ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Yaoi) What is love? รักวุ่นวายร้ายเกินพิกัด (End)

    ลำดับตอนที่ #35 : -33-

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 193
      2
      12 ก.พ. 59




    -33-






    “นี่ๆ เวลาชู้ตบาสอ่ะ ชู้ตมาทางนี้นะ”



    น้ำเสียงสดใสเอ่ยเจื้อยแจ้ว ก่อนที่ภาพบนหน้าจอจะปรากฎเป็นภาพของเขากำลังยืนเลี้ยงลูกบาสอยู่ ไม่ไกลจากคนถือกล้องเท่าไหร่นัก ต่อให้ไม่เห็นหน้าแต่ก็พอจะเดาออกล่ะนะ ว่าตอนนี้เจ้าเด็กแสบต้องกำลังคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่แน่ๆ


    “หืม ทำไมอ่ะ”



    “ก็จินเป็นห่วง”



    “…”


    “หันหน้าหนีทำไมอ่ะ เขินอ่ะดิ มาๆ มากอดกันแก้เขินเร็ว”


    ภาพของพวกเขาสองคนที่เบียดกันเพื่อให้ไม่หลุดเฟรม ร่างบางๆของคุณแฟนตัวแสบกระโดดขี่หลังแบบกระทันหันจนเขาแทบจะยึดร่างนั้นเอาไว้ไม่ทัน กล้องสั่นจนภาพที่ถูกถ่ายเบลอไปหมด ก่อนที่คลิปวิดีโอจะจบด้วยภาพของเด็กหนุ่มสองคนลงไปนอนหัวเราะบนพื้นโรงยิม


              แค่นึกถึงความรู้สึกในตอนนั้นมันก็ทำให้เขาหลุดยิ้มออกมาอย่างง่ายดาย ก่อนที่ประโยคที่คุณแฟนจอมดื้อเคยพูดจะลอยเข้ามาในหัว







    “ถ้าพี่คิดถึงผม ก็เปิดดูคลิปพวกนี้นะ จะถ่ายไว้ให้เมมเต็มเลย”






    คำพูดที่เหมือนจะดูเล่นๆ แต่เจ้าเด็กแสบนั่นทำจริงๆ และเขาเองก็ทำอย่างที่เจ้าเด็กดื้ออย่างจินบอกจริงๆซะด้วยสิ ไม่รู้ว่าเผลอนั่งดูคลิปวิดีโอพวกนี้อยู่นานแค่ไหน หรือเปิดดูวนซ้ำๆไม่รู้กี่รอบ แต่ไม่ว่าจะทำยังไง



    ความคิดถึงมันก็ไม่ได้ลดลงเลย...



    ไม่รู้ว่าตัวเองยังมีสิทธิ์ที่จะบ่นว่าคิดถึงอยู่รึเปล่า ในเมื่อดันทำตัวลังเล แล้วเผลอทำร้ายความรู้สึกของจินไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง แต่จะให้เขาทิ้งผู้หญิงที่กำลังหมดที่พึ่งแบบรีฟาได้ยังไง ก็ได้แต่หวังว่าตัวเองจะสามารถจัดการเรื่องทุกอย่างให้ลงตัวได้โดยเร็ว


    เร็วพอที่จะสามารถไปง้อเจ้าเด็กนั่น ก่อนที่เด็กน้อยของเขาจะหมดใจรักเขาไปเสียก่อน...



    ภาพบนหน้าจอโทรศัพท์เปลี่ยนเป็นแสดงว่ามีสายกำลังโทรเข้ามา เลิกคิ้วอย่างแปลกใจนิดหน่อย เมื่อเบอร์ที่โชว์เป็นเบอร์ของเพื่อนสนิท ที่พึ่งจะทะเลาะกันไปไม่กี่วันที่ผ่านมา และแน่นอนพวกเขาแทบจะไม่ได้ติดต่อกันเลยหลังจากนั้น

    แต่ก็เป็นเรื่องปกติแหละนะ เพราะทุกครั้งที่มีเรื่องทะเลาะ ต่างฝ่ายต่างถอยห่างออกมาเพื่อควบคุมตัวเอง แล้วค่อยมาปรับความเข้าใจกันทีหลัง หรือเผลอๆ อาจจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นซะด้วยซ้ำ


