ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เวทยาลัย ศาสตร์มนตร์ดำรงเวทยา

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 4 ...........ด้วย.......นะ (ReV.1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.61K
      29
      29 เม.ย. 57

    Chapter 4 ...........ด้วย.......นะ

     

    ระหว่างที่เข้าช่วงพักเที่ยง ผมก็โดนเพื่อนชายเดินมาทักทาย

    "เห้ย เอ็งยังคิดถึงมายด์อยู่ใช่มั้ย"

    โต๊ด เพื่อนชายหน้าตาหล่อใช้ได้ แน่หละ มันหล่อกว่าผมข้อนี้ไม่อยากจะยอมรับหรอก แต่มันก็เรื่องจริง

     

    แล้วมันอะไรของพวกเอ็งกันหละนั่น

    จะมายุ่งอะไรกับชีวิตตรูฟระ

    แค่ดารา หรือนักแสดงมานั่งข้างๆมันจะอะไรกันนักหนา ตรูไม่ได้สนใจสักหน่อย

    "เออ ทำไมหละ?"

    ผมตอบไปตามตรง ถึงไม่อยากจะตอบก็เถอะ มันจะได้จบๆสักที

     

    "งั้นอย่าให้เห็นไปจีบคนใหม่ในเร็วๆนี้แล้วกัน"

    โต๊ด ประกาศตัวเป็นศัตรูด้านผู้หญิงกับผมชัดเจน

     

    ขอเหอะ นี่ไม่ใช่การ์ตูน อนิเมะหรือมังกะแนวฮาเร็มนะ

    เขาก็แค่อยากจะนั่งตรงนี้ มันเกี่ยวอะไรกับตรูด้วย!!!

    ....................

     

    แน่หละว่าเมื่อพักเที่ยง กลุ่มคนต่างๆก็จะไปหาอะไรทานกัน

    รวมถึงผู้หญิงที่มาใหม่ด้วย ชื่ออะไรนะ .... สโนว์ไวท์?....

    ไม่น่าใช่ เพราะชะนั้นก็ช่างชื่อเขาเหอะ...

    เธอก็ออกไปทานข้าวกับกลุ่มผู้หญิงคนอื่น อย่างชัดเจน ไม่ได้มายุ่งกับผมสักกะนิด

     

    หลังจากโดนพวกเพื่อนชายในห้องวอแวรุมล้อม

    ไม่นาน พวกมันก็เลิกยุ่งกับผม

    แน่หละ ผมประกาศตัวชัดเจนแล้วนี่นะ

     

    "เห้อ~~~~"

    เอาหละ เป็นอิสระสักที

    วันนี้ ก็เรียนเรื่องสายอัญเชิญชั่วคราวไปเยอะเลยแฮะ....

     

    นั่นสินะ ถึงเราจะโดนวัดแล้วว่า เป็นสายตรงของการอัญเชิญถาวรก็เถอะ มันก็อดสนใจอีกสายไม่ได้จริงๆ

    จะว่าไป มายด์ ก็ไม่ถูกจัดว่าอยู่ในสายไหนเลย

    เพราะผลตรวจประจุเวทย์ในกายเธอไม่แสดงออกว่าเป็นแบบไหน

    เป็น1ใน10ล้านก็ได้ ที่จะตรวจไม่เจอเลย ..... อยากเห็นผลตรวจแฮะ ....

     

    มายด์ ....

     

    ไม่เอาหละ ไม่คิดดีกว่า ยิ่งคิดยิ่งเหมือนจะมีเหงื่อซึมแถวตาแฮะ

    "บ้าชะมัด"

    ผมอุทานขึ้นมาเบาๆ

     

    "ชั้นแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ"

     

    เห้ย!

    "เห้ย!"

    เออ ทั้งความคิด ทั้งคำพูดมันไปพร้อมกันนั่นแหละ

    ไม่ตกใจได้ไง เจ้าหล่อน เล่นมาจ้องหน้าผมไม่ให้ตั้งตัวแบบนั้น

    ยัย สโนว์ไวท์นั่นหน่ะ

     

    "ทำไมไม่ไปทานข้าวหละ"

    เธอถามผมแล้วนั่งลงที่โต๊ะของเธอ

     

    นึกว่าพวกดาราจะหยิ่งกว่านี้ซะอีก

    "ไม่หิวหน่ะ ชอบทานเย็นมื้อเดียวมากกว่า"

    ผมตอบก้มหน้าไม่มองเธอ

     

    "ไม่ดีต่อสุขภาพนะ อาหารเช้ากับเที่ยงสำคัญมาก"

    เธอบอกกับผมโดยไม่ได้หันมามองหน้าผมเช่นกัน.....

