ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Yaoi) What is love? รักวุ่นวายร้ายเกินพิกัด (End)

    ลำดับตอนที่ #11 : -10-

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 502
      3
      3 ก.พ. 58




    -10-










              ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว แต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกชาๆที่ไหล่ของตัวเอง แต่ก็ไม่กล้าที่จะขยับตัว เมื่อศีรษะของรุ่นพี่ตัวสูงยังคงเอนพิงเข้าที่ไหล่ของเขาอยู่ จินถอนหายใจเบาๆ มือเรียวเลื่อนไปเล่นผมของรุ่นพี่เป็นการแก้เบื่อ แม้ว่าจะรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมายังพวกเขาทั้งคู่แปลกๆ แต่คนอย่างจินเคยสนใจอะไรที่ไหน คนหน้าตาดีทำอะไรก็ไม่ผิดจริงป้ะ

              “ไป…กันมั้ย” เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบา จินที่มัวแต่เหม่อเลยได้ยินไม่ค่อยชัด  จนต้องก้มหน้าลงไปถามอีกที
              แอสตันขยับศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนจากการเอนพิงไหล่บาง เป็นเอื้อมมือไปโอบรอบเอวเล็กๆของรุ่นน้องแทน ส่วนศีรษะก็กลิ้งๆจนมาหยุดอยู่ที่แผ่นอกบางๆนั้น กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวรุ่นน้องทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย จนไม่อยากจะปล่อยตัวเจ้าเด็กนี่ไปเลย
              จินดิ้นขลุกขลักนิดหน่อยอย่างจั๊กจี๋ ก่อนจะจัดมือของรุ่นพี่ตัวสูงให้เข้าที่มากขึ้น

              ท่าทางอ้อนๆของแอสตันทำเอาจินต้องหลุดยิ้มบางๆ ก่อนจะยกมือขยี้ศีรษะของคนตัวสูงอีกครั้งอย่างหมั่นไส้
              “พูดว่าอะไรนะครับ” น้ำเสียงนุ่มๆเอ่ยแผ่วเบา เรียกให้ใบหน้าคมยอมถอนออกจากอกของรุ่นน้อง เปลี่ยนมาเงยขึ้นสบเข้ากับดวงตาเรียวสวยแทน ภาพใบหน้าคมสวยที่ประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ เหมือนกำลังทำให้เขาตาพร่า

              อ่า…นี่มันนางฟ้าชัดๆเลย

              “ไปขี่รถเล่นกันมั้ย”






     





              “ทำแบบนี้จะดีหรอครับ” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยอย่างลังเล เมื่อเห็นสิ่งที่คนตัวสูงเข้าไปซื้อในร้านสะดวกซื้อ ใบหน้าคมสวยขึ้นสีแดงจางๆ จนแอสตันต้องเหลือบมองท่าทางน่าเอ็นดูของคนน่ารัก ก่อนจะคลี่ยิ้ม
              “ไม่เป็นไรหรอกน่า พี่รับผิดชอบเอง” พูดพลางส่งสายตาทะเล้นมาให้ จนจินต้องมองค้อนขวับอย่างไม่ค่อยพอใจ
              “รับผิดชอบอะไรล่ะ เรื่องแบบนี้พี่มีแต่ได้กับได้อ่ะ” พูดพลางสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น จนแอสตันต้องหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เขามีแต่ได้กับได้ที่ไหน เรื่องแบบนี้เขามีความสุขกันทั้งสองฝ่ายเหอะ
              “ไม่เอาน่า พี่สัญญาว่าจะไม่หนัก รับรองพรุ่งนี้ตื่นไหว” พูดพลางทำเนียนเอื้อมมือไปจับมือบางๆนั่น มาแกว่งไปมาเบาๆ จนคนตัวเล็กกว่าเขาต้องทำหน้ายู่ เมื่อรู้ว่ายังไงก็ปฏิเสธเขาไม่ได้ ก่อนเขาจะหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินประโยคที่หลุดออกมาจากริมฝีปากรูปกระจับนั่น
              “ตอนเข้าไปซื้อพนักงานไม่มองหน้ารึไงนะ”

     

     

     







              “พี่แอสตัน ผมว่าพอเหอะนะ” น้ำเสียงนุ่มๆเอ่ยออกมาเบาๆ เมื่อเห็นสภาพของรุ่นพี่คนสนิท
              “หื้ออออ” 
              ร่างสูงตรงหน้าเขาเป็นใครกันเนี่ย!!! รุ่นพี่ที่เขาคิดว่าเป็นคนที่โคตรจะเป็นผู้ใหญ่ มีเหตุผล และดูแลตัวเองได้ ตอนนี้เปลี่ยนไปยิ่งกว่าหน้ามือเป็นหลังเท้าเสียอีก
              จะว่ายังไงดีอ่ะ ก็ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนอะไรขนาดนั้นหรอก ก็แค่คนตรงหน้าเขากำลังเมา เพราะซัดเบียร์เข้าไปเป็นสิบกระป๋อง ท่าทางที่เคยสุขุม ก็เลยกลายเป็นชายหนุ่มธรรมดาทั่วๆไปเท่านั้นเอง
              จะว่าทั่วไปก็คงจะไม่ถูกเท่าไหร่ เพราะตอนนี้ใบหน้าคมที่ขึ้นสีแดงจางๆกำลังมองเขามาด้วยสายตาเยิ้มๆ แต่แพรวพราวสุดๆ ริมฝีปากได้รูปที่เคยหนักยิ่งกว่าอะไรกลับคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ นี่ถ้าเป็นสาวๆมาเห็นคงยอมพลีกายให้โดยไม่ต้องคิดอะไรเลยอ่ะ

              ปกติคนเราเมาแล้วมันต้องสภาพอุบาถว์อนาถจิตสิ แล้วไหงไอ้รุ่นพี่นี่ถึงปล่อยฟีโรโมนออกมาอื้อกว่าเดิมซะอีก!!!!

