ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ฟิคเสื่อม] กวาง The series - Chanbaek

    ลำดับตอนที่ #45 : Chapter : 41 วันครอบครัว

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 22.26K
      398
      18 พ.ย. 62





    ปัง!

     

    เสียงประตูรถถูกปิดดังปัง คนตัวสูงเดินหอบถุงของที่ถูกสั่งให้ซื้อมาเต็มสองมือโดยมีคนรักคอยถือถุงใหญ่ๆ อีกสองใบเดินตามหลัง

     

    ในวันอาทิตย์ที่เป็นวันครอบครัวชานยอลถูกแม่สั่งแกมบังคับให้พาแฟนมาที่บ้านซึ่งแบคฮยอนเองก็ไม่อยากขัดใจ เขาตัดสินใจที่จะมาบ้านคนรักอย่างเป็นทางการเพื่อที่จะได้ไม่ต้องปล่อยให้ประธานรอจนน่าเกลียด

     

    “วันนี้ประธานเค้าอารมณ์ดีปะวะ”

     

    “ไม่รู้ดิ” ชานยอลได้แต่ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ กับคำถามน่าตลกของแฟนตัวเล็ก เขาหันไปมองคนที่เอาแต่เดินย่องๆ หลบๆ อยู่ด้านหลังก่อนจะผลักบานประตูเข้าไปแล้วหอบของเดินตรงไปยังห้องครัวทันที

     

    “เธอมาเช็ดตรงนี้ใหม่อีกทีให้สะอาด”

     

    ยังไม่ทันจะได้เดินเข้าไปถึงข้างใน เสียงเจ้าของบ้านสั่งคนใช้ก็ดังออกมาถึงข้างนอก แค่แบคฮยอนได้ยินหัวเขาก็สั่นไปหมด สมองหลั่งสารแห่งความหลอนออกมาโดยอัตโนมัติแบบไม่ถามสุขภาพสักคำ มันทำให้ตัวเขาเกร็งไปหมด จะยิ้มทีหน้าก็แห้งเป็นหน้าดิน

     

    “เค้าไม่ได้รมณ์ไม่ดีใช่ปะวะ” คนตัวเล็กเอ่ยถามเสียงกระซิบ แต่ทว่าก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรจากแฟนหนุ่ม แบคฮยอนได้แต่เดินย่องตามหลังคนรักเข้าไปในห้องครัว แล้ววางของลงบนเคาน์เตอร์ด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ

     

    “อ้าว มากันแล้วหรอ”

     

    เจ้าของบ้านที่ยืนอยู่บนไม้ค้ำหันมาทักทายลูกชายและแฟนหนุ่มของเขาพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ที่ดูแปลกตา ยูรินส่งสายตาไปมองพนักงานตัวจ้อยพร้อมกับพยักหน้านิดๆ เมื่ออีกฝ่ายโค้งให้ แบคฮยอนที่ไม่ได้อยู่ในชุดทำงานดูไม่ต่างจากปกติเท่าไหร่ ตัวเขาเล็กนิดเดียว ยิ่งพอมายืนอยู่ในบ้านที่มีแต่คนตัวสูงๆ ยิ่งดูตัวจิ๋วเข้าไปใหญ่

     

    “นี่พนักงานแม่ครับ” ชานยอลเล่นมุกสุดฝืด เขาวางถุงของลงพลางหันไปชี้คนรักที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเอาน้ำอัดลมออกมาดื่มดับกระหาย

     

    “ดี แม่จะได้ใช้งาน เธอเอาของในถุงออกมาจัดการให้หมด”

     

    ยังไม่ทันไรยูรินก็ออกนิสัยจุกจิกซะแล้ว เธอหันไปสั่งสาวใช้ให้นำของสดออกมาจัดเตรียม ในขณะที่แบคฮยอนก็ได้แต่ยืนนิ่งโดยที่ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรดี เขาอยากเข้าไปช่วยแต่ก็กลัวจะถูกหาว่าจุ้นจ้าน ไม่ทำอะไรก็อาจจะจะถูกมองว่าขี้เกียจ

     

    “ให้ผมช่วยไหมครับ”

     

    “เธอมาช่วยจัดการผักหน่อยสิ”

     

    ในวันที่ห้องครัววุ่นวายเป็นพิเศษ คนที่ไม่ได้มีหน้าที่อะไรพิเศษอย่างชานยอลก็ทำได้เพียงแค่ช่วยรื้อนั่นรื้อนี่ออกมาจากถุงของ เขามองแฟนตัวเล็กที่กำลังยืนตัวลีบอยู่ตรงหน้าพลางส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างนึกขัน แบคฮยอนเกร็งยิ่งกว่าเกร็งซะอีก แค่แม่ขยับตัวนิดเดียวเขาก็หันหลังพรึ่บด้วยความตกใจ

     

    “เมื่อคืนชานยอลหายไปไหนมา”

     

    “ผมนอนคอนโด”

     

    “เดี๋ยวนี้ชานยอลไม่ค่อยกลับบ้านเลยนะ” หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามในขณะที่กำลังง่วนอยู่กับการแกะผักออกจากถุง ถึงแม้ว่าเธอจะต้องยันไม้ค้ำไว้ข้างนึงแต่อย่างน้อยก็ดีกว่านั่งอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร

     

    “ผมบอกแม่แล้วว่าผมจะย้ายไปอยู่คอนโด”

     

    “แม่ไม่อยากพูดเรื่องนี้กับชานยอลเลย”

     

    เมื่อประเด็นเรื่องการย้ายที่อยู่ถูกเปิดขึ้น ยูรินก็รีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที ตอนนี้เธอไม่อยากให้ลูกชายย้ายไปไหนทั้งนั้น ยูรินคงเป็นบ้าถ้าต้องอยู่กับสามีที่ไม่ค่อยกลับบ้านสองคน ไหนจะเรื่องงาน เรื่องปัญหาความสัมพันธ์ อย่างน้อยถ้าชานยอลอยู่บ้านก็ยังได้ขับรถไปไหนมาไหนด้วยกัน

     

    “งั้นผมถือว่าผมบอกแม่แล้ว”

     

    “ชานยอลจะให้แม่อยู่กับพ่อจริงๆ หรอ ไม่กลัวแม่เป็นโรคประสาทหรอ”

