ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เวทยาลัย ศาสตร์มนตร์ดำรงเวทยา

    ลำดับตอนที่ #10 : Chapter 8 ทฤษฎี ทฤษฎีเต็มไปหมดเลย & .... ฉากเซอร์วิสชุดว่ายน้ำแบบในอนิเมะ...!!!

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.04K
      22
      20 มี.ค. 57

    Chapter 8 ทฤษฎี ทฤษฎี เต็มไปหมดเลย & ...................ฉากเซอร์วิสชุดว่ายน้ำแบบในอนิเมะ.............!!!

     

    วิทย์ คือ ทฤษฎี วิธีการ ความรู้ แนวคิด กฎ และการพิสูจน์ เพื่อสนองความต้องการที่มนุษย์จำเป็นต้องมี

    เวทย์ คือ การวิวัฒนาการอย่างหนึ่งเพื่อการเอาตัวรอดของมนุษย์ ผสมผสานกับการเรียนรู้และการฝึกฝน โดยมีทฤษฎีเข้ามาเป็นความรู้พื้นฐานเท่านั้น

     

    แน่นอนว่า ทฤษฎีต่อไปนี้ เป็นกลุ่มประวัติ และความรู้ในด้าน เวทย์ ทั้งสิ้น

    .................................

    ..................

    เวทย์

     มนุษย์แต่ละคนที่เกิดขึ้นมา จะมีประจุเวทย์เป็นของตนเอง โดยพื้นฐาน จะแบ่งออกเป็น 5 ธาตุ

    อันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ สายฟ้า ซึ่งมนุษย์แต่ละคน จะสามารถเรียนรู้เวทย์ประจำธาตุด้วยตัวของตนเองได้แต่ก็เป็นการยากที่จะทำให้สามารถใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ หากไม่เรียนรู้จากตำราหรือในหนังสือ ที่เคยมีผู้ผ่านมาก่อน หรือเกิดการผิดพลาด

     

    ธาตุประจำตนตั้งแต่เกิด จากค่าเฉลี่ย จะเรียนรู้ได้ไวกว่าธาตุอื่นๆ สามเท่า

    และหากเรียนรู้ธาตุแต่ละธาตุเพิ่มขึ้นมา ก็จะทำให้ ประจุภายในร่างกายรับภาระในการเรียนรู้

    ซึ่งจากค่าเฉลี่ย การเรียนรู้เพิ่มขึ้น 1 ธาตุ จะ เรียนรู้ได้ยาก ขึ้น 3 เท่า

    หากคำนวณ เพียงเวทย์พื้นฐาน ในการป้องกันตัวของแต่ละธาตุ

    เมื่อเรียนรู้ หากเรียนรู้เป็นครั้งแรก

    ธาตุหลักของตน จะใช้เวลาเรียน รู้ 1 เดือน

    ธาตุอื่นจะใช้เวลาเรียนรู้ 3 เดือน

    และหากเรียนรู้เป็นธาตุที่สอง

    ธาตุหลักของตนจะใช้เวลาเรียนรู้ 3 เดือน

    ธาตุอื่นจะใช้เวลาเรียนรู้ 9 เดือน

    การเรียนรู้ธาตุที่สาม

    ธาตุหลักของตน จะใช้เวลาเรียนรู้ 9 เดือน

    ธาตุอื่นจะใช้เวลาเรียนรู้ 27 เดือน

    และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ....

     

    ในบางครั้งก็อาจจะมี บุคคลที่ไม่ได้มีธาตุหลักของตนเองปรากฏขึ้นมาบ้าง ทำให้การเรียนรู้ธาตุเป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่บุคคลเหล่านี้ จะสามารถใช้พลังอีกแบบได้ดี เป็นการทดแทน พลังนั้นคือ การอัญเชิญ

     

    เวทย์อีกแขนง ที่เรียกว่า การอัญเชิญนั้น เป็นพลังที่แบ่งแยกแตกย่อยออกมา จากกลุ่มธาตุ โดยขึ้นกับปริมาณของประจุเวทย์ที่ตนเองมีเป็นหลัก เรียกได้ว่า เป็นพรสวรรค์ กว่าร้อยละ 80 ก็ว่าได้ ไม่มีใครเดาได้ ว่าตนเองจะมีความสามารถในการอัญเชิญเท่าไหร่ จนกว่าจะมีการตรวจสอบ ร่างกาย ด้วยอุปกรณ์วิทยาศาสตร์กึ่งเวทยาศาสตร์ ซึ่งยิ่งตรวจพบมาก ความสามารถอัญเชิญก็ยิ่งสูงขึ้นไปด้วย แน่นอนว่า กลุ่มที่ตรวจพบมากเป็นพิเศษ คือกลุ่มบุคคลที่ไม่มีธาตุหลักเป็นของตนเอง จากการคาดเดา พื้นฐาน เป็นเพราะ ประจุเวทย์ที่ควรจะเปลี่ยนไปเป็นมนตร์ของธาตุนั้นๆ ยังคงอยู่ ทำให้เหลือจำนวนประจุเวทย์มนตร์มากเป็นพิเศษ ซึ่งแน่นอนว่า การไปเรียนรู้สายธาตุ จะทำให้ ความสามารถในการอัญเชิญต่ำลงไปด้วย

     

