ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Yaoi) What is love? รักวุ่นวายร้ายเกินพิกัด (End)

    ลำดับตอนที่ #40 : -38-

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 176
      2
      3 ก.ย. 59




    -38-






    “แค่สองอาทิตย์เท่านั้น แล้วเรื่องทุกอย่างจะจบ พี่สัญญา”














     

    “ตกลงมึงกับพี่แอสตันนี่ยังไง”


    หลังจากลอบสังเกตพฤติกรรมของเพื่อนมาตลอดหนึ่งอาทิตย์ โอเค เขายอมรับว่าเพื่อนของเขาอาการดีขึ้นเยอะ ถึงแม้จะมีเหม่อๆอยู่บ้าง แต่เหมือนเพื่อนบ้ามันจะกลับไปคุยกับรุ่นพี่ตัวสูงคนนั้นแล้ว แต่เพราะจินไม่ยอมเปิดปากพูดอะไร เขาก็เลยปล่อยมา เพราะคิดว่าถ้าเพื่อนมันพร้อม มันคงจะเล่าให้ฟังเอง

    แต่เปล่าเลย ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว เจ้าเพื่อนนี่ก็ยังทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น กลับไปเป็นเหมือนตอนที่คบกับรุ่นพี่ตัวสูง โอเค ถึงระดับความมุ้งมิ้งกันจะลดลงไปเยอะก็เหอะ แต่ทำอย่างกับว่าเรื่องที่ทะเลาะกันใหญ่โตตอนนั้นเป็นเพียงแค่สิ่งที่เขามโนไปเองอย่างนั้นแหละ แต่เขาก็ไม่ไว้ใจหรอก เขาจะไม่ปล่อยไปเรื่อย จนเกิดเหตุการณ์บานปลายอีกแล้ว


    “ตอนนี้ไม่มีสถานะว่ะ”


    คำตอบกำกวม แถมเจ้าตัวก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองหน้าเพื่อนเลยสักนิด แต่ถึงเขาไม่มอง เขาก็พอจะเดาออกว่าไอ้เพื่อนสนิทที่มายืนค้ำหัวคาดคั้นเขาเนี่ย กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแน่ๆ


    “อะไรของมึงวะ”


    สไปรท์เกาหัวตัวเองแรงๆอย่างไม่เข้าใจ เริ่มจะรำคาญไอ้เพื่อนบ้านี่ตะหงิดๆ แต่เมื่อเห็นว่าจินไม่มีท่าทีว่าจะพูดอะไรต่อ หรือตอบคำถามตัวเองเลยสักนิด ถึงได้ตัดสินใจเป็นคนพูดออกมาก่อน


    “จิน กูไม่รู้หรอกนะว่าระหว่างมึงกับพี่แอสตันเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆคือเรื่องอะไร”


    นิ่งไปพักหนึ่งเพื่อเรียบเรียงคำพูด เพราะตอนนี้สิ่งที่เขาอยากจะบอกเพื่อนตรงหน้ามันมีมากมายซะเหลือเกิน


    “แต่กูอยากให้มึงรู้ว่า ชีวิตมึงไม่ได้มีแค่มึงกับพี่แอสตัน ยังมีพวกกู พ่อมึง แม่มึง ไหนจะพวกเฮียจิวอีก ทุกคนเค้าเป็นห่วงมึง เผื่อมึงยังไม่รู้”


    “ชีวิตมึงอ่ะไม่ได้อยู่ได้ด้วยความรักโง่ๆนั่นเพียงอย่างเดียวนะสัส”


    “ถ้าถึงเวลาที่มึงควรจะปล่อย มึงก็อย่าพยายามยื้อเลย คนดูมันเหนื่อยแทนว่ะ”


    ตัดสินใจพูดออกไปให้หมด พูดแบบขี้เกียจจะถนอมน้ำใจอะไรใครแล้ว ถ้ามีใครไม่เห็นด้วยกับเขาก็แล้วแต่ แต่นี่เป็นสิ่งที่เขา คนนอกที่อยู่กับไอ้เพื่อนบ้านี่มานานกว่ารุ่นพี่ตัวสูงนั่น เขารู้สึกว่าความรักครั้งนี้มันชักจะวุ่นวายเวิ่นเว้อเกินไปแล้ว