     

    “แม่ก็ไม่ต้องอยู่กับเค้า” เด็กหนุ่มตัวสูงหยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ชานยอลไม่รู้จะบอกยังไงให้แม่เข้าใจว่าเขาอยากย้ายออกไปอยู่กับแบคฮยอน ชานยอลอยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่ใช่ว่าจะทิ้งแม่แต่เขาคงไม่เป็นผู้ใหญ่สักทีถ้ามัวแต่อยู่ในบ้าน

     

    และแม่ก็ต้องยอมรับว่าบ้านและครอบครัวไม่ใช่สถานที่ที่ทำให้ชานยอลอุ่นใจเท่าไหร่ เขายอมนอนกับแม่มงรยงใต้ท้องรถดีกว่าถ้าต้องทนอยู่บ้านทั้งวัน

     

    “เอาไว้เราค่อยคุยกันทีหลัง”

     

    “ยังไงมันก็เหมือนเดิมอยู่ดี”

     

    “ชานยอลยังต้องทำงานให้แม่นะ ต้องขับรถให้แม่อีกถ้าไปอยู่ข้างนอกจะทำงานยังไง”

     

    “แม่จะจ้างคนขับรถทำไมถ้าสุดท้ายแม่ก็ใช้ผมอยู่ดี”

     

    การถกเถียงเล็กๆ เกิดขึ้นระหว่างคนสองวัย ในขณะที่แบคฮยอนและคนใช้ที่เหมือนจะกลายเป็นส่วนเกินก็ได้แต่ยืนเงียบ

     

    แบคฮยอนแอบหัวเราะให้แฟนเขาที่ถูกผู้เป็นแม่ดักทุกทางเรื่องการย้ายออกไปอยู่ข้างนอก ชานยอลทำอย่างกับตัวเองเป็นชายหนุ่มที่แต่งงานแล้วและเตรียมจะออกไปสร้างครอบครัวใหม่ ส่วนประธานก็ยังมองว่าลูกชายยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่เธออยากให้อยู่ใกล้ๆ พอเห็นแบบนี้แบคฮยอนก็ไม่แปลกใจเลย

     

    ประธานยูรินขับเคี่ยวให้ลูกชายเติบโต แต่กลับกลายเป็นตัวเธอเองที่เลี้ยงเขาเหมือนกับเด็ก

     

    “แล้วถ้าชานยอลออกไปอยู่ข้างนอกแม่จะอยู่กับใคร”

     

    “แม่ก็ทำน้องอีกคน จะได้ไม่เหงา” คนตัวสูงว่าอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะย้ายตัวเองไปยืนอยู่ข้างคนรัก ชานยอลมองดูแบคฮยอนปลอกแครอทอย่างตั้งใจ ถึงจะไม่ได้ช่วยอะไรแต่เขาก็คอยวอแวอยู่ใกล้ๆ เป็นกำลังใจให้เหมือนกับเครื่องดื่มลิโพ

     

    “พอแล้ว แม่ไม่อยากมีอีก”

     

    “ผมก็ไม่อยากมีเหมือนกัน”

     

    พูดไปพูดมาก็เหมือนจะพากันอารมณ์เสียเปล่า สุดท้ายต่างคนก็ต่างเลือกที่จะเงียบ ชานยอลยังมีเป้าหมายในใจเรื่องการย้ายที่อยู่ชัดเจน เขาจะขอพ่อสิ้นเดือนนี้แลกกับสิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นก่อนหน้า พ่อคงเข้าใจว่าทำไมชานยอลไม่อยากจะอยู่ที่บ้าน และแม่เองก็ต้องเข้าใจด้วย

     

    “ถ้าชานยอลไปอยู่คอนโดข้างนอกก็สบายเลยสิ คราวนี้จะพาสาวที่ไหนขึ้นคอนโดก็ได้ แม่คงไม่รู้ไม่เห็น”

     

    “อ้าว”

     

    เมื่อยูรินร็ว่าไม่สามารถเปลี่ยนใจลูกชายได้เธอก็โยนไฟใส่ทันที ทำเอาชานยอลที่ยืนอยู่ดีๆ ก็มีงานเข้าถึงกับต้องหันไปมองผู้เป็นแม่ด้วยสีหน้าสุดงง เขาเห็นแฟนตัวเล็กหันมาหัวเราะหึใส่พร้อมกับทำสีหน้ามีเลศนัยก่อนจะปักมีดคมๆ ลงไปบนแครอท

     

    “ดึกๆ แม่ได้ยินเสียงชานยอลคุยโทรศัพท์ทุกวัน ไม่หลับไม่นอนหรอ”

     

    “ผมก็คุยกับแบคฮยอนนี่ไง”

     

    “แม่ว่าแม่ได้ยินชื่อคนอื่นนะ”

     

    “แม่...”

     

    “ทำอะไรกัน”

     

    เสียงทุ้มที่ดังมาจากหน้าประตูหยุดบทสนทนาเอาไว้ ชายร่างสูงใหญ่ในชุดลำลองเดินเข้ามาในห้องครัวพร้อมกับถุงไม้กอล์ฟ และทันทีที่ประธานบริษัทใหญ่ก้าวเข้ามาเสียงทุกอย่างก็เงียบกริบ แบคฮยอนยกยิ้มให้กับผู้เป็นนายน้อยๆ พร้อมกับโค้งให้ตามมารยาท ส่วนชานยอลก็ยังทำเป็นไม่สนใจ

     

    ความน่าอึดอัดกระจายตัวไปรอบห้องครัว ไม่มีใครพูดกับเจ้าของบ้านอีกคนที่มาใหม่จนแบคฮยอนอดสงสารไม่ได้ เขาอยากเอ่ยทักประธานแต่ก็กลัวว่าจะทำตัวเกินหน้าเกินตาไป

     

    “วันนี้มีแขกด้วยหรอ” หนุ่มใหญยกยิ้มน้อยๆ ซองจินเดินเข้ามาในห้องครัวที่เงียบสงัด เขาตรงไปยืนค้อมอยู่หลังภรรยาก่อนที่เสียงลมหายใจจะดังขึ้นเบาๆ

     

    “...............”