              “จิน จิน จิน จินอยู่ไหนอ่ะ” น้ำเสียงทุ้มๆพูดพลางควานมือสะเปะสะปะไปทั่ว จนเด็กหนุ่มร่างบางที่นั่งข้างๆต้องเอื้อมมือไปจับมือนั้นไว้ เพียงแค่ใบหน้าที่เคยเบ้เหมือนจะร้องไห้กลับคลี่ยิ้มออกมาทันที ก่อนจะค่อยๆเอนหัวลงมาซบลงที่ไหล่บางๆ จินหลุดถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะยอมปล่อยให้รุ่นพี่ตัวสูงซบตนอยู่แบบนั้น
              “นี่จิน อย่าทิ้งพี่ไปไหนอีกคนนะ” ร่างสูงพึมพำเสียงเบา ก่อนที่จะค่อยๆเงียบไป เหลือเพียงลมหายใจที่สม่ำเสมอ บ่งบอกว่าเจ้าตัวได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปเรียบร้อยแล้ว
               จินหลุดยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ จัดท่าทางของร่างสูงให้เปลี่ยนมานอนหนุนตักตัวเองแทน แม้ว่าภาพที่ออกมาจะดูแปลกๆไปเสียหน่อย ก็ผู้ชายแมนๆสองคนมานอนตักกันมันใช่สไตล์เสียที่ไหน


              ก่อนที่รอยยิ้มจะค่อยๆจางหายไปเมื่อทบทวนเรื่องที่เจอมา เขาไม่เคยเห็นพี่แอสตันเป็นแบบนี้มาก่อนเลย เกิดอะไรขึ้นกับรุ่นพี่ตัวสูงกันแน่นะ...

     

     

     

     

     

     

     

     

     





              ความรู้สึกร้อนจากแสงแดดทำให้ร่างสูงต้องพลิกกายหนี ใบหน้าคมฝังลงบนหมอนใบนุ่ม ก่อนจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่ากลิ่นบนหมอนไม่ใช่กลิ่นที่คุ้นเคย
              แอสตันค่อยๆปรือตามองรอบๆตัว ก่อนจะพบว่านี่ไม่ใช่ห้องของเขา ภาพโปสเตอร์วงดนตรีร็อคชื่อดังติดอยู่ข้างๆฝาผนังนั้นเขาจำได้ดี นี่มันห้องของไอ้ต้นไผ่เพื่อนสนิทของเขานี่นา
              มือหนายกขึ้นขยี้ศีรษะของตัวเองจนยุ่งกว่าเดิม ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นนั่งบนเตียง รู้สึกหัวของเขาปวดหนึบ พยายามนึกถึงเรื่องเมื่อคืน ทำไมสุดท้ายเขามาอยู่ที่ห้องไอ้ต้นไผ่ได้วะ ก่อนที่สมองจะประมวลผลเสร็จประตูห้องก็เปิดผลัวะ ก่อนจะตามมาด้วยร่างสูงในชุดอยู่บ้านสบายๆ ก้าวเข้ามา
              “ฟื้นแล้วหรอมึง หลับจนกูนึกว่ามึงตาย” ประโยคเจ็บแสบตามมาด้วยขวดน้ำเย็นๆที่โยนมาให้ แอสตันรับขวดน้ำนั้นอย่างแม่นยำ ก่อนจะเอามาแนบกับหน้าของตัวเอง อ่า…ปวดหัวจริงๆเลย
              ต้นไผ่มองสภาพของเพื่อนตัวเองอย่างเอือมๆ ก่อนจะเดินไปนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะคอม แล้วเลื่อนมานั่งตรงหน้าไอ้เพื่อนรูปหล่อของตัวเอง
              “มีอะไรก็ถามมา หน้ามึงนี่เครื่องหมายเควชั่นมาร์กเต็มหน้ามึงละ”








              ถ้าจะให้เขาเท้าความกลับไปว่าไอ้เพื่อนบ้าตรงหน้าเขามานอนในห้องเขาได้ยังไงน่ะหรอ เขาคงจะเอาไม้ฟาดหัวมันให้สลบแล้วลากมันมามั้ง... ใช่ที่ไหนเล่า จะบ้ารึไง!!!
               หลังจากที่น้องจินขอแยกตัวเพื่อออไปหาไอ้เพื่อนตัวดีของเขา และหายไปนานโคตรๆ จนเขานึกว่าไอ้ปริ๊นซ์รูปหล่อของโรงเรียนหลอกพาน้องไปทำมิดีมิร้ายที่ไหนแล้วซะอีก เห็นนิ่งๆแบบนี้ไอ้เหี้ยนี่น่ะหื่นตัวพ่อเลยนะขอบอก
               หลังจากนั่งกระสับกระส่ายอยู่นาน เพราะโดนบรรดาเพื่อนสนิทของรุ่นน้องตัวบางนั่งจ้องเขม็ง ชนิดที่ว่าถ้าเขมือบหัวเขากับไอ้เรียวได้ คงกระโดดมางับไปแบบไม่ลังเลแล้ว จินก็ส่งข้อความมาหาสไปรท์ บอกว่าตัวเองออกไปขี่รถเล่นกับพี่แอสตัน เพราะดูเหมือนไอ้เพื่อนสนิทของเขาจะมีเรื่องไม่ค่อยสบายใจ

              น้องแม่งงงง จะเป็นคนดีไปไหน ถ้าเป็นเขานะ ไม่มีทางหลงไปกับไอ้คนสติไม่สมประกอบแบบนี้หรอก

              แล้วหลังจากนั้นเป็นไงล่ะ บรรดาสมาชิกวง alcoholic นี่แทบจะกระชากคอเสื้อพวกเขาไปเค้นคอถามแล้ว ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ กว่าเขากับไอ้เรียวจะรอดมาได้นี่พูดจนน้ำไหลไฟดับ ชักแม่น้ำมาเป็นร้อยๆสายเลยมั้ง โดยเฉพาะไอ้เด็กที่ชื่อสไปรท์ กว่าจะทำให้มันยอมเชื่อได้นี่ แทบจะก้มกราบตีนมันแล้ว
              หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็แยกจากบรรดารุ่นน้องพวกนั้นได้ ในใจแอบกังวลไม่น้อยว่า ไอ้ปริ๊นซ์รูปหล่อมันพาน้องไปขี้รถเล่นถึงไหน นานขนาดนี้ไม่ใช่ไปไกลถึงดาวอังคารแล้วหรอ
              เกือบแล้ว พวกเขาเกือบจะไปสถานีตำรวจแล้วแจ้งความคนหายแล้ว ถ้าไม่ติดว่าเสียงโทรศัพท์ของไอ้เรียวมันดังขึ้นก่อน...




             พอมาเจอสองคนนี้อีกที ก็เจอไอ้เพื่อนบ้าของเขานอนหน้าแดงแจ๋อยู่บนตักของนักร้องรุ่นน้อง รอบกายนี่มีเบียร์เป็นสิบๆกระป๋อง ท่าทางเขินๆของจินที่น่ารักโคตรๆยังไม่สามารถลบอารมณ์โกรธของเขาได้เลย

             ไอ้เหี้ยนี่มันกล้าพาน้องมานั่งแดกเหล้าในที่เปลี่ยวๆแบบนี้ได้ยังไง!!!!

