ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Yaoi) What is love? รักวุ่นวายร้ายเกินพิกัด (End)

    ลำดับตอนที่ #26 : -24-

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 307
      2
      8 มิ.ย. 58




    -24-





                    “เฮ้ย ปีหนึ่งตรงนั้นน่ะ คิดว่าหล่อแล้วจะมาสายได้รึไง”


                     น้ำเสียงทุ้มตวาดกร้าวทำเอาบรรดานักศึกษาที่นั่งรอเตรียมทำกิจกรรมสะดุ้งกันเป็นแถบๆ แต่คนโดนตวาดกลับไม่แสดงอาการอะไรนอกจากเดินมานั่งหลังแถวอย่างเงียบๆ

    “นี่คิดว่ามาสายแล้วผมจะปล่อยให้คุณไปนั่งกับเพื่อนสบายๆงั้นหรอ ออกมานี่ ผมบอกให้คุณออกมา” นัยน์ตาคมดุๆจับจ้องไปยังรุ่นน้องหน้าหล่ออย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ นักศึกษาปีหนึ่งต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก คาดว่าวันนี้พวกเขาคงจะไม่ได้กลับบ้านง่ายๆแน่

    ร่างสูงโปร่งค่อยๆลุกขึ้นแบบไม่ค่อยรีบร้อนอะไร ปัดฝุ่นจากกางเกงยีนตัวโปรดนิดหน่อย ถูกแล้วล่ะ กางเกงยีน... การแต่งตัวของรุ่นน้องทำเอาหางคิ้วของรุ่นพี่ที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่วินัยกระตุกถี่ยิบ



    ไอ้บ้านี่มันกล้าใส่กางเกงยีนมาห้องเชียร์งั้นหรอ!!!



    “คุณรู้รึเปล่าว่าความผิดของคุณมันคืออะไร” พูดพร้อมกับเดินวนไปมารอบรุ่นน้องที่ได้ชื่อว่าเป็นเดือนคณะของชั้นปีที่หนึ่ง นัยน์ตาคมหลุบมองพื้น ก็ถ้าเผลอไปจ้องตารุ่นพี่นี่มีหวังเขาโดนเขมือบหัวแน่ๆ

    “ผมถามน่ะได้ยินมั้ย!!!” เมื่อไม่เห็นว่ารุ่นน้องจะตอบคำถามสักที ก็เลยจัดการตะคอกใส่หูเข้าไปเต็มๆ บรรดาปีหนึ่งที่นั่งดูอยู่ต่างพากันสะดุ้ง ไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมามองสถานการณ์ตรงหน้า คนโดนถามสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆเพื่อควบคุมสติ ก่อนจะเอ่ยตอบ


    “มาสายครับ”


    “จะตอบน่ะ ขออนุญาตรึยัง”


    อ้าวไอ้นี่... ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ เพราะตอนนี้เขาเป็นรุ่นน้อง และถ้าเผลอทำอะไรที่ไปกระตุกต่อมโมโหรุ่นพี่เข้า มีหวังเพื่อนๆของเขาคงจะโดนไปด้วย และแน่นอน โดนแบนจากรุ่นแหงๆ


    “ขออนุญาตตอบครับ”


    “เวลาขออนุญาตผมบอกคุณว่ายังไง ยกแขนขวาขึ้น เหยียดตรง ชิดใบหูไม่ใช่หรอ ตอนอธิบายน่ะฟังบ้างรึเปล่า หรือว่าลืมเอาสมองมาด้วย!!” เอาแล้วไง เพื่อนๆเริ่มแอบมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เขาว่าวันนี้คงจะเกิดการนองเลือดเกิดขึ้นแน่ๆ


    “…”


    “เงียบทำไม เป็นใบ้หรอครับ”


    คนเป็นน้องกำมือแน่น เออๆ เขารู้ว่าจุดประสงค์ของห้องเชียร์คืออะไร และถ้าเขาเผลอตะบั้นหน้าไอ้รุ่นพี่นี่ไป รุ่นของเขาคงจะไม่ได้รุ่นแน่ๆ ก็เลยพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ก่อนจะยกแขนขวาขึ้นเหยียดจนสุด


    “ขออนุญาตตอบครับ”


    “เชิญ”


    “ผมมาสายครับ”


    “อะไรอีก”


    “…”


    เกือบจะหลุดอุทาน ห๊ะ ออกมาแล้วเชียว นี่เขายังมีความผิดอื่นนอกจากมาสายอีกหรอ เหลือบสายตาไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ทางด้านหลัง คนโดนมองกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนจะทำเนียนๆชี้ไปที่กางเกงของตัวเอง


    ‘กางเกง กางเกงมึงอ่ะ’


    เมื่อเห็นว่าไอ้เพื่อนหน้าหล่อไม่เข้าใจสิ่งที่เขากำลังบอก เลยยอมเสี่ยงตายพยายามขยับปากพะงาบๆเป็นคำพูดแบบไร้เสียง และหวังว่าเพื่อนของเขามันจะสายตาดีพอที่จะอ่านปากของเขาออกนะ


    ‘=_=?’


    ‘ไอ้เหี้ย กางเกงมึง มึงใส่ยีนโว้ย’


    “อ๋อ กางเกงยีน”


    “จะเล่นเกมใบ้คำกันอีกนานมั้ย คิดว่านี่มันเป็นเรื่องตลกรึไง!!!” สะดุ้งกับเสียงตะคอกที่ดังขึ้นในระยะประชิด นี่ถ้าวันนี้เขาหูอื้อก็อย่าได้แปลกใจเลย เล่นโดนพี่วินัยตะโกนใส่ขนาดนี้


    “พอแล้ว ทุกคนขัดฉาก!!!! ต้องขอบคุณเพื่อนของพวกคุณคนนี้ วันนี้นั่งขัดฉากตลอดจนกว่าพี่ปีสี่จะพูดจบ!!!”