     

    “ผมไปดีกว่า” ชายวัยกลางคนได้แต่ยกยิ้มแหยกับตัวเองก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องครัวไปท่ามกลางความเงียบ

     

    ชานยอลที่เห็นว่าพ่อตัวเองเดินเข้ามาและจากไปก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ยืนเงียบและใช้สายตามองอีกฝ่ายจนกระทั่งแผ่นหลังนั้นเดินหายไปลับตา ถึงแม้ว่ามันจะดูเหมือนใจร้ายแต่ไม่รู้ว่าทำไมชานยอลถึงไม่รู้สึกแบบนั้นเลย

     

    “ไปสักที”

     

    เสียงคุณนายของบ้านบ่นเบาๆ พลางถอนลมหายใจออกมา แบคฮยอนแอบหันไปทำหน้านิ่วกับแฟนหนุ่มเหมือนต้องการจะถามว่าแบบนี้ดีแล้วหรอ ทว่าอีกฝ่ายก็เอาแต่ส่ายหน้า สุดท้ายทุกคนก็ได้แต่ปล่อยให้การกระทำที่แสนใจร้ายผ่านไป

     

    “นี่ไง แม่ก็ทำน้องอีกคนแม่จะได้ไม่เหงา” อยู่ดีๆ ชานยอลก็พูดขึ้นมาเมื่อนึกอะไรบางอย่างได้ ถ้าหากว่าแม่มีน้องชานยอลก็จะมีตัวตายตัวแทน หรือดีไม่ดีเขาอาจจะได้ช่วยแม่เลี้ยงน้องอีกคนด้วย และถ้าอย่างนั้นพ่อกับแม่ก็อาจจะกลับมาดีกัน เผื่อว่าความสัมพันธ์ในบ้านที่มันพังไปแล้วจะกลับคืน

     

    “ลองไปถามพ่อดูสิว่ามีซ่อนไว้อีกสักคนหรือเปล่า”

     

    “ถ้ามีขึ้นมาจริงๆ แม่จะทำไง”

     

    “ทุกวันนี้แม่ยังปวดหัวไม่พออีกหรอ”

     

    “โคลอี้ไง” แบคฮยอนแทบหลุดขำ เขาหันไปกระซิบมุกที่เข้าใจกันแค่สองคนกับแฟนหนุ่มพลางส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อพูดถึงการมีลูกแบคฮยอนก็นึกถึงโคลอี้ขึ้นมาซะอย่างนั้น ไม่รู้ว่าป่านนี้เธอเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง หรืออาจจะเลี้ยงลูกตุ๊กตาอยู่ก็เป็นได้

     

    “ถ้าคราวนี้พ่อยังไม่เข็ดอีกผมก็ยอมเลย”

     

    “หึ ให้มันสำนึกได้จริงๆ เถอะ ดีแต่ทำตัวน่าสงสารทุกที”

     

    “ก็เค้ารู้นี่ว่าแม่ต้องใจอ่อน”

     

    “ก็เหมือนชานยอลนั่นแหละ”

     

    พอคำพูดนี้ถูกเปิดออกมาคนตัวสูงก็เงียบปากทันทีเพราะกลัวว่าพูดอะไรไปแล้วจะเข้าตัว ชานยอลเแอบเห็นแฟนเขาก้มหน้าหัวเราะคิกๆ ด้วยความชอบใจ แบคฮยอนเองก็คงรู้แล้วว่าชานยอลได้สันดานนี้มาจากไหน แต่มันจะทำยังไงได้ในเมื่อเห็นไปแล้ว

     

    แม่เองก็ไม่รู้จะตั้งมาตรการบอยคอตพ่อไปอีกนานเท่าไหร่ แต่เชื่อเถอะว่ามันคงไม่นาน ชานยอลคิดว่าเขารู้ว่าพ่อจะทำอะไรต่อไป แล้วแม่ก็คงไม่พ้นให้อภัยไปอีกซ้ำๆ อย่างมากสุดก็คงทำได้แต่พยายามโกรธให้นานที่สุดเท่านั้นเอง

     

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

     

    “ที่ทำงานเธอดีหรือเปล่า”

     

    “ก็ดีครับ”

     

    “ได้ตู้น้ำส้มแล้วใช่ไหม ฉันแถมชามะนาวให้ด้วยนะ”

     

    บนโต๊ะอาหารที่ใกล้หมดเต็มที เสียงพูดคุยดังเบาๆ สลับไปกับเสียงช้อนส้อม นอกจากเรื่องงานแล้วแบคฮยอนก็ยังไม่เห็นชานยอลคุยเรื่องอื่นกับแม่ อาจจะเพราะพวกเขาเห็นว่ามีแขกอยู่ด้วยก็ได้

     

    การนัดกินข้าววันนี้ไม่แย่นักเหมือนแค่นัดกันออกมาทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการ แบคฮยอนไม่ได้ถูกซักถามอะไรมาก ชานยอลเองก็เหมือนแค่มานั่งกินข้าวเฉยๆ เหมือนอย่างทุกที

     

    แบคฮยอนพอเข้าใจแล้วว่าทำไมแฟนเขาไม่ค่อยอยากอยู่บ้าน พอเสาร์ – อาทิตย์ต้องหาเรื่องชวนไปเที่ยวตลอด ไม่ใช่ว่าอยากคิดนู่นนี่แทนคนอื่นแต่ทุกอย่างในบ้านชานยอลมันชวนให้รู้สึกอึดอัดแบบบอกไม่ถึง แม้จะไม่ได้มากมายขนาดนั้น รวมไปถึงการบอยคอตพ่อวันนี้ด้วย

     

    แบคฮยอนไม่ชอบการกระทำของประธานใหญ่เหมือนกัน แต่การที่ครอบครัวทำแบบนั้นเขารู้สึกแปลกยิ่งกว่า

     

    “ผมอิ่มแล้วนะ”

     

    ท่ามกลางเสียงช้อนกระทบจานบนโต๊ะอาหาร ชานยอลพูดขึ้นก่อนที่จะลุกขึ้นนำจานไปเก็บยังซิ้งค์โดยมีแบคฮยอนลุกขึ้นตามมาติดๆ ตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาสิบเอ็ดโมงแล้ว มันน่าจะพอสักทีสำหรับอาหารเช้า

     

    “อื้อ จะขึ้นห้องเลยหรอ”

     