    [ตายยังวะ]



    น้ำเสียงทุ้มแหบดังลอดมาตามสาย ประโยคที่ดูจะกวนตีนไปหน่อย ขัดกับน้ำเสียงที่ดูแสดงความห่วงใยอยู่ไม่น้อย และนั่นทำให้เขาหลุดขำออกมาเสียไม่ได้ ควบคุมเสียงหัวเราะของตัวเอง ก่อนจะกรอกเสียงตอบลงไป



    “ถ้ากูตาย กูจะไปหลอกมึงคนแรกเลย”



    [เออ มาหลอกกูก็ดี ขอเลขท้ายสองตัวบนด้วยแล้วกันนะ ถุย]



    “ฮ่าๆๆ โทรมามีไร กูไม่เชื่อว่ามึงจะโทรมาแค่เพื่อให้กูกวนตีน”



    เหลือบดูนาฬิกาที่แขวนไว้ในห้อง เข็มนาฬิกาบ่งบอกเวลาว่าตอนนี้เป็นเวลาที่ถ้าคิดจะชวนออกไปไหน ก็คงมีแค่สถานบันเทิงเริงรมณ์เท่านั้นแหละ



    [ก็รู้นี่หว่า ไปแดกเหล้ากัน]



    แล้วเขาเคยเดาผิดซะที่ไหน














    แล้วคิดว่ายังไงล่ะ ก็ไม่ต้องคิดหรอก เพราะพวกเขาก็ไม่คิดมากอะไรอยู่แล้ว ปกติก็ไปร้านเหล้าที่เป็นร้านประจำของต้นไผ่ตลอด แต่เอาจริงๆนะ ไม่รู้ว่ามีอยู่กี่สิบร้าน เพราะแต่ละครั้งนี่ไปไม่เห็นจะซ้ำกันสักที แต่ก็สุ่มๆเลือกมาก่อนจะนัดแนะกันเสร็จสรรพ


    “ทำไมจู่ๆก็ชวนกินเหล้าวะ”


    น้ำเสียงทุ้มเรียกให้เพื่อนสองคนที่กำลังเดินนำไปทางเข้าร้านหันกลับมามอง เรียวสบตาเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆนิดหน่อย ก่อนจะจัดการตบกะโหลกหนาๆนั่นไปหนึ่งทีเพื่อกันไม่ให้หมาที่อยู่ในปากออกมาวิ่งเพ่นพ่านอีก


    เพราะพวกเขาสองคนตกลงกันแล้ว ว่าวันนี้จะเคลียร์กับไอ้เดือนคณะนี่ให้รู้เรื่อง


    “ให้มึงทาย”


    แอสตันหลุดหัวเราะหึออกมากับประโยคที่ได้ยิน เป็นเพื่อนกันมาตั้งกี่สิบปี รู้ไส้รู้พุงกันหมดแหละ ไม่เห็นต้องมาทำอ้อมค้อมเลย



    “มึงมีอะไรจะถามกูล่ะสิ”



    เรียวกระตุกมุมปาก ยังมีหน้าจะมาพูดแบบนี้อีก นี่อดทนรอให้มันอารมณ์เย็นมานานได้ขนาดนี้ก็บุญหัวแล้วนะ ถ้าวันนี้ถามดีๆไม่ได้ ก็ตั้งใจจะใช้กำลังแล้วล่ะ



    “ถ้าถามมึงจะตอบมั้ย”



    “ก็ขึ้นกับว่ามึงถามว่าอะไร”



    ความเงียบค่อยๆโรยตัวลงรอบพวกเขา เรียวจ้องเขม็งไปยังเพื่อนสนิทของตัวเอง ส่วนแอสตันเองก็ไม่ได้หลบสายตาไปไหน นัยน์ตาทั้งสองคู่สอดประสานกัน ถ้าเป็นในหนังในการ์ตูนก็คงจะเห็นเป็นสายฟ้าประสานกันเกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆแล้วล่ะมั้ง