    “ไอ้เชี่ยแอสตันนนนนนน”


                   น้ำเสียงโหยหวนดังขึ้นพร้อมๆกับสัมผัสหนักๆที่ไหล่ และไม่ใช่แค่แรงเดียวด้วย แต่นี่มาติดๆกันเป็นสิบๆเลยมั้ง นี่คนนะ ไม่ใช่หมอนที่จะมาฟาดเอาๆ

    “เพราะมึงเลย แขนกู ไอ้เหี้ย ขัดฉากสองสามชั่วโมง กูอยากจะบ้า” เสียงโวยวายแบบนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเรียวเพื่อนสนิทของเขานั่นเอง


                   เออ...อยากจะถามมันเหมือนกัน บอกว่าแขนเป็นนู่นเป็นนี่ แล้วทำไมยังมีแรงมาฟาดเขาอีกวะ ไอ้ฟาย -_-^


    ตอนนี้พวกเขาเข้ามหาลัยกันแล้ว แต่ก็พึ่งจะเป็นเฟรชชี่ปีหนึ่ง ที่กำลังเจอวิบากกรรมอันสุดแสนจะลำบากของการเข้าห้องเชียร์ และต้องเอารุ่นมาให้ได้ ทั้งๆที่ตอนเข้าค่ายรับน้อง หรือเวลาเจอกันข้างนอกพี่ๆก็ออกจะใจดี เทคแคร์น้องอย่างกับเป็นญาติกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน แต่พอเข้าห้องเชียร์ปุ๊บ ไอ้คนที่ยืนด่าพวกเขาปาวๆนี่มันเป็นใครกันวะ



    บ่นไปก็เท่านั้นแหละครับ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตปีหนึ่งนั่นแหละ -_-


    “มึงก็กล้าเนอะ ใส่ยีนมาห้องเชียร์เนี่ย” ยังไม่จบครับ มันยังไม่จบ ต้นไผ่เดินขนาบข้างก่อนจะเอาแขนมาพาดคอเขา เหมือนกับเป็นที่วางแขน จะสะบัดออกก็เหนื่อยเกินกว่าจะขยับตัว ก็เลยปล่อยเลยตามเลย

    “คิดว่ากูอยากหาเรื่องขนาดนั้นรึไง กูไม่รู้นี่หว่าว่าวันนี้เข้าห้องเชียร์” จริงๆนะ แค่คิดถึงสายตาของบรรดารุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่นที่มองมาทางเขาด้วยอารมณ์ประมาณว่า เขาเป็นตัวต้นเหตุของการถูกทำโทษเนี่ย มันทำเอาเขาขนลุกไปหมดแล้ว 

    “งั้นมึงก็จำใส่กะโหลกหนาๆของมึงเลยนะ ตั้งแต่นี้ไปเข้าห้องเชียร์ทุกวันจนกว่าจะได้รุ่นโว้ย” ไม่พูดเปล่ายังจะเอานิ้วมาจิ้มหน้าผากเขาจึกๆ ลำบากให้ต้องปัดออกก่อนจะส่งสายตาบอกว่าเริ่มจะมากไปแล้ว แล้วเพื่อนเขาเคยสนที่ไหนล่ะ ยักไหล่ส่งๆ ก่อนจะเอาแขนมาพาดที่ไหล่ของเขาเหมือนเดิม


    “แอสตัน เรียว ต้นไผ่”


                   น้ำเสียงแหลมๆดังขึ้นข้างหลังเรียกให้พวกเขาต้องหยุดเดินและหันกลับไปมอง กลุ่มหญิงสาวประมาณสี่ห้าคนค่อยๆเดินเข้ามาสบทบ 

    “จะไปไหนกันต่อหรอ” หญิงสาวที่คลับคล้ายคลับว่าเป็นเพื่อนร่วมคณะเอ่ยถาม นัยน์ตากลมโตเป็นประกายเหมือนกับกำลังคาดหวังอะไรอยู่ ทำเอาบรรดาหนุ่มๆต้องแอบเหลือบมองหน้ากันนิดหน่อย

    “ก็ว่าจะไปหาอะไรกินนิดหน่อย แล้วก็กลับกันแล้วล่ะ” เรียวเอ่ยตอบเมื่อเห็นว่าบรรดาเพื่อนของเขาชักจะเงียบนานเกินไปหน่อย


    “พอดีเลย มีคาเฟ่น่านั่งๆแถวนี้ สนใจไปด้วยกันมั้ยล่ะ”


                   แอสตันอึกอักเล็กน้อย เพราะอันที่จริงแล้วเขาตั้งใจจะรีบไปหาเจ้าเด็กดื้อนั่นซะหน่อย หันไปมองทางเรียวกับต้นไผ่เพื่อจะขอให้ช่วยปฏิเสธ แต่กลับได้รับสายตาคมดุๆ กลับมาแทน


                   โอเค นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เพื่อนกับผู้หญิง ผู้ชายทุกคนมันเลือกผู้หญิงครับ =_=





    สุดท้ายพวกเขาก็มาหยุดอยู่ที่คาเฟ่ใกล้ๆกับมหาวิทยาลัย ร้านกาแฟเล็กๆตกแต่งสไตล์ industrial ให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ไปอีกแบบ ซึ่งบรรยากาศน่านั่งสมกับที่สาวๆตัดสินใจชวนพวกเขามา แอสตันเหลือบมองรอบๆอย่างชอบใจ คราวหน้าถ้าพาจินมาที่มหาวิทยาลัย ก็หาที่ให้คุณแฟนจอมแสบนั่งเล่นได้แล้วล่ะนะ

    “ดูแอสตันจะชอบมากเลยนะ” น้ำเสียงหวานๆดังขึ้นข้างกายเรียกให้นัยน์ตาคมต้องหันไปมอง หญิงสาวหน้าตาน่ารักเอ่ยทักเขาพร้อมกับคลี่ยิ้มกว้าง

    “อื้ม บรรยากาศโอเค ดูเป็นส่วนตัวดี ขอบคุณที่ชวนเรามานะชิชา” เอ่ยตอบอย่างสนิทสนม ก็เพราะเธอเป็นดาวคู่กับเขาน่ะสิ มีโอกาสได้ร่วมงานกันก็หลายงานทำให้พอที่จะกล้าพูดคุยกันมากกว่าคนอื่นๆ



    “งั้นไว้จะชวนมาบ่อยๆนะ”



    แอบชะงักกับประโยคที่ได้ยินนิดหน่อย อ่อยหรอ...บ้าไปแล้ว ก็ไม่อยากจะคิดมากไปเอง เพราะหญิงสาวตรงหน้าก็หน้าตาถือว่าน่ารักมาก คงจะไม่เสียเวลามาจีบคนอย่างเขาหรอก