    เวทย์อัญเชิญ ที่ เรียนรู้ได้นั้น มี 5 ประเภท คือ

    2 ประเภทหลัก

    อัญเชิญมาใช้งานชั่วครั้งชั่วคราว

    อัญเชิญมารับใช้ถาวร

    3 ประเภทรอง

    อัญเชิญมาเสริมพลัง

    อัญเชิญมาเป็นเครื่องสวมใส่หรืออาวุธ

    อัญเชิญเพื่อมารวมร่าง

     

    ซึ่งผู้ที่จะใช้การอัญเชิญนั้น ต้องมีการผูกประจุเวทย์ของตนเองให้คงตัวถาวรกับวิญญาณ

    ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง

    ระหว่าง

    คงรูปแบบประจุเวทย์จำนวนมากมาย เอาไว้แล้วนำประจุมาผูกกับวิญญาณ เพื่อใช้ในการอัญเชิญชั่วครั้งชั่วคราว

    กับ เปลี่ยนจำนวนประจุเวทย์จำนวนมากมาย ให้กลายเป็นประจุเวทย์ก้อนขนาดใหญ่แล้วผูกติดเอาไว้กับวิญญาณ เพื่ออัญเชิญถาวร

    ทำให้เมื่อเกิดการผูกติดวิญญาณแล้ว การจะย้ายไปเป็นอีกสาย เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก เพราะรูปแบบการใช้พลังนั้น ต่างกันอย่างชัดเจน ยกเว้นว่าบุคคลนั้นๆ จะมีพลังประจุเวทย์เหลือล้นจริงๆ หรือไม่ตายไปเสียก่อน เพราะโดนเอาสัดส่วนของวิญญาณไปแบ่งเยอะเกินไป

    การอัญเชิญทั้งสองแบบ จะมีรูปแบบตายตัว คือ เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นสายอัญเชิญใด แล้วเกิดการทำพิธีรวบรวมประจุวิญญาณมาผูกติดไว้กับร่างกาย จะมีสิ่งที่สามารถอัญเชิญได้ ปรากฏกายออกมาทันที และระยะเวลาจะอยู่ตามสายของตนเอง อีกทั้งสิ่งที่อัญเชิญออกมา ยังมีพลังตามจำนวนหรือขนาดของประจุเวทย์ที่ได้แปรสภาพแล้วด้วย

     

    ส่วนการอัญเชิญ อีก สามอย่าง ทั้งสองสายหลักสามารถใช้ได้ แต่จะมีความเหมาะสมต่างกันไป โดยทั่วไปแล้ว จะถูกเลือกมาจับคู่กับสายหลัก เพียง สายเดียว คือ

    อัญเชิญเสริมพลัง จะช่วยทำให้ ผู้ใช้อัญเชิญ ผู้ที่ต้องการเสริมพลังให้ รวมถึง อาวุธ เกราะ แข็งแกร่งมากขึ้นโดยตรง เหมาะกับสายชั่วครั้งชั่วคราว เพราะจะสามารถพลิกแพลงได้มากกว่า เนื่องจากอัญเชิญได้หลายประเภทกว่า

    อัญเชิญมาเป็นเครื่องสวมใส่หรืออาวุธ จะช่วยเปลี่ยนสภาพของสิ่งที่อัญเชิญนั้น กลายเป็นเครื่องสวมใส่ เหมาะกับทั้งสองสาย เพราะสายชั่วครั้งชั่วคราวจะสามารถเปลี่ยนการใช้งานได้ตามจุดประสงค์ ส่วนสายถาวร จะสามารถพัฒนาระดับของสิ่งที่อัญเชิญมาเพิ่มเข้าไปกับการกลายเป็นเครื่องสวมใส่หรืออาวุธ ทำให้แข็งแกร่งขึ้นได้เรื่อยๆ

    และสุดท้าย อัญเชิญมารวมร่าง ซึ่งเหมาะกับสายอัญเชิญถาวรที่สุด แม้ว่าสายอัญเชิญชั่วครั้งชั่วคราวจะเปลี่ยนแปลงการอัญเชิญมาร่วมได้หลากหลาย แต่ระยะเวลาที่จำกัด และความเข้ากันของร่างกายผู้ใช้กับสิ่งที่อัญเชิญนั้น ไม่อาจสู้สายถาวร ที่มีการอยู่ร่วมกัน และพัฒนาร่วมกันมาตลอดได้ เป็นการผนวกพลังที่อาจจะเรียกว่าทวีคูณจากการต่อสู้แบบแยกกันเลยก็เป็นได้

     

    .................................................

    ................................

     

    ประจุเวทย์

    เป็นพลังงานรูปแบบหนึ่ง ที่เกิดขึ้นภายในตัวมนุษย์ ติดตัวมาตั้งแต่เกิด สามารถเพิ่มจำนวน หรือเพิ่มปริมาณการจุได้ ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนและบ่มเพาะจนชำนาญ หรือแม้แต่การใช้ชีวิตในเวลา สถานที่ ที่เหมาะสม

    ประจุเวทย์สามารถแปรเปลี่ยนเป็นพลังงาน ที่ใช้แล้วเติมกลับมาใหม่ได้ เรื่อยๆ มันสามารถเปลี่ยนไปเป็นประจุให้กับธาตุต่างๆได้ แต่ มันจะเปลี่ยนไปเป็นประจุเวทย์ของธาตุนั้นๆได้เพียงครั้งเดียวและไม่สามารถเปลี่ยนกลับมาอีกได้ แม้ว่าจะไม่สามารถตรวจวัดได้ด้วยวิธีปกติ แต่เพราะวิทยาการที่เข้ามาผนวก ทำให้สามารถตรวจสอบจำนวน ขนาด และประเภทของประจุเวทย์ได้