    ถ้าเพื่อนเขามีเรื่องให้ต้องเสียน้ำตา นั่งเป็นหมาหงอยอีกครั้งล่ะก็ เขาจะปล่อยไอ้เพื่อนบ้านั่นแล้ว เพราะถือว่าเตือนไปแล้ว และดูเหมือนไอ้เพื่อนสติไม่สมประกอบนี่พอจะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดไปบ้าง ถึงได้เงยหน้ามาสบตาเขาด้วยแววตาที่ไม่ได้เห็นมานาน แต่ก็ยังไม่ยอมเอ่ยปากพูดอะไรออกมาอยู่ดี จนคนรออย่างเขาเริ่มจะรำคาญ



    “เป็นใบ้หรอ”


    พูดอย่างหงุดหงิดพร้อมกับดีดหน้าผากไอ้เพื่อนบ้านี่ไปเต็มแรง เรียกเสียงร้องโอดครวญจากนักร้องประจำวงได้นิดหน่อย แต่ยังไม่ทันได้คาดคั้นอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์ที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นก่อน จินหลุดหัวเราะอย่างชอบใจ เมื่อตัวเองสามารถหลบเลี่ยงท่าทางเอาจริงเอาจังของเพื่อนสนิทได้สำเร็จ เขยิบตัวถอยออกมา ก่อนจะเหลือบมองดูรายชื่อของคนที่โทรเข้ามา

    แอบแปลกใจนิดหน่อย ก่อนจะหันไปสบตาสไปรท์ที่เหลือบมองมาทางเขาแบบไม่ค่อยพอใจ เลยขยับปากแบบไร้เสียงไปให้



    “ม๊า กู โทร มา”


    (จิน ไปซื้อของให้ม๊าหน่อย)


    น้ำเสียงหวานที่คุ้นเคยดังลอดมาตามสาย จินขมวดคิ้วนิดหน่อยอย่างไม่ค่อยเข้าใจ


    “ทำไมไม่ให้คนงานไปซื้ออ่ะม๊า”


    (ตอนนี้ที่ร้านม๊ายุ่งมาก ไม่มีใครว่างปลึกตัวไปได้เลย ถ้าจะให้คนที่บ้านซื้อให้ก็เสียเวลาอีก จินอยู่ที่ห้องซ้อมใช่มั้ย จินน่ะสะดวกสุดแล้ว)


    “แต่จินซ้อมดนตรีอยู่นะ”


    จะว่าเขาเป็นเด็กไม่ดีก็ได้ แต่การไปซื้อของให้ม๊าเนี่ย เป็นอะไรที่ลำบากและยุ่งยากสุดๆ เพราะของแต่ละอย่างไม่สามารถซื้อได้ในที่ที่เดียว ถ้าจะต้องหอบของพะรุงพะรังวิ่งไปวิ่งมาขึ้นแท็กซี่ มันไม่ใช่เรื่องสนุกซะเท่าไหร่หรอกนะ


    “เปล่าครับ มันโกหกครับ”


    สไปรท์ที่หมั่นไส้เพื่อนมานาน เมื่อเห็นว่าไอ้นักร้องประจำวงกำลังจะหาทางเอาตัวรอด เพื่อนที่แสนอย่างเขาจะทำอะไรได้ล่ะ ก็ต้องขัดขวางแหละจริงมั้ย จินหันขวับก่อนจะชูนิ้วกลางไปให้เพื่อนอย่างหงุดหงิด เล่นตะโกนมาดังขนาดนั้น แน่นอนว่าแม่ของเขาต้องได้ยินอยู่แล้ว


    (จิน)


    นั่นไงน้ำเสียงของแม่เขาเร่ิมฉายแววบีบบังคับมากขึ้นทุกที แล้วคิดว่าเขาจะทำอะไรล่ะ


    “โหยม๊า จินขี้เกียจอ่ะ”


