ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Yaoi) What is love? รักวุ่นวายร้ายเกินพิกัด (End)

    ลำดับตอนที่ #15 : -13-

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 508
      2
      6 มี.ค. 58




    -13-





    “จินน่ะยังรู้จักพี่ไม่ดีพอหรอก...”
    .
    .
    .

     

              อะไรคือการยังรู้จักคนตรงหน้าไม่ดีพองั้นหรอ!!! จินตวัดสายตามองคนที่กำลังคร่อมตัวเองด้วยสายตาที่กำลังบ่งบอกว่าเขาไม่พอใจสุดๆ และไม่คิดจะพยายามทำความเข้าใจกับประโยคบ้าๆบอๆที่พึ่งหลุดออกมาจากปากของรุ่นพี่ตัวสูงที่กำลังทำหน้าหื่นนี่ด้วย

              แอสตันสบเข้ากับนัยน์ตาเรียวสวยที่กำลังประกาศความไม่สบอารมณ์ให้เขาเห็นอย่างแจ่มแจ้ง แต่คิดว่ายังไงล่ะ ตอนนี้เขากำลังอารมณ์ดี คึกอยากจะแกล้งคนตรงหน้าสุดๆ ต่อให้รู้ว่าจะต้องโดนฟาดจนตัวช้ำหลังจากปล่อยคนข้างล่างให้เป็นอิสระก็เถอะ ยังไงก็ไม่ยอมปล่อยหรอก!

              พอคิดได้แบบนั้น แทนที่จะยอมถอนตัวออก กลับกลายเป็นแกล้งทิ้งน้ำหนักตัวลงมากกว่าเดิม แถมยังค่อยๆเลื่อนใบหน้าคมๆของตัวเองเข้าไปใกล้จนจมูกชนกันอีกต่างหาก ก่อนจะส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบที่เคยใช้เหล่สาวตามไนท์คลับที่เคยทำบ่อยๆ และจะต้องได้สาวที่ไหนสักคนกลับไปด้วยทุกครั้ง เอาเป็นว่าโคตรจะมั่นใจในความหล่อของตัวเองเลยล่ะ แล้วแบบนี้คนตรงหน้าจะต้านทานเสน่ห์ของเขาไหวหรอ

              ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ เด็กนี่ยังรู้จักเขาไม่ดีพอหรอก

              จินพยายามย่นคอหนี แต่ไม่ว่าจะหลบยังไงไอ้รุ่นพี่บ้านี่ก็ตามเขยิบเข้ามาให้ระยะห่างระหว่างเขาทั้งสองคนลดลงมันซะทุกครั้ง แถมยังจะลดน้อยลงเรื่อยๆเสียด้วย แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ นอกจากทำใจกล้าสบสายตาแพรวพราวที่ไอ้รุ่นพี่หื่นกามส่งมาให้
              น่าแปลก ทั้งๆที่เขาควรจะรู้สึกรังเกียจ หรือขยะแขยงที่ต้องมาใกล้ชิดกับผู้ชายด้วยกันขนาดนี้ แต่ไอ้หัวใจเจ้ากรรมมันดันเต้นแรง แถมอาการร้อนๆที่หน้านี่อีก โธ่เอ๊ย เขาไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ
              ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด มันอาจจะเป็นเรื่องง่ายหากเขาลองคิดทบทวนความรู้สึกที่กำลังก่อขึ้นในใจตัวเองให้ดีๆ แต่เขากำลังกลัว กลัวความจริงที่กำลังเกิดขึ้นกับเขาตอนนี้
              แอสตันลอบสังเกตปฏิกิริยาของรุ่นน้องจอมแสบ แอบรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่จู่ๆเจ้าเด็กนี่ก็หยุดขัดขืนเสียดื้อๆ แถมนัยน์ตาเรียวสวยที่เคยเป็นกระกายกร้าวกลับหม่นลง ก่อนจะแทนที่ด้วยน้ำใสๆที่ค่อยคลอรื้นที่ขอบตา ยอมรับว่าเขาตกใจกับปฏิกิริยาที่จินแสดงออกมา แต่ความตกใจมันกลับค่อยๆเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอย่างอื่นนี่สิ ความรู้สึกอะไรบางอย่างที่เขาไม่ได้สัมผัสมันมานานมากแล้ว มันคือความรู้สึกอะไรนะ

              แล้วไอ้หัวใจของเขาจะเต้นแรงขึ้นมาเพื่อ!!

              จากการที่ตั้งใจจะแกล้งคนตัวบาง กลับดูเหมือนเขาจะเป็นถูกฝ่ายปั่นหัวเสียเอง เมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาสีดำขลับของรุ่นน้องคนสนิท เขาเคยพยายามสบสายตากับเจ้าเด็กนี่หลายครั้ง และทุกครั้งจะต้องหัวใจเต้นผิดจังหวะตลอด พอมาครั้งนี้ ได้สบตากันแบบจริงๆจังๆ สบตากันแบบเอาให้เข็มนาฬิกาหมุนวนจนเหนื่อย 

              แล้วเขาก็ได้รับรู้ว่า ดวงตาเรียวสวยของเด็กคนนี้เป็นอันตรายต่อหัวใจของเขาจริงๆ

              จริงอยู่ที่จินไม่ได้มีนัยน์ตาสีอัลมอนด์ชวนหลงแบบเขา แต่กลับมีดวงตาสีดำขลับแทน แต่สำหรับเขาแล้ว ดวงตาคู่นี้กลับมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด ถ้าจะให้เปรียบตาของเด็กคนนี้เป็นอะไรสักอย่าง เขาคงจะเปรียบให้เป็นท้องฟ้าตอนกลางคืนล่ะมั้ง
              ท้องฟ้าสีดำที่เมื่อมองแล้วราวกับถูกมนต์เสน่ห์อันน่าประหลาดดึงดูด เมื่อยิ่งมองก็จะยิ่งเห็นดวงดาวเป็นประกายแวววาว ที่ทอแสงร้อยพันอยู่บนท้องฟ้า ต่อให้มองตลอดชีวิตคุณก็คงจะมองไม่หมด นั่นแหละคือดวงตาของจินล่ะ ดวงตาที่สื่ออารมณ์ทุกอย่าง ไม่ว่าจะโกรธ เศร้า หรือสับสน ทุกๆอย่างเหมือนกับเป็นหลุมกับดัก กำลังจับความสนใจและหัวใจของเขาเสียอยู่หมัด
              เหมือนกับมีแม่เหล็กอะไรบางอย่าง ที่กำลังดึงดูดให้เขาต้องค่อยๆขยับหน้าเข้าไปใกล้เจ้าเด็กแสบมากขึ้น มากขึ้น จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆของแต่ละฝ่ายเป่ารดกันและกัน