                   แต่ลางสังหรณ์อะไรบางอย่างกำลังเตือนเขาว่า เขาไม่ควรจะสนิทกับผู้หญิงคนนี้มากเกินไปยังไงก็ไม่รู้














    เสียงจังหวะดนตรีดังแผ่วๆออกมาจากห้องซ้อม ก่อนที่จะค่อยๆเงียบหายไป แทนที่ด้วยเสียงพูดคุยกันของนักดนตรีแทน สมาชิกแต่ละคนต่างทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นห้องซ้อมอย่างเหนื่อยอ่อน ก็จะไม่ให้พวกเขาเหนื่อยได้ยังไง เล่นซ้อมติดต่อกันมาหลายชั่วโมงแล้วนี่

    “คิดว่าไง” หลังจากนั่งดูคลิปวิดีโอที่อัดจบ สไปรท์ก็เอ่ยถามความคิดเห็นของเพื่อนๆทันที ทุกคนต่างนิ่งเงียบกันนิดหน่อยก่อนจะค่อยๆทะยอยแสดงความคิดเห็นออกมา

    “กูรู้สึกเหมือนมันขาดๆอะไรไปสักอย่างว่ะ” แอนดี้เป็นคนเปิดประเด็น และแน่นอนว่าทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งๆที่ก็ซ้อมกันมาหลายสิบรอบแล้ว แต่ดูเหมือนมันจะมีอะไรบางอย่างที่หายไป อะไรบางอย่างที่รู้สึกได้แต่พวกเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร

    ยังจำกันได้ใช่มั้ยว่าพวกเขาลงสมัครแข่ง Best young music band award ไป และแน่นอนว่าระดับพวกเขาผ่านรอบคัดเลือกระดับภูมิภาคเรียบร้อย รอบต่อไปพวกเขาจะต้องแสดงสดต่อหน้าผู้ชมหลายร้อยชีวิต เป็นอะไรที่ท้าทายสุดๆ ซึ่งตอนนี้พวกเขากำลังเจอปัญหาใหญ่...

    “ถ้าเป็นแบบนี้กูว่ายังไงก็ส่งอารมณ์ไปไม่ถึงคนฟังว่ะ” ดินโพล่งออกมาอย่างเป็นกังวล ทุกคนต่างเงียบ อาจจะเป็นเพราะพวกเขายังไม่ค่อยเข้าใจเพลงที่ตัวเองเล่นล่ะมั้ง และนั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำลายความมั่นใจของคนแต่งเพลงอย่างจินได้เป็นอย่างดี

    นักร้องนำประจำวงเกาศีรษะตัวเองแกรกๆอย่างช่วยไม่ได้ เขาจะอธิบายให้เพื่อนเข้าใจได้ยังไงล่ะ เพราะขนาดตอนนี้เขายังไม่ค่อยจะเข้าใจความรู้สึกของตัวเองเลย ใช่ ที่แต่งออกมาทั้งหมดมันมาจากสิ่งที่เขากำลังเผชิญ แต่ทุกอย่างมันก็หลอมรวมกันจนแทบแยกไม่ออก อธิบายไม่ได้ แล้วจะให้สื่อออกมาเป็นคำพูดงั้นหรอ ใครมันจะไปทำได้กันเล่า

    “ตอนนี้ก็เหนื่อยๆกันแล้ว วันนี้พอแค่นี้ก่อน ยังเหลือเวลาอีกเดือนนึง ยังไงก็ค่อยๆคิดหาทางแก้กันไปก็แล้วกัน” สไปรท์พูดตัดบทเมื่อเห็นสภาพแต่ละคนที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยไหวกันแล้ว สมาชิกคนอื่นๆต่างพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะแยกย้ายกันเก็บของแล้วกลับ







    “มึงอย่าคิดมากนะเว้ยจิน” เมื่ออยู่กันแค่สองคนก็อดที่จะบอกเพื่อนสนิทไม่ได้จริงๆ นัยน์ตาเรียวสวยเหลือบขี้นมามอง ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

    “เออน่ะ จริงๆมันก็ความผิดกูด้วยนั่นแหละ ที่อยู่ๆก็ยัดความรู้สึกของกูไปให้พวกมึง ไว้จะหาทางอธิบายให้พวกนั้นเข้าใจก็แล้วกัน” ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่ามันอาจจะไม่ง่าย แต่พวกเขาก็อยู่ร่วมวงกันมาตั้งกี่ปี เป็นเพื่อนกันมานานเท่าไหร่แล้ว คงไม่ยากเกินความสามารถหรอก

    “จริงๆกูว่าพวกเพื่อนๆมันเข้าใจมึงนะเว้ย ถ้ามึงพูดออกมาน่ะ” สไปรท์แสดงความคิดเห็นบ้าง สิ่งที่เขาพูดออกมาเนี่ยหมายถึงเพลง และก็เรื่องอื่นด้วยอ่ะนะ


    จะว่ายังไงดี ถ้าเป็นคนอื่นมองเผินๆอาจจะคิดว่าไอ้เพื่อนตัวแสบกับรุ่นพี่หน้าหล่อนั่นกำลังไปได้สวย คบกันมุ้งมิ้งน่าอิจฉาสุดๆ แต่สำหรับเขาที่อยู่กับไอ้เพื่อนบ้านี่มานาน พอจะมองออกว่าระหว่างสองคนนี้ยังมีอะไรบางอย่างที่ยังคลุมเครืออยู่...


    จินเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย พยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะบอกว่าให้เปลี่ยนเรื่อง เพราะพวกเขาเหนื่อยกันมามากแล้ว

    เดินคุยกันเรื่อยเปื่อยจนถึงหน้าโรงเรียน รถยนต์คันหรูที่พักนี้ไม่ค่อยเห็นมาจอดที่หน้าโรงเรียนของพวกเขาเท่าไหร่ จอดเด่นอยู่ที่หน้าประตู เด่นพอๆกับเจ้าของรถที่กำลังยืนพิงฝากระโปรงรถเล่นโทรศัพท์อยู่นั่นแหละ

    “อ้าว มาได้ไงอ่ะ จะมาทำไมไม่บอกรอนานรึเปล่าเนี่ย” เสียงนุ่มเอ่ยถามออกมาอย่างแปลกใจ เพราะถ้าเป็นปกติจะต้องส่งข้อความไม่ก็โทรมาบอกก่อน เขาก็เลยไม่ได้รีบร้อนอะไรเลย

    “เซอร์ไพรส์!!” พูดพร้อมกับถอดแว่นกันแดดแล้วเงยหน้าขึ้นเอามือเสยผมที่ปรกหน้านิดหน่อย สไปรท์เผลอหรี่ตา นี่เขาคิดไปเองรึเปล่าเนี่ยว่ามีออร่าวิ้งๆกำลังลอยอยู่รอบตัวรุ่นพี่คนนี้เนี่ย


    “หิวรึยังครับ ไปหาอะไรกินกันมั้ย” คนอายุมากกว่าเอ่ยถามบรรดารุ่นน้อง เหลือบมองนาฬิกาที่ข้อมือนิดหน่อย เกือบจะหกโมงแล้ว เด็กๆพวกนี้คงจะอยู่ซ้อมดนตรีจนเย็นอีกเหมือนเคย

    “หิวดิ เลี้ยงป่ะ” เด็กแสบก็ยังคงเป็นเด็กแสบวันยังค่ำ ไม่ว่าจะเลื่อนสถานะเป็นสถานะไหนก็ตามอ่ะนะ แอสตันหลุดหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเลื่อนมือไปกุมมือคุณแฟนของตัวเองแล้วแกว่งไปมาเบาๆ

    “จัดไป อยากกินอะไรเดี๋ยวป๋าเลี้ยงเอง” พูดพร้อมกับตบกระเป๋าตังตัวเองปุๆ เรียกเสียงหัวเราะจากบรรดารุ่นน้องได้เป็นอย่างดี สไปรท์มองภาพตรงหน้ายิ้มๆ เขาไม่รู้หรอกว่าระหว่างเพื่อนสนิทของเขากับรุ่นพี่คนนี้มีอะไรที่ยังไม่เคลียร์กันรึเปล่า แต่เห็นว่าไอ้เพื่อนบ้ายังยิ้มและหัวเราะได้แบบนี้ก็โอเค ก็ไม่ใช่เด็กๆกันแล้ว ที่จะต้องเข้าไปยุ่งวุ่นวายกันทุกเรื่อง

    “ผมขอผ่านละกัน ขี้เกียจไปเป็น กขค” พูดปฏิเสธพร้อมกับทำหน้าปุเลี่ยนๆ จินเหลือบมองเพื่อนสนิทของตัวเองก่อนจะเอนไปควงแขนรุ่นพี่คนสนิท แล้วพูดประโยคที่ทำเอาแอสตันต้องหลุดคลี่ยิ้มแห้งๆ

    “เอ้อ รู้ตัวนี่” หลุดหัวเราะออกมาอย่างชอบใจนิดหน่อยก่อนจะยกมือขึ้นมาทำเป็นโบกมือไล่ ลำบากให้คนโดนไล่อย่างสไปรท์ต้องใช้แรงยกนิ้วกลางขึ้นมาส่งให้อย่างช่วยไม่ได้












    แสงอาทิตย์สีส้มสะท้อนเข้ากับใบหน้าคม นัยน์ตาเรียวสวยไล่สำรวจใบหน้าของคนที่กำลังจับพวงมาลัยรถ นานแค่ไหนกันแล้วนะที่เขาไม่ได้พิจารณาใบหน้าของคนตรงหน้าแบบตั้งใจซะที ก็ไอ้รุ่นพี่บ้านี่นั่นแหละที่ชอบทำให้เขาเขินจนไม่กล้าที่จะสบตาตรงๆ

    สะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านนิดหน่อย ก่อนจะแอบชำเลืองมองคนข้างๆ สันจมูกโด่งที่ใครๆก็ต้องอิจฉา ไหนจะนัยน์ตาสีอัลมอนด์ที่ยิ่งดูมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีกเมื่อกระทบเข้ากับแสงอาทิตย์ตอนเย็นๆ ดูเหมือนผมของรุ่นพี่จะยาวขึ้นมาอีกหน่อย แถมยังแอบไปทำสีผมให้ทองขึ้นด้วยอีกต่างหาก แต่มันกลับเข้ากับใบหน้าหล่อๆนั่นซะจนไม่กล้าจะเอ่ยแซว อ่า...นี่เขามีแฟนหล่อขนาดนี้เลยหรอเนี่ย

    “จ้องกันขนาดนี้พี่ก็เขินเป็นนะ” พูดพลางยกมือขึ้นเกาแก้มแก้เขิน ไม่ใช่ว่าเขาขับรถจนไม่รู้ตัวว่าเจ้าเด็กแสบนี่กำลังสำรวจใบหน้าของเขาหรอกนะ ก็เล่นจ้องกันขนาดนี้เป็นใครก็ต้องรู้ตัวเป็นธรรมดาอยู่แล้วล่ะจริงไหม

    จินที่ถูกจับได้ก็แกล้งทำเป็นหันไปมองวิวข้างทางแทน โธ่เอ๊ย จะให้เขาทำยังไงล่ะ คือแบบ มันอดที่จะภูมิใจไม่ได้จริงๆอ่ะ เล่นมีแฟนหล่อขนาดนี้ ยิ่งพอมาอยู่ในชุดนักศึกษาแบบนี้ ขับรถแบบจับพวงมาลัยมือเดียวแบบนี้ ไหนจะใส่แว่นตากันแดดแบบนี้อีก โอ๊ย โคตรเท่เลยอ่ะ



    ก่อนจะชะงักค้าง...นี่ความคิดของเขาเริ่มเหมือนผู้หญิงเข้าไปทุกวันแล้วไม่ใช่รึไง!!! 