    “ครับ” คนตัวสูงตอบออกไปอย่างไม่สนใจสิ่งใด ชานยอลเดินไปเปิดตู้เย็นและชั้นเพื่อรื้อหาของกินขึ้นไปกินเล่นข้างบน เขาหยิบขนมส่งให้คนรักเป็นเชิงบังคับให้ช่วยกันหอบขึ้นไปเพื่อที่จะได้หนีไปใช้เวลาส่วนตัวด้วยกันสักที หลังจากที่สละให้ครอบครัวมาหลายชั่วโมงแล้ว

     

    “วันนี้ชานยอลดูอยากหนีแม่จังนะ”

     

    “ผมก็เจอแม่ทุกวัน”

     

    “แต่แม่ไม่ได้เจอแบคฮยอนทุกวันนี่ ทำไมไม่นั่งคุยด้วยกันก่อนล่ะ” ยูรินวางช้อนลงบนจานอาหาร เธอหันไปมองลูกชายที่ตั้งท่าขนเสบียงอย่างกับจะเตรียมหนีสงครามโลก ทว่าถึงจะพูดอย่างนั้นไปอีกฝ่ายก็ไม่สนใจอยู่ดี

     

    “แม่ก็เพิ่งคุยไปเมื่อกี้”

     

    “เฮ้อ... เอาเถอะ” หญิงวัยกลางคนยกมือขึ้นโบกปัดอย่างไม่ได้ใส่ใจก่อนจะพยายามลุกขึ้นเอาจานไปเก็บบ้าง ยูรินเองก็พอจะรู้ว่าลูกชายคงอยากจะอยู่กับคนรักมากกว่าเพราะตั้งแต่มาถึงชานยอลก็ยังไม่ละตัวออกจากแบคฮยอนเลย

     

    สีหน้าเหงาๆ ของเจ้าของบ้านทำชายหนุ่มสองคนถึงกับต้องมองหน้ากันด้วยความลำบากใจ ชานยอลหอบขนมเดินออกไปจากห้องครัวพลางหันไปมองโซฟากลางห้องโถง ขณะที่คิดว่าจะขึ้นไปนอนเล่นบนห้องดีไหม หรือว่าจะดูหนังอยู่ข้างล่างดี เพราะอย่างน้อยถ้าอยู่กันข้างล่างพวกเขาก็จะได้ดูไม่เหมือนกำลังสร้างโลกส่วนตัวเกินไป

     

    “นั่งกันข้างล่างปะ”

     

    “เออ นั่งเล่นข้างล่างก็ได้” แบคฮยอนพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย ถึงจะรู้สึกอึดอัดนิดหน่อยแต่เขาคงทำใจร้ายปล่อยให้ประธานมองดูลูกชายรักคนอื่นไม่ได้ยิ่งในช่วงที่หัวใจเพิ่งเจ็บช้ำมาแบบนี้

     

    พอตัดสินใจกันได้สุดท้ายก็ต้องหอบขนมไปวางไว้บนโต๊ะหน้าทีวีเพื่อหาอะไรดูฆ่าเวลาไป ชานยอลคว้าเอารีโมทมาเปิดโทรทัศน์แล้วกดเลือกไปยังช่องทีวีที่ตัวเองชอบก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา เขาแกะโดริโทสออกแล้วเอนตัวล้มลงนอนทับตักคนรัก ขณะที่สายตาก็ยังมองไปยังหน้าจอพลาสม่า

     

    “อ้าว ไม่ขึ้นไปข้างบนกันแล้วหรอ”

     

    “ไม่แล้วครับ อยากอยู่ข้างล่าง”

     

    เจ้าของบ้านที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องครัวเอ่ยทักเมื่อเห็นลูกชายและแฟนหนุ่มของเขาที่นอนเหยียดกันอยู่บนโซฟาตัวยาว เธอพยุงร่างเดินกระเผลกมานั่งตรงโซฟาข้างๆ ก่อนจะวางไม่ค้ำลงบนพื้น

     

    เสียงซีรีส์อเมริกันเรื่องโปรดของชานยอลส่งเสียงดังกระหึ่ม ตอนนี้เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว อย่างน้อยวันนี้การมีแขกมาบ้านก็ทำให้ยูรินไม่เหงามากนัก และนี่ก็แทบจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ชานยอลลงมานอนดูหนังอยู่ข้างล่าง

     

    ภาพของลูกชายที่ตัวติดอยู่กับคนรักตลอดเวลาและสีหน้างอแงของเขาที่ไม่ค่อยให้เห็นทำให้เธอรู้สึกขำปนเศร้านิดๆ เมื่อรู้ตัวว่าในวันที่ต้องการลูกชาย ลูกชายคนเดิมก็ไม่ยืนอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว ชานยอลที่เคยเป็นลูกชายคนโปรด ลูกชายที่ยูรินอยากปั้นให้สมบูรณ์แบบและดีพร้อม ตอนนี้เขาได้กลายเป็นของคนอื่นไปซะแล้ว...

     

    “ไอ้นี่มันตายไปแล้วไม่ใช่อ่อ”

     

    “อันนี้มันตอนเก่าไง ฉายย้อนหลัง”

     

    “อ๋อ... ถึงว่าคุ้นๆ”

     

    เสียงพูดคุยเบาๆ ดังสลับกับเสียงขบเคี้ยวขนม ชานยอลป้อนโดริโทสให้กับคนรักในขณะที่สายตาก็ยังมองจ้องไปยังจอทีวี นิ้วเรียวเกาะเกี่ยวกันอยู่บนแผ่นอก ชานยอลชอบที่จะลูบแหวนและนิ้วมือของคนรักเล่นเพราะมันทำให้รู้สึกอุ่นใจได้เสมอ

     

    “คนนี้ใช่ไหมแม่ที่โดนระเบิดขาขาด”

     

    “อื้อ คนนี้แหละ” ประธานสาวส่งเสียงตอบเบาๆ ทั้งที่ไม่ได้กำลังมองทีวีอยู่เลย

     

