังไม่เคยหายไปจากหัว

     

    ชานยอลนอนคิดทุกวันว่าเขาไม่อยากมีครอบครัวแบบนี้ ไม่อยากเป็นเหมือนพ่อ ถ้ามีลูกก็ไม่อยากให้ลูกอยู่กับความอึดอัดใจเหมือนอย่างที่ตัวเองเคยเจอ ความรู้สึกนี้ตามหลอกหลอนเขาอยู่ทุกคืนจนไม่สามารถหลับลงได้อย่างสบายใจ

     

    ถึงจะพยายามทำเป็นไม่สนใจยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่าไม่รู้สึกอะไร ชานยอลกลับไปมองพ่อในแบบที่เคยมองไม่ได้เลย...

     

    .

     

    .

     

    .

     

    เวลาเที่ยงเศษๆ ในร้านกาแฟใต้สำนักงานหลังการประชุมที่แสนน่าเบื่อหน่ายจบลง ชานยอลเดินถืออเมริกาโน่แก้วโปรดของเขาไปนั่งตรงมุมสุดภายในร้านกาแฟที่ถูกตกแต่งอย่างดี โทรศัพท์มือถือถูกหยิบออกมากดเช็คข้อความ

     

    ตอนนี้เที่ยงกว่าแล้ว ชานยอลกำลังนั่งรอให้แฟนเขามาหาที่ทำงานเพื่อที่จะไปหาอะไรกินและซื้อของกลับไปตุนไว้ที่คอนโด ขายาวยกขึ้นไขว่ห้าง เสียงเพลงในหูฟังดังไปตามท่วงทำนอง

     

    PCY : อยู่ไหน

     

    BBH : กำลังไป รอแป๊บบบ

     

    PCY : อยู่ในสตาบัค

     

    พอกดส่งข้อความไปยังไม่ทันจะได้ล็อคหน้าจอสายเรียกเข้าก็ดังขึ้นทว่ากลับไม่ใช่เบอร์ที่คาดหวัง ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น คนตัวสูงชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ว่าจะกดรับดีไหมจนกระทั่งสายตัดไปเองก่อนที่มันจะดังขึ้นอีกครั้ง ชานยอลถอนลมหายใจออกมาแล้วตัดสินใจกดรับ เขากรอกกน้ำเสียงราบเรียบลงในสาย ทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดความอึดอัดใจก็ทับถมลงมาเต็มอก

     

    “ฮัลโหล”

     

    [ออกมาเจอกันหน่อยได้ปะ]

     

    “อยู่ไหนอะ”

     

    [อยู่ที่บริษัท]

     

    คำว่าอยู่หน้าบริษัทของอดีตเพื่อนรักทำชายหนุ่มถึงกับต้องรีบดีดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ ชานยอลกวาดตามองไปรอบตัว สองเท้าก้าวเดินออกจากร้านกาแฟมายืนอยู่หน้าประตูบริษัท พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวที่แสนคุ้นหน้าในชุดสีฟ้าอ่อน โคลอี้กำลังเดินลงมาจากรถพร้อมกับกระเป๋าถือสีแดง

     

    “มาทำไรอะ”

     

    [มีเรื่องอยากคุยด้วย]

     

    “............”

     

    การพบเจอกันแบบที่ไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้ชานยอลทำตัวไม่ถูก เขาไม่เข้าใจว่าโคลอี้มาที่บริษัททำไม ยังจะกลับมาทำไม ทั้งๆ ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาโคลอี้แทบไม่เคยติดต่อมาเลย เธอหายไปเหมือนเมฆฝนแล้วอยู่ๆ วันนี้ก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า

     

    ชานยอลไม่รู้ว่าควรตอบตกลงไหม อีกไม่นานแฟนเขาก็จะมาถึงแล้ว และเรื่องทั้งหมดกับโคลอี้ก็ควรจะจบไปตั้งนานแล้ว

     

    [ฮัลโหล ออกมาหน่อยได้ปะ]

     

    “อยู่ตรงไหนอะ”

     

    [ข้างตึกอะ เดินมาหน่อย]

     

    “อือ เดี๋ยวไป”

     

    คนตัวสูงตัดสินใจตอบรับคำก่อนจะกดวางสายแล้วเดินออกจากประตูตรงไปยังข้างตึกที่เป็นลานว่าง ลมช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิพัดเส้นผมสีน้ำตาลของสาวสวยให้ปลิวไสว มันเป็นภาพที่แสนคุ้นเคย ชานยอลยืนอยู่ตรงหน้าหญิงสาวที่นอนกับพ่อเขาพร้อมกับความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

     

    “มาทำอะไรอะ”

     

    “ก็แวะมาหาเฉยๆ” หญิงสาวยกยิ้มถึงแม้จะรู้ว่าสายตาของคนตรงหน้ามีแต่ความวางเปล่าและความเคลือบแคลงใจ หัวใจของโคลอี้แหลกสลายลงหลายต่อหลายครั้ง และมันยากเหลือเกินที่จะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้

     

    “ทำไมไม่โทรบอกก่อนอะ รู้ได้ไงว่าอยู่นี่” ชานยอลพยายามจะทำตัวให้ปกติที่สุด เขาจำไม่ได้แล้วว่าไม่เห็นโคลอี้กี่เดือน พอความผูกพันที่เคยมีลดลงสิ่งต่างๆ ในใจก็ผุดขึ้นมาราวกับน้ำลดตอผุด เหลือเพียงความเกรงใจซึ่งกันในฐานะคนเคยมีใจ

     

    “ก็ตั้งใจมาเซอร์ไพรส์ แม่เป็นไงบ้าง”

     

    “สบายดี”

     

    “พ่ออะ”

     

    “.............”