    ไม่ต้องสงสัยหรอกทำไมผมรู้ ก็เห็นแวบๆอยู่ว่าเธอเงยหน้าขึ้นมองเพดาน

     

    อืมขอบใจ.... แต่ว่านะ...

    "ไม่ต้องมาห่วงชั้นหรอก ชั้นรู้ตัวเองดี"

    ผมตอบแบบไม่รักษาน้ำใจหละนะ ไม่มีอารมณ์จะไปสนิทด้วยนักหรอก

     

    "ไม่เอาน่าพยายาม ดูตีตัวออกห่างจังเลย คนอื่นๆยังเป็นมิตรกับชั้นเลย"

    .

    อ่าฮะ .... ก็หล่อนเป็นดารานี่

    "ไมได้หมายความว่าทุกคนจะชอบดารานี่"

    ผมสวนไป

     

    "เรา เป็นเน็ตไอดอล จะเรียกว่าดาราได้ไหมก็ได้อยู่หรอกนะ"

    เธอบอกกับผมต่อเนื่อง

     

    "ช่างมันเหอะ ชั้นไม่ได้อยากรู้นักหรอก"

    ว่าแต่ เพิ่งนึกได้ เธอรู้ชื่อชั้นได้ไงฟระ ?

    ยังไม่ได้บอกชื่อเลยนะเห้ย

     

    "นี่พยายาม เป็นเพื่อนกันมั้ย ชั้นสโรชา... ยินดีที่ได้รู้จัก"

    เธอถามผมมาสั้นๆง่ายๆ

     

    คำพูดนี้คุ้นๆแฮะ .... เหมือนเคยได้ยินที่ไหน ....

    ผมค่อยๆหันไปมองเธอช้าๆ

    "ไม่หละขอบคุณ"

    ผมตอบสั้นกว่า

    ไม่ใช่เพราะไม่อยากหรอก ไม่ใช่เพราะมีมายด์ที่ทำให้ผมปิดกั้นใจหรอก

    แต่ผม กลัวว่าถ้ามีคนสนิทมากกว่านี้ แล้วตายเพราะผมอีก ผมคงจะบ้าแน่

    ถึงตอนนี้จะดูเหมือนไมได้ใส่ใจเรื่องมายด์แต่ผมก็คิดและฝันถึงเธอตลอดจนไม่รู้จะทำยังไงเลย

    .......

    เรื่องสำคัญของเมื่อกี้ ....

    โอเค เธอชื่อสโรชาสินะ ลืมไปเลยแฮะ

     

    "ฮ่าๆ อารมณ์ขันจริงๆนะ"

    เธอหัวเราะยิ้มๆ แล้วหันไปสนใจหยิบโทรศัพท์มากดเล่นแทน

     

    แล้วคุณเธอจะมาสนใจอะไรผมครับ ผมยังไม่เข้าใจเลยครับ

    ช่างมันเถอะ เดี๋ยวมันก็ผ่านวันนี้ไป

    ......

    .....ใช่มั้ย ?....

     

    ช่วงบ่ายเป็นวิชาอุปกรณ์การเวทย์เบื้องต้น 1

    เป็นวิชาจำเป็นเพื่อต่อยอดไปยัง วิชาอุปกรณ์การเวทย์เบื้องต้น 2

    ผมหละไม่เข้าใจจริงๆ ไหนจะยังต้องมี วิชาอุปกรณ์การเวทย์ขั้นกลาง

    แล้วยังมี อุปกรณ์เวทย์ขั้นสูง 1 และ สูง 2 อีก

    พวกคุณศึกษาธิการครับ

    ทำไม ไม่แบ่งเป็น อุปกรณ์เวทย์ 1 2 3 4 5ไปเลย

    ผมถามนี่ไม่ได้กวนนะ แค่ไม่รู้หน่ะ ว่าจะแยกให้มันตลกทำไม

     

    ..............................

    ............

     

    พวกเราย้ายมาเรียนกันที่ห้องอุปกรณ์การเวทย์เบื้องต้น

    โดยโต๊ะเรียนถูกใช้แบบ โต๊ะกลมขนาดเล็ก ที่นั่งร่วมกันได้ 4 คน

    ผมนั่งที่โต๊ะ แยกออกมา เดี่ยวคนเดียว เพราะ คนอื่นๆ จะเข้าคู่กัน 2 ถึง 4 คน หมด

    มีผมนี่แหละ ที่ปกติจะนั่งกับมายด์ ... แต่วันนี้ มายด์ไม่อยู่

    อ่าให้ตายเหอะ นึกถึงเธออีกแล้ว .....