              และหากใกล้มากไปกว่านี้ ริมฝีปากของเขากับเจ้าเด็กนี่คงจะ...




              “แม่!!!! มีคนสองคนกำลังนอนทับกันอยู่ในรถล่ะ มาดูเร็วๆ” น้ำเสียงสดใสดังขึ้นที่ข้างตัวรถ และหากเงยหน้าขึ้นมองจะเห็นใบหน้ากลมๆของเด็กผู้หญิงผูกผมเปียกำลังเอาหน้าแนบกับกระจกรถ มองมาทางพวกเขาทั้งคู่ตาแป๋ว
              “ตายแล้วลูก ถอยออกมาห่างจากรถคันนั้นเดี๋ยวนี้เลย แม่บอกแล้วใช่มั้ย ว่าอย่าไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน ขอโทษแทนลูกอิชั้นด้วยนะคะ แต่แถวนี้มีโรงแรมอยู่ใกล้ๆ เชิญไปที่นั่นน่าจะเหมาะสมกว่า”
              “ก็หนูอยากรู้นี่แม่ ทำไมพี่เขาต้องนอนทับกันด้วยอ่ะ ไม่อึดอัดหรอ” น้ำเสียงใสๆยังคงเอ่ยเจื้อยแจ้วไม่หยุด จนคนเป็นมารดาต้องเอ็ดเบาๆ แต่แอสตันก็ยังคงได้ยินอยู่ดีล่ะนะ
              “ก็…มันคือ เอ่อ การแสดงความรักกันอย่างนึง” คนเป็นแม่เอ่ยตอบตะกุกตะกัก แต่ลูกสาวของเธอก็ช่างมีคำถามในหัวเยอะเสียเหลือเกิน แล้วเสียงใสๆนั่นน่ะ ช่วยลดลงหน่อยก็ดี แม่ไม่อยากจะโดนคนในรถลงมาตีเพราะไปขัดจังหวะกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มหรอกนะ
              “แม่ แต่พี่สองคนนั้นเป็นผู้ชายทั้งคู่นะ ผู้ชายเค้าแสดงความรักแบบนี้กันได้ด้วยหรอ” ประโยคถัดมาของลูกสาวทำเอาคนเป็นแม่ถึงกับไปไม่ถูก เอาแล้วไงล่ะ แล้วเธอจะทำอะไรได้นอกจากเปลี่ยนเรื่อง และรีบลากลูกสาวจอมดื้อของตัวเองออกมาจากบริเวณนั้นทันที
               ก็แถวนั้นมันไม่ได้มีแต่พวกเธอสักหน่อย คนที่เดินผ่านไปผ่านมานี่เริ่มหันมาให้ความสนใจพวกเธอกันหมด ก่อนจะหันไปสนใจรถสีแดงคันหรูต่อ เรื่องแบบนี้เธอขอไม่ยุ่งดีกว่า

               เสียงพูดคุยค่อยๆไกลออกไป แต่การขัดจังหวะเมื่อครู่ทำเอาอารมณ์ของแอสตันหายไปหมดจนเขาต้องปล่อยศีรษะลงเปลี่ยนตำแหน่งเป็นที่ไหล่บางๆของรุ่นน้องอย่างเอือมๆแทน แต่ก็ต้องชะงักกับประโยคเย็นๆที่ไม่บอกก็รู้ว่าคนพูดน่ะพูดจริงทำจริงแน่ๆ

               “ไอ้คุณพี่แอสตันไม่ต้องมาซบ เอาตัวหนาๆของตัวเองออกไป แล้วพาผมไปส่งบ้าน หรือจะต้องให้เตะลูกชายพี่จนสูญพันธุ์ก่อนถึงจะยอมเลิกเล่นห๊ะ!!!”


               แล้วจะให้เขาทำยังไงได้ล่ะ อารมณ์หวิวๆก็โดนทำลายไปหมดแล้ว แถมยังมีแนวโน้มจะต้องเอาชีวิตลูกชายมาเสี่ยงอีก ก็เลยยอมลุกขึ้นจากตัวบางๆของเจ้าเด็กจอมแสบแต่โดยดี แม้จะแอบเสียดายไม่น้อย กับท่าทางอายๆแสนน่ามองของเจ้าเด็กนั่น อา…แต่แกล้งมากไปก็คงจะไม่ดี ถ้าโกรธขึ้นมาอีกคราวหน้าเขาไม่ต้องแก้ผ้าวิ่งรอบ BTS เลยหรอ ก็เลยต้องหักห้ามใจ เอาเป็นแกล้งทีละนิดแต่บ่อยๆดีกว่า

              “ถึงแล้วครับเจ้าหญิง

              “เจ้าหญิงพ่อง”

               อ่า…นับวันความเกรงใจของเจ้าเด็กนี่เริ่มจะลดน้อยลงทุกทีแล้วสินะ =_=

               “ขอบคุณที่มาส่งนะครับ” อาจจะเพราะเห็นเขาพึมพำกับตัวเองเสียงเบาด้วยใบหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก น้ำเสียงนุ่มๆเลยเอ่ยต่อ และแน่นอน แค่คำพูดเจ็ดพยางค์สั้นๆ กลับทำให้โลกของเขาดูสดใสขึ้นมาทันตาเลยล่ะ