    การได้เห็นลูกชายแสดงความรักต่อคนอื่นอาจไม่ใช่สิ่งที่ยูรินอยากเห็นนัก แต่เธอปฏิเสธไม่ได้ว่าแอบรู้สึกอิจฉานิดๆ ที่ตัวเองไม่สามารถเป็นคนที่ลูกชายไว้ใจได้และอยากจะอยู่ด้วยได้ แม่ที่ไม่สามารถทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่นใจ และวันนึงเมื่อชานยอลเจอคนที่ดีกว่าเขาก็พร้อมจะเดินจากไปโดยที่ไม่คิดหันกลับมา และนั่นคือสิ่งที่ยูรินต้องยอมรับอยู่ตอนนี้

     

    ยูรินที่เคยผลักไสลูกที่ตัวเองสร้างขึ้นมา เอาแต่บอกว่าเขาเป็นตัวปัญหาทำเหมือนชานยอลเป็นมันเผาร้อนๆ ที่ไม่เคยถือไว้ในมือได้นาน ทุ่มเทชีวิตให้กับการทำงานและสร้างรากฐานครอบครัวจนกระทั่งวันสุดท้ายที่เพิ่งรู้ตัวว่าทั้งหมดที่ทำมาในท้ายที่สุดแล้วเธอไม่ได้ต้องการมันเลย

     

    สิ่งที่ยูรินต้องการมากที่สุดตอนนี้คือมันเผาก้อนนั้นที่เธอเที่ยวส่งมันไปเมืองนอก ส่งไปอเมริกา ส่งไปให้ญาติดูแลที่สวิสเซอร์แลนด์ ชานยอลที่กำลังนอนสงบเหมือนเด็กว่าง่ายอยู่บนตักของแบคฮยอนในตอนนี้ กว่าจะรู้ตัวอีกทีเขาก็กลายเป็นของคนอื่นไปซะแล้ว

     

    สิ่งที่ชานยอลทำมาตลอดอาจไม่ใช่การแสดงอาการก้าวร้าว แต่เขาส่งสัญญาณอยู่ตลอดว่าพร้อมจะไปทันทีที่ไปได้ และมันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอยู่ไม่น้อยเลย สำหรับแม่ที่มีลูกชายคนเดียว

     

    “ชานยอลจะย้ายไปอยู่คอนโดเมื่อไหร่” หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามขึ้น เธอใช้สายตามองไปยังลูกชายที่นอนซบอยู่บนตักคนรักก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบรีโมทมาเบาเสียงทีวี

     

    “สักพักครับ รอขยายห้องก่อน”

     

    “อือ... ถ้าจะไปจริงๆ แม่ก็อยากให้อยู่ใกล้ๆ บ้านหน่อย”

     

    “หื้อ?” ชานยอลแทบไม่เชื่อหูตัวเองกับสิ่งที่ได้ยิน เขาถึงกับต้องหยัดตัวลุกขึ้นนั่ง เมื่อบทจะได้รับอนุญาตก็ได้ซะง่ายๆ จนน่าตกใจทั้งๆ ที่เมื่อกี้แม่เพิ่งพูดไปหยกๆ ว่าไม่อยากให้ออกไปอยู่ข้างนอก

     

    “อย่างน้อยชานยอลจะได้มาหาแม่สะดวก”

     

    “ผมก็อยู่ที่เดิม แต่จะขยายไปห้องใหม่”

     

    “งั้นก็ใกล้ที่ทำงานสิ”

     

    “ครับ”

     

    “อือ เดี๋ยวแม่ลองคุยกับพ่อให้แล้วกัน” ว่าแล้วยูรินก็ตั้งไม้ค้ำขึ้นยันตัวเองลุกจากโซฟา เธอส่งยิ้มจางๆ ให้กับลูกชายและพนักงานตัวจ้อยก่อนจะเดินช้าๆ อ้อมหลังโซฟาไปเพื่อที่จะกลับขึ้นไปทำงานต่อข้างบน ปล่อยให้คู่รักสองคนได้แต่นั่งมองหน้ากันอย่างงงๆ

     

    ชานยอลอดรู้สึกแปลกใจปนดีใจไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเศร้าที่เห็นแม่มีท่าทางเหงาหงอยกว่าทุกที มันทให้เขารู้สึกเหมือนกำลังทำผิดด้วยการทิ้งให้แม่ต้องเผชิญความเดียวดายอยู่คนเดียวในบ้านหลังนี้เลย

     

    “มึง...” แบคฮยอนที่ได้เห็นรอยยิ้มนั้นหันไปมองแฟนหนุ่มพลางนิ่วหน้าน้อยๆ ด้วยความรู้สึกผิดในใจ

     

    เขาอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองกำลังพรากของรักไปจากท่านประธาน แน่นอนว่าประธานอาจเคยทำเรื่องร้ายกาจหลายอย่าง แต่วันนี้แบคฮยอนก็ได้เห็นแล้วว่าในอีกมุมหนึ่งเธอก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาที่ต้องการกำลังใจจากครอบครัวเท่านั้น

     

    “อะไร”

     

    “มึงไม่สงสารแม่มึงหรอวะ”

     

    “สงสารเรื่อง?”

     

    “ก็จะไปอยู่ที่อื่นอะ แล้วแม่ก็ต้องอยู่คนเดียว... เราไม่ต้องไปอยู่คอนโดตลอดได้ปะ แบบมึงก็กลับบ้านบ้าง แม่มึงจะได้ไม่เหงา” คนตัวเล็กนิ่วหน้าด้วยความลำบากใจ แบคฮยอนไม่ต้องอยู่กับชานยอลตลอดก็ได้ เขาน่าจะกลับบ้านบ้าง อย่างน้อยก็อาทิตย์ละครั้งสองครั้ง

     

    “ยังไงผมก็ต้องเจอแม่ที่ทำงานอยู่แล้ว เค้าหายเดี๋ยวเค้าก็ไปทำงาน ช่วงนี้เค้าเหงาเพราะเค้าอยู่แต่บ้านหรอก” ชานยอลว่าอย่างไม่ใส่ใจ ช่วงนี้แม่เขาก็เป็นแบบนี้แหละ เดี๋ยวพอหายดีออกไปทำงานได้ก็เลิกซึม ชานยอลไม่ได้ย้ายไปอยู่ต่างประเทศสักหน่อย

     

    แม่จะเหงาทำไมในเมื่อแม่ก็เคยส่งชานยอลไปอยู่ที่อื่นตั้งหลายปี ตอนนั้นแม่ไม่เห็นพูดเลยว่าอยากให้ชานยอลอยู่บ้าน