              ก็ที่ที่เขามาเจอแอสตันกับจินน่ะ เป็นสวนสาธารณะที่ติดกับริมแม่น้ำ ไอ้บรรยากาศมันก็ดี ชวนให้อารมณ์เคลิ้มได้อยู่หรอก แต่จะมีไอ้บ้าที่ไหนมานั่งเล่นชมวิวตอนสี่ทุ่มกันล่ะ
              แล้วไงต่อ ก็บังคับให้ไอ้เด็กนี่โทรหาเพื่อนบอกว่าตัวเองกำลังจะกลับบ้าน และมอบหมายหน้าที่ให้ไอ้เรียวมันไปส่งน้อง ส่วนไอ้เพื่อนบ้าที่เมาอย่างกับหมีดมยาก็เป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องพาไปหาที่หลับที่นอนที่ดีกว่านี้ จะให้พากลับบ้านนี่เป็นเรื่องที่โคตรจะ impossible สุดๆ เพราะกลับไปสภาพนี้มีหวังโดนหม่อมแม่มันด่าหูชา แถมไม่ได้เข้าบ้านอีก

              สุดท้ายเลยมาจบที่ห้องเขานี่แหละ...

     

     

     

              แอสตันนั่งฟังเพื่อนสนิทของตัวเองที่เล่าเรื่องได้โคตรจะออกรสออกชาติ นี่ถ้ามันลุกขึ้นมาตบเขาได้นะ มันคงทำไปแล้วแหละ พอได้ฟังเรื่องจากปากต้นไผ่ก็พอจะทำให้เขาจำภาพได้ลางๆบ้างแล้วล่ะ
             ภาพสุดท้ายก่อนที่สติของเขาจะดับวูบไปเป็นภาพของเด็กหนุ่มรุ่นน้อง ที่ช่วงนี้เขารู้สึกจะสนิทกันมากเหลือเกิน ใบหน้าคมสวยที่คลี่ยิ้มบางๆ แต่นัยน์ตาเรียวนั่นกลับเต็มไปด้วยความกังวล ริมฝีปากรูปกระจับที่ทำเหมือนจะถามอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับเอ่ยคำปลอบประโลมเขาเพียงเท่านั้นเอง อ่า…ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้น่ารักขนาดนี้นะ

             ///ผลัวะ///
             “เชี่ย มึงตบหัวกูทำไมวะ”
             “มึงจะได้เลิกทำหน้าหื่นซะทีไง แล้วตกลงเรื่องเป็นมายังไง ทำไมถึงได้เมาเป็นหมาเมายาแบบนั้น” คำพูดที่ไม่เคยถนอมน้ำใจของต้นไผ่ทำเอาแอสตันต้องหลุดหัวเราะออกมาอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มฝืนๆ

             “กูพลาดว่ะ”
             
             “มึงเอากับพี่สะใภ้มึง?”

             “พ่อง แค่จูบเฉยๆ”
             ต้นไผ่เลิกคิ้วกับคำตอบของเพื่อน ก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆอย่างเอือมระอา ดีนะที่เขาคาดการณ์ไว้ไม่ผิด เลยช่วยขอให้จินโทรหาไอ้เพื่อนบ้านี้ให้ แอสตันเหลือบมองท่าทางของเพื่อนนิดหน่อย เขารู้ดีว่าการที่จินโทรมาหาเขาในตอนนั้นน่ะ เป็นฝีมือของเพื่อนสนิมจอมแสบของเขานี่แหละ
             “แล้วมึงรู้สึกยังไง” หลังจากเงียบกันสักพัก ต้นไผ่ก็ถามต่อ แอสตันเสตามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างช่วยไม่ได้

             รู้สึกยังไงงั้นหรอ... แค่คิดความรู้สึกสึกเจ็บแปลบก็แล่นเข้ามาทำร้ายที่หัวใจเขาแล้วล่ะ

             “กูมันชั่วมากเลยใช่มั้ยวะ” น้ำเสียงสั่นๆที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากได้รูปนั้นทำเอาต้นไผ่ต้องเผลอเลิกคิ้ว ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาบางๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำพูดทำนองนี้ออกมาจากริมฝีปากได้รูปนั่น

              ก็ปกติคนอย่างแอสตันน่ะหรอ ไม่มีทางมานั่งสำนึกผิดแบบนี้หรอก เอาแต่พูดว่าความรักมันน่าสงสารอย่างนู้นอย่างนี้ จนเขาอยากจะโบกหัวมันสักที เผื่อจะกลายเป็นคนดีขึ้นมาบ้าง ไอ้บ้านี่น่ะไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนผิดหรอก

              ท่าทางแปลกๆของเพื่อนสนิททำเอาแอสตันต้องขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ แต่ไม่ทันจะได้ถามอะไร เจ้าเพื่อนสนิทจอมกวนก็พูดขึ้นมาก่อน


     

     

              “มึงรู้ตัวมั้ยว่ามึงเปลี่ยนไป”

     

              “ไม่ต้องมาจ้องกูแบบนั้นเลย เปลี่ยนไปในทางที่ดีน่ะ”

     

              “แล้วต้องให้กูบอกมั้ย...”

     

              “ว่าสิ่งที่เข้ามาเปลี่ยนมึงน่ะคืออะไร”

     

              นัยน์ตาคมสบเข้ากับนัยน์ตาของเพื่อนร่วมทีมที่กำลังฉายประกายแวววาว ก่อนจะเป็นเขาเองที่ต้องหลบสายตา แต่ริมฝีปากของเขาน่ะเผลอยกยิ้มขึ้นซะแล้วล่ะ











              คุณหญิงประจำบ้านมองท่าทางกระสับกระส่ายของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวอย่างขำๆ นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายๆปีที่เธอเห็นลูกชายตัวแสบของเธอตื่นเช้าขนาดนี้ ในที่นี้หมายถึงก่อนบ่ายสามล่ะนะ และเป็นครั้งแรกที่ลูกชายขอให้เธอมาช่วยเลือกเครื่องแต่งกายให้
              “อย่าเอาแต่ยืนมองสิครับ นี่ผมเรียกให้ม๊ามาช่วยเลือกชุดนะ ไม่ใช่มาส่งสายตาล้อผมเนี่ย” น้ำเสียงงุ้งงิ้งเอ่ยบ่น จนคนเป็นแม่อยากจะถ่ายคลิปแล้วส่งไปให้คนเป็นพ่อที่ต่างประเทศดูเสียจริง
              คุณนายประจำตระกูลหัวเราะหึหึ ก่อนจะเดินเข้าไปช่วยเจ้าลูกตัวแสบที่สลัดคราบเด็กจอมดื้อเป็นเด็กหนุ่มขี้อ้อนอย่างไม่เหลือเค้าเดิม

