ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Yaoi) What is love? รักวุ่นวายร้ายเกินพิกัด (End)

    ลำดับตอนที่ #23 : -21-

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 334
      3
      9 พ.ค. 58



     

    -21-





              สัมผัสอุ่นๆที่ริมฝีปากทำให้จินตัดสินใจหลับตาลง รับสัมผัสจากริมฝีปากได้รูปของรุ่นพี่ตัวสูง หัวใจของเขากำลังเต้นแรงขึ้น แรงขึ้น แรงจนเริ่มรู้สึกเจ็บๆ เขากำลังรู้สึกแปลกๆ เหมือนจะทรมานเพราะหายใจไม่ออก แต่ในขณะเดียวกันกลับ...รู้สึกดีชะมัดเลย
     

              เหมือนร่างกายของตัวเองกำลังลอยสูงขึ้นๆ ตัวเบาหวิวเหมือนกับอยู่บนก้อนเมฆ สมองค่อยๆว่างเปล่า และกลายเป็นขาวโพลน เขาคิดอะไรไม่ออก รู้สึกแค่ว่าอยากจะให้เวลาหยุดลงที่ตรงนี้ ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดอยู่แค่ตอนนี้เท่านั้น...

     

              แอสตันตัดสินใจถอนริมฝีปากของตัวเองออก เพราะถ้าหากมากกว่านี้ล่ะก็ เขาคงไม่สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าเด็กแสบอย่างจินได้หรอก เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมสวยที่อยู่ห่างจากเขาเพียงน้อยนิด

              ริมฝีปากแดงฉ่ำเพราะจูบจากเมื่อครู่เผยอขึ้นเล็กน้อยเพื่อหอบหายใจ ใบหน้าขาวๆนั่นแดงก่ำชวนมอง ไหนจะดวงตาเรียวปรอยๆที่กำลังสบตาเขาอีก ตัดสินใจเบือนหน้าหนี...ไม่อย่างนั้นเขาคงจะหักห้ามใจตัวเองไม่ได้แน่ๆ

     

              ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันชัดเจน ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าเขา มันกำลังทำให้เขากล้าที่จะตัดสินใจ

     

              “จินช่วยรอพี่อีกหน่อยได้รึเปล่า”









              “จิน ช่วงนี้มึงผอมลงรึเปล่าวะ” น้ำเสียงทุ้มๆของเพื่อนสนิทเรียกให้จินต้องละสายตาจากสมุดแต่งเพลงประจำตัว ใบหน้าคมสวยที่อาจจะไม่ได้ดูโทรมเหมือนกับหลายวันที่ผ่านมา แต่กลับผอมซูบลงจนสังเกตได้

    จินส่ายหัวนิดหน่อย ก้มลงขีดเขียนอะไรบางอย่างลงในสมุดของตัวเอง ก่อนจะยื่นให้กับสไปรท์ที่กำลังตั้งท่าจะถามต่อให้รู้เรื่อง

              “ฝากให้แอนดี้ไปเกลาภาษาให้มันสวยกว่านี้หน่อย ส่วนมึงช่วยกูแต่งทำนองด้วย” พูดเร็วๆก่อนจะก้มลงเก็บของเข้ากระเป๋าเป้ของตัวเอง สไปรท์อ้าปากค้างอย่างอึ้งๆ แต่มือเจ้ากรรมก็ดันไปรับสมุดจากไอ้เพื่อนบ้านี่มาซะได้

              “แล้วมึงจะไปไหน” กว่าจะดึงสติกลับมาได้ก็ตอนที่จินเดินจนจะออกไปจากห้องซ้อมแล้ว นัยน์ตาเรียวหม่นแสงเหลือบกลับมามอง

     

              “ไม่รู้เหมือนกันว่ะ”

     

              ก่อนจะเดินออกไป ทิ้งให้เพื่อนในวงต้องมองตามด้วยความเป็นห่วง ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยสายตาที่เหมือนกันเป๊ะๆ 

     

              เพื่อนของพวกเขามันเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีกล่ะ -_-

     

               ขนาดคนที่คิดว่าน่าจะรู้เรื่องของจินทุกเรื่องอย่างสไปรท์ยังส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา

               ทั้งห้องยังตกอยู่ในความเงียบเพราะทุกคนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาในสถานการณ์แบบนี้ดี ก่อนจะตัดสินใจแยกย้ายกันไปซ้อมดนตรีอย่างที่เคยทำ เพราะทุกคนพอจะรู้นิสัยของจิน ว่าเวลาแบบนี้ไม่ใช่เวลาที่พวกเขาจะเข้าไปยุ่งหรือกวนใจไอ้เพื่อนตัวแสบนั่นหรอก

               สไปรท์ส่ายศีรษะอย่างเอือมๆ บางทีเขาน่าจะพูดอะไรบ้าง เพราะไอ้นิสัยชอบคิดเรื่องอะไรคนเดียวแบบนี้ของจินเนี่ย มันทำให้เพื่อนทุกคนปวดหัวไปตามๆกัน ตัดสินใจเปิดสมุดที่จินยื่นให้ ลายมือยึกยือของเพื่อนสนิททำให้ต้องหลุดถอนหายใจออกมาเบาๆ ไล่สายตาอ่านบรรดาเนื้อเพลงที่นักร้องประจำวงร้อยเรียงออกมาเป็นตัวอักษร

                ยิ่งอ่านก็ยิ่งเป็นกังวล เพราะเนื้อเพลงที่ไอ้เพื่อนบ้านั่นเขียนมา มันชักจะตัดพ้อต่อความรักมากเกินไปแล้ว และเขาคงจะวิ่งตามหาเพื่อนสนิทของตัวเองแล้วแน่ๆ ถ้าเกิดไม่อ่านไปจนถึงบรรทัดสุดท้าย ที่มีบางสิ่งบางที่ไม่ใช่เนื้อเพลงถูกเขียนลงไปไว้อยู่

     

             ‘ขอเวลากูหน่อย เดี๋ยวกูจะกลับไปร่าเริงให้พวกมึงรำคาญเล่น :(’

     