     

    “หึ... ไม่เป็นไร” โคลอี้หัวเราะออกมาน้อยๆ เธอหลุบตาลงมองปลายเท้าก่อนจะพูดต่อ “ชานยอลมีความสุขดีไหม คบกับแฟนอยู่หรือเปล่า”

     

    “อือ คบอยู่”

     

    “เราจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศแล้วนะ คงไม่กลับมาแล้ว” ลมหายใจอุ่นๆ ถูกถอนออกมาเฮือกใหญ่ ความเศร้าที่กัดกินจิตใจหญิงสาวสร้างแผลลึกเป็นรอยกว้าง โคลอี้อยากหยุดเรื่องพวกนี้สักที เธอไม่อยากอยู่กับความรู้สึกนี้ไปตลอดชีวิต “เรื่องพ่อเราขอโทษนะ”

     

    “.............”

     

    “เรารู้ว่าชานยอลไม่ให้อภัยหรอก แต่เราไม่อยากรู้สึกผิดแบบนี้” เธอระบายยิ้มสมเพชขึ้นบนใบหน้าก่อนจะพูดต่อ “พ่อยูเคยบอกยูปะว่าเซฮุนเป็นพี่ยูอะ แล้วแม่เค้าก็เคยเป็นเลขาให้แม่ยูด้วย”

     

    “.............”

     

    “ไม่รู้เลยอะดิ หึ... เราไม่ได้มาเรียกร้องอะไรหรอก เรารู้ว่ายังไงชานยอลก็ไม่ให้อภัย เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราแค่จะมาบอกว่าตอนนี้เราไม่เหลืออะไรเลย ทั้งชีวิตเรา มหาลัย ทั้งชานยอล ทั้งลูกเรา”

     

    “หมายความว่าไงอะ”

     

    “ลองถามพ่อยูดิ เค้าเป็นคนให้เราไปเอาลูกออกนี่ หรือเค้าบอกว่าเค้าไม่ได้ทำ... เราเข้าใจนะว่ามันง่ายที่เค้าจะโยนความผิดให้เราเพราะเค้ารู้ว่าเราคงไม่กล้ามาเจอชานยอลอีก” ดวงตากลมโตเหลือบขึ้นสบมองชายหนุ่มตรงหน้า โคลอี้รู้ว่าสุดท้ายแล้วเธอจะไม่เหลืออะไรเลยสักอย่างแม้แต่ความเห็นใจหรือความผูกพันกับเพื่อนคนนี้

     

    “แล้วต้องการอะไรอะ...”

     

    คำพูดที่แสนเย็นชาถูกเอ่ยออกไปพร้อมกับสายตาว่างเปล่า ชานยอลไม่รู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าเขาต้องการอะไรถึงเอาเรื่องพวกนี้มาบอก ถ้าโคลอี้แค่แค้นและอยากทำให้ชานยอลเสียใจมากขึ้นกว่าเดิมเธอทำได้แล้ว แต่ชานยอลจะไม่ยอมให้เรื่องพวกนี้ทำร้ายครอบครัวเขาไปมากกว่านี้อีก

     

    “เราไม่ต้องการอะไรหรอก เราแค่อยากให้ชานยอลรู้ไว้ว่าชีวิตเราพัง แต่พ่อชานยอลไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย เค้าทำไรอยู่อะ มีความสุขอ่อ”

     

    “แล้วทำไมไม่ไปบอกเค้าเองอะ” ชานยอลพยายามบอกตัวเองไม่ให้เป็นวิ่งไปตามเกมของหญิงสาวแม้ในใจของเขาจะกำลังกลัวเหลือเกิน โคลอี้ทำตัวเหมือนก้อนหินติดไฟที่พยายามจะเผาคนอื่นให้มอดไหม้ตามไปด้วย เผาแม้กระทั่งเศษเสี้ยวความรู้สึกดีๆ ในใจของชานยอลจนสิ้นซาก

     

    “เราไม่ได้ต้องการอะไรจากเค้า เราแค่อยากให้ชานยอลรู้ไว้...”

     

    “................”