             หลังจากที่แอสตันโทรมาคอนเฟิร์มและนัดแนะเวลากับลูกชายของเธอเรียบร้อย เจ้าเด็กแสบก็วิ่งหน้าตั้งมาหา ด้วยประโยคแปลกๆที่เธอไม่คิดว่าจะได้ยินจากริมฝีปากรูปกระจับน่าตีนั่น

              ‘ม๊ามาช่วยจินเลือกชุดหน่อยดิ เอาแบบเรียบร้อยๆหน่อยนะ’

              จะไม่แปลกได้ยังไงล่ะ ร้อยวันพันปีเจ้าเด็กนี่ไม่เคยคิดจะขอคำปรึกษาเรื่องชุดกับเธอเลยสักครั้ง แถมยังมีการเรียกตัวเองว่าเป็นแฟชั่นไอคอน แล้วมาหาว่าสไตล์ที่เธอชอบล้าสมัยอีก

              แบบนี้มันต้องล้อบ้างอะไรบ้าง ไม่งั้นก็ไม่สนุกน่ะสิ...

              “แหม ทำไมต้องกังวลขนาดนั้นด้วยล่ะ ทำอย่างกับจะไปสมัครเป็นลูกสะใภ้บ้านนั้น” น้ำเสียงหวานเอ่ยล้อๆจนคนเป็นลูกต้องหันมาค้อนขวับ แก้มใสพองขึ้นตามนิสัยเวลาที่ตัวเองไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ทำกับคนเป็นแม่เท่านั้นแหละนะ
              “ลูกสะใภ้อะไร จินต้องเป็นลูกเขยเหอะ” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยอุบอิบ ก่อนจะหยิบชุดในตู้ออกมาลองทาบดู แล้วหันมาขอความเห็นจากมารดา คุณนายส่ายศีรษะเล็กน้อยก่อนจะหยิบเสื้อตัวอื่นให้ ปากก็เอ่ยล้อลูกชายตัวเองไม่หยุด
              “ก็บ้านนั้นเขามีแต่ลูกชายไม่ใช่หรอ ลูกสะใภ้นั่นแหละถูกแล้ว”
              “ม๊า!!!” และแน่นอน เธอพอจะเดาปฏิกิริยาของลูกชายตัวเองออก ว่าต้องตะโกนออกมาเสียงดังแหงๆ เลยเอานิ้วอุดหูได้ทัน ก่อนจะทำเป็นไม่สนใจท่าทางโกรธปนอายของเจ้าลูกชายตัวดี ก่อนจะยื่นชุดให้
              “เอ้า ชุดนี้ รับรองว่ามัดใจคุณแม่สามีได้อยู่หมัด”
              “ม๊าาาาาา!!!!!”





              “รอแปปนึงนะแอสตัน เจ้าตัวยุ่งแต่งตัวอยู่ นี่รู้มั้ย เจ้าเด็กแสบนั่นอาบน้ำตั้งชั่วโมงครึ่งเชียวนะ สงสัยกลัวแม่ยายไม่ชอบ”
              “ม๊า!!!!” จินที่บังเอิญเดินลงมาทันบทสนทนาแสนน่าอายพอดีตะโกนลั่นนอย่างไม่พอใจ ส่วนแม่ของเขาน่ะหรอ เคยสนใจอะไรที่ไหนล่ะ หันไปหัวเราะคิกคักกับแอสตัน ส่วนไอ้รุ่นพี่บ้านั่นก็ยิ้มอยู่นั่นแหละ จะยิ้มเพื่อ ยิ้มไปก็ไม่มีใครหลงเสน่ห์รอยยิ้มแบบนั้นหรอก

              ฮึ่ย!!! ทีเมื่อวานยังร้องไห้ฟูมฟายอยู่เลย วันนี้กลับมาเป็นไอ้รุ่นพี่บ้าแสนน่าหมั่นไส้อีกแล้ว

              “ยังไงน้าก็ฝากน้องด้วยนะ” คนเป็นแม่เอ่ยยิ้มๆก่อนจะหยิกแก้มลูกชายตัวแสบของเธออย่างเอ็นดู ก็แหม ไอ้อาการพองแก้มแบบนั้นใครเห็นก็ต้องหมั่นเขี้ยวอยู่แล้วแหละ
              “ผมจะดูแลให้ดีที่สุดเลยครับ” แอสตันเอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะทำเนียนไปจับมือของคนตัวบางข้างๆ จนคนตัวเล็กกว่าต้องถลึงตาใส่
              “ดูลงดูแลอะไรเล่า คนเขาดูแลตัวเองได้เหอะ!!!” และสิ่งที่ตามมาก็คือเสียงหัวเราะอย่างเอ็นดูเจ้าเด็กแสบจากคนที่อายุมากกว่าทั้งสองคนนั่นแหละ



               จินเหลือบมองรถแอสตันมาตินคันหรูที่จอดหน้าบ้านตัวเองอย่างชื่นชม ก็รถยุโรปคันสีแดงเป็นเงาวับแบบเนี่ยมันโดดเด่นดึงดูดสายตาจะตายไป ถ้าเขาขับรถเป็นนะจะเอารถแบบนี้แหละ คนหน้าตาดีแบบเขามันต้องรถแบบนี้เท่านั้น!!!!
              “นั่งได้นะ ไม่คิดตัง” เสียงทุ้มเอ่ยแซวเมื่อเห็นท่าทางชอบใจเหมือนเด็กได้ของเล่นของจิน จนรุ่นน้องตัวแสบต้องหันมาค้อนเขาวงใหญ่ ก่อนจะค่อยๆหย่อนตัวนั่งในรถ โดยมีเขาเป็นคนเปิดปิดประตูให้
              “ชื่อแอสตัน ไม่เห็นต้องใช้รถแอสตันมาตินเลย อวดรวยป่ะเนี่ย” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยจิกกัด จนแอสตันต้องหันไปบีบจมูกโด่งนั้นอย่างหมั่นไส้
              “นี่ไม่เคยให้ใครนั่งมาก่อนเลยนะ ภูมิใจได้เลย” น้ำเสียงทุ้มพูดเปลี่ยนเรื่อง ถ้าพูดด้วยท่าทางไม่พอใจจะไม่ว่าอะไรเลยนะ แต่ไอ้พูดแล้วส่งสายตากรุ้มกริ่มแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง
              จินเลยตอบแทนด้วยการดีดหน้าผากของคนตัวสูงไปแรงๆด้วยความหมั่นไส้ จนแอสตันต้องร้องโอดครวญนิดหน่อย แต่ถ้ายอมล่าถอยไปง่ายๆก็คงไม่ใช่ปริ๊นของโรงเรียนมัธยมเอกชนชื่อดังน่ะสิ
              “นี่ยอมให้ทำร้ายร่างกายได้นะ แต่ห้ามทำร้ายหัวใจพี่ที่ฝากไว้กับจินล่ะ” และแน่นอนระดับเด็กแสบอย่างจินเองก็ไม่มีทางเขินกับคำพูดเสี่ยวๆแบบนั้นอยู่แล้ว
              “นี่อยากให้หักพวงมาลัยพากันตายทั้งรถเลยเอามะ”