              หลุดหัวเราะหึหึกับสิ่งที่เพื่อนตัวดีเขียน ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายจากการออกไปตามเจ้าเพื่อนสนิทที่ชอบทำตัวติสท์แตก เป็นหยิบโทรศัพท์ของตัวเองโทรหาใครบางคนที่น่าจะสามารถช่วยเขาจัดการเรื่องยุ่งๆวุ่นวายพวกนี้ได้

     

     







     

              เดินทอดน่องไปเรื่อยกว่าเกือบครึ่งชั่วโมงที่สวนสาธารณะที่ไหนสักที่ ก่อนจะตัดสินใจเข้ามานั่งตากแอร์เล่นในคาเฟ่บรรยากาศสบายๆที่อยู่ถัดออกมาอีกหน่อย ตอนนี้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เอาเป็นว่าพอเดินออกมานอกโรงเรียนก็จัดการโบกแท็กซี่แล้วก็บอกคนขับไปว่าไปที่สวนสาธารณะที่ใกล้ที่สุด

              ทำตัวอินดี้เสียบหูฟังเข้าหูแล้วก็เดินเล่นไปเรื่อย ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะมาทำตัวเหมือนคนอกหักแบบนี้ ทั้งๆที่ตอนไอรีนเขายังอาการไม่หนักขนาดนี้เลย

              ประโยคที่แอสตันกระซิบบอกเขาเสียงแผ่วยังดังก้องอยู่ในหู หลังจากจูบแสนหวานนั่น ไอ้รุ่นพี่บ้าก็จัดการทำร้ายจิตใจของเขาทันที การไปเที่ยวครั้งนั้นก็เลยกร่อยไปโดยปริยาย โชคดีที่คุณคริสโตเฟอร์มีธุระเร่งด่วนทำให้ต้องกลับก่อนกำหนด



     

               ไม่อย่างนั้นเขาคงจะต้องทรมานตายแน่ๆ การที่พยายามทำตัวให้เป็นปกติทั้งๆที่หัวใจมันเจ็บจนเหมือนจะตายให้ได้น่ะ มันโคตรจะทรมานเลย



     

               เจ็บ...โคตรจะเจ็บ ไม่เคยรู้สึกเจ็บขนาดนี้มาก่อนในชีวิตอ่ะ บอกเลย การถูกปฏิเสธซ้ำๆแบบนี้มันชักจะมากเกินกว่าที่เขาจะรับได้แล้ว ก็รู้ว่าวิธีการที่ง่ายที่สุดคือการตัดใจ ลืมๆเรื่องทั้งหมดไปซะ แต่หัวใจเขามันดันโง่ ไม่ยอมฟังสมอง พี่มันบอกให้รอ ก็เลือกที่จะรอ ทำตามแบบโง่ๆเชื่อเหมือนกับเด็กสองสามขวบที่ผู้ใหญ่บอกให้ทำอะไรก็ทำไปหมด

               เป็นครั้งแรกที่เข้าใจว่าการรอน่ะมันทรมานขนาดไหน อาการอยากอาหาร หรืออารมณ์ที่จะทำอะไรต่างๆน่ะมันหายไปหมด อยากจะนั่งง่อยๆ หรือเดินไปเรื่อยๆ ไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้น ไม่กล้าที่จะยอมรับกับเพื่อนว่าตอนนี้น้ำหนักเขาลดไปสองสามกิโลแล้ว




     

               นี่มันอาการของคนอกหักชัดๆเลยไม่ใช่หรอวะ =_=




     

                จากวันนั้นตอนนี้ไม่รู้ว่าผ่านมานานแค่ไหนแล้ว จนตอนนี้เขาเปิดเทอมแล้วล่ะ เขากับพี่แอสตันเลยมีโอกาสเจอหน้ากันน้อยลง เอาเป็นว่าแทบไม่ได้เจอหน้ากันเลยเหอะ ก็อย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่าไอ้รุ่นพี่ตัวสูงนั่นอยู่มอปลายปีสามแล้ว กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยอยู่รอมร่อ ทำให้ไม่มีเวลามาเที่ยวเล่นด้วยกันเหมือนเคย

               จากที่เจอกันเกือบทุกอาทิตย์ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นแชทคุยกันในไลน์แทน แต่ก็คุยกันบ่อยมากไม่ได้ เพราะรุ่นพี่บ้านั่นต้องอ่านหนังสือ ก็ดีเหมือนกัน เพราะเขาเองก็ไม่อยากจะทำให้แอสตันรู้ว่าตอนนี้เขา...กำลังจะไม่ไหวแล้ว


     

               อาจจะคิดว่าเขาคิดมากไปก็ได้ แต่สำหรับเขาแล้วเรื่องของผู้ชายที่ชื่อว่าแอสตันมันทำให้เขากังวลไปหมด ไม่กล้าที่จะเรียกร้อง หรือทำตัวเอาแต่ใจเหมือนแต่ก่อนแล้ว ก็กลัวพี่มันจะรำคาญนี่


     

                ความคิดต่างๆมากมายตีกันอยู่ในหัว นั่งเหม่อมองแก้วชาเขียวปั่นที่ตอนนี้เริ่มมีหยดน้ำเกาะที่ข้างแก้ว ก่อนจะค่อยๆไหลลงมาเจิ่งนองอยู่ตรงโต๊ะ ทั้งๆที่นี่เป็นเมนูสุดโปรดของเขา แต่ไม่อยากจะกินเลยให้ตาย

                ตัดสินใจนั่งบื้อๆอยู่แบบนั้น ปล่อยให้เสียงเพลงสบายๆดังคลออยู่รอบตัว ก่อนจะสะดุ้งกับสัมผัสหนักๆที่ไหล่ และน้ำเสียงสดใสที่คุ้นเคย



     

              “จ๊ะเอ๋”




     

               “เอแคลร์!!!!”