    (มีสิทธิ์ขี้เกียจด้วยหรอเรา งั้นม๊าหักค่าขนมดีมั้ย เงินที่ใช้ๆอยู่ส่วนหนึ่งก็มาจากร้านม๊านะ)


    นั่นไง ว่าแล้วเชียวว่าต้องได้ยินประโยคนี้ หลุดบ่นงึมงำออกมายาวเหยียด สุดท้ายเขาก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ คุยรายละเอียดกันต่อสักพัก ก่อนจะกดวางสาย


    แน่นอนว่าเขายังคงบ่นเป็นหมีกินผึ้งต่ออีกสักพัก เพราะคำพูดที่ไม่ค่อยแสดงความรับผิดชอบของตัวเอง ทำให้แม่เขาตัดสินใจทำโทษด้วยการไม่ส่งคนขับรถมาให้...


    เฮ้ย ได้ไงอ่ะ แล้วนี่ของที่สั่งมาก็ไม่ได้น้อยๆเลยนะ แล้วแบบจะให้ตุเลงตุเลงขึ้นรถไฟฟ้าก็คงไม่ไหวป่ะ แท็กซี่ก็รถติดมาก ขี้เกียจจะไปนั่งดมกลิ่นรถเก่าๆหรือเป็นที่ปรึกษาปัญหาชีวิตให้คนขับ


    นั่งคิดอยู่สักพัก ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีสารถีประจำตัวอยู่นี่นา








    “โห ได้ไงอ่ะ นี่แฟนตัวเองลำบากอยู่นะ”


    [พี่ก็ไม่ได้อยากให้แฟนสุดที่รักของพี่ต้องหิ้วของหนักๆหรอก แต่แบบ...ถ้าพี่แอบไปหาจินตอนนี้ ต้องโดนไอ้ต้นไผ่มันกัดหัวพี่แน่ๆอ่ะ]


    “…”


    [โอ๋ อย่าเงียบสิครับ พี่ติดทำโปรเจคจริงๆ]


    “…”


    [แอสตัน มาช่วยชิชาดูตรงนี้หน่อยสิ]

    [ห๊ะ เอ่อ ให้ต้นไผ่มันดูให้ไปก่อนนะ ขอคุยโทรศัพท์ก่อน]


    “นี่พี่อยู่กับยัยชิชาสาวน้อยมหาปลัยนั่นหรอ!!!!!”


    [ก็เอ่อ...อยู่กลุ่มโปรเจคเดียวกันอ่ะ]


    “…”


    [ไม่มีอะไรจริงๆ เพื่อนเยอะแยะเลย สบายใจได้ ไม่เชื่อถามไอ้ต้นไผ่มันดูก็ได้]


    “…”


    [จินครับ]


    “…”


    [จิน ฮัลโหล ได้ยินมั้ยเอ่ย]


    “…”


    “พี่แอสตันแม่งงงง!!!!”



    สไปรท์หลุดถอนหายใจออกมากับความไร้สาระของเพื่อนตัวเอง เขาไม่รู้หรอกว่าคนที่อยู่ปลายสายพูดอะไร แต่ไอ้ท่าทางโกรธกระฟัดกระเฟียดเหมือนหมาบ้าของเพื่อนตัวเอง เขาก็ไม่รู้ว่าจะขำหรือสมเพชมันดี



    “สารถีไม่ว่างหรอครับ คุณชายจิน”


    น้ำเสียงยียวนที่ดังมาจากคนข้างๆทำเอาอารมณ์ที่เดือดปุดๆระเบิดออกมา นัยน์ตาเรียวสวยตวัดไปมองเพื่อนสนิทอย่างไม่พอใจสุดๆ


    “เชี่ยไปรท์”



    ตะโกนออกมาอย่างหงุดหงิด ก่อนจะประทับรอยฝ่าเท้างามๆลงบนบั้นท้ายแบนๆของเพื่อนสนิทอย่างหงุดหงิด แล้วคิดว่ามันจะสำนึกมั้ย ไม่มีทางล่ะ นอกจากจะไม่สำนึกแล้วยังมาลอยหน้าลอยตาได้อย่างน่าหมั่นไส้สุดๆอีกต่างหาก