              “พรุ่งนี้ว่างมั้ย”

               ก็เลยทำใจกล้าลองถามเจ้าเด็กนี่ดู ก็ไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันมาตั้งนานแล้วนี่นา(ได้ข่าวว่าแค่เกือบๆสามอาทิตย์) ทั้งๆที่ปกติเขาไม่เห็นจะชอบออกไปไหนตอนปิดเทอมซะเท่าไหร่ ถ้าไม่ไปเที่ยวกับครอบครัว หรือไม่มีงานถ่ายแบบที่ไหน วันๆก็คงอยู่แต่กับบ้าน เพราะกว่าจะฟื้นขึ้นมาก็เกือบเที่ยงๆแล้ว หลังจากนั้นก็หาอะไรเข้าท้อง แล้วก็เข้าฟิตเนส ส่วนตอนกลางคืนก็ออกไปเที่ยวกับเพื่อน กว่าจะกลับก็เกือบเช้า เอาเป็นว่าวนลูปเป็นวงจรอุบาทว์แบบนี้ทุกๆปิดเทอมนั่นแหละ

              แต่ปิดเทอมครั้งนี้ดูเหมือนจะมีอะไรที่แตกต่างไปจากทุกครั้งล่ะนะ

              จินเหลือบมองท่าทางของรุ่นพี่ตัวสูง ทำไมต้องดีใจที่ไอ้รุ่นพี่บ้านี่ทำท่าทางเหมือนอยากจะใช้เวลาร่วมกับเขาด้วยนะ ทั้งๆที่เขาน่ะ เป็นคนติดเพื่อนจะตาย ขนาดตอนไอรีนยังมีแอบฝืนๆตามไปเที่ยวด้วยเลย แต่กับไอ้รุ่นพี่บ้าจอมหื่นกามนี่กลับ...อยากไปจริงๆสิให้ตาย

             “พรุ่งนี้มีซ้อมดนตรีกับเพื่อน”
             “งั้นพรุ่งนี้ของพรุ่งนี้”
             “อือ ก็ว่าง” ก็เลยทำเป็นเล่นตัวนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ยอมเอ่ยปากบอกไปว่าว่างอยู่ดีนั่นแหละ
             ก่อนจะต้องแอบหลุดหัวเราะเบาๆ เขาเหมือนจะเห็นมีหูตั้ง หางกระดิกอยู่บนหัวกับข้างหลังของเจ้ารุ่นพี่นี่เลย
             “ไปเที่ยวกันเถอะ”





              “วันนี้ต้องมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นกับลูกของม๊าแน่ๆ และถ้าจะให้เดา คงเป็นเรื่องที่ปรับความเข้าใจกับแอสตันได้สำเร็จแล้วแหงๆ” ทันทีที่ก้าวเข้ามาในบ้าน น้ำเสียงหวานๆของผู้เป็นมารดาก็เอ่ยแซวลูกชายตัวเองทันที

    จริงๆต่อให้ไม่ได้แอบดูสองคนนี้ยืนคุยกันอยู่หน้าบ้าน ก็พอจะเดาออกอยู่แล้วล่ะ ก็มันมีอยู่ไม่กี่เรื่องที่จะทำให้ลูกชายตัวแสบของเธออารมณ์ดี ยิ้มหน้าบานแข่งกับจานดาวเทียมที่บ้านแบบนี้
               “โหยม๊า” หันไปค้อนขวับก่อนจะตรงเข้าไปกอดเอวคนเป็นแม่หลวมๆ แล้วเอาใบหน้าซุกเข้าที่ไหล่บางๆนั่นอย่างอ้อนๆ การกระทำที่เหมือนเด็กกำลังหนีความผิดเรียกเสียงหัวเราะจากคนเป็นมารดาได้อย่างดี
               คนเป็นแม่ลูบศีรษะของลูกชายอย่างเอ็นดู เธอไม่เคยเห็นลูกชายตัวดีติดใครมากขนาดนี้มาก่อน ขนาดไอรีนอดีตแฟนสาวของจิน เจ้าตัวยังไม่ติดแจขนาดนี้เลย คิดไปคิดมา เธอเริ่มรู้สึกว่าระหว่างสองคนนี้มันเริ่มจะมีอะไรแปลกๆซะแล้วสิ
               “แล้วจะไปเที่ยวกันที่ไหนล่ะ” พูดพลางจูงมือลูกชายไปที่โต๊ะอาหาร ส่วนจินก็เดินตามไปอย่างงงๆ ก่อนจะยอมนั่งลงบนโต๊ะแต่โดยดี คนเป็นแม่หันไปตัดเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่มของโปรดลูกชายตัวแสบในตู้เย็น แล้วยกมาวางให้บนโต๊ะ
              “ก็…เอเชียทีคฮะ” เอ่ยตอบก่อนจะใช้ช้อนตักเค้กเข้าปาก แม้จะรู้สึกอิ่มกับอาหารที่แอสตันพึ่งพาไปกิน แต่เค้กน่ะ ของโปรดเขานี่นา รสหวานปนขมของช็อกโกแลตแผ่ซ่านไปตั้งแต่ปลายลิ้นก่อนจะกระจายไปทั่วทั้งปาก จนต้องเผลอหลับตารับรสนั้น ใบหน้าเคลิ้มๆของลูกชายทำเอาคนเป็นแม่หลุดหัวเราะ
              ก่อนที่เสียงหัวเราะนั้นจะเริ่มแผ่วลง ความรู้สึกอะไรบางอย่างค่อยๆก่อตัวขึ้นมาจนทำให้เธอเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ เอเชียทีคงั้นหรอ...
              “โรแมนติกจังเลยนะ” คำพูดของคนเป็นแม่ทำเอาจินหยุดชะงัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตามาริสาอย่างงงๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของมารดาที่กำลังฉายแววอะไรบางอย่าง ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย
              “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกฮะ ทำไมม๊าทำหน้าแบบนั้นล่ะ” เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล ก่อนจะต้องรู้สึกงงหนักมากขึ้นกว่าเดิมกับประโยคถัดมาของคนเป็นแม่