     

     








     

     

               ‘เหตุฉุกเฉิน จะเล่าเรื่องคร่าวๆให้ฟัง ที่เหลือไปตามจินเอง พอรู้เรื่องอะไรแล้วโทรกลับ โอเค๊’


     

               ทันทีที่ได้รับโทรศัพท์จากสไปรท์เธอก็รีบออกตามหาเพื่อนสมัยเด็กจอมยุ่งของเธอในทันที ตอนแรกก็งงๆอยู่นิดหน่อยที่อยู่ดีๆสไปรท์ก็โทรหาเธอแล้วพูดประโยคแปลกๆใส่ แต่ฟังเรื่องราวทั้งหมด ไอ้ตอนแรกๆก็ตื่นเต้นอยู่หรอก เพราะเธอน่ะเป็นแม่ยกแอสจินมาตั้งนานแล้ว อย่าไปบอกจินเชียวว่าแฟนเพจคู่จิ้นของพี่แอสตันกับจินน่ะเธอเองก็เป็นหนึ่งในแอดมิน

                เริ่มนอกเรื่องไปไกล ก็อย่างที่บอกแหละตอนแรกก็ดีใจที่เรื่องที่เธอจิ้นเป็นเรื่องจริง แต่พอมาฟังเรื่องหลังๆที่เพื่อนสนิทของเธอต้องทนกับความรักแบบครึ่งๆกลางๆแบบนี้มันทำให้เธอรู้สึกแย่ และอดที่จะเป็นห่วงจินไม่ได้จริงๆ แต่เรื่องนี้เป็นเพียงการฟังจากสไปรท์มาอีกที เธออยากจะฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากจินมากกว่า ก็เลยตัดสินใจรีบออกตามหาจินเนี่ย

               โชคดีที่สนิทกับจินมานานเลยพอจะรู้ว่าเวลาเพื่อนจอมยุ่งของเธอไม่สบายใจ จะชอบไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะคนเดียว ก็เลยจัดการเรียกแท็กซี่ไปที่สวนสาธารณะที่ใกล้กับโรงเรียนของจินมากที่สุด


     

                และเธอก็เดาถูกซะด้วยสิ LOL


     

                วางแก้วเครื่องดื่มของตัวเองลงบนโต๊ะ ก่อนจะถือวิสาสะเดินไปนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม ไม่สนใจท่าทางๆเหวอๆของเพื่อนวัยเด็กของตัวเองเลยสักนิด วันนี้ถ้าเธอไม่รู้เรื่องทั้งหมดจากปากของจินเธอจะไม่ยอมลุกจากเก้าอี้นี่แน่ๆ

                “เอแคลร์มาได้ไง ไม่สิ หาเราเจอได้ไงเนี่ย” ถามออกมาอย่างงงๆ นี่เขางงจริงๆนะ อยู่ดีๆเพื่อนสาวคนสนิทก็โผล่มาอยู่ตรงหน้าเขาซะงั้น เอแคลร์หัวเราะหึหึ ยกลาเต้ปั่นของตัวเองขึ้นมาดูด ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างตามสไตล์ของเธอ

                “เอแคลร์ซะอย่าง ต่อให้จินอยู่คนละฝั่งของโลก เอแคลร์ก็จะตามหาจินจนเจอนั่นแหละ” น้ำเสียงสดใสกับประโยคน่ารักๆนั่นทำให้จินต้องหลุดคลี่ยิ้มออกมา บางทีการมีใครสักคนอยู่ข้างๆแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน...

                 นัยน์ตากลมสวยเหลือบมองสำรวจเพื่อนสนิทของตัวเอง จินผอมลง ผอมลงจนเธอรู้สึกได้ ไหนจะนัยน์ตาหม่นๆนั่นอีก ต่อให้จินไม่พูดออกมาเธอก็รู้ว่าครั้งนี้เพื่อนเธออาการหนักมาก



     

                ไอ้คุณพี่แอสตันนะ คอยดูเหอะ ถ้ายังทำให้จินเสียใจอีก เธอนี่แหละจะเอาคืนให้เพื่อนเธอเอง




     

               แอบก่นด่านรุ่นพี่ตัวสูงอยู่ในใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าจุดประสงค์หลักในการดั้นด้นมาหาเพื่อนตัวยุ่งของเธอคืออะไร...




     

               “จินมีเรื่องอะไรที่ยังไม่ได้บอกเอแคลร์มั้ย”




     

               น้ำเสียงและแววตาจริงจังที่ถูกส่งมาจากเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเด็กทำให้จินรู้ตัวว่า เอแคลร์คงจะรู้เรื่องอะไรบางอย่างมาบ้างแล้ว และไม่บอกก็รู้ว่าคนที่บอกน่ะคือใคร ก็มีแค่สไปรท์คนเดียวที่รู้เรื่องของเขาดีที่สุดนี่นา

                ผ่านเรื่องนี้ไปได้เมื่อไหร่เขาคงต้องไปจัดการไอ้เพื่อนปากมากนั่นหน่อยแล้ว คราวที่แล้วก็พี่จิวซื่อ ครั้งนี้ก็มาเป็นเอแคลร์อีก อยากจะหาอะไรมาเย็บปากเอาไว้จริงๆ แต่สุดท้ายเขาก็คงทำอะไรมันไม่ได้หรอก เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าสิ่งเพื่อนของเขาทำไปน่ะ ก็เพราะเป็นห่วงเขาทั้งนั้นแหละ

               สบตาเพื่อนสาวคนสวย ชั่งใจอยู่นิดหน่อย ก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา รู้สึกแปลกใจกับน้ำเสียงสั่นๆของตัวเองอยู่ไม่น้อย แต่ก็ฝืนทนเล่าเรื่องทุกอย่างจนจบ

     

     



     

     

                เอแคลร์นิ่งเงียบสักพัก เหลือบมองท่าทางที่เหมือนจะร้องไห้ออกมาเต็มแก่ของเพื่อนสนิท เม้มปากแน่นเพื่อควบคุมอารมณ์ เพราะเธอเกลียดน้ำตาของจิน เกลียดตอนที่จินร้องไห้ ทุกครั้งที่เพื่อนจอมดื้อตรงหน้าเธอร้องไห้ เธอจะร้องไห้ออกมาตามแทบจะทุกครั้ง ตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว เป็นนิสัยที่ไม่มีทางจะแก้ได้ ตัดสินใจควบคุมอารมณ์ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วตัดสินใจถามคำถามที่เธอค้างคาใจ