    ........

     

    อาจารย์ที่สอนคืออาจารย์แฟร์

    อาจารย์สาวที่มีหุ่นสวย หน้าตาพอใช้ได้ ไม่สวยและไม่ขี้เหร่

    แต่ที่สำคัญเธอหน้าเด็กจริงๆ จะเรียกว่าพวกสาวหน้าประถม นมมหาเวทยาลัยก็ได้

    แต่นิสัยของเธอก็ไม่ได้ดูน่ารักเหมือนหน้าหรอก

     

    "ไงทุกคนสบายดีกันมั้ย ....พักหลังสอบกลางภาคกันไปตั้ง 1 สัปดาห์"

    อาจารย์แฟร์เอ่ยทักทายก่อนจะสังเกตุเห็น คนไม่สนใจเธอ

    "ไอ้สามตัวตรงนั้นหน่ะ มัวแต่สนใจอะไรอยู่! หัก 3 คะแนน!"

    เธอโวยขึ้นแล้วชี้นิ้วใส่พวกนักเรียนชายที่คุยและจ้องมองไปทางสโรชา

     

    "เอ๋!! ขอโทษครับอาจารย์!!"
    "อย่าลบคะแนนพวกผมเลย!"
    "ได้โปรดเถอะอาจารย์!"

    ทั้งสามเกลอที่ไม่ทันไรก็โดนหักคะแนนเสียแล้ว

    จะสงสารดีมั้ยนะ เพราะอาจารย์เป็นคนหักคะแนนจริง ไม่ได้พูดเล่น หักแล้วหักเลยซะด้วยสิ

     

    อาจารย์แฟร์ก้มหน้าลงไปเขียน -3 ใส่ในรายชื่อทั้งสามเกลอแล้วเงยหน้ามาสอนต่อ

    "เอาหละ เป็นยังไงบ้าง สอบกลางภาค ง่ายใช่มั้ย"

    เธอเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

     

    "ยากค่าจารย์ หาในหนังสือไม่เจอเลย"

    "โหยจารย์ ไหนบอกอนุญาตให้เอาหนังสือเข้าสอบได้ พอสอบจริงไม่เห็นมีในหนังสือเลย"

    กลุ่มนักเรียนโวยวายกันใหญ่

     

    "อ้าว ครูก็บอกแล้วนี่ ว่าออกที่ครูสอนไปทั้งหมด ใครจะเอาหนังสือเข้าสอบก็ได้ แต่ครูไม่ได้บอกสักหน่อย ว่าครู ออกตามในหนังสือ"

    เธอตอบกลับ

    "เรื่องพวกนี้เนี่ย บอกได้เลยว่า พวกนักเรียนเวทย์สายตรงแท้ๆ เขาเรียนกันตั้งแต่ประถมแล้ว จำไว้ซะด้วย"

     

    อืม มันก็จริงอยู่หรอก ที่อุปกรณ์พวกนี้ มันเรียนกันตั้งแต่ประถม ถ้าเป็นสายเวทย์แท้

    แต่อาจารย์ครับ พวกผมไม่ใช่พวกที่เรียนมาแบบนั้นนะครับ

    ต้นทุนการศึกษามันต่างกันเกินไปครับอาจารย์

    ทั้งทุนด้านสมอง และทุนด้านเงิน

    อ่า ไม่สิ อาจารย์เขาก็รู้อยู่แล้วนั่นแหละ

    เขาคงแค่จะสื่อว่า พวกเราไม่ตั้งใจเรียนกันนั่นแหละนะ

    นี่ถ้าเราไม่ได้สมุดโน้ตของมายด์ช่วยไว้ คงจะได้คะแนนต่ำแน่

    .....

    มายด์อีกแล้วแฮะ

     

    เสียงโวยวายภายในห้องยังไม่หยุดเลยหละนะ

    พวกเอ็งไม่ขยันแล้วไม่คิดจะทำความเข้าใจ กับสิ่งที่อาจารย์จะสื่อกันหน่อยหรือไงนะ

     

    "เอาหละๆ ครูไม่สนหรอก พวกเธอจะบ่นอะไร ทำท้ายเทอมให้ดีละกัน เอาเป็นว่า คาบนี้ครูจะทวนที่เรียนมาตั้งแต่ต้นเทอมแบบรวบรัดให้เลยละกัน จะได้ เข้าใจตรงกัน อุปกรณ์เวทย์นั้น....."