    ต้นไผ่ที่ยืนดูสถานการณ์อยู่นาน หลุดถอนหายใจออกมายาวๆ เขาล่ะเบื่อไอ้เพื่อนสองตัวนี้จริงๆ ชอบพูดจาอ้อมไปอ้อมมา เหมือนจะถามก็ไม่ถาม เหมือนจะตอบก็ไม่ตอบ จนเขาเริ่มจะปวดหัว ปวดตับ



    “กูว่านะ เอาเหล้าเข้าปากซะหน่อย บทสนทนาคงจะลื่นไหลขึ้นว่ะ”













    เหมือนกับโลกหยุดหมุน ทั้งๆที่แสงไฟภายในร้านนั้นสลัวมากแค่ไหน แต่ภาพที่ปรากฎต่อสายตาของเขามันกับเด่นชัด จนเขาอยากจะขอร้องให้มันดูเบลอกว่านี้สักหน่อย หรือไม่ก็เป็นเพราะว่าเขาคิดถึงเด็กนั่นมากเสียจนเห็นเป็นภาพหลอน

    แต่ถ้าเป็นภาพหลอนก็ดูจะเป็นอะไรที่บ้ามากแน่ๆ ก็ไอ้บ้าที่ไหนจะเห็นภาพหลอนแฟนตัวเองจูบกับผู้ชายคนอื่นเพราะความคิดถึงกันล่ะ

    ไม่รู้หรอกว่าเดินชนใคร หรืออะไรบ้าง เพราะตอนนี้ในหัวเขามีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น






    “มึงถอยออกไปจากจินเดี๋ยวนี้”






    “พี่แอสตัน”


    น้ำเสียงนุ่มเรียกชื่อเขาเสียงเบาหวิว เหมือนกับไม่ค่อยเชื่อว่าคนที่มากระชากตัวไอ้หนุ่มหน้าจีนนั่นคือเขาอย่างนั่นแหละ ไล่สายตามองเด็กดื้อที่ไม่ได้เห็นหน้า หรือแม้แต่ได้ยินเสียงกันมาหลายวัน ความรู้สึกที่หลากหลายปะทุอยู่ในหัว จนไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไรต่อ



    ///พลั่ก///



    ไม่ทันจะได้พูดอะไร ก็โดนแรงจากกำปั้นแข็งๆพุ่งมากระแทกเข้าที่ใบหน้า จนร่างกายเซถลาลงไปกองกับพื้น




    “ไอ้เหี้ยนี่ มึงอยากโดนตีนกูมากใช่มั้ย ก็ดี กูคันไม้คันมืออยากฟาดหน้ามึงมานานแล้ว”




    เสียงทุ้มแหบดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่สูงพอๆกับเขาค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะกระชากตัวเขาขึ้น นัยน์ตาคมเป็นประกายกร้าวด้วยความไม่พอใจ



    “ใครให้มึงมายุ่งกับแฟนชาวบ้านล่ะวะ”



    คำพูดที่หลุดออกมาจากริมฝีปากได้รูปนั่นทำเอาจิวซื่อหลุดหัวเราะหึออกมา เขาไม่อยากจะเชื่อว่าไอ้บ้านี่มันยังกล้าพูดประโยคอะไรแบบนี้ออกมาอีก แฟนงั้นหรอ... ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองรุ่นน้องตัวแสบที่กำลังมองมาทางพวกเขาสองคนด้วยสายตากังวล




    มึงกังวลเพราะเป็นห่วงกู หรือห่วงไอ้เหี้ยนี่กันแน่วะจิน




    หัวเราะตัวเองด้วยความสมเพช นี่ยังต้องถามอีกหรอ มันก็ต้องเป็นไอ้บ้านี่อยู่แล้ว แต่ก็นะ ขอให้เขาได้ทำตามความรู้สึกของตัวเองบ้างเหอะ คนอย่างจิวซื่อน่ะ แมนพอที่จะทำเพื่อคนที่ตัวเองรัก... แต่ในเมื่อทำไปแล้วมีแต่เจ็บ เขาก็ควรจะทำเพื่อตัวเองบ้างจริงป่ะ แถมการทำเพื่อตัวเองยังเป็นการช่วยเด็กนั่นไปในตัวด้วย


    รักงั้นหรอ นี่เขาเผลอตกหลุมรักไอ้เด็กบ้านั่นจริงๆสินะ




    “มึงยังกล้าพูดว่า’แฟน’ อีกหรอวะ”