    ซึ่ง สามารถเรียงประจุเวทย์โดยทั่วไป ได้ 6 สี 6 ประเภท คือ

    1.ประจุสีขาว เป็นประจุบริสุทธิ์ ที่สามารถแปลงสีเป็นสีอะไรก็ได้ แต่ได้เพียงครั้งเดียว โดยทั่วไปถ้าไม่ทำการแปลงสีของประจุสีขาวเป็นสีอื่นจะไม่สามารถนำไปใช้กับเวทย์ธาตุได้ แต่ตัวประจุเวทย์สีขาวสามารถให้สีต่างๆยืมตนเองไปใช้เพื่อเติมประจุสีอื่นๆได้ถ้าหากว่าผู้ใช้ประจุเวทย์ใช้เป็นหรือฝึกฝนมาก่อน โดยการยืมเอาประจุสีขาวไปเติมให้กับสีอื่นๆ จะสูญเสียประจุไป 3 เท่า หรือแปลง่ายๆว่า ต้องเสียประจุขาวขนาดเท่ากัน 3 ประจุ เพื่อเติมให้กับ ประจุสี ขนาดเท่ากันเพียงประจุเดียว

    2.ประจุสีน้ำตาล เป็นประจุธาตุดิน

    3.ประจุสีฟ้า เป็นประจุธาตุน้ำ

    4.ประจุสีเขียว เป็นประจุธาตุลม

    5.ประจุสีแดง เป็นประจุธาตุไฟ

    6.ประจุสีเหลือง เป็นประจุธาตุไฟฟ้า

    การใช้งานประจุธาตุต่างๆไม่สามารถข้ามธาตุของตนเองได้

    แต่สามารถยืมไปเติมข้ามธาตุได้ เช่นเดียวกับประจุสีขาว โดยจะเสียประจุไป 9 เท่า จากปกติ

     

    ส่วนเวทย์อัญเชิญนั้น จะใช้ประจุสีขาว เป็นหลัก แต่จะแตกต่างออกไป คือการนำประจุสีขาวนั้นไปผูกติดไว้กับวิญญาณ การลดหรือเพิ่มของ ประจุที่นำไปผูกนี้ จะทำให้สภาพร่างกายอ่อนล้าหรือแข็งแรงตามขึ้นไปด้วย อีกทั้ง สิ่งที่อัญเชิญมานั้น ยังใช้ประจุเวทย์ร่วมกับผู้อัญเชิญอีกด้วย ทำให้เมื่อสิ่งที่อัญเชิญตายลง ก็อาจจะมีผลส่งตรงไปถึงผู้เป็นเจ้าของเวทย์ได้ ซึ่งกรณีนี้จะมีผลมากที่สุดกับเมื่อสายถาวร

     

    ความเร็วในการฟื้นฟูของประจุเวทย์นั้น ขึ้นอยู่กับ ร่างกาย การฝึกฝน ที่สามารถวัดได้ด้วยค่าวิทยาศาสตร์กึ่งเวทยาศาสตร์ และสภาพวิญญาณ ซึ่งไม่สามารถวัดได้ จะเรียกว่าเป็นพรสวรรค์ของผู้ที่เกิดมาก็เป็นได้อีกเช่นกัน ส่วนใหญ่แล้ว หากยึดหลักการง่ายๆ การทานอาหาร และพักผ่อนที่เพียงพอ ก็จะทำให้ประจุเวทย์ฟื้นคืนขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วเป็นปกติ หรืออาจจะเป็นการใช้เวทย์ในการฟื้นฟูรักษา จากประจุธาตุที่ตรงกันก็จะมีส่วนช่วยให้สามารถฟื้นคืนประจุธาตุได้อย่างรวดเร็วขึ้น

     

    อย่างไรก็ตาม ข้อมูลของประจุเวทย์นั้นอาจจะไม่ได้ทำงานตามทั้งหมดนี้ แต่เป็นการสรุปจากฝั่งวิทยาศาสตร์เพื่อให้สามารถเรียนรู้ได้ง่ายจากการมองเห็นเป็นรูปธรรม

    .............................................

    ...............................

    การศึกษา

    การศึกษาด้านเวทยาศาสตร์ แตกออกเป็น 3 ภาค ส่วนหลักๆคือ

    1.ศึกษาตั้งแต่เด็ก เพื่อให้โตขึ้นไปสู่อนาคตในสายวิชาการด้านเวทย์อย่างแท้จริง ทั้งด้านการกีฬา การปกป้องประเทศจากสัตว์ประหลาดในระดับหัวหน้าหน่วย หรือการกลายเป็นผู้ฝึกสอนเวทย์เสียเอง เด็กที่เข้าสายนี้ มักจะเป็นเด็กที่ได้ผ่านการตรวจประจุเวทย์แล้วพบว่ามีประจุที่เหมาะสม และพ่อแม่ยินยอมแล้ว จะได้เข้ารับการเรียนรู้ที่ทั้งเข้มงวด ยากลำบาก แต่ก็เป็นการเรียนที่มีทุนของรัฐบาลจัดให้ เมื่อจบมาจะได้เข้ารับงานในส่วนของภาครัฐทันที โดยมีเงินเดือนให้ในระดับสูง หากไม่ทำงานในส่วนของภาครัฐ จำเป็นจะต้องชดใช้ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่รัฐเคยส่งเสียไป เป็นจำนวน 3 เท่า