              “จินลองคิดทบทวนดีๆ แล้วตอบเอแคลร์มานะ...” เงียบไปสักพักเพื่อรวบรวมแรงใจทั้งหมด ก่อนจะพูดต่อ



     

              “จินรู้สึกยังไงกับพี่แอสตัน”



     

               นัยน์ตาเรียวสวยสั่นไหวเล็กน้อย ความรู้สึกทั้งหมดตีรวนกันไปหมด แต่มีความรู้สึกหนึ่งที่ชัดเจน ชัดเจนกว่าทุกๆความรู้สึก ชัดเจนจนรู้สึกเจ็บ รู้สึกได้เลยว่าขอบตาของตัวเองร้อนผ่าว และน้ำตากำลังจะไหลออกมาหากเผลอพูดประโยคนี้ออกไป แต่ทำยังไงได้ล่ะ การปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองมันใช่สไตล์เขาซะที่ไหน




     

     

                “โคตรรักพี่มันเลยว่ะเอแคลร์”







     

     

     

     

     

     

     

     

                “แม่ครับ คือผมมีเรื่องอยากจะคุยด้วยอ่ะ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยเรียกความสนใจจากมารดา คุณนายแฮมฟอร์ดเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารที่ช่วยสามีของเธอทำงาน คริสโตเฟอร์เองก็หยุดชะงักจากกิจกรรมที่ทำเช่นกัน ก็การที่ลูกชายคนเล็กของบ้านเข้ามาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะเจอกันบ่อยๆนัก

                “ย้ายไปคุยกันที่ห้องนั่งเล่นดีกว่า เดี๋ยวบอกให้แม่บ้านเอาชามาเสิร์ฟด้วยนะ” เอ่ยตกลงเสร็จสรรพ เก็บบรรดาเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะอย่างลวกๆ ก่อนจะจูงมือลูกชายตัวดีเดินออกไปก่อน ปล่อยให้คนเป็นสามีเดินตาม

                หลังจากจัดแจงย้ายมาอยู่ที่ห้องนั่งเล่น และมีของว่างทุกอย่างเรียบร้อย แอสตันกระแอมนิดหน่อย ก่อนจะตัดสินใจพูดสิ่งที่ตัวเองต้องการออกมา


     

               “คือ...ถ้าผมเรียนมหาลัย ผมขอย้ายออกไปอยู่คอนโดนะครับ”


     

               พูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง คุณนายแฮมฟอร์ดเลิกคิ้วขึ้นกับประโยคที่ได้ยิน ก่อนจะหันไปทางคนเป็นสามี คริสโตเฟอร์สบตากับภรรยาของตัวเอง ก่อนจะเป็นฝ่ายถามกลับ

               “ทำไมล่ะ อยู่บ้านไม่สบายกว่าหรอ มหาวิทยาลัยที่เลือกขับรถจากบ้านอย่างช้าสักครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้วนะ” แอบพูดแย้งนิดหน่อย เพราะถึงบ้านพวกเขาจะรวยสักแค่ไหน แต่ก็ไม่อยากสนับสนุนให้ลูกชายของบ้านใช้เงินฟุ่มเฟือย

               แอสตันเกาท้ายทอยตัวเองแกรกๆ พึมพำอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว เขาจะอธิบายให้พ่อแม่ของเขาฟังได้ยังไง ว่าเขาต้องการจะหลีกเลี่ยงการเจอหน้าพี่สะใภ้ของตัวเองน่ะ...


     

     

               ก็เขาตัดสินใจแล้ว ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่าเขาจะเริ่มต้นใหม่ จะตัดใจทิ้งความรักเก่าๆที่เฝ้าทะนุถนอม แล้วเริ่มความรักครั้งใหม่กับเจ้าเด็กจอมแสบนั่น...เขารู้ รู้อยู่เต็มอกว่าทุกความรู้สึกที่มีต่อรีฟายังคงชัดเจน และตอกย้ำหัวใจของเขาอยู่เสมอ

                แต่พอแล้วล่ะ เขาไม่อยากจะปล่อยให้ความเห็นแก่ตัวของตัวเองทำร้ายใครมากไปกว่านี้ เขาควรจะลืม และเริ่มต้นอะไรใหม่เสียที และวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับเขาตอนนี้ ก็คืออยู่ให้ห่างกับรีฟาไว้ให้มากที่สุดยังไงล่ะ

     


     

               “ว่าไง ถ้าให้เหตุผลดีๆมาสักข้อไม่ได้ แม่ก็ไม่ยอมซื้อคอนโดให้แกหรอกนะ” คุณนายแฮมฟอร์ดเอ่ยถามลูกชายอีกครั้ง ก็เจ้าเด็กนี่เอาแต่เหม่อลอยอยู่นั่นแหละ อ่านหนังสือมากไปจนสติเลอะเลือนรึไงกัน แอสตันหลุดหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยตอบ



     

              “ผมอยากจะเริ่มใหม่...”



     

               นิ่งเงียบไปสักพักเมื่อเห็นสายตาแปลกๆจากพ่อแม่ที่ส่งมาให้ ก็เลยเม้มปากนิดหน่อยก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนคำพูด

             “ก็ขึ้นมหาลัยใหม่ เหมือนเริ่มต้นใหม่อะไรแบบนี้น่ะครับ ก็เลยอยากจะลองใช้ชีวิตคนเดียวดูบ้าง ผมก็ต้องการอิสระเหมือนกันนะ” พูดไปพลางทำหน้าจริงใจไปพลาง จนคนเป็นแม่ต้องหยิกแขนลูกชายของตัวเองอย่างหมั่นไส้

              “ทำมาเป็นพูดดี นี่ชั้นก็ให้อิสระแกไม่พออีกหรอยะ ทั้งให้รถ ให้เที่ยว ยังจะบอกว่าต้องการอิสระอีก” น้ำเสียงหวานแหลมเอ่ยบ่นออกมาอย่างอดไม่ได้ เรียกเสียงหัวเราะจากทั้งคนเป็นสามีและคนเป็นลูกได้อย่างดี ผู้นำตระกูลแฮมฟอร์ดแกล้งกระแอมนิดหน่อยเมื่อโดนสายตาดุๆของคนเป็นภรรยา ก่อนจะหันไปพูดกับลูกชายของตัวเองแทน