     

    “หรอวะ กูว่าเค้าดูหงอยๆ นะ”

     

    “อือ เดี๋ยวก็หายแหละ”

     

    การสนทนาสั้นๆ จบลงแค่นั้น เมื่อสิ่งที่ชานยอลตัดสินใจไปแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แบคฮยอนเองก็ได้แต่พยักหน้าเออออตามไป เมื่อถึงคราวที่ต้องตัดสินใจชานยอลก็ทำมันได้อย่างเด็ดขาดเหมือนไม่รู้สึกลังเลกับอะไรอีกแล้ว ซึ่งประธานเองก็เหมือนจะรู้และดูจะยอมถอยให้ง่ายๆ คงเพราะเห็นว่ายื้อไปก็ไร้ประโยชน์

     

    ต้นแอปเปิ้ลยังไงก็ยังต้องโตเป็นต้นแอปเปิ้ลอยู่วันยังค่ำ ต่อให้พยายามเปลี่ยนมันเป็นอย่างอื่นแค่ไหนก็ไม่มีทางเป็นไปได้

     

    เหมือนกับชานยอลที่แม่พยายามเปลี่ยนเขาเป็นหนุ่มน้อยอารมณ์ดีว่านอนสอนง่าย แต่ชานยอลที่โคตรไม่เอาใครก็ยังคงเติบโตขึ้นมาเป็นตัวเขา และยังเป็นชายหนุ่มที่น่าชื่นชมมากสำหรับแบคฮยอนอีกด้วย...

     

    มันทำเขานึกถึงคำพูดหนึ่งที่เคยอ่านเจอในหนังสือ ประโยคที่ว่า บุตรของเธอไม่ใช่บุตรของเธอ  เขาเหล่านั้นเป็นบุตรและธิดาแห่งชีวิต พวกเขามีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง ตอนนี้แบคฮยอนได้เห็นชัดแล้วว่ามันเป็นยังไง...

     

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

     

    บนห้องนอนที่มีเสียงเพลงเปิดคลอเบาๆ แบคฮยอนเอาแต่เดินค้นนู่นดูนี่ในห้องแฟนหนุ่มเล่นอย่างสนุกสนาน ส่วนใหญ่ของในห้องชานยอลมีแต่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกถ้าไม่นับรวมกับพวกหุ่นยนต์กับฟิกเกอร์ที่เขาชอบก็เป็นหูฟังไปแล้วกว่า 70% ชานยอลมีหูฟังเยอะมากๆ จนแบคฮยอนอดสงสัยไม่ได้ว่าแฟนเขาเก็บเอาไว้ทำอะไรเยอะแยะ

     

    “มึงเอาหูฟังไว้ทำอะไรเยอะแยะวะ” คนตัวเล็กปิดลิ้นชักใต้โต๊ะวางคอมพิวเตอร์ลงก่อนจะหันไปค้นลิ้นชักข้างๆ แทน

     

    ในขณะที่กำลังรื้อดูนั่นดูนี่ไปเลย สายตาก็ดันเหลือบไปเห็นของบางสิ่งที่นอนนิ่งอยู่ตรงมุมชั้นด้านในสุด แบคฮยอนถึงกับต้องยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เขารีบหยิบเอาโทรศัพท์เครื่องเก่าของตัวเองที่แสนคิดถึงมากดเปิดเครื่องดูก่อนที่จะต้องร้องเฮ้ออกมาด้วยความดีใจ เมื่อเสียงดนตรีเปิดเครื่องดังขึ้นพร้อมกับหน้าจอโลโก้

     

    “เห้ย โทรศัพท์กูยังใช้ได้ด้วยว่ะ”

     

    เสียงโหวกเหวกของคนรักและดนตรีเปิดเครื่องที่แสนคุ้นหูเรียกชานยอลให้ต้องเด้งตัวขึ้นจากเตียงราวกับหลังติดสปริง เขารีบพุ่งตัวเข้าไปชาร์จแฟนตัวเล็กจากทางด้านหลังแล้วแย่งโทรศัพท์ในมือมาทันที ก่อนจะกระโดดกลับขึ้นไปบนเตียงอีกครั้งแล้วพลิกตัวนอนคว่ำพร้อมทั้งถลกผ้าห่มขึ้นคลุมร่างจนมิดชิด

     

    “ไม่ต้องซ่อนเลย หนีไม่พ้นหรอก”

     

    แบคฮยอนที่เห็นท่าทางสุดเด็กของแฟนตัวยักษ์ได้แต่ส่งเสียงหัวเราะในลำคอก่อนจะลุกขึ้นเดินดุ่มไปกระชากผ้าห่มผืนหนาออกแล้วตามขึ้นไปนอนคร่อมทับตัว โดยพยายามจะสอดมือเข้าไปล้วงโทรศัพท์ที่อีกฝ่ายซ่อนเอาไว้ใต้ร่าง ขณะที่เขาก็เอาแต่ยุกยิกตัวไปมาไม่เลิก

     

    “อะไร หาอะไร”

     

    “อย่ามาเนียน ไม่ต้องเลย”

     

    “จับอะไรอะ จับอะไร เอามือออกไป” ชานยอลพยายามเบี่ยงตัวหนีเพื่อไม่ให้แฟนตัวเล็กเข้าถึงโทรศัพท์ได้ เขายัดมันเข้าไปในกางเกงยีนส์พลางซุกหน้าซ่อนรอยยิ้มกับหมอนใบใหญ่ ยิ่งรู้สึกได้ว่ามือเล็กๆ กำลังไต่ลงไปถึงไหนต่อไหนชานยอลก็ยิ่งกลั้นขำไม่อยู่

     

    “มึงไม่ยอมใช่แมะ”

     

    คนตัวเล็กย้ายตัวเองลงมานั่งข้างคนรักแล้วใช้แรงทั้งหมดพยายามพลิกร่างอีกฝ่ายให้นอนหงาย ทั้งดึงทั้งใช้เท้าถีบจนเขาต้องยอม แต่กลับกลายเป็นว่าพอชานยอลหงายหน้าขึ้นมาโทรศัพท์เครื่องนั้นกลับหายไปซะแล้ว

     

    “หาอะไร มีอะไรที่ไหนอะ”

     