    “มึงไปเป็นเพื่อนกูเลย”


    ประโยคขอร้องที่น้ำเสียงโคตรจะบังคับของเพื่อนสนิททำเอาสไปรท์ต้องกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย


    “เรื่องอะไร ม๊ามึงไม่ใช่ม๊ากู”


    แน่นอนว่าเขาคงจะยอมเจียดเวลาเล่นเกมส์อันมีค่าของตัวเองไปตะลอนๆหิ้วของเป็นเพื่อนไอ้เพื่อนบ้านี่หรอก จินทำหน้าไม่พอใจ ทำท่าจะพูดต่อ แต่ก็โดนมือเค็มๆของเพื่อนสนิทยื่นมาปิดปากซะก่อน


    “จุ๊ๆ ไม่เอาไม่พูด พูดไปกูก็ไม่ช่วยมึงหรอก บรัยยยย”








    “อ้าว ทำไมวันนี้คุณหนูของบ้านถึงได้มาซื้อของเองล่ะ”


    น้ำเสียงทุ้มๆของเจ้าของร้านเอ่ยทำออกมาอย่างแปลกใจ และแน่นอนว่านั่นเป็นการกระตุ้นต่อมความหงุดหงิดของเด็กที่ค่อนข้างเอาแต่ใจอย่างจินได้เป็นอย่างดี


    “คนงานที่บ้านโดนซอมบี้กินหมดแล้วล่ะครับ”


    ตอบไปแบบเล่นๆ แต่น้ำเสียงนี่ไม่ได้เล่นด้วยเลย ทำเอาเจ้าของร้านต้องหลุดหัวเราะออกมาดังๆ ไม่บอกก็รู้ว่าเด็กคนนี้ต้องโดนคุณมาริสาบังคับมาแหงๆ หลุดหัวเราะคิกต่อนิดหน่อย แต่เมื่อรับรู้ถึงรังสีความไม่พอใจของคนที่กำลังหอบของพะรุงพะรังอยู่ ถึงได้เรียกคนงานของร้านให้มาช่วย






    “ไม่น่าจะหิ้วของไปที่ร้านคนเดียวไหวนะ”


    เมื่อเห็นจำนวนของที่กองอยู่บนเคาท์เตอร์คิดเงินแล้ว ถึงแม้จะขำเด็กตรงหน้า แต่ดูแล้วก็แอบสงสารอยู่เหมือนกัน


    “แถวนี้พอจะเรียกแท็กซี่ได้มั้ยอ่ะครับ”


    จินเองก็รู้สึกแบบเดียวกับคุณเจ้าของร้านนั่นแหละ คือแบบแป้งแต่ละชนิดที่ม๊าของเค้าสั่งมานี่ แต่ละถุงก็เบาๆทั้งนั้นแหละ ถึงได้ไม่ยอมส่งคนขับรถมาให้แบบนี้

    สงสัยเขาจะแสดงออกทางสีหน้ามากไปหน่อย คุณเจ้าของร้านถึงได้หัวเราะออกมาดังๆอีกครั้ง ก่อนจะเสนอทางเลือกที่ทำให้เขาพอจะยิ้มออก


    “ไม่ต้องเรียกแท็กซี่หรอก จากนี่ไปมันแพง เดี๋ยวลุงให้คนของที่ร้านเอาไปส่งที่ร้านคุณมาริสาให้”


    “โอ้โห ดีเลยครับ คิดค่าส่งได้เต็มที่เลยนะครับ แต่ไปเก็บตังที่ม๊าผม”


    หลุดคลี่ยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู เมื่อเห็นว่าเด็กตรงหน้าหลุดคลี่ยิ้มออกมาอย่างพอใจกับทางเลือกที่เขาเสนอ เป็นเด็กที่ตรงไปตรงมาจริงๆแหละน้า