    2.ศึกษาตั้งแต่เด็ก เพื่อให้ขึ้นเป็นกลุ่มผู้นำ หรือประกอบอาชีพในสาขาเวทย์เป็นหลัก เช่น สาขา แพทย์เวทย์ เวศวกรรมศาสตร์ ตำรวจเวทย์ เป็นต้น อาจจะไปประกอบอาชีพเวทย์ในระดับสูงกว่าหรือต่ำกว่านี้ ก็ได้ เพียงแต่ เด็กกลุ่มนี้ นั้นแม้ว่าตอนคัดเลือก จะไม่ได้มีประจุเวทย์ที่เหมาะสมพอ แต่หากมีเงินในการเล่าเรียนแล้ว ก็สามารถเข้าเรียนในแผนเหล่านี้ได้ไม่มีปัญหา

    3.ผู้ศึกษาด้านสามัญมาก่อนตั้งแต่เด็ก เรียนรู้และฝึกทักษะในการใช้ชีวิตสำหรับทางวิทยาศาสตร์หลายๆแขนง เนื่องจากมีต้นทุนการเรียนรู้ในช่วงวัยเด็กที่ถูกกว่าราวๆ 20 เท่า แล้วจึงมาแตกแขนงออกไปเรียนเวทยาศาสตร์ ในเวทยาลัย กลุ่มเหล่านี้จะเป็นผู้ที่โตแล้ว ประจุเวทย์จะแข็งแรงมากพอที่จะเข้ารับการเรียนรู้เวทย์โดยไม่ต้องมีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งสามารถเป็นเวทย์ได้ ภายใน 2 ปี ถึง 2 ปีครึ่ง แต่อย่างไรก็ดี ร้อยละ 85 ของกลุ่มนี้ ที่ไม่สามารถไปเรียนต่อในระดับ มหาเวทยาลัยได้ จะถูกผลิตเพื่อป้อนไปเป็นกำลังในตลาดแรงงานเวทย์เสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น พนักงานปรับเปลี่ยนบรรยากาศ พนักงานซ่อมบำรุงกำแพงเวทย์ หรือแม้แต่ ไปเป็นหน่วยทหารเวทย์เดนตายในกาปกป้องประเทศจากสัตว์ประหลาด เป็นต้น ส่วนกลุ่มที่สามารถขึ้นไปยืนยังจุด มหาเวทยาลัยได้นั้น ก็มักจะมี ระดับผลการเรียนที่ต่ำกว่า 2 กลุ่มแรกอยู่ดี จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่รัฐบาลจะไม่ค่อยสนับสนุนงบประมาณให้กับกลุ่มคนเหล่านี้

     

    .............................................

    ...............................

    อุปกรณ์เวทย์

    แบ่งออกได้หลักๆ 3 เทคนิคการสร้าง อันได้แก่

    1.สร้างจากแร่ธาตุที่มีประจุเวทย์ภายในอยู่ ซึ่งนับว่าเป็นอุปกรณ์เวทย์บริสุทธิ์ ที่ราคาแพงและหายากมากๆ เพราะแร่ธาตุที่มีประจุเวทย์นั้น เกิดขึ้นมาจากที่ใด แม้แต่วิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ ได้แต่ต้องอ่านจารึกตามความเชื่อว่า มันคือแร่ที่โดนสร้างจาก เหล่าเทพและมารในอดีต อุปกรณ์เหล่านี้หากยิ่งมีความผูกพันกับผู้ใช้งานมากๆ มันก็จะมีชีวิต บ้างก็จะมีชีวิตเป็นตัวของมันเองเลยตั้งแต่ต้น ตัวอุปกรณ์จากแร่ธาตุนี้สามารถพัฒนาตนเองได้ และมีประจุเวทย์เป็นของตนเองในการร่ายเวทย์หรือต่อสู้ ทำให้ผู้ครอบครองแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก ราคาของตัวมันนั้นสูงจนคนทั่วไปไม่สามารถจับต้องได้ อุปกรณ์เหล่านี้สามารถเปลี่ยนผู้ครอบครองได้เรื่อยๆ แต่ก็ต้องได้รับการยินยอมจากทั้งเจ้าของ และ ตัวอุปกรณ์เอง

    2.สร้างจากผู้ที่มีพลังเวทย์แก่กล้ามากพอจะทำให้ของธรรมดากลายเป็นอุปกรณ์เวทย์ด้วยมนตร์ ซึ่งมันต้องใช้เวลา และพลังอย่างมากที่จะสร้างได้แต่ละชิ้นยิ่งถ้าต้องการให้มันมีชีวิตแบบของชิ้นแรก ยิ่งยากใหญ่  เพราะผู้สร้างจำเป็นต้องถ่ายทอดประจุเวทย์ของตนเอง หรือสละประจุเวทย์ของตนเองลงไปในอุปกรณ์ด้วย อุปกรณ์เหล่านี้ นักเวทย์ระดับสูงขึ้นไปหลายๆคน ก็สามารถสร้าง แต่ความสามารถและพลังของมันที่จะนำไปให้กับผู้ใช้งานระดับต่ำกว่า ก็จะมีขีดจำกัด ถึงแม้ว่ามันจะสามารถพัฒนาด้านพลังเวทย์ได้เหมือนกับแบบแรก แต่ก็ต้องขึ้นกับผู้ใช้เองด้วย ว่าจะสามารถใช้มันได้ดีและเหมาะสมหรือป่าว เรียกได้ว่าต้องดีทั้งผู้ใช้ และอุปกรณ์ ข้อเสียคือ อุปกรณ์เหล่านี้ ส่วนใหญ่ถ้าใช้งานและร่วมพลังกับผู้ใช้จนพัฒนาไปถึงระดับสูงๆ หากเปลี่ยนมือไปในมือผู้อื่น พลังของมันก็จะกลับไปเริ่มต้นใหม่ ทำให้ส่วนใหญ่เป็นการขายขาด เพื่อนำไปใช้นั้นเอง และราคาของมันก็ยังสูงอยู่ดี แม้จะถูกกว่าแบบแรกแล้วก็ตาม