    อาจารย์แฟร์อธิบายว่า

    อุปกรณ์เวทย์ แบ่งออกได้หลักๆ 3 เทคนิคการสร้าง

    อันได้แก่

    1.สร้างจากแร่ธาตุที่มีประจุเวทย์ภายในอยู่ ซึ่งนับว่าเป็นอุปกรณ์เวทย์บริสุทธิ์ ที่ราคาแพงและหายากมากๆ เพราะแร่ธาตุที่มีประจุเวทย์นั้น เกิดขึ้นมาจากที่ใด แม้แต่วิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ ได้แต่ต้องจารึกตามความเชื่อว่า มันคือแร่ที่โดนสร้างจาก เหล่าเทพและปีศาจ ในอดีต อุปกรณ์เหล่านี้หากยิ่งมีความผูกพันกับผู้ใช้งานมากๆ มันก็จะมีชีวิต บ้างก็จะมีชีวิตเป็นตัวของมันเองเลย อีกทั้งมันยังสามารถพัฒนาตนเองได้ ทำให้ผู้ครอบครองแข็งแกร่งเป็นที่สุด ถ้าไม่รวยจริง บอกตรงๆ ว่า อย่าไปหวังใช้เลย ราคาหน่ะเหรอ เหอะๆ ตั้งแต่ 1พันล้านบาท จนถึง 2ล้านล้านบาท ต่อชิ้นได้หละมั้ง อุปกรณ์เหล่านี้สามารถเปลี่ยนผู้ครอบครองได้เรื่อยๆ แต่ก็ต้องได้รับการยินยอมจากทั้งเจ้าของ และ ตัวอุปกรณ์เองด้วย

     

    2.สร้างจากผู้ที่มีพลังเวทย์แก่กล้ามากพอจะทำให้ของธรรมดากลายเป็นอุปกรณ์เวทย์ด้วยมนตร์ของเขา ซึ่งมันต้องใช้เวลา และพลังอย่างมากที่จะสร้างได้แต่ละชิ้นยิ่งถ้าต้องการให้มันมีชีวิตแบบของชิ้นแรก ยิ่งยากใหญ่ อุปกรณ์เหล่านี้ นักเวทย์ระดับสูงขึ้นไปหลายๆคน ก็สามารถสร้างได้ไม่ยาก แต่ความสามารถและพลังของมันที่จะนำไปให้กับผู้ใช้งานระดับต่ำกว่า ก็จะมีขีดจำกัด ถึงแม้ว่ามันจะสามารถพัฒนาด้านพลังเวทย์ได้เหมือนกับแบบแรก แต่ก็ต้องขึ้นกับผู้ใช้เองด้วย ว่าจะสามารถใช้มันได้ดีและเหมาะสมหรือป่าวเรียกว่า ต้องดีทั้งผู้ใช้ และอุปกรณ์ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ราคามันก็ยังสูงอยู่ดี เรียกได้ว่า ต้องรวยหน่อย เพราะราคามีตั้งแต่ 2 แสน ต่อชิ้นจนไปถึง 5พันล้าน เลยทีเดียวตามระดับพลังเวทย์เริ่มต้นของมัน ข้อเสียคือ อุปกรณ์เหล่านี้ ส่วนใหญ่ถ้าใช้งานและร่วมพลังกับผู้ใช้จนพัฒนาไปถึงระดับสูงๆ หากเปลี่ยนมือไปในมือผู้อื่น พลังของมันก็จะกลับไปเริ่มต้นใหม่ ทำให้ส่วนใหญ่เป็นการขายขาด เพื่อนำไปใช้นั้นเอง

     

    3.สร้างจากวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ ถ้าจะเรียกให้ถูก คงต้องเรียกว่า สินค้าแมสโปรดักส์ทางการเวทย์ จะตรงตัวที่สุด มันเป็นสินค้าที่มีการผลิตขายในราคาต่างๆกันไปตั้งแต่ถูกชนิดที่ค่าขนมเด็กอนุบาลยังซื้อให้ครบเซ็ตได้ ไปจนถึง แพงระดับชิ้นละล้าน อุปกรณ์เหล่านี้นี่แหละ ที่เป็นสินค้าที่คนทั่วไปใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะมีราคาถูก คุณภาพตามราคา เหมาะสำหรับผู้ใช้เวทย์ตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงระดับสูง ที่ฐานะการเงินไม่เอื้ออำนวย สามารถพัฒนาระดับของมันได้ แต่ก็น้อย จนถึงไม่ได้เลยก็มี การจะใช้ของพวกนี้ได้นั้น ผู้ใช้ต้องเก่งด้วยตนเองเสียเป็นส่วนใหญ่ และต้องฝึกฝนให้คล่องถึงจะใช้ มันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