    “เรานี่แสดงออกทางสีหน้าทุกอย่างเลยนะ”


    คำพูดกลั้วหัวเราะนั่นทำเอาคนฟังอย่างจินต้องหยุดชะงัก ก่อนจะหลุดคลี่ยิ้มออกมาบางๆ



    “มีคนเคยบอกเหมือนกันครับ”



    รอยยิ้มที่ทำเอาคนมองต้องเผลอหยุดหัวเราะ ทั้งๆที่เมื่อกี้ยังยิ้มสดใสอยู่เลยแท้ๆ ทำไมถึงได้ทำหน้าเศร้าแบบนั้นซะแล้วล่ะ











    ฝ่ามือเรียวตบเข้าที่แก้มของตัวเองทั้งสองข้างไม่ค่อยเบาเท่าไหร่นัก หลุดร้องซี้ดออกมา ก่อนจะรู้สึกสมเพชในความโง่ของตัวเอง แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็คงจะเผลอตัวอีก เผลอเอาความอ่อนแอของตัวเองไปลงที่คนอื่นอีกจนได้

    โอเค เขายอมรับว่าเขารู้ตัวว่ากำลัง แกล้ง ทำเป็นเข้มแข็ง แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้เรื่องทุกอย่างมันคงจะยุ่งเหยิงมากขึ้นแน่ๆ คำสารภาพที่มาจากปากของรุ่นพี่ตัวสูง ความอ่อนแอที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนคนนี้จะมี มันทำให้เขาต้องตัดสินใจ ตัดสินใจพับความอ่อนแอของตัวเองยัดเข้าไปลึกๆ

    เพราะถ้าเขาไม่เข้มแข็ง แล้วใครจะเป็นแรงคอยช่วยให้คนคนนี้ผ่านสิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญไปได้ล่ะ...




    “อ๊ะ”


    “โอ๊ะ ขอโทษครับ เป็นอะไรรึ...เปล่า”


    ดูเหมือนเขาจะเหม่อไปหน่อย ถึงได้เดินไม่ดูตาม้าตาเรือจนไปชนร่างบางๆของใครบางคนเข้า และแน่นอนว่าถึงเขาจะน้ำหนักลดลงไปบ้าง แต่แรงของผู้ชายมันก็มากกว่าผู้หญิงอยู่แล้ว คนคนนั้นถึงได้เซจนทำท่าจะล้มลงไปแบบนั้น โชคดีที่เขายื่นมือออกไปคว้าตัวเอาไว้ได้ทัน

    กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆลอยเข้ามาเตะจมูก ร่างบอบบางทำให้เขาเผลอคิดว่าถ้ากำข้อมือของคนคนนี้แรงไปกระดูกของเธอคงจะหักแน่ๆ ความคุ้มเคยแปลกๆ ทำให้เขาต้องเลื่อนสายตาไปมองหน้าของคนข้างๆ



    “ไม่เป็นอะไรนะครับ...พี่รีฟา”



    ทำไม...คนมีตั้งกี่ล้านคน แล้วทำไมเธอต้องมาเดินชนเข้ากับคนคนนี้ คนที่เข้ามาทำให้ชีวิตที่ยุ่งเหยิงของเธอ วุ่นวายมากขึ้นไปอีก

    โอเค เธอยอมรับว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กดี เป็นเด็กที่สดใส และยังไม่ได้เรียนรู้ความโหดร้ายของโลกใบนี้มากนัก ถ้าเธอไม่ได้อยู่ในตระกูลแฮมฟอร์ด ไม่ได้กำลังตกอยู่ในสถานการณ์บ้าๆนี่ เธอคงจะเอ็นดูเด็กคนนี้ไม่น้อย

    แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนที่เด็กคนนี้กำลังจะแย่งสิ่งที่เธอรักที่สุดไป...