    แบคฮยอนเอามือลูบจับไปตามกระเป๋ากางเกงยีนส์ทั้งสองข้างแต่ก็ไม่พบอะไร ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มกวนๆ ของแฟนหนุ่มยิ่งทำให้เขาหมั่นไส้ กำปั้นเล็กๆ ทุบลงไปเต้มแรงบนหน้าท้องหนาก่อนที่เสื้อยืดตัวใหญ่จะถูกถลกขึ้น

     

    “หาอะไร”

     

    “หาโทรศัพท์ ขอดูหน่อย ไม่เอาคืนหรอก อยากดูรูปเฉยๆ” เมื่อใช้กำลังบังคับเอาไม่ได้แบคฮยอนก็เปลี่ยนไปใช้แผนนุ่มนวลแทน เขาพลิกตัวขึ้นไปนอนทับร่างคนรักพร้อมกับแบมือสองข้างออก ทว่าอีกฝ่ายก็ยังคงเอาแต่ยิ้มไม่ยอมพูดอะไร

     

    “ขอดูหน่อย นะๆ”

     

    “พูดดีๆ เดี๋ยวให้” ชานยอลว่า เขายกยิ้มอย่างถือไพ่เหนือกว่าก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกมาพร้อมสีหน้าสุดกวน

     

    “ก็พูดดีแล้วเนี่ย พูดไม่ดีตรงไหน”

     

    “อ้อนๆ หน่อย เอาแบบน่ารักๆ”

     

    “ขอเค้าดูโทรศัพท์หน่อยนะ ขอดูนี๊ดเดียว~ ดูเสร็จเดี๋ยวคืนเลย” คนตัวเล็กว่าพร้อมกับจีบนิ้วทำท่านี๊ดดเดียวให้แฟนหนุ่มดู แถมยังหลิ่วตาดึงหน้าแอ๊บแบ๊วอย่างกับเป็นเด็กสาวด้วย แบคฮยอนไม่รู้เลยว่าทำไมเขาต้องทำอะไรแบบนี้เพื่อให้ได้เล่นโทรศัพท์ของตัวเองด้วย

     

    “เรียกพี่ชานยอลก่อน”

     

    “พี่ชานยอล~ ขอโทรศัพท์หน่อย”

     

    ”ให้ดีปะ” เด็กหนุ่มที่แสนเจ้าเล่ห์ยังคงลีลา ชานยอลทำเป็นเหลือบตาชั่งใจพลางส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอก่อนที่มือหนาจะสอดล้วงเข้าไปในกางเกงยีนส์เพื่อหยิบเอาโทรศัพท์เครื่องสีฟ้าออกมา เขาชูมันอยู่ตรงหน้าคนรักแต่ก็ไม่ยอมส่งให้สักที “ทำไงก่อน”

     

    รอยยิ้มสุดกวนของแฟนหนุ่มทำแบคฮยอนถึงกับต้องหัวเราะออกมา เขาโน้มใบหน้าลงไปกดจูบเบาๆ ลงบนริมฝีปากอิ่มก่อนจะเคลื่อนขึ้นไปจุ๊บอีกทีบนปลายจมูกเป็นของแถม พอได้เห็นสีหน้าพึงพอใจของคนรักแบคฮยอนก็รู้ได้เลยว่าชานยอลฟินแค่ไหนกับการถูกเรียกพี่ แถมยังทำให้เมียอ้อนเหมือนเด็กๆ ได้

     

    “เอาไป”

     

    โทรศัพท์มือถือเคสสีฟ้าถูกส่งขึ้นให้เจ้าของ พอแบคฮยอนได้รับมันเขาก็รีบพลิกตัวหนีลงจากร่างไอ้ตัวยักษ์ทันที ภาพหน้าจอมือถือที่ไม่ได้เห็นนานทำเจ้าของโทรศัพท์ถึงกับต้องฉีกยิ้มกว้าง แบคฮยอนจำได้ว่ารูปนี้เขาถ่ายกับแม่มงรยงที่สวนสาธารณะตอนไปเล่นด้วยกัน มันเป็นรูปที่แบคฮยอนคิดถึงมากๆ จนเกือบจะร้องไห้ออกมาได้เลย

     

    นิ้วเรียวแตะเข้าไปดูในคลังภาพอันเป็นแหล่งเก็บของสำคัญไว้เป็นอย่างแรก ข้อมูลทุกอย่างในโทรศัพท์เครื่องบางดูเหมือนจะยังอยู่ครบถ้วนดีทั้งในแกลอรี่และวิดีโอ หรือแม้แต่โน้ตที่เคยใช้จดหวยใต้ดินไว้ แบคฮยอนแกะเคสออกเพื่อดูรูปสมัยเด็กที่ถูกเก็บไว้ด้านหลัง พอเห็นว่ามันยังอยู่ดีเขาก็ดีใจมากๆ

     

    “โคตรคิดถึงเลยว่ะ”

     

    คนตัวเล็กกอดโทรศัพท์เครื่องบางไว้แนบอกด้วยความคิดถึง โทรศัพท์มือถือที่มอบประสบการณ์สุดหรรษาให้เขาอย่างมากมายตั้งแต่ที่มันหายไปหรือแม้แต่ตอนที่ยังอยู่ โทรศัพท์ที่แบคฮยอนรักมากๆ เพราะเขาเก็บรูปคนที่รักเอาไว้มากมาย ทั้งเพื่อนสนิท จีจี้แมวที่ตายไป แม่มงรยงหรือแม้แต่รูปตัวเองเมื่อก่อน

     

    ไม่รู้ว่าทำไมถึงร้องไห้ออกมาแต่กว่าจะรู้ตัวอีกทีน้ำตาก็ไหลหยดลงหมอนแล้ว

     

    “เป็นไร” ชานยอลที่เห็นว่าแฟนตัวเล็กกำลังร้องไห้ พลิกตัวเข้าไปกอดจากทางด้านหลังพร้อมกับใช้มือช่วยปาดเช็ดหยดน้ำตาให้

     

    เขาแอบรู้สึกผิดในใจไม่ได้ที่ขโมยของสำคัญของคนรักมา แต่ถ้าวันนั้นชานยอลไม่ได้ขโมยโทรศัพท์เครื่องนี้พวกเขาก็คงไม่ได้มานอนกอดกันอยู่ตอนนี้

     

    “คิดถึงอะ คิดถึงบ้าน... คิดถึงแม่ อึก...”