     

     

     

     

     

     





              “แวะร้าน Bake a wish cafe ก่อนนะ รู้จักมั้ยอ่ะ” หลังจากขับรถกันออกมาได้สักพัก รุ่นน้องตัวยุ่งก็โพล่งขึ้นมาอย่างนึกได้ จนแอสตันต้องเลี้ยวรถเข้าจอดข้างทางแบบงงๆ
              “คือม๊าบอกให้เอาขนมที่ร้านไปฝากคุณแม่ของพี่ด้วยอ่ะ” จินเอ่ยตอบสายตาสงสัยของแอสตัน คนตัวสูงเลยยอมออกรถไปยังสถานที่ที่รุ่นน้องจอมแสบต้องการ
               รถยนต์คันสวยค่อยๆจอดลงที่หน้าร้านแบบพอดิบพอดี เอาชนิดที่ว่าเปิดประตูรถปุ๊บเจอประตูร้านปั๊บ อันที่จริงจินแอบชื่นชมฝีมือการขับรถของรุ่นพี่ตัวสูงมาก เพราะเขาเคยนั่งรถที่ไอ้เพื่อนในวงเป็นคนขับแล้ว อ้วกไปสองรอบ ก่อนจะจบลงที่การเสียค่าปรับเพราะฝ่าไฟแดง
               ร่างบางวิ่งเข้าไปในร้าน ก่อนจะกลับออกมาด้วยกล่องขนมขนาดใหญ่สองกล่อง แอสตันเห็นแบบนั้นเลยรีบวิ่งลงไปช่วยคนตัวเล็กถือ ยื้อยุดกันอยู่นาน สุดท้ายจินก็ยอมให้รุ่นพี่หน้าหล่อนี่ถือของให้ แอบโวยวายนิดหน่อยที่แอสตันชอบปฏิบัติเหมือนกับเขาเป็นผู้หญิง

              “ร้านนี้เป็นร้านของคุณแม่ของจินหรอ” หลังจากออกรถมาสักพักแอสตันก็เอ่ยถาม จินเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อยก่อนจะพยักหน้าตอบ
              “บังเอิญจังเลย” น้ำเสียงทุ้มพึมพำเบาๆ แต่เพราะในรถมีแค่พวกเขาสองคนทำให้จินได้ยินสิ่งที่แอสตันพูดชัดเจน คนตัวเล็กยันตัวขึ้นจากเบาะนั่งก่อนจะหันไปถามอย่างสงสัย
              “ทำไมอ่ะ”
              “ก็ร้านนั้นเป็นร้านขนมโปรดของคุณแม่พี่เลยนะ” คนตัวสูงตอบยิ้มๆ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ กับท่าทางตกใจของรุ่นน้องตัวแสบ ก่อนจะยื่นมือไปขยี้ผมสีฟ้าสลวยนั้นอย่างหมั่นไส้
               จินบ่นพึมพำออกมาเสียยาวเหยียดก่อนจะปัดมือรุ่นพี่ตัวสูงออก ดูเหมือนวันนี้รุ่นพี่คนสนิทของเขาจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะฮัมเพลงเบาๆตลอดเวลาแล้ว ไอ้มือใหญ่ๆนั่นก็ไม่เคยจะอยู่เป็นสุขเลย ชอบเลื่อนมาจับนู่นจับนี่เขาตลอด จนต้องลงไม้ลงมือนั่นแหละถึงจะยอมหยุด









              ทะเลาะกันมาตลอดทาง จนแอสตันเลี้ยวรถเข้ามาในบ้านตัวเองนั่นแหละ ทั้งสองเลยยอมพักสงครามกันเอาไว้ก่อน จินเหลือบมองบ้านของแอสตันด้วยความตื่นเต้น เพราะต่างจากบ้านของเขาอยู่มากโข
              ไม่ใช่ว่าบ้านแอสตันใหญ่เว่อร์จนเขาอึ้งหรอกนะ ขนาดก็พอๆกันั่นแหละ เพราะป๊ากับม๊าของเขาชอบอะไรสไตล์โมเดิร์น ทำให้บ้านของเขาออกแนวไปทางยุคสมัยใหม่ ต่างจากบ้านของแอสตัน ที่ยังคงมนต์เสน่ห์ด้วยกลิ่นอายของยุโรป ไม่ใช่แบบเก่าสมัยยุคพระเจ้าหลุยส์ แต่เป็นบ้านที่ตกแต่งด้วยอิฐให้ความรู้สึกที่อบอุ่น
              “มองขนาดนี้ สนใจมาอยู่บ้านนี้เลยมั้ยล่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยขัดอารมณ์จนร่างบางต้องหันไปฟาดแรงๆที่หลังอีกหลายตุบ แอสตันแกล้งร้องโอดโอยนิดหน่อย ก่อนจะเลี้ยวจอดรถที่หน้าประตูเข้าบ้าน
              ร่างสูงลงจากรถก่อนจะยื่นกุญแจให้คนขับรถประจำบ้านนำรถเข้าไปเก็บที่โรงจอดรถข้างหลัง ก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้เจ้าเด็กแสบที่ไม่ยอมลงจากรถของเขาซะที
              “เชิญครับเจ้าหญิง”
              “เจ้าหญิงบ้านป๊าพี่สิ” และจะต้องได้รับคำตอบกลับที่เจ็บแสบพ่นออกมาจากริมฝีปากรูปกระจับนั้นอย่างแน่นอน
               แอสตันส่ายหัวยิ้มๆก่อนจะทำเนียนเอื้อมไปจับมือบาง ตั้งใจว่าจะจูงเข้าไปพบคุณแม่ของเขาที่ห้องโถงกลาง แต่คนที่ตัวเล็กกว่าเขากลับขืนตัวเอาไว้เสียนี่
               “ไม่เข้าบ้านหรอ เป็นอะไรครับ” แอสตันถามเสียงแผ่วเมื่อรับรู้ได้ว่ารุ่นน้องของเขากำลังตื่นเต้นจนมือเย็นไปหมด จินจับมือแอสตันแน่นก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆสองสามที ก่อนจะจัดเสื้อผ้าของตัวเองนิดหน่อย
               “ผมโอเคยังอ่ะ” น้ำเสียงนุ่มติดจะสั่นๆเอ่ยถามประโยคที่ทำเอาแอสตันต้องหลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะต้องพยายามเก็บเสียงหัวเราะของตัวเองเพราะดูเหมือนรุ่นน้องของเขาจะกังวลจริงๆ
              นัยน์ตาคมเลื่อนสำรวจเด็กหนุ่มร่างบางตรงหน้า