     

    “เรารักชานยอลนะ... ถึงเราจะทำเรื่องไม่ดี แต่เราก็ยังรักชานยอลอยู่ดี” หยาดน้ำตาเริ่มไหลท้นขึ้นมาคลอเบ้า โคลอี้รู้ว่าเธอกำลังทำเรื่องบ้าๆ แต่นั่นเป็นสิ่งเดียวที่พอจะทำได้

     

    ไม่อยากเก็บความรู้สึกนี้ไว้ในใจอีกแล้ว ไม่ว่าจะพยายามหลอกตัวเองยังไงก็ทำไม่ได้ โคลอี้ลืมชานยอลไม่ได้ เขาไม่มีทางลืมผู้ชายที่แสนวิเศษคนนี้ได้ ไม่ว่าจะพยายามเริ่มต้นใหม่กี่ครั้งสุดท้ายก็วนกลับมาที่การนั่งเปิดดูรูปเก่าๆ แล้วร้องไห้เหมือนกับคนบ้า

     

    “.................”

     

    “เรากลับไปคุยกันได้ไหม ฮึก... กลับไปเป็นเพื่อนกันได้ไหม...”

     

     “.....................”

     

    “ชานยอล...”

     

    เสียงที่ดังขึ้นพร้อมกับแรงฉุดตรงต้นแขนเรียกคนตัวสูงให้ต้องหันไปมองแฟนตัวเล็กที่กำลังยืนอยู่ด้านหลัง ชานยอลเหลือบสายตาไปมองอดีตเพื่อนรักของเขาเพียงครู่ก็หันหลังใช้มือดันไหล่คนรักให้เดินกลับออกไปโดยที่ไม่ได้ทิ้งคำพูดอะไรไว้หรือรอให้หญิงสาวได้พูดจนจบ

     

    สำหรับชานยอลมันจบไปนานแล้ว... ความเห็นใจของเขาที่มีต่อโคลอี้พังลงตั้งแต่ที่ได้ร็ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และไม่ว่าพ่อจะทำอะไรกับโคลอี้ไว้พวกเขาทำสิ่งนั้นด้วยกัน และมันไม่ใช่แค่ความผิดของใครคนใดคนหนึ่ง การที่โคลอี้เอาเรื่องนี้มาบอกมันก็ไม่ต่างอะไรจาการทำร้ายชานยอล เหมือนกับว่าเธอแค้นพ่อของเขาแต่ยังต้องการลูกของเขา โคลอี้ทั้งอยากฉุดรั้งและทำร้าย

     

    แต่ความรู้สึกสุดท้ายที่ชานยอลมีต่ออดีตเพื่อนคนนี้คงไม่พ้นความเกลียดชัง...

     

    เหลือไว้เพียงแค่ร่องรอยของความทรงจำร้ายๆ ที่เกิดขึ้น ชานยอลรู้ว่าพ่อเขาไม่ใช่คนดีและโคลอี้เองก็เช่นกัน แน่นอนว่ามันคงไม่มีอะไรมันจะสนุกไปกว่าการได้เห็นลูกชายโยนไฟใส่บ้านตัวเองและแยกครอบครัวเป็นสองส่วน ชานยอลที่โคลอี้รู้ดีว่าอ่อนไหวกับเรื่องเหล่านี้มากแค่ไหน ในขณะเดียวกันเธอก็รับบทเป็นหญิงสาวที่น่าสงสาร

     

    เพราะมันง่ายที่จะโยนความเจ็บปวดให้เผาชานยอลแล้วช่วงชิงโอกาสจากสิ่งนั้น... แต่ถ้าหากชานยอลไม่รับความเจ็บปวดนั้นหินติดไฟก็คงจะเผาตัวโคลอี้เอง...

     

    .

     

    .

     

    .

     

    บนถนนเรียบโล่งไร้ผู้คน รถยันต์คันสีดำขับเอื่อยๆ ไปตามทาง การได้มองวิวทะเลและชายหาดทำให้ชานยอลสบายใจขึ้นเยอะ เขายอมขับรถเป็นชั่วโมงออกมานอกเมืองเพื่อหาสถานที่พักใจให้ตัวเอง มีความคิดมากมายวิ่งวุ่นอยู่ในหัวชานยอล เขาอยากขับรถพุ่งชนเสาไฟให้มันรู้แล้วรู้รอด ถ้าไม่ตายก็ไปกระโดดทะเลซ้ำ เรื่องพวกนี้มันจะได้หายไปจากหัวสักที

     

    “กูว่าแม่งบ้าไปแล้วว่ะ มึงไม่ต้องสนใจหรอก คนปกติที่คิดได้เค้าไม่ทำกันหรอก”

     

    “อือ ผมว่าเค้าก็ดูไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่” คนตัวสูงซบหน้าลงกับพวงมาลัยรถ ชานยอลดับเครื่องจอดที่ข้างถนนเรียบชายหาดก่อนจะก้มลงถอดรองเท้าและถุงเท้าออกแล้วเปิดประตูเดินลงไป

     

    ฝ่าเท้าที่สัมผัสลงกับผืนทรายเย็นเยียบและลมที่พัดปะทะเข้าใบหน้าช่วยบรรเทาความรู้สึกตึงเครียดได้อย่างดี ในวันที่ท้องฟ้าไม่เปิดโล่งทะเลไม่ใช่สถานที่น่าเที่ยวนัก กวาดตามองออกไปไกลสุดลูกหูลูกตากว่าจะได้เห็นนักท่องเที่ยวสักคน