              “อย่าทำตัวเหลวไหล หรือทำอะไรแปลกๆล่ะ แล้วก็...อย่าให้บรรยากาศพาไป จนต้องเข้าไปอยู่ในสถานการณ์อันตรายนะ”

              จินสบตาคนเป็นแม่ ตอนนี้เขาไม่เข้าใจ จะว่ายังไงดีล่ะ ก็พอจะเข้าใจความหมายที่แม่ของเขาต้องการจะสื่ออยู่หรอกนะ แต่ที่ไม่เข้าใจคือ ทำไมจู่ๆก็พูดขึ้นมาแบบนั้น แม่ของเขากำลังมีความคิดอะไรประหลาดๆอยู่ในหัวอยู่แน่ๆ ก็จริงอยู่ที่เอเชียทีคเป็นที่ที่คู่รักส่วนมากเค้าไปกัน แต่เขากับพี่แอสตันจะไปบ้างไม่ได้รึไง ทำไมช่วงนี้ใครๆก็ชอบคิดว่าเขากับพี่แอสตันต้องมีซัมติงอะไรกันแน่ๆตลอดเลย
              นี่ยังไม่รวมบรรดาแฟนคลับที่พากันตั้งแฟนเพจคู่จิ้นระหว่างเขากับพี่แอสตันนะ อย่าคิดว่าไม่รู้เชียว เพราะไอ้พวกเพื่อนบ้ามันพากันเอามาโชว์เขาแทบจะทุกวัน ทั้งรูปคู่แล้วใส่แคปชั่นเสี่ยวๆบ้างล่ะ หนักหน่อยก็เอามาตัดต่อจนเป็นรูปติดเรท และถ้าหนักไปกว่านั้นก็แฟนฟิค ที่เขาเคยเผลอไปอ่านครั้งนึง จะว่ายังไงดี มันจั๊กกะจี๋หัวใจแปลกๆอ่ะ
              “แม่ ผมกับพี่แอสตันเนี่ยนะ” แต่ก็เอ่ยกลั้วหัวเราะกลบเกลื่อนไป คนเป็นแม่มองท่าทางของลูกชายก่อนจะลอบถอนหายใจเบาๆ

              เด็กนี่เป็นพวกไม่แคร์สายตาคนนอกมาตลอดอยู่แล้ว แต่บางทีสายตาคนนอกนี่แหละ ที่เห็นความจริงชัดเจนกว่า...

              แต่ก็ไม่อยากให้ลูกชายของตัวเองไม่สบายใจ แถมปล่อยให้ไม่เข้าใจอะไรแบบนี้ไปอาจจะเป็นผลดีกว่า ที่ทำให้เจ้าตัวตระหนักถึงความรู้สึกอะไรบางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นล่ะนะ
              “แหม แม่ก็พูดหยอกเล่นไปงั้นแหละ เอ้า ไปอาบน้ำอาบท่าไป แล้วลงมาวิดีโอคอลกับป๊าหน่อย รายนั้นคิดถึงลูกชายจะแย่แล้ว เอาแต่บ่นถึงลูก จนไม่ยอมทำงานทำการเลย” ก็เลยทำเป็นพูดยิ้มๆแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยไปแทน

               จินหลุดหัวเราะออกมานิดหน่อย ก็พอจะนึกสภาพพ่อของตัวเองออกอยู่หรอก เพราะรายนั้นได้ชื่อว่าติดลูกชายยิ่งกว่าอะไรดี เขายังจำได้อยู่เลยว่าวันที่ไปโรงเรียนครั้งแรก แทนที่เขาจะเป็นคนร้องไห้งอแงไม่อยากไป แต่กลับเป็นพ่อนี่แหละที่งอแงไม่ยอมให้เขาไปโรงเรียน ลำบากต้องยื้อยุดกันอยู่นาน จนม๊าใช้มาตราการเด็ดขาด ว่าถ้าไม่ยอมหยุดจะไม่ให้มานอนกับเขาอีก ถึงได้ไปโรงเรียนกันซักที

               ก็เลยพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะกระชับกระเป๋าวิ่งไปทางบันได อยากจะรีบอาบน้ำให้สบายตัวอยู่เหมือนกัน เพราะอันที่จริงวันนี้เขาก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว ก่อนจะหยุดชะงักเพราะนึกอะไรขึ้นมาได้
              “ม๊ารู้จักตระกูลแฮมฟอร์ดป่ะ” ชะโงกหน้าจากตรงบันได เรียกความสนใจจากมารดา มาริสาเงยหน้ามองลูกชายตัวแสบอย่างงงๆนิดหน่อย ก่อนจะเอ่ยตอบ
              “เจ้าของโรงแรมเครือแฮมฟอร์ดน่ะหรอ รู้จักสิ ทำไมหรอจ๊ะ” ถามกลับอย่างสงสัย เพราะร้อยวันพันปีเจ้าเด็กนี่ไม่เคยมีคำถามอะไรเกี่ยวกับวงการธุรกิจเลยแม้แต่น้อย
              จินพยักหน้านิดหน่อย ก่อนจะพึมพำตอบ
              “คือ พี่แอสตันเป็นลูกชายคนเล็กของคุณคริสโตเฟอร์นะฮะ คริสโตเฟอร์ แฮมฟอร์ด แล้วพอดีคุณอาเค้าอยากจะคุยธุรกิจกับป๊า” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยบอกมารดา มาริสาหยักหน้ารับ ก่อนจะหยุดคิดนิดหน่อย เพราะอันที่จริงเธอเองก็เห็นตระกูลแฮมฟอร์ดติดต่อขอคุยเรื่องธุรกิจมาสองสามครั้งล่ะมั้ง แต่ช่วงนั้นสามีเธอกำลังมีปัญหาเรื่องการขยายเขตธุรกิจของตัวเอง เลยต้องเลื่อนออกไปก่อน
               ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีล่ะนะ เพราะตระกูลแฮมฟอร์ดเอง ก็มีอิทธิพลทางธุรกิจเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ถ้าได้ร่วมงานกัน คงจะได้ผลประโยชน์ไม่น้อย
              “อืม ก็เอาสิ เดี๋ยวคุยกับป๊าพอดีเลย เหมือนป๊าเค้าจะกลับมาประมาณอาทิตย์หน้าล่ะมั้ง”
              “จริงดิ งั้นผมรีบไปอาบน้ำดีกว่า” ก่อนจะวิ่งตึงตังขึ้นห้องไป คนเป็นแม่ส่ายหัวน้อยๆกับความเป็นเด็กของลูกชาย สะบัดศีรษะเบาๆไล่ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง ก่อนจะหันไปเรียกแม่บ้านให้มาช่วยเก็บจานไปล้าง

