    3.สร้างจากวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ เป็นสินค้าแบบแมสโปรดักส์ทางการเวทย์ มันเป็นสินค้าที่มีการผลิตขายในราคาต่างๆกันไปตั้งแต่ถูกมากซึ่งเป็นโรงงานที่มาจากประเทศแผ่นดินใหญ่ ชนิดที่ค่าขนมเด็กอนบาลยังซื้อให้ครบเซ็ตได้แต่ก็คุณภาพต่ำติดดิน ไปจนถึง ระดับแพงที่มีการผลิตด้วยวัสดุชั้นดีช่วยเพิ่มพลังให้กับผู้ใช้ได้อย่างมากตั้งแต่ต้น อุปกรณ์เหล่านี้เป็นสินค้าที่คนทั่วไปใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะมีราคาถูก คุณภาพตามราคา เหมาะสำหรับผู้ใช้เวทย์ตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงระดับสูง ที่ฐานะการเงินไม่เอื้ออำนวย สามารถพัฒนาระดับของมันได้ แต่ก็น้อย จนถึงไม่ได้เลยก็มี การจะใช้ของพวกนี้ได้นั้นจะมีประสิทธิภาพแค่ตอนแรกๆเท่านั้น หลังจากนั้นผู้ใช้ต้องเก่งด้วยตนเองเสียเป็นส่วนใหญ่ และต้องฝึกฝนให้คล่องถึงจะใช้ มันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

     

    เครื่องสวมใส่เวทย์

    ร่างกายของมนุษย์ แบ่งเป็นจุดหลักๆ ที่สามารถดึงพลังเวทย์ออกมาใช้ร่วมกับอุปกรณ์ได้

    ได้แก่ ศีรษะ ตา หู จมูก ปาก คอ ไหล่ซ้าย ไหล่ขวา หน้าอก ช่วงท้อง ข้อศอกซ้าย ข้อศอกขวา มือซ้าย มือขวา ช่วงบั้นเอว หัวเข่าซ้าย หัวเข่าขวา เท้าซ้าย เท้าขวา สะดือ ทวารหลัง และอวัยวะสืบพันธุ์

    ดังนั้น อุปกรณ์เวทย์ที่ผลิตขึ้นมาใช้นั้น จึงเป็นจุดที่ มักจะนำมาสวมใส่ ในบริเวณเหล่านั้น เพื่อทำให้สามารถปลดปล่อยพลังเวทย์ออกมาร่วมกับอุปกรณ์เวทย์ได้ดีที่สุด แต่ถ้าสวมใส่มากไป แทนที่จะดึงพลังออกมาใช้ได้ ทุกส่วน จะกลายเป็นตัวหารพลังเวทย์ตนเองไปทั้งสิ้นหากไม่สามารถคุมการถ่ายทอดให้ดีได้ ประจุเวทย์ก็อาจจะกระจายไปแบ่งให้กับทุกส่วน แม้ยามที่ไม่ต้องการใช้งานก็ตาม

    ทางวิทยาศาสตร์จึง มักจะมีการตรวจสอบ จุดที่สามารถรีดพลังออกมาได้เยอะที่สุดของแต่ละคน ด้วยเครื่องชนิดพิเศษ อีกประเภทที่ใช้ ตรวจวัดการปลดปล่อยประจุที่เหมาะสมและดีที่สุด

    แต่โดยค่าเฉลี่ยพื้นฐานแล้ว บริเวณ ที่สามารถปลดปล่อยเวทย์ออกมาได้ ปลอดภัย ใช้งานได้ทุกสถานการและสมดุลที่สุดจากทั้งร่างกาย คือส่วน มือและเท้า ดังนั้น สำหรับนักเวทย์เริ่มต้นทุกคนไม่จำเป็นต้องตรวจวัด โดยอุปกรณ์สวมใส่มาตรฐาน คือถุงมือเวทย์ หรือถุงเท้าเวทย์ รวมไปถึงรองเท้าเวทย์ด้วย โดยทั้งสองส่วนนี้ เป็นส่วนที่มีราคาถูก และหาซื้อได้ง่ายที่สุด ส่วนค่าเฉลี่ยรองลงมาคือ ดวงตา หู และปาก ตามลำดับ

     