              วันนี้จินอยู่ในเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีฟ้าอ่อน กับกางเกงขาสั้นสีครีมเลยเข่าขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนรองเท้าก็เป็นรองเท้าผ้าใบสีขาว การแต่งตัวที่เขาลืมสังเกตไป ดูเหมือนเด็กนี่จะตั้งใจแต่งตัวอะไรที่ไม่ใช่สไตล์ของตัวเองเลย

              “ทำไมต้องมองนานขนาดนั้นด้วยอ่ะ แปลกหรอ งั้นพากลับไปเปลี่ยนก่อนนะ” ไม่พูดเปล่ายังลากเขาไปทางโรงจอดรถอีกต่างหาก แอสตันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะดึงมือของคนตัวบางเอาไว้ แล้วออกแรงให้หันหน้ามาเผชิญหน้ากัน
              “น่ารักดี ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก รับรองแม่พี่จะต้องชอบจินมากแน่ๆ ขนาดแค่คุยโทรศัพท์แม่พี่ยังชมจินขนาดนั้น นี่ยิ่งมาเห็นจินทำตัวน่ารักแบบนี้คงจะรับเข้ามาเป็นลูกชายของบ้านนี้อีกคนแน่ๆ” แอสตันพูดเสียยาวเหยียด ส่วนมือหนาของตัวเองก็ทำหน้าที่บีบมือบางเบาๆเพื่อให้อีกคนหายกังวล
               จินพยักหน้าหงึกหงักอย่างว่าง่ายผิดปกติ จนแอสตันต้องหัวเราะออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
               “ทำไมไม่เหลือเค้าเด็กดื้อเหมือนเดิมเลยน้า” พูดยิ้มๆพลางโคลงศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมสีฟ้าสลวยนั้นเบาๆ จินเบ้ปากนิดหน่อย แต่ก็ยอมให้คนตัวสูงทำแบบนั้นแต่โดยดี ก็เวลาแอสตันทำอะไรแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายนี่นา







              ทั้งสองคนจูงมือกันเดินเข้ามาในห้องโถง ระหว่างทางแม่บ้านทุกคนล้วนแต่ต้อนรับจินอย่างอบอุ่นทั้งนั้น ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายลงไปบ้าง
              “แหม ถ้าไม่รู้ว่าเป็นหนูจินแม่คงนึกว่าแกพาลูกสะใภ้มาฝากแม่แล้วนะ” เสียงนุ่มอันเป็นเอกลักษณ์เอ่ยแซวทันทีเมื่อเห็นลูกชายพาใครเข้ามาในบ้าน แอสตันส่ายศีรษะอย่างปลงๆ ก่อนจะหันไปหาจินเพื่อจะบอกว่าอย่าไปคิดมาก แต่ภาพตรงหน้าทำเอาใจของเขาเผลอเต้นผิดจังหวะ

             ก็ใบหน้าคมสวยที่ขึ้นสีแดงจางๆ ไหนจะท่าทางเหมือนจะเขินๆแบบนั้นอีก นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่เขาเห็นรุ่นน้องจอมแสบเป็นแบบนี้น่ะ

             “เอ้า ยืนจ้องกันอยู่นั่นแหละ พาหนูจินมาหาแม่เร็ว แม่อยากจะยลโฉมน้องจนใจจะขาดแล้ว” คุณหญิงเอ่ยขัดเมื่อเห็นท่าทางของเด็กหนุ่มทั้งสอง นี่ถ้าเธอเซ้นส์ไม่ผิด สองคนนี้อาจจะมีซัมติงอะไรกันก็ได้

             ไม่ตอนนี้ก็ในอนาคตอันใกล้แหละน่า

             “เอ่อ…สวัสดีครับ” จินยกมือไหว้ทักทายผู้ใหญ่ประจำบ้านอย่างเขินๆนิดหน่อย ก็เขาไม่เคยมาทำอะไรแบบนี้นี่ วันๆชีวิตเขามีแต่เจอคนเถื่อนๆดิบๆทั้งนั้น ไม่เคยเจอผู้ใหญ่แบบนี้หรอก
              คุณหญิงเหลือบมองท่าทางน่าเอ็นดูของเด็กหนุ่มตรงหน้ายิ้มๆ ยกมือรับไว้พอเป็นพิธี ก่อนจะดึงให้เด็กน้อยในสายตาของเธอมานั่งลงที่โซฟาตัวเดียวกัน
              จินทำตัวไม่ถูกชั่วขณะแต่ก็ยอมนั่งลงที่โซฟาแต่โดยดี ท่าทางเกร็งๆของเด็กหนุ่มทำเอาคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเริ่มชวนคุย ทั้งสามคุยกันสัพเพเหระอยู่สักพัก แต่ส่วนมากเหมือนจะเป็นคุณนายประจำบ้านคุยกับเด็กหนุ่มหัวฟ้าเสียมากกว่า