              “พวกมึงไปดูหนังกันเหอะ” เสียงนุ่มเอ่ยเรียกความสนใจจากเพื่อนๆ สมาชิกวง Alcoholic ต่างร่วมใจกันหันไปมองทางนักร้องประจำวง อย่าแปลกใจที่ถึงจะปิดเทอมกันแล้วแต่พวกเขายังคงนัดเจอกันอยู่ ตอนปิดเทอมนี่แหละ คือเวลาที่เหมาะที่สุดในการซ้อมดนตรี เพราะสามารถซ้อมได้นานเท่าไหร่ก็ได้ 
               แต่บางครั้งก็ทำอย่างอื่นนอกจากซ้อมบ้างแหละ อย่างเช่นตอนนี้ จินเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองสักพัก ก่อนจะยื่นไปให้เพื่อนคนอื่นๆในวงดู
               “หนังผีเนี่ยนะ” นัยน์ตาคมของเพื่อนมองไปทางเจ้าของโทรศัพท์อย่างไม่เข้าใจ ก็ไอ้เพื่อนตัวแสบของพวกเขามันเป็นพวกเซนสิทีฟกับความมืด อ่อนไหวต่อเสียงกรีดร้อง และโคตรจะหวาดกลัวต่อสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติแบบสุดๆ แล้วยังเสือกอยากไปดูหนังผีอีกหรอวะ
                จินเบ้ปากใส่เพื่อนในวงนิดหน่อย ก่อนจะแย่งโทรศัพท์ตัวเองคืนมา ไล่หน้าจออยู่สักพักก่อนจะยื่นกลับไปให้ดูอีกรอบ
                สไปรท์ไล่อ่านตัวหนังสือบนหน้าจอสักพัก ก่อนจะถึงบางอ้อ เพราะนักแสดงนำในเรื่องเป็นนักแสดงคนโปรดของจิน ที่ไม่ว่าจะแสดงหนังต้นทุนต่ำแค่ไหน ไอ้เพื่อนบ้านี่ก็ตามไปดูมันเสียทุกเรื่อง ไม่แปลกใจเลยที่มันจะยอมไปดูหนังผีที่ตัวเองเกลียดนักเกลียดหนา
                “กูผ่านว่ะ” ดินเหลือบมองชื่อหนังนิดหน่อยก่อนจะบอกปัด จนโดนเสียงใสๆแหวใส่
                “ทำไมวะ เค้าว่าเป็นหนังดีนะเว้ย” นักร้องนำของวงเอ่ยโวยวาย แต่ดินก็ยังคงไหวไหล่เบาๆอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเอื้อมแขนไปโอบรอบคอของมือเบสและมือคีย์บอร์ดที่กำลังนั่งหัวเราะแห้งๆ
                “กูไปดูกับไอ้การ์ตูนกับแอนดี้มาแล้วเว้ย” พูดพลางยักคิ้วหลิ่วตาทำหน้ากวนโอ๊ยไปใส่ร่างเพรียวที่กำลังทำหน้าบึ้งมากขึ้นทุกที
                “ได้ไง!!! พวกมึงไปดูกันตอนไหน” จินเริ่มโวยวาย เพื่อนที่เหลือต่างคนต่างสบตากันนิดหน่อยก่อนจะทำสีหน้าลำบากใจ เพราะทุกคนรู้ดีว่าจินเป็นพวกชอบมีส่วนร่วมกับเพื่อนแบบสุดๆ ต่อให้ตัวเองยุ่งแค่ไหน แต่ถ้าเพื่อนชวนไปเลี้ยงกัน เจ้าตัวจะต้องรีบเคลียร์งานให้เสร็จแล้วตามไปด้วยทุกรอบ ทำให้ทุกคนรู้ว่า ถ้ามีอะไรที่ไหนต้องชวนจินไปด้วยเสมอ

    แต่คราวนี้มันต่างกันนิดหน่อย

               “ก็ไม่อยากไปเป็นก้างระหว่างมึงกับพี่แอสตันไง” ถ้าไอ้เพื่อนตรงหน้าพูดพลางทำสีหน้าสำนึกผิดเหมือนคนที่ตัวเองกำลังโอบคออยู่จินจะยอมให้อภัยเลย แต่ไอ้เพื่อนบ้านี่มันดันทำหน้าตาได้วอนเอาฝ่าเท้าไปแนบหน้าสุดๆ จินกลอกสายตาอย่างเอือมๆ

               “ทำไมพวกมึงชอบยุให้กูกับพี่แอสตันได้กันอยู่เรื่อยเลยวะ” จินถามด้วยใบหน้าที่บอกว่า กูงงสุดขีด เพื่อนคนอื่นๆต่างสบตากัน ก่อนจะถอนหายใจออกมากับความซื่อบื้อของเพื่อนตัวเอง

               “มึงโง่จริงๆหรือกำลังแกล้งโง่เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเองวะ"