     

    เมื่ออาจารย์อธิบายด้านเทคนิคการสร้างเสร็จ เวลาก็ผ่านไปถึง 1 ชม. แล้ว จึงปล่อยให้ไปพักได้ 10 นาที

    ผมเดินออกมาจากห้องพลางสะบัดหัวหน่อยๆ ไม่เคยได้นั่งจดอะไรเป็นชิ้นเป็นอันขนาดนี้เองเลย พึ่งแต่ ..... อ่าไม่คิดดีกว่า

     

    ผมเดินตรงไปยังโรงอาหารเพื่อไปซื้อชาเขียวฮาจิตัน รสต้นตำรับมาดื่มแก้วิงเวียน

    ผมเดินไปยืนตรงสวนม้านั่งหินอ่อน กึ่งกลางระหว่างทางเดินไปโรงอาหาร กับห้องเรียนพอดีแล้วเปิดขวด

    แน่นอนว่า สไตล์ดื่มให้อร่อยที่สุดสำหรับผม ต้องยกดื่มเท่านั้น

    "อึก อึก อึก อ่า!!!"

    เสียงดื่มแห่งความสดชื่นหละนะ

     

    "อ่า!!! สดชื่นจังเลยเนอะ"

     

    "อื่ม ......"

    ผมตอบรับ ....

    เห้ย

    "เห้ย!!! มันอะไรของเธอฟระ จะมาตามชั้นอยู่ได้ มีปัญหาอะไรนักหนาเนี่ย"

    ยัยสโรชา เธอเป็นบ้าอะไรมาตามชั้น

     

    "ชั้นชอบ รสต้นตำรับนะ เหมือนพยายามเลย"

    เธอเอ่ยไม่สนใจคำถามผม

    "ไม่เอาน่า มาเป็นเพื่อนกันดีกว่า เนอะ เดี๋ยวชั้นจะเลี้ยงฮาจิตันต้นตำรับ พยายามทุกวันเลย"

     

    "มันไม่ใช่ประเด็นสักหน่อย ทำไมเธอจะต้อง!!!........."

    ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยจบ เธอก็ทำหน้ายิ้มหวานให้

    แล้วพูดขัดผมทันที

     

    "ชื่อของเธอมันโดนใจชั้นหน่ะ เหมือนกับจะบอกชั้นตลอดว่า ต้องพยายาม คนที่ชื่อแบบนี้หน่ะ จะต้องมีอะไรน่าสนใจในตัวใช่ไหมหละ ขนาดดาราด้วยกันชั้นยังไม่สนใจเลยนะ.... เข้าใจป่าว สรุปก็ อย่างน้อยๆ เป็นเพื่อนกันก่อนนะ"

     

    เหตุผลบ้าบออะไรเนี่ย แต่ มันเล่นเอาผมแทบจะไม่เชื่อเลยว่า ดาราสาวสวยแบบนี้จะมีความคิดแปลกแหวกแนว ผมหละรู้สึกดีใจแฮะ ที่เธอมีความคิดแบบนั้น

    "อืม"

    ผมตอบรับ

    เธอไม่ได้ใช้เวลาตื้อผมนานเลย แต่เหตุผลง่ายๆ มันทำให้ใจผมอ่อน

    บ้าชะมัด... ตามที่เขาบอกไว้ว่า เพศชายแม้จะล้มกี่ครั้ง ถ้าโดนมารยาหญิง

    ไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่งเข้ามาเล่นงานก็เป็นอัน เสร็จมารยานั้นทุกครั้งเหมือนเดิม

    ......อาจจริง

     

    "จริงนะ! ดีใจที่สุดเลย เอ้านี่ ดื่มอีกขวดซะ"

    เธอเอ่ยแล้วยื่นขวดที่เธอดื่มไปครึ่งหนึ่งให้ผม

     

    "ไม่หละ รังเกียจน้ำลาย"

    ผมตอบไปตามตรง ... ซะที่ไหนหละ

    ผมเคยดูการ์ตูนตอนเด็กมานะ มันจูบทางอ้อมชัดๆ ไม่เขินไม่อายเหรอไง

     

    "เอาจริงดิ รังเกียจน้ำลายชั้นเนี่ยนะ งั้นเอางี้"

    เธอนั้นแย่งชาเขียวฮาจิตันของผมจากมือไปแล้วดื่มทันที

     

    "เห้ยๆ ..."