    แอสตันมองภาพตรงหน้ายิ้มๆ ดูเหมือนเด็กน้อยของเขาจะคลายความกังวลลงไปมากแล้วล่ะ


             “แล้วคุณพ่อกับพี่ออสตินจะมากินข้าวด้วยกันมั้ยครับ” แอสตันถามบ้างหลังจากที่นั่งฟังคุณแม่ของเขาคุยกับจินมานาน
             “อืม พ่อแกก็มาเวลาเดิมนั่นแหละ ตกลงกันไว้แล้ว ส่วนออสตินพารีฟาไปตรวจที่โรงพยาบาล เดี๋ยวก็คงจะมา”คุณหญิงตอบก่อนจะต้องเหลือบมองนาฬิกา จึงพึ่งนึกได้ว่านี่ใกล้จะเวลาอาหารค่ำแล้ว
             “คุยกันซะเพลินเลย เกือบลืมว่าน้าชวนหนูจินมาทานข้าวด้วยกันนี่” คุณหญิงโพล่งออกมาอย่างนึกได้ ก่อนจะลุกขึ้นยืนจัดเสื้อผ้าของตัวเองนิดหน่อย ก่อนจะก้มลงมามองเด็กหนุ่มที่นั่งข้างๆเธอยิ้มๆ
              “ชอบทานอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าจ๊ะ วันนี้น้าจะเข้าครัวโชว์ฝีมือเองเลย” ท่าทางเป็นกันเองของหญิงวัยกลางคนตรงหน้าทำเอาจินต้องเผลอหลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะอาสาเข้าไปเป็นลูกมือด้วย






              “ทำอาหารเป็นด้วยหรอ” แอสตันเอ่ยถามร่างบางขณะช่วยผูกผ้ากันเปื้อนให้ จินหันมาค้อนขวับ ทำท่าทาไม่พอใจนิดหน่อย ก่อนจะส่ายศีรษะเล็กน้อยยอมรับแต่โดยดี
              “อยากลองทำดูอ่ะ” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยงุ้งงิ้งเป็นเชิงอ้อน ใครมาเจอแบบนี้ก็ต้องใจอ่อนอยู่แล้วล่ะ แล้วยิ่งเป็นแอสตันที่กำลังหลงน้องขนาดนี้ เอาเป็นว่าน้องบอกว่าสีดำเป็นสีขาว หมีแพนด้าเป็นหมีขั้วโลก เขาก็จะยอมเชื่อโดยไม่ปฏิเสธอะไรทั้งนั้น แล้วแบบนี้เขาจะปฏิเสธได้หรอ ไม่มีทางปฏิเสธได้หรอก


            คุณหญิงมองเด็กหนุ่มสองคนตรงหน้าอย่างพึงพอใจ ท่าทางที่สนใจกันแค่สองคนถึงแม้จะดูแปลกไปบ้าง เพราะเป็นผู้ชายทั้งคู่ แต่เธอก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจ เด็กผู้ชายสมัยนี้เค้าก็เล่นกันถึงเนื้อถึงตัวกันอยู่แล้ว สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายๆปีที่เขาเห็นท่าทางที่ดูสดใสของลูกชายคนเล็กของตัวเองนี่นา


            “เอาล่ะ ในเมื่อหนูจินยังทำอาหารไม่ค่อยเป็น เริ่มจากการหั่นผักแล้วกันนะจ๊ะ” คุณหญิงเอ่ยบอกด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหันไปเรียกให้แม่ครัวประจำบ้านเข้ามาช่วยสอนเด็กหนุ่มร่างบาง เมื่อรู้ว่าตัวเองพอจะช่วยอะไรได้บ้าง ทำเอารู้สึกตัวเองมีแรงฮึดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ท่าทางกระตือรือล้นที่จะเรียนรู้ทำเอาคนมองต้องหลุดคลี่ยิ้มออกมาอย่างเสียไม่ได้
             แอสตันเหลือบมองท่าทางตั้งใจของรุ่นน้องจอมดื้อไม่วางตา

             ก็เวลาใบหน้าคมสวยกำลังจดจ่อกับอะไรสักอย่าง...มันดูมีเสน่ห์น่ามองจะตายไป

             “มองขนาดนี้ แล้วยังจะบอกแม่ว่าเป็นแค่รุ่นน้องเฉยๆอีกหรอ” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยแซวคนตัวสูง ให้ได้ยินกันแค่สองคน แอสตันหันกลับมาก่อนจะสบเข้ากับนัยน์ตาเป็นประกายสวยที่มองมาทางเขาอยู่ก่อนแล้ว

    แววตาที่เหมือนมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง ทำเอาคนเป็นลูกอย่างเขาไม่รู้จะเถียงยังไงจริงๆ

             ทั้งๆที่ระหว่างเขากับจินมันไม่มีอะไรกันซะหน่อย...รึเปล่านะ

             “ตายแล้ว คุณจินร้องไห้ทำไมคะ” น้ำเสียงฉายแววตกใจจากแม่ครัวประจำบ้านเรียกสติของแอสตัน ก่อนที่คนในตระกูลทั้งสองจะหันหน้าไปมองเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า ขายาวๆของคุณชายเล็กประจำบ้านก็ก้าวฉับๆเข้าไปหาทันที

             นัยน์ตาเรียวสวยมีน้ำใสๆคลอหน่วง ก่อนจะหยดแหมะออกมา จินหยีตาลงอย่างช่วยไม่ได้ ตอนนี้เขาแสบตามากๆเลย...

             “ทำไมหนูจินถึงร้องไห้อย่างนี้ล่ะ” คุณหญิงหันไปถามแม่ครัวที่ตอนนี้ถอยออกมายืนกังวลข้างๆเธอแล้ว
             “คุณจินเขาหั่นหัวหอมน่ะค่ะ”




             “จิน ลืมตามองพี่ได้มั้ย” น้ำเสียงทุ้มๆเอ่ยถามฉายแววเป็นห่วง คนตัวเล็กส่ายศีรษะไปมา ก่อนจะยกมือบางขึ้นมาตั้งใจจะขยี้ แต่ก็โดนมือหนาของรุ่นพี่ตัวสูงจับเอาไว้เสียก่อน พอจะยกมืออีกข้าง เจ้ารุ่นพี่บ้าก็ยึดมือเขาอีกข้างเหมือนกัน
              กลายเป็นว่าตอนนี้เขาถูกแอสตันจับข้อมือเอาไว้ แถมยังบังคับให้เงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงอีกต่างหาก
              “ก็มันมองไม่ได้อ่ะ แสบตาไม่หมดแล้วเนี่ย อย่าบังคับได้มั้ย” น้ำเสียงนุ่มโวยวายอย่างหงุดหงิด นี่เขาขอสาบานต่อหน้าโต๊ะ เก้าอี้ ตะหลิว หรือกระทะ อะไรก็ได้ว่าเขาจะไม่มีทางหั่นหัวหอมอีกแล้ว!!!
               แอสตันมองท่าทางของรุ่นน้องตรงหน้าก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆกับความเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโตเสียที บางเวลามันก็น่ารักดีอยู่หรอก แต่เวลาแบบนี้มันน่าจับตีเสียมากกว่า