    “…”




    “ว่าไง ทำไมไม่ตอบวะ จ้องกูทำห่าอะไร อ๋อ จริงๆมึงก็รู้สึกเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ ว่าอย่างมึงน่ะ ยังมีสิทธิ์เรียกจินว่าแฟนอยู่หรอ”




    “มึง”



    “ถ้าจะตีกันไปหลังร้าน”



    น้ำเสียงแหบของคนอายุมากกว่าเอ่ยขัดสถานการณ์วุ่นวายตรงหน้า นายหันไปขอโทษเจ้าของร้านที่เป็นพี่ที่รู้จักกัน คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนส่ายศีรษะเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร แต่ก็ไม่อยากจะให้รบกวนลูกค้าคนอื่น ก็เลยบอกให้ไปที่หลังร้านดีกว่า

    นายหลุดหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะบอกให้เพื่อนสนิทตัวเองเปลี่ยนสถานที่เคลียร์ปัญหาหัวใจ เกิดมาก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้มาเจอปัญหารักสามเส้าตรงๆแบบนี้ แถมที่สำคัญยังเป็นเรื่องของผู้ชายสามคนอีกต่างหาก




    “พี่นาย พี่ควรจะห้ามดิวะ หาที่ตีกันให้ทำซากอะไร”




    จินที่พึ่งรวบรวมสติได้โพล่งขึ้นมาอย่างขัดใจ ทั้งๆที่คิดว่าจะมาเคลียร์เรื่องวุ่นวายในชีวิตตัวเองให้จบแท้ๆ แต่ดันมาเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ปวดหัวมากกว่าเดิมซะอีก

    นายส่ายศีรษะไปมาอย่างขำๆ ก่อนจะยื่นมือไปตบบ่าอดีตรุ่นน้องร่วมวงแปะๆ



    “ปล่อยมันหาที่ระบายบ้าง เดี๋ยวมันจะเป็นโรคประสาทตายก่อน”



    กลอกตากับประโยคที่ได้ยิน ทำไมเขาจะไม่รู้แผนการของรุ่นพี่คนนี้ล่ะ เรื่องหาความสนุกบนความทุกข์ของคนอื่นพี่นายเนี่ยถนัดนักเชียว หันไปส่งสายตาหาสไปรท์ ดูเหมือนเพื่อนสนิทเขาเองก็คงจะรอการตัดสินใจของเขาอยู่ก่อนแล้ว ถึงได้พยักหน้ารับแทบจะในทันที










    เสียงโวยวาย กับกำปั้นกระทบกัน ทำเอาจินที่ตามออกมาทีหลังรู้สึกกังวลขึ้นมากขึ้นไปอีก ให้ตายเหอะ เฮียจิวที่ปกติอารมณ์ร้อนอยู่แล้ว พอเหล้าเข้าปากไปอีก การควบคุมอารมณ์เลยยิ่งติดลบเข้าไปใหญ่ อันนี้พอเข้าใจ

    แต่พี่แอสตัน ที่ร้อยวันพันปีแม่งทำตัวคูลตลอด ทำไมถึงได้ชอบน็อตหลุดทุกครั้งที่เจอหน้าเฮียจิวด้วยวะเนี่ย จินสบถออกมาอย่างหงุดหงิด ทั้งๆที่อายุก็ขึ้นเลขสองกันหมดแล้ว ทำไมยังทำอะไรเป็นเด็กๆอยู่ได้



    “พี่สองคนหยุดเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย”



    ตะโกนเพื่อพยายามเรียกความสนใจและหยุดการฟัดกันของคนทั้งคู่ แต่ดูเหมือนไอ้รุ่นพี่บ้าทั้งสองคนจะไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย ต่อยกันจนรอยช้ำเปลี่ยนเป็นเลือดซึมซิบๆออกมาแทน

    เมื่อรู้ว่าตะโกนไปก็ไม่ได้ผล เลยตัดสินใจหันไปขอความช่วยเหลือจากบรรดารุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนของสองคนนั้นแทน แต่อะไรคือการยืนมองด้วยสีหน้าที่ดูพึงพอใจแบบนั้นวะ