    “เป็นอะไรไปหืม ทำหน้าเหมือนโลกกำลังจะแตกเลย” พูดกลั้วหัวเราะเมื่อแอบหันไปมองคนรักของตัวเองที่ทำหน้ายุ่งจนดูตลก

    “โลกแตกก็ดีเหมือนกัน” เผลอเลิกคิ้วขึ้นกับประโยคที่หลุดออกมาจากริมฝีปากรูปกระจับสวย เด็กในความดูแลของเขาเรียนหนักจนเกิดความคิดแปลกๆขึ้นมาในสมองรึไง


    “ทำไมล่ะ”


    “ผมก็จะได้เป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับพี่ไง :)”


    อะไรคือการยิงมุขเสี่ยวๆแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับส่งยิ้มน่ารักๆแบบนั้นกัน นี่เขาแทบจะหักพวงมาลัยจอดรถเข้าที่ข้างทางแล้วจับเจ้าเด็กนี่มาฟัดให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่รู้ว่าคงจะทำไม่ได้เลยเปลี่ยนเป็นยกมือไปขยี้หัวฟ้าๆนั่นอย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนจะได้รับแรงฟาดที่แขนกลับมา

    “อย่าเล่นหัวดิ เดี๋ยวไม่หล่อ” พูดพร้อมกับจัดทรงผมตัวเอง ปากน่าจุ๊บนั่นก็ยู่เข้าหากันบ่นพึมพำไม่หยุด

    “ไม่ต้องหล่อหรอก มีแฟนหล่อก็พอแล้ว” พูดพร้อมกันหันไปยักคิ้วเท่ๆ ประโยคหลงตัวเองทำเอาเด็กดื้ออย่างจินอดที่จะหันไปแลบลิ้นใส่คนรักของตัวเองอย่างหมั่นไส้ไม่ได้


    “หลงตัวเองจริงๆเลย”


    “แล้วคนข้างๆนี่ล่ะ หลงพี่รึเปล่า”



    นี่จะเอาจนได้เลยใช่มั้ย กล้าโยนมุขเสี่ยวใส่เขาแถมยังหันหน้ามาส่งสายตาแพรวพราวให้ชนิดที่ไม่ได้สนใจเลยว่าตัวเองกำลังขับรถอยู่น่ะ แล้วเขาจะทำอะไรได้ล่ะ นอกจาก...



    “ขับรถก็มองถนนดิวะ มามองหน้าทำไมเนี่ย”


    “ก็มีแฟนน่ารัก น่ามองกว่าถนนตั้งเยอะอ่ะ”


    เออ!!! เอาเข้าไป นี่เขินจนจะระเบิดตัวเองตายแล้วเนี่ย









                   หลังจากจบสงครามโยนมุขเสี่ยวใส่กันไปหลายยก จินก็พึ่งจะรู้สึกตัวว่าเส้นทางที่รุ่นพี่ตัวสูงพาเขามามันไม่ได้ไปสิ้นสุดลงที่ร้านอาหาร แต่กลับเป็นคอนโดมิเนียมหรูใจกลางเมืองต่างหาก



    “ไหนว่าจะพาไปกินข้าวไง”


    “อ้าว ก็กำลังจะพาไปนี่ไง”


    ยังจะมาตอบคำถามแบบตีหน้ามึนใส่อีก ก็จะไม่ให้ถามได้ยังไงล่ะ ในเมื่อไอ้รุ่นพี่บ้านี่พาเขามาที่คอนโดของตัวเองอ่ะ แบบ...ไม่ได้กลัวหรือคิดอกุศลอะไรเลยนะเว้ย แต่จู่ๆก็พามาห้องแบบเนี่ย เป็นใครก็ตกใจกันทั้งนั้นแหละ

    “นั่นแน่ ไม่กล้าไปห้องพี่ กำลังคิดอะไร 18+ อยู่ใช่มั้ยล่ะ” พูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มกรุ้มกริ่มมาให้ ก่อนจะต้องรีบหลบขาเรียวๆของเด็กดื้อของเขาเป็นพัลวัน

    “ล้อเล่นๆ ก็จินยังไม่เคยมาห้องพี่เลยนี่ ยังไงพรุ่งนี้ก็วันหยุด เลยตั้งใจพามาดูห้อง แล้วเดี๋ยวพี่จะโชว์ฝีมือทำอาหารให้กินเอง” แกล้งทำตัวเนียนๆเดินไปจูงมือคนรักของตัวเอง แล้วจัดการพาขึ้นลิฟต์ไปโดยไม่ได้สนใจเสียงโวยวายจากเด็กแสบเลยแม้แต่น้อย จินเมื่อเห็นว่าโวยวายไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรก็เลยเลยตามเลย นี่เขาไม่ได้อยากขึ้นไปดูห้องอะไรหรอกนะ ก็แบบคนมันหิวอ่ะ โวยวายไปก็เสียพลังงานเปล่าๆ ไม่ได้อยากขึ้นไปซะหน่อย ไม่ได้อยากเลย...




    “โห นี่พักชั้นสามสิบห้าเลยหรอ”


    แอสตันแอบหลุดหัวเราะกับท่าทางของคนรักของตัวเอง ก็ตอนแรกยังอิดออดไม่อยากจะขึ้นมาอยู่เลย ไหงกลายมาเป็นเกาะระเบียงดูวิวที่ห้องเขาด้วยอาการตื่นเต้นสุดๆแบบนั้นล่ะ ไหนจะเดินสำรวจห้องนู้นห้องนี้ไปทั่วอีกต่างหาก นี่สาบานได้เลยนะว่าไม่ได้อยากขึ้นมาจริงๆน่ะ

    จินที่ดูเหมือนจะพึ่งรู้ตัวเลยแกล้งกระแอมนิดหน่อย แล้วทำเหมือนกับว่ารุ่นพี่ตัวสูงนั่นไม่มีตัวตน หันไปสนใจวิวเบื้องหน้าแทน แอสตันที่พอจะรู้ว่าเด็กดื้อของเขากำลังจะงอนแล้ว ก็เลยยอมหยุดหัวเราะแต่โดยดี


    “อ๊ะ”

    หลุดอุทานออกมาอย่างตกใจ เมื่อจู่ๆรุ่นพี่ตัวสูงค่อยๆโอบกอดตัวเองจากด้านหลัง กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคย อืม...กลิ่นเหมือนกับมหาสมุทรล่ะมั้ง มันทำให้เขารู้สึกสบายใจจนเผลอเอนตัวไปพิงเข้ากับอกของคนที่กำลังกอดตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ แอสตันเมื่อเห็นเด็กดื้อค่อยๆผ่อนคลายลง ก็เลยตัดสินใจค่อยๆเอาคางเกยบนศีรษะฟ้าๆนั่นอย่างแผ่วเบา