    “อื้ม ไม่เป็นอะไรมากหรอก ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ”



    ตอบออกมาเสียงแผ่วเบา เก็บเอกสารของตัวเองเข้ากระเป๋า ก่อนจะรีบบอกลา เพราะไม่รู้ว่าจะยืนอยู่ต่อให้รู้สึกแย่ไปเพื่ออะไร

    จินเหลือบมองท่าทางของหญิงสาวตรงหน้า เผลอกัดริมฝีปากของตัวเองอย่างช่างใจ รู้สึกหงุดหงิดกับความรู้สึกที่กำลังตีกันอยู่ในตัวเอง

    ยอมรับว่าตกใจ และโกรธ แน่นอนว่าเขาไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาเผชิญหน้ากับผู้หญิงคนนี้ เอาจริงๆนะ อยากจะให้คนคนนี้หายไปจากโลกนี้เลยซะด้วยซ้ำ เอาแบบเหมือนไม่เคยมีตัวตน แล้วรีเฟรชชีวิตของพี่แอสตันกับพี่ออสตินใหม่ ถ้าทำแบบนั้นได้มันคงจะดีแน่ๆ

    แล้วไงต่อ โกรธ เกลียด สมเพช อะไรอีกล่ะ แต่ทำไม...ความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นความสงสัย...



    สงสัยว่าอะไรที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้ตัดสินใจทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้...



    เขายอมรับว่าผู้หญิงคนนี้มีเสน่ห์ สวย และเป็นคนที่ความคิด ทั้งๆที่เคยคุยกันไม่กี่ครั้ง แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ โอเค พี่ออสตินและพี่แอสตันเป็นผู้ชายที่เพอร์เฟ็คมาก แต่ก็ไม่ใช่แค่ผู้ชายสองคนในโลกป่ะ ยังมีคนที่ดีแบบนี้ หรือดีกว่านี้อีกเยอะแยะ และเขามั่นใจว่าผู้หญิงคนนี้จะต้องเอาชนะใจผู้ชายคนอื่นได้ง่ายๆแน่




    แล้วทำไม...ถึงมาทำเรื่องอะไรแบบนี้วะ




    ขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด เขาล่ะเบื่อกับไอ้นิสัยเอาแต่ใจของตัวเอง ที่อยากรู้อะไรแล้วแม่งต้องรู้ให้ได้นี่จริงๆ




    “อะไรที่ทำให้พี่ทำเรื่องแบบนี้หรอ”



    เพราะตรงนี้ไม่ค่อยมีคนงั้นหรอ ทั้งๆที่เธอกับเด็กคนนั้นก็อยู่ห่างกันพอสมควร ทั้งๆที่เด็กคนนั้นพึมพำถามเธอเสียงแผ่วเบา แต่เธอกลับได้ยินชัดเจน ได้ยินประโยคคำถามด้วยน้ำเสียงลังเลนั่นชัดเจน


    เหมือนกับความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในตัวเองมาหลายวันระเบิดออก เด็กคนนี้รู้อะไรงั้นหรอ เด็กอย่างจินจะมารู้อะไร



    “ถามแบบนี้หมายความว่ายังไงหรอ พี่ไม่ค่อยเข้าใจ พี่ทำอะไรงั้นหรอ”



    ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ แค่ทำเป็นไม่ได้ยินแล้วเดินออกมา เรื่องทุกอย่างมันก็คงจะจบไปแล้วแท้ๆ แต่ร่างกายเธอกลับค่อยๆหันกลับไป สบเข้ากับนัยน์ตาเรียวสวยที่กำลังมองมาทางเธอ แววตาที่เธอไม่ชอบเอาเสียเลย


    จินหลุดแค่นหัวเราะกับประโยคที่ได้รับกลับมา โอเค ยอมรับว่าแปลกใจที่หญิงสาวคนนี้ตัดสินใจหันมาเผชิญหน้ากับเขาตรงๆแบบนี้ แต่ก็ดีเหมือนกัน อะไรๆมันจะได้ง่ายขึ้น



    “อยากให้ผมพูดมันออกมาจริงๆหรอครับ”



    พูดพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ร่างบางนั่นมากขึ้น และนั่นทำให้เขาเห็น เห็นนัยน์ตากลมสวยที่กำลังฉายแววสับสน