              “ถ้าแกยังยืนยันอยากจะได้...ถ้าสอบติดแล้วพ่อจะคิดดูอีกที” พูดพร้อมกับยื่นกำปั้นไปข้างหน้า เป็นการบอกว่า dael ข้อตกลงกัน แอสตันคลี่ยิ้มกว้างก่อนจะกำมือขึ้นชนกับกำปั้นของคนเป็นพ่อ

     




     

              แล้วยังไงต่อจากนั้นงั้นหรอ เอาเป็นว่ามันทำให้เขาเริ่มจริงจังกับการอ่านหนังสือมากขึ้น แม้ว่าจะวางแผนมานานพอสมควรแล้ว แต่มันก็อดที่จะกังวลไม่ได้นี่นา ก็เลยทุ่มเวลาส่วนใหญ่ไปที่การอ่านหนังสือ และฝึกการดรออิ้ง นี่ได้บอกไปรึยังว่าความฝันสูงสุดของเขา คือการเป็นสถาปนิกล่ะ :)

               เขาทั้งเข้าร่วมกิจกรรมชมรมน้อยลงจนไอ้เพื่อนสนิทสองตัวนั่นบ่นว่าเขาชักจะเว่อร์เกินไปแล้ว ไหนจะปฏิเสธงานถ่ายแบบทั้งหมดที่ตอนแรกขอให้คุณผู้จัดการส่วนตัวมาดเซอร์นั่นช่วยหาให้ และก็โดนบ่นใส่เหมือนกันไปโดยปริยายนั่นแหละ ทำไมใครๆก็ไม่เข้าใจเขาเลย...

               โชคดีที่ได้กำลังใจจากเด็กแสบอย่างจิน ที่พอเขาส่งข้อความไปหาว่าเหนื่อยปุ๊บ ก็จะส่งข้อความตอบกลับด้วยถ้อยคำน่ารักๆให้รู้สึกใจเต้นเล่นๆตลอด ถึงแม้จะแทบไม่ได้เจอหน้ากันเลยก็ตาม ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเจ้าเด็กนี่น่ารักขึ้นเรื่อยๆนะ

     


     

              “แก วันนี้เห็นพี่แอสตันยัง พี่เค้าเปลี่ยนมาใส่แว่นตาด้วยแหละ”

     

              “เออๆ เห็นเหมือนกัน คนอะไรโคตรหล่อเลย”

     

              “นอกจากจะหน้าตาดี บ้านรวย แถมยังเรียนเก่ง แล้วยังจะตั้งใจเรียนอีกต่างหาก นี่แหละ พ่อของลูกเลย”

     

              “พ่อของลูกบ้าบออะไร พี่แอสตันเค้ามีน้องจินอยู่แล้วย่ะ”

     

              “บ้า พี่แอสตันชั้นไม่ใช่เกย์นะ”

     

              “เข้าใจคำว่าคู่จิ้นมั้ยล่ะแก”



     

               และอีกมากมาย นี่พวกสาวๆพวกนั้นไม่รู้รึไงว่าเสียงที่ตัวเองใช้พูดน่ะมันไม่ใช่เบาๆเลย และเขาก็ได้ยินสิ่งที่พวกเธอพูดเกือบทุกประโยค ก็เลยตัดสินใจปิดหนังสือแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะแทน

              “ตายยัง” น้ำเสียงทุ้มๆที่โคตรจะกวนตีนของเพื่อนสนิทดังขึ้นเรียกสติ ก่อนจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ถูกวางลงมาบนหัว และมันก็ไม่ใช่เบาๆเลย ให้ตายสิ

              “ห่า นี่กูเหนื่อย อย่ากวนตีน” พูดออกมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก เขาไม่เคยอ่านหนังสือหนักจนรู้สึกเหนื่อยขนาดนี้มาก่อน หรือจะจริงจังมากเกินไปนะบ่นงึมงำกับตัวเองเสียงเบา ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆดังมาจากด้านหน้า ตามด้วยเสียงเลื่อนเก้าอี้บนพื้น

              “ขนมจากบรรดาแฟนคลับมึง มีแบรนด์ด้วยนะ แดกๆไป” ต้นไผ่พูดพลางเปลี่ยนเอาถุงใส่ขนมมาวางไว้บนหนังสือของเพื่อนสนิทแทน แอบเหลือบสำรวจท่าทางของไอ้ปริ๊นซ์ของโรงเรียนนิดหน่อย

              ยอมรับว่าแปลกใจ โคตรจะแปลกใจเลย ที่จู่ๆคนอย่างแอสตันที่ทำตัวชิวๆกับเรื่องการเรียน(ถึงมันจะเรียนเก่งอยู่แล้วก็เหอะ) มาฮึดอ่านหนังสือแบบนี้ พอถามก็เอ่ยปัดๆ เลี่ยงไม่ตอบคำถามตลอด ทำไมต้องทำเป็นมีลับลมคมนัยด้วยวะ =_=

              “มึงเว่อร์ว่ะ ทำไมต้องอ่านหนังสือขนาดนั้นด้วยวะ ถ้าโง่ๆอย่างไอ้ต้นไผ่ก็ว่าไปอย่าง” เสียงลอยมาก่อนจะตามด้วยร่างสูงๆที่ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ว่างข้างๆ ต้นไผ่ยกขาขึ้นถีบขาเพื่อนสนิทอีกคนอย่างไม่ค่อยพอใจ เรียวยักไหล่อย่างไม่แคร์ ก่อนจะหยิบขนมในถุงออกมากิน


     

             เพราะเขารู้ดีว่ายังไงคนอย่างแอสตันก็ไม่กินขนมพวกนี้อยู่แล้วล่ะ


     

             “เอ้า ยังไม่ตอบอีก นี่ถามมึงนะครับ ไม่ได้ถามแบคทีเรียใต้เท้ามึง” เมื่อเห็นว่าไอ้เพื่อนหน้าหล่อยังคงทำเป็นหูทวนลมกับคำถามของเขาอยู่ ก็เลยอดจะกวนตีนมันไม่ได้จริงๆ แอสตันเงยหน้าขึ้นมอง กระตุกยิ้มมุมปากที่ทำเอาคนมองต้องตาพร่าเพราะออร่าที่ส่งออกมาวิ้งๆ