    “ขอบคุณที่คอยอยู่ข้างๆพี่นะครับ”




    กระซิบเสียงแผ่ว แต่คนในอ้อมกอดเองก็ได้ยินอย่างชัดเจน จินหลุดคลี่ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้ชะมัด




                   "หิวรึยังหืม" เมื่อรู้สึกว่าพวกเขาชักจะอยู่ข้างนอกนี่นานเกินไปแล้ว จุดประสงค์หลักอย่างการกินข้าวเหมือนจะถูกลืมไปชั่วขณะ เมื่อเห็นคนรักของตัวเองพยักหน้า แอสตันก็ค่อยๆคลายอ้อมกอด ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นจูงมือเด็กดื้อเข้ามาในห้องแทน


                   "หลอกให้มาที่ห้องแล้ว ถ้าอาหารไม่อร่อยโดนแน่" 


                   "รับทราบครับผม" อันที่จริงก็ขู่ไปอย่างนั้นแหละ และดูเหมือนว่ารุ่นพี่คนสนิทของเขาก็พอจะรู้ๆอยู่ ถึงได้แกล้งตอบกลับมาแบบทีเล่นทีจริงเหมือนกัน









    “อะแฮ่ม เนื่องจากวันนี้มีแขกพิเศษ พ่วงตำแหน่งคนพิเศษของเชฟสุดหล่อ เพราะงั้นวันนี้เชฟจะเป็นคนโชว์ฝีมือทำอาหารเองนะครับ” คำพูดและท่าทางตลกๆเรียกเสียงหัวเราะจากคนดูได้เป็นอย่างดี จินหลุดหัวเราะชอบใจกับท่าทางของรุ่นพี่ตัวสูง ก่อนจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นอมยิ้มบางๆแทน


    ร่างสูงโปร่งในผ้ากันเปื้อนลายทางสีฟ้าอ่อนนั้นดูมีเสน่ห์ เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ารุ่นพี่ตัวสูงนั่นทำอาหารเป็น แถมยังดูชำนาญซะด้วย รู้ตัวอีกทีก็เผลอจ้องรุ่นพี่นั่นจนทำอาหารเสร็จและยกมาเสิร์ฟตรงหน้าเขาแล้วนั่นแหละ


    สปาเกตตีซอสเนื้อกลิ่นหอมฉุย จนคนมองต้องเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เรียกเสียงหัวเราะจากคนทำได้เป็นอย่างดี


    “ชิมดูแล้วจะติดใจ หรืออยากให้ป้อนก็ได้นะ”


    ก็ชอบยิงมุขใส่ตลอดอ่ะ แล้วไอ้ตัวเขาก็ไม่เคยชินกับคำหยอดหวานๆแบบนี้ซะที ก็เลยแกล้งกระแอมนิดหน่อยก่อนจะหยิบส้อมขึ้นมาม้วนเส้นสปาเกตตีเข้าปาก รสกลมกล่อมออกเปรี้ยวนิดๆของน้ำซอส ถึงแม้จะไม่ได้อร่อยเว่อร์เหมือนกับตามภัตตาคารที่เขาเคยไปกิน แต่ความอร่อยนี้มันกลับ...ซึมลึกเข้าไปถึงหัวใจเลยล่ะ


    “อร่อยมั้ย”


    พอเจอคำถามพร้อมกับหน้าลุ้นๆแบบนี้มันก็อดที่จะอยากแกล้งขึ้นมาไม่ได้จริงๆ ก็เลยทำเป็นไม่ตอบ ตีหน้านิ่งๆ แล้วเลือกที่จะม้วนเส้นสปาเกตตีเข้าปากอีกคำแทน และปฏิกิริยาของรุ่นพี่ตรงหน้าก็น่ารักจนเขาต้องพยายามกลั้นยิ้ม อะไรคือการทำท่าหูลู่หางตกแบบนั้นอ่ะ น่ารักจนตัดสินใจล้มเลิกแผนการแกล้งที่อุตส่าห์คิดขึ้นมาในใจ เปลี่ยนมาเป็นการให้รางวัลแทน...


    จุ๊บ


    “อร่อยมั้ยก็ลองชิมเองดิ” 


    “…”


    “เฮ้ อ๊ะ”


    จู่ๆไอ้รุ่นพี่บ้านี่ก็ยื่นหน้าเข้ามาจุ๊บปากเขาคืนซะงั้น จากที่ตั้งใจจะแกล้งด้วยการเอาปากเลอะๆไปป้ายใส่ปากรุ่นพี่ตัวสูงนี่ ดันโดนแกล้งคืนซะจนทำอะไรไม่ถูก เพราะไอ้พี่บ้ามันดันยื่นหน้ามาเลียซอสที่เลอะที่มุมปากเขาน่ะสิ สัมผัสอ่อนโยนที่มุมปากทำเอาใจเต้นตึกตัก


    สุดท้ายก็เขินจนทำอะไรไม่ถูกนั่นแหละ





                   "เดี๋ยวพี่เก็บจานเอง ไปนั่งดูทีวีรอก็ได้" เมื่อเด็กดื้อจัดการสปาเกตตีในจานจนหมดแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องเก็บกวาดให้เรียบร้อย จะว่าจินจัดการคนเดียวก็ไม่ได้หรอก เพราะเขาเองก็แย่งเด็กแสบนี่กินไปหลายคำเหมือนกัน


                   ทำไมอ่ะ ก็อยากให้แฟนตัวเองป้อน มันผิดตรงไหน จริงมั้ย


                   "ไม่เอา ให้ผมช่วยทำอะไรบ้างดิ" พูดพร้อมกับยู่ปากอย่างขัดใจ เมื่อคนตรงหน้าเอะอะอะไรก็จะให้เขาไม่ต้องทำอะไรอย่างเดียว แอสตันหลุดหัวเราะกับท่าทางน่ารักๆนั่น ก่อนจะยอมให้จินได้ล้างจานอย่างที่เจ้าตัวขอแต่โดยดี...ซะที่ไหนกันล่ะ


                   "อ่า อยากจะฝึกเป็นภรรยาที่ดีสินะ จริงๆไม่ต้องลำบากหรอก เพราะเดี๋ยวถึงตอนนั้นพี่จะจ้างแม่บ้านให้ แต่ถ้าคุณภรรยาอยากจะลองทำ คุณสามีก็ไม่ขัดหรอกเนอะ"


                   "โอ๊ย อะไรของพี่เนี่ย ให้ตายเหอะ"


                   "เขินหรอ มาๆ มากอดกันแก้เขินเร็ว"


                   "ไอ้ บ้า !!!"