    อาวุธเวทย์

    อาวุทเวทย์นั้น โดยพื้นฐานแล้ว จะมาในรูปแบบไม่ต่างจากเครื่องสวมใส่ บางครั้งอาจจะติดมากับเครื่องสวมใส่ หรืออาจจะจับ ถือ เพื่อใช้งาน หากพูดกันตามตรงแล้ว ตัวอาวุธเวทย์ ก็เปรียบเสมือนที่ปล่อยพลังที่สามารถหวังผลได้ที่สุด เป็นดั่งตัวแสดงอานุภาพการต่อสู้ และอานุภาพของพลังตนเองที่มีมาในรูปแบบต่างๆ ถ่ายทอดลงไปภายในอาวุธเวทย์ ซึ่งอาวุธเวทย์ราคาถูกที่เป็นที่นิยมมากที่สุดก็คือ คทา ไม้พลอง หอก มีด และสนับมือ ตามลำดับ เพราะเป็นอาวุธที่ใช้งานง่าย มีอัตราการถ่ายพลังได้ดี ส่วนของทางการ หรือการทหารที่เป็นที่นิยมในการใช้มากที่สุดคือ ปืนเวทย์รูปแบบต่างๆ ที่มีการใช้งานง่าย แม้จะมีพลังทำลายที่ต่ำ แต่กลับว่องไว ระยะหวังผลแน่นอน ใช้เวลาฝึกความชำนาญและระยะเวลาในการฝึกฝนให้กับกลุ่มติดอาวุธไม่นาน การใช้พลังเวทย์ค่อนข้างน้อย แต่ก็มักจะถูกอาวุธเวทย์หลายๆชนิด ปัดหรือป้องกันได้โดยง่าย โดยส่วนใหญ่แล้วในพื้นที่ทั่วๆไป ผู้เริ่มต้น จะได้รับการฝึก ด้วยถุงมือเวทย์ที่เป็นเพียงเครื่องสวมใส่ สนับเวทย์ ไม้พลอง หรือไม้คทา ตามลำดับ

     

    .............................................

    ...............................

    ประวัติความเป็นมาของเวทยาศาสตร์

    เวทย์ เมื่อครั้งอดีตกาลกว่า 700 ปีก่อนนั้น เคยเป็นเพียงสิ่งโง่งมงาย ที่ถูกหาว่าเป็นพลังชักจูงของปีศาจ หรือแม่มด เมื่อเป็นเช่นนั้น มนุษย์ก็ได้ลบล้างการมีตัวตนของเวทมนตร์ออกไปจนหมดสิ้น และใช้วิทยาศาสตร์เข้ามาทดแทนพร้อมต่อยอดการก้าวไปของมนุษย์ โดยใช้สงครามเป็นตัวช่วยให้ระบบวิทยาศาสตร์เจริญรุดหน้าต่อไป จนกระทั่ง เดินทางมาถึงยุคที่เรียกว่าระบบดิจิตอลเต็มรูปแบบในปีคริสต์ศักราช 2000 การสงคราม เป็นสิ่งล้าหลังไปในที่สุด วิทยาศาสตร์ดำเนินต่อไป อย่างไม่ลดละ จวบจนกระทั่ง คริสต์ศักราช 2020 ระบบวิทยาศาสตร์ ได้มาถึงขีดจำกัด มนุษย์ไม่สามารถ เดินหน้าต่อไปได้ ประกอบกับ มีบางสิ่ง ที่มารุกรานโลกอย่างไม่คาดฝัน มันคือ สิ่งมีชีวิตที่ถูกเรียกว่า สัตว์ประหลาด พวกมันเข่นฆ่าและทำร้ายมนุษย์ไปอย่างมากมาย การตัดสินใจ ต่อสู้กับพวกมันด้วยวิทยาการ นั้นล้มเหลว ระหว่างที่มนุษย์กำลังจะสิ้นหวัง กลุ่มที่เรียกตนเองว่า เวทยาการ ก็ปรากฏตนขึ้นเพื่อร่วมมือกับกลุ่มวิทยาการ จนสามารถต่อต้าน การรุกรานของสัตว์ประหลาดลงได้ ในปี 2022 ทำให้มนุษย์ เริ่มตระหนักถึงเวทมนตร์ การเสาะแสวงหาสิ่งใหม่ เพื่อนำมาควบคู่กับวิทยาศาสตร์ และนั่นก็คือ เวทยาศาสตร์ ทำให้ก่อกำเนิดเป็นปี เวทศักราชที่ 1 ขึ้น ในปี คริสต์ศักราชที่ 2023 และนับเป็นจุดกำเนิดของยุค เวทย์วิทย์ ในที่สุด

     

    มนุษย์ต้องใช้เวลาปรับตัวและเรียนรู้อย่างหนัก เกิดความไม่พึงพอใจ ความไม่ต้องการ การจำกัดสิทธิ์เสรีภาพต่างๆ ความต้องการทางอำนาจ ทำให้มนุษย์ ก่อสงครามกันเองอีกครั้ง ด้วยวิทย์และเวทย์ จากทุกๆฝ่าย จนกว่าจะสงบ ก็ต้องสูญเสียจำนวนประชากรไปเป็นจำนวนมาก จากทั้งห้ำหั่นกันเอง และจากการโดนบุกทำร้ายของกลุ่มสัตว์ประหลาด กว่ามนุษย์จะรู้สึกตัว แล้วเริ่มร่วมมือกันอีกครั้ง ก็ปี เวทศักราชที่ 97 เข้าไปแล้ว แต่นั่นก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี มนุษย์ได้ข้อตกลงใหม่ การทำสนธิสัญญาที่เสมอภาคที่สุด การคิดเกมกีฬาเวทย์มนตร์ ที่จะมีการจัดขึ้น ในทุกๆปี เพื่อเปลี่ยนมือกันไปเรื่อยๆ ประเทศที่ชนะเลิศในระดับทวีป จะมีสิทธิ์ในการกำหนดภาษีเพื่อให้ประเทศของตนได้ผลประโยชน์ในทวีป ในระดับที่นาๆประเทศยอมรับได้ และตัวแทนแต่ละทวีป จะต้องไปแข่งต่อในระดับโลก กลุ่มประเทศต่างๆภายในทวีปก็จำเป็นจะต้องช่วยกันเองพัฒนาประเทศที่เป็นผู้ชนะในทวีปในปีนั้น เพื่อไปแข่งระดับโลก และผู้ที่ได้ชัยชนะในระดับโลก ก็จะมีสิทธิ์กำหนดภาษีไหลเข้าทวีปตนเอง ในระดับที่นานาทวีปยอมรับได้ แม้ว่าจะดูยุ่งยาก แต่เมื่อใช้จริงกลับประสพความสำเร็จในการพัฒนามนุษยชาติ มากที่สุดนอกเหนือจากสงคราม ซึ่ง สามารถใช้วิธีการนี้ ได้อย่างเต็มตัวและสมบูรณ์ครอบคลุมทั่วโลกในปี เวทศักราชที่ 126 ทั้งระบบกีฬาการศึกษาการค้าการติดต่อสื่อสาร นับเป็นยุคที่สงบสุขสำหรับมนุษย์ ลดจำนวนสงครามระหว่างมนุษย์ในระดับภูมิภาคได้อย่างสมบูรณ์ เหลือเพียงหันหน้าเข้าสู้กับ เหล่าสิ่งมีชีวิตที่โดนเรียกว่า สัตว์ประหลาด เท่านั้น