               คำพูดของเพื่อนทำเอาจินสะอึก ความรู้สึกที่เคยคิดว่าจัดการมันได้แล้ว ตีรวนขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนกับตะกอนที่ตกอยู่ใต้น้ำ กำลังรอที่จะถูกกำจัดออกไปอย่างถาวร แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร กลับมีคนเอาไม้มากวนให้มันฟุ้งกระจายไปทั่วอีกครั้ง
               มือกลองของวงมองท่าทางของเพื่อนสนิทตัวเองนิดหน่อย ก่อนจะตัดสินใจพูดต่อ
               “มึงฟังพวกกูดีๆนะ” ดินค่อยๆคลายแขนของตัวเองออกจากคอของเพื่อนร่วมวง เปลี่ยนมาเป็นเท้าสะเอวฉายแววจริงจังแทน จินพยักหน้าหงึกๆก่อนจะส่งสายตาประมาณว่า ถ้าไร้สาระนะ มึงเจอตีนกูแน่ๆอ่ะ

               “เวลามึงเห็นคนสองคนคุยโทรศัพท์กันหัวเราะคิกคัก มุ้งมิ้ง งุ้งงิ้ง มึงจะคิดว่าสองคนนั้นเป็นอะไรกัน”

               “เพื่อนกันก็คุยกันได้ไม่ใช่หรอวะ อย่างกูกับสไปรท์ไง” ไม่พูดเปล่ายังลากคอเพื่อนสนิทของตัวเองมาร่วมวงด้วยอีกต่างหาก คนโดนดึงเข้ามาเอี่ยวเลยได้แต่กลอกตาไปมาแบบเอือมๆ ก่อนจะกลับไปสนใจเกมส์ในมือตัวเองต่อ

              “อ่ะ งั้นเอาใหม่ เวลามึงเห็นคนไปรับไปส่งกันตลอด ว่างๆก็พากันไปแดกเค้ก ไปหาร้านอาหารน่ารักๆแดกข้าวกัน พยายามสรรหาแต่ร้านที่คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะชอบ มึงคิดว่าสองคนนั้นเป็นอะไรกัน”

              “ก็…ก็ คนที่สนิทกันมากๆไง” จินเริ่มตะกุกตะกัก เมื่อเห็นเพื่อนตัวเองเริ่มที่จะปฏิเสธไม่เต็มเสียง ดินก็กระตุกยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ ทำเป็นยักไหล่แบบขอไปที ก่อนจะเริ่มพูดต่อ

              “แล้วเวลาที่ทะเลาะกัน งอนกัน ไม่ได้คุยหรือเห็นหน้าอีกฝ่ายแค่วันสองวันก็ทุรนทุรายจะเป็นจะตาย ต้องหาวิธีง้อน่ารักๆ แนวๆ มาตามง้อกันเกือบเดือน มึงคิดว่าสองคนนั้นเป็นอะไรกัน”
              “…”

              “เวลามึงเห็นคนสองคน ชอบเอาหน้ามาใกล้ๆกัน จนจมูกแตะกัน จนรับรู้ถึงลมหายใจของกัน แถมยังชอบมองตากันด้วยแววตาหวั่นไหวแปลกๆด้วย”

    .

    .

    .

     

    “มึงคิดว่าสองคนนั้นเป็นอะไรกันหรอวะ จิน”








     



               “เป็นอะไรครับ ทำไมดูไม่ค่อย enjoy เลย” เสียงทุ้มเอ่ยถามคนตัวบางข้างๆ เรียกให้นัยน์ตาเรียวสวยต้องหันมามอง ก่อนที่เจ้าตัวจะบ่นพึมพำออกมาเสียยาวเหยียด
               “จิน”
               “หื้อ หิวแล้วอ่ะ”
                พอเขาทำท่าจะถามอีกรอบ เจ้าเด็กแสบก็แกล้งทำเป็นเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง ก็เลยต้องยอมให้รุ่นน้องจอมดื้อของเขาหนีรอดไปก่อน


                หลังจากหาอะไรลงท้องกันเรียบร้อย แอสตันก็ปล่อยให้จินได้เดินเล่นรอบๆ โดยที่ไม่คิดจะถามอะไรอีก ก็จะให้ไปคาดคั้นหาคำตอบมันก็ไม่ค่อยใช่สไตล์ของเขาซะเท่าไหร่ แล้วอีกอย่างถ้าให้จินเป็นฝ่ายเต็มใจเล่าออกมามันไม่ดีกว่าหรอ
                ทั้งสองเดินเล่นเรื่อยเปื่อย แสงสีส้มๆของท้องฟ้ายามเย็นเรียกความสนใจจากแอสตัน ก่อนที่คนตัวสูงจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เลยหันไปคว้าข้อมือของรุ่นน้องคนสนิท ก่อนจะพยักเพยิดไปทาง sky wheel ที่อยู่ถัดออกไปไม่ไกลเท่าไหร่
                “จินไปขึ้นไอ้นั่นกันเหอะ”




                จินเหลือบดูบริเวณรอบตัวของตัวเองนิดหน่อย ลานโล่งๆเต็มไปด้วยคู่รัก เน้นเลยนะว่าคู่รัก แถมยังจำนวนมากอีกต่างหาก บางคู่ก็กำลังถ่ายรูป ส่วนบางคู่ก็กำลังรอขึ้น sky wheel แบบเขาอยู่ เห็นแบบนี้ก็เริ่มอยากจะมีแฟนแล้วพาแฟนมาเที่ยวแบบนี้บ้างจัง
                “ป่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกความสนใจ ก่อนจะจูงมือเขาให้เดินตาม ร่างสูงยื่นบัตรให้พนักงาน แอสตันที่กำลังสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เลยไม่ได้รับรู้ถึงสายตาแปลกๆที่คนหลายๆคนกำลังส่งมาทางพวกเขา