     

             “ไว้กูจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วกูจะเล่าให้ฟัง ตอนนี้กูไปห้องสมุดล่ะ บาย”


     

              พูดเร็วๆไม่เปิดโอกาสให้ไอ้เพื่อนจอมยุ่งสองตัวได้มีสิทธิ์เอ่ยปากแย้ง รีบเก็บของเข้ากระเป๋าก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องไป แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงโวยวายที่ดังตามหลังมา จุดหมายของเขาคือห้องสมุด สถานที่ที่น่าจะหาความเป็นส่วนตัวได้มากที่สุด

              “อ่ะ” หลุดอุทานออกมาอย่างตกใจ เมื่อจู่ๆก็มีคนมาคว้าแขนเขาหมับ ก่อนจะกระชากเข้าไปในที่ที่อับสายตาคนแบบสุดๆ เกือบจะต่อยหน้าไปแล้ว ถ้าไม่ติดว่ามีน้ำเสียงใสๆดังขึ้นมาก่อน



     

              “พี่แอสตัน เรามีเรื่องต้องคุยกัน”









     

     

             ร้านคาเฟ่บรรยากาศสบายๆ ถูกขับกล่อมด้วยดนตรีแนวบัลลาร์ดสบายหู บวกกับกลิ่นหอมกรุ่นๆของกาแฟและขนมอบใหม่ๆทำให้ใครหลายคนเลือกที่จะมานั่งพูดคุยกันที่นี่ และรวมถึงเอแคลร์กับแอสตันด้วย แต่ติดตรงที่บรรยากาศระหว่างสองคนนี้ออกจะมาคุไปเสียหน่อย

              แอสตันเกาต้นคอตัวเองแกรกๆ เมื่อรุ่นน้องสาวสวยลากตัวเขามาแบบงงๆ บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วยแต่เจ้าตัวกลับไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว แต่เลือกที่จะส่งสายตาทิ่มแทงหัวใจมาทางเขาแทน


     

              เขาทำอะไรผิดงั้นหรอ =_=


     

              “เอ่อ เอแคลร์บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับพี่ใช่มั้ย” เกริ่นออกมาอย่างลำบากใจ เขาไม่ถนัดรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ซะเท่าไหร่ เพราะนอกจากเจ้าเด็กแสบอย่างจินแล้ว ก็แทบไม่มีใครกล้ามานั่งจ้องเขาด้วยสายตาแบบนี้เลยน่ะสิ

              “…”

              “มีเรื่องอะ...”



     

              “เห็นแก่ตัว”



     

              ไม่ทันที่เขาจะได้ถามจนจบประโยค รุ่นน้องร่วมโรงเรียนกลับโพล่งขึ้นมาก่อน แถมยังเป็นการว่าเขาไปในตัวอีกต่างหาก เห็นแก่ตัวงั้นหรอ? มันยิ่งทำให้เขางงเข้าไปใหญ่


     

              “เห็นแก่ตัวงั้นหรอ นี่มันเรื่อง...”


     

              “พี่มันนิสัยไม่ดี”


     

               คราวนี้ไม่พูดเปล่าลุกขึ้นยืน เอามือเท้ากับโต๊ะ ก่อนจะโน้มหน้ามาหาเขาด้วยแววตาที่กำลังฉายแววไม่พอใจสุดๆ ไม่บอกก็รู้ว่ากำลังโกรธเขาอยู่แน่ๆ แต่เขายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ...


     

              “เอแคลร์ เกิดอะไรขึ้นงั้นหรอ”


     

              และมันก็มีไม่กี่เรื่องหรอกที่จะทำให้เด็กสาวตรงหน้าเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้ขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เรื่องของเจ้าเด็กจอมดื้อที่หลายวันมานี้เขาไม่ได้เห็นหน้าเลย อา...พูดแล้วก็เริ่มคิดถึง เขาคงจะเพ้อไปไกลกว่านี้แล้วถ้าไม่ติดว่ามีคนกำลังจ้องเขาด้วยสายตาอาฆาตอยู่แบบนี้อ่ะ


     

                “นี่ยังจะกล้าถามว่าเกิดอะไรขึ้นอีกงั้นหรอ พี่น่าจะรู้ดีแก่ใจไม่ใช่รึไง ทำไมถึงเห็นแก่ตัวได้ขนาดนี้ รู้มั้ยว่าคำพูดและการกระทำของพี่มันกำลังทำร้ายใครคนหน่ึงจนเจ็บแทบจะขาดใจตายอยู่แล้ว” น้ำเสียงหวานใสเริ่มสั่นเครือ ไหนจะนัยน์ตากลมโตที่กำลังมีน้ำคลอรื้นที่ขอบตาอีก นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย

               แอสตันเหลือบมองรอบข้างอย่างกังวลนิดหน่อย เพราะคนในร้านเริ่มจะหันมาให้ความสนใจกับพวกเขาแล้ว ไหนจะสายตาที่แสดงท่าทางไม่พอใจจากเจ้าของร้านอีก ก็เลยตัดสินใจเลื่อนมือไปดึงตัวร่างของรุ่นน้องให้นั่งลง


     

               “ใจเย็นๆก่อนนะ คือพี่ไม่รู้อะไรจริงๆ”


     

               ส่งสายตาที่คิดว่าจริงจังที่สุดไปให้ และมันก็ได้ผล เมื่อเอแคลร์ยอมนั่งลงแต่โดยดี แอบยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่กำลังจะไหลอยู่รอมร่อออก ก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับเขา

               “เอแคลร์รู้เรื่องทุกอย่างระหว่างจินกับพี่แอสตันแล้ว” พูดเพียงแค่นั้นก่อนจะเม้มปากแน่น เธอไม่รู้จะพูดยังไงถึงจะสื่อทุกอารมณ์ความรู้สึกที่มีในตอนนี้ออกมาได้หมด สบเข้ากับนัยน์ตาคมที่กำลังจ้องมองเธอมาอย่างไม่เข้าใจ ถึงได้ตัดสินใจสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดต่อ