     

    --------------------------------------------------------------

    -------------------------------------------

    ------------------------

    ----------------

    --------

    แสงแดดที่ส่องลงมาแผดเผาระหว่างที่ผมกำลังเดินอย่างเหนื่อยหน่ายและเชื่องช้า

    "แฮ่ก.... แฮ่ก....."

    มันทำให้ผมหอบอย่างหยุดไม่ได้.....

    ที่นี่คือที่ไหน คงยังไม่ต้องบอกตอนนี้

     

    ส่วนถ้าถามผมว่า ผมมาเดินกลางแดดที่นี่ทำไม มาที่นี่ได้ยังไงหน่ะเหรอ

    เรื่องมันก็เพราะยัยนั่นหน่ะแหละ

     

    -----------------------------

    ---------------

    วันสุดท้ายของการเรียนเทอม 1 ภาคเรียนแห่งทฤษฎีได้จบลงไปแล้ว พร้อมกับความรู้ท่วมหัวตลอดเทอม

     

    เพื่อนๆในห้องนั้นจับกลุ่มคุยกัน เพื่อไปฉลองกันตามสถานที่ต่างๆ

    แม้ว่า การหายตัวไปของดวงใจ และการตายของมายด์จะทำให้เกิดเรื่องเศร้าในช่วงแรก

    แต่ทุกๆคนก็ลืมกันได้ไวไม่น้อย

    รวมถึงผมด้วย ... จริงๆเพราะไม่อยากจำซะมากกว่า

     

    สโรชานั้นไม่ได้ร่วมกลุ่มกับเหล่าผู้หญิง และปฏิเสธเพื่อนชายทุกคน โดยมาอยู่กับผม

    สร้างความร้าวฉานชัดเจน ให้กับผมและกลุ่มเพื่อนชาย

    ให้ตายเหอะ ถึงจะไม่อยากร่วม แต่ก็ต้องร่วมกับเธอหละนะ

    หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ผ่านมา ได้ 2 เดือนแล้ว

    ทุกอย่างปกติดี ไม่มีศัตรู หรือ ไอ้ฮู้ดดำโผล่มาทำร้ายผม

    ดีจริงๆ

     

    ผมเดินออกมาจากห้องพร้อมกับสโรชา

     

    เธอเอี้ยวตัวมาพูดกับผมใกล้ๆ

    "นี่ปิดเทอมแล้วนะพยายาม"

     

    "อ่าฮะ...."

    ผมตอบรับพลางมองหน้าเธอ

     

    "เราไปเที่ยวกันมั้ย ชั้นมีที่ๆนึงอยากจะไปมากๆเลยหละ"

    เธอชักชวนแบบมีสถานที่ในใจให้เสร็จสรรพ

     

    "เห้ ชั้นไม่ได้มีเงินขนาดนั้นหรอกนะ แม้จะได้เงินประกันจากพ่อแม่มาเยอะก็เถอะ"

    ผมบอกเธอไปเชิงปฏิเสธ

     

    เธอออดอ้อนผม

    "ไม่เป็นไรหรอก ชั้นจ่ายเอง นะ ไปด้วยกันนะ ถ้าพยายามไม่ไป ชั้นก็ไม่ได้ไปนี่นา นะนะ"

     

    มารยาผู้หญิงแบบนี้ ใครจะหลงกลก็บ้าแล้ว  อย่างน้อยๆก็ไม่ใช่กับผม ....

    เพียงแต่ นานๆไปเที่ยวทีก็ดีแฮะ แถมเที่ยวฟรีด้วย ใครจะว่าเราเป็นแมงดาก็ช่างเถอะ

    "อ่า ก็ได้"

    ผมตอบรับไปตามที่เธอต้องการ

     

    "ไชโย! เยี่ยมไปเลย สัญญาแล้วนะ!!"