                   แหม ถ้าไม่ยิงมุขหวานๆใส่ ก็ไม่ใช่แอสตันสิครับ



                   หลังจากกินอิ่มและช่วยกันล้างจานเรียบร้อย พวกเขาก็ย้ายสัมโนครัวกันมาอยู่ที่หน้าจอทีวี ร่างสูงพิงพนักพิง ก่อนจะยกขาไปพาดยังตักของรุ่นน้องจอมแสบ และแน่นอนว่าเจ้าเด็กนั่นต้องโวยวายแน่ๆ ก็เลยง้อด้วยการเขี่ยมือเด็กดื้อนั่นเบาๆ แล้วค่อยๆสอดประสานนิ้วมือกันแบบเนียนๆแทน คิดว่าได้ผลมั้ยล่ะ ก็เจ้าเด็กนั่นเล่นอมยิ้มแก้มตุ่ยเลยนี่นา 

                   ทั้งๆที่รายการทีวีก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษนอกเสียจากการรายงานข่าวประจำวันธรรมดาๆ แต่พวกเขากลับไม่อยากให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปเลย แต่ดูเหมือนความสุขของพวกเขาจะสั้นไปหน่อย เมื่อเสียงโทรศัพท์ของจินดังขึ้น



    [ลูกอยู่ไหน นี่มันจะสี่ทุ่มแล้วนะ พ่อไม่อนุญาตให้ไปนอนค้างไอ้เด็กจอมหื่นนั่นหรอกนะรู้เอาไว้ซะด้วย รีบกลับมาให้ถึงก่อนห้าทุ่ม ไม่อย่างนั้นพ่อจะกักบริเวณลูก นี่จริงจังมาก ฟหกด่าสวสวฟร@#$^*#$%]



    และอีกมากมายที่ทำให้คนเป็นลูกตัดสินใจกดตัดสาย แอสตันหัวเราะแห้งๆเพราะเสียงที่ลอดออกมาจากโทรศัพท์ทำให้เขาพอจะจับใจความได้ คงต้องใช้เวลาอีกนานแน่ๆกว่าเขาจะทำคะแนนจากคุณวิษณุจนคนอายุมากกว่านั่นยอมรับเขาในฐานะลูกเขยอ่ะ

                   สุดท้ายพวกเขาก็ต้องจำใจลุกออกจากโซฟา และคงต้องรีบพาเจ้าหญิงองค์น้อยกลับไปคืนให้กับคนเป็นพ่อให้เร็วที่สุดล่ะนะ


    “ป๊าก็เงี้ย จริงๆไม่มีอะไรมากหรอกน่า” พูดปลอบใจก่อนจะเลื่อนมือไปกุมมือของรุ่นพี่ตัวสูง แล้วแกว่งไปมาเบาๆ แอสตันหลุดคลี่ยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ทำไมแฟนของเขาถึงได้น่ารักขนาดนี้นะ

    “จินนอนค้างกับพี่ไม่ได้หรอ ไม่อยากให้กลับเลย” ส่งสายตาอ้อนๆ นี่เขาพูดจริงๆนะ ทำไมรู้สึกไม่อยากจะอยู่ห่างเจ้าเด็กนี่ยังไงก็ไม่รู้ คนเป็นน้องเหลือบมองท่าทางของคนอายุมากกว่าก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ถ้าไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง ก็คงไม่มีใครเชื่อหรอกว่ารุ่นพี่คนนี้มีมุมน่ารักๆแบบนี้อยู่ด้วยเหมือนกัน

    “พี่กล้าไปขอป๊าให้ป่ะล่ะ” พูดพลางยักคิ้วท้าทาย ทำเอาแอสตันต้องหงอลงทันที ฟังจากน้ำเสียงเมื่อครู่นี้ ถ้าเขายังกล้าเสนอหน้าไปขอตัวลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณอาเขามานอนกอด มีหวังโดนจับโยนออกมานอกบ้านแน่ๆ

    “เดี๋ยวก็เจอกันแล้ว นี่ตกลงใครอายุมากกว่าใครกันแน่เนี่ย” เมื่อเห็นว่าคนรักของตัวเองยังทำตัวง้องแง้ง ยืดเยื้อไม่ยอมให้เขากลับ ด้วยการกักตัวเอาไว้ในอ้อมแขนของตัวเองแบบนี้ เขาเองก็เริ่มจะไม่อยากไปแล้วเหมือนกันนะ


    "ขออีกห้านาที”


    พูดงึมงำเสียงเบา แล้วค่อยๆซุกใบหน้าลงบนซอกคอหอมๆของคนเป็นน้อง จินหลุดหัวเราะคิกออกมาด้วยความจั๊กจี๋ ก่อนจะค่อยๆกอดตอบอย่างแผ่วเบา ยอมรับว่าตอนนี้เขากำลังมีความสุขมาก ทุกอย่างมันดูราบรื่น ราบรื่นเสียจนเขารู้สึกกลัวขึ้นมา...