     

    "เอ้า ชั้นไม่รังเกียจของพยายาม พยายามก็อย่ารังเกียจน้ำลายชั้นละกัน"

    เธอเอ่ยยิ้มหวาน

     

    "ให้ตายเหอะ ไม่เคยดูพวกหนังหรือการ์ตูน ที่เขาว่าจูบทางอ้อมกันหรือไง ...."

    ผมสวนโวยไปแบบนั้น

     

    ครืน!!!

    เสียงฟ้าร้อง.... ให้ตายเหอะ ฝนจะตกอีกแล้วเหรอเนี่ย ยังโวยหรืออะไรไม่ทันเสร็จเลย ...

     

    "พยายาม กลับเข้าห้องกันเถอะ"

    เธอมองท้องฟ้าแล้วหันมาหาผมด้วยรอยยิ้ม

    "ท่าทางฝนกำลังจะตกแล้วหละ"

     

    "อืม"

    ผมพยักหน้ารับ รีบดื่มขวดชาฮะจิตันให้หมด โยนทิ้งใส่ถังขยะ

    แล้วเดินกลับห้องตามเธอไป

     

    พวกเราเดินกลับเข้าห้องมาราวๆนาทีที่ 9

    พอเข้านาทีที่ 10 อาจารย์ก็กลับมาแล้วจึงอธิบายต่อทันทีไม่รีรอ

    บรรยากาศในห้องเป็นไปอย่างเงียบเชียบ มีเพียงเสียงอาจารย์แฟร์ที่เอ่ย

    เพราะทุกๆคนไม่อยากจะเสียคะแนนไปกับอารมณ์ที่แสนน่ากลัวนั้นของอาจารย์นั่นแหละ

    .....

    ออ....ไม่ได้เงียบไปซะหมดหรอก ยังมีเสียงฝนแทรกเป็นระยะๆ ด้วยหละนะ

     

    "ต่อไป คือเรื่องของอุปกรณ์ส่วมใส่ตำแหน่งต่างๆ เพื่อดึงพลังหรือใช้พลังนะ จดดีๆหล่ะ ครูสอนย้ำครั้งสุดท้าย....."

    อาจารย์แฟร์อธิบายต่อถึง ร่างกายของมนุษย์ แบ่งเป็นจุดหลักๆ ที่สามารถดึงพลังเวทย์ออกมาใช้ร่วมกับอุปกรณ์ได้

    ได้แก่ ศีรษะ ตา หู จมูก ปาก คอ ไหล่ซ้าย ไหล่ขวา หน้าอก ช่วงท้อง ข้อศอกซ้าย ข้อศอกขวา มือซ้าย มือขวา ช่วงบั้นเอว หัวเข่าซ้าย หัวเข่าขวา เท้าซ้าย เท้าขวา สุดท้ายคือจุดซ่อนเร้นทั้งด้านหน้าและรูหลังก็ยังใช้ได้ด้วย

    ....แน่นอนว่ามาถึงตรงเรื่องจุดซ่อนเร้นทีไร ก็ฮากันทั้งห้องทุกที

     

    ดังนั้น อุปกรณ์เวทย์ที่ผลิตขึ้นมาใช้นั้น จึงเป็นจุดที่ มักจะนำมาสวมใส่ ในบริเวณเหล่านั้น แต่ถ้าสวมใส่มากไป แทนที่จะดึงพลังออกมาใช้ได้ ทุกส่วน จะกลายเป็นตัวหารพลังเวทย์ตนเองไปทั้งสิ้น

    ทางวิทยาศาสตร์จึง มักจะมีการตรวจสอบ จุดที่สามารถรีดพลังออกมา ได้เยอะที่สุดของแต่ละคน ด้วยเครื่องชนิดพิเศษ