              แต่สำหรับจินน่ะ รู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจนเลยล่ะ

              แอสตันเหลือบมองท่าทางตื่นเต้นของจินอย่างเอ็นดู อา…เป็นใครมาเห็นก็ต้องคิดว่าเจ้าเด็กนี่น่ารักกันทั้งนั้นแหละ ก็ไอ้ท่าเกาะกระจกเหมือนเด็กๆแถมยังมีออปชั่นเป็นตาเป็นประกายแวววาว ที่ไม่บอกก็รู้ว่ากำลังตื่นเต้นสุดๆ ก่อนจะหันไปหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องบางจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเก็บภาพที่สุดแสนประทับใจเอาไว้
               อันที่จริงเขาวางแผนมาก่อนแล้วล่ะ ว่าจะพาเจ้าเด็กแสบนี่มาขึ้น sky wheel ตอนที่พระอาทิตย์กำลังจะตกพอดี แสงสีส้มตกกระทบกับแม่น้ำเกิดเป็นภาพสวยๆที่ใช่ว่าจะได้เห็นกันง่ายๆ

              จินมองภาพตรงหน้าแบบที่ว่าไม่สามารถละสายตาได้เลยจริงๆ เขาแทบจะลืมเรื่องที่คิดมากมาตลอดทางไปหมดแล้วซะด้วยซ้ำ แต่ก็แค่เกือบล่ะนะ พอฉุกคิดขึ้นมาได้เท่านั้นแหละ บรรยากาศดีๆก็ดูหม่นๆลงทันที
              เขาคิดมากเรื่องอะไรน่ะหรอ มันจะมีสักกี่เรื่องกันเชียวที่ทำให้เขาต้องมานั่งคิดไม่ตกอยู่เนี่ย 

              ก็เรื่องเขากับพี่แอสตันนั่นแหละ...



              “กลัวความสูงหรอ” เมื่อเห็นคนตัวเล็กกว่าดูจะเงียบผิดปกติ แถมยังไม่แสดงท่าทางกระตือรือร้นกับภาพวิวสวยๆรอบตัวเลย ก็เลยอดที่จะถามออกมาไม่ได้จริงๆ เพราะถ้าเจ้าเด็กจอมแสบไม่สนุกแบบนี้ เป้าหมายของเขาก็คงจะพังไม่เป็นท่าแน่ๆ ก็อยากจะพาเด็กดื้อมาพักผ่อน แล้วก็เป็นการฉลองหลังสอบเสร็จนี่นา
               “เปล่าหรอกฮะ” เสียงนุ่มพึมพำตอบเสียงเบา
               แอสตันถอนหายใจออกมาเบาๆ วันนี้จินทำตัวแปลก แปลกสุดๆไปเลย เพราะถ้าเป็นปกติเจ้าเด็กนี่ควรจะคลี่ยิ้มกว้าง แล้วรีบถ่ายรูปวิวสวยๆนี่ไว้แน่ แถมตอนที่เดินเล่นกัน เจอของที่น่าจะถูกใจตั้งหลายอย่าง แต่เจ้าตัวกลับเหม่อลอย มองกวาดแบบผ่านๆก่อนจะเดินเลยไป ทั้งๆที่ถ้าเป็นปกติจะต้องอ้อน หรือขอแกมบังคับให้ซื้อให้แล้ว

               เจ้าเด็กแสบของเขาเป็นอะไรไปเนี่ย

               “จินครับ มีเรื่องไม่สบายใจอะไรรึเปล่า” เพราะเห็นท่าทางที่ดูจะซึมลงทุกที เขาเลยตัดสินใจถามออกมาตรงๆดีกว่า
               จินค่อยๆหันมาให้ความสนใจรุ่นพี่ตัวสูงตรงหน้า นัยน์ตาคมฉายแววเป็นกังวลจนเขาเริ่มรู้สึกผิด ก็คนตรงหน้าเขาไม่ได้มีความผิดอะไรเลยนี่นา ทุกอย่างมันเกิดจากเขาล้วนๆ

               จะว่ายังไงดี เพราะรุ่นพี่ตัวสูงคนนี้ก็ทำตัวแบบนี้กับเขามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าเป็นแต่ก่อนเขาก็คงจะรู้สึกดี และไม่สนใจด้วยว่าคนอื่นจะมองว่าพวกเขาเป็นคนแปลก หรือทำตัวน่าสงสัยอะไร แต่ทำไมตอนนี้...เขากลับกังวลขึ้นมา กังวล กังวลเรื่องอะไรยังไม่แน่ใจเลย ก่อนออกจากบ้านมา แม่ของเขาก็ยังคงย้ำนักย้ำหนาว่าดูแลตัวเองดีๆ ทั้งๆที่ตลอดสิบห้าปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยได้ยินประโยคทำนองนี้หลุดออกมาจากปากของคนเป็นแม่ด้วยซ้ำ แถมเวลาที่คนอื่นมองมาทางเขากับพี่แอสตัน เขาเองก็เริ่มที่จะคิดมากแปลกๆ และที่ทำให้เขากังวลมากที่สุด คือเวลาที่ใกล้ชิดรุ่นพี่จอมกวนนี่