     

    “ไปเดินเล่นกัน” ชานยอลหันไปส่งมือให้กับแฟนตัวเล็กของเขาพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะดึงร่างเล็กๆ จับมือพากันเดินย่ำไปบนหาดทรายสีขาวสะอาด เสียงคลื่นสาดกระทบผิวน้ำดังเป็นระลอกเคล้ากับเสียงลม

     

    ชานยอลอยากจะตะโกนออกมาให้สุดเสียงเพื่อระบายความคับข้องใจออกไปให้หมด แต่สุดท้ายเขาก็ได้แต่ทิ้งตัวลงนั่งบนผืนทราย ปลายเท้าเหยียดเข้าหาคลื่นที่วิ่งขึ้นมาซัดเป็นจังหวะ ปลายนิ้วหัวแม่มือลูบคลึงไปบนแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วมือของคนรัก ลมหายใจถูกถอนออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า มีเพียงแค่เสียงลมหวีดพัดผ่านใบหูที่เข้าใจความคิดของชานยอล

     

    “มึงรู้ปะ เค้าตั้งใจทำให้มึงรู้สึกแบบนี้นะ แต่เค้าทำไม่ได้หรอก”

     

    “ก็ทำอยู่นี่ไง...”

     

    “มึงยังมีแม่นะเว้ย คิดดูดิถ้าเค้ารู้เค้าจะโกรธขนาดไหน ผู้หญิงเหี้ยไรโคตรแบบ กูไม่เคยเจออะไรสุดๆ ขนาดนี้มาก่อนเลยนะจริงๆ” คนตัวเล็กนิ่วหน้าพลางส่ายหัวไปมาด้วยความเหนื่อยใจ แบคฮยอนนึกไม่ออกเลยว่าปีศาจตนไหนที่ทำให้คนเราร้ายกาจได้มากขนาดนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิงที่ทำกับคนที่บอกว่าตัวเองรัก

     

    “ถ้าแม่รู้ก็บ้านแตก เค้าคงไล่พ่อผมออกจากบ้าน...”

     

    “แล้วถ้ามันโกหกอะ ถ้ามันไม่ได้ท้องอะ มันจะพูดอะไรก็ได้ปะ หลักฐานไรก็ไม่มีอะ”

     

    “ผมว่าเค้าโกหกอยู่แล้วแหละ” ชานยอลได้แต่ส่งเสียงหัวเราะหึในลำคออย่างนึกขัน เขาไม่เชื่อหรอกว่าโคลอี้ท้อง มันไปได้ยากกว่าการให้ลาตดเป็นสีรุ้งซะอีก โคลอี้ไม่ใช่สาวไร้เดียงสา เธอไม่มีทางเดิมพันอนาคตกับความสัมพันธ์แค่ครั้งเดียวแน่ ทั้งพ่อและโคลอี้เองไม่ต้องการให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ทำไมพวกเขาถึงจะไม่หาทางป้องกัน “แต่ถึงเค้าโกหกแม่ผมก็ระเบิดอยู่ดี เค้ารู้นะว่าพ่อมีเล็กมีน้อย แต่ถ้ามายุ่งกับครอบครัวเค้าไม่ยอม”

     

    “เพื่อนมึงป่วยปะวะกูถามจริง”

     

    “ไม่รู้ดิ แต่เพื่อนเค้าบอกช่วงนี้เค้าต้องไปหาหมอ เค้าไม่ยอมไปเรียน”

     

    “เฮ้อ... ทำตัวเองแท้ๆ ว่ะ”

     

    “แต่ถ้าเค้าไม่ไปผมอาจจะต้องเป็นคนไปหาหมอเองก็ได้นะ” แกล้งทำเป็นพูดติดตลกก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกมาแล้วลุกยืนขึ้นโดยที่ไม่ลืมฉุดร่างแฟนตัวเล็กให้ลุกยืนตามด้วย ดวงตากลมโตจ้องมองไปยังทางเดินชายหาดที่ทอดออกไปไกลสุดลูกตา

     

    เมื่อก่อนชานยอลเองก็ต้องไปพบแพทย์เพื่อปรับทัศนคติเหมือนกัน แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเขากับหมอชินเริ่มห่างเหินแล้วเพราะชานยอลมีหมอดูใจส่วนตัวคอยบำบัด บางทีชีวิตคนเราก็เครียดเกินไป และมันทำให้พวกเขาเป็นบ้า

     

    “แม่ง... ชีวิตเหมือนมีกรรมเลย”

     

    “วันนี้ไปบ้านปะ แม่ชวนไปกินข้าว”

     

    “หื้อ... อะไรนะ? แม่มึงอะนะ?” คำว่าแม่ชวนไปกินข้าวจากปากแฟนหนุ่มทำแบคฮยอนถึงกับหูผึ่ง คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ถ้าแบคฮยอนไม่ได้หูฝาดไปประธานคงทำบางหายระหว่างประสบอุบัติเหตุจริงๆ  เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าถูกประธานเจ้าของบริษัทที่ตัวเองทำงานชวนไปกินข้าวที่บ้าน