     

              “ถ้าพี่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับจิน ก็อย่ามาให้ความหวัง”

     


              “อย่ามาพูดว่าขอให้รอถ้าในหัวของพี่ไม่เคยมีความคิดที่จะเลือกจิน ไม่สิ ถ้าจะมองจินว่าเป็นแค่ตัวเลือกตัวนึง”


     

              “ถ้าในหัวใจของพี่ยังมีใครอีกคน ก็อย่าทำให้จินต้องรักพี่มากไปกว่านี้เลย”



     

               พูดออกไปให้หมด นั่นคือสิ่งที่เธอตัดสินใจทำ จริงอยู่ที่เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนสองคน เรื่องของจินกับแอสตัน แต่เธอทนไม่ได้หรอก ที่ต้องเห็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็ก คนที่เธอรักและเป็นห่วงมาตลอดต้องมาทนทรมานกับเรื่องบ้าๆแบบนี้ มันไม่ผิดใช่มั้ยล่ะ ถ้าเธอคิดจะยื่นมือเข้ามายุ่งด้วยน่ะ



     

              “พี่คงจะทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”




     

              น้ำเสียงทุ้มๆเรียกความสนใจของเธอให้คืนมา ก่อนจะต้องสบเข้ากับนัยน์ตาคมที่กำลังจ้องมาทางเธอเขม็ง ใบหน้าคมคายนั้นเรียบนิ่ง แต่กลับดูงดงามราวกับรูปสลัก สง่างามแต่กลับเย็นชา ราวกับเจ้าชายน้ำแข็ง นี่แหละคือ ปริ๊นซ์ ของโรงเรียนเธอล่ะ ไม่ใช่ผู้ชายอบอุ่นขี้เล่นแบบตอนที่อยู่กับจิน จนบางครั้งเธอก็เริ่มกลัว กลัวว่าอะไรคือตัวตนที่แท้จริงของผู้ชายคนนี้กันแน่

               ริมฝีปากได้รูปนั้นเม้มเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อนเอ่ยประโยคที่ทำเอาเธอต้องอึ้ง เพราะไม่คิดว่ารุ่นพี่ตรงหน้าจะกล้าพูดประโยคชวนเขินอะไรแบบนี้กับเธอ



     

             “พี่คงจะปล่อยให้จินเลิกรักพี่ไม่ได้หรอก”


     

             “เพราะจินเอาหัวใจของพี่ไปแล้ว เพราะอย่างนั้น...”


     

              “ต้องดูแลมันให้ดี มันเหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนล่ะมั้ง ไม่สิ มันเป็นการหาอะไรสักอย่างที่ยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างเราล่ะมั้ง เพราะงั้นจินไม่มีสิทธิ์เลิกรักพี่ได้หรอก”



     

               ใบหน้าที่เปลี่ยนไปตามอารมณ์ของรุ่นพี่ตัวสูงทำให้เธอแปลกใจ เธอเคยคิดว่าตอนที่แอสตันอยู่กับจินมันมักจะมีอะไรแปลกๆเสมอ ตอนแรกเธอคิดว่าฝ่ายที่เปลี่ยนไปมีแค่เพื่อนสนิทของเธอคนเดียว... แต่นี่มันไม่ใช่ เพราะอะไรบางอย่างในตัวรุ่นพี่กัปตันทีมบาสคนนี้ก็กำลังค่อยๆเปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน

              “อะไรที่ทำให้เอแคลร์คิดแบบนั้น คิดว่าพี่จะทิ้งจินแบบนั้น” เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ตรงหน้าดีขึ้น ทำให้แอสตันกล้าที่จะตัดสินใจถามออกไป

    เขาคิดว่าเขาบอกเด็กแสบนั่นไปชัดเจนแล้วนะ ว่าเขาคิดยังไง หรือว่าเขาคิดไปเองว่าจินเข้าใจ เพราะไม่อย่างนั้นเอแคลร์คงจะไม่เกิดความเข้าใจผิดแบบนี้แน่ๆ

               นัยน์ตากลมสวยของเด็กสาวหลุบลงอย่างใช้ความคิด คิดไปคิดมาไหนๆก็ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว การเล่าความจริงทุกอย่างออกไปมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรใช่มั้ยล่ะ ก็เลยพูดเรื่องที่จินมาระบายกับเธอให้ฟัง แอบลอบสังเกตปฏิกิริยาของรุ่นพี่ตัวสูงตรงหน้าไปด้วย

               ใบหน้าหล่อคมฉายแววกังวลอย่างไม่ปิดบัง แอสตันนั่งเงียบตั้งใจฟังทุกคำพูดของเธอ และแม้เธอจะเล่าจบแล้ว รุ่นพี่หน้าหล่อตรงหน้าก็ยังคงเงียบอยู่

               “พี่แอสตัน” ก็เลยตัดสินใจเรียกชื่อคนตรงหน้าแผ่วเบา หรือว่าจะช็อคกับเรื่องที่เธอเล่าไปจนพูดอะไรไม่ออกกันนะ

                เมื่อโดนเรียกชื่อรุ่นพี่ตัวสูงตรงหน้าก็หลุดคลี่ยิ้มออกมาบางๆ รอยยิ้มที่แม้แต่เธอยังอดที่จะรู้สึกเขินขึ้นมาไม่ได้ สะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ก่อนจะตัดสินใจถามออกไปอีกครั้ง


     

                “แล้วพี่จะทำยังไงต่อ”


     

                “ตอนนี้จินกำลังคิดว่าพี่ยังลืมใครคนนั้นไม่ได้ และรออย่างทรมานนะ” 


     

                เธอไม่ได้พูดอะไรเกินจริงเลยนะ อาจจะดูเหมือนเข้าข้างเพื่อนของตัวเองมากเกินไปหน่อย แต่เธอไม่เคยเห็นจินเป็นแบบนี้มาก่อน ตอนไอรีนก็อาจจะมีอาการคล้ายๆแบบนี้บ้าง แต่ไม่หนักขนาดนี้ จินไม่เคยร้องไห้เพื่อใครหนักขนาดนี้มาก่อน เพื่อนของเธออ่อนแอจนเกินไปเสียจนเธอกลัวว่าจินจะเปลี่ยนไป...