    “…คนอย่างนายมันจะไปรู้อะไร”


    ท่าทางอ่อนแอของคนตรงหน้าทำเอาใจเขาเริ่มอ่อนยวบ ความรู้สึกโกรธค่อยๆเปลี่ยนเป็นอะไรบางอย่างที่เขาไม่ค่อยเข้าใจ



    “คนที่เกิดมาพร้อมทุกอย่าง คนที่ไม่เคยสูญเสีย คนที่ไม่เคยเผชิญหน้ากับปัญหาที่ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเข้ามาทำลายความสุขอันน้อยนิดของตัวเองเมื่อไหร่”



    “คนแบบนั้นมันจะมาเข้าใจอะไร”



    “แล้วทำไม...”



    “พี่ต้องอธิบายเรื่องของพี่ให้คนอย่างนายฟังด้วย”



    น้ำเสียงสั่นเครือพร้อมกับหยดน้ำใสๆที่ค่อยคลอหน่วง และเอ่อล้นออกมาจากดวงตากลมโตคู่นั้น ต้องเป็นเพราะอากาศร้อนๆของเมืองไทย หรือเพราะเขาบ้าไปแล้วแน่ๆ ทำไม ภาพของคนตรงหน้า ราวกับมีภาพของใครคนนึงค่อยๆเลื่อนมาซ้อนทับ




    คนคนนี้กำลังอ่อนแอ ไม่ต่างอะไรกับผู้ชายตัวสูง ที่เขาเผลอตกหลุมรักไปอย่างสุดหัวใจ...





    เพราะความเหมือนบ้าๆนั่นแน่ๆ ถึงทำให้เขาตัดสินใจทำอะไร ที่ไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะทำ


    ทั้งๆที่ตลอดมา ปฏิญาณกับตัวเองในใจ ว่าถ้าได้เจอหญิงสาวคนนี้เมื่อไหร่ จะเอาคืนให้สาสม คงจะสะใจไม่น้อยแน่ๆถ้าได้เห็นคนนี้ต้องมาเสียน้ำตา


    แต่ทำไม...ทำไมล่ะ เขาควรจะสะใจไม่ใช่หรอ แต่ทำไมหัวใจของเขามันกลับอึดอัดแปลกๆ





    รีฟาสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อจู่ๆเด็กตรงหน้าค่อยเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะค่อยๆเข้าใจ เมื่อคนตรงหน้ากำลังบังเธอจากสายตาของคนอื่นที่กำลังมองมาอย่างแปลกๆ





    “แล้วพี่ต้องหาอีกนานแค่ไหนหรอครับถึงจะเจอคนที่เข้าใจพี่”



    “ถ้าชาตินี้พี่หาไม่เจอ พี่ก็จะเก็บเรื่องนี้ไว้กับพี่คนเดียวรึไง ผมไม่รู้หรอกว่าผมจะเข้าใจพี่มากแค่ไหน”



    “อย่าเข้าใจผมผิด”



    “ผมไม่ใช่คนดีที่จะรับฟังเรื่องของพี่เพื่อให้พี่สบายใจ ผมแค่อยากรู้ และรู้อะไรมั้ย ถ้าผมอยากรู้อะไร แม่งต้องรู้ให้ได้ ต่อให้ต้องบีบคั้นหัวใจของใครผมก็ไม่สนหรอก”



    นัยน์ตาเรียวสวยที่สบเข้ากับนัยน์ตาของเธออย่างจริงใจนั่น มันกำลังสะท้อนภาพของใครบางคน ใครบางคนที่คอยหยิบยื่นความรักให้เธออย่างจริงใจมาโดยตลอด...























    -----------------------------

    TALK : หายไปนานมากจริงๆ

                ถ้าใครคาดหวังว่าจะมีตอนน่ารักกุ๊กกิ๊กอาจจะต้องรออีกนานหน่อย

                ขอบคุณที่ยังคอยติดตามนะคะ

                m(._.)m











    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×