              “งั้นหลับตาไปก่อนแล้วเดินตามพี่มานี่” น้ำเสียงทุ้มที่เข้มผิดปกติเอ่ยสั่ง ก่อนจะเลื่อนมือไปจับมือบาง แล้วออกแรงลากให้เดินตาม จินที่ตอนนี้แทบจะมองอะไรไม่เห็นเลยต้องเดินตามอย่างว่าง่าย


               ไอเย็นๆที่ลอยมากระทบหน้า บวกกับอาการระคายเคืองที่ลดลงทำให้จินค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะพบว่ารุ่นพี่ตัวสูงกำลังเอาหน้าเขาเข้ามาอังรับไอเย็นจากช่องฟรีสในตู้เย็น เมื่อรู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นแล้วจึงค่อยๆถอยใบหน้าออกมา
                แอสตันเหลือบมองท่าทางของจินด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะค่อยๆดึงให้คนที่ตัวเล็กกว่าเขาเข้ามาใกล้
                “หายแสบตารึยัง” ไม่พูดเปล่ายังจับหน้าจินให้เงยหน้าขึ้นสบตาตัวเองอีกต่างหาก จินบ่นอุบอิบก่อนจะยอมเงยหน้ามองคนตัวสูงแต่โดยดี

    แอสตันสำรวจดวงตาเรียวสวย นัยน์ตาที่ยังแดงระเรื่อเพราะอาการระคายเคืองจากหัวหอมเมื่อครู่สบเข้ากับดวงตาของเขา เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองแบบนี้ ทำให้แอสตันเผลอสำรวจใบหน้าของรุ่นน้องอย่างช่วยไม่ได้

              ใบหน้าคมสวยที่ไม่ว่าเขาจะมองกี่ทีก็ไม่เคยเบื่อ เวลาไม่พอใจ เขินอาย หรือเสียใจล่ะก็ ทุกอย่างถูกถ่ายทอดออกมาบนใบหน้านี้ทั้งนั้น ยิ่งมองยิ่งเหมือนถูกดึงดูดเข้าไปวังวนเสน่ห์อันน่าประหลาด เจ้าเด็กนี่...ลึกลับดีแฮะ

               ดูเหมือนเขาจะลืมจุดประสงค์ที่บังคับให้เจ้าเด็กนี่เงยหน้ามองเขาไปแล้วล่ะ...

               จินมองรุ่นพี่ตัวสูงอย่างงงๆนิดหน่อย จู่ๆก็เงียบไปแล้วก็เอาแต่จ้องหน้าเขาอยู่แบบนั้น แล้วเขาจะทำยังไงได้ล่ะ จ้องตอบหรอ...ไม่เอาอ่ะ ไม่ชอบจ้องตาเจ้ารุ่นพี่ตัวสูงนี่

               ก็เขาชอบได้รับสายตาแปลกๆมาอยู่เรื่อยเลยนี่นา แล้วอีกอย่าง ไม่อยากจะมองใบหน้าที่เพอร์เฟ็คราวกับรูปสลักนั่นด้วย มันทำให้เขารู้สึกแปลกๆ เหมือนหน้ามันจะร้อนๆยังไงก็ไม่รู้...



              ///ตุบ///
              เสียงของหล่นกระแทกพื้นดึงสติของคนทั้งคู่ให้กลับมา แอสตันเกาท้ายทอยตัวเองแก้เขินนิดหน่อย เขาลืมไปเลยว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่กับจินแค่สองคน ก่อนจะเหลือบมองไปทางที่มาของเสียงเป็นการแก้เขิน

     

              แต่ดูเหมือนเขาจะตัดสินใจพลาดไปเสียหน่อย...เมื่อสบเข้ากับแววตาแสดงความไม่พอใจ จากหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าทำให้เขาเผลอหลงรักไปอย่างสุดหัวใจ

              ความเงียบค่อยๆโรยตัวรอบห้องครัว

              จินมองภาพตรงหน้าอย่างงงๆ สองคนนี้คือใครกันนะ ถ้าดูจากผู้ชายข้างๆที่มีเค้าโครงหน้าคล้ายพี่แอสตันมากๆแล้วล่ะก็ อาจจะเป็นพี่แอสตันในอนาคตอีกห้าหกปีข้างหน้าก็ได้ ถ้างั้นก็น่าจะเป็น ‘ออสติน’ พี่ชายแท้ๆของพี่แอสตัน

              แต่อีกคน...ที่กำลังส่งสายตาไม่เป็นมิตรมาทางเขาเนี่ย ทั้งๆที่ไม่รู้จักกันมาก่อน แต่กลับมองเขาด้วยสายตาแบบนั้นเนี่ยนะ ไม่ชอบเลยให้ตายสิ

              คุณหญิงของบ้านมองภาพตรงหน้า นัยน์ตาเป็นประกายสวยมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง เธอที่รู้เรื่องราวทุกอย่างดีไม่แพ้ใคร แต่ตัดสินใจเก็บเงียบเอาไว้ เมื่อปัญหาที่เธอเจอเหมือนกำลังเจอทางตัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนเธอกำลังจะเจอทางออกของปัญหายุ่งๆของครอบครัวเธอแล้วล่ะ

              คิดได้แบบนั้นริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีสวยก็ค่อยๆยกยิ้มขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยขัดบรรยากาศที่เริ่มแปลกๆและดูน่าอึดอัดไปมากขึ้นทุกที


              “อ้าว รีฟา ไปตรวจสุขภาพมาเป็นยังไงบ้างจ๊ะ”











    -------------------------------------
    Talk : ครบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว โฮกกกกกกก

              ไม่ใช่เรื่องง่ายนะบอกเลออออ ตอนนี้ตบมดกันบ้างมั้ย
              ไรท์งี้แต่งไปเขินไป คิดว่าความรักของทั้งสองจะไปได้ราบรื่นมั้ยเอ่ย
              แต่สองคนนี้เค้ายังไม่รู้ตัวกันเลอนะ
              เรื่องนี้อยู่หมวดรักเศร้าๆนี่นา คึคึ
              หยอกๆนะค้า อย่าปารองเท้ามาล่ะ
              ขอบคุณที่ติดตามนะค้าาาาา รักๆๆๆๆคนอ่านที่สุดเบยยยย







     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×