     

    เสียงเล็กๆ เริ่มสั่นไหว หยดน้ำตาไหลออกมาเอื่อยๆ จนเช็ดแทบไม่ทัน แบคฮยอนเกือบลืมไปเลยว่าเขาไม่ได้กลับบ้านมาจะสามเดือนแล้ว ปีใหม่ที่ว่าจะกลับก็ไม่ได้กลับจนแม่มงรยงคลอดลูกก็ยังไม่ได้กลับ มันไม่ใช่แค่คิดถึงบ้าน แต่แบคฮยอนอยากกลับไปอยู่บ้าน

     

    เขามีชานยอลที่นี่ก็จริงอยู่แต่มันก็ไม่เหมือนกันอยู่ดี ที่นี่ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีอี้ชิง ไม่มีแม่มง ไม่มีแมวจรที่ชอบไปเล่นด้วยทุกวัน ถ้าเลือกได้แบคฮยอนก็อยากทำงานแถวบ้านมากกว่า อย่างน้อยเขามีกำลังใจมากกว่าที่นี่

     

    “อาทิตย์หน้ากลับบ้านกัน ใช้พักร้อนไปเลย” คนตัวสูงซุกหน้าลงกับซอกคอขาวพลางกอดกระชับร่างคนในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น

     

    ชานยอลเองก็รู้ว่าแบคฮยอนเหงาที่ต้องอยู่ที่นี่ ถึงแม้จะมีเขาอยู่ด้วยแต่มันก็คงไม่เหมือนกันอยู่ดี และบ้านของแบคฮยอนเองก็เป็นบ้านของชานยอลเหมือนกัน มันพักใจเขาได้ดีกว่าที่ไหนๆ

     

    ที่ไหนที่มีแบคฮยอนคือบ้านของชานยอล และมันจะอบอุ่นยิ่งกว่าถ้าบ้านหลังนั้นเป็นบ้านที่สร้างแบคฮยอนที่แสนน่ารักคนนี้ขึ้นมา

     

    “อือ... อึก... ขอรูปในโทรศัพท์คืนได้ปะ” มือบางยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้า แบคฮยอนส่งเสียงอู้อี้แบบคัดจมูกออกมาขณะที่เลื่อนภาพถ่ายดูไปเรื่อยๆ กำลังใจทั้งหมดของแบคฮยอนอยู่ในนี้ ไม่ว่ายังไงเขาก็อยากได้รูปภาพพวกนี้คืนอยู่ดีแม้จะไม่ครบก็ตาม

     

    “เอาคืนไปเลย”

     

    “ให้คืนจริงนะ”

     

    “เอ้า พอให้จริงๆ ก็ไม่เชื่อ” ชานยอลว่าพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างนึกขัน เมื่อพบว่าตัวเองหลอกคนรักว่าจะคืนโทรศัพท์ให้แต่ก็ไม่คืนจนอีกฝ่ายไม่อยากเชื่อแล้ว

     

    เขาวางคางเกยลงกับไหล่เล็กๆ ในขณะที่สายตาก็มองไปยังหน้าจอมือถือเครื่องเก่า ชานยอลรู้ว่าทำไมแบคฮยอนถึงได้รักโทรศัพท์เครื่องนั้นเพราะเขาเปิดมันดูเป็นร้อยๆ รอบแล้ว และสิ่งที่อยู่ข้างในก็เป็นกำลังใจให้ชานยอลได้เหมือนกัน

     

    เขาไม่เคยคิดอยากเก็บโทรศัพท์เครื่องนี้ไว้ แต่ก็ไม่กล้าคืนเพราะกลัวว่าถ้าวันหนึ่งแบคฮยอนเดินจากไปจะไม่มีอะไรที่ใช้ยึดเหนี่ยวได้อีก แต่ว่าตอนนี้มันไม่สำคัญอีกแล้ว ชานยอลมีสัญญาใจที่มีค่ามากกว่าวัตถุและมันมีค่ายิ่งกว่าสิ่งไหนๆ

     

    “อึก... ขอบคุณนะ...”

     

    เสียงสูดน้ำมูกดังเบาๆ ท่ามกลางความเงียบ ริมฝีปากอุ่นกดจูบลงข้างแก้มที่เลอะไปด้วยคราบน้ำตา

     

    ในวันที่ชานยอลและแบคฮยอนไม่ได้อ่อนแออีกต่อไป ไม่ใช่เพราะพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น แต่เมื่อไหร่ที่อีกฝ่ายล้มลงก็จะมีมืออีกข้างที่คอยพยุงเอาไว้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นในวันที่ไม่เข้าใจกัน วันที่ต้องใช้ความอดทนกว่าจะเปลี่ยนคนคนนึงที่เป็นตัวเองมาทั้งชีวิตให้ดีขึ้นได้ มันไม่เคยง่ายเลย

     

    แบคฮยอนเชื่อว่าอะไรที่ได้มาง่ายๆ มักหายไปเร็วเสมอ และชานยอลไม่เคยเป็นคนง่ายๆ เมื่อถึงตอนนี้ที่ได้มาเขาก็เชื่อว่าชานยอลจะไม่หายไปง่ายๆ อีกเหมือนกัน

     

    กับผู้ชายคนหนึ่ง ที่ครั้งนึงแม้จะยังรักไม่เป็นแต่ก็ยังรัก... เมื่อถึงวันที่เขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ชายคนนั้นก็ได้กลายเป็นคนที่แสนวิเศษไปซะแล้ว และเขาก็ไม่เคยทำให้คนรักผิดหวังกับการรอคอยเลย...

     

    “ขอบคุณเหมือนกันครับ อยู่กับผมไปนานๆ นะ”

     






    #ฟิคกวาง

     



    ตอนหน้าเจอกันไวๆ นี้ ทุกอย่างจะดีขึ้นงอกงามแล้วก็เข้าที่เข้าทางแล้ว สี่สิบตอนแล้วไม่เข้าไม่ได้แล้ว เฮ้ และอย่าลืม #ฟิคกวาง นะคะ  ขอบคุณที่อ่านเหมือนเดิม :D เอ็นจอยรีดดิ้ง


    CR.SQW


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×