     

              “อย่างที่จินคิดมันก็ไม่ผิดหรอก เพราะพี่ยังลืมใครคนนั้นไม่ได้ เธอยังอยู่ในหัวใจของพี่ตลอด”


     

               เธอเผลอกำมือแน่นขึ้นเพื่อควบคุมตัวเองไม่ให้หยิบน้ำมาสาดใส่รุ่นพี่ตัวสูง อะไรคือการยอมรับออกมาโต้งๆแบบนั้น ทั้งๆที่เธอพึ่งเล่าเรื่องของเพื่อนเธอจบไป แต่ก็พยายามควบคุมอารมณ์และตั้งใจฟังสิ่งที่คนตรงหน้าจะพูดออกมาให้จบ แอสตันที่เห็นท่าทางไม่ค่อยพอใจของเอแคลร์ ก็ หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่แปลกใจเลยที่เป็นเพื่อนสนิทของจินได้

               ควบคุมเสียงหัวเราะของตัวเองนิดหน่อย ก่อนจะสบเข้ากับนัยน์ตากลมโตที่กำลังจ้องมาทางเขาเขม็ง



     

              “แต่พี่ตัดสินใจแล้ว”


     

              “พี่เลือกจิน พี่เลือกความรักครั้งใหม่ พี่จะเริ่มต้นทุกอย่างใหม่”


     

              “แต่รักครั้งแรกน่ะ ต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนมันก็ไม่มีทางลืมได้หรอกจริงไหม เพราะงั้น ขอเวลาให้พี่หน่อย ให้พี่ได้สร้างความทรงจำใหม่ๆ ไม่ใช่เพื่อมาแทนที่ แต่เพื่อให้จินมาเป็นคนสำคัญของพี่ที่สุด”



     

              “จะให้เวลาพี่ได้รึเปล่า”




     

              น้ำเสียงและแววตาที่จริงจัง ไหนจะรอยยิ้มเศร้าๆแบบนั้นอีก แล้วจะให้เธอตอบว่าอะไรล่ะ ในเมื่อสิ่งที่รุ่นพี่ตัวสูงพูดมามันไม่ใช่เรื่องผิดเลย เธอไม่แปลกใจที่ทำไมตลอดเวลาหลายปีรุ่นพี่ตรงหน้าถึงได้ไม่มีข่าวอะไรเกี่ยวกับผู้หญิงเลย


     

               เพราะมีคนที่รักอย่างสุดหัวใจอยู่แล้วสินะ...


     

               ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับความรักครั้งนั้นของพี่แอสตัน แม้จะแอบสงสัยว่าอะไรที่ทำให้ความรักครั้งแรกของรุ่นพี่สุดเพอร์เฟ็คนี่จบลง แต่ก็ขี้เกียจจะไปหาคำตอบแล้วล่ะ ในเมื่อคนตรงหน้าพูดออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่าจะเริ่มต้นใหม่กับเพื่อนสนิทของเธอ แล้วทำไมเธอต้องไปสนใจกับรักเก่าๆแบบนั้นด้วยล่ะ



     

              “นี่ไม่ใช่ประโยคที่พี่จะมาพูดกับเอแคลร์หรอกนะ นู่น ไปบอกจินนู่น”


     

              “ขอร้องล่ะค่ะ จริงอยู่ที่พี่อาจจะยังลืมคนคนนั้นของพี่ไม่ได้ แต่ก็อย่าลืมนึกถึงจินสิ ต้นไม้น่ะ ปล่อยทิ้งไว้แล้วรดน้ำทีเดียวยังไงมันก็ตาย ต้องคอยรดน้ำและดูแลอย่างสม่ำเสมอต่างหาก”



     

              “ความรักก็เหมือนกันนั่นแหละ”



     

              “จินไม่รู้เลยว่าพี่คิดอะไรแบบนี้ มัวแต่คิดว่าพี่ไม่เคยคิดที่จะสนใจตัวเอง จนชอบคิดอะไรที่ทำร้ายตัวเองอยู่เรื่อย”


     

              “มันคงไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ที่พี่ควรจะทำอะไรสักอย่างใช่มั้ยล่ะ”


     

              น้ำเสียงเว้าวอนจากรุ่นน้องสาวทำให้เขาต้องหยุดคิด เขาไม่เคยรู้ว่าจินจะตีความหมายของคำว่า ‘รอ’ ของเขาไปในทิศทางแบบนั้น ที่เขาบอกว่ารอ เพราะเขาต้องการจัดการเรื่องทุกอย่างให้เสร็จ ให้ได้เริ่มต้นทุกอย่างใหม่อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ก็เพื่อเด็กคนนั้น

              แต่ดูเหมือนเจ้าเด็กแสบของเขาจะเสียความมั่นใจในตัวเองมากเกินไปหน่อย ถึงได้ไม่เคยคิดที่จะคิดเข้าข้างตัวเองเลย แค่คิดถึงนัยน์ตาเศร้าๆที่เคยจับจ้องมาทางเขาของจินแล้วหัวใจของเขามันก็รู้สึกแปลกๆ


     

               อา...คิดถึงชะมัดเลย



     

               ถ้าจะบุกไปหาตอนนี้มันคงจะไม่เสียหายอะไรหรอกใช่มั้ย :)










    ------------------------------------------------------
    Talk : ไรท์กลับมาแล้วววววว ไม่ได้แอบอู้เลอออนะ
              คือต้องใช้เวลาบิ้วอารมณ์มากๆอ่ะ ไรท์อารมณ์ศิลปินสุดๆ
              บลาๆๆ ในที่สุดพระเอกกับนาย(?)เอกของเราก็จะเข้าใจกันแล้วน้า
              ช่วยกันติดตามตอนต่อไปกันด้วยนะค้า
              เรื่องนี้ยังอีกยาวไกล ยังไม่ถึงจุดไคลแมกซ์ของเรื่องเลยนะ!!
              ขอบคุณรีดเดอร์ทุกคนที่คอยติดตามนะคะ ^___^





              

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×