     

    “อือ เค้าบอกให้ชวนไปกินข้าวด้วย แต่ยังไม่ต้องไปก็ได้ ไว้อยากไปเมื่อไหร่ค่อยไป”

     

    “เค้าไม่เกลียดกูล่ะอ่อ”

     

    “อย่าพูดงั้นดิ”

     

    “งี้ความฝันรวยทางรัดกูก็ใกล้เข้ามาละปะ” แบคฮยอนหันไปทำยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยใส่แฟนเขาจนถูกอีกฝ่ายใช้มือผลักหัวด้วยความหมั่นไส้ ถ้าหากว่าคุณนายปาร์คเปิดปากมาแบบนี้เส้นทางสู่การรวยทางรัดของแบคฮยอนคงใกล้เข้ามาแล้ว หรืออย่างน้อยก็ไม่มีหินขวางทางฮุบสมบัติ

     

    “ไม่ได้หรอก ต้องแต่งงานกันก่อน” คนตัวสูงว่าพร้อมกับก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะหันไปเด็ดดอกไม้สีฟ้าที่ปลูกอยู่ในกระถางซีเมนต์ข้างทางมามอบให้คนข้างๆ แล้วจึงพูดต่อ “แต่งงานกับผมปะ”

     

    “เอาจริงหรือพูดเล่น”

     

    “เอาจริง จะแต่งงานกับผมไหมครับ” ว่าแล้วชานยอลก็คุกเข่าลงกับพื้นทรายพร้อมกับยื่นดอกไม้และรอยยิ้มขี้เล่นส่งให้คนตรงหน้า หัวใจของเขาเต้นตึกตัก ถึงมันจะเป็นแค่การขอแต่งงานเล่นๆ แต่ชานยอลก็ยังชอบอยู่ดี

     

    “อย่ามาทำปากหวาน”  แบคฮยอนกลั้วหัวเราะในลำคอ มือบางยกขึ้นปิดหน้าด้วยความอายเมื่อแฟนหนุ่มจอมเจ้าเล่ห์คุกเข่าลงตรงหน้าพร้อมดอกไม้ข้างทางที่เขาขโมยมา อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าใบหน้าร้อนเห่อไปหมด มันทั้งขำทั้งเขินจนอธิบายไม่ถูก พอหรี่ตามองรอดผ่านช่องนิ้วก็เห็นชานยอลกำลังยิ้มอย่างมีความสุขกับการได้แกล้งคนรัก

     

    “พูดจริง”

     

    “ขออนุญาตแม่แล้วอ่อ”

     

    “ค่อยบอกทีหลัง”

     

    คำว่าค่อยบอกทีหลังทำคนตัวเล็กถึงกับต้องขำก๊ากแต่เขาก็ยอมรับเอาดอกไม้โง่ๆ ของชานยอลมาไว้แต่โดยดี ราวกับมีดอกไม้เล็กๆ ผลิบานขึ้นในจิตใจ อย่างน้อยพวกเขาก็มีแหวนคู่ผูกใจ แหวนธรรดาๆ ที่แบคฮยอนใส่จนเคยนิ้วและไม่คิดจะถอดออก

     

    “จะแต่งอะสินสอดแพงนะ จ่ายไหวเปล่า ต้องจ่ายให้แม่มงด้วยนะ”

     

    “แม่มงเอาแตงโมลูกเดียวก็พอแล้ว” ชานยอลลุกขึ้นปัดทรายบนเข่าพลางส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขก่อนจะรั้งคอแฟนตัวเล็กเข้ามากอดไว้ ขณะที่เท้าก้าวย่ำเดินไปตามผืนทรายสร้างรอยเท้าเล็กๆ เอาไว้เหมือนกับร่องรอยของวันเวลาที่ผ่านไปอย่างมีความหมาย

     

    ติ๊ง!

     

    เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าเรียกให้แบคฮยอนต้องหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมาดู คิ้วเรียวขมวดย่นลงเล็กน้อยเมื่อได้เห็นข้อความสุดแปลกจากรายชื่อที่ไม่ได้บันทึกเอาไว้ พอกดเข้าไปดูแบคฮยอนก็ถึงกับต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สองเท้าที่กำลังก้าวเดินหยุดชะงัก

     

    เพื่อนมึงเป็นอะไรอีกวะ

     

    ภาพถ่ายหนุงหนิงของแฟนหนุ่มและเพื่อนสาวถูกส่งเข้ามาในไลน์รัวๆ จนมองแทบไม่ทัน แบคฮยอนหลิ่วตาดูรายชื่อที่ใช้ดิสเพลย์สีดำด้วยความไม่เข้าใจ ถึงมันจะไม่ใช่ภาพหวือหวาแต่ก็ใกล้ชิดเกินกว่าจะเพิกเฉยได้ และคนทำก็คงไม่ใช่ใครคนไหน ดูเหมือนว่าโคลอี้จะไม่ยอมจากไปง่ายๆ จริงๆ