    แต่โดยค่าเฉลี่ยพื้นฐานแล้ว บริเวณ ที่สามารถปลดปล่อยเวทย์ออกมาได้ ปลอดภัย ใช้งานได้ทุกสถานการและสมดุลที่สุดจากทั้งร่างกาย คือส่วน มือและเท้า ดังนั้น สำหรับนักเวทย์เริ่มต้นทุกคน อุปกรณ์สวมใส่ คือถุงมือเวทย์ หรือถุงเท้าเวทย์ รวมไปถึงรองเท้าเวทย์ด้วย และแน่นอนว่า ทั้ง 2 ส่วนนั้น มันเป็นส่วนที่ราคาถูกที่สุด และหาซื้อได้ง่ายที่สุด

    "ทั้งหมดที่เราเรียนมาต้นเทอมก็มีเท่านี้แหละ เอาหละ คาบต่อไป ครูจะสอนเรื่องอาวุธเวทย์แล้ว ทีนี้จุดสำคัญที่พวกเธอจะต้องจำเลยคือ การจะใช้อาวุธเวทย์ ต้องมีถุงมือเวทย์ก่อน สัปดาห์หน้า ครูจะให้พวกเราเอาถุงมือเวทย์ระดับ ศูนย์ มาคนละ หนึ่งคู่ ซื้อแบบทั่วไปมาก็พอ ไม่ต้องเอาแบบตามสายพลังตนเอง เข้าใจใช่มั้ย .... อ่อ.... ส่วนร้านที่จะไปซื้อ ก็ไปซื้อร้านสหกรณ์ของเวทยาลัยได้ หรือจะไปซื้อที่ ร้านขายอุปกรณ์การเรียน ตรงข้ามเวทยาลัยก็ได้"

     

    -ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ-

    นั่นแหละ มาถึงจุดนี้ ทุกคนก็ฮากันอีกรอบ เพราะร้านนั้นเป็นของอาจารย์แฟร์นั่นแหละ

    นี่กะหลอกเด็กไปซื้อของตัวเองอีกแล้วเหรอครับอาจารย์

     

    "ร้านครูขายถูกกว่าของสหกรณ์ หนึ่งบาทเชียวนะ!!!"

    เธอเอ่ยโวยวายขึ้นมาเมื่อเห็นนักเรียนหัวเราะ

     

    "คร้าบจารย์เดียวไปอุดหนุนคร้าบ"

    "เดี๋ยวไปอุดหนุนค่ะ"

    "รับทราบครับ จะไปอุดหนุนนะครับ"

    "จะไปอุดหนุนนะคะ"

     

    "โอเค ดีมาก งั้นก็กลับบ้านกันดีๆหละ ระวังฝนด้วย เลิกได้"

     

    หัวหน้าห้องตะโกนขึ้นทันทีที่สิ้นเสียงอาจารย์แฟร์

    "ทั้งหมดทำความเคารพ"

     

    และเสียงทุกคนในห้องก็ตามมา

    -ขอบคุณครับอาจารย์-

    -ขอบคุณค่ะอาจารย์-

     

    อาจารย์แฟร์เดินออกมายืนรอหน้าห้อง ต้อนเด็กนักเรียนออก ก่อนจะล็อคห้องให้เรียบร้อยแล้วเดินจากไป

    พวกนักเรียน ต่างก็ใช้ร่มเวทย์ และรองเท้ากันฝนเวทย์ เพื่อกลับบ้านแยกย้ายกันกลับบ้าน

    ไม่เหลือใครบริเวณนั้นนอกจากผม

    ผมถอนหายใจสบายขึ้นหน่อย ที่อย่างน้อยๆ ยัยสโรชาก็ไม่ได้มาตามติดผมตอนจะกลับบ้านด้วย

     

    ผมเดินไปนั่งเงียบๆอยู่ภายในตัวอาคารเรียน มองดูฝนพรำสบายใจ

    จริงๆก็อยากจะรีบตรงกลับบ้านเลยอยู่หรอกนะ แต่ไม่มีร่มอีกแล้วนี่สิ ลืมซื้อตลอดเลยจริงๆให้ตายเหอะ

     

    ครืนนนนนนนนน!!!!! ครืนนนนนน!!!!

    ซ่า~~~~~

     

    ผมนั่งเงียบคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนเวลาผ่านไป....

    15.30.

    แกร้กๆๆ ไฟตามอาคารเรียนดับลง เหลือ 1 ดวงติดเว้น 2 ดวงดับเพื่อประหยัดไฟ

     

    ดับไฟไล่แบบนี้ ...

    "เอาวะ กลับบ้านดีกว่า"

    ผมบ่นกับตัวเองแล้วดันตัวลุกขึ้นเดิน ไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าอาคารที่มืดมิดไม่มีใคร

    ก่อนจะได้ออกไปเอารถจักรยานนั้น

     

    เปรี้ยง!!!!!!