    “ไม่คิดจะห้ามหรอครับ”



    ถามออกมาอย่างเหลืออด รู้ตัวดีว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกมาแสดงความไม่พอใจไม่น้อย แต่เขาไม่สนแล้วว่าจะทำตัวหยาบคายใส่รุ่นพี่ตัวเองรึเปล่า สิ่งเดียวที่เขาต้องการในตอนนี้คือหาทางหยุดสองคนนั่น



    “ไม่อ่ะ”



    อเล็กซ์กับนายแทบจะตอบออกมาพร้อมๆกัน นัยน์ตาคมของคนทั้งคู่เป็นประกายฉายแววสนุก จินกลอกตาอย่างเหลืออด เออ ในเมื่อพึ่งพี่สองคนนี้ไม่ได้ เขาเลยหันไปทางเรียวกับต้นไผ่แทน

    ทั้งสองคนที่พอจะรับรู้ได้ถึงสายตาของรุ่นน้อง ก็หันไปสบตากันนิดหน่อย ก่อนจะยักไหล่ส่งๆไปให้



    “คนที่จะหยุดสองคนนั้นได้มีแต่จินเท่านั้นแหละ”



    เรียวพูดยิ้มๆ แต่ทำเอาคนฟังถึงกับต้องกุมขมับ หมายความว่าไม่มีใครคิดจะช่วยเขาเลยสินะ



    เออ!!! ได้ เขาหยุดไอ้บ้าสองคนนั้นเองก็ได้



    “เฮ้ยจิน มึงจะบ้าหรอ ระวะ...”


    ///พลั่ก///


    สไปรท์ที่พึ่งจะเข้าใจว่าเพื่อนตัวเองกำลังจะทำอะไร ตั้งใจจะห้ามแต่ก็ไม่ทันซะแล้ว เมื่อไอ้เพื่อนตัวบางนั่นเดินดุ่มๆเข้าไปตั้งใจจะไปแยกไอ้รุ่นพี่ที่ไม่รู้เมายาที่ไหน ถึงได้ฟัดกันเต็มเหนี่ยวขนาดนั้น


    คือคุณมึงครับ ช่วยประเมินประสิทธิภาพของตัวเองด้วยครับ ไม่ทันจะพูดอะไร เพื่อนสนิทของเขาก็กระเด็นออกมานอกวง คาดว่าน่าจะโดนกำปั้นของใครสักคนในสองคนนั้นฟาดมาแน่ๆ


    ใบหน้าขาวๆของเพื่อนสนิทบริเวณโหนกแก้มแดงก่ำ ก่อนจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นรอยช้ำ



    “เจ็บมั้ยวะมึง”



    “ถามมาได้ เจ็บดิวะ โว้ย กูโดนม๊าทำโทษแหงๆ”



    “มึงทำตัวเองนะ แล้วอย่ามามองหน้ากู มึงก็รู้คนอย่างเฮียจิวควรเอาตัวเข้าไปแลกซะที่ไหน -_-”



    สไปรท์มองเพื่อนตัวเองอย่างเอือมๆนิดหน่อย เขาก็อยากจะช่วยอ่ะนะ แต่ถ้าจะให้เสียสละร่างกายของตัวเองไปทนรับมือรับเท้าของพี่มันสองคน เขาไม่เอาด้วยหรอก



    “แม่งเอ๊ย”



    จินสบถออกมาอย่างหงุดหงิด นี่มันชักจะเกินไปแล้วนะเว้ย นอกจากจะไม่หยุดแล้ว ยังไม่แม้แต่จะรู้ตัวด้วยว่าต่อยเขาจนกระเด็นออกมาขนาดนี้ ไหนบอกว่าชอบไงวะ แล้วนี่กล้าต่อยคนที่ตัวเองชอบได้ไง ไอ้จินคนนี้ทนไม่ไหวแล้วจริงๆนะเว้ย



    “พี่ๆ”



    ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นพนักงานของร้าน ที่เดินก้มๆพยายามหลีกเลี่ยงกลุ่มของพวกเขาเพื่อที่จะเอาถังน้ำแข็งไปเปลี่ยนโดยที่ไม่ให้ตัวเองโดนลูกหลง