               หัวใจของเขาจู่ๆมันก็...เต้นผิดจังหวะขึ้นมาซะงั้น

               “จิน” น้ำเสียงทุ้มๆที่แสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน ยิ่งทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงมากขึ้นไปอีก แถมยังอาการร้อนๆที่หน้าอีก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเขากันเนี่ย!!
               “เอ่อ พี่รู้สึกมั้ยว่าช่วงนี้คนมองเราแปลกๆ” จินตัดสินใจเกริ่นเรื่องขึ้นมา เพราะการเก็บไปคิดคนเดียวมันไม่ใช่สไตล์เขาเลย เกลียดการคิดฟุ้งซ่านสุดๆ เพราะมันจะทำให้เขาย้ำคิดย้ำทำอยู่นั่น การพูดออกมาตรงๆอาจจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า
               แอสตันเลิกคิ้วขึ้นกับคำถามที่หลุดมาจากริมฝีปากรูปกระจับสวย เหมือนเขาเริ่มจะปะติดปะต่อเรื่องได้บ้างแล้วล่ะ
              “จินกำลังกังวลว่าคนอื่นจะมองว่าเราเป็นอะไรกันงั้นหรอ”
               คำถามที่มาจากรุ่นพี่ตัวสูงที่ถามออกมาตรงๆ ตรงสุดๆ จนเขาทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากการพยักหน้ารับเท่านั้น
               แอสตันขมวดคิ้วมุ่น ถ้าเป็นปกติล่ะก็ เด็กคนนี้ไม่มีทางสนใจสายตาใคร หรือกังวลว่าคนอื่นจะมองว่าตัวเองเป็นยังไงหรอก จินน่ะ เป็นเด็กที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงสุดๆ ท่าทางรั้นๆที่บางครั้งก็ดื้อเกินไปหน่อย แต่นั่นแหละ คือเสน่ห์ของเด็กคนนี้ แต่ตอนนี้กำลังมีอะไรบางอย่างกวนใจรุ่นน้องตัวแสบอยู่...อะไรบางอย่างที่คงจะมีอิทธิพลน่าดู
               “จินครับ ไม่เห็นต้องสนใจเลยนี่” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยกลั้วหัวเราะ เพื่อเป็นการบอกว่าเรื่องที่เจ้าตัวกำลังกังวลน่ะ มันเรื่องเล็กน้อยสุดๆ เมื่อเห็นว่ารุ่นน้องคนสนิทไม่พูดอะไร เขาเลยตัดสินใจพูดต่อ

                “คนเราน่ะ ไม่มีทางทำให้คนอื่นเข้าใจเราไปได้หมดทุกคนหรอกนะ”

                “เค้าจะคิดอะไรก็ช่างเค้าสิ”

                “ถ้าแค่เรารู้ตัวว่าเราเป็นยังไง เราบริสุทธิ์ใจซะอย่าง ก็ไม่เห็นต้องไปแคร์คำพูด หรือสายตาของคนอื่นเลย จริงมั้ย”


                แต่ใครจะไปรู้ล่ะคำพูดของเขาน่ะ จะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง ทั้งๆที่คิดว่าปฏิกิริยาที่จะได้รับกลับมาคือรอยยิ้มกว้างที่ทำให้โลกของเขาสว่างวาบขึ้นมา แต่กลับเป็นนัยน์ตาเรียวสวยที่กำลังฉายแววกังวลยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

              นี่เขาพูดอะไรผิดไปงั้นหรอ

              คำว่าบริสุทธิ์ใจน่ะ แทงใจดำจินเข้าไปเต็มๆ ทำไมล่ะ ทำไมเขาต้องรู้สึกแปลกๆด้วย เขาเองก็ไม่ใช่คนไร้เดียงสาที่ไม่รู้ว่าเวลาคนอยู่ใกล้กันแล้วใจเต้นแรงน่ะมันหมายความว่ายังไง แต่เขากับพี่แอสตันเป็นผู้ชายแมนๆทั้งแท่งนะเว้ย จะมาหวั่นไหวเพราะอีกคนน่ะ มัน impossible สุดๆ ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจ!!!

               “ผมน่ะ ไม่รู้อะไรแล้ว!!!” น้ำเสียงนุ่มโพล่งออกมาอย่างหงุดหงิด ทำเอาเขาต้องงงหนักกว่าเดิม

               จินเมื่อเห็นท่าทางงงๆของรุ่นพี่ตัวสูง ก็ตัดสินใจพูดต่อ เหมือนกับตอนนี้เขาเป็นภูเขาไฟ ที่กำลังระเบิดออกมา ก็มันน่าหงุดหงิดนี่ น่าหงุดหงิดสุดๆไปเลย เขาไม่เคยต้องมาคิดมากเรื่องสายตาคนอื่น หรือสิ่งที่คนอื่นจะมองเขามาก่อน หรือไม่เคยไม่เข้าใจตัวเองขนาดนี้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
               และเขาก็คิดไม่ออกเลยว่าสาเหตุจะเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไง ถ้าไม่ใช่ไอ้รุ่นพี่ตัวสูงตรงหน้า เพราะงั้น เขาจะไม่ปล่อยให้ตัวเองคิดมากคนเดียวหรอก!!!

               “พี่ต้องรับผิดชอบผม” ประโยคกำกวมทำเอาคนฟังต้องสะดุ้ง
               
               “ห๊ะ”


               “พี่ทำให้ผมเปลี่ยนไป โธ่เว้ย” พูดไปโวยวายไป แม้ภาพที่ออกมาจะดูตลกไม่น้อย แต่ตอนนี้แอสตันเองก็ไม่มีอารมณ์จะมาหัวเราะหรอก รุ่นน้องคนสนิทของเขาเป็นอะไรไปเนี่ย

              “เรื่องคนอื่นจะมองมาน่ะ คนอย่างผมเคยแคร์สายตาใครที่ไหน เออ อาจจะมีรู้สึกแปลกๆบ้างที่คนอื่นเค้ามองมาด้วยสายตาแปลกๆแบบนั้น แต่ก็ ช่างแม่งเหอะ”

              “ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่คนอื่น”

              “มันอยู่ที่ผมต่างหาก ปัญหามันอยู่ที่ใจผมเนี่ย แม่งเอ๊ย”

              “หา”

              “ทำไมวะ ทำไมเวลาอยู่ใกล้ๆพี่ใจผมแม่งเต้นแรงตลอดเลยวะ”
















     

     






     





     

    --------------------------------------------------------
    Talk : คลานมาอัพ ขอโทษที่ดองไว้นะคะ งื้อออ ._.
              น้องจินของเราเริ่มหวั่นไหวแล้วนะ คึคึ
              ช่วงนี้ไรท์ใกล้สอบแล้ว
              อันที่จริงคือสอบอาทิตย์หน้า
              แต่ก็แอบอู้อ่านหนังสือมาอัพจนได้
              ขอบคุณที่คอยติดตามนะค้า เลิฟๆๆๆ






     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×