    เธอกระโดดดีใจยิ้มหวานเดินหมุนตัว ท่าทีมีความสุข

     

    ดาราสาวที่มาเข้าคู่กับผู้ชายบ้านๆแบบผม ... ไม่เหมาะสมกับผมเลยสักนิด ถ้าไม่เอานิสัยเธอมาหักลบหละก็

     

    พวกเราตรงกลับบ้านด้วยกัน

    เธอนั้นย้ายจากคอนโด มานอนที่บ้านผม แม้แรกๆผมจะไม่อยากให้เธอมาก็ตาม

    แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยเลยตามเลยไป

    มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เธอก็ประหยัดค่าใช้จ่าย ผมก็ได้รับประกันความปลอดภัย

     

    คืนนี้ผมจัดกระเป๋าให้เรียบร้อย แล้วนั่งเล่นเกมโต้รุ่ง เพื่อที่พรุ่งนี้จะได้หลับไประหว่างทาง

    ไม่ได้อยากคิดหรอกนะ แต่ในหัวผม ผมมองเห็นฉากเซอร์วิส ที่คุณสโรชา เน็ตไอดอลสาวจะใส่ชุดว่ายน้ำ วิ่งไปมาบนชายหาด น่าจะออกรสออกชาติดีไม่น้อย

     

    ช่วงหัวค่ำ สโรชานั้นกระตือรือร้นใหญ่ เธอเตรียมชุดแปลกๆยัดใส่กระเป๋าพร้อมหมวกฟาง

    ผมไม่คิดจะถามอะไรเธอหรอก .....

     

    รุ่งเช้า ... เธอก็พาผมออกรถ ไปยังจังหวัดหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือทันที

    .....

    ผมไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากในสมองที่บอกกับผมว่า

    เพิ่งรู้นะเนี่ย .... ประเทศของเราแถวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีทะเลให้เที่ยวด้วย

    แล้วผมก็หลับไประหว่างโดยสารรถ โดยมีเธอคอยนั่งข้างๆ

    ระหว่างหลับผมไม่รู้ว่าเธอทำอะไรผม แต่ผมก็ไม่ได้กลัวเธอในแบบเมื่อ 2 เดือนก่อนแล้วหละ

    -------

    --------------

    -----------------------

    ---------------------------------

     

    แสงแดด กับกลิ่นอายของทุ่งนา กลิ่นโคลน ดิน หญ้า สัตว์ ธรรมชาติ

    อย่าถามว่าผมชอบไหม ผมไมได้ชอบพวกมันสักนิด

     ผมเดินอยู่ท่ามกลางทุ่งนาในชุดแบบที่ชาวนาสวมกัน

    หมวกฟางเสื้อขนาดใหญ่ กางเกงขายาว รองเท้าบูท ถุงมือยาง

    "แฮ่ก ... แฮ่ก...."

    ผมหอบเหนื่อยเมื่อยล้า ขนาดยังไม่ได้ลงดำนา แต่การใส่ชุดแบบนี้เดินผ่าแดนเป็นกิโลๆนี่มันบ้าชัดๆ

    ผมอยากรู้จริงๆ ว่าพวกชาวนาวิทย์ และชาวนาเวทย์ เขาทนทำกันไปได้ไง

     

    แต่ที่แน่ๆ ผมโง่งมงายไปกับยัยบ้านั่นได้ยังไง

    ว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่แห้งแล้งของประเทศนี้จะมีฉากเซอร์วิสชุดว่ายน้ำแบบในอนิเมะ

    "โง่ชิบหายเลยตรู นึกว่าจะมีฉากเซอร์วิสชุดว่ายน้ำแบบในอนิเมะซะอีก"

    ผมโวยออกมาเบาๆให้ตัวเองได้ยินเพียงคนเดียว

     

    "คิกๆ ... เร็วๆสิพยายาม ทางนี้ๆ!"

    สโรชาในชุดชาวนาไม่ต่างจากผมวิ่งนำหน้าผมไปดูไม่มีท่าทีว่าจะเหนื่อย หันมาโบกมือเรียกยิ้มหวานให้

     

    "แฮ่ก .... แฮ่ก .... กระตือรือร้นจังนะ สโรชา!"

    ผมตะโกนหาเธอ ระหว่างเดินเหนื่อยหอบไปอย่างเชื่องช้าปานเต่าคลาน

     

    "แน่หละ ก็นี่มันการดำนาครั้งแรกของชั้นนี่นา แถมได้ดำนาพร้อมกับพยายามด้วย ดีที่สุดเลยหละ"

    เธอตอบแล้วยืนรอจนผมเดินมาถึงตำแหน่งเธอ

    ก่อนจะเริ่มจับมือผมแล้วพาออกวิ่ง

     

    "เห้ ดะ เดี๋ยวสิ!! ชั้น แฮ่ก.... ยังเหนื่อยอยู่เลยนะ สโรชา!"

     

    "ไม่เอาน่า พยายาม รีบไปกันเถอะ ไปดำนากัน!!!"

    เธอเอ่ยด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

     

    มันน่าจะเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดเลยหละ

     

    ................................

    แอ๊ดดดด....

    เสียงเปิดหน้าต่างจากกระท่อม เล็กๆ กลางทุ่งนา

    พร้อมกับสายตา ที่จ้องมองไปยังผู้ที่กำลังวิ่งเล่นไปตามคันนาทั้งสองคน

    "นั่นสินะ ... เป้าหมาย"

    ............................

     

    End Chapter 8 ทฤษฎี ทฤษฎี เต็มไปหมดเลย &

    โง่ชิบหายเลยตรู นึกว่าจะมีฉากเซอร์วิสชุดว่ายน้ำแบบในอนิเมะซะอีก!!!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×