     

    “เค้าเป็นบ้าไรวะ” ชานยอลที่ได้เห็นรูปเหล่านั้นสบถออกมาทันทีด้วยท่าทีหัวเสีย เขาคว้าโทรศัพท์ในมือคนรักมากดโทรหารายชื่อที่ส่งรูปพวกนี้มาทันที แต่ทว่าเสียงรอสัญญาณดังขึ้นไม่กี่ครั้งก็ถูกตัดลง คนทางปลายสายไม่ยอมกดรับ ขณะที่ภาพยังถูกส่งมาเรื่อยๆ รวมถึงคลิปวิดีโอสั้นๆ

     

    ชานยอลยังไม่ละความพยายาม เขาล้วงเอามือถือของตัวเองออกมาแล้วกดโทรไปหาอดีตเพื่อนสนิททันที จากภาพถ่ายรูปคู่เริ่มเปลี่ยนเป็นรูปโชว์หวิวเก่าๆ ที่แบคฮยอนเคยถ่ายลงในทวิตเตอร์ มันถูกส่งมาพร้อมข้อความด่าทอเป็นภาษาอังกฤษ

     

    คิ้วเรียวขมวดย่นเข้าหากัน ชานยอลพยายามโทรออกไปหมายเลขเดิมหลายครั้งแต่ก็ยังไม่มีการตอบรับใด ส่วนแบคฮยอนก็ได้แต่ไถรูปดูไปพลางๆ แล้วก็คิดว่าสิ่งที่ใครบ้างคนกำลังทำอยู่นี้เพื่ออะไรกัน แบคฮยอนแปลกใจมากว่าทำไมโคลอี้เพิ่งจะมาทำอะไรเอาตอนนี้ ทั้งๆ ที่เขาก็คบกับชานยอลมาตั้งนานแล้ว

     

    แม่งไม่ยอมรับคนตัวสูงส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างนึกขัดใจ ยิ่งได้เห็นวิดีโอที่ตัวเองเคยเล่นกีตาร์ร้องเพลงให้กับอดีตเพื่อนรักชานยอลก็ยิ่งโมโห เขากำลังโกรธมากที่โคลอี้ทำแบบนี้กับแบคฮยอน เธอต้องการอะไรกันแน่ ทำถึงไม่หยุดสักที

     

    แล้วดูตามไปขุดรูปกูมาจ๊น... เฮ้อ... แม่งเป็นอะไรวะเนี่ยบ่นงึมงำออกไปอย่างนึกเซ็งโดยที่ในใจก็ยังสงสัยว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันคืออะไร และสิ่งที่ทำให้แบคฮยอนอายยิ่งกว่าภาพโป๊โชว์ตูดก็คือรูปถ่ายเขาสมัยยุคมืดที่เคยลงเล่นๆ เอาไว้

     

    ถ้าโคลอี้เอารูปนี้ไประจานแบคฮยอนคงอายกว่าถูกประจารด้วยรูปโป๊

     

    บล็อคไปเลย ไม่ต้องไปสนใจ

     

    สีหน้าและน้ำเสียงไม่พอใจของแฟนหนุ่มบอกให้แบคฮยอนรู้ว่าชานยอลโกรธมากแค่ไหน ใจเขานึกอยากจะส่งคลิปอัศจรรย์กลับคืนไปบ้างแต่ก็กลัวว่าจะกลายเป็นหาเรื่องเดือดร้อนเปล่าๆ สุดท้ายก็ได้แต่กดบล็อคไป แบคฮยอนหันไปส่งยิ้มให้แฟนเขาที่ยังเอาแต่ทำหน้าบูดบึ้งก่อนจะวางมือลงบนศีรษะแล้วขยี้เบาๆ 


    แบคฮยอนไม่สนใจหรอก มันเรื่องแค่นี้เอง.


     


    .


    .





    เวลาสี่ทุ่มเศษๆ ภายในห้องนอนกว้าง แบคฮยอนยังกดเลื่อนภาพถ่ายของแฟนหนุ่มและอดีตเพื่อนสนิทดูไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ภาพที่โคลอี้ส่งมามีแต่รูปถ่ายในห้องเดิมๆ กับวิวของต่างประเทศ  ทั้งภาพของชานยอลในเสื้อไหมพรมที่นั่งแกะของขวัญอยู่ใต้ต้นคริสต์มาส ชานยอลบนโซฟากับกีต้าร์ตัวโปรดของเขา

     

    ถ้ามองในสายตาของคนนอกแล้วมันก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพวกเขาช่างดูเหมาะสมกัน มันทำให้แบคฮยอนนึกถึงข่าวซุบซิบไฮโซที่เคยอ่านบ่อยๆ พอดูไปนานๆ เข้าก็ชักจะเริ่มรู้สึกอิจฉา แบคฮยอนว่าเขาพอจะเข้าใจความรู้สึกของโคลอี้ที่ต้องเสียคนสำคัญไปแล้ว

     