    เหมือนกับทะเลที่สงบก่อนที่พายุจะก่อตัวขึ้นมายังไงก็ไม่รู้


    เผลอกอดคนตรงหน้าแน่นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ไม่เอาแล้วนะ ตอนนี้เขามีความสุขมาก มากเสียจนไม่มีความกล้าหลงเหลืออยู่อีกแล้ว ถ้าต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดอีกครั้ง มีหวังเขาคงจะต้องทรมานตายแน่ๆ


    “จิน”


    แอสตันที่พอจะรับรู้ถึงความกังวลของคนในอ้อมกอด อดที่จะรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะความโลเลของเขา กำลังทำให้เด็กคนนี้อ่อนแอสินะ

    ค่อยๆกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น จุมพิตลงบนกลุ่มผมนุ่มเพื่อเป็นการปลอบประโลม ก่อนจะค่อยๆก้มลงกระซิบแผ่วเบาที่ข้างใบหู แม้จะแผ่วเบาแต่ก็หนักแน่น หนักแน่นพอที่จะทำให้คนอ้อมกอดของเขาเชื่อมั่นในความรักครั้งนี้




    “จินครับ พี่สัญญาว่าต่อจากนี้ไปหัวใจของพี่จะมีแต่จินนะ”




    เขาเคยคิดว่าการเริ่มต้นใหม่น่ะมันเป็นเรื่องยาก แต่ตอนนี้...มันคงจะคุ้มค่าหากเขาเริ่มต้นกับเด็กคนนี้










    รถแอสตันมาร์ตินค่อยๆจอดที่หน้าคฤหาสถ์สุดหรู เด็กหนุ่มร่างเพรียวก้าวลงจากรถ และคงจะเดินเข้าบ้านไปแล้ว ถ้าไม่ติดว่าโดนมือหนาของสารถีประจำตัวคว้าหมับเข้าที่ข้อมือซะก่อน

    จินเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่ามีอะไรรึเปล่า แอสตันหลุดคลี่ยิ้มแห้งๆ เขาคงจะยืดเวลาให้ได้อยู่ด้วยกันมากกว่านี้แน่ๆ ถ้าไม่ติดว่ารับรู้ได้ถึงรังสึอำมหิตที่ถูกส่งมาจากหน้าประตูบ้าน


    คุณวิษณุนี่น่ากลัวจริงๆ


    “ฝันดีนะครับ เด็กดื้อ”


                   กระซิบเสียงแผ่วเบาที่ข้างใบหู อยากจะอยู่ด้วยกันให้นานกว่านี้ แต่มันคงจะเป็นไปไม่ได้ เลยตัดสินใจตัดใจบอกลา จินที่เห็นท่าทางหงอยๆของรุ่นพี่คนสนิทก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

    ค่อยๆยกกระเป๋าขึ้นเพื่อบังไม่ให้คุณพ่อบังเกิดเกล้าเห็นว่าลูกชายของตัวเองกำลังทำอะไร บรรจงประทับจุมพิตลงที่มุมปากของคนตัวสูง ก่อนจะถอยใบหน้าออกมาพร้อมกับคลี่ยิ้มอย่างเขินๆ


    “Goodnight ครับ”











    เขาอยากจะดิ้นตายให้มันรู้แล้วรู้รอด ทำไมเด็กนั่นถึงได้ทำตัวน่ารักได้ขนาดนี้ นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกเขินและใจเต้นแรงขนาดนี้มาก่อน ตอนนี้ไม่ว่าจะทำอะไร หรือเวลาไหนเขาก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีใบหน้าน่ารักๆของคนรักของตัวเองลอยไปลอยมาเต็มไปหมด

    ลืม ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมแม้กระทั่งความเจ็บปวดที่ต้องเผชิญมาหลายปี ทั้งๆที่เขารู้จักกับจินมายังไม่ถึงปีด้วยซ้ำล่ะมั้ง

    เผลอหลุดคลี่ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ บางทีเขาอาจจะลืมความรักครั้งเก่าได้เร็วกว่าที่คิดก็ได้ เพราะตอนนี้เหมือนกับสมอง และหัวใจของเขาค่อยๆถูกเจ้าเด็กดื้อนั่นยึดครองทีละนิดๆ



    และเขามั่นใจว่าอีกไม่นานทุกพื้นที่จะต้องตกเป็นของจินแน่ๆ



    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นดึงสติของเขาให้กลับมา หมายเลขที่โทรเข้ามาทำเอาหัวใจของเขากระตุกวูบ ทั้งๆที่คิดว่าทุกอย่างกำลังจะไปได้สวย ทำไมถึงได้โทรเข้ามาตอนนี้นะ

    ลังเลนิดหน่อย ก่อนจะตัดสินใจปล่อยให้สายโทรเข้าดังอยู่แบบนั้น หลับตานับตัวเลขในใจ ไม่ได้ เขาจะรับโทรศัพท์นี้ไม่ได้ ถ้าเขารับล่ะก็ทุกอย่างที่พยายามทำมา ทุกสิ่งที่เด็กนั่นทำให้เขามันจะพังทลายลงไม่มีชิ้นดีแน่ๆ

    ปลายสายเงียบไป ก่อนที่จะดังขึ้นอีก เป็นแบบนั้นอยู่กว่าสิบสาย แม้จะรู้สึกผิดไม่น้อย แต่เขาตัดสินใจแล้วนี่ เขาไม่อยากจะทำร้ายจินมากไปกว่านี้แล้ว ทำแบบนี้มันเป็นวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย จริงไหม...

    เสียงแจ้งเตือนครั้งสุดท้ายไม่ใช่เสียงเรียกเข้า แต่เป็นเสียงของข้อความ ลังเลนิดหน่อยก่อนจะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ถ้าแค่ข้อความก็คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง

    สไลด์หน้าจอเพื่อเปิดอ่าน ตัวหนังสือที่ร้อยเรียงอยู่บนหน้าจอทำเอาเขาเผลอเหยียบเบรกอย่างกระทันหัน สมองของเขาชาไปชั่วขณะเหมือนกับมีคนเอาของหนักๆมาฟาด







    Reepha : แอสตัน พี่ท้อง









    -----------------------------------------------------------------------

    Talk : สครีมลั่นนนนน!!! ไรท์ไม่ได้ดองนิยายแล้วน้าาาา

              คือฟิลลิ่งมันมา แต่ตอนต่อไปอาจจะต้องรอกันหน่อยนะคะ อิอิ

              กำลังจะถึงจุดไคลแมกซ์ของเรื่องแล้วนะคะ

              อัลไล๊ ไม่ดราม๊า จริง จริ๊ง หยอกเล่นนะคะ อุอิ

              ยังไงก็ช่วยติดตาม และมาช่วยกันลุ้นเถอะนะคะ ว่าต่อไปจะเป็นยังไง

              รับรองว่าเข้มข้นฉุดๆ O^O







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×