    เสียงฟ้าผ่าดังมากทีเดียว แม้จะไม่ได้ผ่าใกล้ๆ แต่แสงนั้นก็สว่างวาบมาจนถึงอาคาร

    เล่นเอาผมต้องนิ่งไปพักหนึ่งเลย

     

    "ผ่าได้จังหวะดีจริงๆ..... ขอบใจนะ เห้อ ..."

    ผมบ่นพลางถอนหายใจ

     

    "นั่นสินะ"

    เสียงของใครบางคน ที่น่าจะยืนข้างหลังผมมาตั้งแต่แรกเอ่ยดังขึ้น

     

    "!!... อะ"

    ผมรีบหันไปมองแล้วพบกับสโรชาที่อุ้มกระเป๋ามีแท่งร่มโผล่ออกมา ยืนยิ้มให้อยู่

    "เธอ ยังไม่กลับบ้านเหรอ?"

     

    "พอดี เห็นพยายามยังไม่ออกมาจากอาคารสักทีหน่ะ เลยเป็นห่วง"

    สโรชาเอ่ยสีหน้าดูเป็นห่วงผมจริงๆ....

    อืม ... จริงๆนะ

     

    "พอดีนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยคนเดียวเพลินไปหน่อยหน่ะ นี่จะกลับแล้วหละ เธอเองก็รีบกลับดีกว่า ดารากลับบ้านคนเดียว มันอันตรายนะ"

    ผมหันไปมอง ด้านนอกที่ฝนหลั่งริน แล้วเอ่ยไล่เธอกลับไปไม่ต้องตามผมมาหละนะ ....

    เออลืมคิดไปอย่างใครจะมาตามตรูกลับบ้านเหมือนมายด์หละ

    บ้าจริง

     

    ครืนครืนนน ซ่า~~~~

    เสียงฝนและฟ้าร้องยังคงโหมกระหน่ำไม่หยุด

     

    แกรก ... กรึก ....

    เสียงเปิดกระเป๋าจากด้านหลัง?

    เธอคงจะหยิบร่มหละมั้ง

     

    .......

    ชึบ สวบ ....

    เสียงสวมเสื้อ?

     

    ผมหันไปหาเธออีกครั้ง

    "นี่เมื่อไหร่จะ ....."

    ผม ... ยังไม่ทันได้พูดจบ ..... ภาพที่ผมเห็นเบื้องหน้าคือ สโรชา

     

    เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงง!!!!!!

    ฟ้าผ่าอีกครั้ง ประกายแสงวาบสาดส่องเข้ามาให้ผมเห็น......

    เห็น.......

     

    สโรชาที่สวมเสื้อกันฝนสีดำ ยืนยิ้มมาให้ผม

    ก่อนที่เธอจะเอามือเอื้อมไปด้านหลังหยิบฮู้ดสีดำติดกับเสื้อกันฝนมาสวมเอาไว้ มันสามารถปิด ...

    ใบหน้าช่วงบนได้มิดชิด ... เพราะมีส่วนของกรอบกระจกคล้ายแว่นดำบังใบหน้าเอาไว้ ....

    เธอไม่ได้ถือกระเป๋าตั้งแต่แรกแล้ว ไอ้กระเป๋าที่เธออุ้มนั้นมันเสื้อกันฝน

    ผมตาเบิกโพลง ขนลุกซู่

    จ้องดวงตาของเธอที่ส่งยิ้มมาให้ผม

     

    เปรี้ยงงงงงงงง!!!!

    เสี้ยวหนึ่งที่ผมไม่รู้จะทำอะไรดี ร่างกายสั่นเทิ้มเหงื่อไหล

    ฟ้าก็ผ่าอีกครั้ง แสงนั้น .... ทำให้ผมเห็น....

    ของ ....ในมือของเธอ ....ที่ควรจะเป็นแท่งร่ม

    แต่....

    มันไม่ใช่แท่งร่ม .... มันเป็นดาบ ..... ดาบที่ผมเห็นเมื่อวานนี้....

     

    เธอก้าวเท้ามา 1 ก้าว ส่งยิ้มแสยะให้ผม แล้วเอ่ยด้วยเสียงหวานใส ผ่าฝนออกมาอย่างเสนาะหูว่า

     

    "กลับบ้านด้วยกันนะ"

     

    End Chapter 4 กลับบ้านด้วยกันนะ

     

    Old 19/03/2014

    Rewrite 29/04/2014

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×