    “ดูอะไร” ชานยอลเดินไปทิ้งตัวนั่งข้างคนรักพลางเอนศีรษะพิงลงกับลาดไหล่เล็ก สิ่งที่เขาเห็นในโทรศัพท์แฟนตัวเล็กทำชานยอลอดส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอด้วยความขัดใจไม่ได้ “ดูทำไมอะ บอกแล้วว่าให้บล็อคไป”

     

    “ก็ดูเฉยๆ ไง อยากดูรูปมึงเมื่อก่อน”

     

    “ไม่ต้องไปดูหรอก อยากดูก็มาดูของผม” มือหนาเอื้อมไปคว้าแย่งโทรศัพท์ในมือคนรักมาอย่างถือวิสาสะ ชานยอลไม่อยากให้แบคฮยอนดูภาพพวกนี้เลยเพราะเขาเองก็ลบทุกอย่างเกี่ยวกับโคลอี้ออกไปแล้วเหมือนกัน

     

    ทั้งรูปในเฟสบุ๊ก อินสตาแกรม ชานยอลลบทุกเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนของเขาออกจนหมดสิ้น กีดกันการติดต่อทุกทาง เขาไม่อยากให้โคลอี้มายุ่งวุ่นวายกับคนในชีวิตอีกแล้ว

     

    “ยิ่งไปอ่านเค้าก็ยิ่งกวน”

     

    Ring Ring Ring Ring

     

    พูดยังไม่ทันขาดคำเสียงแจ้งเตือน Voice call เข้าก็ทำให้คู่รักทั้งสองต้องมองหน้ากัน ชานยอลตัดสินใจกดรับสาย เขาไม่ได้พูดอะไรแต่กดเปลี่ยนโหมดเป็นวิดีโอคอลแทน เพียงไม่นานหน้าจอสีดำก็ปรากฏขึ้น ไม่มีใครเริ่มพูดอะไรก่อน คนที่โทรมาไม่ยอมเปิดกล้องและไม่พูด แต่ชานยอลก็รู้ว่าเธอกำลังมองเห็นอยู่

     

    “ใครครับ โทรมาทำไม”

     

    […………..]

     

    “เป็นอะไรอะ โทรมากวนแฟนผมทำไม”

     

    […………….]

     

    “โทรมาแล้วทำไมไม่พูดอะ โทรไปก็ไม่รับ”

     

    [……………]

     

    ปลายสายยังคงเอาแต่เงียบ ชานยอลเองก็ได้แต่มองเข้าไปในจอสีดำที่ว่างเปล่า ตัวจับเวลายังคงวิ่งไปเรื่อยๆ มีเพียงแค่เสียงหายใจที่ดังสลับกันไปมาจนกระทั่งเสียงแจ้งเตือนแบตเตอรี่ต่ำดังขึ้น

     

    “ที่รักหยิบที่ชาร์จแบตให้หน่อยครับ เอาพาวเวอร์แบงค์มาด้วย ในกระเป๋าอะ” ชานยอลชี้นิ้วไปยังกระเป๋าเป้เพื่อบอกให้คนรักไปหยิบแบตสำรองมาให้ เขารับมันมาแล้วเสียบเข้ากับมือถือก่อนจะพูดต่อ

     

    “เป็นไรอะ ไม่สบายปะ ไม่สบายก็ไปหาหมอ แต่อย่ามาทำแบบนี้”

     

    […………..]

     

    “รูปเรากับแฟนเก่าอะส่งมาทำไม... ส่งรูปแบคฮยอนมาทำไม” ว่าแล้วชานยอลก็ไถลตัวไปนอนซบไหล่แฟนตัวเล็กของเขาพร้อมกับเอียงกล้องให้เห็นคนข้างๆ พวกเขาเหมือนกำลังคุยกับวิญญาณที่ไม่มีเสียงพูดแต่สัมผัสได้ว่ามีอยู่

     

    “อ่ะ” แบคฮยอนคีบเอาซูชิปลาหมึกไปป้อนใส่ปากจอมขี้เกียจขณะที่สายตาก็ยังมองไปยังจอโน้ตบุ๊กที่ฉายละครเรื่องโปรด

     

    “ไม่อยากให้เรื่องต้องถึงแม่ใช่ปะ... ถ้ายังไม่หยุดเราไม่สนใจแล้วนะ”

     

    […………..]

     

    “พอได้แล้ว”

     

    [ฮึก...]

     

    ได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆ ดังออกมาจากในลำโพง ชานยอลได้แต่ถอนลมหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ แบคฮยอนเองก็เซ็งไม่แพ้กันกับฉากดราม่าของเพื่อนรักเพื่อนร้าย เขาเอียงหัวเข้าไปดูในจอแต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากภาพสีดำ

     

    “เค้าได้ยินปะวะ”

     

    “น่าจะได้ยินแหละ”

     

    [ฮึก... เราลืมไม่ได้... ฮือ... เราลืมชานยอลไม่ได้ ฮือ...]

     

    “..............”

     

    [ฮึก... กลับไปคุยกันเหมือนเดิม... อึก... ได้ไหม... ฮือ... แค่เป็นเพื่อนกันก็ได้... ฮือ...]