    คนถูกเรียกชะงักนิดหน่อย ก่อนจะมองมาทางเขาอย่างงงๆ จินกวักมือเรียกให้เข้ามาหา แต่พนักงานคนนั้นกลับส่ายหัวพรืด ทำท่าจะเดินหนีอีกต่างหาก นัยน์ตาเรียวสวยกลอกไปมาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาแทน



    “น้ำนี่ไม่ใช้แล้วใช่ป่ะ มีอีกถังป่ะครับ”



    พนักงานของร้านพยักหน้ารับงงๆ ก่อนจะเดินไปหยิบอีกถังที่วางอยู่หลังร้านให้ จินคลี่ยิ้ม ก่อนจะขอบคุณพร้อมกับให้แบงค์ยี่สิบไปสองสามใบ มือเรียวหิ้วถังกลับมา ทำเอารุ่นพี่ที่ยืนมองอยู่นอกวงต่างหันมองตาม



    “น้องจินคงจะไม่ได้กำลังทำในสิ่งที่พี่กำลังคิดใช่มั้ย”



    อเล็กซ์ที่พอจะจินตนาการเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นออก ถามออกมาอย่างหวั่นๆ


    จินกระตุกยิ้มมุมปากนิดหน่อย




    “เวลาหมากัดกัน มันก็ต้องสาดน้ำใส่จริงมั้ยล่ะครับ”




    พอพูดจบประโยคปั๊บ มือเรียวๆนั่นก็จัดการสาดถังน้ำแข็งที่ข้างในมีน้ำเย็นๆจากน้ำแข็งที่ละลายไปที่คนสองคนที่กำลังนัวเนียกันแทบจะในทันที จบถังแรกก็ตามด้วยถังที่สอง เอาแบบคนถูกสาดยังไม่ทันจะได้ร้องโวยวายเลยด้วยซ้ำ



    “เฮ้ย/เหี้ย”



    น้ำเสียงทุ้มๆดังขึ้นแทบจะพร้อมๆกัน ก่อนที่เหตุการณ์ทุกอย่างจะยุติลง ด้วยร่างกายอันเปียกชุ่มของร่างสูงทั้งสอง แอสตันและจิวซื่อต่างมองไปทางคนทำ ตั้งใจจะโวยวายใส่ แต่พอเห็นว่าใครเป็นคนทำแล้ว ทั้งสองต่างตัดสินใจหุบปากฉับแทบจะในทันที




    “เลิกบ้ากันได้รึยังครับ”




    นัยน์ตาเรียวสวยหรี่ลงมองสภาพของรุ่นพี่ทั้งสองคน เสื้อผ้าหลุดลุ่ย แถมยังเปื้อนดินบนพื้น ไหนจะรอยแผลฟกช้ำปนเลือดซิบที่ปรากฎอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาปานเทพเจ้าปั้นของทั้งคู่อีก ให้ตายเถอะ ทำไมถึงได้ทำอะไรบ้าๆแบบนี้ได้นะ



    ถ้าเป็นเมื่อหลายวันก่อนเขาคงจะร้องไห้ หรือหนีกลับบ้านไปเพราะทำอะไรไม่ถูกแล้ว แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้วล่ะ เขาเบื่อ เบื่อกับเรื่องวุ่นวายพวกนี้ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะทำให้เรื่องมันซับซ้อนมากไปกว่านี้เพื่ออะไร

    รู้ตัวดีว่าหนีไปเรื่องมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก ทางเดียวก็คือ แม่งเผชิญหน้ามันตรงๆนี่แหละ


    สูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อรวบรวมแรงทั้งหมดที่ตัวเองมี ก่อนจะพูดเสียงไม่ดังไม่เบา แต่เอาให้ได้ยินกันชัดเจน




    “กัดกันจนพอใจกันรึยังครับ กัดกันอย่างกับหมาบ้า ถามจริงเป็นไรมากป่ะวะ”




    “คิดว่าตีกันแบบนี้แล้วเรื่องทุกอย่างมันเคลียร์รึไง แค่นี้ก็ปวดหัวจะตายห่าอยู่แล้ว”




    ความเงียบค่อยๆโรยตัวลง ไม่มีใครกล้าพูดอะไร จิวซื่อกับแอสตันต่างหันหน้าไปคนละทาง ไม่กล้าที่จะสบตารุ่นน้องที่ได้ชื่อว่ากุมหัวใจของพวกเขาทั้งสองคนเอาไว้

    จินหลุดถอนหายใจยาวออกมาอย่างเหลืออด เออ ให้มันได้อย่างนี้ ทีแบบนี้ล่ะทำเป็นไม่กล้าสบตา



    “เฮียจิว”



    น้ำเสียงนุ่มตัดสินใจเรียกรุ่นพี่คนสนิทก่อน จิวซื่อสบถออกมานิดหน่อย ก่อนจะยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามว่าไม่ต้องพูดอะไรต่อ



    “กูรู้ แม่งเอ๊ย”



    “-_-”



      จินมองท่าทางหงุดหงิดของรุ่นพี่คนสนิทอย่างเหนื่อยๆ รู้ รู้อะไรวะครับ นี่เขามีรุ่นพี่นิสัยเด็กแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ แล้วกระชากคอเสื้อของเฮียจิวของเขาลงมา ภาพตรงหน้าทำเอาคนมองถึงกับมองตาค้าง


    ริมฝีปากของคนทั้งคู่แนบชิดติดกัน ก่อนจะเกิดเสียงเบาๆเมื่อผละออก การกระทำของจินทำเอาทุกคนมองตาค้าง รวมถึงคนถูกจูบอย่างจิวซื่อด้วย

    นัยน์ตาคมทอดมองรุ่นน้องอย่างสงสัย ก่อนจะได้รับแววตาจริงจังจากจินกลับมา นิ่งค้างนิดหน่อย ก่อนจะค่อยๆเข้าใจกับสิ่งที่เด็กนี่ทำ เขาพอจะเข้าใจในสิ่งที่เจ้าเด็กแสบนี่สื่อแล้วล่ะ




    ก็การที่คนอย่างจินกล้าจูบเขาได้อย่างไม่ลังเล แล้วมีปฏิกิริยาแบบนี้ มันก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่รึไง ว่าเด็กนี่คิดกับเขาแค่พี่ชาย




    “หึ”



    หลุดหัวเราะออกมา รู้สึกสมเพชตัวเอง นั่นสินะ แล้วเขาจะอยู่ตรงนี้ต่อไปเพื่ออะไรล่ะ ขยี้หัวตัวเองนิดหน่อย ตามนิสัยที่ชอบทำเวลาอะไรๆไม่ได้ดั่งใจ ก่อนจะเดินโซเซไปหาเพื่อนสนิทสองตัวที่ยืนมองมาทางเขาอยู่ก่อนแล้ว ไม่ได้มองด้วยสายตาเห็นใจอะไรทั้งนั้น

    ก็ดี เพราะเขาไม่ชอบให้ใครมาเห็นใจอยู่แล้ว เป็นฝ่ายเดินนำออกไปก่อน เสียงฝีเท้าที่ดังมาตามหลังเป็นการบอกว่าไอ้เพื่อนบ้าสองคนนั่นเข้าใจ และเดินตามเขามาอยู่



    “เฮียจิว”



    น้ำเสียงนุ่มที่เขาอยากจะให้เอ่ยชื่อของเขาซ้ำๆดังขึ้นหยุดร่างกายของเขาอย่างกับเป็นระบบอัตโนมัติ





    “อย่าลืมกลับมาเลี้ยงสตาร์บัคจินอีกนะ”




    หลุดหัวเราะกับประโยคที่ได้ยิน ชูแขนขึ้นเหนือศีรษะก่อนจะทำสัญญาณมือเป็นการบอกว่าโอเค


    แน่นอนว่าเขาจะกลับมา...หลังจากจัดการไอ้ความรู้สึกบ้าๆของตัวเองได้แล้วน่ะนะ











    จินมองแผ่นหลังของรุ่นพี่คนสนิทที่ค่อยๆหายเข้าไปในร้าน รู้สึกเหมือนยกอะไรสักอย่างออกไปจากอกได้ครึ่งนึง อย่างน้อยเรื่องของเขากับจิวซื่อก็จบลงไปได้ดี เหลือบสายตาไปทางร่างสูงที่ไม่ได้เห็นกันนานพอที่จะพูดได้เต็มปากว่าคิดถึง