     

    เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นที่ดังมาจากปลายสายทำคนฟังถึงกับต้องมองหน้ากัน ชานยอลรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ต่อให้ไม่มีเรื่องพ่อมาเกี่ยวข้องมันก็เป็นไปไม่ได้ โคลอี้ก็แค่อยากจะดึงชานยอลไว้ให้กลับไปในที่ที่เธอเคยเอื้อมถึง แต่ที่ตรงนั้นมันไม่ใช่ของเธออีกแล้ว

     

    “มันเป็นไปไม่ได้หรอก...”

     

    [ฮือ... ฮือ...]

     

    “ไม่ต้องติดต่อมาแล้วนะ แค่นี้แหละ...”

     

    ทิ้งคำพูดสุดท้ายเอาไว้ก่อนที่จะกดตัดสายไปทันที ชานยอลวางโทรศัพท์ลงข้างตัวก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย บางครั้งความเศร้าก็กดดันให้คนเราทำอะไรโง่ๆ และชานยอลเองก็เคยทำเช่นกัน แต่ไม่ว่ายังไงเขายอมรับไม่ได้กับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้

     

    ชานยอลกำลังจะมีชีวิตใหม่และเขาไม่อยากจมกับสิ่งที่ดึงดูดตัวเองมาตลอดหลายปีอีกแล้ว...

     

    “เฮ้อ... ทำตัวเองแท้ๆ ว่ะ” คนตัวเล็กส่ายหน้าไปมาอย่างนึกปลง เมื่อสุดท้ายตัวร้ายของเรื่องที่พยายามกลับมาก็พ่ายแพ้ตามระเบียบ

     

    ถึงจะอยากรู้สึกสงสารแต่พอคิดถึงสิ่งที่เธอแล้วมันก็พูดไม่ออก แบคฮยอนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเธอไม่ทำพลาดเรื่องคลิปโอกาสนั้นอาจจะยังพอมีเหลือยู่ก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะได้อยู่ใกล้ชานยอลในฐานะแม่ของลูกอีกคนแทน

     

    “ปล่อยเค้าไปเหอะ”

     

    “ไม่สงสารเค้าอ่อวะ”

     

    “เคย” แค่คำตอบสั้นแต่แทนความรู้สึกที่อยู่ในใจได้ทั้งหมด ชานยอลเคยสงสารโคลอี้ เคยอยากรับผิดชอบความรู้สึกของเธอ อยากช่วยดูแลอย่างน้อยในฐานเพื่อนคนหนึ่ง แต่หลังจากนั้นสิ่งที่เขาได้เจอมันก็พรากทุกความรู้สึกไป

     

    “กู เครียดแทนเลย ผู้หญิงคนเดียวเอาทั้งพ่อทั้งพี่ทั้งน้อง แล้วเสือกจะมีลูกให้อีก ถ้ามันได้มึงอีกคนแล้วมีลูกออกมานี่ไม่รู้เลยลูกใคร“

     

    “พอเหอะว่ะ สงสารเด็ก” ชานยอลโยนโทรศัพท์ทิ้งลงข้างตัว เขาขอยอมตายดีกว่าถ้าพ่อจะมีลูกอีกคนกับผู้หญิงที่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่

     

    “ถ้าให้มีน้องอีกคนเอาแมะ”

     

    “ไม่เอาอะ”

     

    “ไม่อยากมีน้องอ่อ ไม่อยากมีน้องแล้วอยากมีลูกปะ”

     

    “ตอนนี้ยังไม่อยากแต่สักวันอาจจะอยากมี ไม่รู้ดิ ถ้าเลี้ยงเค้าให้มีความสุขไม่ได้ก็ไม่อยากมี” ความทรงจำเรื่องการมีครอบครัวของชานยอลไม่ดีเท่าไหร่  เขาไม่อยากให้ลูกเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่ตัวเองเคยเผชิญทั้งความกดดันจากการถูกคาดหวัง  ความมีหน้ามีตา

     

    ชานยอลกลัวว่าลูกจะได้รับอิทธิพลและถูกกดดันจากครอบครัวเหมือนอย่างที่เขาเคยเป็น ชานยอลเข็ดกับการเป็นเด็กที่เติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวภายในกรงทอง แต่ถ้าหากว่ามีแบคฮยอนคอยอยู่ดูแลชานยอลอีกคนด้วยก็อาจจะดี

     

    “อือ... ก็จริงอะเนาะ”

     

    “ไม่ต้องมีหรอก อยู่ด้วยกันก็พอแล้วเนาะ” ว่าแล้วชานยอลก็พลิกร่างหันไปซุกกอดคนรักของเขาอย่างช่างอ้อน แค่มีแบคฮยอนอยู่ตรงนี้ชานยอลก็มีความสุขมากพอแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่รู้สึกตัวขาดคนๆ นี้ไม่ได้ มาจนถึงตอนนี้ชานยอลก็ยังรู้สึกแบบนั้น และความรู้สึกนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย

     

     




    #ฟิคกวาง





    กลับมาไมง่ะ



    โจ๊ะ

    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×