    ก็เหลืออีกแค่เรื่องเดียวสินะ


    “กูรอมึงอยู่หน้าร้านนะ”


    สไปรท์ที่พอจะประเมินสถานการณ์ตรงหน้าได้ว่าไอ้เพื่อนบ้าของเขามันคงอยากจะอยู่ตามลำพังกับรุ่นพี่ตัวสูง เลยหันไปส่งสายตาสื่อสารกันกับเรียว และต้นไผ่ ซึ่งท้ังสองคนเองก็คิดแบบเดียวกับเขา ถึงได้พยักหน้ามาให้ และทำแบบเดียวกันกับเขา


    จินคลี่ยิ้มบางๆไปให้เพื่อน รู้ตัวเองโชคดีที่ได้เจอเพื่อนแบบสไปรท์





    “ทำหน้าเป็นตูดไปได้ เป็นไรมากป่ะ”



    น้ำเสียงนุ่มที่ดังใกล้ขึ้น ทำให้แอสตันต้องเบนสายตามายังต้นเสียง ร่างบางๆของคนที่คอยแต่มาวนเวียนอยู่ในหัว และทำให้เขาคิดถึงแทบบ้า ตอนนี้อยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว อยากจะจับเข้ามากอดแน่นๆให้หายคิดถึง แต่สถานการณ์ตรงหน้ามันกำลังบอกเขาว่าเขาทำแบบนั้นไม่ได้

    เมื่อเห็นว่ารุ่นพี่ตัวสูงที่ควบตำแหน่งคนรักของตัวเองไม่โต้ตอบอะไร จินเองก็ตัดสินใจไม่พูดอะไรต่อ ยืนจ้องตากันอยู่แบบนั้น

    แอสตันเองก็ถือโอกาสนี้ไล่สายตามองใบหน้าของเด็กแสบที่แทบไม่ได้เจอกัน ใบหน้าคมสวยที่เขาสามารถมองยังไงก็ไม่เคยเบื่อ ดวงตาเรียว จมูกโด่งรั้น และริมฝีปากรูปกระจับสวย


    เหตุการณ์เมื่อครู่วนเข้ามาในหัว ภาพที่ริมฝีปากของเด็กคนนี้ถูกคนอื่นที่ไม่ใช่เขาสัมผัส มันทำให้รู้สึกเจ็บแปลกๆ จนแอสตันตัดสินใจเป็นฝ่ายเบนสายตาหนีไปทางอื่นแทน




    “ทำไมต้องจูบกับไอ้หน้าจีนนั่น”




    เมื่อไม่เห็นว่าจินจะพูดอะไรออกมาสักที เขาก็เลยเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลงด้วยประโยคที่ขนาดตัวเองยังรู้สึกเลยว่าแม่งโคตรจะงี่เง่า แต่ขอสักครั้งเถอะ ให้เขาได้งี่เง่ากับเรื่องที่เรียกว่า ‘ความรัก’ นี้บ้าง


    จินหัวเราะหึกับประโยคที่ได้ยิน ก่อนจะถามกลับในสิ่งที่เขาเองก็สงสัยมานานพอดู









    “แล้วพี่เอง เคยจูบกับคนอื่นตอนที่เรากำลังคบกันบ้างรึเปล่าครับ”



















    ------------------------------------------------

    Talk : เฮลโหลวววว อิทสมี 

    ไรท์อิสคัมแบ็คค่าาาา

    จากไปนานพอดู หวังว่าจะยังไม่ลืมนิยายเรื่องนี้นะคะ

    หมดข้อจะแก้ตัว ขอชดเชยด้วยการอัพตอนนี้ก็แล้วกัน อิอิ

    หมดเวลาดราม่าของนายเอกแล้ววว

    เพราะน้องจินของเรากำลังเข้มแข็งขึ้นแล้วนะคะ

    จะเป็นยังไงต่อไปหนอ ความรักมักจะทำให้เราอ่อนแอ

    จริงมั้ยคะ เพ้ออะไรของไรท์เนี่ย

    ยังไงก็ขอบคุณที่คอยเอ็นดูนิยายเรื่องนี้น้าาา ^___^














    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×